วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

Spring Snow : ผีเสื้ออายุสั้น

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama




Spring Snow มีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า Haru no Yuki หรือ Spring’s Snow เป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องราวที่ควรเป็นนิยายรักน้ำเน๊า-น้ำเน่า แต่เพราะมันเป็นผลงานของ ยูคิโอะ มิชิมา นักเขียนระดับตำนาน (ที่กลายเป็นอมตะ-ตามทฤษฎีของมิลาน คุนเดอรา-โดยการฮาราคีรีตัวเองเมื่อปี ๒๕๑๓) นิยายรักเรื่องนี้เลยกลายเป็นโศกนาฏกรรมความรักที่มีประเด็นซับซ้อนชวนคิด ที่เมื่อใครได้มีอันมารู้เรื่องด้วยก็จะพลอยปวดใจ และอดเสียดายแทนไม่ได้ คล้ายๆ กับความรู้สึกต่อเรื่องราวของ โรมิโอ & จูเลียต ของเชคสเปียร์นั่นเชียว

มันเกิดขึ้นในปีทศวรรษที่ 1910’s เริ่มต้นที่ความคับแค้นใจของหัวหน้าตระกูล อายากุระ ผู้ดีเก่าตกยาก กำลังมีปัญหาทางการเงิน ต้องไปพึ่งพา มัตสึกาเอะ ตระกูลเศรษฐีใหม่ที่มีเงิน แต่ไม่มีเชื้อสาย และคอนเนกชั่นกับเชื้อสายราชวงศ์

ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องของคนรุ่นพ่อ แต่กลับมาลงที่เด็กวัย ๑๒ อย่างซาโตโกะ กับคิโยอากิ วัย ๑๑ เสียได้

เพราะในวันหิมะแรกของฤดูหนาวปีนั้น หัวหน้าครอบครัวอายากุระดันสั่งหญิงรับใช้ พี่เลี้ยงของลูกสาวตัวเองทั้งๆ ที่เมา ว่า ก่อนที่ซาโตโกะจะได้แต่งงานกับคิโยอากิ ให้จัดให้ซาโตโกะเสียตัวให้กับผู้ชายที่เธอรักเสียก่อน เพราะเมื่อซาโตโกะเข้าพิธีสมรสโดยไร้ความบริสุทธิ์ ตระกูลมัตสิกาเอะก็เท่ากับถูกหลอกนั่นเอง

เด็กทั้งสองไม่รู้เรื่องที่ผู้ใหญ่คิด พวกเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก และซาโตโกะก็รู้ตัวมาตั้งแต่ตอนเล่นเกมเปิดบัตรบทกวีแล้วว่า ตัวเองชอบคิโยอากิ

เป็นธรรมดาของเด็กผู้หญิงหรอก ที่จะมีความอ่อนไหว รู้ตัวไว แล้วก็ไม่วอกแวกไปทางอื่น ส่วนเด็กผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นในศตวรรษที่ ๑๙ หรือศตวรรษที่ ๒๐ อย่างทุกวันนี้ก็ยังแปลกเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน คือไม่ว่าเวลารักใครชอบใคร (ไม่รู้ทำไม) จะต้องคอยปัดป้อง ปิดบัง ต่อต้าน แล้วก็หลอกตัวเองและคนอื่นว่าไม่ได้รัก ไม่ได้รู้สึก ไม่ได้มีอะไรเกินเพื่อน พอผู้หญิงเขาถามก็จะเริ่มทำตัวแย่ๆ ทำร้ายจิตใจ ทำให้เขาเสียความรู้สึก เพื่อที่เขาจะได้จากไป

เรียกว่ามัวแต่ลีลาจนเสียเรื่องทุกที ..รวมทั้งคราวนี้ ทั้งที่พ่อถามคิโยอากิถามถึง ๒ ครั้งว่ารู้สึกอย่างไรกับซาโตโกะ เขาตอบแกล้มหัวเราะว่า ไม่แยแสสนใจเธอสักนิด

(โง่จัง เจ้าเด็กน้อย)

ในวัย ๒๐ ปี ซาโตโกะเป็นสาวสวยเหมือนดอกซากุระที่บานสะพรั่งเต็มต้น ไม่แปลกเลยถ้ากุลสตรีรูปงามอย่างเธอจะเป็นที่ประทับใจคนอย่างเจ้าชายมกุฎราชกุมาร ด้วยชาติตระกูลสูงส่งสมกัน ในที่สุดเจ้าชายก็ขอหมั้นซาโตโกะ และเมื่อการหมั้นได้รับการเห็นชอบจากสมเด็จพระจักรพรรดิ ซาโตโกะก็กลายเป็นของต้องห้ามไปในทันที

คิโยอากิเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันตอนนี้ เขาเพิ่งรู้ว่าเขาต้องการซาโตโกะ

เขาแบล็กเมล์พี่เลี้ยงตัวแสบของหญิงสาวด้วยการอ้างถึงจดหมายที่เธอเขียนถึงเขา ทั้งๆ ความโกรธแบบเด็กผู้ชายที่ยังไม่โตเป็นหนุ่ม ทำให้เขาผลุนผลันเผามันก่อนเปิดอ่านไป ๒ ฉบับ ส่วนฉบับที่ ๓ ได้ฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ความบ้าทำให้เขากล้าเอ่ยถึงจดหมายที่ไม่เคยได้อ่าน ๓ ฉบับนั้น ขู่พี่เลี้ยงของซาโตโกะว่า ถ้าไม่พาเธอมาพบ จะแฉ

พี่เลี้ยงทำเหมือนหาทางออกอื่นไม่ได้ จึงพาซาโตโกะมาพบคิโยอากิ

และแล้ว ท่ามกลางสายฝนตกที่ใส่หลังคาโรงเตี๊ยมเหมือนไม่มีวันซาเม็ด หนุ่มสาวทั้งสองก็ห้ามความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ได้


ฉันรู้ว่าทำไมซาโตโกะถึงยอมคิโยอากิ แต่ฉันไม่รู้ว่าที่คิโยอากิห้ามใจตัวเองไม่ได้นั้น เพราะรักหรือ ใคร่

ผู้ชายรักแล้วจึงใคร่
ใคร่ให้มากพอ ก็จะรักได้้
หรือแท้ที่จริงแล้วผู้ชายทั้งรักและใคร่ได้ในเวลาเดียวกัน?



