วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

ชีวิตที่มีจุดหมาย



นักธุรกิจหนุ่ม
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

ภาพ : น้ำส้ม







วันนี้เข้าไปดูอัลบั้มนี้ http://pbaonline.multiply.com/photos/album/97/97
มีรูปนึงที่พี่เจ้าของบ้านบอกว่าถ้าได้ทำหนังสือของตัวเอง เขาจะใช้เป็นปก
..เป็นรูปการย่างก้าวของสาวในชุดกิโมโน

อิฉันโม้ให้พี่เจ้าของบล็อกฟังว่าตัวเองมีรูปเท้าคนกำลังเดินรูปนึง ชอบมากๆ ถ่ายที่สนามบินสุวรรณภูมิ

พี่เขาบอกสั้นๆ "เอามาดูบ้าง"
ก็เลยไปค้นมาให้ดูฮะ

...แถมให้อีก ๒-๓ รูปละกันนะฮะ

^_^


หมายเหตุ :
น้ำส้ม=Canon A400
คุณมาโนช=LG KG200
สมเกียรติซัง=Nikon P50

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

ลับเฉพาะคนรู้จัย



จะเรียกให้หันมาถ่ายดีๆ ก็ไม่ได้
T-T



20 มีนาคม 2552

รูปเดียวที่เป็นพยานการไปเยือนเกาะสมุยในวันอากาศดี
บนทางเดินในเมลาตี สมุย
สีสวยมากๆ ประสิทธิิภาพสมเป็นกล้องไฮโซของช่างภาพมืออาชีพ

แต่ว่าพี่หมีคระ ถ้าเรียกกันให้หันมาทำหน้าดีๆ ให้ถ่าย
มันจะลำบากมากไหมคระ?

T-T

(ทำไมไม่มีใครถ่ายรูปดีๆ ให้เรามั่งเลย)

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

ร้อนจนน่าเห็นใจ






ศุกร์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๒

มันร้อนจนน่าเห็นใจ
แต่แอบอิจฉาเล็กๆ ฮะ

เรื่องหมาหมา : ร้อนจนน้องหมาสลบ



เดี๋ยวฝนก็ตกแล้ว





เสาร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๒


ยามบ่ายกลางหน้าร้อนอันแสนร้อน มีนัดกับหมอฟันมือเบา
จะเบี้ยวก็ไม่ได้ นัดคราวนี้ต้องรอหมอตั้งสองเดือน
ความร้อนเพิ่มความเครียด แต่ยังไงก็ต้องไป

เสร็จจากหมอ เดินตัวเบาเหมือนปลดเครียดทิ้งไป
เจอน้องหมานอนสลบไสลไม่สมประดีในท่าก้นนาบกระจก

โถ..สงสัยจะร้อนจนสลบ
แล้วที่ต้องเอาก้นนาบกระจกก็เพราะมันเย็นสบายก้นดีน่ะซี






วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

ของขวัญวันเกิด (ระลอกหลัง)



ไม่ได้มีแค่การ์ด แต่มีเข็มกลัดมะม่วงจังด้วย
^_^


วันเกิดผ่านไปหลายวันแล้ว

แต่ยังมีของขวัญวันเิกิดที่อยากจะอวดอีก ๓ ชิ้น

ชิ้นแรก ได้เมื่อวันแรกที่กลับไปทำงาน จากหัวหน้า
ชิ้นที่สอง ได้เมื่อวันกลับไปเรียนภาษาญี่ปุ่นคอร์สใหม่วันแรก จากเพื่อนสาว
ชิ้นที่สาม ได้เมื่อวานซืนนี้ จากบ้านทะเล

ขอบคุณทุกคนเลย ที่อุตส่าห์เตรียมของขวัญวันเกิดไว้ให้

^_^


เรดาร์แมว : หลงรักแมวจมูกด่าง



จมูกก็ด่าง
ไม่รักได้ไง?



ศุกร์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๒

ไปทำงานในฟาร์มบอนไซ
พันธุ์ไม้ที่เขานำมาทำบอนไซส่วนใหญ่เป็นไม้ชอบแดด
แล้วเราก็ไปถึงกันสิบโมงกว่า มันก็จะร้อน ยังดีที่มีลม
และมีแมว

แม่แมวจมูกด่างตัวนี้เป็นแมวประจำฟาร์ม
พี่ที่ฟาร์มเล่าว่าเขามาของเขาเอง และตอนนี้เขากำลังมีเจ้าตัวน้อยหลายๆ ตัวอยู่ในพุงเต่งๆ

อีกไม่นานเจ้าตัวน้อยพวกนี้ก็คงจะออกมาเพ่นพ่าน
ระวังพิตบูลตัวนั้นให้ดีละกันนะ แม่เหมียว

ร้อนจนโลกเอียง



แว่นกันแดดกันยูวี 400% ยังเอาไม่อยู่




ศุกร์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๒

เก็บตัวหนาวอยู่ในออฟฟิศมาตลอดอาทิตย์
วันนี้ออกมาข้างนอก (ความจริงคือบ้านนอก)

รู้สึกร้อนจนปวดหัว
ตัวเอียง...เพราะความมึนส์






วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก I

Rating:★★★
Category:Other


(ซุบซิบกันก่อน)
(อ่านเอกสารประชาสัมพันธ์เครื่องสำอางยี่ห้อนึงแล้วตะลึงพรึงเพริดมั่ก)
(ทนไม่ไหว)
(ต้องเอามาบอกต่อ)
(แต่เนื่องจากรู้ว่าแฟนๆ เห็นตัวหนังสือมากๆ แล้วมึน)
(ฉะนั้น)
(จะจับใจความสำคัญให้นะ)

ความจริง 10 ข้อเกี่ยวกับมาสคารา

1.มาสคาราทุกรุ่นไม่ได้ถูกออกแบบให้มีคุณสมบัติเหมือนกันหรือทัดเทียมกัน คือเพื่อทวีความยาวถึงขีดสุด เพิ่มความหนาแก่ขนตา พร้อมแยกขนตาเรียงเส้นได้อย่างชัดเจนเต็มพิกัด เหมือนๆ กัน
(ดังนั้น คุณต้องซื้อมาสคาราสักสองสามหลอด สำหรับใช้ในวันที่ต้องการวัตถุประสงค์ต่างกัน)

2.ขนตาที่ปัดให้งอนยาวให้ความรู้สึกอ่อนหวาน สมหญิง ในขณะที่ขนตาหนาเป็นแพจะเปลี่ยนคุณเป็น “ลูกแมวยั่วสวาท”
(.....นะ)

3.มาสคาราแบบสีอาจทำให้คุณสนุกสนานกับการแต่งหน้า แต่ถ้าต้องการบริหารเสน่ห์ต้องมาสคาราสีดำเท่านั้น ยิ่งดำเข้ม ลึกล้ำเท่าไหร่ยิ่งดี
(....อืมม์)

4.ขนตางอนสวยฉ่ำไม่ได้เสร็จกันง่ายๆ ในครึ่งนาที แทนที่จะปัดขนตาแบบลวกๆ สองครั้งเสร็จ ก็ให้ใช้เวลามากขึ้นอีกหน่อย เพื่อสร้างความสมบูรณ์แบบ จงปัดขนตาอย่างน้อย 5 ครั้ง เพื่อสร้างสรรค์ขนตาสุดเซ็กซี่ของคุณเอง
(ต้องตื่นเช้าขึ้นซีนะ)

5.ทริกพิเศษของเมคอัพอาร์ติสดังคือ “ปัดนานสองนาที” ลองปัด.....Super Black Long Lash Mascara ไปเรื่อยๆ ข้างละสองนาที คุณจะพบกับสุดยอดแห่งความยาว
(ทันตแพทย์อ่านแล้วคงอยากจะเรียกร้องให้คนไข้แปรงฟันนานครั้งละ 2 นาทีมั่งนะฮะ)

6. หวีสางขนตาจะดึงขนตา ทำให้รากขนตาอ่อน หลุบตก และร่วงได้ในที่สุด ถ้าต้องการให้ขนตาแผ่ตัวสวย ลองใช้ ..........Super Black Full Mascara
(...นะฮะ)

7.การออกแบบแปรงปัดมาสคาราถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แปรงปัดของ................แต่ละรุ่นถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อให้ปัดขนตาได้ถึงขีดสุด ไม่ว่าจะเป็นการต่อความยาว ดัดขนตาให้โค้งงอน เพิ่มความหนา หรือแยกขนตาให้แผ่ตัวสวย
(ก็เลือกซื้อให้ถูกใจละกันนะฮะ)

8. ขนาดของก้านปัดก็ส่งผลต่อการสร้างความแตกต่างเช่นกัน ก้านปัดที่เรียวเล็กจะทำให้ถือง่าย ปัดสะดวก ควบคุมได้ดี และปัดได้อย่างทั่วถึง แม้กระทั่งบริเวณที่เข้าถึงยากอย่างหัวตาและขนตาล่าง
(....งืมมม)

9. อย่ากระแทกก้านปัดเข้า-ออกกับหลอดบรรจุภัณฑ์บ่อยๆ เพราะนั่นเท่ากับทำให้มีอากาศลงไปในหลอดมากขึ้น ทำให้มาสคาราแห้งคาหลอดเร็วขึ้น จงเปลี่ยนมาสคาราทุก 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่า คุณกำลังใช้มาสคาราที่มีความสดใหม่ ทรงประสิทธิภาพ
(ถ้ามีหลายๆ รุ่น เพื่อวัตถุประสงค์หลายๆ แบบก็ต้องเปลี่ยนทั้งหมดชิมิ?)

10.ลงมาสคาราตรงโคนให้มากขึ้น ปัดตรงปลายแต่น้อย ถ้าต้องการขนตาเส้นหนา ดูมีน้ำหนัก มาสคาราบริเวณโคนขนตาจะช่วยก่อผลลัพธ์แบบอายไลเนอร์เน้นรูปดวงตา ในขณะเดียวกัน หากมีมาสคาราเกาะตัวที่ปลายขนตามากเกินไปจะทำให้ขนตาหนัก และหลุบตกได้
(งืมมมมม...คิดถึงขั้นตอนการล้างมาสคาราให้เกลี้ยงแล้วเหนื่อยจังฮะ)




(เห็นยังฮะ จะแปลงกายเป็นลูกแมวยั่วสวาททั้งทีเนี่ย ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะฮะ)



วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

คิดถึงตา


วันก่อนคุยกะน้าเต๋า

ชวนน้าเต๋าไปแอ่วมะละแหม่ง

แล้วก็นึกถึงตาขึ้นมา

โทรไปถามแม่ว่ามอญสายตา มาจากไหน แม่ว่าตาเป็นมอญสายพระประแดง สมุทรปราการ

ก็หาข้อมูลเพิ่มเติม หาไปหามา ก็เจอบทความของนักเขียนคนโปรด

ท่านเขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2529 ได้มาจาก http://www.monstudies.com/show_content.php?topic_id=117&main_menu_id=1

ส่วนภาพตัวอย่างการเกล้ามวยแบบสาวมอญ ได้มาจาก
http://blogazine.prachatai.com/user/ong/post/1478
(เป็นบล็อกที่รวบรวมเกร็ดน่ารู้ซึ่งน่าสนใจมากๆ ของชนชาติมอญไว้เยอะเลย)


--------------------------------------------------------------------


เหตุที่มอญอพยพ


ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช



จัดแจงแต่งกายพลายชุมพล
แปลงตนเป็นสมิงมอญใหม่

           อย่าเพิ่งเอะอะไปครับ ผมยังไม่ถึงขนาดอยู่ดี ๆ ก็ร้องเพลงมอญดูดาวขึ้นมาเฉย ๆ แต่ผมมีเหตุที่จะต้องร้อง เพราะมีบางเรื่องที่อยากจะเขียนเกี่ยวกับมอญอพยพไปปางก่อน ซึ่งออกจะเป็นวิชาการนิด ๆ
           ต้นเหตุมีอยู่ว่า มีท่านที่เคารพของผมสองท่าน เอาหนังสือมาให้ผมท่านละเล่ม เรื่องต่างกัน แต่บังเอิญหนังสือสองเล่มนั้นเป็นหนังสือที่สยามสมาคมพิมพ์ขึ้น
           เล่มแรกนั้น เป็นเรื่องราชทูตไทย ไปเจริญทางพระราชไมตรี ยังราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ประเทศฝรั่งเศล ในสมัยพระนารายณ์ กรุงศรีอยุธยาเมื่อ 300 ปีมาแล้ว
          และอีกเล่มหนึ่ง เป็นการรวบรวมบทความที่เคยพิมพ์ ในวารสารของสยามสมาคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2456 จนถึง พ.ศ. 2516 มีชื่อว่า มอญ อันเป็นชนชาติที่เคยอยู่ ในประเทศไทย และอพยพกลับเข้ามาอีก ในระยะหลัง
          ผมยังอ่านหนังสือเล่มนี้ ไม่ละเอียด แต่ได้มาอ่านบทวิจารณ์ของคุณวิน เซนต์บารนส์ ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ผู้วิจารณ์ได้เขียนว่า ไม่มีใครทราบว่า เพราะเหตุใด มอญที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทย จึงถูกต้อนรับอย่างดีกว่าชนชาติอื่น ๆ ที่อพยพเข้ามาอยู่ ในประเทศไทย และสามารถเข้ากับทางราชการไทย และสังคมไทยได้เป็นอย่างดี และโดยรวดเร็ว
          ครั้งแรกที่มอญอพยพเข้ามาอยู่ ในเมืองไทย เป็นจำนวนมาก ก็คือ ในแผ่นดินพระนเรศวรเป็นเจ้า
         ไม่มีปัญหา ที่พระนเรศวรเป็นเจ้า ทรงพระกรุณามอญเป็นพิเศษ เพราะตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อยู่ในพม่าก็ได้ทรงรู้จักกับมอญในพม่าใต้ พระมหาเถรคันฉ่อง ที่ได้ถวายพระพรเตือนว่า พม่าจะคิดร้ายต่อพระองค์ก็เป็นพระมอญ นอกจากนั้น ยังมีมอญที่เคารพเลื่อมใส ในพระนเรศวร เป็นจำนวนมากมาย ในระหว่างที่ทรงทำสงครามกับพม่า ก็ปรากฏว่าเมืองมอญ หรือพม่าใต้นั้นอยู่ใต้พระราชอำนาจ
          มอญที่เข้ามา ในรัชกาลพระนเรศวร จึงเป็นมอญที่โดยเสด็จเข้ามา และมอญที่ตามเข้ามาภายหลัง เพื่อหมายพึ่งพระบารมี
         พระนเรศวรเป็นเจ้า จึงทรงพระกรุณาแก่มอญพวกนี้มาก โปรดให้มีที่ดินในหัวเมืองต่าง ๆ เป็นที่ทำมาหากิน และทรงตั้งขุนนางมอญขึ้น ให้ปกครองกันเอง และควบคุมกันเป็นหมวดหมู่ เพื่อใช้ในราชการศึก มอญพวกนี้ จึงมีความจงรักภักดี ต่อพระนเรศวรเจ้าเป็นพิเศษ เป็นเหตุให้ เข้ากับทรงราชการไทย และสังคมไทยได้อย่างดี และรวดเร็วยิ่งกว่าชนชาติอื่น ๆ ซึ่งเข้ามาในประเทศไทย ด้วยความสมัครใจ หรือถูกกวาดต้อนเข้ามาเป็นเชลยก็ตาม

         ความ ภักดีของมอญต่อพระนเรศวร ทำให้ทรงสามารถเดินทัพผ่านพม่าใต้ได้สะดวก และ มอญ คงจะได้รายงานความเคลื่อนไหว ของพม่า ให้ไทยได้ทราบทันเหตุการณ์อยู่เสมอ จึงนับได้ว่า มอญ มีความชอบในราชการ เมื่อรัชกาลพระนเรศวรเป็นเจ้า

           "มอญ"สมัยนั้นเห็นจะเรียกได้ว่า "มอญเก่า" เพราะอพยพเข้ามาเป็นจำนวนมาก เป็นครั้งแรก และคงจะได้ตั้งรกรากทำมาหากิน แผ่กระจายทั่วไปในประเทศไทย และเมื่อก่อนจะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ก็คงจะได้เข้ากับสังคมได้สนิทสนมแล้ว ถึงขนาดแต่งงานกันได้ ไม่มีข้อรังเกียจทางเชื้อชาติ
            ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้มีมอญอพยพเข้ามาพึ่งพระบารมีอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นจำนวนไม่น้อย เพราะในตอนนั้น มอญไม่ยอมรับอำนาจพม่าที่มีอยู่เหนือตน จับอาวุธเข้าสู้รับกับพม่าสู้พม่า ไม่ได้จึงพากันเข้ามาพึ่งพระบารมี
           สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรีโปรด ฯ ให้รับมอญอพยพรุ่นนี้ โดยด ีเช่นเดียวกับสมัยพระนเรศวรเป็นเจ้า พระราชทานที่ดินให้ทำกินเป็นหลักแหล่ง และโปรดฯ ให้ตั้งขุนนางมอญขึ้นปกครองมอญด้วยกันอย่างที่เคยมา
           ตำแหน่งขุนนางมอญที่เป็นใหญ่ที่สุด คือ พระมหาโยธา ซึ่งคงจะมีมาแต่รัชกาลพระนเรศวร ตลอดมาจนถึงกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงรัชกาลที่ 5
         ขุนนางมอญ ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น มีความจงรักภักดีต่อพระมหาราชพระองค์นั้น มากที่สุด จนถึงสิ้นรัชกาล หมดพระราชอำนาจแล้ว ก็ยังประกาศความจงรักภักดีโดยเปิดเผย
          มอญรุ่นหลังที่สุด ที่อพยพเข้ามาเป็นจำนวนมากถึงสองแสนคนนั้น เข้ามาในรัชกาลที่ 2 กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งคงจะเห็นกันว่าสำคัญมากถึงกับโปรดฯ ให้จัดกองทัพออกไปรับ และนำเข้ามาใกล้กรุงเทพฯ และโปรดฯให้ตั้งรกรากอยู่เมืองปทุมธานี ซึ่งตั้งขึ้นใหม่เป็นหัวเมืองตรี (เพราะมีมอญ ไม่ใช่เพราะมีบัว) ตลอดลงมาจนถึงปากลัด ปากเกร็ด นนทบุรี ลงไปจนถึงพระประแดง และโปรดฯให้ตั้งขุนนางมอญ มีพระยามหาโยธาปกครองเช่นที่เคยมีมาแต่ก่อน

