วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551

เรียนทำอาหารอิตาเลียนกับเจ้าของร้าน Zanotti






อังคารที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๑

มีบุญแบบแปลกๆ อีกแล้ว

คราวนี้ได้ไปนั่งแจมในครัวเรียนทำอาหารอิตาเลียนที่ chef's club ชั้น ๔ สยามพารากอน
คนสอนไม่ธรรมดา เพราะเขาคือ Gianmaria Zanotti เจ้าของร้าน Zanotti อันโด่งดัง

เชฟสอนทำอาหาร ๓ จาน คือ appetizer, main course แล้วก็ dessert

ก็หนุกหนานฮาเฮกันไป เพราะแต่ละจานมีไวน์รสชาติเข้ากันประกอบ

เก็บภาพมาให้หลายคนอิจฉา

เหอ เหอ

ฉันน่ะ, ยังคงรักท้องฟ้าอยู่เสมอ


กับภาพที่เห็นระหว่างทางเดินไปห้องน้ำ


พุธที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๑

ชีีวิตบนตึกชั้น ๑๔ กลางป่าคอนกรีตผืนใหญ่ในเมืองกรุง ทำให้ได้เห็นภาพแปลกตาอยู่เรื่อย เรื่อย

บางเวลาลมพายุำัพัดโหม บางคราฝนสาดซัด
แต่เย็นวันวานท้องฟ้าสวยงาม

หลังจากเม็ดฝนเข้้าครอง จองพื้นที่บนฟ้ามาหลายวัน

ก็ได้เวลาฟ้าใสอีกหน

...โดยไม่ทันตั้งตัว [รำพึง-รำพัน]

โดยไม่ทันตั้งตัว: ราคาน้ำมันโลกก็ทำเอารถสองแถว แถวๆ อ่อนนุชก็ขึ้นราคาเป็น ๗ บาท และอีกไม่นานก็คงขึ้นถึง ๑๐ บาท

(เมื่อมาอยู่แถวนี้ใหม่ๆ ราว ๔ ปีก่อน มันแค่ ๔ บาทเอง)

โดยไม่ทันตั้งตัว: จากราคาน้ำมัน ส่งผลให้น้ำมันพืชพลอยขึ้นราคาไปด้วย และทำให้ขนมปังไส้ถั่วแดง ขนมที่พอจะิ 'กินได้' แถวๆ ปากซอยอ่อนนุชก็ขึ้นราคา จาก ๒๐ เป็น ๒๕ บาท

โดยไม่ทันตั้งตัว: เมื่ออะไรๆ แพงขึ้น OHAYO น้ำเต้าหู้สำเร็จรูปยี่ห้อโปรดก็ขึ้นราคาจาก ๓๐ เป็น ๓๕ บาท

โดยไม่ทันตั้งตัว: มอเตอร์ไซค์รับจ้างในจุดวิกฤตที่จะพาไปขึ้นรถไฟฟ้าได้เร็วขึ้นราว ๓๐ นาทีทุกๆ เช้า ก็ประกาศจะขึ้นราคาจาก ๑๐ บาท เป็น ๑๒ บาท

โดยไม่ทันตั้งตัว: ภาวะขาดแคลนอาหารของโลกเริ่มส่งพิษให้ข้าว อาหารหลักของคนไทยขาดแคลน เมืองไทยจึงเริ่มเข้าสู่ยุค 'ข้าวยาก' อย่างแท้จริง (ส่วนหมาก-อันนั้นมันแพงอยู่ตัวอยู่แล้ว) ในสังคมก็เลยเกิดอะไรแปลกๆ เช่น การขโมยเกี่ยวข้าว การเวียนซื้อข้าวสารถุงในห้างเพื่อการกักตุน>>ชาวนารวยหรือเปล่า?? อันนี้ไม่แน่ใจ

โดยไม่ทันตั้งตัว: ตอนนี้น้ำตาลกำลังจะแพงตาม ถ้าถึงวันนั้น โลกใบนี้จะเป็นยังไง คนจะผอมลง เพราะของหวานแพงขึ้น หรือคนก็ยังอ้วนเหมือนเดิม เพราะความหวานเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

โดยไม่ทันตั้งตัว: จะมีอะไรประหลาดๆ เกิดขึ้นกับประสิทธิภาพในการจับจ่ายของตังค์ในกระเป๋าดิฉันอีกไหมเนี่ย???

 

 

ป.ล. เมื่อสิบปีก่อน ตอนเพิ่งเรียนจบ ค่าเงินบาทก็ถูกลอยตัวโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นเล่นเอาทั้งบ้านทั้งเมืองกลายเป็นอัมพฤกษ์ คือเดี้ยงไปเลย เด็กจบใหม่ก็หางานทำไม่ได้ (เลยต้องไปทำงานหนังสือผู้ชายอย่างดิฉัน) เจ้าของธุรกิจก็ล้มละลาย บางคนก็สู้ พยายามแก้ปัญหา แต่บางคนยอมแพ้ ยอมตาย หลายครอบครัวก็เลยแตกแยก หลายชีวิตพังทลายไม่เป็นท่า กว่าจะยืนขึ้นได้ใหม่ก็เล่นเอาอ่วม

แล้วกับภาวะ 'ไม่ทันตั้งตัว' ตอนนี้ล่ะ เราจะทำอะไรกับมันได้บ้าง นอกจาก

-ประหยัด

-บริโภคให้น้อย

-พึ่งพาลำแข้งของตัวเองให้มากขึ้น

 

ทุกวันนี้ สิ่งที่ตัวเองต้องเจอก็ว่าทำให้เหนื่อยแล้ว แล้วกับคนอื่นที่หาเงินได้น้อยกว่า แต่ต้องใช้ชีวิตเหมือนๆ กันล่ะ เขาจะเป็นยังไง... ขอถอนหายใจหน่อยนะ

 

เฮ่ออออออออออออออออออออออออออออออออออออ 

 

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2551

เที่ยวอยุธยากับ....(ใครดี?)

Start:     May 3, '08 1:00p
End:     May 4, '08
คุยกับเพื่อนปิวันนี้ ได้รับคำแนะนำให้ไปเที่ยวอยุธยา พักที่ "บ้านคุณพระ"
เข้าเว็บดูแล้วน่าสนใจดี ราคาไม่แพง ปิบอกไปคนเดียวได้
นั่งรถไฟไปได้ มีจักรยานให้เช่าขี่วันละ ๕๐ บาท
ถ้าอยากไปเร็วๆ ก็ขึ้นรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ไปลงตลาดเจ้าพรหม

เลยโทรไปจองห้อง คืนละ ๕๐๐ บาทเรียบร้อยแล้ว ๒ คืน
ไม่รู้จะได้ไปคนเดียวหรือเปล่า

ทริปนี้มีใครอยากไปด้วยกันมั่งไหม?

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

เปิดจดหมายเก่า: โปสการ์ดจากเกียวโต


25.03.08 "Hanami Mission"
Dear ป้าม้อย,
มาคราวนี้ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาจาก Y1 พอสมควร...555 คิดถึงตรรกวิทย์เซ็นเซบ่อยเวลาฟังไม่รู้เรื่องอ่ะ... ก็ดีนะ เหมือนเรียนภาคทฤษฎี แล้วมาต่อภาคปฏิบัติ... นี่ก็วันที่ 5 แล้ว
さくらを見ました ล่ะ แต่มันบานแค่บางต้น ไว้จะไป はなみ ต่อที่อื่น.... ป้าเสริม 

ม้อย อากาศที่นี่หนาวกว่าที่คิด ฉันหนาว.... ตัวและหัวใจ   ตุ่น

ม้อย หวัดดี ตอนนี้รอรถไฟไปเกียวโตอยู่ ง่วงมาก ที่นี่หนาวอยู่นะ กลับไปกรุงเทพร้อนๆ ต้องเป็นแผลร้อนในแน่ๆ เลย ตอนนี้เที่ยวเผื่ออยู่ จะเอามั๊ยเนี่ย   K๊ong


อิจฉา+งอนเพื่อนนิดๆ แต่ก็ดีใจ ที่เพื่อนส่งโปสการ์ดมาหา
โปสการ์ดใบนี้มาถึงก่อนเพื่อนอีก ไปรษณีย์ญี่ปุ่นเค้าดีจริง

เปิดจดหมายเก่า: โปสการ์ดใบใหม่จากสวนผึ้ง




20 เมย. 51

เทศกาลสงกรานต์ผ่านไปแล้ว ช่วง 7 วันไม่โผล่ไปไหนเลย อยู่บ้านนั่งอุ่นๆ ดีกว่า ผู้คนมาเที่ยวสวนผึ้งกันเต็มไปหมด สาเหตุคงเพราะใกล้กทม. และมีพื้นที่ป่าพอดูได้ และประหยัดพลังงานที่ต้องใช้จ่าย แล้วเธอไปไหนมั่ง เดือนหน้าก็จะไปทำงานแถบภาคเหนือ บนดอย แถว อ.เชียงดาว เคยไป survey มาครั้งหนึ่ง อากาศเย็นสบายดีจริงๆ พอลงมาบ้านอากาศก็อุ่นๆ แต่ช่วงสงกรานต์ก็พอจะมีฝนมาเยี่ยมบ้าง แต่แค่หนเดียวก็ไม่มาอีกเลย หวังว่างมีความสุขกับตนเองนะ พี่ก็มีความสุขกับการงานไปตามประสา แต่ก็นานๆ ครั้งจะได้ออกไปทำงานต่างจังหวัดไกลๆ

คิดถึงจ้ะ
Pom 70180


โปสการ์ดบางใบ ข้อความกินใจมาอยู่ที่คำลงท้ายนี่แหละ

ป.ล. รูปใบนี้ถ่ายเองหรือเปล่านะ? ข้างหลังมันมีคำว่า Canon กับ DIRECT PRINT?

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2551

กินเอ็มเคกับลูกหมู




พักนี้เข้าเอ็มเคบ่อย

แต่เดิมคิดว่าวันนี้จะได้กินเอ็มเคที่เซ็นจูรี่ (อีกแล้ว) กับเพื่อนก๊กอมรินทร์คบก๊วน คือมีีนังปลาน้อยกับพี่ปุ๊กด้วย
ปรากฏว่าพี่ปุ๊กต้องไปตรวจร่างกายที่โรงหมอ ส่วนนังปลาน้อยก็มีกิจอันไม่เปิดเผย

สรุปความ ดิฉัน (โสด) จึงต้องกินเอ็มเคกับครอบครัวหมูแทน

หลังจากกินกันอย่างเมามัน ทั้งของคาวของหวาน ทั้งหนุกหนานและเลอะเทอะจนพนักงานเอ็มเคอ่อนใจแ้ล้ว เราก็็พากันไปเยี่ยมพี่ปุ๊กที่บ้าน

ไม่ได้เจอกันนานแล้ว พี่ปุ๊กไม่สบายเป็นอะไรไป ไหนขอเยี่ยมหน่อย

ขึ้นรถปุ๊บลูกหมูก็หลับป๊อก ผู้ใหญ่นั่งคุยกันเสียงดังก็ไม่สนใจ กระทั่งตอนลากลับ หนูก็ยังไม่ตื่น สงสัยจะเหนื่อยจริงๆ

อุุตส่าห์เตรียมกล้องไปดิบดี เมมโมรีการ์ดก็ซื้อใหม่ซิงๆ กะถ่ายรูปลูกหมูที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือนเต็มที่ แต่แบตเตอรี่เจ้ากรรมดันหมด
(ชักมีน้ำโหแล้วสิ)

งานนี้เลยต้องพึ่งคุณมาโนช

อัลบั้มนี้รูปเยอะหน่อย แต่ตัดใจเลือกไม่ได้ ลูกหมูเค้ากำลังน่ารักจริงๆ

ตอนนี้อายุสองขวบกับเดือนเศษๆ เริ่มไปโรงเรียนแล้ว
เลยอยากให้พี่ป้าน้าลุงได้เห็นกันว่าหลานเรามันกำลังโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันๆ
ถ้าไม่รีบไปหา อีกหน่อยลูกหมูไม่ยอมให้หอมแก้มบานๆ เพราะเขิน จะมาบ่นไม่ได้นะเออ



ป.ล. ๑ ถ่ายมายังไงโชว์อย่างนั้นเลย ไม่ได้รีไซส์และไม่ได้แต่งสี
ลูกหมูหน้าใสมากๆ กำลังใสสด ไร้เดียงสา น่ากลั่นแกล้งสุดๆ
ป.ล. ๒ จากนี้ไปของดกินเอ็มเค ๖ เดือน เนื่องจากเบื่อมาก ถึงมากที่สุด

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2551

เปิดจดหมายเก่า: จดหมายจากเกาะไหง


 

-อังคาร  27 กุมภาพันธ์ 2539-

 

ม้อย ที่คิดถึงมาก สวัสดีจ้ะ นี่คงใกล้สอบปลายภาคแล้ว

 

เมื่อตรุษจีนที่ผ่านมาเราได้ผ่านไปที่เก่าที่หนึ่ง.. ท่าเรือกระบี่, Grand Hotel, ที่หนึ่งซึ่งเรา ฉัน, เธอ, กรณ์, พี่โพด เคยมีความทรงจำดี-ดี ต่อกัน ฉันเคยบอกนังปกรณ์ว่า เรื่องของฉันคงต้องปล่อยให้เป็นไป จนวันนี้ ในที่สุด ฉันก็เลือกจะทำร้ายคนอื่นและตัวเองไปพร้อมกัน แปลกนะ มาวันนี้ ฉันได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง คิดว่าก่อนใครๆ ใน 4 คน แล้วคราวนี้ ฉันก็ได้ข้ามไปเกาะไหง จากที่เคยไปลันตามาแล้ว คล้ายกันมากแต่ที่พักที่เกาะไหงแพงกว่า ปะการังเค้าว่าสวยมากแต่ฉันว่าที่ไหนๆ หากได้ชื่อว่าปะการังธรรมชาติ มันก็สวยมากทั้งนั้นเลยล่ะ แต่ม้อยกับกรณ์ไม่ต้องอิจฉาที่ฉันได้เที่ยวหรอกนะ เพราะถ้าเลือกได้ตอนนี้ ฉันอยากนั่งอ่านหนังสือสอบอยู่อย่างเพื่อนๆ มากกว่า อนาคตเราคือผู้กำหนดจริงๆ คิดถึงพวกแกว่ะ

 

ป.ล. ถ้าไปเกาะไหงกัน อย่าลืมเที่ยวถ้ำมรกตนะ แล้วก็ไข่เจียวเค้าขึ้นชื่อที่สุด แล้วก็แพนเค้กของลันตาอร่อยกว่ามาก มุมถ่ายรูปพอใช้ได้ ไม่ใช่ปรากฏว่าพวกเอ็งไปกันมาแล้วล่ะ (กร่อยเลยตู)

 

คิดถึงเสมอจ้ะ

 

สุขสันต์วันวาเลนไทน์ย้อนหลัง ขอให้ดอกไม้แห่งรักเบ่งบานในใจเธอตลอดไป...



.....จดหมายจากนกอ้วน ตอนนั้นคงจะเป็นช่วงโค้งหักศอกของชีวิตนกพอดี เนื่องจากสมองส่วนความจำห่วย ดิฉันจำลำดับเหตุการณ์ไม่แม่นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนกบ้าง พี่โพดก็ไปบวชเป็นหลวงพี่โพดเมษาฯ ปีนี้ครบปีที่ ๕ แล้ว ไปถามอะไรคงไม่เหมาะ เห็นทีต้องพึ่งความทรงจำป้าอ้อยกับเจ้มิทเป็นหลัก กรจำอะไรได้มั่งเดี๋ยวต้องลองถามดู

 

ตอนนี้น้องน้ำ ลูกสาวนกจะโตแค่ไหนแล้วหว่า ใครติดต่อนกได้บ้างบอกหน่อยสิ

คิดถึงนกจัง


 

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2551

เพื่อนฉัน: Junior




วันก่อนแนะนำผู้หญิงสู้กล้องไปแล้ว

วันนี้ขอแนะนำให้รู้จักกับจูเนียร์ น้องที่ทำงาน หนุ่มไม่กลัวกล้องอีกคน ที่ำกำลังสับสนกับชีวิต (รัก)

จูเนียร์เพิ่งเปลี่ยนแฟน

แต่ดูตามรูปการณ์แล้ว กับคนใหม่นี้ เจ้ยังไม่รู้จะไปกันได้นานแค่ไหน

ยังไงก็เดินดีๆ นะแก
แล้วถ้าคิดจะเดินไปข้างหน้า ก็อย่ายูเทิร์นล่ะ

สู้-สู้!

ป.ล. ใครอยากได้เบอร์จูเนียร์ ขอได้เป็นการส่วนตัวจ้ะ

บ้านสุริยาศัย-ถนนทรัพย์-สี่พระยา-วัดหัวลำโพง


งามเนอะ

เช้านี้พบว่าฝนยังตกค้างมาตั้งแต่เมื่อคืน
อากาศค่อยเย็นลงหน่อย ใส่กางเกงชมพูกางร่มเหลืองมัสตาร์ดไปทำงาน
แสนสุขใจ

วันนี้มีนัดสัมภาษณ์ที่บ้านสุริยาศัย ถนนสุรวงศ์ ตรงหัวถนนทรัพย์ ถนนที่เชื่อมระหว่างสุรวงศ์กับสี่พระยา

ย่านนี้ไม่ชินเลย ไม่เคยผ่านไปสักที
เขาบอกให้ไปลงรถไฟฟ้าที่สถานีช่องนนทรี แล้วเดินไป
หัวหน้าบอกไกล เดินไม่ไหวหรอก ให้นั่งแทกซี่
ปรากฏแทกซี่ไม่มีเงินทอน แถมยังใกล้จนน่าจะเดินไปมากกว่า

อย่างไรก็ตาม บ้านสุริยาศัยมีความสวยงามน่าประทับใจมาก เป็นบ้านเก่า แบบโคโลเนียล มีสวนน้อยหรือ Patio แบบบ้านสเปนอยู่ตรงกลาง ทายาทเจ้าของ (น่าจะเป็นคนสกุลบุนนาค) แบ่งให้เช่าเป็นสำนักงานบ้าง สำนักงานขายบ้าง แล้วก็มีส่วนหนึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน Scoozie (เขียนผิดป่าวหว่า?)