ราวกับความสุขของคนทั้งสองยาวนานได้เพียงชั่วชีวิตของผีเสื้อ
หลังลอบพบกันไม่กี่ครั้ง ซาโตโกะก็ตั้งครรภ์ แม้ว่าชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในร่างกายของเธอคือพยานรับรองความรู้สึกที่ทั้งสองมีต่อกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือตราบาปที่ต้องกำจัด

โศกนาฏกรรมแห่งความรักไม่อาจจบลงอย่างอิ่มสุข

คนดูอย่างฉัน ได้แต่ดูแล้วก็คิดเสียดายแทนคิโยอากิ
ครั้งนั้นถ้าไม่มัวแต่ลีลา ต่อต้าน ไม่ยอมรับว่ารู้สึก ก็คงไม่ต้องอดทนรอคอยให้วันเวลาค่อยผันผ่านฤดูหนาวอันโหดร้ายสู่ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ที่ผีเสื้อจะได้คืนชีพอย่างร่าเริงอีกครั้ง




บันทึก:
• เคยดูหนังของผู้กำกับ อิซาโอะ ยูกิซาดะ หรือยังหว่า?
• “ฉันอยากชื่นชมหิมะแรกกับเธอ” ...เขาช่างเขียนให้ซาโตโกะบอกรักได้นิ่มนวล และอ่อนหวานเหลือเกิน
• จริงๆ คิโยอากิน่าจะสำเหนียกถึงความปรารถนาและความรู้สึกต่อซาโตโกะตั้งแต่ฝันถึงผีเสื้อคืนแรกแล้วนะ
• ไม่รู้ว่ามันไม่มีเซนส์ หยิ่ง หรือว่าโง่กันแน่
• หนังเรื่องนี้เป็นงานศิลปะ มันคงเป็นงานศิลปะมาตั้งแต่ตอนเป็นบทประพันธ์แล้ว (ขออภัย ยังไม่ได้อ่าน) พอมาเป็นหนังก็ใช้ภาษาหนังได้อย่างมีรสนิยมมาก มันแช่มช้า สวยงาม สงบ สุข ลุ่มลึก และแสนเศร้า
• ภาพในหนังงามมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพจริงหรือ CG น่าหลงใหลจริงๆ งามทุกฤดู งามทั้งโตเกียว นารา และคามากุระ (แต่นั่นมันต้นศตวรรษที่ ๑๙???)
• การแสดงของ ยูโกะ ทาเคอูชิ คือสิ่งที่ต้องยกย่อง เธอแสดงความรู้สึกของซาโตโกะผ่านออกมาทั้งทางดวงตา ท่าทาง จังหวะที่ร้องไห้ แม้กระทั่งมุมของใบหน้าที่รอจูบจากคิโยอากิ ฉันชอบสำเนียงเธอมากๆ พูดช้า มีแกรมมาร์ สมเป็นผู้ดี (เลยทำให้ฟังทัน โฮ่ โฮ่ โฮ่)
• ซาโตชิ ทสึมาบูกิ ก็ทำให้เรารู้สึกว่า ไอ่น้องคิโยอากินี่มันเด็ก โตไม่ทันซาโตโกะ หน้าตาก็รั้นสมบท
• น้องหนุ่ม-จันดารา กับโอ-อนุชิต ไปเล่นเป็นตัวละครเจ้าชายไทย ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้คิโยอากิรู้ตัว เป็นการปรากฏตัวที่..ดูยังไงก็เด่นเด้งออกมาไม่เนียนไปกับหนัง (ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี แต่ก็ไม่เลวหรอก)
• ตอนที่น่าสงสารมากคือตอนซาโกะนอนอยู่บนเตียงในโอซาก้า แต่ตอนที่อดน้ำตาหล่นคือตอนที่คุณย่าถามว่าถ้าคนรักมาหา เธอจะยอมพบเขาไหม
• น่าสงสารชะตากรรมของลูกผู้หญิงไม่มีทางเลือก
• (ถ้าซาโตโกะอยู่ในสมัยนี้ เธอจะทำยังไงหรือ ฉันอยากรู้)


วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

The Eugenia : ที่ที่เหมือนไม่ได้อยู่ที่นี่ ณ เวลานี้


แสนเป็นส่วนตัว

พฤหัสบดีที่ 24 กันยายน 2552

ไปทำการชิมอาหารที่ The Eugenia บูทีคโฮเต็ลเล็กแค่ 12 ห้อง ซึ่งเจ้าของ (ชื่อคุณยูจีน เป็นชาวไต้หวันที่มาอยู่เมืองไทยได้สิบสามสิบสี่ปีแล้ว) ออกแบบเองทั้งคอนเซ็ปท์ ตึก และสไตล์การตกแต่งภายใน รวมทั้งลงมือหาของตกแต่งเอง เนรมิตให้ที่นิดเดียวในซอยสุขุมวิท 31 (ซอยบ้านนายกหน้าตาดี) กลายเป็นอาคารทรงโคโลเนียล สวยราวกับอาคารสมัย ร. 5 หลงยุคมาอยู่ใจกลางย่านสุขุมวิท

