วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

The Mist : อย่าเอาพระเจ้ามากล่าวอ้าง

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Horror



ในที่สุดก็ได้ดู The Mist (2007) ที่เพื่อนอุตส่าห์เลือกมาฝากเป็นพิเศษเสียที

หนังมันก็สั้นกระชับดี และสนุกดี (ในแบบที่หนังแนวนี้ควรจะเป็น) แต่ดูไปๆ แล้วก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ดูทำไมวะเนี่ย

มันเป็นหนังที่สร้างจากนิยายของ Stephen King ลำพังแค่ไอเดียของอีตาคนนี้ก็อย่างที่รู้ๆ คือแกสามารถจินตนาการถึงเรื่องสยองขวัญสั่นประสาทคนอ่านได้สุดขั้วอยู่แล้ว มาเจอผู้กำกับ Frank Darabont ที่มีความสุขในบีบคั้นอารมณ์คนที่เสนอตัวมาเขียนสกรีนเพลย์เองเข้าไปอีก หนังเรื่องนี้มันก็เลยออกมาเป็นหนังที่ดูแล้วไม่เห็นจะมีความสุข มีแต่ความเคร่งเครียด กดดัน แล้วก็หมดอาลัยในเพื่อนมนุษย์ชิบเป๋ง

สตีเฟ่น คิง ชอบเขียนเรื่องให้ตกอยู่ในภาวะคับขันที่บีบบังคับให้มนุษย์แสดงธาตุแท้ออกมา อย่างในเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ ที่คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันหมด เริ่มจากพายุใหญ่โหมกระหน่ำทำบ้านพังจนรุ่งขึ้นคนต้องออกมาซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อหาซื้อข้าวของจำเป็นกลับไปซ่อมบ้านกับซื้อเสบียงกลับไปตุน

และแล้ว เมืองก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ ที่เป็นปริศนาว่ามันมาจากไหน รู้แต่มันไหลมาอย่างเร็ว ปิดทัศนวิสัยทุกอย่างข้างนอกร้าน ซ่อนตัวประหลาดที่ทำร้าย ไล่ต้อนผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตมาบอกข่าวคนข้างในเอาไว้อย่างแนบเนียน

ไอ้ตัวประหลาดนี่มันอะไรเป็นเรื่องน่าสงสัย แต่ไอ้ที่ไม่ต้องสงสัยคือ มันจะเอาชีวิตคน อย่าได้ออกไปให้มันจับได้เชียวแหละ

หลายชีวิตที่หลบอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตดูจะปลอดภัย แต่จริงๆ โดนมอนสเตอร์ฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วตายไปเลยอาจจะยังดีกว่าบ้าตายเพราะเจ๊คลั่งศาสนาคนนั้น ที่เอาแต่พร่ำบอกว่า นี่แหละพระเจ้าลงโทษแล้ว เพราะว่าพวกเธอน่ะ หยิ่งยโส เพิกเฉยไม่นำพา ไม่เข้าหาพระเจ้า ฯลฯลฯลฯลฯ

ความคับขันบีบคั้นให้เกิดความเครียดและความกลัว งานนี้ถ้าสติหลุด ใครๆ ก็บ้าได้ทั้งนั้น

อยู่ข้างในมีอาหาร แต่ไม่มีอนาคต ออกไปข้างนอกดูมีอนาคตมากกว่า แต่ก็ต้องเสี่ยง เพราะไม่รู้จะมีภัยอะไรซ่อนอยู่ในหมอกบ้าง ติดอยู่อย่างนั้น ๒ วัน สัญชาตญาณไม่ชอบถูกกักขัง กอปรกับบทสดุดีีพระเจ้า (ตลอดเวลา) ทำให้เริ่มทนไม่ไหว จึงคิดหนี แต่พี่พระเอกก็ต้องตัดสินใจให้ดี ไม่ได้มีแค่ลำพังชีวิตตัวเอง แต่ยังมีลูก และคนอื่นๆ อีก

แล้วก็ออกมาโดยไม่มีเสบียงและไม่มีแผน มีแค่น้ำมันเต็มถังกับปืนกระบอก ลูกปืน ๔ นัด

อยากรู้เหมือนกัน ถ้าในซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นมีพุทธศาสนิกชนสัก ๒ คน เรื่องจะเป็นไง หรือถ้าตัวเอกเป็นพุทธ จะมีสติยังคิดมากกว่านี้ไหม ตอนจบ จะพูดอะไรเก๋กว่าการกล่าวโทษว่า “พระเจ้าเกลียดเรา” หรือเปล่า


เพราะเท่าที่เห็น เรื่องนี้เป็นเรื่องของมนุษย์ล้วนๆ
พระเจ้าท่านไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเล้ย



บันทึก :
• หนังแผ่นนี้คุณภาพดีมาก เล่นด้วยเครื่องเล่นห่วยๆ (ที่คิดว่าพังไปแล้ว) กับทีวี ๑๔ นิ้วรุ่นเก๋ายังชัดแจ๋วไม่มีกระตุก..คุณภาพเขาสมราคาจริง
• แล้วที่เขียนไว้บนแพ็คเกจว่าเป็นแผ่น Blu-ray น่ะจริงหรอ หรือแผ่น Blu-ray จากเมืองจีนเล่นกะเครื่องเล่นดีวีดีจีนได้ ว่างั้น?
• จะบอกว่าไม่ได้หืออือกะพล็อตของสตีเฟ่นคิงเท่าไหร่หรอก อ่านมาหลายเรื่องก็ค่อนข้างจะคุ้น สิ่งที่น่าประทับใจคือวิธีการเล่าเรื่องด้วยการ hand held หรือถือกล้องเอาแบบนี้ คือมุมมันเหมือนตาคนน่ะ กดดันดี
• แล้วไอ้ความเงียบนั่นอีก คือเวลาหมอกลงจัดๆ มันก็ดูสงบและสงัดอยู่แล้ว ผู้กำกับดันจงใจปล่อยให้เงียบอีก ไอ้เราดูไปก็ใจเต้นตึกตัก-ตึกตักสิ
• เอาเป็นว่า ใครชอบหนังแนวนี้แล้วยังไม่ได้ดูก็หามาดูเหอะ ดูแล้วคงสะใจคุณน่ะ
• อ้อ ขอเขียนถึงเจ๊ Carmody จอมเพี้ยน (Marcia Gay Harden) หน่อย อารัยจะแสดงเก่งขนาดนี้วะ ดูไปยังนึกว่าเจ๊เพี้ยนจริง ดูๆ ไปยังคิดว่าว่าตัวหายนะตัวจริงอยู่ไม่ได้อยู่ข้างนอกนั่นซะหน่อย
• ในรายชื่อหนัง recommend ที่จะแลกกันดูกับหวานใจ อยากรู้ว่าเพื่อนจะใส่หนังเรื่องนี้ลงไปไหม ได้ข่าวว่าปลื้มอยู่มิใช่น้อย


ครัวสุขภาพ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี

Rating:★★★★★
Category:Restaurants
Cuisine: Other
Location: ซอยระนอง 1 ถนนพระราม 6 โทร. 02-6158822 E-mail : contact@balavi.com

วันก่อนโน้นไปทำงานที่ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี
มีนัดเวลาบ่ายโมงตรง เลยยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง เพราะกะว่าที่นัดคงมีกิน
ปรากฏว่ามีจริง อย่างเป็นจริงเป็นจัง คือเป็นร้านอาหารเลย ไม่ได้ขายแต่สแนค
ที่สำคัญ ถึงจะเป็นร้านอาหารในศูนย์สุขภาพตามแนวแพทย์ทางเลือก แต่อาหารที่นี่ไม่ใช่อาหารชีวจิต อาหารมังสวิรัติ หรืออาหารแมคโครไบโอติก ที่จะห้ามกินนั่นกินนี่ ปรุงผ่านอุณหภูมิต่ำ ฯลฯ

แต่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ยังกินทุกอย่าง เพียงแต่ทุกสูตรผ่านการกำกับดูแลของนักกำหนดอาการหรือโภชนากร ที่รู้ว่ากินอะไรกับอะไรจึงจะดี ทั้งยังปรุงจากของใหม่สดไม่ใช้ผงชูรส

ราคาอาจจะสูงอยู่สักนิด แต่บอกได้เลยว่านี่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่รสชาติกินได้

จานที่สั่งมาชิมคือ ข้าวอบไส้อั่ว (๕๕ บาท) เป็นข้าวกล้องผัดกับขิง ข้าวโพด และไส้อั่ว อุดมสมุรไพรที่คัดเลือก และส่งมาจากบัลวีเวียงพิงค์ เชียงใหม่ หอมขิง+ไส้อั่ว รสชาติอร่อยกลมกล่อมและมีเท็กซ์เจอร์ชวนเคี้ยว (เคี้ยวข้าวเยอะๆ จะดีต่อการย่อยนะฮะ)