เป็นความงามที่ประทับใจดิฉัน หลังเสร็จธุระ ก็เลยทำเหนียมๆ หยิบมือถือมาถ่ายรูป คงจะถ่ายได้มากกว่านี้ ถ้าไม่มีเสียงเตือนว่า "คุณคะๆ ที่นี่ห้ามถ่ายรูปค่ะ" (อีกแล้ว) จากนั้นก็เดินจ๋องๆ ไปบนถนนทรัพย์ แล้วก็ถึงสี่พระยา จนมาเจอวัดหัวลำโพง แล้วก็ลงรถใต้ดินกลับอโศก

ดีนะ ที่วันนี้อากาศดี เลยเดินได้ไม่ร้อน ไม่เหนื่อย



ป.ล. กลับมาสืบได้ความว่าบ้านสุริยาศัยได้รางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารซะด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551

เปิดจดหมายเก่า: โปสการ์ดจากชาวเกาะ



ขอเกริ่นกันก่อน..
นึกๆ อยู่พักนึงแล้ว ว่าคิดถึงจดหมายเก่าๆ จัง วันก่อนตอนคุยกะเพื่อนเรื่องความรู้สึกเก่าๆ ที่บันทึกเคยบันทึกไว้ กลับมาอ่านตอนนี้ก็ตลกดี  เพื่อนก็เลยยุส่งว่า น่าจะเอาไดอารี่เก่าๆ มาเขียนเล่าในบล็อก

คืนนี้อากาศดี เพราะฝนเพิ่งหยุด นึกครึ้มอกครึ้มใจ ว่าจะไปหาจดหมายรักเก่าๆ มาอ่านสักที
ดันไปเจอโปสการ์ดจากไอ้เพื่อนคนยุนี่แหละ

เป็นอันว่า ขอประเดิมการทบทวนความทรงจำด้วยโปสการ์ดรูปหาดสมุยจากเพื่อนชาวเกาะ ที่ดันใส่ซองปิดแสตมป์ ทิ้งลงตู้แถวๆ ไปรษณีย์ศิริราชฉบับนี้ละกัน



23/01/38

วันนี้ได้รับจดหมายพร้อมกันสองฉบับ จากเอ็งกับตั้ว พอเปิดอ่าน ข้าว่ามัันแปลกที่ว่า พออ่านจดหมายของเอ็ง ข้าก็รู้สึกเหมือนว่าเสียงที่ข้าอ่านอยู่ในใจมันเป็นเสียงของเอ็ง ไอ้นี่ยังไม่เท่าไหร่ พออ่านจดหมายของป้าตั้วนี่ซิ มันมาทั้งเสียง ทั้งสีหน้า และท่าทาง... มันทำยากจริงๆ นะเอ็ง ไม่เชื่อก็ลองทำดูซิ

เห็นเขาบอกว่าพรุ่งนี้เอ็งจะไปเชียงใหม่ จดหมายฉบับนี้เอ็งก็คงจะได้อ่านหลังจากกลับจากเชียงใหม่แล้วแน่เลย ดีนะ กลิ่นภูเขายังไม่ทันจาง เปิดซองออกมาก็เจอกับกลิ่นทะเลอีกแล้ว หวังว่าคงจะปรับตัวทัน

เขียนจดหมายฉบับนี้รู้สึกว่าไม่ต้องใช้ความพยายามเหมือนฉบับแรก มันคงเริ่มลงตัว เข้าที่เข้าทางแล้วแหละเอ็ง เสียอย่างเีดียว เริ่มรู้สึกว่าเรื่องที่จะเขียนมันไร้สาระดี แต่ก็ช่างมันเหอะ เขียนเรื่องไร้สาระจะได้ไม่เครียด อ่านสนุกๆ ไปเรื่อยๆ

พอแค่นี้ก่อน

เพื่อนฉัน: เธอชื่อมิ๊งค์




คนบางคนก็อายกล้อง
แต่คนบางคนไม่ใช่
มิ๊งค์คือคนกลุ่มหลัง
แค่หยิบมือถือมาทำท่าจะถ่ายรูป
ชีก็โพสไม่หยุดเลย

เพื่อนดิฉันแต่ละคน
...ลีลาใช้ได้เลย จริงไหม?

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2551

Love in the Time of Cholera: How long would you wait for the one you love?

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

คุณรอคนที่คุณรักได้นานแค่ไหน?

คำถามนี้คงทำเอาหลายคนอ้ำอึ้ง แต่อาจจะอึ้งกว่า ถ้ารู้ว่าผู้ชายคนหนึ่งรอนานถึง 51 ปี 9 เดือน กับอีก 4 วัน นับตั้งแต่วันแรกที่เขารักเธอ จนถึงกระทั่งวันที่ผัวของเธอตาย
(เอากับเขาไหมล่ะ?)

ไปดูหนังเรื่องนี้ในรอบห้าโมงครึ่งเมื่อวาน (ป่าวโดดงาน) เพราะรอบสองทุ่มครึ่งดูจะเลิกดึกไปหน่อย ดีใจมากที่ดูวันสุดท้ายที่หนังเรื่องนี้ยังฉายที่สกาล่า (รักสกาล่าที่สุด) ตอนแรกไม่แน่ใจว่าจะสนุก เพราะเห็นเป็นหนังพีเรียด หน้าตานักแสดงก็ไม่คุ้นเอสเลย (นอกจากพี่ Javier (อ่านแบบสเปนว่า ฆาเบีย) Bardem ที่เพิ่งใส่วิกผมทรงม้อดเล่น No Country for Old Men-ซึ่งยังไม่ได้ดู)

ในโรงมีคนดูทั้งหมดประมาณ ๑๐ คน ฉายได้ประเด๋วเดียวก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องครื้น-ครื้น อยู่พักใหญ๋ ตะแรกคิดว่าเป็นซาวนด์เอฟเฟคท์ แล้วก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง เปรี้ยง

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องไปช้าๆ ถึง passion ที่ตัวละคร Florentino Ariza มีต่อ Fermina Urbino (เล่นโดย Giovanna Mezzogiorno สาวสวย หน้าตาแนวหยิ่งสไตล์อังศุมาลิน และมีชื่อเหมือนสาวอิตาเลียน) และเนื่องจากเขาเล่าเนิบๆ ดิฉัน ซึ่งปวดหัวนิดหน่อย กับเหนื่อยเล็กน้อยเพราะอากาศร้อน และเมื่อคืนนอนดึก (ข้ออ้าง) ก็เผลองีบไปประมาณ ๓ นาที แต่กลับมาดูต่อได้สบาย แถมหันไปถามป้าหนุ่ยกับป้าอ้อยที่ไปดูด้วยกันได้อีก ก็อย่างที่บอก สกาล่าใหญ่ขนาดนั้น แต่มีคนดู ๑๐ คน ใครจะบ้ามาด่าชั้นวะ

เคยอ่าน Notebook ของ Nicolas Sparks (ชื่อไทยว่า ปาฏิหาริย์บันทึกรัก แปลโดย จิระนันท์ พิตรปรีชา) ไหม ดิฉันอ่านรอบแรกโดยยืมใครไม่รู้อ่าน และซึ้งจนกระทั่งต้องไปหาซื้อมาเป็นเจ้าของ (หนังสือซึ้งกว่าหนังมาก ขอบอก) นั่นเป็นเรื่องของคนคู่หนึ่งที่รักกันไปจนแก่ โดยที่ตอนแรกฝ่ายชายก็ต้องทนเจ็บช้ำกับหัวอกที่กลัดหนองเพราะถูกกีดกัน แต่ถ้านับว่านั่นเป็นการรอให้ฝ่ายหญิงเห็นใจ ก็ต้องบอกว่าเขารอแค่สิบกว่าปี ไม่นานเท่าไหร่
เรียกว่าเป็นเรื่องราวความซึ้งที่ออกแนว รันทด กินใจ

แต่การรอคอย Love in the Time of Cholera มันน่ารักแนวละตินน่ะ การที่เราจะรักใครสักคนหัวปักหัวปำ รักๆๆๆๆๆ หายใจเข้าหายใจออกเป็นเขา ลืมเขาไม่ได้ มันอาจจะเป็นเรื่องรันทดก็จริงอยู่ (จำได้ว่ามีตอนหนึ่งดิฉันหันไปถามป้าอ้อยว่า ทำไมมัน (ฟลอเรนติโน่) ไม่ฆ่าตัวตายพ้นๆ ไปเลยวะป้า?) แต่ระหว่างความรันทดนั้น มันมีความอิ่มเอมจากการทรมานตัวเอง การอยู่อย่างไร้สุข ที่อุทิศให้กับความรักที่มีต่อเธอผู้เมินมัน ความรันทดที่ได้รู้ได้เห็นว่าผู้หญิงที่ตัวเองรักมีความสุขกับสามีของหล่อนยังไง การระบายความรักที่คั่งอยู่ในอกออกมาในรูปของจดหมายรัก หรือพฤติกรรมการนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้าจำนวนหลายร้อย (ว้าว! ตื่นเต้นจัง)

อ่านถึงตรงนี้คุณอาจรู้สึกว่า ยี๊ โรคจิต แต่ไม่ใช่นะ หนังไม่ได้เล่าแบบจิตๆ แต่เป็นเล่าแบบดูแล้วขำสลับกับน้ำตาซึมเพราะความเห็นใจ

เอาเหอะ หากคุณพอมีประสบการณ์ความเจ็บปวดเพราะไม่ถูกเลือกอาจะจะเข้าใจภาวการณ์ “จ่อมจม” ของฟลอเรนติโน่ได้บ้าง

สรุปคือ ความรักและการรอคอยในหนังเรื่องนี้เป็นแนวรักทรมาน ซึ่งถูกใจดิฉันนั่นเอง

Love in the Time of Cholera (2007) กำกับโดย Mile Newell สร้างจากนวนิยายของ Gabriel García Márquez นักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบล (ร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ไง) ซึ่งเขียนไว้ในปี 1985 มีชื่อในภาษาสเปนว่า ''El amor en los tiempos del cólera'' เป็นเรื่องที่น่าหลงรักกับเสน่ห์แบบละติน (เปาโล คูลเอลญูของบราซิลก็ด้วย)

ก่อนจะลงมือบันทึกความรู้สึกเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ดิฉันเจอข้อมูลแนะนำหนังสือโดย faylicity (ชีเขียนเก่งจริงๆ) ในหน้า http://www.faylicity.com/book/cholera.html และคัดมาให้อ่านนิดหน่อย ใครติดใจ ตามไปอ่านเพิ่มได้นะจ๊ะ
“...กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซเล่าเรื่องรักนี้ได้น่าประทับใจ ด้วยบทบรรยายตรึงอารมณ์ และอารมณ์ขันคมคาย เรื่องราวนี้พาเราย้อนไปถึงความรักและชีวิตของผู้คนที่เกี่ยวข้องเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน เราอดจะเอาใจช่วยและขันในตัวฟลอเรนติโน หนุ่มที่มีความรักสุมหัวใจคนนี้ไม่ได้ เพราะเขาน่ารักมากจริงๆ เป็นกวีที่เขียนคำรักถึงหญิงสาวทุกวัน ทุกบรรทัดคือเปลวเพลิงที่แผดเผาใจ ยามอ่านจดหมายคนรัก ฟลอเรนติโนจะเคี้ยวดอกกุหลาบไปด้วย และเฝ้าอ่านแล้วอ่านเล่าทุกตัวอักษร จนกระทั่งสวนกุหลาบเกลี้ยงลง ยามดึกเขาจะสีไวโอลินให้สายลมนำทำนองหัวใจไปสู่เธอ ฟลอเรนติโนเคยถูกจับ เพราะออกมาเล่นไวโอลินในช่วงเคอร์ฟิว ตอนที่บ้านเมืองมีสงคราม ซึ่งเขาไม่รับรู้เพราะไม่ได้สนใจต่อโลกภายนอก ถึงจะถูกจับ เขาก็ยินดีถูกล่ามโซ่ตรวนจากอานุภาพของความรัก และเมื่อถูกบิดาของคนรักไสส่ง เขาบอกว่าพร้อมยอมตาย เพราะไม่มีการตายใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการตายเพื่อความรัก

“แต่แล้วความรักนี้ก็ไปไม่ได้อย่างฝัน ไวโอลินของฟลอเรนติโนอาบไปด้วยน้ำตา และเพลงที่เขาเล่นก็โศกเศร้า จนทำให้บรรดาสุนัขที่ได้ยินหอนโหยหวนไปทั่วเมือง และไม่ว่าฟลอเรนติโนจะจับปากกาเขียนอะไร แม้จะเป็นจดหมายธุรกิจ เนื้อความกลับเป็นบทกวีเปี่ยมอารมณ์ จนดูเหมือนเป็นเรื่องรักไปหมดสิ้น นายจ้างขู่ว่าถ้าฟลอเรนติโนยังเขียนจดหมายติดต่องานลักษณะนี้อีกต่อไป เขาจำต้องไปเปลี่ยนหน้าที่เป็นคนเก็บขยะแทน แต่ฟลอเรนติโนบอกว่ามีแต่เรื่องรักอย่างเดียวเท่านั้นที่อยู่ในความสนใจของเขา

“เมื่อฟลอเรนติโนเอ่ยปากบอกรักเฟอร์มินาอีกครั้ง ในงานศพของสามี เธอตอบว่า "ไปให้พ้น และอย่าได้เสนอหน้ามาอีก จนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งฉันหวังว่าจะเหลืออีกไม่นาน" แต่เรารู้ว่าคำตอบเท่านี้ไม่อาจเปลี่ยนใจฟลอเรนติโนได้แต่อย่างใด

“สุดท้ายแล้ว ฟลอเรนติโนจะสมหวังในรักได้หรือไม่ ชีวิตของเขากับเฟอร์มินาผ่านครึ่งศตวรรษนั้นมาได้อย่างไร เวลาที่ผ่านไปจะทำให้หัวใจอันร้อนแรงรู้จักความรักที่เป็นเหตุผล และเข้าใจในรักได้อย่างไร ติดตามอ่านได้จากเรื่องราวความรักอัศจรรย์ในเล่มนี้”

บันทึก:
-ไม่แน่ใจว่าเวอร์ชั่นที่ได้ถูกหั่นฉากเซ็กซ์ไปมากแค่ไหน แต่ในบรรดาฉากเซ็กซ์ัอันสวยงาม (โดยไม่โจ๋งครึ่ม) ของหนังเรื่องนี้ คิดว่าฉากคืนแรกของการแต่งงานของเฟอร์มิน่ากับสามีเป็นฉากที่เซ็กซี่และร้อนแรงที่สุดเลย ชอบมาก
-Benjamin Bratt ที่เล่นเป็น Dr. Juvenal Urbino สามีของเฟอร์มีน่าเป็นหนุ่มละตินที่เซ็กซี่น่าจดจำมาก
-เรื่องราวของฟลอเรนติโน่กับแม่ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าประทับใจ ลองคิดดู ถ้าคุณเป็นแค่แม่ม่ายจนๆ คนหนึ่ง แต่ลูกชายคนเดียวดันเกือบเสียคนเพราะไปรักผู้หญิืงอย่างหัวปักหัวปำ คุณจะแก้ปัญหาอย่างไร

เจออะไรดีๆ ที่อาร์เอส


ไม่ได้จับถ่ายรูปกันง่ายๆ เลยนะ

ป.ล. พี่เขาตัดผมทรงนี้แล้วดูดีเนอะ

วันนี้ไปทำงานที่อาร์เอส
บริษัทนี้เต็มไปด้วยคนหน้าตาดี บุคลิกเด่น
อยู่แป๊บๆ เจอ someone มากมาย
ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอบีมนั่งซ้อมอยู่ในห้องเรียนร้องเพลง
หน้าใสสุดๆ ไปเลย

we are family!




ไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ชอบเก็บรูปครอบครัวน่ารักๆ เอาไว้
ถ้าวันหนึ่งมีครอบครัวกะเขาบ้าง อาจจะไม่น่ารักอย่างนี้

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551

นัดพบหน้าอนุสาวรีย์ชัยฯ


เหมือนจะเหงา แต่ที่นี่ก็เหมือนสนามหลวงแหละ คือไม่ค่อยมีเวลาร้างผู้คนเลย

อังคารที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๑

วันนี้มีเดทกินก๋วยจั๊บอนุสาวรีย์ชัยฯ กับหนุ่ม
หนุ่มคนนี้น่ารักจริง อยากกินก๋วยจั๊บหรือเปล่าไม่แน่ แต่ก็ยังตามใจเรา แถมยอมรอครึ่งชั่วโมงโดยไม่เคือง

ว่าแต่...
...จะน่ารักอย่างนี้อีกนานไหมจ๊ะ?

มีเลือด-มีเนื้อ


ก่อนจะเป็นปลาดุกย่างตัวดำ
มันต้องเป็นอย่างนี้ก่อน

คำเตือน: อัลบั้มนี้ฮาร์ดคอร์ ใจไม่ถึงอย่าดู!

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

คันปาก-อยากบอกต่อ ตอน จิตวิทยาโลกร้อน


คำเตือน: บล็อกนี้ซีเรียส ใครไม่อ่านก็ถอยไป!

กระแสการตื่นตัวต่อปัญหาโลกร้อนกำลังมาแรง...จริงหรอ?