          กอง ทัพที่ไปรับมอญเที่ยวนี้จัดเป็นทัพหลวง มีสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏสมมุติวงศ์ เป็นเจ้าทัพ ในขณะนั้น มีพระชันษาเพียง 8 หรือ 9 ขวบ จะเชิญเสด็จหรืออุ้มเสด็จไปอย่างไร ก็ไม่รู้เลย เพราะนึกไม่ถึง 
         แต่ที่เป็นเกียรติแก่มอญอพยพ เป็นอย่างยิ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงพระมหากรุณาแก่มอญ ครั้งนั้น อาจเป็นเพระเหตุที่ ทรงรำลึกว่าสมเด็จพระบรมราชชนนี คือ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีนั้น ได้ทรงถือพระชาติกำเนิดมาใน ตระกูลมอญ ที่อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

        "มอญ"รุ่นนี้ คือ "มอญใหม่"
        พลายชุมพลแปลงตัวเป็นมอญใหม่ ก็คือมอญรุ่นนี้ สมิงนั้น เป็น"ภาษามอญ"แปลว่า เจ้า อย่างที่ผมได้เขียนมาแล้ว
       กลอน ที่ผมคัดเอามาลงไว้ข้างต้นนั้น มิได้มาจากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่เป็นบทละครเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งแต่งขึ้นในรัชกาลที่ 5 ให้ละคร ของเจ้าพระยามหิทรศักดิ์ธำรงเล่
       ละครโรงนี้คนหนึ่งชื่อ หม่อมเจิม เป็นภรรยาคนหนึ่ง ของพระเจ้าพระยามหินทร์ฯ เป็นคนแรก ที่หัดให้ผมรำละคร เริ่มตั้งแต่ห่มจังหวะ ปรบขา ถองเอว กล่อมตัว จนถึงรำเพลงช้า เพลงเร็ว
       นึกขึ้นมาแล้ว ตัวผมเองก็เป็นคนโบราณเต็มที เพลงที่ร้องถึงพม่า มีอยู่ในเพลงพม่าชุดสิบสองภาษา เป็นความว่า
       ทุงเล  ทุงเล  ทีนี้จะเห่พม่าใหม่  มาอยู่เมืองไทย มาเป็นผู้ใหญ่ตีกลองยาว แค่นั้นเอง
      พม่าใหม่นั้น ผมไม่ทราบว่า เข้ามาอย่างไร เมื่อไร เห็นมีแต่ในเพลงนี้ ส่วนพม่าเก่านั้น ก็เคยรู้แต่ว่า ยกกันเข้ามาเป็นกองทัพ ไม่ได้อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่ง เข้ามาทีไร ก็เดือดร้อนกันทุกที
      อย่าว่าแต่ตัวพม่าเลยครับ ซุงพม่าพอทำท่าว่าจะเข้ามาเท่านั้น ก็เดือดร้อนกันแทบจะตั้งตัวไม่ติด
       หรือใครจะว่าไง ?

“ซอยสวนพลู”   สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ สำนักพิมพ์สยามรัฐ พ.ศ. 2529


 

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

คำคม#๒๐




"คนดีไม่เคยบอกว่าเพศไหน
ถ้าเราเจอคนดีก็โชคดีแล้ว
ก็อยากให้รักษาเอาไว้"








จากข่าวไทยรัฐออนไลน์ http://www2.thairath.co.th/content/ent/676


"นุ่น" หลงสาวหล่อ หยอดข้าวน้ำยามป่วย

ถึงแม้จะเปลี่ยนแนวหันไปเล่นดนตรีไทย แต่ดาราสาว นุ่น-สินิทธา บุญยศักดิ์ ก็ดูจะมีความสุขดีกับความรักครั้งใหม่ กับ "สาวหล่อ" ถึงขนาดว่าเมื่อเร็วๆนี้ นุ่น ป่วยหนักแฟนทอมเฝ้าข้างเตียงหยอดข้าวหยอดน้ำไม่ห่าง เมื่อถามเรื่องนี้กับ นุ่น ก็ ยอมรับ "นุ่นก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอยู่แล้ว เค้ามีน้ำใจดูแลเราตอนนอนป่วยอยู่ รพ.เค้าก็ป้อนน้ำป้อนข้าวพาเข้าห้องน้ำ ดูแลตลอดเอาใจใส่ ที่จริงนุ่นเข้า รพ.ครั้งนี้เค้าเป็นคนลากไปหาหมอ ขณะที่นุ่นไม่ยอมไปนอนเป็นปลาเค็มตากแห้งบนเตียง ไข้สูง เค้าก็ดูแล ก็ถือ ว่าชีวิตช่วงนี้แฮปปี้ดี ทั้งเรื่องงานเรื่องอะไรต่ออะไร"

การที่คบผู้หญิงด้วยกันทำให้เค้าดูแลเราได้มากกว่ามั้ย? "เรื่องความเข้าใจในอารมณ์มากกว่า อย่างเวลามีประจำเดือนเค้าจะรู้ แต่คนเราคงเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่มีทะเลาะกัน แต่อยู่กับเค้านุ่นจะเป็นป้าแก่ๆ เค้าบอกว่านุ่นหน้าตาอายุ 25 แต่ทำตัวอายุ 40 กว่า" แล้วเค้าเป็นแบบไหน? "เค้าก็เหมือนเด็ก ดูแล ห่วงใย ถ้าคนนึงอารมณ์เสีย อีกคนก็จะอารมณ์ดี คนนึงฟัง อีกคนนึงระบาย ถ้าเป็นผู้ชายอาจจะมองว่า ยัยนี่พูดมากจัง เวลาเราคุยว่าไปโน่นนี่มา หรืออะไรอาจจะไม่ตั้งใจฟัง" ตั้งแต่คบสาวหล่อคนนี้ ยังมีหนุ่มๆเข้ามามั้ย? "นุ่นไม่ค่อยได้เจอใคร เพราะถ่ายละครตลอด มีหนุ่มๆเยอะเลย ทั้ง หนุ่ม ฉัตรชัย บี้ เคน โฬม หนุ่มไก่ หนุ่มแจ๋ว (หัวเราะ)" มีหนุ่มๆบ่นเสียดายบ้างมั้ย? "ก็เรื่องของมัน (ยิ้ม)" ตอนนี้ดูแฮปปี้กว่าตอนคบหนุ่มๆซะอีก? "ไม่หรอก นุ่นคิดว่า มันเป็นจังหวะของแต่ละคนมากกว่า ไม่อยากให้เลือกเพศ เลือกข้าง ว่าจะต้องคบผู้หญิงหรือผู้ชายดีกว่า อยู่ที่นิสัยแต่ละคน คนดีไม่เคยบอกว่าเพศไหน ถ้าเราเจอคนดีก็โชคดีแล้ว ก็อยากให้รักษาเอาไว้".


จะส่งไปให้



ของ La Roche-Posay
รุ่น Anthelios XL
SPF 50+
กันยูวีเอด้วยแหละ แต่ยี่ห้อนี้มันไม่ได้ใช้ PA เหมือนของญี่ปุ่น

ทำในฝรั่งเศส




มีครีมกันแดดแบบสติ๊กจะส่งไปให้พร้อมหนังสือ
แกว่าอ้นจะใช้ไหม ถ้าอ้นจะใช้ ก็ฝากไปให้ใช้หน่้อย
ถ้าไม่ใช้ แกก็เอาไปขายเพิ่มสีสันแล้วกันนะ

แม่งเสือกเขียนไว้ว่า tester

ที่ได้มาไม่มีของเด็กว่ะเจ้
ไม่งั้นจะเอาไปให้เลใช้


แม่ศรีบางกอก : จะสาวไปถึงไหน จะสวยไปเพื่ออะไร??

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Science Fiction & Fantasy
Author:สุวรรณี สุคนธา

เห็นชื่อ ‘แม่ศรีบางกอก’ แล้วอย่าเพ่อคิดว่านี่คือนิยายพีเรียดเมโลดราม่า ‘จัด-จัด’ แบบ ‘ดงผู้ดี’ เพราะที่จริงแล้ว แม่ศรีบางกอก คือนวนิยายวิทยาศาสตร์หาอ่านยาก ของ สุวรรณี สุคนธา นักเขียนคนโปรดของอิฉันนั่นเอง

ที่บ่นว่าหาอ่านยาก เพราะได้ยินชื่อมานานแล้ว แต่หาตามแผงหนังสือเก่าๆ ไม่เจอสักที เหมือนความรักเลยนะ ยิ่งหาก็ยิ่งไม่เจอ พอวันนึงหยุดหา ดันไปเจออยู่ในแผงหนังสือลดราคาในคาร์ฟูร์ซะงั้น

อิฉันเลยสอยแม่ศรีบางกอก ฉบับปกแข็ง ของสำนักพิมพ์ดอกหญ้ามาในราคา ๓๙ บาทเท่านั้น


สุวรรณีเขียนแม่ศรีบางกอกขึ้นในปี ๒๕๑๓ หรือ ๓๙ ปีก่อน โดยเขียนถึงเรื่องราวใน พ.ศ. ๒๕๖๓ หรือ ๕๐ ปีถัดจากตอนนั้น ซึ่งเป็นอีก ๑๑ ปีต่อจากวันที่คุณกำลังอ่านรีวิวเรื่องนี้อยู่
บางกอกในอนาคตอาจดูทันสมัยศิวิไลซ์ขึ้นมากมาย แต่ยังคงอยู่ในสภาพแออัด และยังแบ่งชั้นกันชัดเจนระหว่างคนมีกะตังค์และคนจนจรจัด สภาพนี้คือสภาพเดียวกับที่สุวรรณีเห็นในวันที่เธอนั่งเขียนนิยายเรื่องนี้

ตัวเอกแสนสวยของสุวรรณีมีนามว่า สาวศรี สาวศรีเป็นสาววัยสะคราญ (อายุยังไม่ถึง ๒๐ T-T ) มีอาชีพเป็นนางแบบ และแน่นอนว่าคนสวยยุคไหนสมัยไหนไม่เคยต้องลำบาก ด้วยความพร้อมด้านรูปโฉม รูปร่าง ด้วยรสนิยมในการแต่งตัว ทำให้สาวศรีโดดเด่น ดึงดูดทั้งหนุ่มๆ และงาน ใครๆ ก็อยากได้เธอไปใส่เสื้อคอลเลกชั่นใหม่ ใครๆ ก็อยากได้เธอไปเป็นพรีเซนเตอร์ (คำนี้เป็นศัพท์สมัยเรา)

ทว่าสาวศรีก็เป็นคนเหมือนเราๆ คือมีทั้งดีและเลวอยู่ในตัว (ก้อนี่ไม่ใช่เมโลดราม่านี่จ๊ะ)

ต้องเข้าใจกันนิดนึงว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวคนสวย มันยากนะ ที่จะทำให้คนสวยเป็นคนที่เห็นแก่คนอื่นก่อนเห็นแก่ตัวเอง อย่างในกรณีของสาวศรี สาวศรีก็เห็นว่านะ ว่าคนยากคนจน คนกำลังจะตายเพราะขาดอาหารมีจริง มีทั้งในบางกอกและตามบ้านนอกคอกนา แต่จะให้เธอทำยังไง ความเอื้ออาทร อารีอารอบ มีเมตตา และรายได้ของสาวศรีจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น หรือทำให้เด็กทุกคนมีนมกินอิ่มทุกมื้อหรือก็เปล่า สาวศรีก็เลยใช้ชีวิตสบายๆ เฉิดฉายๆ ของตัวเองไปตามปกติ โดยไม่ยี่หระอะไรกับชีวิตคนที่จนกว่า

แต่ละวันสาวศรีจะตื่นขึ้นมาส่องกระจกสำรวจริ้วรอย ก่อนทำกายบริหารเพื่อรักษาทรวดทรง แล้วจึงลงมือทาครีมบำรุง และต่อต้านริ้วรอยตามจุดต่างๆ ของร่างกายอย่างประณีต พิถีพิถัน จากนั้นจึงลงมือเมคอัพ แต่งตัวตามขั้นตอน เพื่อให้งามพร้อม สมกับที่ทุกคน (รวมทั้งตัวเธอเอง) คาดหวัง เ
ธอปฏิบัติกิจนี้อย่างมีวินัยที่สุด

แต่แม้สาวศรีรักสบาย แต่เธอก็สละเวลาทำมาหากิน และเวลาของความสบายไปทำการกุศลกับเขาบ้างเหมือนกัน ไม่ใช่อะไรหรอก แค่เธออยากเป็น ‘คุณหญิง’ ตั้งแต่ยังสาวเท่านั้นเอง ในเรื่องของหัวใจ แน่นอนว่าสาวโสดอย่างสาวศรีก็เหงาในบางครั้ง แต่เธอไม่ได้เห็นว่า affection มันสำคัญกว่า asset หรอกนะ คนที่จะเคียงข้างเธอในฐานะสามี ต้องพร้อมทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ แล้วก็ต้องมีสมบัติ มากๆ ด้วย ไม่งั้นเธอก็ไม่รู้จะแต่งให้ลำบากไปทำไม

สาวศรีมีให้เลือกอยู่ ๒ หนุ่ม ทั้งสองจบ ดร. มาจากดาวพระศุกร์ (จ้ะ..อีกสิบเอ็ดปีนะจ๊ะ) คนหนึ่งหัวโบราณแล้วก็แก่อุดมการณ์หน่อย คนนี้เป็นข้าราชการ ส่วนอีกคนน่ารัก มีอารมณ์ขัน แต่ก็ศิลปินเหลือเกิน

สาวศรีกังวลว่าแต่งกับข้าราชการแล้วเขาจะโกงหลวงมาเลี้ยงเธอไหวไหม ส่วนถ้าจะแต่งกับศิลปิน ก็ไม่แน่ใจอีกว่าไร่ที่ปากช่องจะทำได้ปีละกี่ตังค์ เธอก็เลยกั๊กๆ ลังเลๆ อยู่อย่างนั้น

สามหนุ่มสาวไม่ได้รู้เลยว่า ตัวเองอยู่ภายใต้การสปายของมนุษย์ต่างดาวหนุ่มรูปงามจากดาว B63 อันไกลโพ้นที่แฝงตัวมาสืบข่าว ก่อนยกทัพมายึดโลก เพราะที่ดาวตัวเองน่ะ อยู่กันจนล้นพื้นที่แล้ว.. และไม่ต้องแปลกใจเลย ถ้าความสวยของสาวศรีจะจับตา และดูดใจได้ แม้กระทั่งมนุษย์ต่างดาว

เพราะเป็นมนุษย์ต่างดาว แกเลยไม่รู้จักคำว่า ‘แฟร์’ พี่แกลักพาสาวศรีขึ้นยานอวกาศไป ทั้งๆ ที่สาวศรีนอนอยู่ในบ้านที่มีอีกสองหนุ่มนอนอยู่ด้วยนั่นแหละ ยัยสาวศรี ซึ่งยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ดันเคลิ้มจัด คิดว่าเป็นความฝันอยู่ ก็เลยแต่งงาน กลายเป็นเมียมนุษย์ต่างดาวไปด้วยความเบลอ จนกระทั่งยานไปแลนดิ้งที่ต่างดาวนั่นแหละ เธอถึงกรี๊ดแตก

ก็อยู่ที่นั่นเธอจะทำอะไร ใครที่ไหนจะมาชมชอบเธอ เครื่องสำอางแอนไทเอจจิ้ง เครื่องประทินโฉม เมคอัพดีๆ มีใช้เหมือนในโลกไหม ไหนจะน้ำหอมกับครีมกระชับแขนขาอีกล่ะ ฯลฯ คิดแล้วมึน ประมาณว่าให้ชั้นแก่อย่างไร้ความหมายในฐานะเมียมนุษย์ต่างดาวที่นี่ ชั้นไม่ย๊อมมมมม


ในที่สุด หลังจากทำอีท่าไหนไม่รู้ สาวศรีมาปรากฏตัวที่บ้านตัวเอง สิ่งแรกที่เธอทำคือ ส่องกระจกสำรวจริ้วรอยบนใบหน้าอันงดงาม (หนึ่งในภารกิจประจำวันของสาวสวย)

สาวศรีโล่งใจที่มันยังสดใสและเต่งตึง เธอจึงไม่คิดว่าวันนี้ ที่เธอส่องกระจกอยู่นี่เป็นวันหนึ่งใน พ.ศ. ๒๖๑๓ หรืออีก ๕๐ ปี ต่อมาจากวันที่เธอยังเฉิดฉายอยู่หน้ากล้อง โดดเด่นอยู่กลางแสงไฟในเวทีแคตวอล์ก (เค้ายังไม่เรียกมันว่ารันเวย์นะจ๊ะ) แล้วก็กำลังเลือก ดร. หนุ่มจากใน ๒ คน ที่ติดพันเธออยู่

แล้วทำไมเธอถึงไม่แก่ลง หรือเธอกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปแล้วจากการมีสามีเป็นมนุษย์ต่างดาว? แต่สามีมนุษย์ต่างดาวที่กลับมาพร้อมกันกับเธอก็บอกความจริงแก่เธอ ว่ามนุษย์ดาวเขาก็มีแก่ มีเจ็บ มีตายเหมือนกัน

สาวศรีงง ทำไมเธอไม่แก่ เธอกลายเป็นสาวสวยในชุดป้าเชย (ที่มันก็แสนจะทันสมัยในยุคของเธอ) เธอไม่รู้จะทำตัวยังไง เพื่อนๆ ของเธอทำอะไรในตอนนี้ สอง ดร. ยังมีชีวิตอยู่ไหม หรือว่าตายไปแล้ว