น้ำปลาพริกก็ใช้พริกจริง น้ำปลาจริง รสจัดจ้าน สมกับเป็นอาหารไทย

ส่วนเครื่องดื่มเป็นชากระเจี๊ยบ (ฟรี) บริการตัวเอง

ใครมีโอกาสผ่านไป ลองไปหาอาหารเมนูเพื่อสุขภาพที่รสชาติไม่ลำบากต่อการกิน (ให้หมด) กัน



แผนที่อยู่หน้านี้ฮะ
http://www.balavi.com/content_th/map/map.asp


เรดาร์แมว : เหมียวหน้าแปลก






ศุกร์ที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒


เมื่อเจ้าเหมียวหน้าแปลกเจอคนหน้าแปลก(กว่า)
ก็ผวาไปถึงไหนๆ





Hula Girls : เต้น! เพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama



ใกล้สอบแล้ว อาทิตย์นี้ตั้งใจจะทบทวนบทเรียน แต่ก็เฉไฉไปเปิดหนังดู (ตามเคย)
ทีนี้เลยได้ทบทวนด้วย (นิดหน่อยก็ยังดี) สนุก แล้วก็มีน้ำตาไหลประกอบอีกตามเคย

Hula Girls ฉายในปี 2006 แต่เล่าเรื่องราวในปี 1965 หรือ 41 ปีก่อนหน้านั้น ในเมืองอิวากิ จังหวัดฟุกุชิมะ ซึ่งตั้งอยู่หุบเขาที่มีอากาศหนาวซึมเซาหม่นมัวตลอดปี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น คนเมืองนั้นเขามีอาชีพการงานหลักอยู่ในเหมืองถ่านหินที่กำลังจะปิดตัวเพราะเริ่มมีการใช้น้ำมันมาแทนที่ ทำให้คนงานเกือบสองพันคนต้องตกงาน..แล้วเขาจะทำไงกัน พื้นที่เกษตรก็ไม่มี ประมงก็ไม่ได้ จะค้าขายหรือเส้นทางคมนาคมก็ไม่สะดวก เห็นว่าแม้แต่รถบัสยังไม่มีผ่าน จะขึ้นรถไฟก็อาจต้องไปขึ้นที่เมืองใกล้ๆ

ทางออกก็เลยเป็นโครงการ “โจบัง ฮาวายเอี้ยนเซ็นเตอร์” ที่จะเนรมิตความอบอุ่นและสดใสของฮาวายมาไว้แถบนั้น เพื่อดึงดูดให้มีรายได้การท่องเที่ยว และการจ้างงานเกิดขึ้น

แต่ว่า ด้วยธรรมเนียมวัฒนธรรมของคนเมืองนี้ที่เกิดมาก็เห็นพ่อแม่ทำงานในเหมือง พอโตก็ต้องไปทำงานในเหมือง พอมีครอบครัว ก็ยังคงเป็นครอบครัวทำงานเหมืองต่อไป คณะเต้นฮูล่าจึงไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ นอกจากมีสาวๆ สนใจน้อยแล้ว แรกๆ น้องๆ เค้ายังอ่อนใจ เพราะเป็นการเต้นที่ใช้เทคนิคใหม่ ซึ่ง..ไม่สามารถ

จนได้เห็นครูสาวเปรี้ยวและมีปัญหาจากโตเกียวซ้อมเต้นหน้ากระจกนั่นแหละ น้องๆ ถึงมีแรงฮึด อยากจะเต้นเป็นบ้าง แต่แม้จะมีความพยายามแล้ว แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน

ตอนที่แม่น้องนางเอกมาจิกตัวลูกสาวกลับบ้าน เธอประกาศว่า..คนเมืองนี้ผู้หญิงต้องอยู่บ้าน ช่วยสามีทำงานหาเงิน ไม่ใช่ออกมาเต้นแหกแข้งแหกขา ยั่วยวนผู้ชาย..

ไม่คิดว่าคุณครูจะสวนกลับไปว่า ..เพราะคิดอย่างคุณป้า ผู้ชายถึงยังไม่หยุดดูถูกผู้หญิงอย่างนี้ไง..

ใช่แล้ว ฮูล่าเกิร์ลไม่ได้เป็นแค่หนังดูสนุกๆ แต่เป็นหนังผู้ใหญ่ที่ถามถึงความฝัน ถามถึงความกล้าหาญที่จะเลือกทำ (งาน) ในสิ่งที่ตัวเองรัก และมีความสุข โดยเฉพาะถ้ามันเป็นงานที่ทำให้คนอื่นมีความสุข ถามถือการให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีของตัวเอง เคารพในความพยายามที่จะทำในสิ่งที่ดีของผู้อื่น และการรู้จักยอมรับเมื่อเขาคนนี้พิสูจน์ให้เห็น

แม่น้องนางเอกพูดกับผู้นำสหภาพแรงงานเหมืองในครั้งที่ออกไปขอยืมเตาถ่านหิน เพื่อเอาไปจุดให้ความร้อนกับต้นปาล์มจากไต้หวันที่ขนมาปลูกสร้างบรรยากาศฮาวาย ไม่ให้พวกมันสลดตายเพราะความหนาวเย็นไปเสียก่อนที่ท่อน้ำอุ่นจะส่งน้ำมาได้ ว่า

..เมื่อก่อนฉันคิดว่างานคือการทำงานในหลุมมืดๆ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นหรือตาย แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าการทำงานโดยการเต้นให้ความสุขกับคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เด็กพวกนั้น..พวกแกจะสร้างโลกใหม่ด้วยรอยยิ้มได้..

สาวๆ ฮูล่าทำให้เห็นแล้ว ด้วยการเต้นที่พวกเธอรัก พวกเธอช่วยหาเลี้ยงครอบครัวได้ พร้อมๆ กับที่ทำให้ตัวเองและผู้ชมมีความสุข

และบางทีอาจเป็นความเพียรพยายาม และความสุขที่ฉายออกมาผ่านยิ้มและประกายตาของพวกเธอนี่แหละ ที่สร้างแรงบันดาลใจสำคัญให้เกิดขึ้นในใจคนดู



บันทึก:
• คนญี่ปุ่นนี่ถนัดทำหนังเรียกแรงบันดาลใจ+ความสามัคคีของเด็กผู้หญิงเสียจริง ดูฮูล่าเกิร์ลจบแล้วคิดถึงสวิงเกิร์ลทันที
• ฉากเมืองเหมืองถ่านหินทำให้นึกถึงช่วงแฟลชแบ็คในหนังโตเกียวทาวเวอร์ เมืองบ้านเกิดของแม่ไง จำได้ไหม?
• พี่ชายน้องนางเอกก้น (เปลือย) สวยจัง
• ชอบท่าเต้นของมาโดกะเซนเซที่บอกว่า “ฉันมีความรักให้คุณ” จัง
• “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อสุภาษิตนี้
• ไม่รู้มีใครดูแล้วรู้สึกว่าหนังถูกตัดไหม เหมือนมันเล่าข้ามเป็นช่วงๆ อะ หยั่งตอนก่อนน้องขึ้นเวทีแกรนด์โอเพนนิ่ง มีฉากพี่ชายจะนั่งรถรางเข้าเหมือน แล้วไงต่ออะ? หรือแค่จะบอกว่า ‘แต่ละคนต่างตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี’ แค่นี้
• ดูแล้วอยากไปเข้าคลาสเบลลี่แดนซ์จัง อิ อิ


วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

The 40 Year-Old Virgin : The longer you wait, the harder it gets. (ฮา)

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Comedy


ถ้ามันเป็นแครมบรูเล ผิวหน้าที่เป็นคาราเมลหอมหวานน้ำตาลไหม้ของ The 40 Year-Old Virgin คงเป็นรสชาติตลกเดอร์ตี้โจ๊กแบบอเมริกันที่เรียกเสียงฮาน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล

แต่พอใช้ช้อนเคาะหน้า ตักเนื้อขนมเข้าปากเท่านั้น ก็จะได้รู้ว่าที่จริงขนมถ้วยนี้ไม่ได้อร่อยเผินๆ แค่ชั้นเดียว แต่ยังมีรสล้ำนวลลิ้นที่จะเจาะลึกเข้าไปในใจคนดูอีกชั้น