ใครๆ ก็พูดเรื่องโลกร้อน เอาการเสนอตัวแก้ปัญหาโลกร้อนมาเป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย CSR ขององค์กร
บรรดาวัยรุ่นกิ๊บเก๋ที่ปรากฏตัวบนรถไฟฟ้าบีทีเอส รถใต้ดิน สยาม สวนจตุจักร  พากันหิ้วถุงผ้าฟอกบ้างไม่ฟอกบ้างที่พะยี่ห้อว่า "อะฮั้นไม่ใช่ถุงพลาสติกนะยะ" บ้าง "บอกเลิกถึงพลาสติกบ้าง"
(แต่ในมือของพวกเขา บ้างก็ยังกำแก้วพลาสติกใส่แฟรปเป ไม่ก็น้ำผลไม้ปั่นราคาแพงจากร้านกาแฟดัง บางทีก็หิ้วถุงพลาสติกใสที่ภายในมีกล่องโฟมบรรจุอาหาร)
พวกแม่ค้าแม่ขายก็ยังรักความสะดวกและความประัหยัด (ต้นทุนของตัวเอง ) ด้วยการพึ่งพาภาชนะพลาสติกและโฟมต่อไป โดยไม่นำพาว่าไอ้ของพวกนั้น พอไม่ใช้แล้วมันไปไหน
มิหนำซ้ำ ยังหัวเราะเยาะเย้ยลูกค้าบางคน (เยี่ยงเดี๊ยน) ที่พกกล่องใส่อาหารไปใส่อาหารที่ซื้อจากพวกเขา

เพียงเพราะเทรนด์ของสังคมตอนนี้มันคือ ใช้่ถุงผ้า ลดโลกร้อน เหมือนว่าใครไม่มีหิ้วจะเห่ยมาก
(ไม่ใช่การพกกล่องใส่อาหารไปซื้ออาหารเทคโฮม อาจเพราะยังไม่มีแฟชั่นดีไซเนอร์ดังออกแบบกล่องอาหารกิ๊บเก๋สำหรับพกไปซื้ออาการเทคโฮม)
..แต่ การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติกมันช่วยลดฯได้ไง เขาเข้าใจตรรกะนี้ไหม เดี๊ยนยังสงสัย

บางทีเดี๊ยนก็สงสัยว่า การรณรงค์เรื่องโลกร้อนกันโครมๆ ทุกวันนี้ มันได้ผลจริงหรือ?
มีคนในสังคมสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่เข้าใจตรรกะของโลกร้อนจริงๆ
และมีเท่าไหร่ในกลุ่ีมคนที่เข้าใจ ที่รู้ว่าควรทำตัวยังไงให้รบกวนโลกให้น้อยลง (รบกวนเท่าที่จำเป็นก็ได้เอ้า)
...เพราะว่าคนที่ลงมือทำสิ่งที่ควรทำ และพอจะทำได้ (เรียกว่าคนที่ไม่ได้ "ดีแต่พูด" นั่นเอง) เพื่อรบกวนให้โลกให้น้อยลง คงจะยิ่งมีน้อยยยยยยยยย ลงไปอีก

ช่วยไม่ได้หากคุณเผลอตัวอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว โปรดอย่าเศร้าใจ แต่จงอ่านต่อไป เพราะจากข้อเขียนบรรทัดต่อๆ ไปนี้ คนรักสิ่งแวดล้อมอย่างคุณ (ถ้าไม่ใช่ก็เสียใจด้วย) อาจจะเก็ตอะไรเจ็บๆ คันๆ ตอกย้ำ ซ้ำเติมให้เราได้บ่นกันอย่างเมามันยิ่งขึ้น

พอดีเดี๊ยนได้อ่านสารคดีเล่มล่าสุด "วิถีเปลี่ยนโลกด้วยมือเรา" (ช่างเป็น Theme ที่กล้าหาญอะไรปานนั้น) ปกขาว ไม่เคลือบยูวี (ดี-ประหยัด-ไม่รบกวนโลก) ยังอ่านได้ไม่เท่าไหร่เพราะเป็นคนอ่านหนังสือช้า แต่ได้อ่านคอลัมน์ จิตวิทยา ของหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ที่ตอนนี้ตั้งชื่อว่า "จิตวิทยาโลกร้อน" (หน้า ๙๔) แล้ว จะขออนุญาตคัดลอกตอนเด็ดแทงใจมาให้คุณที่รักในมัลติพลายได้อ่านกันบ้าง

"ผมมีโอกาสอ่านการ์ตูนเรื่องโลกร้อนที่ส่งมาจากหลายสถาบัน พบว่าทั้งหมดเป็นการ์ตูนประเภทให้ความรู้เรื่องโลกร้อน บ้างให้ตรงๆ เหมือนแบบเรียนสังคมศึกษา บ้างให้ตัวการ์ตูนสักกลุ่มหนึ่งผจญภัยไปในดินแดนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อน ที่น่าหนักใจคือ ทุกเรื่องออกแนวสั่งสอนให้ประหยัดไฟ อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย ปิดแอร์ ให้ขึ้นรถให้เต็มคันก่อนออกรถ ฯลฯ คล้ายๆ การ์ตูนเศรษฐกิจพอเพียงที่ออกแนวสั่งสอนให้ประหยัด อย่าใช้ของฟุ่มเฟือย ซื้อขนมใบตองดีกว่าขนมกรุบกรอบ (ประเด็นนี้ปรากฏในการ์ตูนทั้งสองแนว เรียกว่าทั้งเพียงพอทั้งโลกเย็น) เกษตรกรให้ทำการเกษตรไปทั้งชาติ อย่าหวังรวย ฯลฯ ไม่มีการ์ตูนสักเรื่องเลยที่เขียนขึ้นเพื่อจุดประกายจินตนาการของผู้อ่าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชน ให้พวกเขามีความคิดคำนึงถึงโลกร้อนในระดับปรัชญา หรือเข้าใจโลกร้อนในระดับนโยบาย อันที่จริงการจุดประกายจินตนาการเป็นหน้าที่ของการ์ตูน การสั่งสอนจึงเป็นหน้าที่ของแบบเรียนสังคมศึกษา

"การสั่งสอนเป็นวิธีที่ไม่ได้ผลกับเยาวชนและประชาชน นอกจากไม่ได้ผลยังอาจจะตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในสังคมให้มากขึ้น แล้วนำไปสู่ความเฉยเมยเรื่องโลกร้อนในที่สุด ทำไมเราต้องปิดแอร์ทนร้อนในขณะที่คนรวย ข้าราชการ และนักการเมืองใส่สูทเปิดแอร์ เป็นไปได้อย่างไรที่เราจะขึ้นรถเพื่อนบ้านให้เต็มคันเพื่อไปทำงาน จะซื้อขนมห่อใบตองได้อย่างไรถ้าข้าวเกรียบรวยเพื่อนอร่อยกว่าเป็นไหนๆ (ประเด็นนี้ยังน่าสงสัยอยู่ว่าขนมแบบไหนราคาแพงกว่ากัน) อันที่จริง เราควรให้ความรู้แก่สังคมและประชาชนในเรื่องระดับนโยบายมากกว่าการสั่งสอนให้แต่ละคนปิดแอร์ เช่น นโยบายประหยัดพลังงาน นโยบายเรื่องขนส่งมวลชน นโยบายเรื่องภาษีขยะ นโยบายนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น"

จริงๆ แล้วบทความนี้มี topic ที่น่าสนใจอีกประการคือ (ขอสรุปเอาเองมั่วๆ นะ) ให้หิ้วถุงโลกร้อนกันให้ตาย ก็คงช่วยโลกไม่ได้ ถ้านโยบายรัฐไม่โฟกัสมาที่เรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โจมตีมันอย่างจริงจัง  (อย่างเช่นที่หลวงท่านจัดการกับยาเสพติดด้วยนโยบายฆ่าตัดตอน-ขอโทษนะ จำชื่อที่ มท.๑ อยากให้เรียกไม่ได้) ใครสนใจก็ไปหาอ่านกันเองนะ สารคดีคงไม่ขายดีจนหมดแผงหรอก

ว่าแต่ว่า เรื่องนั้นน่ะ จะโทษกรรมเก่าดีไหม ที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งของเรานอกจากไม่มีวิชั่นในเรื่องนี้แล้ว ยังมัวแต่หัวซุกหัวซุนเอาตัวรอด...ให้เห็นเป็นภาพที่แสนจะน่าสมเพชเวทนา

มีรัฐบาลที่พึ่งไม่ได้อย่างนี้แล้วเราจะทำยังไงกันดีละเนี่ย???

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2551

Bioscope: Sex Issue, April 2008

Rating:★★★★
Category:Other
หลายคนคงรู้กันแล้ว ว่า Bioscope คือนิตยสารภาพยนตร์

ตัวดิฉันเอง นับจากดาราภาพยนตร์ที่เคยอ่านตอนเด็กๆ (ทำไมได้อ่านมากนักก็ไม่รู้) กับ อีกเล่มนึง ชื่ออะไรน๊า.... ของสยามสปอร์ตน่ะ (คิดไม่ออก) ...นั่นแหละ นับจาก ๒ เล่มนั้นแล้วก็ให้ห่างร้างนิตยสารภาพยนตร์ไปเลย แม้จะได้ยินการรีเฟอร์ถึง Bioscope แว่วๆ บ้าง จากป้าอ้อย เพื่อนสนิทผู้สูงวัยกว่า (เล็กน้อย) แต่ก็ไม่เคยเสียเงินซื้อมาอ่านเอง

ที่ลงทุนซื้อ Bioscope ฉบับนี้ (ตั้ง ๗๐ บาทเชียว) ก็เพราะเหตุว่า “ถูกด่า” ค่ะ

คือ ณ ที่ทำงาน ดิฉันจะมีพี่คนโปรดอยู่คน นอกจากเม้าท์ถูกคอแล้ว เรายังแบ่งปันหนังโป๊กันดูอยู่เนืองๆ วันนึง พี่แกก็มาอวดๆๆๆ ว่านี่ Bioscope เล่มใหม่เค้ารวมหนัง Sex เจ็บจริงทะลุจอนะยะ ดิฉันก็ กรี๊ดๆๆๆๆๆ ขอยืมมั่งๆๆๆๆๆๆๆ แกก็เลยด่าว่า ไปซื้อเลยสิยะ อะไรกัน ทำหนังสือแต่ไม่ซื้อหนังสืออ่าน

(ฟังแกด่าก็ละอายนิดหน่อย แล้วก็ตกใจตามมา ว่า โอ้เรานี้ จัดได้เป็นคนไม่อ่านหนังสือหรือนี่?>>ในความรู้สึกคือนี่ก็อ่านจนแทบไม่มีเวลาไปวิ่งไล่จับผู้ชายแล้วนะ>>หรือว่าเรามันอ่านเอื่อยไป เลยอ่านได้น้อย แถมยังอ่านเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก??)

อย่างไรก็ตาม ดิฉันได้เจียดเงินซื้อ Bioscope ฉบับเดือนเมษายน (เล่มสุดท้ายในร้านหนังสือเทศภักดิ์ ใกล้ๆ สถานีอ่อนนุช-เพิ่งปรับปรุง) มาจนได้ เพราะว่ามันอยากรู้อยากเห็นจริงๆ ว่าไอ้ Sex ที่เขาพูดถึงเนี่ย มันอยู่ในหนังเรื่องไหนบ้าง พูดถึงยังไง เผื่อจะได้ไปตามหามาดู เปิดหูเปิดตาซะโหน่ย

(โฮ่-โฮ่-โฮ่)

อ่านแล้วเลยถึงบางอ้อ ว่า Bioscope เขาจะมี Sex Issue ทุกปี
ปีแรกเขาพูดถึงหนังที่ถูกแบนเพราะฉาก XXX ปีที่สองเขาพาท่องโลกธุรกิจหนังโป๊ หนังที่แม้ไม่ปรากฏตัว แต่ก็ไม่เคยหายไปจากโลกนี้ และในปีที่สาม เขาหาญกล้าตั้งคำถามถึงการเซนเซอร์ฉาก XXX ในหนัง
ปีนี้จัดเป็นปีที่ ๔ เขาบอกว่า ไม่ว่าจะเลิฟหรือไม่เลิฟ เซ็กซ์ก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคน ในเมื่อหนังทำหน้าที่เล่าชีวิตคน แต่จะเล่าได้ครบถ้วนได้ไง ถ้าไร้ฉากเซ็ก

ในเมื่อเรายอมรับว่า ฉาก XXX ยังคงมีหน้าที่อยู่ในหนัง เขาจึงชวนคนอ่านไปโฟกัสที่การนำเสนอฉาก XXX แทน ว่าแล้ว Bioscope จึงนำเสนอบทความเด่น “๑๐ หนังเล่นจริง เจ็บจริง” โดย คันฉัตร รังษีกาญจ์ส่อง (หน้า ๕๔) นำเสนอหนัง ๑๐ เรื่องที่มีการซุบซิบกันว่า เล่นจริง ทั้ง ๑๐ เรื่องได้แก่

เล่นจริง ตัวแม่>>ได้แก่ 9 Songs (2004) และ Shortbus (2006)
เล่นจริง คลาสสิก>>ได้แก่ In the Realm of Senses (1976) และ Caligula (1979)
เล่นจริง ผู้หญิงถึงผู้หญิง>>ได้แก่ All about Anna (2005)
เล่นจริง ชายเหนือชาย>>ได้แก่ The Raspberry Reich (2004)
เล่นจริง น้องใหม่>>ได้แก่ Lie with Me (2005) และ Battle in Heaven (2005)
เล่นจริง หรือหลอก?>>ได้แก่ Don’t Look Now (1973) และ Lust, Caution (2007)

ใน ๑๐ เรื่องที่เขาว่ามา มีหนังที่ดิฉันได้ชมแล้วชัวร์ๆ อยู่ ๓ เรื่อง ส่วน Lust Caution ที่ไปดูที่ลิโด้ (ไม่ใช่ House นั้น) เมื่อได้อ่านบทความนี้จบ ดิฉันตัดสินใจบอกตัวเองว่า อย่าไปนับว่าครั้งนั้นได้ดูแล้วเลย

เพราะถ้าได้ดูหนังเวอร์ชั่นเต็ม ไม่ตัด คงมีความเข้าใจ-เข้าถึงความสัมพันธ์ของตัวละครคู่นี้ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งอาจจะต่างกันโดยสิ้นเชิงกับความเข้าใจหลังจากได้ดูเวอร์ชั่น ‘XXX เท่าที่วัฒนธรรมอันดีงามของไทยอนุญาตให้ดูได้’ ที่ลิโด้เป็นแน่

Sex ก็มี Function ของมันนะ
(ว่าไหม?)



บันทึก:
เรื่องอื่นๆ ที่อยากให้อ่าน
-“กล้องส่องความจำ” โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ ในโซน Point of View (หน้า ๘๘) เล่าถึงใจความในหนังสือ “Camera Lucida” (ห้องสว่าง-ล้อคำว่า ห้องมืด) ของ Lorand Barthes นักคิดชาวฝรั่งเศส หนังสือเล่มนี้เล่าทัศนะที่บาร์ตมีต่อการถ่ายภาพ โดยเฉพาะภาพถ่ายในวัยเยาว์ของแม่ ปรากฏการณ์ที่ภาพภาพหนึ่งกลายเป็นความอมตะ กลไกที่ภาพนั้นกระทำต่ออารมณ์ของผู้ชม (สิ่งที่บาร์ตอธิบายเป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้) และอิทธิพลที่ภาพถ่ายมีต่อความทรงจำของคนดูนี่แหละ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังที่ทดลองอะไรแปลกๆ กับความจำ เช่น Reconstruction (2003) เรื่องของช่างภาพหนุ่มที่ไม่มีใครจำเขาได้, Allegro (2005) เรื่องของคนที่เก็บความทรงจำใส่กล่องและโยนทิ้งลงน้ำ ทั้งสองเรื่องนี้โดย คริสโตเฟอร์ โบ, Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) หนังเรื่องโปรด, Momento (2000) และ Himitsu (1999) หนังที่ส่าด้วยการแลกเปลี่ยนความทรงจำหลังความตาย>>บางทีบทความนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่มีคำถามเกี่ยวกับความทรงจำสร้างสรรค์อะไรบางอย่างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงความทรงจำเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง
-Art of Screen Writing: No country for Old Men (หน้า ๘๔) และ No Country for Old Men โลกวายป่วง (อีกแล้ว) ของพี่น้องโคเอน โดย ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ (หน้า ๙๔) สองบทความที่เขียนถึงหนังที่ดิฉันพลาดชมทางโรงภาพยนตร์ T-T
-“ชีวิตนางเอกเอวี ชีวิตฉัน ใครกำกับ” โดย นคร โพธิ์ไพโรจน์ (หน้า ๖๒) ไม่น่าเชื่อว่าสถานภาพทางสังคมของนางเอกหนังเอวี (Adult Video) หรือหนังโป๊ญี่ปุ่นจะได้รับการให้เกียรติขนาดนี้ จริงๆ ออกจะทึ่งด้วยซ้ำที่อุตสาหกรรมหนัง AV จัดเป็นธุรกิจถูกกฎหมายในญี่ปุ่น
-อยากดู Once แล้วสิ (จะทันไหมเนี่ย?)
-สิ่งที่ต้องคิด>>เป็นสมาชิก Bioscope ดีไหมนะ?