รูปร่างของรถราที่วิ่งอยู่ข้างนอกดูอัปลักษณ์ในสายตาของเธอ บางกอกกลายเป็นเมืองน่ากลัวเมืองหนึ่งที่เธอไม่เคยรู้จัก
เธอทบทวนถึงตัวเองในอดีต เธอว่าเธอรู้ตัวว่าเป็นคนสวย ก็อยากจะบำรุงให้ตัวเองดูสวยไปอีกนานๆ เธอรู้ว่าเงินนำความสบายมาให้ เธออยากอยู่อย่างสบาย เธอก็เลยหาเงิน แล้วก็บำเรอตัวเอง พอมีเงินแล้วเธอก็อยากมีเกียรติยศ ก็เลยขวนขวายทำการกุศล ด้วยอยากจะเป็นคุณหญิงกับเขา

แต่มาวันนี้ การได้สาว ได้สวย อย่างอมตะ และจะได้อยู่อย่างสุขสบายเพราะร่ำรวยจากทอง ซึ่งในดาวของสามี มันอยู่เกลื่อนเหมือนหินเหมือนกรวด ..สาวศรีกลับรู้สึกเบื่อ
ไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไรขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ในพลันนั้นเธอเปิดหน้าต่างบ้านวิมานลอยฟ้าของเธอ แล้วกระโดดลงไป



แต่เธอไม่ตาย

ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญถึงความแก่ และความตายอยู่อย่างนั้นแหละ







บันทึก
• ไม่แน่ใจว่าปี ๒๕๑๓ คอนโดมีเนียมแห่งแรกในบางกอกเกิดขึ้นหรือยัง ถ้ามีแล้ว สุวรรณีน่าจะเขียนให้สาวศรีใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดมีเนียม ไม่ใช่บนบ้านเสาสูงปรี๊ด (เพราะที่ดินมีราคาแพง) เช่นนี้
• โรงแรมดุสิตธานี ตึกที่สูงที่สุด (บ้างก็ว่า ๒๒ ชั้น บ้างก็ว่า ๒๓ ชั้น) ในประเทศไทยยุคนั้นเปิดในปีนี้ ๒๕๑๓ ปีเดียวกับที่สุวรรณี สุคนธา เขียน แม่หญิงบางกอก
• นวนิยายขนาดสั้นเล่มนี้ แรกอ่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องประโลมโลกย์ อ่านไปเพลินๆ ฆ่าเวลา แต่ไม่ใช่หรอก ถ้าลองอ่านแบบวิเคราะห์สังคมนะ จะรู้เลยว่าสุวรรณีทั้งเสียดสี เยาะเย้ย และถากถางผู้คนที่รู้ปัญหา แต่ทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นในยุคนั้นแรงๆ ตลอดเวลา ไหนจะรัฐบาลที่มีแต่ปัญหาคอร์รัปชั่น
• คนที่โดนสุวรรณี ‘ถาก’ เข้าเต็มๆ ก็คือสาวๆ ยุคนั้นน่ะแหละ กะจะสวยโดยไม่สนใจโลกหรือไงจ๊ะ
• ๓๙ ปีผ่านไปแล้ว รู้สึกว่าสาวๆ ยังไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่เลยนะคะ คุณสุวรรณี
• ชอบสำนวนคุณค่ะ ขอบคุณที่เขียนไว้ให้อิฉันอ่านนะคะ



"รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน"



ที่เป็นคนสั่งให้แปะสติ๊กเกอร์ใหม่ทับสติ๊กเกอร์เดิม?






(อาทิตย์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๒)

ชอบแบบนี้มากกว่า "รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน"
เพราะอิฉันเป็นคนจ่ายภาษี พอเขาประกาศอย่างนี้
อิฉันว่า อิฉันก็มีสิทธิ์ขึ้นฟรีโดยไม่ต้องรู้สึกสำนึกบุญคุณใคร

วันนี้ออกจากบ้านจะไปทำธุระแถวเอกมัย
พอดีเจอรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน สาย 23 (โชคดีจริง)
ไปถึง ปรากฏว่าไอ้ธุระนั่นต้องงด เขายกเลิกโดยไม่บอก
เคืองนิดๆ แต่อดคิดไม่ได้ว่า เสือกไม่โทรมาคอนเฟิร์มเอง
(ห่า งั้นกูต้องโทรมาคอนเฟิร์มทุกครั้งเลยสิ?)

ดีนะ ขากลับ รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน สาย 25 ผ่านมาพอดี
ไป-กลับฟรีอย่างนี้ แวะช็อปช่วยชาติที่ตลาดปากซอยดีกั่ว

อิ อิ

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

ME YOU THEM : 1 เมีย 3 ผัว ครอบครัวพิลึก

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Comedy

ME YOU THEM (2000) หรือ Eu Tu Eles ในภาษาโปรตุกีส เล่าถึงชีวิตผู้หญิงหนึ่งคนที่มีสามี 3 คน และลูกอีก 3 อยู่ใต้หลังคาเดียวกัน

เดือนบอกว่าดูแล้วนึกถึงอิฉัน เลยส่งมาให้ดูบ้าง อิฉันเองก็สงสัยว่า อะไรนะทำให้เดือนนึกถึงเรา ดูจบแล้วก็ยังไม่รู้อยู่ดี เป็นได้ว่าอาจเป็นเพราะความมีเสน่ห์ทางเพศ?(จริงหรอ?? เรายังหา ผ ไม่ได้สักคนเลยนะ-อิ อิ) หรือเพราะรูปลักษณ์ที่สวยแบบบ้านๆ? (..อะนะ อย่างน้อยก็ยังสวย) หรือจะเป็นเพราะความบึกบึน แข็งแรงเหมือนแม่นางเอกในเรื่อง?...อะไรก็ตาม แต่คงไม่ใช่ความเป็นแม่พันธุ์—ฮา

ผู้ชายคนนึงจะมี ม 2 หรือ 3 อยู่ในบ้านเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ผู้หญิงที่มี ผ ถึง 3 แถมแต่ละคนยังปรองดองสามัคคีไม่มีขัดแย้งกันอย่างนี้ มันน่าสนใจแท้ๆ ว่าเธอทำได้ไง

หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังอีโรติก แต่เป็นคอมมิดี้ดราม่า มันจึงไม่ใช่การใช้เสน่ห์ยั่วยวนทางเพศ หรือบทสวาทร้อนเร่าถึงกึ๋นที่ดึงดูดผู้ชายทั้ง 3 ให้มาโคจรรอบตัวผู้หญิงคนนี้ แต่ถ้าบอกตอนนี้ว่าคือ ความรัก ความผูกพัน และพึ่งพาอาศัย ก็คงจะนึกภาพกันไม่ออกอีก ว่า 3 ความเนี้ยจะใช้ผูกผู้ชายไว้กับตัวได้ไง..อย่างนี้ต้องเล่าคร่าวๆ


เรื่องมันเกิดที่บ้านนอกของบราซิล Darlene (Regina Casé) เป็นสาวบราซิลเชื้อสายอินเดียน (ชาวพื้นเมืองของบราซิล) รูปโฉมของเจ้าหล่อนจึงไม่ใช่ความสวยสะคราญ อ้อนแอ้น แต่คือหน้าตาบ้านๆ ในรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศและการทำงานหนัก หนังเริ่มเล่าก็ตอนเธอท้องโตเสียแล้ว ตอนนั้นฟ้าเพิ่งสาง เธอเก็บของ ล่ำลาแม่ นั่งลาออกไปในชุดแต่งงาน ไปรออยู่ที่โบสถ์ แต่รอจนสายก็ไม่เห็นมีใครมาแต่งงานด้วย แต่ออกจากบ้านมาแล้ว จะบากหน้ากลับไปได้ไง เธอเลยโบกรถทั้งชุดแต่งงานนั่นแหละ

3 ปีต่อมา ดาร์ลีนาจึงกลับมาพร้อมลูกชายวันกำลังน่ารัก แวะทัก Osias (Lima Duarte) เพื่อนบ้านซึ่งกำลังสร้างบ้านด้วยดิน ว่าบ้านสวย ก่อนจะไปบ้านตัวเอง แล้วจึงพบว่า แม่เสียชีวิตแล้ว และก่อนที่จะกระเตงลูกกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมนั่นเองที่เธอได้รับข้อเสนอจากโอซิแอสว่า บ้านที่ว่าสวยน่ะ อยากได้ไหม ถ้าอยากได้ มาแต่งงานกันสิ

แรกเลยดาร์ลีนาก็งง แต่ซิงเกิลมอมที่ไม่มีที่ไปอย่างเธอ อยู่ดีๆ มีผู้ชายหน้าตาไม่น่ารังเกียจ (แก่นิดนึง) แถมมีบ้านมาขอแต่งงาน เธอก็เซย์เยส เพื่อที่จะได้รู้ว่า บ้านน่ะ สุดท้ายแล้วมันไม่ได้เป็นของเธอหรอก เพราะเมื่อเธอแต่งกับเขา เธอก็เป็นของเขา และบ้านของเธอ ก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่ดี

ชีวิตที่มี ผ เป็นตัวเป็นตนไม่หวานชื่นและสบายอย่างที่คิด เพราะ ผ ไม่ค่อยทำการบ้าน ไม่แสดงความพิสวาสในตัวเธอเอาเสียเลย เขาหลอกเธอมาแต่งเป็นเมียทาสมากกว่า งานรับจ้างในไร่คนอื่นก็ต้องทำ เลี้ยงแพะให้ผัวก็ต้องทำ ไหนจะงานบ้าน แล้วงานหนักอย่างเดินไกลๆ ไปตักน้ำ หาฟืนอะไรอย่างนี้ ก็ต้องช่วยกันทำกับลูกชาย

ส่วนผัว.. วันๆ ก็ได้แต่นอนเปล ฟังเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ ปล่อยแพะหากินเอง

แล้วดาร์ลีนาผู้ว้าเหว่ ไร้รักจาก ผ ก็มี ‘อะไรๆ’ กับหนุ่มผิวดำผู้มาธุระเรื่องแพะของผัว จนป่องขึ้นมา แล้วก็คลอดลูกออกมาเป็นเด็กตัวดำ

ราเชล น้องสาวผัวกระแนะกระแหนเธอเรื่องสีผิวของลูก (แน่ล่ะ แม่มันไม่ดำ พี่ชายตัวเองก็ไม่ดำ แล้วเด็กมันดำเหมือนใคร) ดาร์ลีนาย้อนว่า “ลูกตัวดำเพราะแม่ทำงานหนักไม่มีใครช่วย” (อิฉันฟังแล้วทั้งเห็นใจทั้งสะใจเลยเชียว)


พายุลูกต่อมาที่กระหน่ำใส่ชีวิตผู้หญิงคนนี้คือ การตัดสินใจเพื่ออนาคตของลูก ดาร์ลีนาตอนนั้นทั้งเซ็ง ผ นัมเบอร์ 1 แล้วก็ไม่รู้สึกผูกพันอะไรนัก แถมทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดอยู่คนเดียว เลยตัดสินใจพาจูงลูกคนเล็ก พาลูกคนโตอยู่กับพ่อ (หน้าตาพ่อลูกคนแรกเป็นไง หนังไม่เปิดโอกาสให้เห็น) แล้วเธอก็เกือบหนีไปแล้วเชียว ยังดีที่ตัวผัวซึ่งสบายจนชินและยอมรับกับความลำบากในวันที่เมียไม่อยู่ไม่ได้ ไปตามเธอกลับมา

คนคนหนึ่งที่มีความเห็นอกเห็นใจ เอื้ออาทร และใส่ใจดูแล เป็นคนคนเดียวที่ดาร์ลีนาระบายความเศร้าหมองเพราะต้องพรากจากลูกก็คือ Zezinho (Stênio Garcia) ญาติผู้น้องของผัว ซึ่งกลายมาเป็น ผ นัมเบอร์ 2 ของดาร์ลีนา

เซซิโน่ย้ายมาอยู่บ้านของโอซิแอสเพราะถูกราเชลไล่ออกจากบ้าน โทษฐานที่มัวแต่ออกไปข้างนอก (ไปเริงรักกับดาร์ลีนา กลางแจ้ง-ริมบ่อที่หล่อนนั่งซักผ้า) จนกลับมาไม่ทันดูใจคุณยายชรา ผ นัมเบอร์ 2 นี้ออกจะมีบุคลิกเรียบร้อย เก่งการบ้านการเรียน จน ผ นัมเบอร์ 1 ประเมินว่า 'ทำไม่เป็น' ปลอดภัย ให้อยู่ใกล้นังเมียไฟแรงสูงได้
นัมเบอร์ 2 นี้นับว่าเป็นคนมีน้ำอกน้ำใจกับดาร์ลีนามาก ตั้งแต่แกมาอยู่บ้านด้วยก็ช่วยแบ่งเบาไปได้มาก ทั้งดูแลทำงานบ้าน ทำกับข้าว ซักผ้า เลี้ยงแพะ แถมยังปั่นจักรยานไปส่งข้าวเที่ยงร้อนๆ ให้เธอถึงที่ไร่เลยด้วย

แล้วลูกชายคนที่ 3 ของดาร์ลีนาก็ถือกำเนิดขึ้น เด็กคนนี้มีดวงตาสีฟ้าสวย เหมือน ผ นัมเบอร์ 2


ผ คนที่ 3 ของดาร์ลีนาชื่อ Ciro (Luiz Carlos Vasconcelos) ทั้งหนุ่ม หล่อ (มั่ก!) และหุ่นดี เธอสบตา และถูกใจสำนวนของเขาจากงานสังสรรค์ของหมู่บ้าน จากนั้นก็ได้เจออีกครั้งในไร่อ้อย ตอนนั่งรถส่งคนงานกลับมาด้วยกัน เขาว่าเขายังไม่มีที่พัก ดาร์ลีนาจึงชวนไปกินข้าวที่บ้าน (ผ นัมเบอร์ 2 เป็นคนทำ) เกือบโดน ผ นัมเบอร์ 2 กันท่าไม่ให้เข้าบ้านแล้วเชียว ดีว่าหนุ่มคนนี้มารยาทน่ารัก ไปเยือนพร้อมของติดไม้ติดมือ ผ นัมเบอร์ 1 ชอบใจ (คงกะจะขัดคอนัมเบอร์ 2 ด้วย-เคืองที่ลูกตัวเองสีตาเหมือนน้อง ว่างั้น) เลยเชิญเข้าบ้าน แถมให้ชวนให้พักด้วยกันอีก

ตกเช้า หนุ่มสาวเขาเดินตามกันไปไร่ ตาเฒ่าสองคนอยู่บ้านด้วยกัน นัมเบอร์ 2 อดริษยาไม่ไหว เริ่มเป่าหูนัมเบอร์ 1 ว่าเนี่ย เดี๋ยวชาวบ้านต้องนินทาแน่เลย นัมเบอร์ 1 ได้ยินแล้วฉุนเชียว ‘นี่บ้านฉัน ฉันจะให้ใครอยู่ก็ได้ ใครจะกล้ามานินทา’ ว่าแล้วก็สั่งให้นัมเบอร์ 2 หุงข้าวเที่ยงเผื่อนัมเบอร์ 3 แถมให้ปั่นจักรยานไปส่งข้าวให้เมียตัวเองและ ผ นัมเบอร์ 3 ด้วย (ฮา)

นัมเบอร์ 2 ปั่นจักรยานไปส่งข้าวเที่ยงให้เมียตัวเองและ ผ ใหม่อย่างร้าวรานใจ ไปถึงยังไปแอบเห็นเขาเริงรักกันกลางวันแสกๆ กลางดงอ้อยอีก (เจ้าประคู้นนน ผีสางเทวดาไม่อายไม่ว่า แต่ไม่คายหลังกันมั่งหรือไงไม่รู้สิ) เล่นเอาป่วยไปเลย


นัมเบอร์ 3 ขยันหาของมากำนัลนัมเบอร์ 1 เจ้าของบ้านเลยออกคำสั่งว่าให้อยู่ได้จนกว่าจะได้ที่อยู่ที่ดีกว่านี้ แล้วนัมเบอร์ 3 ก็อยู่อย่างสบายใจเนียนๆ จากพื้นนิสัยที่ดี รักเด็ก ทำให้เด็กๆ รักแถมยังเข้ากับนัมเบอร์ 1 ได้ดีอีก

กระนั้น เขาก็รู้สึกผิด แล้วก็แอบน้อยใจอยู่ลึกๆ เขาบอกดาร์ลีนาวันหนึ่งว่า ชีวิตนี้ไม่เคยต้องต่อคิวยาวขนาดนี้เพื่อรอผู้หญิงคนเดียว ว่าแล้วเขาก็ชวนหนี


แต่ดาร์ลีนาไม่คิดจะหนี ก็บ้านหลังนี้สงบสุขดี นอกจากนี้เธอมีลูกชายอีกถึง 2 คนในบ้านหลังนี้ ไหนจะ ผ อีก 2 ซึ่งเธอรักทุกคนเลย ว่าแล้วเธอจึงวางแผนสำคัญขึ้น

คืนนั้นเธอปรนเปรอนัมเบอร์ 1 เสร็จแล้วก็สะกิดปลุกนัมเบอร์ 2 ให้ตามไปที่คอกแพะ นัมเบอร์ 2 ดีใจเหลือหลาย บอกว่าเกือบลืมไปแล้วว่าเซ็กซ์เป็นยังไง แต่ดาร์ลีนากลับบอกเขาว่า อยากให้ช่วยหว่านล้อมนัมเบอร์ 1 ให้ต่อห้องเพิ่มให้นัมเบอร์ 3 ไม่อย่างนั้น เธอจะหนีไปกับเขา