เพราะมันกล้าตั้งคำถามซอฟต์ๆ แต่ชวนขบคิดถึง เซ็กซ์ กับความสัมพันธ์

หนังเรื่องนี้เล่าถึวชีวิตของ Andy Stitzer (Steve Carell) หนุ่มใหญ่วัย ๔๐ ที่ตลอดชีวิตของเขายังไม่เคย “จึ้ก” สาวจริงๆ สักครั้ง

อันว่าคนเราอายุขนาดนี้แต่ยังเป็นเวอร์จิ้น ถ้าถือเพศนักบวช หรืออาศัยอยู่ในประเทศที่รักษาศีลของกาเมสุมิจฉาฯ เคร่งครัดอย่างบ้านเรา (ฮา) ก็คงจะไม่แปลก ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิง (ไทย) ยิ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่แอนดี้เป็นหนุ่มอเมริกัน ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่แสนจะเปิดเผยและตรงไปตรงมากับการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ ยังคงความบริสุทธิ์มาจนอายุปานนี้จึงเป็นอะไรที่หน้าขายหน้ามาก

แอนดี้เป็นโสด (แน่ล่ะ) มีชีวิตที่เรียบง่ายในอพาร์ตเม้นท์ที่สะอาดและเป็นระเบียบ มีงานอดิเรกคือสะสมตุ๊กตาซูเปอร์ฮีโร่ กับเล่นวิดีโอเกม เขาไม่สูบบุหรี่ ตื่นเช้า ทำกายบริหารอย่างมีวินัย อาบน้ำ ปรุงอาหารกินเอง แล้วก็ขี่จักรยานมาทำงานในร้านขายเครื่องไฟฟ้าใหญ่ของเมือง

จริงๆ แล้วถึงแม้จะค่อนข้างเนิร์ด แต่ชีวิตของแอนดี้ออกจะ็เป็นชีวิตที่มีคุณภาพ จัดการอะไรๆ ได้ด้วยตัวเอง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการอะไร แต่จากสายตาเพื่อนร่วมงานแล้วการใช้ชีวิตของแอนดี้เป็นอะไรที่พิลึกกึกกือเอามากๆ ยิ่งพอรู้ว่าเขายังเวอร์จิ้น เพื่อนๆ ก็คิดไปได้ต่างๆ นานา มีปัญหาบุคลิกภาพอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่มีใครเอา เป็นเกย์หรือเปล่า แล้วก็คันไม้คันมืออยากจะช่วยจัดการให้แอนดี้ได้แอ้มสาวเสียที

คนนึงก็เน้นรูปโฉม ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้สาวสน อีกคนบอกว่าไม่ใช่รูปลักษณ์แต่เป็นลีลา แล้วก็สอนว่า สิ่งที่ผู้ชายไม่รู้คือวิธีการพูดคุยกับผู้หญิง

“ที่จริงผู้หญิงแค่อยากพูดเรื่องตัวเอง” หมอนั่นอวดรู้ี้ “ฉะนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ถามเปิดประเด็น จากนั้นก็ทำขรึม แล้วตีลูกโง่เข้าไว้” (หน็อย.....ทำไมกรูไม่เคยเจอผู้ชายแบบนี้เลยวะ เห็นมีแต่พวกกร่างชอบอวดเรื่องตัวเอง)

ส่วนเพื่อนอีกคนก็ลงทุนยกหนังโป๊ในคอลเลกชั่นที่สะสมไว้เป็นกล่องใหญ่มาให้แอนดี้ศึกษา

เมื่อแอนดี้เจอสาวน่ารักที่คิดอยากจะโทรหา เพื่อนก็ห้ามเด็ดขาด แล้วกรอกหูว่า ต้องหาประสบการณ์กับเบี้ยใบ้รายทางให้ได้สัก ๒๐-๓๐ คนซะก่อน ถึงจะมีเซ็กซ์กับสาวคนที่ชอบได้อย่างไม่เส็งเคร็ง จากนั่นก็ชวนแอนดี้ออกนอกกรอบด้วยการชวนปุ๊น กินเหล้า แล้วก็ฉี่ข้างตึก (เสื่อมเนอะ พวกผู้ชายเนี่ย)

พร้อมๆ กับพัฒนาความสัมพันธ์กับสาวที่ตัวเองชอบ (เธอผู้นั้นเคยก้าวพลาดในความสัมพันธ์จนทำให้มีลูกคนแรกตั้งแต่ยังอายุน้อย แล้วก็ยังมีต่อมาอีก ๒ คน แถมตอนนี้ลูกสาวคนโตมีหลานยายให้แล้วด้วย จึงตกลงกันว่าจะไม่รีบมีเซ็กซ์ แต่จะรอให้เดตกันครบ ๒๐ ครั้งเสียก่อนแล้วค่อย...) แอนดี้ก็ลองฝึกฝนตัวเองตามหลักสูตรของเพื่อนไปด้วย แต่ทำไงก็ไม่เวิร์ก จนเขาเริ่มสงสัย

ถ้าไม่มีใจด้วยแล้วจะมีเซ็กซ์ด้วยได้ไง?
แล้วถ้าแฟนรู้ว่ายังเวอร์จิ้นเธอจะรังเกียจไหม?
เซ็กซ์ของเขากับแฟนจะเป็นยังไง?
(อันนี้ออกแนวไม่มั่นใจ กลัวมันจะไปจบเห่เอาบนเตียง)


โธ่เอ๊ย พ่อคุณ ช่างโง่ได้้น่าเอ็นดูจริงๆ


ผู้หญิงน่ะ ถ้ารักเสียอย่าง.. อะไรๆ ที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว




บันทึก:
• มีตอนนึงที่ลูกสาวคนกลางวัยไฮสคูลของแฟนแอนดี้อยากไปฟังบรรยายเรื่องการวางแผนครอบครัว เพราะว่าเธออยากจะติ๊ดชึ่งกับแฟนหนุ่ม แล้วแอนดี้ก็ไปเป็นเพื่อน (เพราะจริงๆ เจ้าตัวก็อยากรู้แล้วก็มีคำถามที่อยากถาม) แล้วก็เลยคิดถึง Juno ขึ้นมา ในความเปิดเผยของสังคมอเมริกัน มันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ
• ไอ้นกเขาขันตอนเช้านี่มันตลกดีจัง ผู้ชายเค้าเป็นอย่างนี้กันทุกคนเลยไหมน่ะ
• ตอนที่ตลกมากๆ นอกจากตอนแม่สาวแว็กซ์จะนับ อิชิ-นี่-ซัง (๑-๒-๓) แล้วดึงแว็กซ์ ก็ยังมีตอนที่แอนดี้ขึ้นเตียงแฟนแล้ว (แต่ใส่คอนดอมไม่เป็น) ลูกสาวแฟนกลับมาเห็นพอดี เลยอด ทีนี้ก็เลยต้องกลับบ้าน จากนั้นก็็โทรไปถามคอลเซ็นเตอร์ของบริษัทยา “คุณบอกว่าหลัง ๔ ชั่วโมงแล้วถ้ายังตื่นอยู่ให้โทรมา” แอนดี้ถาม คอลเซ็นเตอร์ (เสียงแขก) ตอบว่า แต่คุณไม่ได้กินยาเราหนิ แล้วแนะว่าในอินเดียเราใช้เทคนิคดีดไข่ หรือจุดไฟจี้ที่ข้อมือ เพื่อดึงความสนใจจากสมอง จากนั้นไอ้้ที่โด่ไม่รู้ล้มมันก็จะพังพาบลงมาเอง (.....ฮาว่ะ)


lonely shadow






เสาร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒


คบกับนางสาวลูซิล มือถือใหม่มาพักนึง พบว่าหล่อนช่วยสร้างสรรค์รูปได้เจ๋งใช่ย่อย
ส่วนหนึ่งเพราะมีโหมดมาโคร
แต่ยังไงก็ยังคิดถึงคุณมาโนช มือถือคู่มือคู่ใจเครื่องเดิม

คุณมาโนชแกมีโหมด contrast ให้ภาพขาวดำคอนทราสจัดที่มือถืออื่นๆ ไม่เห็นมี

กล้องไหนก็ถ่ายไม่ได้แนวขนาดนี้


หมายเหตุ:
-ชอบถ่ายดอกลั่นทม (แต่ถ่อไปถึงหลวงพระบาง กลับถ่ายมาได้รูปเดียว)
-(ซึ่งไม่มีในนี้ เพราะไม่ได้เปิดมือถือ)
-รูปลั่นทมพวกนี้ถ่ายด้วยคุณมาโนช ในโอกาสต่างกรรมต่างวาระ
-เจอตรงไหนโดนก็ถ่าย
-คุณมาโนช คือ LG KG200
-ลูซิลล์ คือ Motorola E6
-lonely shadow อยู่ในเนื้อเพลง Dream A Dream (Elysium)