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2551

Runaway Bride: ยังไม่เจอคนที่ใช่ จนกว่าจะรู้ใจตัวเอง

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Romantic Comedy


เนื่องจากยังไม่เคยแต่งงานกับใครมาก่อน (เฉียดที่สุดก็แค่มีผู้ชายมาคุกเข่าตรงหน้าแล้วพูดอะไรเพ้อๆ ที่ตัวคนพูดลืมเสียเองในเวลาต่อมา) พอดูหนังเรื่องนี้หลายรอบเข้าก็เลยสงสัยเหมือนกัน ว่าอะไรที่ทำให้คนสองคนแต่งงานกัน (ในเมื่อสามารถอยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องแต่งก็ได้)

คนแต่ละคนคงมีความเห็นต่อการแต่งงานต่างกันไป แล้วแต่ละคนก็คงคาดหวังต่อชีวิตสมรสไม่เท่ากัน บางคนอาจกล้าบอกว่าฉันไม่คาดหวัง ฉันแค่รักเขา ฉันจึงทำสิ่งที่ฉันควรทำ บางคนบอกถ้ารักกันไปได้จนแก่ได้ก็ดี แต่บางคนกล้าประกาศว่า ฉันเลือกคนที่เพียบพร้อมที่สุด ดังนั้นชีวิตแต่งงานของฉันต้องสมบูรณ์แบบ เราจะเป็นครอบครัวอบอุ่นตลอดไป

ก็ว่ากันไป

แต่ที่แน่ๆ ถ้าจะแต่งแล้ว คงไม่มีใครอยากให้มันพัง และไม่อยากจะแต่งกันหลายๆ หน ไม่ใช่แค่เพราะมันแพง (ฮา) แต่เพราะการแต่งครั้งที่ ๒ มันทำให้หัวใจช้ำ ส่วนครั้งที่ ๓ และ ๔ และ ๕ (ถ้ามี) อาจถึงขั้นทำให้หัวใจชา พานหมดอารมณ์ร่วมกับการแต่งงานไปได้ โดยเฉพาะกับลูกผู้หญิง เพศที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “อยากแต่งงาน” และมักจะมีจินตนาการแฟนตาซีเกี่ยวกับพิธีแต่งงานของตัวเองมาตั้งแต่รู้ความ

Maggie Carpenter (Julia Roberts) ก็คงไม่ผิดไปจากผู้หญิงส่วนมาก

เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นหลังจากที่เธอวิ่งหนี จอร์จ นักกีฏวิทยา (นักวิทยาศาสตร์พวกที่ทำงานเกี่ยวกับแมลง) ว่าที่เจ้าบ่าวคนที่ ๓ ระหว่างงานแต่งงาน ซึ่งก่อนหน้านี้เธอก็ได้วิ่งหนีเจ้าบ่าวมาแล้ว ๒ คน หนุ่มคนแรกหันเหไปบวชเป็นพระคาธอลิก อีกคนเป็นหนุ่มช่างเครื่องนักดนตรีร็อคที่ได้เจอสาวคนใหม่ในที่สุด

เมื่อ Ike Graham (Richard Gere) คอลัมนิสต์เจ้าเสน่ห์ แต่ปากจัด เอาแต่ใจตัวเอง ซึ่งกำลังหงุดหงิดเพราะใกล้เดดไลน์แล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไรส่ง บ.ก. ดี ได้ยินเรื่องเว่อร์ๆ ของเจ้าสาวผู้ถนัดการวิ่งหนีจากงานแต่ง ที่จอร์จ ผู้กำลังเสียใจ (และเสียหน้า?) พล่ามให้ฟังในบาร์ จึงเอามาเขียนลงคอลัมน์ที่ขยันสร้างความเคืองให้ผู้หญิงของเขา เรื่องวุ่นๆ ก็เกิดขึ้น

เพราะมันทำให้แมกกี้อ่านแล้วโมโหมาก ถึงกับลงมือเขียนจดหมายแจกแจงความมั่วของเนื้อหาที่ตีพิมพ์ ถึง บ.ก. USA Today ผู้เป็นอดีตภรรยาของไอค์ ซึ่งแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากงานได้ดี จึงตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการไล่ไอค์ออก (โอว์ ให้มันความรับผิดชอบอย่างนี้สิ สื่อมวลชน)

แต่ด้วยไอเดียของเพื่อน ผู้เป็นสามีคนปัจจุบันของอดีตภรรยา ไอค์ก็พาตัวเองสู่ เฮล แมรี่แลนด์ เพื่อมาสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแมกกี้ และการวิ่งหนีเจ้าบ่าวแต่ละครั้งของเธอ เพื่อเขียนเป็นสกู๊ปไปขายนิตยสาร GQ ดูเหมือนนี่ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แมกกี้ต้องวิ่งหนีว่าที่เจ้าบ่าวคนที่ ๔ ซึ่งเธอกำลังจะแต่งงานด้วยในอีกไม่กี่วัน

แต่มันก็ใช่

เพื่อให้ได้ทำตอบว่าแมกกี้วิ่งหนีทำไม ไอค์ใช้วิธีตามไปคุยกับอดีตว่าที่เจ้าบ่าวแต่ละคน ทำให้ได้พบว่า ตอนที่คบกับแฟนหนุ่มแต่ละคน แมกกี้ทำให้แต่ละหนุ่มรักเธอ และ convince แต่คนว่าเธอคือ The One ของเขาด้วยการเปลี่ยนสไตล์ให้เข้ากับหนุ่มแต่ละคน สัญลักษณ์ที่หนังใช้ เพื่อให้เห็นกันชัดๆ ก็คือ การสั่ง “ไข่”

กับคนแรกเธอสั่งไข่คนใส่พริกไทยและเครื่องเทศ-เหมือนเขา กับคนที่สอง เธอสั่งไข่ดาวทอด-เหมือนเขา กับคนที่สาม เธอสั่งไข่ดาวน้ำ-เหมือนเขาอีก และแน่นอน กับคนที่สี่ เธอสั่งไข่เจียวลุยสวน และกินแต่ไข่ขาว เหมือนเขา

ไอค์ยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดในคืนงานเลี้ยงก่อนแต่งงาน เขาสรุปว่าเธอไม่รู้ใจตัวเอง แมกกี้ไม่ยอม โต้กลับว่าเธอไม่ใช่คนเดียว ที่ไม่รู้ใจตัวเอง

และในวันซ้อมพิธีแต่งงาน เพียงการสบตากันก็ทำให้ไอค์และแมกกี้รู้ใจตัวเอง

แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอยอมแต่งกับเขาดีๆ ไม่วิ่งหนีไปเหมือนคนอื่น


....กว่าคนบางคนจะรู้ใจตัวเอง กว่าจะยอมรับว่าตัวเองเป็นแบบนี้ หาใช่แบบนั้น แบบที่คิดมาตลอดว่าตัวเองเป็น ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย



แต่กับใครบางคน ปัญหาไม่ใช่การไม่รู้ใจตัวเอง แต่เป็น “รู้แล้ว.. แต่จะให้ทำยังไงล่ะ?”
(ป.ล. คำถามข้างต้นยังคงรอการตอบ)





บันทึก:
- Runaway Bride (1999) กำกับโดย Gary Marshall ผู้กำกับ Pretty Woman คือ หนังเรื่องโปรดที่ดูจนแผ่นเกือบพังแล้ว ดูทีไรไม่เคยเบื่อ ยังคงยิ้มแป้น สลับกับน้ำตาซึมราวกับคนสติไม่ค่อยดี
- โฆษณาแฝงของ FedEx ในเรื่องนี้เก๋ดี รับได้ หนังเรื่องอื่นๆ ควรพิจารณาวิธีนำเสนอของตัวเอง
- คิดๆ แล้วไม่รู้ว่าตัวเองชอบกินไข่แบบไหนมากที่สุด เลือกไม่ถูก ไข่คนใส่ชีส+เบคอนก็หอมดี ไข่ดาวน้ำก็ดี ไม่มีมัน ไข่ดาวสุก+กรอบบนกระเพราไก่ก็ชอบมาก ไข่เจียวแหนมนี่ปลื้มสุดๆ ไข่เค็มสุราษฎร์ฯ อร่อยสุด ไข่ปิ้งและไข่ต้มแข็งกินกับน้ำพริกอร่อย แต่ถ้ามะตูมกินกับอะไรก็ได้ (คือชอบทุกไข่ ยกเว้นไข่ลวกกับไข่ที่เป็นตัวอ่อนของไก่) ความชอบและการเลือกเมนูไข่ของดิฉันจะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แล้วอย่างนี้หมายความว่าดิฉันยังไม่รู้ใจตัวเองหรือเปล่านะ?
- ชอบซีนที่แมกกี้ตามมาขอไอค์แต่งงานในนิวยอร์กจัง
- นี่คือไดอาลอกที่ไอค์เคยยกตัวอย่างให้แมกกี้ฟัง แล้วแมกกี้เอามาใช้ขอไอค์แต่งงานในภายหลัง "Look, I guarantee that we'll have tough times. And I guarantee that at some point, one or both of us will want to get out of this thing. But I also guarantee that if I don't ask you to be mine I'll regret it for the rest of my life. Because I know in my heart, you're the only one for me."
- อัลบั้ม OST หนังเรื่องนี้คืออัลบั้มเพลงโปรด ทุกวันนี้ยังเอาคาสเซ็ตมาเปิดอยู่เรื่อยๆ หนึ่งในเพลงที่ชอบคือ Before I fall in Love ร้องโดย CoCo Lee เนื้อเพลงตรงใจผู้หญิงดีนะ ......someone to have and hold
with all my heart and soul
I need to know before I fall in love
someone who'll stay around
through all my ups and downs
please tell me now before I fall in love………



วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2551

ไปตัดผมกับพี่หมู




ศุกร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๑

บ่ายวันนี้ออกไปสัมภาษณ์อาจารย์ที่คณะสัตวแพทย์ฯ จุฬา เสร็จงานบ่ายสามครึ่ง ไม่ทันไปเจอเพื่อนมัลติพลายที่มาจากเชียงใหม่ เลยเปลี่ยนแผน ไปตัดผมกับพี่หมูดีกว่า

จากสยาม ขึ้น BTS ไปลงสะพานตากสิน ต่อเรือด่วนไปลงวังหลัง
ดีใจจังที่พี่หมูไม่ปิดร้าน

ไม่รู้ผู้ช่วยหายไปไหน พี่หมูลงมือสระผมให้เอง (เจ็บค่ะพี่)
แกตัดม้าเต่อได้ใจมาก
เห็นตัวเองในกระจกยังรู้สึกสองจิตสองใจ ไม่รู้ว่าจะมั่นดีหรือไม่มั่นดี
แต่ไงมันก็อยู่บนหัวดิฉันแล้วอะนะ

เดี๋ยวก็ชินเนอะ

กลับบ้านคนเดียว


....ไม่รู้สิ

ไม่มีเรื่องเล่า
แค่บันทึกภาพที่ได้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ภารกิจกินข้าวกับเพื่อน


เหอ เหอ
ก็มันอร่อยมาก

เมษายน ๒๕๕๑

วันสงกรานต์ที่ผ่านมาไป แพกระแต กินข้าวกับอิ๋วและหนิง-เพื่อนซี๊จากสาธิต ม.ช.
หลังจากนั้นวันหนึ่ง ก๊กเดิมก็ไปกินสุกี้เอ็มเคกันที่โลตัสเลียบทางด่วน (เจอหนอน)

วันทำงานวันแรก ด้วยความคิดถึงจึงนัดเพื่อนสิ่งพิมพ์กินข้าวอีกหน
และด้วยความที่มีเพื่อนแสนดี ยังจำได้ว่าดิฉันแสดงความกระตือรือร้นออกนอกหน้าว่าอยากกินสุกี้ (ตั้งแต่ปีมะโว้) เพื่อนจึงนัดที่เอ็มเคอีกหน นัยว่าตามใจดิฉัน คราวนี้ที่ห้างเซ็นจูรี่ ปากซอยรางน้ำ เพราะว่าใครบางคนจะเดินทางกลับบ้านอันไกลโำ้พ้นได้สะดวก (จากอนุสาวรีย์ชัยฯ)
คราวนี้ไม่มีหนอน แต่ต้องรอคิวตั้ง ๑๗ โต๊ะ (โอ้แม่จ้าว-แต่ก็ยังคงรอ)
เสร็จเอ็มเคก็ไปต่อสเวนเซ่น
เลยกลับบ้านไม่ทันดูคาวีเลย
T T

ป.ล. กินข้าวกับเพื่อนบ่อยแล้ว
อยากกินข้าวกับแฟนบ้างอะ

วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2551

p.s. รักหนึ่งในความทรงจำ

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรอบที่ ๒ หลังจากได้ดูที่ลิโด้กับเพื่อนเมื่อราว ๓ ปีก่อน
จำได้ว่าคราวนั้นก็ประทับใจกับเรื่องราวที่หนังเล่ามากพออยู่แล้ว ได้มาชมใหม่อีกครั้งในวันนี้ ยิ่งรู้สึกเข้าใกล้ความรู้สึกของตัวละครนำมากขึ้น
(เพราะวัยที่เข้าใกล้เธอยิ่งขึ้น? -ฮา)

p.s. (2004) กำกับโดย Dylan Kidd สร้างขึ้นจากนวนิยายโดย Helen Schulman เล่าเรื่องของ Louise Harrington (Laura Linney) สาวใหญ่วัย ๓๙ ที่กำลังโกรธกับอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต เธอเพิ่งจะหย่ากับ Peter อดีตสามีที่เคยเป็นอาจารย์ของเธอในห้องเรียนที่ Columbia University หลังจาก ๑๐ ปีของชีวิตสมรสที่ ๔ ปีให้หลังเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ จนตกอยู่ในสภาพ “ขึ้นอืด” เต็มที่

ลูอิสทำงานเป็นเจ้าหน้าที่คัดกรองใบสมัครของนักเรียนที่มาสมัครเรียน Fine Art กับ ม. โคลัมเบีย แม้จะใกล้เลข ๔ หย่าแล้ว แต่เธอยังสวย และดูแลรูปลักษณ์ของเธออย่างประณีต ก็หัวใจเธอยังมองหาความรัก

วันหนึ่งเธอพบจดหมายสมัครเรียนที่ทำให้มือสั่น มันเขียนด้วยลายมือของเด็กหนุ่ม (อายุประมาณ ๑๙) ผู้ใช้นามว่า F.Scott Feinstadt (Topher Grace) ชื่อที่เธอไม่อาจลืม เพราะมันเป็นชื่อของแฟนหนุ่มผู้ฝังอยู่ในใจมาตั้งแต่วัย seventeen ซึ่งจากไปก่อนเวลาอันควรด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์

แม้ไม่อาจหาเกล็ดหิมะ ๒ เกล็ดที่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แต่เด็กหนุ่มทั้งสองมีอะไรคล้ายกันเหลือเกิน ชื่อเหมือนกันยังไม่พอ ทั้งสองยังเป็นจิตรกรเหมือนกัน มีหน้าตา รูปร่างใกล้เคียงกัน มีมอตโตเหมือนกันอีก (อะไรจะบังเอิญปานนั้น)

แรงดึงดูดที่ เอฟ. สกอตต์ และ ลูอิส มีต่อกัน นำพาทั้งสองให้ข้องเกี่ยวกันอย่างรวดเร็ว และลึกซึ้ง แต่มันไม่ดูค่อยแฟร์นัก ก็ในใจของลูอิสมีแต่ความลึกลับซับซ้อน เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน กล้าๆ กลัวๆ แต่ก็รู้สึก passion อย่ารุนแรงจากสิ่งที่ตกค้างในความทรงจำ ในขณะที่หัวใจของ เอฟ. สกอตต์ ที่เปิดต่อความสัมพันธ์ครั้งนี้ คือความบริสุทธิ์ ความ brand new อย่างแท้จริง และเขาไม่ได้ลังเลที่จะตกหลุมรักเธอเลย

ทว่า ลูอิสกำลังโกรธที่อดีตสามีมาสารภาพว่าที่ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองแย่นั้นเป็นเพราะปัญหาส่วนตัวของเขา เขาสารภาพเรื่องบางอย่างที่ทำให้อดีตภรรยาที่ตอนนี้แม้จะกลายเป็นเพื่อนสนิทไปแล้วรับไม่ได้ พร้อมๆ กันเธอก็โกรธตัวเองที่ละเลยความสัมพันธ์กับแม่ และน้องชาย โกรธเพื่อนสนิทคนเดียวที่เธอมี ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งที่แย่งแฟนหนุ่มไปจากเธอเมื่อครั้งกระโน้น และเมื่อ เอฟ. สกอตต์ ปรากฏตัว ก็ยังมาป้วนเปี้ยน เวียนวน และทำให้ลูอิสคลั่งเพราะความหึง

ยิ่งไปกว่านั้น เธอกำลังโกรธ เพราะความหวั่นไหวจากช่องว่างระหว่างอายุที่ห่างกันของเธอกับเด็กหนุ่ม (๒๐ ปีจ้ะ)

วิธีที่ลูอิสจัดการกับความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือสิ่งน่าสนใจ นอกจากนี้ การที่หนังจบด้วยการไม่ฟันธงว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูอิสกับ เอฟ. สกอตต์ (เรารู้ภายหลังว่าเขามีชื่อตัวว่า ฟรานซิส-ซึ่งไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มคนนั้น) จะจบลงอย่างไรคือความลึกลับที่แสนมีเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ดิฉันชอบจัง ที่หนังเลือกจบด้วยภาพรอยยิ้มอันสวยงาม และก้าวย่างอันแข็งแรง มั่นใจ ของผู้หญิงเข้าใจโลก
(ดิฉันหวังว่าจะยิ้มได้อย่างนั้น และเดินอย่างสง่าเช่นนั้นในวันข้างหน้า)





บันทึก:
-สิ่งที่น่ามองที่สุดในหนังเรื่องนี้ (นอกจากดวงตาของ โทเฟอร์ เกรซ) คือใบหน้าของลอร่า ลินนีย์ มันคือใบหน้าสวยหวานที่เต็มไปด้วยอารมณ์แบบผู้หญิงเต็มตัว
-ประโยคประทับใจ: Asking the universe for pity is waste of time, the universe doesn’t care (โดยน้องชายของลูอิส-Paul Rudd ชายหนุ่มของมิเชลล์ ไฟเฟอร์ ใน I could never be your woman)
-“เพื่อน” คือความสัมพันธ์ใหม่กับอดีตสามี (อดีตแฟน?) ที่น่าประทับใจจัง
-หากคุณคือผู้หญิงที่เคยมีรัก นี่คือภาพยนตร์อีกเรื่องที่คุณจะรัก
-ต้องลองหารองเท้าส้นเข็มมาใส่กับกางเกงยีนส์มั่งแล้ว

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2551

Eternal Sunshine of the Spotless Mind: อยากลืมกันจริงๆ หรือ?

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

คุณเคยอยากลืมใครสักคนไหม?