เธอใช้ไม้ตายกับนัมเบอร์ 2 โดยการบอกความจริง เธอท้องกับนัมเบอร์ 3 แล้ว

กล่อมเสร็จ ดาร์ลีนาก็ล้างหน้าตา เนื้อตัว นัมเบอร์ 3 ตามออกมาเหน็บประสาคนกำลังน้อยใจ เธอก็ใช้ไม้ตายอีกครั้ง ผ นัมเบอร์ 3 เป็นคนรักเด็ก พอรู้ว่ากำลังจะมีลูกของตัวเองก็ดีใจมาก โผกอดเมีย และร่วมรักอย่างเร่าร้อน และไม่คิดจะจากเมียไปไหนอีก


นัมเบอร์ 2 กับ 3 อยู่มือดาร์ลีนาแล้ว เหลือแต่นัมเบอร์ 1 คนหัวแข็ง ถือดี

นัมเบอร์ 2 ทำตามคำสั่งเมีย เริ่มกล่อมโดยอ้างว่า ดาร์ลีนากำลังท้องกับ ผ ใหม่ ถ้านัมเบอร์ 1 ไม่ยอมให้นัมเบอร์ 3 อยู่ด้วย สองคนนี้จะหนีตามกันไป นัมเบอร์ 1 โวยวาย ‘นี่บ้านฉัน ไอ้สองคนนี้มาอยู่ใต้ปีกของฉัน ถ้ามันอยากไปกันนักก็ไปเลย แต่ห้ามเอาลูกไปด้วยนะ’

นัมเบอร์ 2 ผู้ฉลาดและใจเย็นกว่า ได้ยินดังนั้นก็แก้ให้
‘เราต่างหากที่อยู่ใต้ปีกพวกเขา เรามันตาแก่ ถ้าเขาไป เราก็มีแต่จะถูกทิ้งให้ยืนพิงกัน’

นัมเบอร์ 1 ฟังแล้วสะดุ้ง เพราะความจริงนี้ถูกต้องที่สุดแล้ว ชีวิตของเขาจะขาดเมียคนนี้ไม่ได้เลย ขาดน้องชายคนนี้ก็ไม่ได้ เพราะมันทำกับข้าวอร่อยกว่าเมีย งานบ้านก็ทำเรียบร้อยกว่า กระทั่งลูกทั้งสองคน (ที่อิฉันเองว่าเขาก็รู้นะ ว่าไม่มีคนไหนเป็นลูกเขาเลย) ก็ขาดไม่ได้ เด็กสองคนนั้นกลายเป็นหนึ่งในบริวาร และความเคยชินในชีวิตอันมีสีสันของเขาไปเสียแล้ว

ว่าแล้วบ่ายนั้น 2 ผ เฒ่าก็ยักแย่ยักยันช่วยกันต่อเติมบ้าน (ย่านนั้นเขาเอาดินมาผสมน้ำให้เขละๆ แล้วโปะลงบนโครงไม้ไผ่ฮะ) หรืออีกนัยคือ บริเวณใหม่สำหรับ ผ คนที่ 3 ของเมีย


และแล้ว..ดาร์ลีนาก็คลอดลูกชายคนที่ 4 ของเธอ แต่เป็นเด็กคนที่ 3 ของบ้านนี้ (โดยที่ลูกทั้ง 4 ไม่มีใครไหนมีพ่อคนเดียวกันเลย) เห็นเด็กแล้ว ผ นัมเบอร์ 1 ก็รู้อีกตามเคย ว่านี่ไม่ใช่ลูกกรูหรอก แกคิดๆ อยู่ทั้งคืน เช้ารุ่งขึ้นหลังจากที่ ผ นัมเบอร์ 3 ออกไปไร่ตามปกติ นัมเบอร์ 2 กับเมียยังนอนอยู่เพราะความเหนื่อยอ่อน เขาก็อุ้มทารกน้อย และพี่ชายอีก 2 คนขึ้นเกวียน ขับออกไปท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุ

คนดูอดตกใจไม่ได้ว่าตาคนนี้จะเกิดหึงเพี้ยนๆ ขึ้นมา พาเด็กไปทิ้งที่ไหนหรือเปล่า ปรากฏว่าไม่หรอก เขาพาเด็กไปทำธุระบางอย่าง ที่จะทำให้แม่ของเด็กพาเด็กหนีเขาไปไม่ได้เท่านั้นเอง

แล้วเรื่องก็จบลงด้วยรอยยิ้ม


ครอบครัวพิลึกพิลั่นที่มี ม 1 ผ 3 และลูกชายอีก 3 คนจากคนละพ่อ จึงอยู่รวมกันได้อย่างมีความสุข (ตามประสา) เพราะแต่ละคนต่างพึ่งพาอาศัย เมตตา ช่วยเติมความรักความอบอุ่นให้กันและกันจนเต็มอิ่มนั่นเอง








บันทึก
• หนังเรื่องนี้กำกับโดย Andrucha Waddington จากเรื่องของ Elena Soarez
• เพลง OST ของหนังเรื่องนี้เพราะมาก ชักอยากได้อัลบั้มละสิ
• ภาพก็สวย แสงสวย สีสวย เป็นสีแดงของดิน ตัดกับสีฟ้าของฟ้า ถ้าเอาภาพในหนังเรื่องนี้มาทำภาพนิ่ง เราก็จะมีรูปสำหรับจัดนิทรรศการภาพถ่ายเป็นร้อยๆ รูปเลย
• หนังเรื่องนี้มันน่ารักตรงที่มันถ่ายทอดชีวิตลำบากๆ น่าสงสารๆ ของผู้หญิงคนนึงออกมาอย่างน่ารัก แล้วก็อย่างคนมองโลกในแง่ดี ^_^
• รู้สึกดีเหมือนกันที่เห็นผู้หญิงคนนึง ที่ไม่ได้สวย ไม่ได้เอ็กซ์ แต่ก็เป็นจุดศูนย์กลางจักรวาลของผู้ชายตั้ง 6 คนในบ้าน
• เจ๊เรจิน่านี่เค้าเล่นได้เหมือนเป็นตัวเองเลยนะยะ จะอุ้มลูก แกะเม็ดข้าวโพด ตัดอ้อย เนียนไปหมดเลยเชียว
• คนบราซิลแถบนั้นเขาเกี้ยวกันง่ายจริงนะ (เอ หรือมันเกี้ยวกันง่ายอย่างนี้ทั้งทวีปอเมริกาใต้เลยหว่า?)
• นอนเปลทุกคืนมันไม่ปวดหลังหรือไงไม่รู้แฮะ เห็นมีแต่คนป่วย+แก่ที่นอนเตียง
• เขาว่าหนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่อง Based on True Story ด้วยนะฮะ
• หนังเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จริงๆ แล้วก็มีแต่แม่เท่านั้นแหละ ที่รู้ว่าพ่อของลูกตัวเองคือใคร (ฮา)
• ขอบคุณเดือนที่ดูแล้วอุตส่าห์นึกถึง เลยทำให้เราได้ดูไปด้วย ^_^



วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

วันแดดจัด






ศุกร์ที่ 17 เมษายน 2552


วันนี้แดดแรง
แรงตั้งกะ 8 โมงเช้าไปจน 5 โมงเย็นเลย

เฮ่อ...เห็นแล้วอยากตากผ้าห่ม

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

ดอกไม้ที่เพิ่งเคยเห็น


แต่ตอนที่เห็นนั้นไม่ได้กลิ่น
-------
ดอกสีขาวอมเหลือง ออกดอกเป็นกระจุกตามกิ่ง สีขาว กลิ่นหอม ร่วงง่าย มีเกสรเพศผู้สีเหลือง ออกดอก มกราคม - มีนาคม เป็นผล กุมภาพันธ์ - เมษายน

* ดอกสดและแห้ง-ใช้เข้ายาหอม บำรุงหัวใจ บำรุงเส้นประสาท แก้วิงเวียนหน้ามืด ตาลายและชูกำลัง
* ดอกตูม-ย้อมผ้าไหมให้สีแดง
* ผลสุก-รับประทานได้มีรสหวาน





วันพุธที่ 15 เมษายน 2552


ไปวัดป่าเชิงเลน ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 37 มา ดังที่ได้โม้ไปแล้ว
ระหว่างทางเดินไปวัด ริมคลองบางกอกน้อยนั้น ก็ได้พบดอกไม้สองสามชนิดที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

ดังจะอวดต่อไป

เป็นความจริงหรือ คนเชียงใหม่??


เปลี่ยนแชนแนลมาอ่านเรื่องขำๆ จากฟอร์เวิร์ดเมล์กันนะ


---------

คำเตือน 

ก่อนอ่านเมลล์นี้ต้องมีเวลาว่างกว่า20 นาที
อาจจะตาลายได้ เพราะเยอะมากกกกกกกก
ไม่มีจุดประสงค์จะดิสเครดิตอะไรทั้งสิ้น
อ่านขำๆ ชิลๆ  ไม่อยากอ่านก้อลบซะ
ต้นฉบับมาจากกระทู้ในเว็บๆหนึ่ง  จขกท. น่าจะเป็นกระเทย
เมลล์นี้เหมาะกับผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป  อาจจะมีคำที่ไม่สุภาพ 
 
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
 
 
 
 
 