ทั้งฉันและพี่หมีเพิ่งได้ไปเห็นเป็นครั้งแรก ก็ช้อบชอบกัน
กะจะถ่ายรูปมาเยอะๆ แบ่งกันยลสักหน่อย ยังไม่ทันเห็นห้องน้ำ ห้องพัก และก็ ฯลฯ เลย แบตเจ้ากรรม ทั้งๆ ที่ชาร์ตไว้อย่างเต็มตั้งแต่วันเสาร์ (ก่อนเบี้ยวนัดใครบางคนเพราะฝน) มันหมดวืดไปเสียงั้น

สงสัยมันจะเสื่อมแล้ว

เลยมีรูปที่พอดูได้แค่นิดหน่อย
ที่เหลือเป็นผลงานน้องลูซิล ซึ่งมักจะแป้กกับแสงน้อยๆ
ถ่ายออกมาแล้วดูเหมือนรูปถ่ายทางวิญญาณซะงั้น

ไหนๆ ก็ถ่ายมาแล้ว
ก็ชมกันไปละกันนะฮะ


ป.ล. ไม่ได้ถ่ายรูปด้านนอกมาเลย
ดูโอเวอร์ออลที่นี่ละกันนะจ๊ะ www.theeugenia.com

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

Wish list (1)



ภาพมะกี้เป็นซองที่ห่อกล่องมา
ในกล่องหนึ่งมีขนมแบบนี้ 20 ชิ้น ราคา 1,000 เยน หรือราวชิ้นละสิบบาทกว่า (ไม่แพงๆ)

ขนมหนึ่งชิ้นอยู่ในคัพที่ทำจากกระดาษเจ๋งมาก ไม่มัน ไม่ร่อนออกจากเนื้อขนม แต่ยามจะลอกเนื้อขนมก็ช่างทำได้หมดจดพอดี๊พอดี

1 ชิ้นกินได้ราว 2 คำสตรี
ฉัน พอชิมไป 1 เล็ม ก็อยากจะเล็มต่อไปจนหมดชิ้น เพราะไม่อยากจบความอร่อยเร็วเกินไป

ลองสืบดูแล้วไม่มีใครเอามาขาย
อาจเพราะมันหมดอายุไวมาก
เหมือนจะแค่ 2 สัปดาห์หรือไงเอง

ลองหาข้อมูลดู เหมือนจะมีจำหน่ายในโตเกียว และสนามบินใหญ่ๆ

งี้..ที่สนามบินคันไซก็น่าจะมีนะ




กันยายน 2552

เมื่อต้นเดือนหัวหน้าได้รับเชิญใ้ห้ไปโตเกียว (อิจฉานิดหน่อย)
และซื้อขนมกลับมาฝากจากนาริตะหลายสิ่ง
แต่สองสิ่งนี้ เพื่อนพ้องที่ทำงานชิมแล้วลงมติว่า จะฝากฉันซื้อกลับมาจากโอซาก้า

(ถ้ายังไม่หายอยากกันเสียก่อน)



Tokyo Tower: เมื่อวาน วันนี้ และพรุ่งนี้?

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama




วันวาน: เด็กหนุ่มวัย 18 พบกับหญิงสาวแสนสง่า ผู้สูงวัยกว่าเขา 20 ปี นับจากวินาทีนั้น สายตาของเขาก็หยุดอยู่เพียงเธอคนนั้น

วันนี้: ทั้งสองกลายเป็นคนรักที่ต้องซ่อนเร้นของกันและกัน ซ่อนเขาจากสามีของเธอ และซ่อนเธอจากแม่ของเขา

คำถามคือ
พรุ่งนี้: เมื่อเด็กหนุ่มเติบใหญ่ สู่วัยฉกรรจ์ ในขณะที่สาวใหญ่ได้แต่ร่วงโรยลง ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองจะมั่นคงอยู่ได้อย่างไร?

เป็นคำถามที่ฉันอยากมีคำตอบให้ตัวเอง หลังจากที่ดู Tokyo Tower (2005)-ที่ไม่ใช่เรื่องของผมกับแม่และพ่อในบางเวลา-จบ 3 รอบซ้อน



หนังเรื่องนี้เล่าถึง รักต้องห้าม
ไม่รู้หรอกว่าใคร หรืออะไร ที่เป็นคนตั้งกติกาว่า ความรักที่ฝ่ายหญิงแก่กว่าถึง 20 ปี มีสามีแล้ว และยังเป็นเพื่อนกับแม่ของฝ่ายชายนั้น “ต้องห้าม” ทั้งโทรุ (Okada Junichi) และชิฟุมิ (Kuroki Hitomi) ก็คงไม่เข้าใจว่าทำไม “ต้องห้าม” แต่ลึกๆ แล้วทั้งสองก็รู้เหมือนๆ กับคนอื่น ว่าแม้ไม่ผิดที่จะรัก แต่ความรักของพวกเขาเป็นความรักที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง

ไม่เพียงเรื่องของโทรุกับชิฟุมิ หนังยังพูดถึงรักต้องห้ามอีกคู่ ที่ถูกเล่าเหมือนจะให้เอามาเปรียบเทียบกันอีกด้วย สำหรับคู่ของคิมิโกะและโคจิ (Matsumoto Jun) เหมือนมาพบกันในจังหวะที่มีคนหนึ่งกำลัง lost พอดีกับที่อีกคนรู้สึกท้าทาย ทั้งสองจึงไม่มีความรู้สึกดื่มด่ำ ซาบซึ้งต่อกัน ไม่มีใครกล้าประกาศให้อีกฝ่ายทิ้งโลกไว้เบื้องหลังแล้วมาอยู่ด้วยกัน คู่นี้ไม่มีอะไรแบบนั้น แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็สร้างแรงบันดาลใจให้แก่กันได้อย่างน่าประทับใจแบบประหลาดๆ ใจ