ใครที่อาจจะทำให้คุณโกรธ ทำให้เจ็บช้ำ หรือรู้สึกผิดมากจนไม่อยากเหลือความทรงจำเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป ไม่ แม้กระทั่งเรื่องดีๆ ที่เขาเคยทำ

ใครสักคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่คุณอยากให้มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง

ดิฉันเองก็เคย

การโคจรมาพบกันของเราเกิดขึ้นในวันที่มวลอากาศร้อนในอกดิฉันลอยตัวสูง เปิดช่องให้มวลอากาศเย็นจากไหนก็ไม่รู้ก็พาเมฆและไอน้ำเคลื่อนเข้าแทนที่อย่างเร็ว

"พายุฤดูร้อน" นำพาความชุ่มชื้นและเม็ดฝนมาก็จริง แต่ขณะเดียวกันก็มาพร้อมลูกเห็บ ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ในความเร็วลมที่พร้อมพัดทำลายของที่ขวางหน้าอยู่ได้ราบเป็นหน้ากลอง

ตั้งนาน กว่าลม ฝน จะสงบ ฟ้าจะแจ่ม แล้วก็ทิ้งซากสภาพหลังพายุไว้ให้ช้ำใจ

บางทีถ้าดิฉันไม่ยอมให้มวลอากาศเย็นถาโถมเข้าใส่แบบนี้ แล้วเลือกอดทนอยู่นิ่งๆ สักพัก รอให้ความร้อนมันคลาย ละลายหายไปเอง ชีวิตก็อาจดำเนินไปได้อย่างสงบ แน่นอนว่าอาจจะไม่มีต้นไม้ใหม่แตกหน่อ ผลิดอก แทงยอดใหม่ หลังได้น้ำฝน แต่ต้นเก่าๆ ที่ยืนต้นมาหลายปีก็คงไม่หักโค่น เสียหาย ไม่มีซากปรักหักพัก รก สกปรก รอวันสะสางให้สะอาดเอี่ยม (เก็บมาตั้งนานแล้วยังไม่เอี่ยมเสียที)

การมาของพายุฤดูร้อนจึงไม่รู้ว่าเป็นการสร้างสรรค์หรือทำลายมากกว่ากัน

ตอนที่คนเราอยากตัดใจจากเรื่องบางเรื่อง ก็คงจะเข้าอีหรอบเดียวกับการเลิกจากอะไรบางอย่าง เช่น บุหรี่ กาแฟ แม้แต่เหล้า บางคนก็ใช่เทคนิคค่อยๆ ลด แล้วจึงเลิก บางคนก็หักดิบซะเลย

สำหรับดิฉันเอง พบว่า เวลาจะยุติความสัมพันธ์กับใครสักคนนั้น ใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้ เพราะมันไม่ทันใจ ไม่เด็ดขาด และจะทำให้ตัดขาดไม่ได้เสียที ต้องใช้วิธีหักอกหักใจ ตัดกันไปเลย แรกๆ อาจแย่สักหน่อย แต่ถ้าทำได้ก็จะ recover จิตใจได้เร็ว

แต่อุปสรรคของการหักอกหักใจไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความทรงจำ มันทั้งซึมซอกซ่อนอยู่ตามสมองในซอกหลืบต่างๆ ของสมอง (มักจะโผล่ออกมาหลอกหลอนเป็นประจำในยามหลับ และเมื่อเผลอไผลในยามตื่น) กับอีกที่ปรากฏตัวในรูปของสิ่งมีตัวตนอย่างบันทึก ไฟล์ภาพถ่าย รูปที่อัดมาแล้ว โน้ตที่เขาเขียนเขียนให้ ลูกบิดประตูห้องที่เขามาติดให้ แก้วที่เขาทำคู่ของมันแตก แม้กระทั่งแก้วกาแฟที่เคยชงให้เขากิน เพลงบางเพลง รวมทั้งเบอร์ของเขาที่เมมฯ ไว้ในโทรศัพท์เรา และทางกลับบ้านที่เคยเดินด้วยกัน

ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ทำให้นึกถึงเรื่องเก่า แต่ดิฉันก็ไม่ได้ทิ้งมันไป ยังคงเก็บไว้ทรมานใจตัวเองเล่นๆ อย่างนั้น

เมื่อได้ดู Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ในวันที่อาการข้างเคียงจากปฏิบัติการหักอกหักใจเริ่มดีขึ้นนิดหน่อย ก็เลยเกิดสงสัยขึ้นมาว่า ถ้ามีบริการ erase ใครบางคนออกไปจากความจำของเราจริงๆ อย่างในหนังแล้ว จะมีใครสักกี่คนที่อยากจะไปลบคนบางคนให้หายเกลี้ยงไปจากความจำ

เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ความทรงจำที่แสนทรมานเหล่านั้นมันเป็นเรื่องที่เราหวงแหน อยากจะเก็บไว้ทรมานใจตัวเองเล่นๆ ในวันข้างหน้า จะอ้างว่าเอาไว้เป็นบทเรียนเตือนใจตัวเอง หรือเพื่อระลึกถึงวัยใสไร้เดียงสา อ่อนต่อโลกและความรักก็ตามแต่

ลึกๆ แล้วเราก็ยังอยากจะเก็บมันไว้กับเรา

แม้จะไม่ทราบว่าคนที่เราเคยอยากลืมเขา (แต่ยังไม่ลืม) จะลืมเราไปแล้วหรือไม่ก็ตาม





บันทึก:
Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)
เป็นหนังที่ดูได้รอบแล้วรอบเล่าโดยไม่มีเบื่อ เพราะแต่ละรอบที่ดูก็จะพบรายละเอียดเพิ่มขึ้น และรายละเอียดเหล่านั้นก็ทำให้คนดูผู้มีประสบการณ์ร่วมยิ่งดิ่งลึกสู่ห้วงความรู้สึกของตัวเองเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่หนังที่ทำให้คนผิดหวังจากความรักเศร้ารันทดกว่าเดิม ในทางตรงกันข้าม มันจะช่วยเตือนให้เรากลับไปค้นหาความรู้สึกดีๆ ในความสัมพันธ์ สะกิดให้นึกถึงความประทับใจเมื่อแรกรู้จักกัน วันที่ต่างรู้สึกต่อกันโดยบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีข้อแม้ หรืออีโก้เข้ามาข้องเกี่ยว วันที่ยังไม่มีใครทำให้อีกคนเจ็บปวด ยังไม่คำพูดเชือดเฉือนทำร้ายความรู้สึกกัน

ดูหนังเรื่องนี้แล้ว บางทีคนที่เอาแต่จ้องจะตำหนิติเตียน บ่นว่าคนรักอยู่ตลอดเวลาจะได้ฉุกใจคิดว่า เออ ที่จริงที่เรารักเขาที่ตัวเขา ไม่ได้รักที่ความสมบูรณ์แบบซะหน่อย ดีไม่ดี จากที่อยากลืมๆ กันไป อาจจะอยากเริ่มต้นใหม่ดีๆ อีกสักหน (เช่นเดียวกับตัวละครในเรื่อง)

คุณค่าของหนังเรื่องนี้ยังอยู่ที่ความประณีตบรรจงในการร้อยเรียง เล่าเรื่องราว ผ่านบทภาพยนตร์อันยอดเยี่ยม (Charlie Kaufman) ที่มาจากพล็อตกินใจ และวลี Eternal Sunshine of the Spotless Mind จากบทกวีชื่อ 'Eloisa to Aberlard' ของ Alexander Pope เทคนิค สัญลักษณ์ และภาพที่เล่าเรื่องได้อย่างสุดเท่ เจ็บปวด และถึงความรู้สึก (เป็นการพิสูจน์ข้อปรามาสในตอนต้นว่า Michel Gondry ก็แค่ผู้กำกับ MV) การแสดงที่น่าประทับใจของทุกตัวละคร (ความสวยของ Kate Winslet และ Kirsten Dunst ) รวมทั้งเพลงประกอบด้วย

Eternal Sunshine of the Spotless Mind จึงเป็นหนังอีกเรื่องที่น่าลงทุนซื้อ DVD ติดบ้านไว้

สำหรับดูเพื่อเตือนความทรงจำบางอย่าง


ชีวิตสัตว์โลก ตอน แอบฟังสาวโสดคุยกัน (๓)



"ต้องให้ผู้ชายชมว่าอะไร ถึงจะถูกใจพวกแกที่สุด?"


สาวโสดที่ ๑ โพล่งถามขึ้นมา ขณะที่เพื่อนสาวโสดที่ื ๒ และ ๓ กำลังตั้งอกตั้งใจดูหนัง Eternal Sunshine of the Spotless Mind

คำถามนี้ทำให้สาวโสดที่ ๒ และ ๓ ละสายตาจากจอทีวี หันมามองหน้าสาวโสดที่ ๑ อย่างอึ้งๆ ด้วยนึกไม่มีใครออกในบัดนั้นว่าคืออะไร

แม้จนบัดนี้ ก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเลือกคำตอบอะไรดี....

แอ่วบ้านเพื่อน


ชอบรูปจักรยานเวลาจอดพิงอยู่กับผนังอย่างนี้

วันหยุดสงกรานต์ ไม่ได้ไปเที่ยวไหนไกล เลยนัดเพื่อนอีก ๒ สาวที่ไม่ได้ไปไหนไกลเหมือนกัน ไปกินสุกี้เอ็มเค (เก๋เนอะ) เสร็จแล้วไปแชตต่อที่บ้านเพื่อน

เอาหนัง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ไปดูกัน แล้วก็ต่อด้วย Little Miss Sunshine ดูกันไปก็เมาท์แตก มีแอบจิบไวน์เล็กน้อย พอให้เฮฮา

ดิฉันออกสำรวจรอบบ้านเพื่อน พบว่าเพื่อนเราปลูกต้นไม้เก่งไม่น้อย มาอยู่ได้ไม่นานปี ต้นไม้เต็มบ้านเลย ว่าแล้วก็ขอเก็บภาพมาไว้ในอัลบั้มความทรงจำหน่อย

สงกรานต์(เท่าที่)ได้สัมผัส


มีความรู้สึกว่าการสรงน้ำพระเป็นการเริ่มต้นปีที่เป็นมงคลมาก
เพราะให้ทั้งความเย็น(จากน้ำ) และหอม(จากดอกไม้ที่ลอยอยู่ในน้ำ) เลย

วันนี้ก็ ๑๕ เมษายนแล้ว พรุ่งนี้ธนาคารจะเริ่มเปิด เราๆ คงจะออกจากบ้านได้โดยไม่ต้องกลัวเปียก
วันสงกรานต์กำลังจะผ่านไปแล้ว ปีนี้ดิฉันไม่เปียกน้ำ (ถ้าไม่นับน้ำมนต์หลวงพ่อ) เช่นเดียวกับหลายๆ ปีที่ผ่านมา

ก็มันไม่ชอบอ่ะ
ผู้หญิงไปเล่นสงกรานต์ออกจะเปลืองตัวอยู่ แต่ไม่แน่ ถ้าปีหน้ามีแฟนหนุ่มกล้ามใหญ่ ความกลัวอาจจะหมดไป
(ฮิฮิ)

ถึงสงกรานต์จะบ้าระห่ำ และน่ากลัวในบางมุม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือช่วงเวลาของความสนุกสนาน โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ (แดดร้อนออกปานนี้ ยืนตัวเปียกตากแดดนานๆ ก็คงจะไม่สบายกันไปเยอะแหละ)

์ปีนี้มีแอบออกนอกบ้านบ้าง (ปีก่อนๆ ไม่เลย จำศีลยาวตลอดวันหยุด) โดยการอาศัยพี่แท็กฯ นั่นแหละ เลยแอบเก็บรูปมาได้เล็กน้อย

แต่อีตอนรถไปแหง็กอยู่ริมวงสาดน้ำที่เค้าปริ่มเหล้ากันอยู่มิกล้าถ่ายนะ
กลัวคนเมาที่สุดในโลก

วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551

woman in love


ชั้นก็เป็นคนถ่ายรูปดีนะ
จริงไหม?

หนิง เพิ่งกลับมาจากหลวงพระบาง
หลวงพระบางยามนี้มีอะไรดีนะ?
เพื่อนสาวของดิฉันจึงได้กลับมาพร้อมสีหน้าแช่มชื่นอิ่มสุขเยี่ยงนี้

ถ้าชั้นอยากกลับมาจากหลวงพระบางพร้อมรอยยิ้่มจนหน้าบานอย่างแกบ้างต้องทำไงมั่งอะหนิง?
(บอกหน่อยสิ บอกหน่อย)

ไปแพกระแตมาแล้ว


หอมมาก่อนเลย

คราวก่อนเพื่อนนัดจะไปกิน+เม้าท์ที่ร้านนี้ แต่อด เพราะเขาหยุดวันจันทร์
วันนี้วันสงกรานต์ ก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเขาจะเปิด แต่หลังจากคิดกันนาน ว่าออกจากวัดปทุมฯ แล้วจะไปไหนต่อดี ก็เสี่ยงไปกันดูหน่อย (เจ็บใจสิ วันก่อนไปถึงแล้ว แต่ไม่ได้กิน) กะว่าถ้าเขาปิดอีกก็จะย้ายไปกินส้มตำในซอยอารีย์

ปรากฏว่าเขาไม่ปิด แล้วแถวๆ นั้นก็แห้ง+เงียบมาก ไม่มีวงสาดน้ำักันเลย (ก็ดีนะ เพราะไม่ได้อยู่ในมู้ดอยากโดนสาด) ได้เห็นหน้าร้านเต็มๆ ตา
ร้านนี้อยู่ระหว่างซอย ประดิพัทธ์ ๑๘-๒๐ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางซอย ร้านมีพื้นที่มาก นั่งสบาย ข้างบนเป็นห้องคาราโอเกะ ๓ ไซส์ ถ้าจำไม่ผิดคือ ๑๐ คน ๒๐ คน และ ๔๐ คน ราคาก็ ๕๐๐, ๘๐๐, ๑,๐๐๐ บาท (ที่จอดรถเขาไม่อัตคัด ถ้าอาหารอร่อยก็น่านัดเพื่อนมาเกะเนอะ)

"แพกระแต" เสิร์ฟอาหารไทยๆ แต่...จะบอกว่าสไตล์ไหนดี???

แน่นอนว่าไม่ใช่อาหารไทยชาววัง แต่ออกแนวลูกทุ่งๆ นิดนึง เอาเป็นว่าเขาทำกับข้าวรสเดียว สไตล์เดียวกับหลายร้านที่เคยกินแถวสวนผึ้ง แถวเมืองกาญจน์ ที่เคยกินบ่อยๆ ในช่วงนึงของชีวิตเลย
คือทำปลา ทำรสจัด แล้วบรรยากาศการต้อนรับ รูปแบบการเสิร์ฟ การเอาผลไม้ที่มีมานำเสนอ คล้ายๆ กันเลย
(แต่เหมือนว่าเจ้าของร้านนี้จะมาจากสุพรรณนะ)

จากการมาชิมครั้งแรกขอสรุป (เอาเอง) ว่า ร้านนี้เหมาะกับการกินเป็นหมู่คณะ เพราะที่ทางมันสบาย แล้วบรรยากาศก็สบาย เอะอะได้ ส่วนเรื่องอาหารยังไม่โดนใจเต็มๆ เสียความรู้สึกนิดหน่อยกับยำคะน้ากรอบกะกุ้ง ที่กุ้งออกแนวเปื่อยๆ ไม่เด้งดึ๋งดังที่ควรจะเป็น
ปลารากกล้วยตัวบาง ไม่เหมือนได้กินทางเมืองกาญจน์ แต่ก็กรอบ และเค็มพอกำลังอร่อย
ส่วนเห็ดหอมทอดอะไรนั่นออกจะ็ประหลาด เห็ดหอมไม่น่าเอามาทำอย่างนี้ (ใครสั่งฟะ?)

ส่วนต้มยำปลาม้านั้น อร่อยใช้ได้เลย หอม (ใส่พริกแห้งกะใบกระเพรา) รสชาติก็จัดจ้านดี (น่าจะถูกใจคอเหล้า) แต่ถ้าบอกว่าไม่ค่อยเลิฟเนื้อปลาม้าเท่าไหร่นี่จะมีคนด่าว่าไม่รู้จักกินไหมนะ

มะละกอพันธุ์ไม้ลาย (ถ้าจำผิดขอโทษนะคะ) นั่น เธอหวานจริงสมคำโฆษณา แต่ออกจะเป็นความหวานเกิดลิมิตของดิฉัน เพราะเธอเล่นหวานลงไปถึงกระเพาะและลำไส้ทีเดียว ็ดีหน่อยที่เธอทำให้ดิฉันเห็นคุณค่าและคิดถึงคุณแขกดำขึ้นมาตะหงิดๆ (เมื่อก่อนไม่ค่อยไยดีนัก-สักแต่กินอย่างเดียว)

ไม่แ่น่ใจว่าเพราะเราสั่งอาหารไม่ไ้ด้เรื่อง (สั่งไม่เป็น, ไม่รู้จักสั่ง) หรือเปล่า เลยทำให้ต้องสรุปว่ารสชาติอาหารร้านนี้แค่ "โซ-โซ"
(ไม่ยุติธรรมเลยเนอะ)


ป.ล. ยังอยากกินปลากระบอก (ซึ่งไม่มีในเมนู) อยู่เลยอะ

วันสงกรานต์ ๒๕๕๑ วันนี้มีประโยชน์




ได้รับแมสเซจจากเพื่อนหนิงเอาตอนตีหนึ่งกว่าๆ คืนวันที่ ๑๒ เมษายน
ถามว่าพรุ่งนี้จะเจอกันที่ไหนจ๊ะ?
ก็กรี๊ดสิ พรุ่งนี้อะไรกัน นัดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ยะหล่อน!!!