When the night is still
And the sea is calm
Lonely shadow, you fall upon me


วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เก็บปลามาฝากแมว






^_^


CHÉRI : จุดจบของสาวใหญ่กับหนุ่มน้อย

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama



ไปดูหนังเรื่องนี้เพราะความมาโซ ชอบทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง ยิ่งรู้ว่าตอนจบของหนังเรื่องนี้คือจุดจบของความรักพิลึกพิลั่นระหว่างสาวใหญ่กับหนุ่มน้อย ยิ่งหมายมั่นอยากจะดู

CHÉRI (2009) เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Lea de Lonval (มิเชลล์ ไฟเฟอร์) โสเภณีชั้นสูง สวยสง่าและโดดเด่นที่สุดในสังคมฟู่ฟ่าของฝรั่งเศสยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้กำลังย่างเข้าวัย 50 จึงคิดจะถอนตัวจากวงการเสียที กับ Cheri (รูเพิร์ต เฟรนด์) ลูกชายวัย 18 ของ Madame Peloux (เคธี เบทส์) เพื่อนร่วมอาชีพของเธอ

มาดามเปลูซ์กำลังปวดเศียรเวียนเกล้าที่เอาลูกชายไม่อยู่ ไหนจะขี้เกียจ ไม่เอาการเอางาน ไหนจะผลาญเงินเก่งไม่มีใครเกิน (จะโทษลูกได้ไง ตัวเองแทบไม่เคยลงมือเลี้ยงหรือสอนให้ลูกใฝ่ดีเลย) ชีกึ่งๆ จะรู้เห็นเป็นใจ และแอบยินดีด้วยซ้ำ เมื่อลูกไปติดเพื่อน ไปกินไปนอน ไปใช้เงินของเพื่อนเสียได้

เชรี “ติด” เลอาเหมือนเด็กน้อยติดพี่สาวคนสวย พี่สาวคนนี้ทั้งมีเสน่ห์ ทั้งเป็นผู้ดี มีมารยาท มีรสนิยม ไม่อ้วน จู้จี้จุกจิก แต่งตัวเยอะจนน่ารำคาญเหมือนแม่ตัวเอง แถมพี่สาวยังมีตังค์ ตามใจเขาได้โดยไม่ขาดตกบกพร่องอีกด้วย ส่วนเลอา ทั้งๆ ที่ผ่านกลเกมความรักมามาก ทั้งๆ ที่ไม่ยอมให้ตัวเองตกหลุมรักใครง่ายๆ แต่ก็เผลอไผลปล่อยให้ตัวเอง “ติด” เชรีไป (จริงๆ เธออาจจะแค่อยากมีความรักจริงๆ กะเขาบ้าง) เธอติดเขากับราวกับพ่อหนุ่มคนนี้เป็นหมาน้อยน่าเอ็นดูที่เธอต้องคอยดูแล คอยประจบ ออดอ้อนเอาใจ คอยเกาคางให้ แล้วก็เปิดอ้อมแขนให้เขาซบหลับ ยามนิทรา

ไม่ใช่อะไรที่น่าอิจฉา น่ารังเกียจ น่าสมเพชเวทนา หรือน่าเห็นใจ เชรีกับเลอาเป็นแค่คนสองคนที่พบสิ่งที่ขาดหายในตัวคู่รัก

เชรีพบความอบอุ่นที่เขาแสวงหา ได้ลิ้มรสเซ็กซ์ที่แสนวิเศษ ส่วนเลอาก็ได้ความชุ่มชื่นสดใส และได้เปิดเผยความรู้สึกอันบริสุทธิ์ใจกับชู้รักอ่อนวัย

ถ้าความสัมพันธ์อันสวยงามระหว่างเลอากับเชรียังคงเป็นความรัก เสน่หา พึงใจในตัวกันและกัน โดยไม่มีการคาดหวัง หรือตีตราจับจอง ไม่หึง ไม่หวง และไม่ต้องกังวล ว่าฉันเป็นอะไรของเธอ หรือเธอเป็นอะไรของฉัน เรื่องก็อาจไม่จบอย่างนี้ แต่ถ้าพลิกรูปมามองกันที่อีกด้าน มันคงเป็นไปไม่ได้ ที่คนสองคนจะรักกันตลอดไป โดยไม่คาดหวังการจงรักภักดีต่อกัน หรือคาดหวังให้เขามีเราคนเดียว

ความรักอย่างนั้นมันไอดีลเกินไป มันไม่มีจริงหรอก

หลังจากคบกันฉันชู้รักอยู่ 6 ปี เมื่อเชรีต้องแยกไปแต่งงานกับเด็กสาว (สวยด้วย) ที่แม่เตรียมไว้ให้ เลอาจึงแทบหัวใจสลาย เชรีเองก็ได้รู้ตัวว่าเขามีชีวิตโดยขาดเลอาไม่ได้ อยู่กับเมียที่ทั้งสาวทั้งสวย แต่ก็ไม่อาจสุขสม และอิ่มเอมเท่าอยู่กับชู้รักสูงวัย

หลังจากช่วงเวลาที่ต้องห่างไกลอันแสนทรมาน ทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้ง เพื่อที่จะพบว่าทั้งคู่รักกัน และไม่อาจมีชีวิตอย่างมีความสุข โดยไม่มีกันและกัน

ทว่า..บางสิ่งบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว

เชรีพบว่า เลอาไม่ได้เป็นคนรักแสนดีที่มีแต่ให้ มีแต่เข้าใจ แล้วก็อภัยเขาได้เสมอ (เธอแค่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คนรักกลับคืนมา) ส่วนเลอาก็พบว่า เชรีไม่ใช่เด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่เธอจะคอยดูแล กำกับบทบาทได้อีกต่อไปแล้ว

จากนั้น เชรีก็เดินจากห้องนอนอันสวยงามและหรูหราของเลอาไป ปล่อยให้เธออยู่เพียงลำพังกับเงาที่มองตอบจากในกระจก เดินจากไปพร้อมความปวดร้าวในหัวอก ทรมานไม่ต่างกับที่อดีตชู้รักสูงวัยของเขารู้สึก


ความสัมพันธ์ที่แสนจะแฟนตาซีของทั้งคู่จบลง พร้อมกับยุคสมัยอันเฟื่องฝันจากความฟู่ฟ่าเริงรมย์ โลกหมุนเข้าสู่คืนวันอันโหดร้ายของความเป็นจริงที่เราเรียกกันว่า สงครามโลกครั้งที่ 1



บันทึก
• มิเชลล์ ไฟเฟอร์สวยมาก ถ้าอิฉัน 40 แล้วยังสวยได้เท่ามิเชลล์ตอน 50 ก็จัดว่าหรูแล้ว
• โดยส่วนตัวแล้วอิฉันเป็นสาวใหญ่ขึ้นทุกปี ดูหนังเรื่องนี้เลยเศร้าชิบ (สมใจมาโซ)
• หวังว่าชีวิตนี้คงไม่ซวยขนาดไปหลงรักเด็กหนุ่มที่ “ห่าง” กันขนาดนี้เข้า
• CHÉRI จริงๆ อ่านว่า เชรี (ในหนังออกเสียงแบบฝรั่งพูดภาษาอังกฤษว่าเชอรี) จริงๆ คือคำที่ใช้เรียกที่รัก เหมือนดาร์ลิง หรือสวีตฮาร์ต ไม่ได้หมายถึงลูกเชอรี่แบบที่อยู่บนยอดไอศกรีมสเวนเซ่นส์(เสมอ)แต่อย่างใด
• เรื่องนี้สอนให้รู้ (อีกครั้ง) ว่า ความรักไม่ใช่เกม ฉะนั้น อย่าได้ริอ่านไปเล่นกับความรัก
• ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ชื่อ สตีเฟ่น เฟรียส์ คนกำกับหนังโรแมนติกคอมมิดี้ High Fidelity
• ผู้กำกับให้เสียงบรรยายในหนังเองด้วย (ทั้งน้ำเสียงและลีลา กวนทีนเป็นบ้าเลย)
• อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย รู้สึกว่าหนังมันดำเนินเรื่องเร็วไปอะ
• สำหรับผู้ที่จะไปชมที่โรง (เข้าใจว่ายังอยู่ในโปรแกรมเครือเอเพ็กซ์นะฮะ) โปรดสังเกตเพลงประกอบภาพยนตร์ด้วย






วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คำคม#๒๓




I would rather have had one breath of her hair, 
one kiss of her mouth, 
one touch of her hand, 
than eternity without it. 
One. 

said Seth 
City of Angels (1998)


 

รูปมั่วๆ จากกล้องโลโม่





อาทิตย์ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒

นัดกินข้าวกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่พระอาทิตย์
พี่เอพากล้องโลโม่ตาปลามาด้วย

วุ้ย พี่เค้าถ่ายใหญ่
ได้รูปออกมาขำดีแฮะ

นานนานเจอกันที (ภาคโลโม่-โลมั่ว)





ต่อจากรูปกล้องมือถือ
มาดูรูปจากกล้องโลโม่เด็กแนวของพี่เอกัน

เิชญเม้นท์ตามอัธยาศัยนะฮะ

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นานนานเจอกันที



หลังจากกินกันจนเรี่ยมเร้




นั่นแหละ ตามชื่อ

นานนานถึงจะเจอกันที

หุ หุ


ป.ล. รูปแย่หน่อยนะยะ ลูซิลล์เป็นแค่มือถือ
สงสัยจะเริ่ดได้ไม่เท่ารูปจากกล้องโลโม่ของพี่เอเค้า


วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ยาแก้ไออาปาเช่-ของเค้าดีจริง!