ฉันเคยมีคนรัก แต่ก็ยังไม่เคยแต่งงาน ฉะนั้นฉันจึงยังไม่เข้าใจหรอก ความรู้สึกที่คนสองคนชวนกันแต่งงานน่ะ มันเป็นยังไง อะไรคือสิ่งที่กระชับคู่แต่งงานเข้าไว้ด้วยกันตลอดเวลายาวนานของชีวิตสมรส หรือทำไมชีวิตการแต่งงานมันจึงทำให้ผู้หญิงสองคนนั้น ทั้งที่อยู่ต่างที่กัน และไม่รู้จักกันเลย lost ไปไกลลิบ (ไม่เห็นสงสัยเลยว่าทำไมผู้ชายถึง lost เพราะรู้ดี ผู้ชายพร้อมจะ lost ได้ทุกสถานะ)



แต่ฉันว่าฉันเข้าใจความรักดี

ฉันว่าฉันเข้าใจด้วยว่าทำไมชิฟุมิถึงทิ้งสามี และโตเกียวทาวเวอร์ไปหาโทรุ ผู้รออยู่ใต้เงาหอไอเฟล ฉันว่าฉันเข้าใจ ทำไมเธอกล้าตัดสินใจอย่างนั้น


ความรักไง





บันทึก
• โตเกียวทาวเวอร์ในเรื่องนี้ ทำหน้าที่คล้ายโตเกียวทาวเวอร์ในเรื่องแม่-ลูก และพ่อในบางครั้งเลย
• (มันเป็นพยานรักของโทรุและชิฟุมิไง)
• พระเอก (Okada Junichi-ได้ข่าวว่าเป็นนักร้องเจป๊อป) หน้าตาดีนะ แต่ถ้าก้นไม่สวยน่าจับ ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นของฉากเปลือย (เห็นแค่ด้านหลัง) อาบน้ำฝักบัวนั้นเลย
• อ้อ นอกจากหน้าตาดีแล้วน้องเขาเล่นดีด้วยนะ
• น้องจุน (Matsumoto Jun) ก็เล่นดีแบบเป็นตัวของตัวเองดีจัง (พี่คิดว่างั้นเพราะพี่ดูน้องมากี่เรื่องๆ น้องก็เล่นได้บุคลิกเดียวกันคงเส้นคงวาตลอดเลย)
• ฮิโตมิจัง เพอร์เซอร์คนสวย แฟนโคดะกัปตันจากซีรีส์ Good Luck นั้นยังสวยจนไม่อยากจะเชื่อว่าในหนังน่ะ ชิฟุมิอายุสี่สิบกว่าเข้าไปแล้ว แต่อยากบอกจังเลยว่า ผมทรงนั้นไม่สวย ชอบบ๊อบเท ที่ชิฟุมิไว้ตอนเจอโทรุครั้งแรกมากกว่า
• ฮิโตมิจังก็เล่นดี จะบอกว่าฉันชอบเสียงแล้วก็สำเนียงเค้าจัง
• ถ้าเลือกได้อยากมีสามีวัยเดียวกันที่บุคลิกมั่นคงแบบสามีชิฟุมิ ไม่ใช่สามีเด็ก โรแมนติก ช่างฝัน แล้วก็หลงฉันเสียขนาดนั้น อย่างโทรุ
• แต่พูดก็พูด ไดอาล็อกตอนบอกลาของโทรุ ทำหัวใจฉันหวั่นไหวเหมือนกันนะ
• หนังเรื่องนี้สวย ดราม่า มีหัวข้อย่อยแทรกในหัวข้อหลักหลายอยู่ ฉันว่าฉันยังเก็ตไม่หมดหรอก และเรื่องของคิมิโกะก็กินใจฉันมากเลย ถ้าฉันเป็นคิมิโกะ ฉันจะทิ้งผัวเฮงซวยอย่างนั้น เก็บข้าวของขึ้นซีตรองสีแดงคันน้อย เปิดซันรูฟ ออกจากบ้านในเวลาที่ซากุระบานเลย
• แต่ฉันจะไม่ไปหาเด็ก (หน้าตาดี) ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรอย่างโคจิหรอกนะ
• สิ่งที่ชอบมากที่สุด ในหนังเรื่องนี้คือ เพลง Finalist ชื่อ Forever Mine ที่ร้องและแต่งเองโดย Yamashita Tatsurou ฟังทีไร ซึ้งจนน้ำตาจะหล่นทู้กที


วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

เย็นวันฝนไม่ตก



Love is the dawn of marriage,
and marriage is the sunset of love

(ฮา)





อาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2552

บนชานชาลา
สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส พร้อมพงษ์



วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

สิบปากว่าไม่เท่าชิมเอง



ขนมปังอร่อยดี
ผักกาดแก้วกรอบดี
ซอสอร่อย

ไก่ย่างอร่อย หนยังอร่อยเลย
ซอสเทอริยากิอร่อย



อาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๒
ดังที่เรียนให้ทราบแล้วว่าไปแถวเอ็มโพเรียมเพื่อการกิน

imoya คือร้านที่จะไป
เหตุเกิดจากแม่อีฟที่เข้ามาทิ้งรอยไว้ในเอ็นทรีโอโคโนมิ ยากิ เมื่อวันก่อน
เอ็นทรีนี้ แม่น้องสาวเห็นแล้วก็มาชวนไปกินฟูจิ

สำหรับฉัน ตราบเท่าที่ยังมีช้อยส์อื่นก็ขอไม่เข้าฟูจิ เลยชวนน้องไปลองอิโมยะกัน
อยากรู้ว่ามีอะไรที่ทำให้อีฟติดใจ