โทรกลับไปโดยพลัน จึงได้รู้ว่า เออ พรุ่งนี้เราจะไปใส่บาตรวันสงกรานต์กันที่สวนเบญจสิริ ข้างดิ เอ็มโพเรียม ตามที่ดิฉันได้บอกกับเพื่อนอิ๋วไป ว่าแว่วๆ ว่าเขามีใส่บาตรกันที่นั่นทุกเช้าวันอาทิตย์

ทั้งๆ ที่ทั้งสามสาวนอนกันดึกมาก ตีสอง ตีสาม แต่ก็สามารถลากสังขารไปถึงสวนเบญจ์ได้ในเวลานัด คือก่อน ๗ โมงเช้า

....แต่ทว่า!
ยามบอกว่าไม่มีใส่บาตรวันนี้ เขาใส่กันไปตั้งแต่เช้าวันศุกร์

กรี๊ดดดดด แล้วจะทำไงกัน
เพื่อนหนิงตัดสินใจชวนกันไปวัดปทุมวนาราม (ตอนแรกเถียงกันจะตาย เพราะชีเรียกว่าวัดปทุมวันวนาราม)

โชคดีที่เราตัดสินใจอย่างนี้ เพราะมันดีจัง ที่นี่มีการใส่บาตรกันอย่างอบอุ่น ดิฉันได้พบเห็นภาพผู้เฒ่าผู้แก่นุ่งห่มชุดขาว ยืนรอใส่บาตร ภาพคนเป็นร้อยๆ นั่งเป็นระเบียบรอฟังเทศน์ ได้สวดมนต์ กรวดน้ำ ได้ทำบังสุกุลให้บรรพบุรุษผู้่ล่วงลับ แล้วก็ได้สรงน้ำพระ

เรียกว่าครบสูตรการทำบุญวันสงกรานต์

วัดปทุมวนารามเป็นเหมือน sanctuary ไม่ก็สวนลับซึ่งซ่อนอยู่ในที่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ลองนึกถึงความวุ่นวายตรงสยามสแควร์สิ วัดก็อยู่ตรงนั้น แต่เดินเข้าวัดแล้วเหมือนอีกโลกเลยนะ รู้สึกเงียบ สงบ แล้วก็ร่มเย็นมากๆ

ใครเข้าวัดแล้วร้อน ต้องลองมาวัดนี้ดู (ฮิฮิ)

เคยได้ยินมาว่าที่วัดมีคนมาสวดมนต์ทำวัดเย็นทุกวัน
ใครทำงานแถวนี้น่าจะมาแจมได้เนอะ

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2551

CRASH: แม้แตกต่าง แต่เราต้องการกันและกัน

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


หนังดราม่าเรื่องโปรดอีกเรื่อง ที่ไม่ได้มีเป็นของตัวเอง แต่ยืมเพื่อนมาเป็นชาติ ดูไปแล้วหลายรอบมาก นี่ไม่ได้ดูนานแล้ว เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกของวันหยุดยาวนานถึง ๕ วัน จึงหยิบมาเปิดอีกรอบ แก้คิดถึง

เรื่องราวในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในแอลเอ เมืองที่ไม่เคยไปสักที แต่ดูเหมือนจะเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดนี่แหละ ที่ทำให้ดิฉันรู้จักเมืองนี้ในบางแง่ดีมากกว่าอีกหลายๆ จังหวัดในประเทศไทยซะอีก

แง่ที่ว่าคือ ด้วยความที่แอลเอเป็นดินแดนที่เจริญสูงสุด ก็เลยเป็นจุดรวมของคนหลายชาติที่อยากจะมีชีวิตที่เสรี ที่ดี เจริญเหมือนกับภาพของแอลเอ ที่นี่ก็เลยไม่ได้มีแต่อเมริกันผิวขาว และอเมริกันผิวดำ แต่มั่วไปด้วยคนต่างชาติพันธุ์ ที่ต่างคนต่างจับกลุ่มกันระแวงกลุ่มอื่นๆ ให้มั่วไปหมด

ประเด็นที่หนังเรื่องนี้พูดถึงก็คือความรู้สึกต่อการแบ่งแยก เหยียดชนชาติของคนแต่ละคนนั่นแหละ เหยียดกันไปมา ทั้งๆ ที่ต่างก็เป็นคนเหมือนกัน ก็มีความต้องการเหมือนกัน ต้องการความรักเหมือนกันทั้งนั้น

ที่จริงแล้วการจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเหยียดสีผิวนี่เป็นอะไรที่เหมือนยาดำในสังคมอเมริกัน เพราะแท้ที่จริงในใจ แต่ละฝ่ายต่างก็ระแวงกันเองอยู่ไม่น้อย แต่ครั้นจะให้แสดงตัวชัดเจนว่าเป็นฝ่ายไหนฝ่ายหนึ่งมากไปคนวิจารณ์ก็อาจจะซวยได้ จะพูดแต่ละทีจึงต้องวางแผนให้ดี ไม่งั้นมีแต่เสียกับเสีย ยิ่งถ้าเป็นนักการเมืองยิ่งต้องคิดให้หนัก

ดิฉันจึงรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ทำดี เขาไม่ได้ใช้คำพูดชี้นำ แต่ให้เรื่องราวแต่ละเรื่องในหนังสร้างความรู้สึกบางอย่างในใจคนดูอย่างเนียนๆ

ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วดิฉันก็เลยรู้สึกถึงธรรมะข้อที่ว่าด้วยพรหมวิหาร ๔ ธรรมะของผู้ครองเรือน ที่ประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ก็ลองนึกดูสิว่า ถ้าเราทุกคนบนโลกมีความเชื่อมโยงกันอย่างประหลาด ถ้าความจริงข้อนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แทนที่จะมามัวแบ่งเขาแบ่งเรา ตั้งป้อมระวัง ระแวงกัน ทำไมไม่เปิดใจเข้าหากัน ไม่เมตตาต่อกัน รักกันเข้าไว้ล่ะ?




ภาคผนวก
๖ ซีนเรียกน้ำตาจาก Crash

๑. “Keep your fucking hands off me.”
เพราะความอดสูใจที่ได้เห็นภรรยาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจลวนลามด้วยการล้วงเข้าไปใต้กระโปรงต่อหน้าคนเป็นสามี

๒. “No!, Get away from me.”
เพราะว่าผู้หญิงที่โดนลวนลามเมื่อคืน ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์สุดคับขัน และคนเดียวที่ช่วยได้ ดันเป็นไอ้เจ้าหน้าที่จอมล้วงคนเมื่อคืน

๓. “It’s OK, daddy.”
เพราะด้วยความรักและไร้เดียงสาทำให้ลูกสาววิ่งมาบังพ่อไว้จากการจ่อยิงระยะเผาขน แต่คนดูไม่รู้หรอกว่าลูกกระสุนมันเป็นลูกกระสุนหลอก ดูครั้งแรกน้ำตาเลยกระจายเลย แต่ครั้งต่อๆ มาตาก็ยังรื้นๆ นะ

๔. “It’s you.”
คำพูดที่แม่ผู้สูญเสียลูกชายคนเล็กบอกกับลูกชายคนโต ที่ปลอบแม่ว่าจะหาคนฆ่าน้องมาให้ได้...ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากความสะเทือนใจ

๕. “You are the best friend I ever had.”
นี่ก็สะเทือนใจอีก เพื่อนแท้ เค้าว่าให้ดูกันเมื่อยามยากจริงๆ ด้วย

๖. “Hi, I love you”
ไดอาลอกตอนรับสายภรรยาของสามีในข้อ ๑ ฟังแล้วอิ่มใจจนน้ำตาซึม

๖.๑ ชอบเพลง Maybe Tomorrow ของ Stereophonic จัง

I could never been your woman: รักต่างวัย

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Romantic Comedy
หนังเรื่องนี้เล่าชีวิตของโรซี่ คุณแม่วัย ๔๐ (มิเชล ไฟเฟอร์- ตัวจริงอายุ ๕๐ แต่หน้าตายังดูดีู่มาก แขนขาไม่ต้องพูดถึง เพราะว่ามันเต่งตึงยังกะสาว ๒๐) กับอาดัม (เล่นโดย พอล รัดด์) แฟนหนุ่มวัย ๒๙ (ห่างกัน ๑๑ ปี-คิดให้)

ของมันแน่อยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มๆ ย่อมทำให้หัวใจสาวใหญ่กระชุ่มกระชวย

ก็เด็กหนุ่มน่ะ มีภาษีกว่าผู้ชายวัยเดียวกันกับเราตั้งหลายอย่าง ทั้งรูปร่าง หน้าตา พละกำลัง ความสดใส การมองโลกในแง่ดี "ไฟ" ในการใช้ชีวิต

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ดิฉันเชื่อว่า สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มชนะขาดก็คือ อารมณ์ขันและความไม่มี "ฟอร์ม" นั่นเอง

มนุษย์นั้นเป็นสัตว์โลกประเภทที่มีอีโก้โตขึ้นตามวัย พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งแก่จะยิ่งเจ๋ง ยิ่งใหญ่ ยิ่งสูง จะยิ่งทำผิดพลาดได้ยาก ดังนั้น เมื่อแก่ๆ กันแล้ว การจะยอมเป็นฝ่ายไปงอนง้อขอโทษอีกฝ่ายโดยไร้แล้วซึ่งฟอร์มน่ัะ มันก็เหมือนการถูกผลักให้ตกนรกกันดีๆ นี่เอง

คนขอโทษก็รู้สึกแย่ เพราะว่าเสียฟอร์ม คนถูกขอโทษเองแทนที่จะเห็นความดี กลับมองว่า "เสื่อมจัง" ไปซะงั้น

ฟอร์มจัดกันนัก คู่สมรสสูงอายุก็เลยยอมหักไม่ยอมงอให้เราเห็นจนกลายเป็นของธรรมดา

การจับคู่ของคนสาวใหญ่กับเด็กหนุ่มกลับเป็นเรื่องลงล็อกมากกว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งน่ารัก มีเสน่ห์ มีชีวิตชีวา ช่วยเติมอารมณ์ขันและมุมมองของอนาคตที่มีึความสดใสให้กับอีกฝ่ายที่แม้จะดูเหมือนน่าเบื่อ แต่ก็มีชีวิตที่สงบ และมุมมองที่เข้าใจชีวิตและโลก ทั้งยังเพียบไปด้วยประสบการณ์ที่อีกฝ่ายยังมีไม่ครบ

ฝ่ายหนึ่งขาดสิ่งที่อีกฝ่ายมี เลยช่วยกันเติมเต็มให้ชีวิตรักสมบูรณ์ได้

...แต่ก็นั่นแหละ สังขารมันไม่เที่ยง ใครจะรู้ว่าถ้าเจ้เดมี่ มัวร์ ไม่ทำศัลยกรรมหนักขนาดนั้น แอชตัน คุชเชอร์จะอยู่กับชีไหม (คู่นี้ห่างกัน ๑๖ ปี)

รักต่างวัยที่แสนจะกินใจดิฉันในหนังเรื่องนี้จึงไม่ยักใช่สีสันสวีตหวานของความรักระหว่างหนุ่มไม่ใหญ่กับสาวใหญ่ แต่เป็นรักต่างวัยระหว่าง แม่-ลูก

คนอเมริกันนี่มีวิธีเลี้ยงลูกที่น่าสนใจนะ

ถ้าเราจะมองในมุม "อกอีแป้นจะแตก" ก็คงได้ตกใจจนหัวใจวายไปหลายครั้งกับการเลี้ยงดูเด็กของเขา แต่ถ้ามองจากอีกมุม มองว่าเขาเลี้ยงลูกโดยการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง สอนให้ลูก respect ในตัวเอง และในตัวคนอื่น เช่นเดียวกับที่เขา respect ต่อตัวเอง และคนอื่นให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่างนั้น มันทำให้เขาได้ลูกที่ไม่ได้เป็นแค่ลูก

แต่เป็นลูกที่เป็นได้เท่ากับเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขาเลยทีเดียว

ความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับแม่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น (ออกจะใกล้เคียงความสัมพันธ์แบบ "อกอีแป้นจะแตก" มากกว่า) ถ้ามีโอกาสได้มีลูก ไม่ว่าลูกสาว ลูกชาย หรือลูกเกย์ จึงอยากจะลองเลี้ยงแบบอเมริกันดูมั่ง สักนิดสักหน่อย เพราะดิฉันเองก็ไม่ได้อยากมีลูกที่เป็นแค่ลูก

แต่อยากได้มากกว่านั้น





หมายเหตุ โปสเตอร์หนังที่นำมาใช้ ตั้งชื่อเป็นภาษาสเปน
"El Novio de mi Madre" แปลว่า แฟนของแม่ จ้ะ

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2551

ชีวิตสัตว์โลก ตอน แอบฟังสาวโสดคุยกัน (๒)



ไม่น่าเชื่อว่าในวันหยุดสงกรานต์ เพื่อนๆ ใน MSN contact ของดิฉันจะออนไลน์กันให้สลอน
นี่ไม่มีใครออกเที่ยวสงกรานต์กันบ้างหรือไงเนี่ย?

ไม่ไปก็ดีแล้ว นอนตากพัดลมพักผ่อนอยู่บ้านบ้างก็ดีเหมือนกัน

ปลาน้อย says:
คุณเจ๊เคยไปร้านเฟิร์น ฟอเรสท์ที่เชียงใหม่ปะ
รันตี says: ร้านใครฤา
ปลาน้อย says:ไม่รู้หรอก
รันตี says:ไม่เคยไปง่ะ
ปลาน้อย says:เพื่อนมันเห็นในไหนไม่รุ เน็ทมั้ง แล้วตอนไปก้อเลยไปกินกัน เป็นร้านเบเกอรี่
รันตี says: หร่อยเหรอ
ปลาน้อย says: สบายดี ต้นไม้เยอะ
ปลาน้อย says: แต่ดูคนไม่ค่อยรู้จัก
ปลาน้อย says: ก็อร่อยดีนะ
รันตี says: ชั้นได้ยินแต่ชื่อเสียงของเลิฟแอตเฟิร์สไบต์
รันตี says: อยู่แถวไหน นิมมาน?
ปลาน้อย says: แถวถนนสิงหราช ใกล้ๆโซนวัดสิงห์
รันตี says: อืมอืมอืม
ปลาน้อย says: แถวนิมมานเดี๋ยวนี้มีอต่วาวี กะสตาร์บัค
ปลาน้อย says: อ้อ เดี๋ยวนี้มีร้านขายชามาเปิดด้วยแหละเจ๊
รันตี says: เหรอ ร้านไร
ปลาน้อย says:อยู่ใกล้ๆริเวอร์ไซท์ ชื่อไรหว่า เวียง จูม ออน
มั้ง ร้านสีชมพูแปร๋นแหล๋น
รันตี says: ชื่อภาษาไรเนี่ย อ๋่อ เข้าใจ๋ละ
รันตี says: สีจมมออน=สีชมพู
ปลาน้อย says: เออ ไรทำนองนั้น มีคนบอกเหมือนกันว่าแปลว่าชมพู
รันตี says: เออ เวลาไปเชียงใหม่ไปนอนไหนรึ
ปลาน้อย says: คราวนี้ไปพักเกสท์เฮาส์ชื่อบ้านเส ลา
รันตี says: นิมมาน?
ปลาน้อย says: อยู่ที่นิมมาน สบายดี เหมือนอยู่บ้านเลย อยู่นิมมานซอย5
รันตี says: อ่านว่า เส ลา หรอ
รันตี says: ชั้นจะได้จำไว้
ปลาน้อย says: ช่าย เส-ลา
ปลาน้อย says: อือๆ ไม่แพงด้วย
ปลาน้อย says: มีทั้งห้องแอร์ พัดลม ห้องน้ำในตัว ห้องน้ำรวม ตรงเข้าไปอยู่ต้นๆซอย ขวามือ
รันตี says: เท่าไหร่
ปลาน้อย says: ปลาพักห้องแอร์ มีห้องน้ำในตัวแต่อยู่ชั้นล่างสุด 850 จอง แต่ไม่ต้องจ่ายล่วงหน้า
ปลาน้อย says: คือปลาไม่ได้ไปช่วงเทศกาลงัย แต่ถ้าช่วงเทศกาลคงต้องจองก่อนให้เป็นเรื่องเป็นราว
รันตี says: อืมอืม
รันตี says: นอนได้กี่คน
ปลาน้อย says: 2
รันตี says: อืมอืม
รันตี says: อยากมีแฟนเนอะแก
รันตี says: อยากไปเที่ยวตจว.กะแฟน
ปลาน้อย says: ตาหลกจาง
รันตี says: ตลกไงวะ
รันตี says: ถ้ามีนะ ชั้นจะชวนไปเที่ยวกระบี่ฤดูมรสุม
ปลาน้อย says: ตลกชะตาชีวิต
ปลาน้อย says: เดี๋ยวเจ๊ไปไหนป่าว
รันตี says: ไม่อะ ชั้นไม่ออกจากบ้านตอนกลางวัน กลัวคนเมารดน้ำ
ปลาน้อย says: แล้วถ้ากลางคืนออกได้ไม่กลัวว่างั้น
รันตี says: อือ กลางคืนเค้าไม่สาดกันแล้วไง
ปลาน้อย says: ไม่แน่ ถ้าไปแถวแหล่งๆ อาจมีโดนปืนฉีดน้ำ
รันตี says: แหม๋แก ช่วงนี้ชั้นออกจากบ้านก็ไปแค่โลตัส ไปหาอาหาร
ปลาน้อย says: ใกล้เชียว
รันตี says: ถ้ามีแฟนนะแก
รันตี says: ชั้นจะไม่กลัวเลย
รันตี says: แฟนไปไหน ชั้นไปด้วย
ปลาน้อย says: แหมๆ
ปลาน้อย says: ก้อรีบๆมีแฟนเข้าสิ
รันตี says: ก็อยากจะรีบจะตายอยู่แล้ว
ปลาน้อย says: อย่ามัวแต่ไปเดินตามรอบเกาะรัตนโกสินทร์กะเพื่อนสาว
รันตี says:  แล้วแกจะให้ชั้นไปหาที่ไหนละยะ
ปลาน้อย says: ก้ออยากเลือกเยอะดิ
รันตี says: ไม่มีให้เลือกดิ
ปลาน้อย says: ว้า
รันตี says: ปลาใจร้ายว่ะ
รันตี says: ต้องฟ้องโอ๋
ปลาน้อย says:ไม่ได้ใจร้าย
ปลาน้อย says: ก้อแค่เห็นอยากชวนแฟนไปเที่ยวแบบมรสุม
รันตี says: จิงด้วยเนอะ
รันตี says:ฤดูมรสุมใกล้เข้ามาละ
ปลาน้อย says: ประเภท ฝนตก ต้องหลบในกระท่อม
รันตี says:ไม่ใช่อย่างนั้น
ปลาน้อย says: ออกไปไหนไม่ได้
ปลาน้อย says: ต้องจุดเตาผิง
ปลาน้อย says: เปิดตะเกียง
ปลาน้อย says:ไฟสลัว เนื้อตัวเปียก 
รันตี says: บ้า ชั้นแค่คิดถึงกระบี่วันที่ฝนพรำๆ แล้วก็มีเมฆฝนลอยอ้อยอิ่งเกาะอยู่ตามยอดเขาหินปูน อากาศเย็นๆ
ปลาน้อย says: อ้อ เป็นงั้น
รันตี says: เป็นช่วงเวลาเงียบสงบ สบาย คนสองคนน่าจะอยู่กันได้อย่างมีความสุข ไม่ทะเลาะ ราวีกัน
รันตี says: (เหมือนมีปมด้อยในใจเนอะ)
ปลาน้อย says: ว้า พูดแล้วเส้า
รันตี says: ...นั่นเซ
ปลาน้อย says: งั้นไปเที่ยวกันแบบเปลี่ยวๆไปก่อนละกันเนอะ
รันตี says: เออว่ะ
รันตี says: เนี่ย แล้วพอไม่มีผู้ชายใช่ปะ ก็ต้องไปกันเองกับเพื่อนหญิง
รันตี says:แล้วก็โดนด่าอีกว่าก็มัวไปกับเพื่อนหญิงน่ะสิ ถึงไม่มีแฟนซะที
ปลาน้อย says: ถูก
ปลาน้อย says: ต้องหาเพื่อนสาวที่มันมีแฟน แล้วให้แฟนมันอ่ะ ชวนเพื่อนชายมาด้วย
รันตี says: ห่า
ปลาน้อย says: บอกให้ชวนมาเยอะๆ จะได้มีชอยส์ให้เลือกหน่อย
รันตี says:เพื่อนสาวของชั้นน่ะ
รันตี says:ส่วนใหย่แล้วจะโสดยิ่งกว่าชั้นอีกแกร
ปลาน้อย says: โสดหมด
ปลาน้อย says: ว่างั้น
รันตี says: แย่เนอะ
ปลาน้อย says: เฮ้อ