 
-เวลาไปเดินถนนคนเดินไม่จำเป็นต้องเดินให้ครบทุกสายเพราะของจะซ้ำๆกัน
-โจ๊กสมเพชรเปิด 24 ชั่วโมง เลยไม่เคยล้างหม้อเลย(เค้าบอก)
-คำว่า "เปิ้น" หมายถึงบุรุษที่1หรือ3ก็ได้ (I,She,He) แต่คนเชียงใหม่ก็สื่อสารกันเข้าใจ
-ไก่ทอดเที่ยงคืนงั้นๆ ร้านที่มาเปิดสับขาหลอก(ใกล้ๆกัน) อร่อยกว่า
-ร้าน Milk Zone หน้ามอ เป็นร้านนมที่ปิดดึกที่สุด เมนูมากที่สุด (และไม่ค่อยอร่อย)
-เชียงใหม่ไม่มีขนมโตเกียวขาย(ทั้งๆที่หากินได้ง่ายมากในกทม)
-ผับหลักๆในเชียงใหม่ไม่เสียค่าเปิดเหล้า นักเที่ยวส่วนมากนิยมหิ้วไปเอง และสามารถเอาเหล้าที่เหลือไม่ถึงครึ่งขวดมาเปิดได้
-โนสอุดมคือไอดอลของชาวเชียงใหม่ส่วนมาก
-แคลิฟอเนียฟิตเนสเชียงใหม่ไม่มีผ้าเช็ดตัวบริการ ใครจะมาเชียงใหม่ในฟิตเนส อย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดตัวมาเอง
-"หนังว๊อง"แปลว่าหนังยาง แต่"ปั๊ดว๊อง"แปลว่าชักว่าว "น้ำว๊อง"ก็แปลว่าน้ำกาม
-ผู้ชายไทใหญ่หน้าตาดีกว่าผู้ชายแม้ว
-กินข้าวที่กาดหลวงแอร์พอร์ต กินเสร็จต้องเอาจานไปไว้ที่จุดคืนจาน
-เวลาไปไหว้ครูบาศรีวิชัย ให้รีบซื้อดอกไม้จากร้านไหนก็ได้ อย่าเลือกนานเพราะจะโดนกดดัน
-อย่าแปลกใจถ้าจอดรถข้างถนนแล้วเวลากลับมาเอารถจะโดนเรียกเก็บค่าดูแลรถ 10-20 บาท
-ร้านอาหารดังๆไม่ค่อยอร่อย ร้านอร่อยๆไม่ค่อยดัง
-ซาลาเปาวิกุล(นวรัฐ)อร่อยและลูกชายหล่อ
-รถติดแก๊ซเข้าจอดในที่จอดรถแอร์พอร์ตพลาซ่าไม่ได้    แอบจอดประจำ อิอิ
-ใจไม่แข็งพอ อย่าคิดปั่นจักรยานในเมืองเชียงใหม่
-นร.หญิง ดาราวิทยาลัย ชอบเป็นแฟนกับ นร.ชายปรินซ์ รอยัล
-กาดคำเที่ยงขายต้นไม้ แต่แดดร้อนเหมือนทะเลทราย
-JJ Market แรกเริ่มเดิมทีเจ้าของตั้งใจทำให้เป็นถนนสายวัฒนธรรม แต่ตอนนี้กลายเป็น RCA ไปแล้ว
-เชียงใหม่มีนิตยสารแจกฟรีเยอะที่สุดในประเทศไทย
-I berry นั่งข้างในเปิดแอร์แรงมากกกกก ควรเตรียมเสื้อกันหนาว (และพนักงานจะเหวี่ยงๆกันทุกคน)
-ช่วงลอยกระทงอย่าไปเดินตามประตูท่าแพ   เพราะจะมีเด็กจุดประทัดโยนลงมาจากด้านบน
-วาวีเป็นร้านกาแฟที่มีสาขาเยอะที่สุดในเชียงใหม่ (แค่บริเวณ ถ.นิมมานฯก็ปาไปแล้ว 3)
-นิมมานเหมินท์ เขียนแบบนี้ (ไม่มี ร.เรือ)
-ถนนจาก 4 แยกราชภัฏเข้าสู่ตลาดธานินท์ เหี้ยมากๆค่ะเหี้ยเกินเยียวยา
-ถ้าไม่มีเส้นสายจะจองโต๊ะในมังกี้ วอมอัพในคืนศุกร์เสาร์ต้องส่งเพื่อนไปนั่งจองตั้งแต่ 5 -6 โมง
-อย่าคิดไปนั่งพักผ่อนริมสระในวัดอุโมงค์เด็ดขาดเพราะจะไม่ได้พักผ่อน
-ถ้าจะไปกินหมูกะทะควรเช็คราคาน้ำเปล่าก่อนนะคะ (เคยโดนขวดละ80กินไป2ขวด)
-ผู้หญิงเชียงใหม่กินเหล้าเก่งมากกกกกกก
-ขับรถในเชียงใหม่ต้องระวังรถแดง(สองแถว) และรถทะเบียนลำพูน
-ถ้าคุณเป็นสีเหลืองอยู่เชียงใหม่ห้ามพูดเรื่องการเมืองเด็ดขาด  เด๋วเจอทีนลอยมา
-คนหล่อๆส่วนมากจะไปกระจุกรวมกันอยู่ที่ร้านวอร์มอัพไม่ใช่มังกี้
-สินค้าที่ถนนคนเดินวันอาทิตย์จะมีราคาถูกกว่าทั่วไปพอสมควร หากมีโอกาสควรรอซื้อของฝากที่นั่นทีเดียว
-เซนทรัลแอร์พอร์ตและเซนทรัลกาดสวนแก้วไม่มีแมคโดนัลด์
-เซอเคิลคือบาร์โชว์ที่เริ่ด และรวบรวมเด็กบาร์ค-ยใหญ่มากที่สุด
-ถนน คนเดินหลัง รร.ปรินส์ วันเสาร์-อาทิตย์  เป็นแหล่งรวมของเก่าที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ ใครอยากได้อะไรไปที่นั่นเป็นได้ติดมือกลับมา  แถมไม่แพงอีกด้วย
-เมื่อยี่สิบปีก่อนเชียงใหม่เคยมีรถเมล์ สายด้วย    เมล์เหลือง เมล์ขาว  เมล์แดง  เมล์ฟ้า  แต่ตอนนี้เจ๊งกันไปแทบหมดแล้ว
-ตรง AIS ปัจจุบันนี้  เมื่อก่อนเคยเป็นโรงหนังโป๊มาก่อน  ชื่อ โรงหนังศรีวิศาล 
-ป้าที่ขายข้าวเหนียวมะม่วง ชั้นล่าง central กาด ใจดีและแถมหากชมว่าอร่อย
-หนุ่มเชียงรายหล่อกว่าหนุ่มเชียงใหม่ (ในความคิดสาว ชม.)
-สาวเชียงใหม่ สวยกว่าสาวเชียงราย (ในความคิดของหนุ่ม ชร.)
-คนเชียงใหม่ไม่ค่อยมาเที่ยวเชียงราย แต่คนเชียงรายทุกคนได้ไปเชียงใหม่
-ป๊อกคืด คือเรื่องผีที่ดังที่สุด ของ มช.
-ขี่รถวนทวนเข็มนาฬิกา ใน มช. เรื่องเล่าบอกจะเจอผีนั่งบนหอนาฬิกา (ลองมาแล้วแต่ไม่เห็นเลย...)
-ลัดดาแลนด์ เป็นสวนสนุกร้าง ที่ นศศ ไปลองดีเยอะมาก (ครอบครับโดนฆ่ายกครอบครัว)
-นศสาว พายัพ สวยกว่า มช. เยอะมาก และสูงกว่า
-นศสาว มช. จะเซอร์ ตาม concept ตามรุ่นพี่
-สาวเชียงใหม่ ไม่หยิ่งเลย ที่เห็นหยิ่ง คิดไปเอง
-อำเภอ สันกำแพงแหล่งทำร่ม มีร่มให้คุณ ขโมย ทุกที ตั้งแต่อันเล็กเท่ามดจนถึงอันใหญ่เท่าบ้าน(เพราะ จะเอาร่มประดับหน้าบ้านหรือปากซอย เป็น ซุ้มประตู ต้องไปกลางคืน)
-กาด เช้าที่เริ่สที่ชุดคือสันป่าข่อยมีทุกสิ่งที่เป้นอาหาร
-กาดเช้าที่เริ่สเป้นอันดับ 2 คือ กาด ประตู ช้างเผือกเพราะ ที่นี้จะมีข้าวมันไก่ ที่ไม่ว่าจะแซฟ หรือ เกย์ ที่เลิก จากมันดาเรย์ จะมากินกัน
-คุณ จะ หาซื้อ ขนม ถุง5บาทในราคา 5 ถุง 20 ได้ที่ ตลาดประตูช้างเผือก
-ตอนนี้ประตุช้างเผือก เข้าไม่ได้เพราะ เค้าจะทำอีกชั้น **ขุดกันสุดริด หาพระค่ะ
-วัด แทบทุกวัด พระ จะรับจ๊อฟ จัดดดอก ไม้
-วันมนเฑียร กับวัดโลกโมฬี เป็นวัดคู่แข่งแห่งความอลังการกัน
-สันกำแพงเป็นแหล่งกระเทยงามและกระเทยเยอะสุด ตั้งแต่เดกป. 1 ถึงยายแก่
-กระเทย โรงเรียนยุพราช จะหล่อกระเทย ปริ้นซ์ จะดูดี
-ชะนี โรงเรียนดาราร้อยละ95 พูดคำเมือง
-ชะนียุพ จะแรงกว่าชะนีวัฒโน
-กระเทยปริ้นซ์ทุกคนใฝ่ฝันใส่กระโปรงแดง
-แมคโดนัล ที่ ไนท์บาซ่า จะมีเด็กมงเป็นอาหารตาไม่ก็ญี่ปุ่นเกาหลี
-เด็กโรงเรียนยุพราช เก่งที่สุดในการกดสเลอปี้ได้เยอะสุด
-กระเทย รร สันกำแพงชอบใส่วิกไปงานวัด
-กระเทย รร วชิราลัย อยุ่สารภีอาทิตย์ หนึ่งจะได้มาเที่ยว 2 วัน
-ชะนีพระหะรึทัยมีรถยนขับแทบทุกนาง
-กระเทย ท่าแพ ทำงานถึง 7โมงเช้า
-วอมอัพเป้นแหล่งสิ่งเกย์แอบและผู้ชายหล่อ
-ร้า้น ไอติม ไอเบอร์รี่ของโน๊ต อุดม แพงเว่อ 2 ก้อน 90 แต่มีคนเต็มร้าน และ ตอนเยนยุงเยอะมาก
-หมู กะทะที่ขึ้นชื่อมี4ร้าน ซุ่มสบาย สุคนทา ชุมแพ ดังๆๆแต่ร้านที่คนว่าเริ่สม่ายใช่ 4 ร้านนี้กลับเปงหมูกะทะเอบีซี
-หมูจุ่มแถวคำเที่ยงคนเยอะมากกินแล้วหัวเราะทังคืน(เค้าว่าผสมกันซา)
-สันป่าตองมีกาดวัดกาดควาย
-อำเภอเชียงดาวเป็นแหล่งผลิต แซฟและเดกแว้น สก้อย  แต่เกย์ที่นี้หล่อทุกคนแหละผู้ชายก้อ หล่อค่ะ
-อำเภอ ฝาง ปลูกส้มเยอะสุดซื้อ ของธนาทอน จะแพงมาก ใส่กล่อง แล้ว ราคา 400 ทั้งๆๆที่ส้ม มาจาสวนเดียวกัน
-โรงเรียน ปริ้นซ์เป็น รร ที่หนาวสุดในตอนกางคืน เพราะต้นไม้เยอะ
-เด็ก มงแทบจะไม่เดิน เซนทรัลเลย
-ครู กวดวิชา เชียยงใหม่ เน้นฮา
-ที่อ่างแก้ว ข้างในตรงเป็นม้าหิน มีคนเข้าไปเอากันจริง! คอนเฟิร์ม เพราะไปทำข่าวมา
-และหออ่างแก้ว(หอพักอาจารย์) มีน.ศ.ชายไปขโมยอันเดอร์แวร์ของอ.จ.แล้วโดนจับได้ ที่สำคัญแม่งขโมยของอ.จ.ชายนี่สิ...
-หอชายของหายบ่อย แม่งแค่ยกบานเกล็ดออก ไม่ก็บิดลูกบิดทุกห้อง ดูห้องไหนว่าง ถ้ามีคนก็แกล้งทำเป็นเข้าห้องผิ
-หอสองชายจะทุบทำเป็นหอเก้าหญิง
-จะมีป้าคนนึงคอยขับรถเครื่องตระเวนให้ข้าวหมาในมอ
-มีคนโดนข่มขืนที่ทางเดินไปชมรม (แถวหอชมพู) มอปิดข่าว
-วิศวะรับน้องให้สก็อตจัมพ์จนต้องพาเข้าสวนดอก ต้องกรีดขาลดแรงดันเลือด มอปิดข่าว
-ทางหลวงเส้นซุปเปอร์ไฮเวย์ รถยางแตกบ่อยมากกกกกก บางทีขับรถอยู่ดีๆ อีคันหน้ายางระเบิด เศษยางปลิวมาติดหน้ารถเรา เกือบเสียหลักตกถนน
-มา เชียงใหม่อย่าเบื่อดอยสุเทพค่ะ อย่าไปคิดว่าเจ้าบ้านพาขึ้นเพราะไม่รู้จะพาไปไหนนะคะ แต่เค้าพาขึ้นเพราะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์และควรกราบไหว้ทุกครั้งที่มาเที่ยว
-มิลก์โซน หน้ามอ รสชาติงั้นๆ แต่ผู้ชายเยอะมาากกกก
-คนเชียงใหม่เรียกสถานีขนส่งว่า อาเขต ถ้าไปบอกรถแดงว่าไป ขนส่ง เขาจะพาไปส่งที่กรมการขนส่งทางบก อ.หางดง
-ผู้หญิงดอยเต่าฟ้อนสาวไหมไม่ได้นะคระ เพราะเจอกันก็ทักว่า "จะปอยหนอย" เวลาสงสัยอะไรก็เค้าจะถามว่า "ทำมอย?" คร่ะ คริคริคริ
-โรงแรมที่หรูหรา ไฮโซ และแพงที่สุดในเชียงใหม่คือ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ดาราเทวี ถ้าคิดจะมาพักที่นี่ ควรจะมีเงินติดตัวไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท ต่อคืน
-อยากนั่งรถม้า ไม่ต้องไปถึงลำปาง ที่เวียงกุมกามมีให้นั่ง
-หอยทอดภาคเหนือ กินกับน้ำจิ้มไก่ไส่น้ำส้มสายชู แต่คนภาคกลางกินกับซอสพริกศรีราชา
-หลัง มช. มีข้าวไข่เจียวเยอะมาก หากินได้ในราคา 10 บาท ซอสไม่อั้น อร่อยมาก
-กาดสวนแก้ว เสียค่าจอดรถมอเตอร์ไซค์ 5 บาท รถยนต์ 10 บาท เซนทรัลแอร์พอร์ต จอดฟรี
-อ่างแก้ว ห้ามเอาหมาไปเดิน
-รถยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ก็วิ่งได้ ตำรวจไม่ค่อยจับ (หละหลวมเกินไปหรือป่าว?)
-อย่าขับรถตามรถแดง และรถทะเบียนลำพูน แล้วชีวิตจะดี
-ถนนสันติธรรม กับ ถนนช้างคลาน เปรียบได้กับ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่กรุงเทพ อาบ อบ นวด เยอะม่อกกกก
-ในตอนกลางคืน บรรดาอาบอบนวดเหล่านั้น จะให้ผู้ชายหน้าตาดีๆ ออกมาโบกรถเรียกลูกค้า บางทียัง งง ว่ามันเป็นที่เที่ยวสำหรับผู้ชายหรือเกย์กันแน่
-คนที่ติดดิน ไม่เรื่องมาก ไม่ถือตัว เท่านั้นที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นเชียงใหม่ ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะเชิดไส่กัน แต่ลึกๆแล้วจิตใจดี ไม่ดุร้าย ไม่เชื่อลองเดินเข้าไปคุยสิ
-ทักษิณจบจากมงฟอร์ต (บอกทำไม ใครๆก็รู้)
-จาตุรน ฉายแสง เป็นศิษย์เก่าคณะแพทย์ มช.
-สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มช.
-ชลิต เฟื่องอารมณ์ เป็นศิษย์เก่าคณะสังคมศาสตร์ มช.
-เป้ย ปานวาด เป็นศิษย์เก่าคณะวิจิตร์ศิลป มช. และเป้ย เป็นเหมือนตัวอย่างของผู้หญิงเชียงใหม่ คือ ดูเหมือนจะเรียบร้อย แต่แรดเงียบ
-นุ่น ศิรพันธ์ เป็นศิษย์เก่าคณะวิศวะ มช.
-และอีกเยอะแยะ บรรยายสามกระทู้ก็ไม่จบ
-ปั๊มน้ำมันที่รวยที่สุดในเชียงใหม่คือ ปั๊ม ปตท .มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่เชื่อไปดูสิ มอเตอร์ไซค์เข้ามาเติมไม่ขาดสาย
-เด็กกรุงเทพส่วนมาก มา มช. ร้อยทั้งร้อยจะบอกว่า มช. สวยมาก และอยากเรียนที่ มช จังเลย แต่ทำไมตอนแอดมิชชั่น มึงเลือก จุฬา มธ. เกษตร โถ่ ตอแหล
-ชาบูชิเพิ่งมาเปิดที่ เซนทรัลแอร์พอร์ต แรกๆ คนมายืนรอกันเพียบ ยังกะแดกฟรี
-เชียงใหม่ เป็นจังหวัดเดียวที่พนักงานเซเว่นน่าแดกที่สุด กุเคยตะลอนค้นหาเพชรในตมเกือบทั่วทุกสาขาในตัวเมือง แต่ละสาขาก็มีหน้าเหี้ยบ้างหน้าเป๊ะบ้าง บางสาขาก็น่าเย็ดโคตรๆ ขาว ตี๋ หล่อ ล่ำ ใครอยากได้พิกัดสาขาเด็ดๆ บอกได้ เด๋วจัดให้
-ป้าไก่ แห่งร้านครัวป้าไก่ (เลี้ยวขวาปากทางเข้ากองบิน) ไม่ค่อยถูกกับคนในหมู่บ้าน เพราะลูกค้าร้านแกชอบเอารถไปจอดขวางหน้าบ้านคนอื่น แล้วแกก็ไม่ยอมบอกลูกค้าถึงปัญหานี้
-มาเชียงใหม่ อย่าสั่งอาหารทะเลมากิน เพราะ 95% แช่ฟอร์มาลีนมาทั้งนั้น
-ปลาหมึกยักษ์ย่างที่ขายๆกันอยู่ เวลาจะกินต้องดูให้ดี ว่ามันเป็นปลาหมึกหรือยางพารากันแน่ ยี้ น่ากลัว
-ลูกชายร้านขายก๋วยเตี๋ยว ตรงฝั่งประตูเกษตรหลัง มช. หล่อมาก (กะเทยอย่าไปกันเยอะนะคะ เด๋วนกแดก)
-มหาลัยนอร์ท ไม่น่าสนใจเท่าไร อยู่ไกล
-ชะนีที่ฟาร์จะแรดมาก เวลาว่าง(หรือไม่ว่างก้อตาม)จะเห็นพวกหล่อนได้ที่โรบินสัน
-ฟาร์อิสเทอร์อยู่ตรงข้ามเซ็นทรัลแอร์พอร์ท
-กระเทยชอบไปเรียนที่ฟาร์เพราะว่าค่าเทอมถูก จบแล้วยังไม่รุ้จะทำอะไร ประมาณนั้น
-ค่าเทอมพายัพหนึ่งเทอมจ่ายฟาร์ได้ สองถึงสามเทอม
-คุณภาพของเด็กที่จบมา ต่ำว่าเด็กจบจากราชภัฏเชียงใหม่คอนเฟิร์ม
-ข้าวต้มสุพรรณที่สามแยกวัดเจ็ดยอดไม่แพงอย่างที่คุณคิด
-เชียงใหม่มีร้านหมูกระทะใหญ่ๆสามร้าน คือ ดังดังหมูกระทะ สุคนธาหมูกระทะ อะไรอีก
ไม่รู้ละ ลืมครับ จากมานาน 555
-เชียงใหม่มีหมูจุ่มขึ้นชื่อคือ หมูจุ่มฟ้าธานี
-โรงแรมธาริน เลือกให้ดีถ้าได้ฝั่งตรงข้ามดอยสุเทพ ท่านจะได้เจอหลังคา LCC. และเมนเผาศพและป่าช้าได้
-โรงเรียนพณิชการเชียงใหม่ เรียกอีกอย่างว่าพณิชน้ำคือ (แยกให้ออกนะครับ มันมีหลาย รรครับ)

-ที่ชื่อน้ำคือเพราะอยู่ติดคูเมืองครับ
-เมื่อก่อน LCC. ได้ชื่อว่า รร ผลิต......กอ รอ  ห อ รอ อี เอก............ .ที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดและสังคมไทยมากที่สุด
-LCC. เป็น รร ที่เคร่งมาก แต่ นศ ได้ดีทุกคน
-นศ ที่เพิ่งทำแท้งแล้วตาย(อาทิตย์ที่แล้ว) เป็นเด็ก ปวส พิเศษ ปีสอง ของ LCC. ครับ
-LCC. เรียก ผอ ว่า บราเทอร์
-เอ็ม เดอะสตาร์ จบจาก LCC. ครับ ฉายาที่ชอบเรียกกันก้อคือ ไอ้เอ็มควาย 555
-โปลิ เชียงใหม่ เป็นโรงเรียนเดียวในประเทศไทย ที่ให้ทอมแต่ชาย กระเทยแต่งหญิงมาเรียน
-โปลิ เชียงใหม่ มีห้องน้ำสำหรับหญิงสอง หรือกระเทย แต่กระเทยไม่ชอบเข้า
-กระเทยชอบเข้าห้องน้ำชะนี และชะนีชอบเข้าห้องน้ำกระเทย
-กระเทยที่นี่ค่อนข้างจะเหมือนจริง
-นศ ที่นี่มีมากกว่า 5000 คนในแต่ละปี
-มีครูมากถึงเกือบ 300
-เป็นโรงเรียนโปลิแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีพาณิชด้วย
-เป็นโรงเรียนที่ชะนีอยากเรียนไปหาผัวไป
-อาจารย์ชายที่นี่ กินลูกศิษย์ และครองคู่กัน ใน รร
-ห้าม นศ พาณิช ยื่นหน้าออกนอกอาคาร มาหาช่าง ไม่งั้น อาจารย์จะเป่านกหวีดใล่
-มหาวิทยาลัยฟาร์อิสเทอร์ เพิ่งจะตั้งได้ไม่ถึงสิบปี
-ฟาร์อิสเทอร์ ชะนีแรงมาก ระวังถ้าไม่ไปเรียน จะจบได้โดยไม่รู้ตัว คอนเฟิร์ม
-มหาวิทยาลัยนอร์ทเชียงใหม่ อยู่ไกลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
-โรงเรียนนานาชาตินครพายัพ อยู่วงแหวนรอบที่สามไกลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
-เชียงใหม่มีโรงเรียนนานาชาติเปรม (ติณนะสูลานนท์) ด้วยครับที่แม่ริม
-โรงเรียนวารีเชียงใหม่ เปิดมอหกปีแรก เอาเด็กจาก มงฟอร์ดไปและได้ดีทุกคน
-โรงเรียนวารีเชียงใหม่ สวยมากและแพงมากเช่นกันแต่ก็สอนดีมากเช่นกัน อิอิ
www.varee.ac. th
-ติดกับ รร วารี เป็นโรงเรียนเทคโนโลยีเอเชีย
-เชียงใหม่เรียกมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาวิทยาเขตภาคพายัพ ว่าเทคโนตีนดอยเพราอยู่ตีนดอยสุเทพ
-และเรียกเทคโนโลยีเอเชียว่า เทคโนตีนสะพานเพราะอยู่ตีนสะพานเข้าทางแยก 555
-มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยอยู่ที่ เชียงใหม่คือมหาวิทยาลัยพายัพครับ