Rating:★★★★★
Category:Other


การไอเป็นกลไกบางอย่างของร่างกาย สำหรับอิฉันเอง การไอคือดรรชนีชี้วัดคุณภาพการพักผ่อน
นอนน้อยทีไร เป็นไอทู้กที

แต่เห็นทีช่วงนี้ปล่อยตัวเองให้ไอนานเห็นทีจะไม่ได้การ ประเดี๋ยวสังคมจะรังเกียจ
ต้องงัดอาปาเช่ ยาแก้ไอที่กินค้างไว้เมื่อหลายเดือนก่อนมาจิบ

จิบได้ทุกครั้งที่ต้องการ
จิบแล้วจะชุ่มคอเป็นพิเศษ (เหมือนกินน้ำมะขามเทศที่เอาไปเคี่ยวจนข้น)
ตามมาด้วยอาการอยากนำเสลดออกจากลำคอ ซึ่งเป็นกระบวนการลดเสมหะ
จากนั้นอาการคันคอจะน้อยลง พลอยบรรเทาอาการไอไปด้วย

บอกไว้เลยว่าอาปาเช่รสชาติแย่ ไม่อร่อยเหมือนกินขนม
แต่ถ้าไอหนักจนอะไรก็เอาไม่อยู่ ลองดูสักจิบสองจิบแล้วจะดีขึ้น

อาปาเช่ขวดนี้ (ปริมาตรเท่าไหร่จำไม่ได้ กล่องทิ้งไปแล้ว) ราคา ๑๕ บาทที่ร้านพี่ต่อ ใต้ตึกเสริมมิตร

ของเค้าดีจริง สมกับที่ผู้ชายคนนั้นอุตส่าห์แนะนำ (อย่างภูมิใจเสียด้วย)


ใช้ดี (ปั๊บป่าดาปั๊บ) จึงบอกเพื่อน (ฮะ)


วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

BigKnit Cafe



เริ่ดจริงๆ

ใครได้ไปแล้วยังไม่หมด ขอให้สั่งมาลองเลย


ศุกร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒

ไปร้าน BigKnit Cafe ในซอยสุขุมวิท ๔๙ ร้านนี้อยู่เยื้องโรงพยาบาลสมิติเวช
ตะแรกคิดว่า ร้านนี้น่าจะเน้นขายไหมกับเป็นเวิร์กช็อปสอนถักนิต ประดิษฐ์ตุ๊กตาเสื้อผ้า ฯลฯ มากกว่า ไม่คิดว่าอาหารจะอร่อย

ที่ไหนได้


...ถึงกะฝันถึงเลยแหละ

เรดาร์แมว : เหมียวตันตันเมง






พฤหัสบดีที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒

เอจังกลับมาแล้ว หลังจากหลายอาทิตย์ที่เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันหลังเลิกเรียน
คราวนี้หิวมากๆ ใจคอแทบไม่อยู่ในห้องเรียน เรียกว่าคิดกันไปเลยว่าต้องเป็นข้าวแกงกะหรี่เท่านั้น

และวันนี้เราหยุดที่ตันตันเมง สุขุมวิท ๓๓/๑ ซอยเดียวกับฟูจิซูเปอร์
ซอยเดิม และร้านเดิมๆ ที่ยังชอบมากินอยู่
เลือกนั่งหน้าเคาน์เตอร์ เลยได้เจอกับเหมียวอ้วนกลมตัวนึง
น่ารักชิบเป้ง

รักตันตันเมงด้วย
นอกจากเกี๊ยวซ่าอร่อย ราเมงอร่อยแล้ว ที่นี่ยังให้ถ่ายรูปได้ตามใจอีก
(ตราบใดที่เราไม่ไปรบกวนแขกอื่น)


เรื่องหมาหมา : อินเทรนด์






เห็นคนใส่ผ้าปิดปาก
หมาใส่มั่ง

แต่พิเศษกว่า
รุ่นนี้แลบลิ้นระบายความร้อนได้ด้วย

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มีข่าวดีมาบอก (เฉพาะคนสนิทและชิดใกล้)






บอกไว้ก่อนว่างานนี้ไม่ได้มีเอี่ยวกับสยามพารากอน บางกอกแอร์เวยส์ ซิตี้แบงค์ หรือเคทีซี แค่มาบอกข่าวดีๆ แพ็คเกจเดินทางถูกๆ สำหรับคนสนิทและชิดใกล้
(เพราะเคยรู้สึกผิดที่รู้แล้วไม่บอก)

ระหว่างวันที่ ๑๗- ๒๖ กรกฎาคมนี้ (๑๐ วัน) สยามพารากอนจัดงาน The Ultimate Dream Destination มีแพ็คเกจรีสอร์ตและโรงแรมหรูๆ ขายถูกๆ มากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น ในงานนี้บางกอกแอร์เวย์ปล่อยโพรดักทส์สุดเจ๋งชื่อว่า Flyer Pass ออกมาด้วย

อันว่า Flyer Pass นี้ เป็นบัตรโดยสารแบบ prepaid ซึ่งก็เหมือนโทรศัพท์ระบบเติมเงิน คือจ่ายเงินซื้อบัตรก่อน แล้วค่อยบินทีหลัง โดยเค้าจัดเส้นทางการบินของเค้าไว้ ๔ กลุ่ม เรียกตามกลุ่มเป็น Fun, Fusion, Fancy และ Freedom (ไม่ต้องสนใจก็ได้แค่ลูกเล่นทางการตลาด) ซึ่งเพื่อนๆ สามารถดูได้ว่าแต่ละกลุ่มมีเส้นทางไหนบ้างจากรูปที่ ๒ ที่ก๊อปมา

บัตร Flyer Pass ๑ ชุด จะมีบัตรโดยสารแบบเที่ยวเดียวทั้งหมด ๔ ใบ แต่ละใบมีเลขรหัสที่เราต้องขูดถึงจะเห็นเลข เหมือนตอนเติมเงิน สำหรับใช้กรอกเวลาจะจองเที่ยวบิน นั่นแปลว่า ใน Flyer Pass ๑ ชุด เราจะเดินทางขาเดียวพร้อมกัน ๔ คนก็ได้ โดยแต่ละคนใช้รหัสในการจองตั๋วคนละเลข ตามหลังแต่เลขหลังบัตรที่ได้มา

หรือจะซื้อไว้ใช้คนเดียว สำหรับเดินทางไปกลับสมุย แล้วขายต่อให้เพื่อนที่จะไปย่างกุ้งสำหรับเดินทางไปกลับอีก ๑ เที่ยวก็ได้

ทั้งในบัตรโดยสาร Flyer Pass ที่ซื้อตั้งแต่วันนี้ จะใช้สำรองเที่ยวบินเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคมปีนี้ ถึง ๓๑ กรกฎาคม ปีหน้า (๑ ปีพอดีนะ)

ประเด็นที่ต้องบอกรีบคาบข่าวมาบอกคือ แม้บัตรโดยสาร Flyer Pass นี้จะวางขายตั้งแต่บัตรนี้เป็นต้นไป หาซื้อได้ที่สนง. ของบางกอกแอร์ แต่ว่าเฉพาะในงาน The Ultimate Dream Destination ที่พารากอน (๑๗-๒๖ กรกฎาคมนี้) เค้าจะให้ส่วนลดอีก ๒๐%