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ ๑๐: เป็นคนขี้เหงา-เข้าใจบ้างซี



เย็นวันศุกร์ก่อนลองวีคเอนด์วันสงกรานต์ หมอบู๋เปรยขึ้นขณะตรวจใบหน้าของโอชโช่
"วันนี้เงียบจัง"
"....?" หมอหมายถึงเีราเงียบหรืออะไรเงียบนะ โอชโช่นึกด้วยใบหน้าฉงน
"ไม่รู้ผู้คนหายไปไหนหมด"
อ๋อ ใช่ วันนี้นอกจากเราแล้วไม่เห็นมีคนไข้อื่นเลย
"
ผมเป็นคนขี้เหงาน่ะ" หมอออกตัวพร้อมยิ้มปะแล่มๆ
"..แล้ว ทำไมไม่พาลูกมาอีกละคะ จะได้หายเหงา" โอชโช่ถาม พลางนึกถึงเด็กชายตัวน้อยที่ได้เจอเมื่อครั้งก่อน แกมีีประพิมประพายคล้ายหมอ ผิดก็ที่่ดวงตารีใหญ่ กับลักษณะเส้นผมของเจ้าหนูที่น่าจะเหมือนไปทางแม่มากกว่า
"เค้าไปเรียนซัมเมอร์แล้วล่ะ"
โอชโช่เห็นว่าบทสนทนาจะขาดช่วงอีกครั้ง จึงถามอะไรที่ไม่น่าถามขึ้นอีกตามเคย
"ลูกหมอซนไหมคะ?"
"ไม่นะ เค้าเป็นเด็กเรียบร้อยมากเลย พูดรู้เรื่อง" หมอพูดถึงลูกอย่างภาคภูมิใจ "เค้านิสัยเรียบร้อยเหมือนแม่เค้า"

.....ฉึ่ก!
เหมือนแหลนที่ถูกพุ่งไกลด้วยพละกำลังระดับนักกีฬาทีมชาติปักลงกลางอกของโอชโช่
หลังจากนั้นจงนึกถึงภาพ เลือด ข้นคลั่กโชยกลิ่นคาวคลุ้งซึ่งหลั่งไหลออกจากแผลกลางอกของเธอ

ในที่สุึดมันก็เกิดขึ้น.. การพูดถึงภรรเมียครั้งแรกของหมอ
พูดถึงอย่างภูมิใจเสียด้วย!!!!

สิ้นสุดกันได้เสียทีซินะี ปริศนาที่ว่า ครอบครัวหมอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ก็หมอเล่าเรื่องลูกอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่เคยพูดถึงแม่ของลูกเลย
.......

ถ้ารู้ว่าถามแล้วคำตอบจะทำให้ช้ำขนาดนี้ก็คงไม่ถาม
จริงไหม... โอชโช่?



ภาคพิเศษท้ายเรื่อง

โอชโช่: ฮัลโหล
คิว: หวัดดีเจ้
โอชโช่: หายไปเลยนะ
คิว: หายที่ไหนล่ะ คิวโทรไป เจ้ก็ไม่รับ แถมไม่โทรกลับอีก
โอชโช่: แหะ แหะ แต่นี่ก็โทรมาแล้วไง
คิว: แล้วคิดไงถึงโทรมาล่ะ
โอชโช่: ก็...ก็มันเหงาๆ
คิว: ถ้าไม่เหงาก็ไม่โทรหากันว่างั้น?
โอชโช่: ...เออๆๆๆ ช่างเหอะ ยังไงก็โทรมาแล้ว แล้วคิวน่ะ คิดถึงกันมั่งหรือป่าว?
คิว: เจ้... ฟังนะ เจ้ลองคิดดูว่า คนเราถ้ามันไม่ึิคิดถึงน่ะ จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขาก่อนไหม
โอชโช่:.....(พูดไม่ออก)

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551

ชีวิตสัตว์โลก ตอน ชีวิตเหมือนผักปลา

เหตุโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญ รถบรรทุกห้องเย็นมรณะ 10 ล้อ อีซูซุ สีขาว ทะเบียน 70-0619 ระนอง หน้ารถติดสติกเกอร์ว่า รุ่งเรืองทรัพย์ลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวพม่ากว่าร้อยคนยัดทะนานอยู่เต็มตู้ห้องเย็น เดินทางจากแพปลา ต.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง มุ่งหน้าไป จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต แต่ระหว่างทางระบบปรับอากาศในห้องเย็นขัดข้องทำให้ไม่มีอากาศหายใจ บรรดาแรงงานพม่าที่อยู่ภายในไม่สามารถเปิดประตูออกมาได้เพราะถูกล็อกจากด้านนอก กว่าคนขับจะได้ยินเสียงเคาะฝาผนังห้องเย็นร้องขอความช่วยเหลือเมื่อรถผ่านมาถึง ต.นาคา อ.สุขสำรวญ จ.ระนอง ห่างจากตัวเมืองระนองประมาณ 90 กม. จึงจอดรถลงมาเปิดประตูตู้ห้องเย็นดูก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบว่ามีแรงงานพม่าขาดใจตายทุรนทุรายถึง 54 ศพ มีผู้รอดชีวิต 67 คน หลังเกิดเหตุคนขับรถบรรทุกห้องเย็นมรณะหลบหนีไป

 

...

สำหรับความรู้สึกของหนึ่งในแรงงานต่างด้าวที่รอดชีวิตคือ นายเตอู อายุ 25 ปี ชาวอำเภอมอละแม ประเทศพม่า เปิดเผยถึงช่วงนาทีเฉียดตายในตู้ห้องเย็นมรณะว่า พาน้องชายเดินทางจากประเทศพม่าลักลอบเข้าเมืองไทยเพื่อหางานทำ ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้นายหน้าชาวพม่าเป็นเงิน 450,000 จ๊าด หรือ 12,534 บาท โดยนายหน้าสัญญาว่าจะส่งให้ถึง จ.ภูเก็ต โดยพวกตนออกเดินทางจากเกาะสอง ประเทศพม่า นั่งเรือข้ามมาลงที่แพปลาใน จ.ระนอง แล้วขึ้นรถบรรทุกตู้ห้องเย็นออกเดินทาง ตอนแรกคนน้อยสามารถนั่งได้ แต่มีการรับคนเพิ่มมาจนเต็มตู้ทำให้ต้องยืนกันอย่างเบียดเสียดแทบขยับตัวไม่ได้ พอรถออกจากแพปลามาได้ประมาณ 20 นาที พบว่าภายในตู้ห้องเย็นไม่ได้เปิดแอร์ทำให้ไม่มีอากาศหายใจ จนบางคนทนไม่ไหวต้องเคาะฝาผนังเรียกให้คนขับจอดลงมาเปิดประตู แต่คนขับยังไม่จอด หลายคนถึงกับดิ้นทุรนทุรายขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตา พอเวลาผ่านไปราว 40 นาที ก็หมดสติไป มาฟื้นอีกทีพบว่าตัวเองถูกช่วยเหลือออกมานอนอยู่บนพื้นหญ้าริมถนนข้างทางแล้ว ส่วนน้องชายที่มาด้วยกันเสียชีวิตภายในรถบรรทุกดังกล่าว...

(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=85711)

 

ตาย ๕๔ คน? รอด ๖๗ คน เท่ากับมีคนอยู่ในนั้นทั้งหมด ๑๒๑ คน????

บ้าหรือเปล่า? ตู้คอนเทนเนอร์มีเนื้อที่เท่าไหร่?

แต่ละคนที่จะมาทำงานต้องเสียค่านายหน้า ๑๒,๕๓๔ บาท มีทั้งหมด ๑๒๑ คน เท่ากับว่าจะมีคนได้เงินจากคนพม่าทั้งหมด ๑,๕๑๖,๖๑๔ บาท

(พระเจ้าช่วย ล้านกว่าๆ โดยไม่มีแวตหรือโดนหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น!)

 

หลังจากการฆ่าหมู่แบบนี้ในค่ายเอาท์ชวิตซ์ในโปแลนด์ ก็เห็นจะมีแต่ในประเทศไทยนี่แหละ ที่ยังมีเหตุการณ์ตายหมู่แบบที่ไม่ควรจะต้องตาย ครั้งนึงก็กรณีตายหมู่ ๗๘ ศพบนในรถจีเอ็มซีที่ตากใบ (ลืมไปแล้วหรือยัง อ่านนี่สิ http://www.midnightuniv.org/midnight2545/document9760.html) แล้วก็นี่อีก ตายเพราะหายใจไม่ออกในตู้คอนเทนเนอร์

 

อยากรู้นักว่าบาปกรรมจะตกอยู่กับใคร แล้วกรรมจะสนองยังไง

เมื่อไหรกรรมจะสนองคงไม่มีใครรู้ แต่เท่าที่รู้เดี๋ยวนี้คือ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี สมัครสุนทรเวช แห่งราชอาณาจักรไทยต้องมีปัญหาใหญ่ในเวทีสิทธิมนุษยชนโลกแน่ๆ

 

 

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551

...เธอนั้นเป็นสุขไปแล้ว


ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเธอ
 ใจมันคอยบอกตัวเองอยู่เสมอ
 ว่าเธอนั้นเป็นสุขไปแล้ว

 

เพราะว่ายายไม่ค่อยแข็งแรงนัก บางทีข้าวปลายายไม่ค่อยยอมกิน บางครั้งที่ได้เจอยายยังหลงให้เห็นจนหลานใจหาย

เวลาเสียงริงโทนของคนในครอบครัวโทรมา สมองจึงเข้าโหมดเครียดทุกทีไป แอบกลั้นใจฟัง ว่าเป็นข่าวปกติ หรือข่าวไม่ปกติ

 

วันนี้ได้รับโทรศัพท์จากมารดา ตอนที่กำลังถ่ายรูปนอกออฟฟิศ มันเป็นข่าวไม่ปกติ

 

“ม้อย...” เอาละสิ เรื่องอะไรล่ะเนี่ย “อีเมี้ยวมันตายแล้วนะลูก”

(โอ้ย เล่าไปน้ำตาก็จะหล่น)

อะไรกัน เย็นวันจันทร์ก่อนจะกลับจากบ้าน ตอนไปลามัน อาการมันแปลกๆ ก็จริง แต่ไม่น่าจะตายกะทันหันขนาดนี้นี่นา

 

แม่เล่าว่า พาเมี๊ยวไปหาหมอเมื่อวานนี้ หมอบอกว่าจะตัดมดลูกให้ เพราะว่าเมี๊ยวมันมีเนื้องอกอยู่ในนั้น ...เนื้องอกนี้สินะที่เป็นต้นเหตุของเลือดกะปริบกะปรอยของเจ้าเมี๊ยว

 

หมอเค้าบอกว่าอีก ๕ วันค่อยมารับ แต่แม่บอกว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยม พอไปเยี่ยมก็ได้พบว่า มันตายเสียแล้ว

 

ก็แปลกที่หมอเค้าไม่ยักโทรแจ้งว่าแมวเราตาย ยังไม่ได้คุยละเอียดเลยว่ามันตายระหว่างผ่าตัด หรือว่าหลังจากนั้น และทั้งๆ ที่ควรจะคิดติดใจว่าหมอทำแมวเราตายหรือเปล่า แต่เราเสียใจมากกว่า

 

เพราะว่าเรามัวแต่คิดว่ามันแก่ เลยไม่กินข้าวกินปลา แล้วก็ผอมไปเองตามวัยหรือเปล่า เพราะเราพามันไปหาหมอช้าไปหรือเปล่า โรคมันเลยลุกลามมากจนเมี๊ยวมันทนมีดหมอไม่ได้

 

เมี๊ยวมันอุตส่าห์รักคนบ้านเรา อุตส่าห์เลือกจะอยู่บ้านเรา แต่น่าเสียใจไหมที่เราไม่ดูแลมันดีกว่านี้ เพราะว่ามันเป็นแค่แมว มันบอกไม่ได้ ว่ามันเจ็บตรงไหน ปวดยังไง

 

ยิ่งคิดว่าเมี๊ยวไม่สบายเหมือนคนเลย เราก็ยิ่งเสียใจ เพราะเมี๊ยวมันก็เป็นผู้หญิงเหมือนเรา ทำไมเราไม่ดูแลมันให้ดี

 

ทำไมเราถึงใจร้ายกับมันจัง?


วันร้อน ณ ภัทรา


มุมนี้แสงสวยดี

วันนี้ไปชิมอาหารร้าน Patara ที่เพิ่งย้ายจากสาทรมาปักหลักในซอยทองหล่อ ๑๙
ร้านสวยนะ เย็นย่ำ ค่ำๆ แล้วคงจะยิ่งสวย แถมยังหอมด้วย (เขาจุด Burner กลิ่นตะไคร้ใบมะกรูดหอมฟุ้ง) ร้านก็แต่งสวย

แนวอาหารที่นี่เรียกว่า "ไทยร่วมสมัย" เรื่องรสชาติอาหารต้องบอกว่าสอบผ่าน เชฟที่นี่ทำอาหารไทยรสชาติได้อย่างไทย ไม่เชื่อลองมาชิมดู ราคาไม่โหดมากนัก มากันสัก ๔ คน กินกันให้เต็มที่แล้วหาร น่าจะตกไม่เกิน ๓๐๐ บาท

มาแล้วลองราดหน้าเนื้อเจ้าพระยา แล้วสังเกตรสชาติของเส้นใหญ่ทอดให้ดี ลองอกเป็ดผัดใบกระเพรา ปูจ๋า แล้วก็อย่าพลาดชิมไอศกรีมมะพร้าวอ่อน รสชาติหวานหอมเหมือนน้ำมะพร้าวจริงๆ แถวเนื้อยังดีซะด้วย

ป.ล. เจอ subject สวยๆ ก็อยากถ่ายให้ได้สวยๆ แต่มันร้อน แล้วคุณน้ำส้มก็ทำได้เท่านี้เอง
ทนๆ กันหน่อยนะ ไม่อยากเอาไปแก้สีก่อน เลยเอาให้ดูกันแบบดิบๆ ไปเรย

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551

จินตนา กล้วยเคลือบช็อกโกเลต: รสชาติใหม่ในความแปลก

Rating:★★★★
Category:Other
จินตนา กล้วยเคลือบช็อกโกเลต (ไม่ได้สะกดผิด ที่ตราผลิตภัณฑ์สะกดอย่างนี้จริงๆ)

ผลิตโดยกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรพ่อตาหินช้าง ตำบลสลุย อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร (กล่องละ ๓๕ บาท หรือ ๓ กล่อง ๑๐๐ บาท) โทร. 081 893 3704

นี่นับเป็นนวัตกรรมใหม่ของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรพ่อตาหินช้าง แห่งเมืองชุมพร เมืองที่ปลูกกล้วยเล็บมือนางได้เล็ก หอม และอร่อยที่สุดในเมืองไทย คาดว่าคุณแม่บ้านทั้งหลายจะได้ inspiration มาจากป๊อกกี้ ช็อกโกบานาน่า ก็เลยลองเอากล้วยเล็บมือนางอบแห้งสูตรเดิมๆ ที่เคยขายมาอบให้แห้งน้อยลง เหลือเนื้อเหลือหนังเยอะขึ้น แล้วก็นำไปชุบช็อกโกแลตแล้วแทนที่จะโรยอัลมอนด์สไลซ์ ก็เปลี่ยนเป็นถั่วลิสงคั่วบุบหยาบๆ แบบบ้านๆ แทน

ใครชอบกินกล้วยเล็บมือนางอบแห้ง ใครชอบความเข้ากันของกล้วยหอมกับช็อกโกแลต และใครชอบกินป๊อกกี้ คงจะชอบผลิตภัณฑ์ใหม่นี้

กล้วยอบที่ไม่แห้งมาก จึงไม่เหนี่ยว แต่นุ่ม กัดสนุก มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกล้วยเล็บมือนาง ช็อกโกแลตมีเนื้อใกล้เคียงกับป็อกกี้ รสชาติหวานไม่มาก เพราะตัวกล้วยหวานอยู่แล้ว นับเป็นของว่างแปลกๆ สชาติดี เข้ากับยุคสมัย

เหมือนสาวไทยลูกครึ่งร่างสูงที่ยังมีใบหน้าหวานใสแบบไทยๆ

สงกรานต์นี้ใครจะลงใต้ไปเที่ยว ผ่านไปชุมพรแล้วก็ลองหามาชิมดู ได้ข่าวว่ามีหลายขนาดให้เลือกซื้อเป็นของฝาก มีขายกันมากที่ศาลพ่อตาหินช้าง อำเภอท่าแซะ ตรงที่มีของฝากขายมากๆ แล้วรถราก็มักจะแวะจุดประทัดไหว้พ่อตาฯ นั่นแหละ

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2551

Back Home, April 2008


อยากรู้ไหมว่านี่รูปอาราย?