-เด็ก มอพายัพจะมีอาหารตา อยู่แถวๆ มอ ครับ คือเด็กวชิรวิทย์นั่นเอง น่ากิน น่ากิน
-เด็ก มอพายัพส่วนมากจะเข้าคาร์ฟูเป็นครั้งคราครับ ส่วนมากไปซื้อที่เซ็นทรัลแอร์มากกว่า
-ร้านใบชาหมูกระทะที่อยู่หลัง มอพายัพ เป็นร้านเล็กๆแต่คนเยอะทุกวันครับ (ไม่รู้ยังมีรึเปล่า อิอิ)
-พายัพพลาซ่า ทำการตลาดซะเว่อร์แต่เจ๊งครับ เพราะเด็กพายัพไม่เข้ากันครับ
-พายัพมีสองฟากคือฟากโรงพยาบาลแม็คคอลมิค และฟากแม่คาว
-และอีกที่คือ บ้านธารแก้วให้พวกน้องๆการโรงแรมเรียนกัน
-เชียงใหม่มีสองพายัพครับคือ มหาวิทยาลัยพายัพ (ยัพใหญ่) กับ โรงเรียนพายัพเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจ (พายัพหาปลา) ชื่อเหมือนกันแต่ไม่ได้เป็นอะไรกันเล้ยพายัพหาปลาเทียบกันไม่ติดด้วยซ้ำ
-โรงเรียนพายัพเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจใด้ชื่อว่าพายัพหาปลาเพราะว่าสโลแกน ของมันคือ “Give me a hook not a fish” “ให้ปลาฉันหนึ่งตัวฉันมีปลากินหนึ่งวัน สอนให้ฉันหาปลาฉันมีปลากินตลอดไป”
-เทศกาลสงกรานต์ คนเชียงใหม่ที่อยู่ในเมืองจะค้าขายกันสนุกสนานรวยเละ คนที่ไม่ได้ค้าขายและไฮโซพอมีเงินหน่อยจะย้ายไปเที่ยวที่อื่น คนต่างอำเภอและต่างจังหวัด ต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาเล่นส่งกรานต์กันจนคูเมืองแทบแตก เป็นโอกาสทองของเด็กแวนซ์ เด็กแซ๊ป เด็กสก๊อยซ์ และเด็กต่างด้าวจะได้เขามาปะปนกลมกลืนกันในคูเมือง ช่วงนี้จะเป็นช่วงแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว โดยแท้
-ห้างสรรพสินค้าที่ไกลความเจริญมากที่สุดคือคาร์ฟูร์ สาขาหางดง (หลายคนยังไม่รู้ว่ามีแน่เลย)
-ชาวเขาเวลาลงดอยมาซื้อของจะลงมา 1 คันรถนั่งเต็มหลังกระบะ
-แจ่งพื้นที่ที่สูงที่สุดคือแจ่งหัวรินและต่ำที่สุดคือแจ่งกะต้ำทำให้น้ำไหลจากแจ่งหัวรินไปแจ่งกะต้ำ
-เวลาขับรถรอบคูเมืองคูเมืองรอบนอกแจ่งศรีภูมิจะต้องรอสัญญานไฟจะไม่เลี้ยวขวาผ่านตลอด
-เมืองเชียงใหม่มีกำแพงเมืองรอบนอกคือกำแพงดินเป็นดินที่ขุดจากคูเมือง เอาไปถม แต่ปัจจุบันเป็นที่สิงสถิตย์ของ ผญขายบริการ
-คนเชียงใหม่เดินช้าและเนิบ
-โรงเรียนที่มีชื่อในเชียงใหม่มักเป็นโรงเรียนเอกชน
-เมื่อก่อนเด็กดารากับวัฒโนไม่ถูกกัน
-โรงเรียนมงฟอร์ตและวชิรวิทย์แผนกประถมและแผนกมัธยมอยู่ห่างกันโคตร
-นั่งรถแดงเดินทางจากเซ็นทรัลไปมอชอจ่าย 20 บาท
แต่นั่งรถเหลือง 20 บาทนั่งไปอำเภอรอบนอกที่ไกลเป็น 20 กิโลยังได้เลย
-รถเหลืองบางคันชอบขับแข่งกันเพื่อนำหน้า จะได้แย่งลูกค้ากันเวลานั่งไม่ต้องตกใจ
-มอชอ หลายคนจะนึกว่ามีสองฝั่ง แต่มีอีกที่นึงคือฝั่งแม่เหียะมีสามคณะคือ สัตวแพทย์ อก และ เกษตร
-ถ้าในมอชอไฟดับจะเกิดการแจกของ ขึ้น
-มอชอเรื่องเล่าผีเยอะมาก
-ป้าและเด็กที่ขายลูกชิ้นทอดข้างสวนสุขภาพดุ
-แซ๊บและสก๊อยจะไม่ค่อยไปเดินที่โรบินสัน
-บนโรบินสัน จะพบคู่เกย์ และทอมดี้เดินกันเยอะมาก
-และบนเซนทรัลจะพบแซ๊บและสก๊อยเยอะเหมือนกัน
-ถ้าขับรถเลยแยกแอร์พอร์ตไปทางถนนมหิดลจะเจอจุดกลับรถที่ใกล้ที่สุดคือใต้สะพานข้ามน้ำปิง (ไกลโคตร)
-ทางลอดใต้อุโมงค์แห่งแรกในเชียงใหม่คือ ทางลอดบิ๊กซีสร้างสมัยบิ๊กซียังเป็นโอชอง
-ที่เชียงใหม่มีปั๊มน้ำมันที่ต้องเติมเองอยู่ปั๊มนึงปั๊มบางจาก แถวๆ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ

-ใกล้ๆกับ วิชั่น ตรงข้ามซิมบาร์ วิธีเติมเดินไปที่เคาท์เตอร์ บอกว่าจะเอาอะไร กี่บาทแล้วเขาจะบอกเราว่าให้เติมที่หัวจ่ายไหน (ต้องดูให้ดีเพราะเคยมีคนเอารถไปจอดเทียบหัวจ่าย รอเป็นชั่วโมงก็ไม่มีคนมาเติมให้)

-Ozone net เป็นร้านอินเตอร์เนตที่มีสาขาเยอะที่สุดในเชียงใหม่

-ย่านการค้าสำคัญ ๆ เช่นกาดหลวง จะเป็นแหล่งค้าขายของคนจีนเชื้อสายไทย

-ไนท์บาร์ซ่าเป็นของชาวเขา ห้างฯเป็นของคนต่างถิ่น คนเมืองเชียงใหม่แท้ ๆถอยร่นไปอยู่รอบนอกเรื่อย ๆ

-แรงงานต่างด้าวคือไทยใหญ่ และพม่า มีเยอะมาก(น่าจะถึงล้าน)หากไม่ฟังการพูดจะแยกไม่ออกว่าคนที่เดินผ่านหน้าไปเมื่อกี้เป็นคนเชียงใหม่หรือเปล่า หน้าตากลมกลืนกันไปหมด

-แต่คนเมืองสามารถแยกคนเหล่านี้ออกจากพวกตัวเอง

-แรงงานเกือบทั้งหมดเป็นแรงงานต่างด้าว ฉะนั้นในร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน งานบ้านก่อสร้าง งานสวน ค้าขาย(ลูกจ้าง) จะเป็นคนต่างด้าวทั้งนั้น

-ในเชียงใหม่แท้ ๆ อยู่ในเมืองน้อยมาก หากยังอยู่ส่วนมากจะฐานะดีเพราะที่แพงยะกะทองคำ ยิ่งตอนนี้ใครมีบ้านมีที่แถวนิมมานฯรับเละเจ้าของบ้านขนกระเป๋าออกจากบ้านไปเช่าคอนโดอยู่แล้วเอาบ้านให้นักธุรกิจเช่าเพราะได้ค่าเช่าแพง และเรียกล่วงหน้าได้เป็นปี ๆ ด้วย

-มีโรงแรมเล็ก ๆ เกร๋ ๆ เท่ห์ ๆ ขึ้นเป็นดอกเห็ดในเขตคูเมืองเห็นแล้วอยากจะกริ๊ดดดอยากเป็นเจ้าของมั่ง

-โรงแรมและสปาที่ดีควรจะอยู่ในเขตคูเมืองและอยู่ติดวัดหรืออยุ่ติดริมน้ำปิง ถึงจะได้บรรยากาศเชียงใหม่แต้ ๆ

-ถ้าใครชอบผู้ชายที่หน้าตาออกแนวเกาหลีๆ ให้มาดูที่เชียงใหม่ มีเยอะมาก เดินเข้าไปถามว่ามาจากไหน ส่วนมากจะตอบว่า "เพ่อ โล มา จ่า ดอ" (เพิ่งลงมาจากดอย)
-กับข้าวใน อมช. หากินได้ในราคา 12 บาท น้ำ 4 บาท รวม 16 บาท ทำให้คุณอิ่มได้ 1 มื้อ ดีมากสำหรับเศรษฐกิจแบบนี้

-ช่วงนี้เครื่องบินขับไล่ มาฝึกบินที่เชียงใหม่บ่อยมาก เสียงดังโคตรรรร (อีดอก กุจะนอน)

-ผู้หญิงเชียงใหม่ ส่วนมากจะเรียบร้อย แต่แรดเงียบ และลึก

-ถ้าจะไปดู Zoo Aquarium แนะนำว่าอย่าเพิ่งไป เพราะยังไม่พร้อม น้ำยังไม่ใสไปดูที่ม.บูรพาจะคุ้มกว่า

-มีถนนอยู่ 1 เส้น แถวๆกาดหลวง ที่รถจะต้องวิ่งสลับเลนกัน (เหมือนอยู่เมืองนอกเลยอ่ะ)

-ริมปิง เป็นซูปเปอร์มาร์เกตที่ดูจะมีรสนิยมที่สุดในเชียงใหม่ (มากกว่าท๊อปส์)เพราะส่วนใหญ่จะเน้นขายของนำเข้า กลุ่มเป้าหมายจะอยู่ที่ คนไทยที่มีสามีฝรั่งและชาวต่างชาติ

-ไก่ทอดเที่ยงคืน ราคาแพงพอๆกับ KFC ควรมีเงินมากกว่า 1 ร้อยบาท ถ้าคิดจะไปกิน

-อุโมงค์ที่ยาวที่สุดในเชียงใหม่ คืออุโมงค์เข้าห้าง Big C แถวๆซุปเปอร์ไฮเวย์ รองลงมาคืออุโมงค์หน้าศูนย์ราชการ

-สนามกีฬา 700 ปี ห้ามไปหัดขับรถ

-ถ้าขึ้นรถแดง และได้นั่งข้างคนขับ อย่าพยายามคุยเรื่องการเมืองเพราะเขาจะถามคุณว่า คุณอยู่สีอะไร ถ้าคุณตอบว่าอยู่สีเหลืองคุณอาจถูกถีบตกจากรถได้ง่ายๆ

-คนเชียงใหม่เรียกกาดสวนแก้วว่า "เซน" และเรียก เซนทรัลแอร์พอร์ตว่า "โร"จำไว้จะได้เรียกกันให้ถูก

-คนเชียงใหม่ จะเรียก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สั้นๆ ว่า "มอ" เฉยๆ (เช่น "ไปไหน">> "ไปมอ") ใครที่พยายามเรียกว่า "มอชอ" จะถูกมองเป็นพิเศษ

-80% ของวัยรุ่นในผับ ขี่มอเตอร์ไซค์มาเที่ยว และผับเลิกจะมุ่งหน้าไปไก่ทอดเที่ยงคืน และขนมจีนสันป่าข่อยทันที เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าแต่งตัวดีจะฐานะดีเสมอไป

-เด็กปริ๊นซ์ จะถูกปลูกฝังมาว่า ห้ามญาติดีกับเด็ก มง แต่เท่าที่เห็นเด็กปริ๊นซ์กับเด็กมง แดกกันเอง ไม่รู้อะไรยังงัย

-รถแทกซี่ในเชียงใหม่ ไม่มีมิเตอร์ อยากไปไหนต้องต่อรองราคากันเอง ............ . เพื่ออออออออ???

-ในช่วงเทศกาลที่มีการปล่อยโคมลอยเยอะๆ แนะนำ อย่าไส่เสื้อผ้าราคาแพงๆไปและให้ไส่หมวกไปปล่อยโคมด้วย ไม่งั้นจะโดนน้ำตาเทียน หรือพลาสติดไหม้ หยดไส่หัวเอาโดยเฉพาะตรงประตูท่าแพ

-กระจกเงาในร้าน Love at first bite ใสกิ๊งมาก เคยมีคนตาลายชวนเพื่อนเข้าไปนั่งในกระจก นึกว่าในกระจกเป็นห้องอีกห้องนึ

-อย่าไปซื้อของที่กาดหลวงเด็ดขาด เพราะถ้าคุณมาที่กาดเทศบาล (แถวๆ กงศุล สหรัฐ)คุณจะเจอของอย่างเดียวกัน แต่ราคาถูกกว่าครึ่ง

-สะพานเหล็ก รถวิ่งทางเดียว อย่าทะลึ่งวิ่งสวนทาง เด๋วจะวุ่นวาย (เคยเจอมาแล้วถอยกันระนาว แอบโดนด่าอีก)

-ในอดีต สวนสุขภาพข้างหอประชุม มช. และแปลงผักคณะเกษตรเคยมีพวกเกย์มาแอบปฏิบัติราชการลับ ภายใต้รหัส "เก็บผักเก็บหญ้า"และมีกะเทยจำนวนไม่น้อย ชอบตะโกนแซวว่า "เร็ว เร๊ววว จะเก็บอะไรก็รีบเก็บเด๋วตลาดวาย"

-เชียงใหม่ มีรถเมล์ ราคา 10 บาทตลอดสาย รถเมล์ทุกคันแอร์เย็นมากขึ้นไปนึกว่าอยู่ในกรงหมีแพนด้า

-พอเราขึ้นรถเมล์เชียงใหม่ กระเป๋ารถเมล์จะลุกมาถามทันที ว่าจะลงที่ไหนพร้อมทั้งมารอยืนเก็บตังค์ ทั้งๆที่กุยังหาที่นั่งไม่ได้ (มึงจะรีบอะไรกันนัก)

-ร้านตัดผมที่ครั้งหนึ่งในชีวิตคุณควรไปตัดคือร้านพี่ตี๋ หน้า มช. (ทางไปสวนสัตว์ อยู่ข้างเทคโนตีนดอย) แล้วคุณจะรู้ว่า ทรงผมช่วยชีวิตคุณได้

-โค้งที่น่าอันตรายที่สุดของเชียงใหม่ อยุ่บนดอยสุเทพคับ ก่อนถึงวัดพระธาตุ แต่อัตราการเกิดอุบัติเหตุที่โค้งนั้นน้อยมาก ..

-เราสามารถเห็นเจดีย์วัดร้างอยู่ติดกำแพงบ้านคนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของบ้านได้โดยทั่วไปในตัวเมืองคับ

-ถ้าอยากทานไอติมหลังสี่ทุ่ม สเวนเซ่นในโลตัสคำเที่ยงยังเปิดอยู่คับ

-ถนนนิมมานเหมินท์เป็นย่านที่ค่าครองชีพสูงสุดในเชียงใหม่คับแต่เมื่อสิบยี่สิบปีก่อนยังเป็นทุ่งนาอยู่เลย

-บัตรผ่านกองบิน สามารถเอาไปถ่ายเอกสารสีได้แนะนำให้ยืมคนที่มีบัตรผ่านที่ไม่ใช่สีเขียวแดง เช่น สีฟ้า สีชมพู เป็นต้นและห้ามวิ่งช้าผ่านด่าน ไม่งั้น สห.ทอ. จะตรวจเจอ

-ขับรถเข้า มช. หลังสี่ทุ่ม ให้หรี่ไฟหน้า และเปิดไฟในรถเสมอ ยามจะไม่ตรวจ พวกที่สาดไฟสูงเข้ามา จะโดนเรียกและจะโดนซักนานมาก

-รถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งลัดกองบินต้องวิ่งริมทางเสมอมิฉะนั้นจะเจอกับกระแสลมอันรุนแรง พัดคุณล้มคว่ำได้

-ที่จอดรถสนามบินเชียงใหม่ 8 นาทีแรกจอดฟรี (ทำไมต้อง 8 นาที งง มากค่ะ)

-คนที่ไปไหว้ครูบาศรีวิชัยตรงตีนดอยจะขอแต่ในเรื่องการงาน การเรียนแต่ถ้าขอเกี่ยวกับความรัก ว่ากันว่า เลิกกันแทบทุกราย มิน่าล่ะ โสดมาสองปีแล้ว ขอแฟนไม่เคยได้

-ไปเที่ยวห้วยตึงเฒ่าไม่ควรใส่เสื้อผ้าสีแดงไป เพราะเจ้าที่แรง

-เรื่องผีวิญญาณใน มช มีตั้งแต่รากต้นไม้ไปจนถึงตึกเรียนทุกตึก

-ข้าวซอยกาดมั่วจานละ20บาทใต้ถุนกาดสวนแก้วอร่อยกว่าที่ฟ้าฮ่าม

-ผาลาดตะวันรอน อาหารงั้นๆ แต่วิวสวยมั๊ก ๆ

-ร้านเฮือนเพ็ญตอนกลางวันกับตอนกลางคืน เจ้าของคนละคนกัน

-เด็กมัธยมที่นี่ชอบใช้บริการปลอมบัตร ปชช เพื่อจะได้เข้าผับ เธค

-อย่าพยายามหาเรียกมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่เชียงใหม่

-ถ้าคุณขับรถมาเชียงใหม่ครั้งแรกแนะนำว่าให้อยู่ห่างๆคูเมืองไว้ ไม่งั้นคุณอาจจะเสียเวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อที่จะกลับไปที่เดิม

-โรงแรมวโรรส แกรนด์พาเลซ เป็นโรมแรมที่ไม่ค่อยมีคนมานอน แต่ไม่ก็ยักกะเจ๊งซักที

-รถแดงเชียงใหม่ตามใจตัวเองมากที่สุด เราอยากไปไหน ต้องถามว่าเค้าจะยอมไปส่งเรารึเปล่า ..

-เซเว่นตรงประตูทางออกมอชอ เป็นที่เดียวที่ปิดสี่ทุ่ม ไม่ได้เปิด 24 ชม.