ทว่า อิโมยะเปิืด ๕ โมงเย็น มื้อกลางวันจึงกลายเป็น Mos Burger ไปซะงั้น

อันว่ามอสเบอร์เกอร์นี้บุกเมืองไทยมาได้พักใหญ่ แต่ฉันยังไม่เคยกิน
สัปดาห์ที่แล้วเผยความจริงนี้ให้เพื่อนที่ทำงานแล้วก็ถูกประณามใหญ่โตว่า
เ-ช-ย

โอกาสเหมาะอย่างนี้เลยชวนน้องไปกินเป็นเพื่อน
(น้องบอกว่ากินมอสเบอร์เกอร์จนเบื่อแล้ว)

แล้วก็ทำโน่นทำนี่ รอจนได้เวลาอิโมยะเปิด (เพื่อน้อง-ความจริงพี่ง่วงจะตาย อยากกลับบ้านนอนจะแย่) แล้วก็ไปกินกัน

แต่กินแล้วก็งั้นๆ ไม่ติดใจอะไรกันทั้งพี่ทั้งน้อง
(อาจเพราะว่าเราไม่ได้ดื่มน่ะอีฟ)
แต่กระเป๋าโหว๋งไปมิใช่น้อย T-T

มากินครั้งเดียวก็เห็นจะต้อง
ลาที... อิโมยะ


บังเอิญโดนปล่อยแสง






อาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๒

นัดน้องสาวไปกินข้าวเที่ยงแถวเอ็มโพเรียม แต่เสียดายมื้อเที่ยงร้านนี้ยังไม่เปิด
ความหิวไม่ปรานีใคร เราเลยขึ้นมากินเบอร์เกอร์บนเอ็มโพเรียม
น้องถามถึงห้องสมุด กะจะอ่านหนังสือรอเวลามื้อเย็น

เห็นความตั้งอกตั้งใจ(จะกิน)ของน้อง พี่เลยพาขึ้นไป TCDC เห็นว่ามีห้องสมุดอยู่

ที่ TCDC เจอคนเยอะแยะ ก็วันนี้เขายังอยู่ในเทศกาล "ปล่อยแสงครั้งที่ 4" Supermarket of Ideas
(จัดให้ ๑๕๐ ศิลปินนำงานสร้างสรรค์มาโชว์ เผื่อมีใครอยากร่วมธุรกิจ)
น้องเข้าห้องสมุดแล้ว พี่เลยโต๋เต๋ดูงาน ได้เก็บภาพมาฝากกันดังที่เห็น


งานนี้เปิดให้ชมกันฟรีๆ ถึงวันที่ ๒๗ กันยายนนี้ เวลา ๑๐.๓๐-๒๑.๐๐ น.
ที่ TCDC ชั้น ๖ เอ็มโพเรียม


ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.tcdc.ot.th จ้ะ


ป.ล. ขออภัยที่ถ่ายภาพห่วย
วัดแสงไปแบบงูๆ ปลาๆ

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

Van Houten Chocolate Drink: อุ่นๆ สักแก้ว กลางดึก

Rating:★★★★
Category:Other


ไม่นานมานี้เพิ่งซื้อ cocoamix ของดรอสเต้โกโก้มากิน ก็ดีใจแล้ว ได้กินโกโก้ร้อนรสชาติแบบไม่ต้องลุ้น คือรสอร่อยกำลังดีเหมือนๆ กันทุกแก้ว

แต่ไปเจอกับ Chocolate Drink ของ Van Hoten ที่ทำงาน
เปล่า เขาไม่ได้เอามาแจกให้ชิมเหมือนของอื่นๆ แต่เห็นน้องที่ทำงานกำลังจะชง
(ก็ที่คาร์ฟูร์ไม่มีขายนี่นา เลยไม่เคยเห็น) เห็นแล้วรู้สึกน่าสนใจมาก
(แพ็คเกจดูดี๊ รสชาติก็น่าจะดีตาม จริงไหม?)

แวะไปฟูจิซูเปอร์มาร์เก็ตเมื่อวันก่อนก็เลยซื้อกลับมา บางรุ่นกำลังแถมโกโก้ผงชนิดที่ใช้ทำขนมด้วย

จากราคา แพงกว่าดรอสเต้นิดหน่อย ซื้อกล่องเล็กขนาด ๕ ถุง หารแล้วตกแก้วละสิบบาทกว่า (ดรอสเต้ตกแก้วละ ๑๐ บาท)

แต่รสชาติ มันอร่อยกว่าจริงๆ ด้วย หวานกว่านิดนึง แต่มัน แล้วก็เข้มข้นกว่า เหมือนช็อกโกแลตมากกว่าโกโก้


คนชอบโกโก้ มีโอกาสลองหามาชิมดู


หมายเหตุ:
๑. อ่านรีวิว cocoamix ของ Droste Cocoa ที่ http://mandymois.multiply.com/reviews/item/108
๒. ส่วนประกอบที่สำคัญของ cocoamix คือ น้ำตาล 43%, ครีมเทียม 19%, ผงดรอสเต้โกโก้ 18%, นมผงขาดมันเนย 11%, คาปูชิโน่โฟมเมอร์ 7%
๓. ส่วนประกอบสำคัญของ Chocolate Drink ของ Van Houten คือ น้ำตาล 45.50%, ครีมเทียม 25%, โกโก้ 18%, นมผงขาดมันเนย 11.34%
๔. ราคากล่องขนาดบรรจุ ๕ ซองที่ฟูจิ ซูเปอร์มาร์เก็ตคือ ๕๘ บาท