อิดเอื้อน อืดอาดไปหน่อย เลยไม่ได้ตั๋วตอนสงกรานต์
แต่ไม่เป็นไร ก่อนสงกรานต์มีวันหยุด ก็แว้บไปซะก่อน ให้หม่ามี๊ชื่นใจ
นานๆ ลูกสาวคนใหญ่จะกลับบ้านที
นี่สงสัยจะปลื้มจนลืม ว่าลูกชวนไปทำบุญวันเกิดล่วงหน้า

(แม่เราลืมวันเกิดลูกอีกแร้ว T-T)

และเพื่อไม่ให้การนั่งรถไฟเซ็งเกินไป ก็เลยเอาคุณน้ำส้มออกมาถ่ายรูปเล่น เพราะไม่รู้ว่าชีจะอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับดิฉันอีกนานไหม (เริ่มมีอาการส่อเค้าแล้วซี)

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551

คิดถึงกาแฟ [รำพึง-รำพัน]



ช่วงนี้กำลังเลิกกาแฟ

ไม่ได้แตะมาตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้ว วันนี้วันอาทิตย์ จึงนับว่าเป็นวันที่ ๗ แล้วที่อยู่โดยไม่ได้ดื่มกาแฟ

ที่จะเลิก ไม่ใช่เพราะหนูดีทักว่า เราไม่กินของไหม้เพราะกลัวเป็นมะเร็ง แต่ทำไมเราไม่กลัวกาแฟ ทั้งๆ ที่ี่กว่าจะกินได้ต้องนำเมล็ดไปคั่วซะก่อน (ยิ่งไหม้ ยิ่งหอมซะด้วย)

ไม่ใช่เพราะว่ากาแฟมันแพง เพราะออฟฟิศก็มีให้กินฟรี และถึงจะเป็นเนสกาแฟเรดคัพก็กินได้

ทั้งยังไม่ใช่เพราะอาการนอนไม่หลับ
กาแฟวันละแก้วสองแก้ว ไม่น่าเป็นอุปสรรคในการนอนของคนรักการนอนอย่างดิฉัน แค่คาเฟอีนที่ตกค้างในกระแสดเลือดไม่น่าเพียงพอจะทำให้ตื่นก่อนเวลาอันควรได้เท่ากับความวุ่นวายในใจ
(แต่หยุดกาแฟแล้วก็นอนได้นานขึ้นจริงๆ)

นอกจากนี้ยังไม่เคยโด๊ปกาแฟจนหัวใจเต้นแรงหวิดเป็นลม

แล้วจะเลิกทำไม?

ก็แค่คิดว่า เราชักจะ "ติด" มากไปแล้ว น่ะสิ

เช้าตื่นขึ้นมา ง่วงไม่ง่วงก็ต้องชงกาแฟ มาถึงออฟฟิศ เปิดเครื่องเรียบร้อย ก่อนเปิดไฟล์ทำงาน ก็ขอกาแฟสักแก้ว ตกบ่าย หลังอิ่มอาหาร ก็บอกตัวเองว่ากาแฟช่วยให้อาหารย่อยได้ดีขึ้น แถมยังช่วยแก้อาการหนังท้องตึง-หนังตาหย่อนได้อีก

ทำไมชีวิตชั้นต้องพึ่งพิงเครื่องดื่มสีดำที่ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าความร้อน ความหอม และความขม (บางกรณียังแพงอีกตะหาก)?
ถามตัวเองเสร็จ เช้าวันจันทร์ก็เลิกชงกาแฟ หันมาซื้อน้ำเต้าหู้ใส่กระติกไปจิบแทน ร้อนเหมือนกัน หอมเหมือนกัน รสชาติก็ดีไปอีกแบบ แต่สีนี่สิ ต่างกับกาแฟ ราวเทพกับมาร

ก็ดำเนินชีวิตมาได้โดยปวดหัวเพราะขาดคาเฟอีนอยู่สักวันครึ่ง อยู่มาได้เรื่อยๆ โดยการปลอบตัวเองว่ากินกาแฟแล้วหน้าเหี่ยว กินน้ำเต้าหู้แล้วสวย

กินกาแฟแล้วหน้าเหี่ยว กินน้ำเต้าหู้แล้วสวย
กินกาแฟแล้วหน้าเหี่ยว กินน้ำเต้าหู้แล้วสวย
กินกาแฟแล้วหน้าเหี่ยว กินน้ำเต้าหู้แล้วสวย

ไร้อาการทางกาย แต่แทนที่จะลืมๆ ไป แต่กลับคิดถึงกาแฟจัง
คิดถึงกลิ่นหอมยั่วยวน รสชาติอันแสนจะขมขื่นยิ่งกว่าบางช่วงของชีวิต
สัมผัสที่มือยามโอบรอบกาแฟแก้วโต
ไอร้อนที่ลอยขึ้นมาปะทะจมูก

ไม่รู้สมองเบลอเพราะขาดคาเฟอีนหรือเปล่า
เริ่มจากแรก แค่คิดถึงสัมผัสจากกาแฟ
คิดไปคิดมา คิดไปคิดมา

ดันไปคิดถึงฉากฉากหนึ่ง

คนสองคนเพิ่งตื่นจากการนอนอันแสนสุข
นั่งอยู่เคียงข้างกันบนม้านั่งที่ดัดแปลงจากล้อเกวียนเก่า
เบื้องหน้าคือทุ่งหญ้าสีเขียวระบัดเพราะได้ฝน
อากาศยามเช้าสดใส น้ำค้างยังเ้อ้อระเหย ลมพัดแผ่วเบา
จมูกยังคงจำกลิ่นเล็บมือนางที่ลมพาผ่านหน้าต่างห้องนอนเมื่อคืนนี้
บทสนทนาอ่อนหวาน
และ...รสชาติกาแฟขม เข้มข้นที่เขาชงให้
กาแฟที่ไม่อาจหารสชาติแบบเดียวกันได้อีก
อ้อมกอดที่ไม่เคยมีใครทำให้รู้สึกอิ่มแบบนั้นได้อีก


เอ่อ....
แปลกดีที่แค่คิดถึงกาแฟ ก็พาลไปคิดถึงความหลัง

ถ้าใจยังถวิลหาความเคยชินเก่าๆ อย่างนี้
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตบะแตกตอนไหน

ไม่ได้แล้ว
ต้องแยกความทรงจำเกี่ยวกับกาแฟออกจากความหลัง
ไม่งั้นแย่ชีวิตคงรีไวด์กลับไปในวันที่ 'แย่' กว่าติดกาแฟงอมแงมเป็นแน่

เหงา-เหงา ก็เอารักมาฝาก (หายเหงา ก็เอารักคืนไป)




ภาพถ่ายมั่วๆ บนรถไฟที่กำลังวิ่ง
สวยแบบเบลอๆ (เหมือนสติคนถ่ายในตอนนี้)

แป้งหินร่ำนางลอย: ประซะ ก่อนละลายเพราะความร้อน

Rating:★★★★★
Category:Other
ใกล้สงกรานต์แล้ว ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ก็เลยจัดมุมช็อปปิ้งข้าวของสำหรับเทศกาลเย็นฉ่ำ
สาวนักช็อปอย่างดิฉันเตร่เข้าไปดูแล้วพบ "แป้งหินร่ำ" ตั้งอยู่สองยี่ห้อ

เปิดฝาดูพบแป้งคล้ายดินสอพองอัดอยู่เต็มกระปุก เลือกจากความหอมที่ถูกใจ ก็เลือก "แป้งหินร่ำนางลอย" (๑๒ บาท) กลับมา

ตกเย็น อาบน้ำให้สบายตัวแล้วก็หยิบเสื้อคอกระเช้ามาใส่ ละลายแป้งกับน้ำ แล้วประไปตามเนื้อตัวหน้าตา แค่นี้ก็ทั้งเย็น ชื่นใจด้วยกรุ่นดอกไม้ไทยหอมเย็นๆ อย่างมะลิ ชมนาด (ขอโทษที่จมูกไม่ดีพอ แยกกลิ่นไม่ออกว่ามีดอกอะไรบ้าง)

นอกจากความหอมเด่น เย็นใจแล้ว แป้งเขาเนื้อละเอียดจริง ใครร้อนจนผดขึ้นก็ลองหาซื้อมาใช้ดู จะพบว่าเย็นสบายใจดีนักแล

ใต้ฟ้าเดียวกัน


พบว่าเป็นอารมณ์ที่ชอบที่สุึด

ในความรู้สึกส่วนตัว ดิฉันเห็นว่าท้องฟ้าที่สุราษฎร์ฯ สวยเสมอ ทั้งเวลา เช้า-สาย-บ่าย-เย็น และกลางคืน (เห็นดาวชัดพอๆ กับในป่าแก่งกรุง-สุราษฎร์ฯ เหมือนกันเลย ขอบอก)

เมื่อวานไปนั่งที่หัวท่า (ท่าน้ำ ริมแม่น้ำตาปี หน้าบ้านยาย) เลยหกโมงไปนิดนึง
วันนี้พระอาทิตย์ไม่ได้เป็นไข่แดง แต่ก็ทำให้ฟ้าสวยแปลก ไม่ซ้ำกับทุกวัน

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

ลับเฉพาะ วัยสาว-วัยใส (ผู้ชายห้ามอ่าน)

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Teens
Author:Marlin S. Potash, Laura Potash Fruitman
หนังสือเล่มนี้แปลมาจาก Am I Weird or Is This Norman? เขียนโดย Marlin S. Potash, Laura Potash Fruitman with Lisa Suaaman แปลโดย ทิวาลี

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นคู่แม่-ลูก ตัวแม่เป็นนักจิตบำบัด ส่วนลูกสาวเป็นเด็กสาวเจ้าของประสบการณ์โชกโชนประสาเด็กอเมริกันวัยทีนทั่วไป ที่จะมีความกดดันจากการเรียน เดต และการหย่าร้างของพ่อแม่ ส่วนคนช่วยเขียนเองก็เป็นคอลัมนิสต์คอลัมน์ปรึกษาปัญหาหัวใจและความสัมพันธ์ ทั้งสามจึงเป็นส่วนผสมที่ดูกลมกล่อม ลงตัวดี

ผู้ใหญ่อย่างเราคงซึ้งกันดีว่าชีวิตวัยทีนนั้นออกจะป่วนอยู่ไม่น้อย จากความเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งที่เกิด ทั้งพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม เราผ่านความสับสนในตอนนั้นมาไ้ด้โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องคุม ไม่ต้องสอนอะไรมาก และโดยที่เราไม่กลายเป็นเด็กมีปัญหาไปเสียก่อนนี่ ดิฉันว่าเป็นบุญเก่ามีส่วนไม่น้อย

แต่วัยรุ่นอเมริกันไม่จำเป็นต้องพึ่งบุญเก่าเหมือนเรา เพราะเขาได้อ่านหนังสือเล่มนี้

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นสำหรับเด็กวัยรุ่น จึงใช้การอธิบายด้วยศัพท์แสงและภาษาที่เข้าใจง่าย (โจ๋ว่างั้น) ด้วยวัตถุประสงค์ให้เด็กสาวๆ มีความเข้าใจในตัวเอง และในความสัมพันธ์ของตัวเองกับโลกรอบตัวง่ายขึ้น อย่างถูกต้องมากขึ้น พร้อมกับให้คำแนะนำในการวางตัวให้เหมาะสม ถูกควร เพื่อให้เด็กได้ใช้ชีวิตอย่างเชื่อมั่นในตัวเอง ให้เกียรติตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็ให้เกียรติและเคารพเหตุผลของผู้อื่น สไตล์อเมริกัน (จ๋า)

ดิฉันเจอหนังสือเล่มนี้ในกระบะลดราคาของสำนักพิมพ์สารคดี ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่กำลังจัดอยู่นี่แหละ อ่านแล้วรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แค่หนังสือเพศศึกษาสำหรับวัยรุ่น (หญิง) แต่หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือน “เพื่อนของผู้หญิง” (ทุกวัยเลยด้วย) เพราะมันเป็นการสอนเรื่องหลายเรื่องที่ครูไม่สอน พ่อแม่ก็ไม่รู้จะสอนยังไง ตอบทุกคำถามที่เด็กสงสัย ตั้งแต่เรื่องถ้าไปหลงรักผู้ชายเข้าแล้วจะทำไงดี วิธีจีบหนุ่ม การวางตัวระหว่างออกเดต เป็นแฟนกันแล้วจะทำตัวยังไงดี จะทำยังไงถ้ามีคนจ้องจะแย่งแฟนเรา ไปจนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเลิกกับแฟน

รวมทั้งเรื่องที่คนไทยจะสอนเด็กน้อยมากๆ (บางคนไม่สอนเลย เพราะแม่เองก็ไม่รู้) เช่น เซ็กซ์เริ่มต้นอย่างไร จูบมีกี่แบบ Orgasm หรือจุดสุดยอด (มันเป็นยังไง จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่) การช่วยตัวเอง (คืออะไร ทำยังไง ) เซ็กซ์ทางประตูหลัง หญิงรักหญิง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การคุมกำเนิดแบบต่างๆ การป้องกันตัวจากการข่มขืน

ที่ได้ใจเต็มๆ คือในหนังสือเล่มนี้เปิดใจกับเด็กขนาดมีแบบทดสอบความพร้อมจะมีเซ็กซ์หรือยัง (ถ้ายังไม่พร้อมจะทำอย่างไร ถ้ายังไม่อยาก จะทำอย่างไร) ตัวเองเป็นหญิงรักหญิงหรือไม่ และควรจะเปิดเผยไหม เมื่อไหร่ดี และควรจะเปิดอย่างไร แถลงข่าวเลยดีไหม

นอกจากสอนให้เด็กรู้เรื่องชีวิตในมิติสุดสวิงริงโก้อย่างเซ็กซ์ เขาก็สอนให้เด็กรู้จักร่างกายตัวเองอย่างดี ทั้งระบบการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ ประจำเดือน การใช้ผ้าอนามัยแบบต่างๆ กลิ่น การดูแลสุขภาพ และแน่นอนที่สุด เรื่องการจดจ่อในการควบคุมน้ำหนัก (ซึ่งมีส่วนทำลายสุขภาพของเด็ก และชะงักการเติบโตของร่างกายได้อย่างมีนัยยะสำคัญ)

จิตใจก็มีส่วนสำคัญ เวลาผู้ใหญ่มองวัยรุ่นอาจมองด้วยความอิจฉาที่เด็กพวกนี้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ต้องทำงาน ใช้เงินอย่างเดียว วันๆ ก็ได้แต่เดินสยาม กรี๊ดดารา เล่นเกมกันไป ลืมซะงั้นว่าตอนตัวเองเป็นวัยรุ่นน่ะ ใช้ชีวิต under pressure ขนาดไหน ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องสังคม เพื่อไม่ให้เด็กจัดการกับอารมณ์ ความเครียดและความกดดันไม่เป็น จนกลายเป็นผู้ใหญ่ขี้วีน (เยี่ยงดิฉันเป็นต้น) หนังสือเล่มนี้เขาก็ได้ให้วิธีคลายความกดดัน และสอนให้เห็นคุณค่าของตัวเอง มองโลกในแง่ดี และการรู้จักปล่อยวาง

สิ่งสำคัญที่เขาไม่ลืมสอนก็คือ การเป็นเพื่อน และการเป็นลูก เป็นพ่อน้อง เป็นญาติที่ดี ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างแม่ก็สอนไม่หมด (และสิ่งที่แม่ๆ สอนมักจะเป็นการห้ามไม่ให้ทำ สั่งไม่ให้ทำ โดยไม่มีเหตุผลประกอบว่า ทำไม ทำไม และทำไม-ซึ่งทำให้เด็กๆ แอนตี้ซะมากกว่าจะยอมรับโดยดี-จิงป่ะ)


ไม่ได้เป็นเฟมินิสต์ แต่ดิฉันรู้สึกยินดีจังเลย ที่ผู้หญิงเรามีโอกาสได้อ่านหนังสือที่เขียนขึ้นอย่างเข้าใจหัวอกเดียวกันอย่างนี้ ใครมีลูก (สาว) ซื้อให้ลูก ใครมีหลาน (สาว) ซื้อให้หลานเถอะ (อย่าลืมแอบอ่านด้วยล่ะ) คุ้มชัวร์!

ก็หนังสือเล่มนี้กำัลังลดครึ่งราคาอยู่ที่บูธสำนักพิมพ์สารคดี ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ไปอุดหนุนกันได้ถึงวันจันทร์ที่ ๗ เมษายนนี้จ้า