-วัดสวนดอกมีพระประธานสององค์ หันหลังชนกัน

-ถนนคนเดิน เคยอยู่ตรงประตูท่าแพ ไปจนเกือบถึงสะพานนวรัตน์ที่เห็นตอนนี้ย้ายมาทีหลัง และมีท่าทีจะขยายไปเรื่อยๆ เป็นไปได้ว่าจะลามไปทั้งเมือง

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

สบายใจ.. ไปวัดป่าเชิงเลน





พุธที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๒

จะด้วยความสบายใจขึ้นที่บ้านเมืองสงบลงหรือเปล่า ที่พี่ผึ้งชวนอิ๋วกะม้อยไปสำรวจ "วัดป่าเชิงเลน" ในซอยจรัญสนิทวงศ์ ๓๗ กัน

พี่ผึ้งว่าพี่ผึ้งเจอวัดนี้ในเว็บไซต์ ตอน search หาวัดในกรุงเทพฯ ให้อิ๋วได้ "ปฏิบัติ"

สิ่งดลใจอีกอย่างของพี่ผึ้งคือพระนาคปรกองค์ใหญ่ ที่แกคงเห็นภาพจากเว็บที่ว่า
(ท่านอยู่ในเรือนที่กำลังซ่อมหรือกำลังสร้าง สักอย่างนี่แหละ เลยไม่ได้ถ่ายภาพมา)

สายวันนี้ก็เลยพากันปุเลงๆ มาจากชานเมืองด้านหนึ่ง มารับอิ๋วที่สถานีสุรศักดิ์แล้วก็ข้ามแม่น้ำเข้าจรัญสนิทวงศ์
ขับเลยซอย (ตามฟอร์ม) แล้วก็ยูเทิร์นมาเข้าซอยจรัญ ๓๗ ซอยวัดเพลงวิปัสนา ข้างแมคโครจรัญฯ นั่นแล

แล้วไม่ต้องคิดหรือสงสัยอะไรมาก ตรงเข้าซอยไปเรื่อยๆ ฮะ
สุดซอยตรงริมคลองบางกอกน้อยแล้วก็จอดรถ เดินลัดเลาะริมคลองไปทางขวา
ไปตามป้าย เดินเพลินๆ เดี๋ยวก็ถึงวัดฮะ

วัดนี้เป็นสาย สายไรนะ ธรรมยุตใช่ไหม? (ปลาทองนะฮะ)
ดูเหมือนที่นี่ไม่เน้นวัตถุ ไม่เน้นอลังการ ข้าวของที่สาวๆ หอบหิ้วไปถวาย หลวงพ่อท่านก็รับไปโดยไม่มากพิธี
แถมเทศนา(อย่างกะอ่านใจใครบางคนออก)ให้อย่างยาว

คนทำเว็บเกี่ยวกะวัดนี้ไว้ด้วยล่ะ
http://luangpumun.org/watpakrangkrung/watpa.htm

ถ้าจะหาความสงบเรียบง่าย ริมคลอง
ลองเข้าไปสุดซอยจรัญฯ ๓๗ บางที อาจไม่ต้องไปถึงอัมพวาหรอกนะฮะ

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

Out of Africa : รักที่ริมขอบฟ้า

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ แต่ก็ได้ DVD หนัง Out of Africa (1985) หรือ “รักที่ริมขอบฟ้า” มาไว้ในครอบครองนานจนลืม เพิ่งมานึกได้ว่าอยากดูก็สองสามวันนี้เอง แล้วก็ไม่รู้เป็นอะไร ดูไปถึง Chapter ที่ 7 ก็หยุดไว้ก่อน แล้วไปค้นหนังสือ “รักที่ริมขอบฟ้า” ซึ่งแปลโดย สุริยฉัตร ชัยมงคล นักแปลมหากาพย์ผู้ล่วงลับ ซึ่งก็ได้มาครอบครองตั้งแต่ปี 2000 แล้วก็ยังไม่ได้ลงมืออ่านจริงจัง (ตามเคย) แค่เปิดชิมไปนิดๆ หน่อย (ก็ตอนนั้นรู้สึกว่าอ่านยากจัง-เพราะเขาแปลแบบประโยคต่อประโยค มีคอมมา โคลลอนก็แปลมาตามโครงสร้างประโยคต้นฉบับเลย) มาอ่านจริงจัง อ่านถึงบทที่ 2 ก็วางหนังสือ

ไม่รู้ว่าเพี้ยน หรือสมาธิสั้น..ก็อิฉันแค่อยากจะรู้ว่าหนังเล่าเรื่องเหมือนหนังสือไหม แค่นั้นเอง
พอเริ่มจับทางได้ว่า อ๋อ หนังสือเล่าเรื่องแนวนี้ ส่วนหนังเล่าอีกแนว เลยกลับมาเปิดหนังดูจนจบแบบฟูมฟายน้ำหูน้ำตา เมื่อคืนวานนี้เอง

หนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือที่ บารอนเนส Karen Blixen (Meryl Streep) เขียนขึ้นเมื่อกลับสู่เดนมาร์ก เมืองมาตุภูมิ หลังจากที่เธอเดินทางไปใช้ชีวิตในเคนยาเป็นเวลาทั้งหมด 23 ปี

เรื่องราวที่หนังเล่าจึงเป็นชีวิตครบรสของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งความรัก ความฝัน ความตั้งอกตั้งใจ ความมานะบากบั่น แล้วเธอก็มีใจสู้ สู้ยิบตาอย่างน่านับถือจริงๆ

เรื่องเริ่มจากวัยสาว คาเรนเป็นสาวเดนมาร์กจากครอบครัวมีอันจะกินที่อยากแต่งงานเพราะอยากออกจากบ้าน โดยไม่สนว่าจุดหมายจะเป็นที่ไหน ศรีลังกาหรือออสเตรเลียก็จะไป ขอให้ได้ไป เมื่อคนรักบารอนของเธอไม่ยอมแต่งงานด้วย เธอจึงยื่นข้อเสนอในการแต่งงานกับเพื่อน ซึ่งเป็นน้องชายของคนรัก ผู้กำลังถังแตกว่า แต่งกับเธอเสีย แล้วจะได้เงินไปทำฟาร์มโคนมที่เคนยา

คาเรนแต่งงานและเป็นบารอนเนสในวันที่เดินทางถึงเคนยา แต่เมื่อถึงบ้าน บนโต๊ะดินเนอร์ เธอกลับได้รู้ว่าบารอนผู้สามีเปลี่ยนแผนจากการเลี้ยงวัวนม (ซึ่งเธอคงจะมีทักษะมากกว่า) ไปเป็นปลูกกาแฟ (ซึ่งเธอปลูกไม่เป็น แถมยังไม่เคยมีใครปลูกกาแฟได้ผลดีในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลขนาดนี้มากก่อน) เสียแล้ว

และก่อนที่เธอจะได้หัวเสียกับเขา สามีก็เก็บของออกไปล่าสัตว์ตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้น

เป็นอันว่าคาเรนถูกทอดทิ้งตั้งแต่แรก ต้องแนะนำตัว และทำความรู้จักกับสภาพแวดล้อมแปลกใหม่ด้วยตัวเอง เรียนรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร บริหารจัดการ และแก้ปัญหาในไร่ รวมทั้งดูแลความเป็นอยู่ของคนของเธอให้อยู่ดีมีความสุข มีการศึกษา ซึ่งก็ยังดี เพราะเธอยังมีการช่วยเหลือจากคนรับใช้ชาวพื้นเมืองผู้นับถือศาสนาอิสลามชื่อ ฟาราห์

คาเรนรักชีวิตทิวทัศน์ แสงอาทิตย์ สายลม หยาดฝนในแอฟริกา รักความหลากหลายอันแตกต่างแห่งชาวพื้นเมืองที่อยู่รายรอบตัว เธอรักชีวิตที่นี่ ความรักนี้ของเธอยิ่งใหญ่เสียจนแม้จะถูกชายที่ได้ชื่อว่าสามีทอดทิ้ง หรือประสบโชคร้ายจากการทำไร่กาแฟ เธอก็ยังมีแรงทน ทนที่จะสู้ไป

อีกรักของคาเรนมีให้ชายชื่อ Denys Finch Hatton (Robert Redford) ชายหนุ่มแห่งอิสรเสรีผู้ฉลาดและร่ำรวยอารมณ์ขัน ซึ่งดูเหมือนจะปรากฏตัวในยามหัวใจของเธอต้องการกำลังใจเพื่อให้เดินผ่านพ้นปัญหาเสมอ นับตั้งแต่ครั้งแรก ระหว่างที่เธอรู้สึกอ่อนไหว ไม่มั่นใจ กับดินแดนใหม่ ท่ามกลางแวดล้อมของผู้คนต่างภาษา เธอพบเขาครั้งแรกเมื่ออยู่บนรถไฟสู่ไนโรบี ระหว่างกำลังอ้างว้างเพราะสามีออกจากบ้านทิ้งให้อยู่ลำพังนานวัน เขาก็ปรากฏตัว แล้วมอบนกหวีดเพื่อตอบแทนเรื่องเล่าแสนสนุกที่เธอจัดให้ในค่ำคืนที่เขาและเพื่อนแวะมาค้างแรม เข็มทิศนำทางที่เขามอบให้เมื่อเธอกำลังหลงทางในทะเลทรายกว้างใหญ่แห่งแอฟริกา รวมทั้งทิวทัศน์แสนงามของแอฟริกาจากมุมมองของพระเจ้าที่เขานำเธอไปชม

ใช่แล้ว คาเรนกับเดนนิสรักกัน ตั้งแต่คาเรนยังเป็นภรรยาของบารอนนั้นแน่ะ แต่แม้จะหย่าขาดจากบารอนแล้ว ทั้งสองก็ยังเป็นคู่รัก โดยไม่ได้เปลี่ยนเป็นคู่สมรส

เดนนิสบอกว่า “I’m with you because I choose to be with you” กระดาษแผ่นเดียวไม่ได้ทำให้เราอยู่ใกล้กันมากขึ้น หรือทำให้ผมรักคุณมากขึ้น

ใช่แล้ว แม้จะรักคาเรนแค่ไหน แต่เดนนิสเหมือนมาไซ คือมีชีวิตอยู่ในวันนี้ และจะอยู่ไม่ได้ หากไร้ซึ่งอิสรเสรี

แม้จะทำใจมาตั้งแต่แรก เพราะรู้ และเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายคนนี้ แต่แม้คุณจะเป็นคาเรน นี่ย่อมนับเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ ที่จะทำความเข้าใจได้ว่า...ถ้ารักฉัน ทำไมไม่อยู่กับฉัน ทำไมไม่เคียงข้างฉันในยามที่ฉันต้องการคุณ

ช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน คาเรนตั้งใจจะให้เป็นช่วงเวลาอันสวยงาม มันจึงไม่ถูกรบกวนด้วยการปรับทุกข์ ฟูมฟายว่าราคากาแฟตก ปีนี้ฝนมากไป หรืออีกไม่นานความสวยงามของแอฟริกาจะถูกบุกรุกจากผู้มาเยือน และอาจจะเป็นด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์อันแสนงามนี้ พร้อมๆ กับรอยร้ายของชีวิตในแอฟริกาของคาเรน

ปีสุดท้ายของชีวิตในแอฟริกา เกิดไฟไหม้โรงคั่วและโกดังเก็บเมล็ดกาแฟ ผลผลิตตลอดทั้งปี ในปีที่เมล็ดกาแฟได้ราคาดีวอยวายไปในกองเพลิง คาเรนหมดปัญญาหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยธนาคารแล้ว ไม่มีทางออกสำหรับเธออีกแล้ว นอกจากขายสมบัติทั้งหมด ใช้หนี้ แล้วกลับเดนมาร์ก

ยังเหลือภาระรับผิดชอบยิ่งใหญ่ (ซึ่งทำให้อิฉันน้ำตาตก) อีกเรื่อง คือการหาที่ดินผืนหนึ่ง เพื่อให้ชาวพื้นเมืองที่เคยทำงานให้เธอได้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน คาเรนคุกเข่าลงขอร้องให้ข้าหลวงผู้ดูแลอาณานิคมแอฟริการับปาก แต่ผู้ที่ยืนขึ้นเพื่อรับปากเธอกลับเป็นสุภาพสตรีผู้เป็นภรรยาของท่านข้าหลวง

ถ้าคาเรนจากไปโดยทิ้งแอฟริกาและเดนนิสไว้เบื้องหลัง เธอจะกลับมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนคนรัก และดินแดนที่เธอแสนรักสักครั้งไหมนะ? อิฉันลองคิดดูประสาคนงี่เง่า เพราะว่าเรื่องที่หนังเล่าคือ ทั้งๆ ที่สัญญาว่าจะไปส่งลงเรือกลับเดนมาร์ก แต่คาเรนกลับสูญเสียเดนนิสไปอย่างไม่มีวันกลับ ก่อนหน้าวันที่เขาสัญญาจะมารับนั้นเอง

แทนที่จะเป็นคาเรน ผู้ถูกฝัง ณ เนินเขาที่เธอปรารถนาจะถูกฝังอยู่ (ดังที่คุณได้เห็นในภาพโปสเตอร์) กลับเป็นคนที่เธอรักที่สุดซึ่งทอดกายนอนหลับอยู่ตรงนั้น เพื่อที่จะเฝ้ามองภูมิประเทศแสนงามแห่งแอฟริกาตลอดไป

คาเรนจากแอฟริกาในปี 1931 แล้วเธอไม่ได้กลับมาอีก
เป็นไปตามคำพูดของเดนนิส ที่ครั้งหนึ่งเคยเหน็บเธอ ซึ่งขณะนั้นรู้สึกผูกพันกับสิ่งต่างๆ ในแอฟริกามามาย จนกลายเป็นความทุกข์ เขาบอกว่า

“เราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย
เราแค่ผ่านมาเท่านั้น”




บันทึก
• Out of Africa กำกับโดย Sydney Pollack ยาวประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที ยาวมากๆ แต่ไม่ยักเป็นหนังที่ดูแล้วหลับแฮะ
• หนังเรื่องนี้รวบรางรางวัลมาได้ถึง 28 รางวัล ในจำนวนนี้เป็นออสการ์ 7 รางวัล รวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีรางวัลนักแสดงชาย หรือหญิงยอดเยี่ยมนะจ๊ะ
• ว่ากันว่าสตรีไทยบางคน ซื้อตั๋วเข้าชมหนังเรื่องนี้ซ้ำๆ ถึง 12 รอบทีเดียว
• หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพได้สวยจริงๆ บทดัดแปลงก็เริ่ดมาก จัดน้ำหนักและสัดส่วนได้สมดุลจริงๆ อิฉันชอบไดอาล็อกมากๆ
• เขาจัดบ้านคาเรนน่าอยู่มาก ชอบวีรันดาที่มีเก้าอี้หวายพร้อมเอนกายมากที่สุด
• 14-15 ปีก่อน ป้าสตรีพสวยเหลือเกิน โครงหน้าเธอดูแกร่งสมกับเป็นคาเรน สำเนียงที่ทำให้พูดภาษาอังกฤษไม่ชัดนั่นก็เยี่ยมจริงๆ
• สำหรับโรเบิร์ต เรดฟอร์ด เจ้าของดวงตาสีฟ้าคู่นั้น อิฉันมีความรู้สึกว่าบุคลิกของตัวละครที่พี่แกเล่นนั้น เหมือนในชายกระซิบม้า (The Horse Whisperer) มาก มันนิ่ง เหงา โดดเดี่ยว แต่อ่อนโยน ดึงดูดหัวใจสาวชะมัด ยิ่งเสน่ห์ดึงดูดบรรดาสตรีมีสามีแล้วนี่ ตัวละครสองตัวนี้กินกันไม่ลงเลยนะฮะ (ฮา) เรดฟอร์ดเล่นเป็นเดนนิสได้เด็ดขาดมาก ไม่รู้ถ้าให้คนอื่นเล่น อิฉันจะรู้สึกเคารพความรักอิสระของเดนนิสโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ อย่างนี้ไหม
• ความรู้สึก และความสัมพันธ์ ระหว่างคาเรนและเดนนิสน่าศึกษามาก มันเกิดขึ้นกับชายหญิงที่มีวุฒิภาวะแล้ว ที่เคารพในกันและกัน แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่มีต่อกันและกันด้วย
• เชื่อว่า Out of Africa จะเป็นหนังอีกเรื่องที่คิดถึง อยากดู และดูได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ขอบคุณทุกคนมาก ที่ทำหนังเรื่องนี้มาให้ดู
• อยากอ่าน “รักที่ริมขอบฟ้า” เร็วๆ จัง อยากรู้ว่าจะรู้สึกถึงบุคลิกของตัวละครเหมือนกับที่รู้สึกจากในหนังไหม



คนมันหน้าตาดี



พี่แกเห็นหน้าตาดีๆ ของเราแล้วอดไม่ได้

อิ อิ




อังคาร ๑๔ เมษายน ๒๕๕๒

จากห้างใกล้ๆ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าในการกลับบ้าน

..รถมันติด แต่นั่งดูคนเล่นน้ำกันสนุกดี
ส่วนมากเขาไม่ค่อยสนใจเราเพราะเรานั่งในรถเก๋ง ไม่ใช่ท้ายกระบะ
แต่มีอยู่ ๒ รายที่ไม่อาจละความสนใจจากเรา

คงจะเป็นเพราะเรามัน..คนหน้าตาดี

อิ อิ

สงกรานต์ที่ชานเมือง




อังคารที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๒

หลังจากอยู่บ้านมา ๓ วันกว่า รู้สึกทนไม่ได้
เลยชวนคุณเพื่อนบ้านใกล้ไปกินพิซซ่าหน้า ๔ ชีสกัน
คุณเพื่อนเพิ่งได้ข่าวการสลายตัวของม็อบหน้าทำเนียบ เลยดีใจ
เลี้ยงพิซซ่าเรา (จริงๆ แล้วคุณเพื่อนเลี้ยงวันเกิดรวมไปด้วยเลย)
ขาไปไปทางศรีนครินทร์ ถนนยังโล่ง
ขากลับ คุณเพื่อนพากลับทางซอยเล็กซอยน้อย จากอุดมสุข-อ่อนนุช
เจอรถติดจนอาน
ก็วัยรุ่นเขาออกมาเล่นน้ำกันน่ะซี

ไม่รู้ตอนเที่ยงๆ ฟังข่าวแล้วสบายใจ เลยพากันออกมาเล่นน้ำหรือเปล่า
แต่ถึงรถจะติดแต่เราสองคนไม่เซ็งเท่าไหร่
ออกมาเล่นน้ำบ้าๆ กันบนถนน
ยังดีกว่านั่งหดหู่อยู่ในบ้านเพราะกลัวม็อบเอารถแก๊สมาปิดสี่แยกหน้าบ้าน

นั่งดูเขาเล่นน้ำกันก็สนุกดีนะ
^_^

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

หญิงสาว กับ ชายหนุ่ม






ศุกร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๒


บ้านเมืองไม่สงบ เลยได้เลิกงานเร็ว
เลยบังเอิญเจอของชอบ


วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552

Eternal Summer : เพื่อนรัก-รักเพื่อน

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


ดูหนัง Eternal Summer (2006) หนังวายเรื่องดังที่มีชื่อเพราะๆ ในภาษาไทยว่า “หนึ่งฤดู สองรัก สามเรา” แล้วมีคำถาม

ไม่ใช่ “เค้าเป็นเกย์กันตั้งแต่เมื่อไหร่” แต่เป็น “ความรักมันเกิดขึ้นตอนไหน”


หนังไต้หวันเรื่องนี้เล่าเรื่องของเพื่อน 3 คน เริ่มต้นที่เด็กผู้ชายสองคน เจอกันก่อนในชั้นประถม หยูโซ่เหิงเป็นเด็กมีปัญหา สมาธิสั้น ดูเผินๆ เหมือนเด็กเกเร ก็เลยไม่มีเพื่อนเลย ครูเลยต้องฝากให้ คังเจิ้นฉิง หัวหน้าห้องที่เป็นเด็กเรียนดีช่วยดูแล และเป็นเพื่อนเขาด้วย

หนังแอบบอกเราตอนนี้ว่า เจิ้นฉิง รู้สึกว่า โซ่เหิง เป็นคนพิเศษตั้งแต่ตอนนั้น เพียงแต่ว่าเขาไม่กล้าพอจะเข้าไปสัมผัสความพิเศษนั้น