ของฝากจากสวนโมกข์ฯ



จะพบความสุขที่เยือกเย็น



มองแต่แง่ดีเถิด







เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริงฯ

๑๒ กันยายน ๒๕๕๒
สวนโมกขพลาราม

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ฤทธิ์มีดสั้น

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:โกวเล้ง แปลโดย ว.ณ เมืองลุง


ที่จริงฉันได้ “ฤทธิ์มีดสั้น” ฉบับแปลโดย ว.ณ เมืองลุง พิมพ์โดยสำนักพิมพ์สื่อสัจจา ครบชุด (3 เล่มจบ) มาไว้ในครอบครองตั้งแต่ราวปี 2538-39 ตั้งแต่สมัยทำงาน (หรือฝึกงาน? จำไม่ได้แล้ว) ที่หนังสือพิมพ์สยามกีฬารายวันนู่น ไม่ได้ซื้อเองหรอก แต่ยืมเพื่อนช่างภาพกีฬาชื่อเจี๊ยบมา

เพื่อนไม่ได้เร่งรัดให้รีบอ่าน เลยเอื่อยมาเรื่อยๆ เพิ่งจะหยิบมาอ่านจริงจังเมื่อเร็วๆ นี้ และจากที่เคยขยาดสำนวน แขยงการจำชื่อตัวละครจีนในวันเริ่มอ่าน และทั้งๆ ที่มีนิสัยเสียประจำตัว คือไม่ค่อยอุตสาหะอ่านหนังสือจนจบ คราวนี้กลับอ่านได้ต่อเนื่องจนจบเรื่อง

เพราะมันสนุกมาก

ฉันพบ โกวเล้งไม่ได้แค่เล่าเรื่องการต่อสู้ด้วยวิทยายุทธ์และกำลังภายใน ชิงไหวชิงพริบอย่างน่าติดตาม ยิ่งไม่ใช่แค่เรื่องรักลึกล้ำสะท้านสะเทือนใจ แท้ที่จริงแล้วเรื่องที่โกวเล้งเล่าคือเรื่องราวยุ่งขิงที่เกิดจากแสดงธาตุแท้ของความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีทั้งความดีและเลวในตัวเอง ไม่มีใครดีเลิศ หรือเลวร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะมีความมุ่งมั่นไม่วอกแว่กแต่ก็ยังมีหัวใจเป็นคน มีรัก โลภ โกรธ หลง และแค้น

ตัวละครแต่ละตัวถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างประณีต มีการปูพื้นฐานและวางพล็อตไว้อย่างดี แต่ละตัวละครจึงดูมีชีวิตชีวาจนแทบจะออกมาโลดแล่นอยู่ในฝันยามฉันหลับ ในฤทธิ์มีดสั้น โกวเล้งมีคำอธิบายที่จะช่วยให้เราเข้าใจตัวละครทุกตัวได้กระจ่าง ซึ่งฉันเชื่อว่า อ่านตอนยี่สิบกว่าๆ คงไม่เข้าใจหัวใจของลี้คิมฮวง และหัวใจของอาฮุย ได้เท่าอ่านตอนสามสิบกว่าๆ (ฮา-ข้อดีของการมีอายุมากขึ้น)

เข้าใจทำไมลี้คิมฮวงยกคนที่รักปานดวงใจให้เล้งโซ่วฮุ้น
เข้าใจลิ่มซีอิมทำไมยอมตัดใจจากลี้คิมฮวง
เข้าใจทำไมอาฮุยยอมลิ่มเซียนยี้ทุกอย่าง
เข้าใจทำไมพฤติกรรมของลิ่มเซียนยี้เป็นแบบนี้
เข้าใจทำไมอาฮุยแทบยอมตายแทนลี้คิมฮวง
เข้าใจกระทั่งทำไมจิ้นบ่อเมี่ยเป็นอย่างนั้น

ฉันได้เห็นความโลภ เห็นแก่ตัว และน้ำใจอันยิ่งใหญ่ในฤทธิ์มีดสั้น เห็นกลการเอาชนะอีโก้ใหญ่โต เห็นความกล้าหาญอันน่านับถือ เห็นความเสียสละอันยิ่งใหญ่

“สหาย” มีไว้ทำไม ก็ได้ประจักษ์ใจในครั้งนี้




บันทึก:
• โกวเล้งดัดแปลงฤทธิ์มีดสั้นจากหนังคาวบอย "Gunfight at the o.k. corral" (1957)
• มีคนแนะนำว่าถ้าจะอ่านเรื่องของโกวเล้ง ควรอ่านสำนวนแปลของ ว.ณ เมืองลุง
• ไม่ได้ติดใจการร่ำสุรานัก ทั้งไม่ได้รำคาญการถวิลหาสุราของตัวละครแต่อย่างใด แต่ถ้าคนใกล้ตัวในชีวิตจริงขาดสุราไม่ได้ คงไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่หรอก
• ชอบใจฉากอีโรติกของโกวเล้งจัง
• มีดแรกไม่เคยพลาดเป้า แต่ก็มีแค่มีดเดียว ถ้าเจอหมาหมู่ ต่อให้เป็นลี้คิมฮวงก็แป้กได้เหมือนกัน
• เล่มต่อไปคืออะไร เหยี่ยวเดือนเก้า จอมดาบหิมะแดง หรือดาบจอมภพ เรียงลำดับอย่างไรดี?
• มีคำถามอยากถามเล่นๆ คำถาม
1.คุณคิดว่าใครเป็นพระเอกที่แท้จริง
2.ตัวละครหญิงตัวไหนที่คุณนับถือ
3.ตัวละครไหนน่าสงสารที่สุด
• ฉันควรติดตามหาเพื่อนคนนี้เพื่อคืนหนังสือให้เขาไหม? หรือควรจะซื้อชุดใหม่ให้เลยดี หนังสือที่ถูกตั้งไว้เฉยๆ บนชั้นหนังสือ ตอนนี้สันมันมีรอยกระสีน้ำตาลพร่างเต็มไปหมดแล้วอะ