และถ้าซื้อด้วยบัตรซิตี้แบงค์หรือเคทีซีบางกอกแอร์เวยส์ ก็จะได้ลดเพิ่มอีก ๕%
ราคาสุทธิเหลือเท่าไหร่บาทดูได้จากรูปที่ ๓
ถ้าอยากทราบราคาตั๋วไป-กลับ ใช้ ๒ หาร
แต่ถ้าอยากทราบว่าบินเที่ยวละกี่บาทก็หาร ๔
ผลที่ได้คือราคาตั๋วที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มแล้ว มันรวมค่าธรรมเนียมน้ำมัน ประกันวินาศภัย และภาษีสนามบินแล้ว ยกเว้นแค่ตั๋วไปพนมเปญ เสียมราฐ และย่างกุ้ง ที่ต้องไปจ่ายที่สนามบินปลายทาง

การจองเที่ยวบินแต่ละครั้งสามารถเลื่อนได้ ๓ ครั้ง ฟรี แต่ครั้งที่ ๔ เป็นต้นไปจะเสียครั้งละ ๕๐๐ บาทสำหรับเส้นทางในประเทศ และ ๑๐๐๐ บาทสำหรับเส้นทางต่างประเทศ

ส่วนถ้าจะเปลี่ยนชื่อผู้โดยสาร จะเสียค่าธรรมเนียม ๕๐๐ บาทสำหรับเส้นทางในประเทศ และ ๑๐๐๐ บาทสำหรับเส้นทางต่างประเทศ


ข้อสังเกต:
-สำหรับเส้นทางสมุย ปกรณ์ ซึ่งเดินทางสมุย-กรุงเทพ-สมุย เป็นประจำ พบว่าราคาในบัตรโดยสาร Flyer Pass นี้ ถูกกว่าตั๋วแพ็คเกจถูกที่ตัวเองบินอยู่ คือไป-กลับ ไม่ถึงห้าพันบาท ที่ถูกสุดที่เคยบินคือ ห้าพันบาท
-แต่ปกรณ์กังวลเล็กน้อยว่าแต่ละเที่ยวบินจะมีโควตาสำหรับบัตรโดยสาร Flyer Pass มากพอสำหรับจองตั๋วได้โดยสะดวกไหม ก็เลยถามพนักงานขายที่เคาน์เตอร์แล้ว น้องเค้าบอกว่า สำรองไว้มากขึ้น อยู่ที่ประมาณ ๒๐ % ของที่นั่งในแต่ละเที่ยวบิน
-ลองคิดแล้วถ้าซื้อได้ในราคาที่ถูกที่สุด (คือซื้อในงาน ด้วยบัตรเครดิตที่เขาระบุ) ตั๋วไป-กลับ หลวงพระบางของ Flyer Pass ยังแพงกว่าที่ตัวเองซื้อได้แบบฟลุคๆ เมื่อต้นปี คือคิดเป็นไป-กลับ ๗,๓๑๐ บาท แต่ตอนนั้นซื้อได้ ๖,๘๐๐ บาท
-พนักงานขายเรคคอมเมนด์ว่าราคาตั๋วไปฮิโรชิมาในแพ็คเกจ Flyer Freedom หรือคิดเป็นไป-กลับต่อคนแค่ ๑๑,๐๒๐ บาทนั้น น่าสนใจมากๆ ราคาปกติแพงกว่านี้เป็นเท่าตัว
-ใครไม่มีบัตรเครดิตที่เขาระบุ แต่อยากได้ส่วนลดแบบสุดๆละก้อ จะให้เราซื้อให้ก็ได้นะ แต่ว่าช่วยเอาตังค์มาให้เราเลย เราไม่ลำบากอะไร ดีใจเสียอีก ได้แต้ม ส่วนเพื่อนๆ ที่ได้ตั๋วราคาประหยัด เราก็ดีใจด้วย
-การลงทุนซื้อตั๋วเป็นความเสี่ยง ถ้าซื้อแล้วหาวันว่างไปไม่ได้ หรือว่าซื้อแล้วสำรองที่นั่งลำบาก อย่ามาด่าเรา

ป.ล. เราไม่ได้รับอาสาใครไปทั่วหรอกนะ ไม่ได้อารีขนาดนั้น
ใครสงสัยอยากถามเพิ่มเติม โทรมาถามได้ ทุกคนมีเบอร์เราอยู่แล้ว




วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สอบ!

Start:     Dec 6, '09
Location:     (ว่ากันว่า) ธรรมศาสตร์ศุนย์รังสิต


สอบวัดระดับ

Start:     Jul 25, '09
End:     Sep 4, '09
Location:      สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สาขาสีลม), สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สาขาพหลโยธิน)

การสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นประจำปี 2552


การจัดสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นในปี 2552 ยังคงรูปแบบเดิม และจะมีการเปลี่ยนแปลงในปี 2553 ขอให้ดูรายละเอียดใน http://www.jlpt.jp



กำหนดจัดสอบวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นประจำปี 2552 :
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2552

สถานที่จัดสอบมี 4 แห่ง : กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา

วัน เวลาในการรับสมัครของแต่ละแห่ง : ตามรายละเอียดข้างล่าง



กรุงเทพฯ แห่งที่ 1 สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สาขาสีลม)

(1/7 ชั้น 2 อาคารสีบุญเรือง 2 ถนนคอนแวนต์ สีลม บางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทร 02-234-6951)

* จำหน่ายใบสมัครเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม - 4 กันยายน 2552 (หยุดวันที่ 12 สิงหาคม 2552)
* วันเวลา : วันจันทร์-วันศุกร์ 09.00-20.00 น. วันเสาร์และวันอาทิตย์ 09.00-16.00 น.

กรุงเทพฯ แห่งที่ 2 สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สาขาพหลโยธิน)

(408 อาคารพหลโยธินเพลส ชั้นที่ 16 ห้องเลขที่ 408/65 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน พญาไท

กรุงเทพฯ 10400 โทร 02-357-1241-5)

* จำหน่ายใบสมัคร ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม - 14 สิงหาคม 2552 (หยุดวันที่ 12 สิงหาคม 2552)
* ยื่นใบสมัคร    ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม - 4 กันยายน 2552
* วันเวลา : วันจันทร์-วันศุกร์ 09.00-19.00 น. วันเสาร์และวันอาทิตย์ 09.00-16.00 น.


เชียงใหม่ สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สำนักงานภาคเหนือ)

(3/3 ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200 โทร 053-814-344, 814-550)

* จำหน่ายและยื่นใบสมัคร ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม - 4 กันยายน 2552 (หยุดวันที่ 12 สิงหาคม 2552)
* วันเวลา : วันจันทร์-วันศุกร์ 10.00-19.00 น. วันเสาร์และวันอาทิตย์ 09.00-16.00 น.


สงขลา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ

(140 หมู่ 4 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา 90000 โทร 074-311-885-7 ต่อ 1308 หรือ 1310)

* จำหน่ายและยื่นใบสมัคร ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม - 4 กันยายน 2552 (หยุดวันที่ 12 สิงหาคม 2552)
* วันเวลา : วันจันทร์-วันศุกร์ 09.00-16.30 น.


ขอนแก่น สถาบันภาษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น

(ชั้น 4 อาคารศูนย์วิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40002 โทร 043-204-141)

o จำหน่ายและยื่นใบสมัคร ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม - 4 กันยายน 2552 (หยุดวันที่ 12 สิงหาคม 2552)
o วันเวลา : วันจันทร์-วันศุกร์ 09.00-17.00 น.

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ช่วงสั้นๆ ที่อิฉันได้ใกล้ชิดกับน้องโต๋






ใกล้ชิดมากกกกก
(..ไม่เชื่อก็ดูเอาเอง)


ป.ล. ขอบคุณอเล็กซ์
(ถ่ายให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรอยะ?)



วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Eternal moonwalk - A tribute to Michael Jackson.

http://www.eternalmoonwalk.com/


ชมการมูนวอล์กแบบไม่จบไม่ิสิ้น
และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความไม่จบไม่สิ้นนี้

ใครส่งคลิปไปก็ช่วยบอกด้วยเด้อ
ข้าเจ้าอยากดู

^_^

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จากมะละกาถึงบาหลี ในนามของพระเจ้าและพริกไทย

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Travel
Author:สมพงษ์ งามแสงรัตน์


ประสบปัญหาเล็กน้อยตอนจะเขียนรีวิว
คือมันต้องเลือกว่าหนังสือเล่มนี้อยู่หมวดไหน

คือ..ไม่ใช่ history แม้จะเล่าประวัติศาสตร์
..ยังไม่ใช่ art & photography แม้จะนำเสนอเรื่องราวของศิลปะ มีภาพสเก็ตช์สวยๆ ประกอบเรื่อง พร้อมด้วยภาพถ่ายสบายตา
..ไม่ใช่ literature & fiction แม้จะเขียนด้วยสำนวนแบบมีท่วงที มีอารมณ์ เหน็บแนมอย่างมีศิลปะ เล่าเรื่องยากๆ ซับซ้อนได้อย่างสนุึก..เพราะว่านี่มันไม่ใช่เรื่องแต่ง
..ไม่ใช่ outdoors & nature แม้จะเล่าถึงเรื่องเอาต์ดอร์ และธรรมชาติ
ทั้งยังไม่ใช่ religion & spirituality อีก แม้จะเล่าถึงความเชื่อ และรายงานศาสนาเปรียบเทียบ โยงมาอธิบายว่าทำไมคนที่เห็น จึงเป็นแบบที่เห็น

ก๊อเลยต้องจัดให้อยู่ในหมวด travel

แต่ถึงกระนั้นนี่ก็ไม่ใช่คู่มือท่องเที่ยว ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องบอกว่าเป็น “สารคดีท่องเที่ยว” ซึ่งไม่ได้เอาข้อมูลการเดินทางมาแผ่ซะเยอะเหมือนกะจะให้คนอ่านสะกดรอยตามไปถูก แต่เป็นการนำข้อมูลแบบ non-fiction หรือข้อเท็จจริงมานำเสนอในรูปแบบที่เป็นตัวของคนเขียนเอง

สมพงษ์ งามแสงรัตน์ เริ่มต้นเรื่องใต้ต้นมะละกาหรือมะขามป้อม (ความรู้ใหม่) แล้วพาเราไหลลื่นไปกับเรื่องเล่าที่กลายเป็นตำนาน ตัดสลับมารายงานสภาพบ้านเรือนจริงๆ ที่ได้พบเห็น ทั้งในรูปแบบของถ้อยคำ ภาพถ่าย แล้วก็ภาพสเก็ตช์ฝีมือสถาปนิก

จากมาเลเซีย เขาพาลัดล่องไปตาม เรื่อยไปตามหมู่เกาะใหญ่น้อยของอินโดนีเซียจนถึงบาหลี เล่าแบบคนมีพื้นความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรม ด้วยข้อมูลที่สะสมตามประสบการณ์ชีวิต (แกอายุราว ๔๗) ด้วยสำบัดสำนวนเหนือชั้นในการถ่ายทอดความคิดความเห็นส่วนตัว รวมทั้งบทวิพากษ์เปรียบเทียบบ้านเขา-บ้านเรา ประสบการณ์มันๆ จากการเดินทางคนเดียว เดินท่อมๆ บ้าง นั่งชิลล์บ้าง ติดดินแบบลูกผู้ชาย แต่ก็ไม่ยอมทนกับความลำบากมากนัก
(จะทนนั่งรถบัสวิ่งด้วยความเร็ว ๒๐ กม./ชม. หยุดขายของกันทุกป้ายไปทำไม ในเมื่อจองตั๋วแอร์เอเชียพันกว่าบาทเอง)

อ่านแล้วรู้สึกสนุก พานให้อยากเปิดเว็บ จองตั๋ว แล้วบินตามรอยเขาไปในทันที

(แทนที่จะดูตารางงานก่อนนะคนเรา)

เปิดหนังสือเหมือนเปิดประตูสู่โลกกว้างจริงๆ




บันทึก:
• อ่านเรื่องนี้แล้วสนุกดี เที่ยวมาเล อินโด แต่ได้เข้าใจไทย จีน สเปน โปรตุเกส และอังกฤษด้วย
• อ่านไปอ่านมาก็ให้รู้สึกสงสารอินโดนีเซียไม่น้อย
• ผลงานก่อนหน้านี้ของสมพงษ์มี จากเชียงรุ้งถึงฮอยอัน, ใต้เสื่อตาตามิ, หนึ่งวงในตงง้วน, หริทวาร ประตูสู่พระเจ้า, ลอยไปในกังตั๋ง
• คิดว่าต้องหา “ใต้เสื่อตาตามิ” มาอ่านเป็นเล่มต่อไป
• ถ้าอยากอ่านบ้าง โปรดรออีกแป๊บนึง ปลายเดือนนี้อมรินทร์จะจัด อมรินทร์บุ๊คแฟร์ ที่ศูนย์ประชุมฯ สิริกิติ์ แม่ทะเลบอกมา
• แต่ถ้าอยากสนับสนุนระบบร้านหนังสือไทย ก็แต่งตัวออกจากบ้านเลย เล่มนี้อิฉันซื้อจากซีเอ็ด



คำคม#๒๒






"เอ็งเป็นนักเขียน ไม่ใช่นักเทศน์"




ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกกับ 'รงค์ วงษ์สวรรค์
หลังแก้วเหล้า ในเวลาเย็น บนโต๊ะริมบาทวิถีของ "เทพรส"
นานหลาย พ.ศ. ก่อนเปลี่ยนเป็น "โลลิตา" ใน พ.ศ. นี้


(ไม่รู้ พ.ศ. ๒๕๕๒ ยังมีอยู่ไหม)



ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในเงาเวลาของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Biographies & Memoirs
Author:'รงค์ วงษ์สวรรค์



ไบโอกราฟีเป็นหนังสือแนวหนึ่งที่เขียนได้ยากในความรู้สึก

ยิ่งจะเขียนให้คนอ่านได้รู้จักตัวตนที่แท้ของเจ้าของเรื่อง คนเขียนก็ต้องรู้จักคนคนนั้นเป็นอย่างดี

ยิ่งจะเขียนให้น่าอ่าน ไม่น่าเบื่อ คนเขียนก็ต้องมีพรสวรรค์ในการเล่า


หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือพิเศษของอิฉัน
เพราะนี่คือหนังสือที่นักเขียนในดวงใจคนหนึ่ง เขียนถึงนักเขียนในดวงใจอีกคน

ใช่แล้ว..’รงค์ วงษ์สวรรค์ เล่าถึง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
ในฐานะของศิษย์เขียนถึงครู นักข่าวและช่างภาพเขียนถึงบรรณาธิการ (สยามรัฐ) และ ในบางครั้งเหมือนลูกเขียนถึงพ่อ

ไม่ว่าคุณจะรู้จักคุณชายคึกฤทธ์ในแง่ไหน คิดกับท่านอย่างไร
คุณจะได้สัมผัสแง่มุมใหม่ที่มีเสน่ห์แบบคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา จากชีวประวัติเล่มนี้

ยิ่งถ้าอยากจะเป็นนักเขียน ยิ่งควรหามาอ่านนะ
สมัยนี้ หาบรรณาธิการแบบคุณชายคึกฤทธิ์ไม่ได้แล้ว

อ้อ..ช่างภาพด้วย ถ้าอยากรู้ว่าถ่ายรูป เขาถ่ายกันยังไง
ภาพในเล่ม ถ่ายโดย'รงค์ วงษ์สวรรค์



บันทึก:
มีคำสามคำที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้
• ประสบการณ์ชีวิต-คือคนอ่านจะรู้สึกเหมือนคนเขียน ว่าประสบการณ์ชีวิตของท่านที่เขียนถึงช่างทรงคุณค่า สมควรที่เราจะเรียนรู้ พิจารณา และนำมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของเราต่อไป (จะได้ไม่เสียเวลาล้มลุกคลุกคลานกับมันเสียเอง)
• ความกตัญญูรู้คุณ-สิ่งนี้เหมือนแก้วอันประเสริฐ คนที่ได้ดีไม่เคยลืมบุญคุณใคร และคนที่ไม่ลืมคุณนั่นแหละ คือคนที่น่าเคารพ จดจำ
• แรงบันดาลใจ-คนคนหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคน คนคนหนึ่งนั้นจะรู้ไหม งานเขียนของคนคนนั้นเป็นแรงบันดาลใจของใครๆๆๆๆๆ อีกหลายคน


เรดาร์แมว : เหมียวจมูกด่าง



แบบว่า ..เจ้อย่าเข้าใกล้เค้ามากกว่านี้นะ


ไม่งั้น...