คำสั่งของครูก็เลยทำให้เด็กทั้งสองได้ใกล้ชิด และเริ่มผูกสมัครรักใคร่ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้น

ดูๆ คู่นี้ก็ไม่ต่างจากเด็กผู้ชายเพื่อนซี้ทั่วๆ ไป แต่มันเริ่มมาแหม่งๆ อีตอนที่ตัวละครสาวก้าวเข้ามาเป็นสารเร่งปฏิกิริยาให้กับ เจิ้นฉิง

ตู้ฮุ่ยเจีย ย้ายมาจากฮ่องกง จึงมีบุคลิกเป็นเด็กสาวฉลาด มาดมั่น เหมือนเธอจะเริ่มปิ๊ง เจิ้นฉิง ก่อน ทั้งคู่โดดเรียนไปไทเป (เข้ากรุง) แล้วก็ค้างคืนกัน และแล้ว แม่สาวคนกล้าก็เริ่มรุกรานผู้ชายก่อน หูยย... เปิดโอกาสขนาดนี้ ถ้า เจิ้นฉิง เป็นชายแท้ สงสัยความสัมพันธ์จากเพื่อนคงได้พัฒนาเป็นแฟน

แต่ทว่า มันต้องหยุดอยู่เพียงแค่เพื่อน เพราะ เจิ้นฉิง ไปต่อไม่ได้

เจิ้นฉิง ก็รู้ตัวว่ามันชักจะแปลก เด็กผู้หญิงน่ารักในอ้อมแขนทำให้เขาเตลิดเปิดเปิงไม่ได้ แต่แค่ภาพเพื่อนรักที่กำลังเล่นบาสเหงื่อโทรมกายกลับทำให้เขาฟุ้งซ่าน เขาจึงพยายามดึงตัวออกห่าง

ฮุ่ยเจีย มาหาที่บ้าน แล้วถามเขา “เธอรักเขาใช่ไหม?”
“...เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน” เจิ้นฉิง อึ้งก่อนตอบ
“..เธอไม่อยากบอกเขาหรอ” แม่นี่ยังยิงคำถามต่อ แต่คำถามนี้ไร้คำตอบ


แค่นี้ฝ่ายหญิงก็รู้ตัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนุ่มที่เธอปิ๊งนั้นพัฒนาต่อไม่ได้ ที่พัฒนาได้ดันเป็นความรู้สึกที่ โซ่เหิง หนุ่มนักบาสสุดเท่มีต่อเธอ ซึ่งทั้งสองคนตกลงกันว่าจะปิดไว้เป็นความลับก่อน เหตุผลของฝ่ายชายคือเกรงใจเพื่อน เพราะแฟนตัวเองน่ะ เคยเป็นแฟนเพื่อนมาก่อน ส่วนฝ่ายหญิงน่ะรู้ ว่าเพื่อนรักแฟนตัวเองอยู่

เพราะความลับไม่มีในโลกหรือเปล่าไม่รู้ วันหนึ่ง เจิ้นฉิง ก็รู้ว่าเพื่อนกับเพื่อนแอบคบกันอยู่ ความรู้สึกก็เลยล้นทะลักเหมือนเขื่อนแตก ทั้งจากพื้นอารมณ์ที่เบลอ เครียด เพราะเอ็นท์ฯ ไม่ติดเหมือนเขา (คนนี้ตั้งแต่ได้ โซ่เหิง มาเป็นเพื่อนซี้ ก็ฟุ้งซ่านจนเบลอ จากที่เคยเรียนดีก็กลายเป็นแป้ก เพราะหัวจิตหัวใจคอยแต่จะบินไปจากตัวตลอดเวลา) ในขณะที่ โซ่เหิง เอ็นท์ฯ ติดได้ด้วยความสามารถทางการกีฬา และ ฮุ่ยเจีย สอบได้เอง ปีที่สองคนนี้เข้ามหา’ลัยแล้ว เจิ้งฉิง ก็ได้แต่ไปติวเตรียมเอ็นท์ฯ ใหม่

ไหนจะแอบรักเพื่อนมานาน จะบอกก็ไม่ได้ ได้แต่เก็บอัดไว้ในอก เพราะกลัวเพื่อนรับไม่ได้ เพื่อนจะมีน้ำใจตอบมามั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็เพื่อนแฟนเป็นผู้หญิง ฯลฯ

ซึ่งก็ตลกดี เพราะความช็อกของเจิ้นฉิงดันทำให้ทำให้โซ่เหิงเข้าใจว่าเพื่อนโกรธที่เขาไปจีบแฟนเก่าเพื่อนซะได้ ในขณะที่ เจิ้งฉิง ช็อกจนเตลิดไปเจอคนที่ทำให้เขาค้นพบความเป็นเกย์ในตัวอย่างเป็นทางการ


คืนหนึ่ง เพื่อนรักเกิดได้เสียกันเพราะความเมา (เมาดิบหรือเมาสุกก็ไม่แน่ใจอีก) แม้ตอนแรกจะเหมือนการหักหาญ แต่อีกฝ่ายไม่อาจทัดทานได้ เพราะ ‘ใจ’ น่ะ เสียให้เพื่อนไปก่อน ‘ตัว’ นานแล้ว

ก็ไม่รู้นะ ว่าตื่นเช้าขึ้นมา คนเมาเขาจะจำได้ไหม ว่าเมื่อคืนทำอะไรเพื่อน

(ฮา)


ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ คนดูอย่างเราจะถูกบิดหัวใจจากความเห็นใจ

เห็นใจน้องนางเอกสาววายแสนฉลาด เพราะจริงๆ แล้วอิฉันเชื่อว่าเธอรักทั้งสองหนุ่ม คนหนึ่งอาจอยากได้เป็นคนรัก อีกคนก็เป็นเพื่อนที่ดี เจิ้นฉิงก็น่าเห็นใจ เพราะแอบรักเพื่อนแต่ก็คิดว่าเพื่อนอยากมีแฟนเป็นผู้หญิงมากกว่า ก็เลยต้องพยายามพาตัวเองให้ห่างจากชีวิตเพื่อน ทั้งๆ ที่ไม่อยากเล้ย ส่วนโซ่เหิงสุดหล่อก็น่าเห็นใจ เพราะรักทั้งเพื่อนทั้งแฟน อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน (แต่มันจะเป็นไปได้ไง) ว่างั้น

เรื่องจะจบยังไง จากสามมันต้องเหลือสอง แต่จะกลายเป็นสองคนไหน ใครคือคนน่าสงสารที่สุด ก็ลองหามาชมกันเอง

แล้วจะช่วยอิฉันคิดหน่อยก็ได้ ว่า “ความรักมันเกิดขึ้นตอนไหน”

เพราะอิฉันเลิกคิดแล้วว่า ผู้ชายกลายเป็นเกย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ (คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก แม้แต่ในโลกจิตก็ยังไม่มีคำตอบให้เลย) นอกจากนี้อิฉันเชื่อว่า ความรักคือความรู้สึกมหัศจรรย์ที่เกิดได้โดยไม่เลือกเพศ ตอนนี้จึงสงสัยอยู่แค่ว่า ความรักมันเกิดเมื่อแรกพบเลย หรือว่ามันเกิดหลังจากที่คนเราคบๆ กันไปแล้วเรียนรู้กันมากขึ้น เมตตา-อารี ดูแลมากขึ้น มีการให้ และรับกันมากขึ้น มันจึงงอกงามขึ้นเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ได้ดินดี ได้แสงแดด และได้น้ำรด


ทำไมต้องคิดน่ะหรอ

ก็เพราะบางที ถ้าเรารู้ว่าความรักมันเกิดขึ้นได้ยังไง ชีวิตที่เหลือของเราอาจจะไม่ขาดรักอีกเลยไง





บันทึก
• ‘หนังวาย’ คืออะไร บอกสั้นๆ ได้ว่าหมายถึงหนังที่เล่าเรื่องราวความรักของคนเพศเดียวกัน ซึ่งเรื่องราวความรักของคนเพศเดียวกัน หรือที่เรียกกันในอีกคำว่า ‘รักร่วมเพศ’ ที่เล่าผ่านหนังวายก็ไม่ได้แตกต่างแปลกประหลาดพิสดารไปจากความรักของคู่รักต่างเพศเลย พูดอีกทีก็คือมีทั้งฉาก 'รัก' และ 'ร่วมเพศ' เหมือนกันนั่นแหละจ้า
• ทราบแล้วว่าหนังวายเป็นยังไง คงเข้าใจได้ไม่ยากว่า ‘สาววาย’ ก็คือสาวๆ ที่หลงใหล และอิน(มากๆ)ไปกับตัวละครที่เป็นคนรักเพศเดียวกันพวกนี้ พวกเธอจะตามเสพเรื่องราวเหล่านี้อย่างซีเรียส จริงจัง ไม่ว่าจะเป็นในรูปของหนัง หรือมังงะ (การ์ตูน)
• อิฉันเองก็จัด (ตัวเอง) ให้เป็นสาววายอย่างอ่อนๆ ดูหนังเรื่องนี้ไปยังคิดถึง Happy Together หนังวายตัวแม่ขึ้นมาติดหมัด
• น้องนางเอกของเรา (Kate Yeung) นั้น แม้จะมีจมูกซิลิโค้น-ซิลิโคน แต่มีตากลมเป็นประกาย ปากสวยอิ่ม และช่วงขาสวยดี, หยูโซ่เหิง (Chang Hsiao-chuan) หน้าตาเท่ดี ผิวสีแทน แถมยังมีแผงอกน่าลูบไล้โคตรๆ, ส่วน คังเจิ้นฉิง (Bryant Chang) เป็นคนที่ดูเกย์ที่สุดแล้ว ทั้งท่าทางและแววตา
• ผู้กำกับหนังเรื่องนี้คือ Leste Chen ซึ่งถือเป็นผู้กำกับหนังที่โดดเด่นคนหนึ่งของวงการหนังไต้หวันยุคใหม่
• ขอออกตัวไว้ก่อน สำหรับคนที่อ่านรีวิวแล้วอยากดูมั่ง (ตาหลอด) ว่า หนังเรื่องนี้มีคนรอดูอยู่แล้ว 1 คน จะจัดส่งให้หลังสงกรานต์จ้า




วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552

โลกจิต : นอกกาย-นอกใจ

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Science
Author:แทนไท ประเสริฐกุล

โลกจิตเป็นหนังสือที่น่าทึ่ง เพราะมันเขียนถึงปรากฏการณ์ซับซ้อนที่เกิดจากการทำงานประสานกันของสมอง ร่างกาย และจิตใจของคนเรา ไว้อย่างเพลิดเพลิน อ่านสนุกราวกับอ่านเรื่องกอสสิป จนแม้แต่มันความหนาปึกของมันยังไม่ใช่อุปสรรคในการอ่านจนจบ

ไม่ใช่แค่สามารถเล่าเรื่องยากๆ ได้สนุก ตลกโปกฮาอย่างเดียว การสื่อสารของแทนไท ประเสริฐกุล นักเขียนหนุ่มทายาทกวีซีไรต์ นักเรียนทุนทุน พสวท. ผู้เคยเป็นอาจารย์ชีวะฯ ระดับมัธยมปลาย ยังเป็นการสื่อสารที่สัมฤทธิผลอย่างดี เพราะนอกจากจะทำให้อิฉันเอง ซึ่งแทบไม่หือไม่อืออะไรกับการนำเสนอเรื่องวิทยาศาสตร์ด้วยสำนวนอะคาเดมิกสามารถ “เก็ต” คือทำความเข้าใจกับกระบวนการอันเป็นเหตุเป็นผลนั้นได้แล้ว บางเรื่องที่เขาคัดสรรมาเสนอยังทำให้อิฉันได้ค้นพบ และเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง ที่ก็ได้เรียนรู้มานานแล้วแหละ ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ แต่ไม่เคยเข้าใจ ว่าทำไม มันถึงได้เป็นอย่างนี้

หนึ่งในนั้นคือ สัญชาตญาณความหึงที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ในบทที่ชื่อ “ที่มา ที่ไป นอกใจ นอกกาย”


แทนไทเล่าเรื่องขำๆ ของลมเพชรหึงระหว่างชายหญิงคู่หนึ่งให้อ่านพอขำๆ แล้วก็ยกเอาศาสตร์ที่ชื่อ Evolutionary Psychology หรือจิตวิทยาวิวัฒนาการ ซึ่งมีทฤษฎีว่า สัญชาตญาณใดๆ ก็ตามที่ถูกส่งผ่านรุ่นต่อรุ่น แสดงว่ามันต้องเคยมีประโยชน์ต่อการเอาชีวิตรอด และการสืบพันธุ์ของเรา ไม่เช่นนั้นสัญชาตญาณนี้ก็คงหายไปแล้ว เช่น สัญชาตญาณของการกลัวความมืด ความสูง หรือกลัวเจ็บ

มาถึงความหึง เหตุที่มันยังเป็นสัญชาตญาณที่คงอยู่ ไม่สูญสลายหายไป แทนไทบอกว่า เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องการสืบเชื้อสายของคนคู่หนึ่ง ไม่ให้ถูกแทรกแซงจากบุคคลที่สามนั่นเอง

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ผู้ชายและผู้หญิง “หึง” ไม่เหมือนกัน..ไม่เชื่อก็ลองคิดตามดู


ในผู้ชายซึ่งเป็นเพศที่ไม่อาจมั่นใจได้ว่า ลูกที่เกิดจากเมีย เป็นลูกของเขาจริงๆ หรือไม่ (แน่ล่ะ ก็เขาไม่ใช่คนคลอดนี่) หากลูกที่เกิดมาเป็นลูกของชายอื่น งานการที่ลงแรงทำเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงลูก ความรักเอาใจใส่ที่ทุ่มเทไป ก็เท่ากับเป็นการสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการเลี้ยงลูกชู้ ไม่ใช่ลูกตัว ด้วยเหตุนี้ ความหึงในผู้ชายจึงถูกพัฒนาให้อ่อนไหวต่อสิทธิขาดทางเพศในตัวผู้หญิงของตัวเองของตัวเอง หรือพูดง่ายๆ ว่าผู้ชายหึงเรื่องแฟน “นอกกาย” มากกว่า
รู้ว่าแฟนกรี๊ดฟิล์มยังไม่ปรี๊ดเท่ารู้ว่าหล่อนไปจูบกับผู้ชายอื่น

ส่วนในผู้หญิง ยังไงๆ ผู้หญิงก็เป็นฝ่ายมั่นใจได้ว่าลูกที่เกิดมาเป็นลูกของตัวเอง (ก็แน่สิฮะ เบ่งออกมาเองนี่นา) ดังนั้น สิ่งที่ผู้หญิงจะระแวดระวังมากที่สุดในความสัมพันธ์กับผู้ชายของเธอก็คือ การสูญเสียความรัก ความเอาใจใส่ที่พึงจะได้รับจากคนรักหรือสามีมากกว่า ซึ่งการที่ผู้ชายแบ่งใจไปรักคนอื่น ความความรัก ทุ่มเท การดูแลเลี้ยงดู ที่เคยมีให้เธอกับลูกก็จะพร่องลง ความหึงของผู้หญิงจึงถูกพัฒนาให้อ่อนไหวต่อสิทธิ์ขาดทางความรักจากคนรัก หรือพูดง่ายๆ ว่าผู้หญิงจะหึงเรื่อง “นอกใจ” มากกว่า แฟนเผลอนอกกายกับหญิงอื่นยังพอคุยกันได้ แต่ถ้าจับได้ว่านอกใจละก็ เรื่องใหญ่แน่


แทนไทยังสงสัยไม่จบ เขาพบบางเว็บไซต์ที่พูดถึงความหึงที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า บางทีการหึงแบบนี้หาใช่กลไกป้องกันไม่ให้คนรักไป นอกกาย หรือนอกใจ กับคนอื่น แต่นั่นอาจเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความน้อยเนื้อต่ำใจว่ามีดีสู้คนอื่นไม่ได้

ซึ่งก็เป็นได้ว่าสมัยเด็ก คนขี้หึงคนนั้นอาจจะได้รับความรักจากพ่อแม่ไม่เต็มที่ จึงโตขึ้นมาพร้อมกับโหยหาความรักอย่างเหลือเกิน เติมเท่าไหร่ไม่เคยเต็ม แถมยังทั้งหวง ทั้งหวาดกลัวจะสูญเสียความรักที่มีอยู่ไป



บันทึก
• ทักษะและความสามารถในการคิด และเขียน ของแทนไท ประเสริฐกุล อาจจะถูกระบุไว้ในดีเอ็นเอ แต่เชื่อว่ารสนิยมในการอ่าน และความกระหายในการสืบค้นข้อมูลประกอบการเขียนของเขามาจากการปลูกฝังระหว่างเลี้ยงดู
• สิ่งที่น่ายกย่องของแทนไทคือ เขาสงสัย เขาค้น เขารู้ แล้วเขาสอนต่อ โดยไม่แคร์ว่า ถ้านักเรียนไม่เข้าหาเขา เขาต้องเป็นฝ่ายเข้าหานักเรียน และที่สำคัญ เขาทำมันได้ดีเสียด้วย
• แทนไททำรายการข้อมูลอ้างอิง+เพิ่มเติมท้ายเล่มได้เริ่ดมาก
• ต้องขอบคุณคนสองคนที่ทำให้ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ คนแรกคือน้าหว่าง ที่จู่ๆ ก็บุกมาแนะนำหนังสือเล่มนี้ถึงหน้าบ้าน บอกว่านี่เป็นงานเขียนกวน ต ของครูชีวะฯ (เหมือนเขา) อีกคนคือ ปกรณ์ ผู้ซึ่งอุตส่าห์ขนหนังสือเล่มนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้ยืม (โปรดทราบว่ามันเยินมาเรียบร้อย ก่อนถึงมีอิฉัน) พร้อมกับสั่งว่า อ่านแล้วเขียนรีวิวด้วย