ไว้อ่านเอง: วันเพี้ยนๆ ของคนญี่ปุ่น


เจออีกเรื่อง ขำดี มาจากหน้านี้
http://www.jat-languagecafe.com/newsite/highlight/display.php?id=1130



วันที่ระลึกประหลาดๆ ((おもしろい)記念日)

วันที่ระลึกประหลาดๆมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งวันเหล่านี้ ที่ได้รับการบัญญัติอย่างเป็นทางการจากสมาคมวันที่ระลึกแห่งประเทศญี่ปุ่น (日本記念日協会) แล้ว จึงขอทำการแนะนำวันที่น่าสนใจบางวันที่เลือกมาจากแต่ละเดือนดังนี้

01. วันแห่งภาพยนตร์ (映画の日 : Eiga No Hi) ตรงกับวันที่ 1 ของทุกๆเดือน
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนไปดูภาพยนตร์

02. วันแห่งการจราจรปลอดภัย (交通安全の日 : Koutsuu Anzen No Hi) ตรงกับวันที่ 1 ของทุกๆเดือน
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนขับรถอย่างปลอดภัย ไม่ขับรถด้วยความเร็ว

03. วันแห่งข้าว (お米の日 : Okome No Hi) ตรงกับวันที่ 8 และ 28 ของทุกๆเดือน
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ระลึกถึงข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวญี่ปุ่น

04. วันแห่งความรัก , ความปรารถนา และความกล้าหาญ (愛と希望と勇気の日 : อ่านว่า Ai To Kibou To Yuuki No Hi) ตรงกับวันที่ 14 มกราคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เมื่อ 14 มกราคม 1959 เป็นวันที่เฮลิคอปเตอร์ที่บินออกจากเรือสังเกตุการณ์ขั้วโลกใต้ที่ชื่อ Souya (宗谷) ได้บินจอดถึงฐานทัพโชวะ และพบว่าสุนัขทหารที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ฐานทัพเมื่อปีก่อนหน้าจำนวน 15 ตัว มีชีวิตรอเพียง 2 ตัว คือสุนัขชื่อ ทาโร่ และ จิโร่ (タロ・ジロ)

05. วันแห่งแกงกระหรี่ (カレーの日 : Curry No Hi) ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทำและรับประทานแกงกะหรี่

06. วันแห่งการปวดหัว (頭痛の日 : Zutsuu No Hi) ตรงกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ไม่ให้คนทำอะไรมากเกินไปจนปวดหัว

07. วันแห่งชาเขียว (抹茶の日 : Maccha No Hi) ตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ

08. วันแห่งนามสกุล (名字の日 : Myouji No Hi) ตรงกับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นที่ระลึกสำหรับการเริ่มใช้นามสกุลเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อวันที่
13 กุมภาพันธ์ ปีเมจิที่ 8

09. วันวาเลนไทน์ (バレンティンディー : Valentine's Day) และ วันแห่งชอกโกแล็ต (チョコレートの日 : Chocolate No Hi) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่สืบทอดมาจากต่างประเทศ ที่หนุ่มสาวจะให้ของขวัญแก่กันเพื่อแสดงความรัก สำหรับในญี่ปุ่น เป็นวันที่ผู้หญิงจะให้ชอกโกแล็ตแก่ผู้ชายเพื่อแสดงความรัก ซึ่งแพร่หลายขึ้นมาจากการโฆษณาของบริษัทผลิตชอกโกแล็ตของญี่ปุ่น สมาคมชอกโกแล็ตและโกโก้ (チョコレート・ココア協会) จึงบัญญัติวันนี้ขึ้นมาเป็นวันแห่งชอกโกแล็ตด้วย

10. วันแห่งแมว (猫の日 : Neko No Hi) ตรงกับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เนื่องจากแมวที่ญี่ปุ่นร้องว่า ニャー、ニャー、ニャー ขึ้นต้นด้วยคันจิที่เหมือนกับเลข 2 ด้วยกัน 3 อัน วางเรียงกันได้เป็น 222 ซึ่งแปลงเป็นวันที่ได้วันที่ 2/22

11. วันแห่งบันไดเลื่อน (エスカレータの日 : Escalator No Hi) ตรงกับวันที่ 9 มีนาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันแรกที่มีการใช้บันไดเลื่อนขึ้นที่ห้างมิตสึโกชิ (三越) สาขา นิฮงบาชิ (日本橋) ในวันที่ 9 มีนาคม ปีไทโช ที่ 3

12. วันสีขาว (ホワイトディー : White Day) และ วันแห่งลูกกวาด (キャンディの日 : Candy No Hi) ตรงกับวันที่ 14 มีนาคม ของทุกปี

สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่มีคู่กับวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันที่ผู้ชายให้ของตอบแทนแก่ผู้หญิงที่ให้ชอกโกแล็ตกับตนในวันวาเลน ไทน์ โดยสิ่งของที่ให้จะต้องเป็นสีขาว ทางสมาคมลูกกวาดแห่งประเทศญี่ปุ่น (全国飴菓子工業協同組合) ต้องการรณรงค์ให้คนให้สิ่งของเป็นลูกกวาด จึงตั้งวันนี้เป็นวันแห่งลูกกวาด (キャンディの日)

13. วันแห่งซากุระ (桜の日 : Sakura No Hi) ตรงกับวันที่ 27 มีนาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : สมาคมซากุระแห่งประเทศญี่ปุ่น (日本桜の会) ตั้งวันนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับการบานของดอกซากุระ ที่โดยเฉลี่ยจะบานเต็มที่ในวันนี้มากที่สุด