เสาร์ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒

เจ้าเหมียวจมูกด่างตัวนี้ หมายตัวมันไว้นานแล้ว
แต่ผ่านบ้านมันทีไรก็เป็นยามโพล้เพล้ทู้กที
คราวนี้ผ่านมาตอนมีแสง เห็นนอนยาวอยู่หน้าบ้าน
เลยขออนุญาตพี่เจ้าของถ่ายมาซะเปรม

เจ้าจมูกด่างนี่ก็สู้กล้องจริง
ตราบใดที่ไม่เอื้อมมือไปจับ มันไม่ยอมถอยหนีไปไหนเลย

แค่จะขอลูบจมูกทีเดียวเอง
ถอยกรูดเลย



รูปคู่



ร้อนมาก แต่ทนไว้
ยังไม่รวบผม
กะถ่ายรูปให้โม่ดู





ลามัวไปเยือนลามูนอีก
คราวนี้มีรูปคู่มาฝากโม่แร้วววว

ลามูนแกลอรี่อยู่ที่จตุจักรพลาซ่า
โซนบี ปากซอย ๒ เลย


ถ้าเลาะถนนกำแพงเพชรไปจะหาง่ายมั่กฮะ



เรดาร์แมว: ของเล่นใหม่




ผ้าปิดตาขนแมว




พี่เดือนส่งของเล่นใหม่มาให้พร้อมหนัง
ไปรับพัสดุเมื่อเช้า แต่รีบร้อนจะออกไปให้ถึงไปรษณีย์ก่อนเที่ยง
เลยยังไม่ทันเปิดซอง

ก็ไปไปรษณีีย์ ไปสวน ไปนั่งเม้าธ์กะพี่เดือนเรียบร้อยแล้ว
เม้าธ์ด้วยว่าแสตมป์สวยจัง
จนกลับมาถึงบ้าน ถึงได้รู้ว่าในซองมีของเล่นด้วย

อิ อิ อิ

พี่เดือนน่ารักที่ซู้ดดดดดด
(ขอบคุณนะ จุพ-จุพ)

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แด่ความอยากที่หาเหตุผลไม่ได้




ตะแรกเล็งในลิฟต์ตึกโอเชี่ยนไว้

แต่ไม่ปลอดคนเสียที

นี่ก็รีบจะมีคนจะเข้าส้วมเลยงกๆ เงิ่นกดได้อีก




หลายคนอยากเห็นผมหน้าม้าเต่อแบบเต็มใบ (หน้า)

คราวนี้จึงจัดให้ดูกันอย่างเต็มตา

อยากล้อก็เชิญเลย
...อลิซไม่แคร์สื่ออยู่แล้น++



วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

HAPPYLAND

Start:     Sep 19, '09
End:     Oct 11, '09
นิทรรศการศิลปะ

โดย ทวีศักดิ์ ศรีทองดี
จัดแสดงระหว่างวันที่ 19 กันยายน ถึง 11 ตุลาคม 2009
สถานที่
THAVIBU GALLERY
The Silom Galleria Building,
Suite 308, 919/1 Silom Rd.
Bangkok 10500
Tel (662) 266 5454
Fax (662) 266 5455
http://www.thavibu.com
----------------------------------------------------------------------
HAPPYLAND

แนวความคิด

เป็นเรื่องเกี่ยวกับระหว่าง 2 สิ่ง คือ พื้นที่ vs มนุษย์
ในบริบทต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงความหมายของการมีอยู่ ของทั้งสองสิ่ง

ในวัย 39 ปีของคนๆหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นเวลายาวนาน
แต่ดูเหมือนตัวผมเอง จะรู้สึกว่า...ความเยาว์วัยที่ผ่านมาสำหรับผม ก็ไม่นานเท่าไหร่
ชีวิตทุกๆวัน
ยังคงดำเนินไปอย่างช้าๆ

ณ ตอนนี้ ผมฝัน และนึกถึงบ่อย ถึงสถานที่บางแห่ง
ที่อยากเดินทางไปสัมผัส และอยากจะใช้เวลาอยู่กับมัน
.......มีเวลานั่ง ยืน
มองดูภาพกว้างๆ ในที่โล่งๆ อย่างมีความสุข

สำหรับการผลงานชุด Happyland
เป็นความคิดชิงชังและความก้าวร้าว ที่ซ่อนอยู่ในใจเงียบๆ
มีความต้องการ ในการแสดงออก คิดฝันถึงความอิสระ จากกฎเกณฑ์
....จากพื้นที่ๆในโลกของความเป็นจริง

...เป็นการตั้งคำถามถึง ตัวเราเอง(มนุษย์) กับ พื้นที่ (สถานที่)
....ว่าที่แห่งนั้นมีอยู่จริงหรือ
สถานที่ ที่ทำให้เราได้แสดงออก ถึงความรู้สึกและความปราถนาในใจอย่างอิสระเสรี

ลองของจริง#2



มาโคร





ยังคงลองของต่อไป


คราวนี้อดไม่ไหว
ขอปรับคอนทราสนิดหน่อย




อ้อ ได้ชื่อแล้วล่ะ
เธอชื่อ Lucille ละกัน
ในฐานะที่เล่นเพลง B. B. King ได้มันส์มาก

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตน้อยน้อย







ชีวิตน้อยน้อย ในสวนจตุจักร


(ไม่ชอบอย่าลบหลู่)
(และบางเจ้าก็ no photo ซะด้วย)



วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ลองของจริง



ซูมนิดนึง
แค่พอจัด composition

(รู้งี้่ถ่ายแล้วมาครอปดีก่า)




จันทร์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒

วันนี้เป็นวันหยุด
จริงๆ มันไม่ได้เป็นวันสำคัญอะไรหรอก แค่รัฐบาลประกาศให้เป็นวันหยุด
แล้วถ้าการไฟฟ้านครหลวงเขาจะไม่มาทำไฟ (ใหญ่โตมาก ต้องปิดไฟเป็นวันๆ) เราก็คงไม่ได้หยุด

แต่เมื่อได้หยุดแล้ว วันนี้ก็เป็นของเรา
อิฉันเพิ่งถอยโทรศัพท์ใหม่ มันเป็นสมาร์ทโฟนที่ตกรุ่นแล้ว (หนุกมาก เล่นเน็ตได้ด้วย)
ดูเหมือนเมมโมรีในตัวเครื่องมีน้อยไปหน่อย (แล้วก็โง่ ยังไม่รู้วิธีที่จะย้ายไฟล์อะไรๆ ไปลงในเมมโมรีการ์ด) วันนี้ก็เลยไปพันทิพ ซื้อเอสดีการ์ดหน่อย

พอได้เอสดีการ์ดแล้วก็จะลองกล้องละนะ

หมายเหตุ:
-ยังไม่ได้ตั้งชื่อโทรศัพท์เลย ขอคิดก่อนนะ
-กล้องเขาละเอียดประมาณ ๒ ล้านพิกเซลนะ
-ไม่มีโหมด contrast (จัด) เหมือนคุณมาโนช
-รูปพวกนี้ไม่ได้ปรับสีเลย แค่รีไซส์

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : รอคนรับกลับบ้าน





๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒
วันชาติอเมริกัน

อิฉันกะอเล็กซ์ควงกันไปสวนจตุจักร
mission ไม่มีอะไรมาก แค่ไม่ได้ไปสวนนานแล้ว
อยากช้อปปิ้งนิดๆ หน่อยๆ กะไปหาเดือนที่ร้าน
ส่วนอเล็กซ์ก็แค่ซื้อหญ้าให้หนูแกสบี้

ระหว่างทางอันแสนไกลจากสถานี MRT รถใต้ดิน ไปโซนที่ลามูนแกลลอรี่ตั้งอยู่
เราก็ผ่านเต็นท์อันนึง

ที่อยู่ในกรงคือแมวตัวใหญ่ตัวน้อย
ท่าทางสะอาดสะอ้าน ไม่เปรอะโรค นอนรอเจ้าของใหม่มารับกลับไปอยู่บ้าน

อยากรับมาสักตัว
แต่ก็อย่างที่รู้ๆ ว่ากลัวแมวอึดอัดตาย

...ก้อห้องมันรก


วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ลามัว ไปเยือน ลามูน



มีฉากให้ถ่ายรูป
รูปสวยๆ ของลามูนเค้า



๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒

ประเดิมวันหยุดด้วยการไปเที่ยวสวนฯ กับผู้ชายหน้าตาดีที่ขอมานั่งเล่นที่ห้องเมื่อคืน
เลยชวนไปเที่ยวร้าน ลามูน ด้วยกัน

เลยได้เจอพี่เดือนแล้ว
และก้อด้วยความอนุเคราะห์ของชายหนุ่มผู้นี้ จึงมีรูปมาให้ชม

....ดังกล่าว


หมายเหตุ รูปถ่ายด้วยกันกับพี่เดือน โปรดติดตามในอัลบั้มบ้านพี่เดือนนะฮะ

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

...ให้มันได้อย่างนี้สิ









"...ไปนั่งเล่นที่ห้องได้ป่าว?"
ผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งถาม

อิฉันหันขวับ ตอบทันควัน
"ไม่ได้หรอก มันรกมาก"












ทำไม๊... ทำไม คนถามคำถามนี้ต้องเป็นเกย์ด้วย???