14. วันแห่งกระเทย (オカマの日 : อ่านว่า Okama No Hi) ตรงกับวันที่ 4 เมษายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่อยู่ระหว่างกลางของวันเทศกาลลูกท้อ (桃の節句 : Momo No Sekku) เป็นวันสำหรับเด็กผู้หญิง ซึ่งคือวันที่ 3 มีนาคม (3/3) และวันเทศกาลเด็กผู้ชาย (端午の節句 : Tango No Sekku) ซึ่งคือวันที่ 5 พฤษภาคม (5/5) จึงตั้งวันที่อยู่กึ่งกลางนั่นคือวันที่ 4 เมษายน (4/4) เป็นวันสำหรับคนครึ่งหญิงครึ่งชาย นั่นคือกระเทย (คำว่า Okama แปลว่า กระเทย)

15. วันแห่งเซนต์จอร์ดี้ (サン・ジョルディの日 : St.Jordi's Day) ตรงกับวันที่ 23 เมษายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่ผู้ชายให้ดอกกุหลาบแก่ผู้หญิง และผู้หญิงให้หนังสือเป็นของขวัญแก่ผู้ชาย ซึ่งเกิดขึ้นจากความเคลื่อนไหวของวงการสิ่งพิมพ์เมื่อปี 1987 โดยมีที่มาจากประเพณีของประเทศสเปน ในย่านบาร์เซโลน่า เพื่อต้องการชื่นชมนักรบเทพผู้ปกป้องเมืองชื่อ เซนต์ จอร์ดี้ ด้วยประเพณีที่ผู้ชายให้ดอกกุหลาบแก่ผู้หญิง และผู้หญิงให้ของแก่ผู้ชาย

16. วันแห่งขยะ (塵の日 : Gomi No Hi) ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทิ้งขยะโดยแยกชนิดของขยะอย่างถูกต้อง

17. วันแห่งนาโกย่า (名古屋の日 : Nagoya No Hi) ตรงกับวันที่ 8 พฤษภาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ที่ทำการเมืองนาโกย่าตั้งวันนี้ขึ้นมาเมื่อปี เฮเซ ที่ 8 เป็นช่วงเทศกาลนาโกย่า (名古屋祭り)

18. วันแห่งการท่องเที่ยว (旅の日 : Tabi No Hi) ตรงกับวันที่ 16 พฤษภาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น

19. วันแห่งรูปถ่าย (写真の日 : Shashin No Hi) ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : สมาคมรูปถ่ายแห่งประเทศญี่ปุ่น (日本写真協会) ตั้งวันนี้ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการถ่ายรูป

20. วันแห่งนม (ミルクの日 : Milk No Hi) ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มนม

21. วันแห่งอุด้ง (うどんの日 : Udon No Hi) ตรงกับวันที่ 2 กรกฏาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนรับประทานอุด้ง

22. วันแห่งเรือเหาะตีลังกา (ジェットコースターの日 : Jet Coaster No Hi) ตรงกับวันที่ 9 กรกฏาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันแรกที่มีเรือเหาะตีลังกาติดตั้งในสวนสนุกที่ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 9 กรกฏาคม ปีโชวะที่ 30

23. วันแห่งแฮมเบอร์เกอร์ (ハンバーガーの日 : Hamberger No Hi) ตรงกับวันที่ 20 กรกฏาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 20 กรกฏาคม ปีโชวะที่ 46 เป็นวันแรกที่มีร้าน แมคโดนัล เปิดขึ้นในญี่ปุ่น ที่ชั้นหนึ่งของห้างมิทสึโกชิ (三越) ในย่านกินซ่า(銀座)

24. วันแห่งหมากรุกญี่ปุ่น (麻雀の日 : Majyan No Hi) ตรงกับวันที่ 1 สิงหาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนเล่นหมากรุกญี่ปุ่น (麻雀)

25. วันแห่งคนอ้วน (デブの日 : Debu No Hi) ตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันที่ระลึกสำหรับคนอ้วน

26. วันแห่งเนื้อย่าง (焼肉の日 : Yakiniku No Hi) ตรงกับวันที่ 29 สิงหาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทานเนื้อย่าง ตั้งโดยสมาคมเนื้อย่างแห่งประเทศญี่ปุ่น (全国焼肉協会)
27. วันแห่งผัก (野菜の日 : Yasai No Hi) ตรงกับวันที่ 31 สิงหาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนทานผัก

28. วันเกิดโดราเอม่อน (ドラえもんの誕生日 : Doraemon No Tanjyoubi) ตรงกับวันที่ 3 กันยายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เป็นวันแรกที่การ์ตูนเรื่องโดราเอม่อนถูกเขียนขึ้นมาเมื่อวันที่ 3 กันยายน ปีโชวะที่ 45

29. September Valentine's Day (セプテンバーバレンタイン) ตรงกับวันที่ 14 กันยายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : วันครบครึ่งปีพอดีหลังจากวัน White Day (14 มีนาคม) ซึ่งหากผู้ชายถูกผู้หญิงที่ตนตกลงยอมรับความรักเลิกในวันนี้ ก็จะถือว่าไม่เป็นอะไร

30. วันแห่งเหล้าญี่ปุ่น (日本酒の日 : Nihonshu No Hi) ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : รณรงค์ให้คนดื่มเหล้าญี่ปุ่น

31. วันแห่งสุนัข (犬の日 : Inu No Hi) ตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : ส่งเสริมให้คนรักและระลึกถึงสุนัข

32. วันแห่งอพาร์ตเม้นท์ (アパートの日 : Apartment No Hi) ตรงกับวันที่ 6 พฤศจิกายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 6 พฤศจิกายน ปีเมจิที่ 43 เป็นวันแรกที่มีอพาร์ตเม้นท์ตั้งขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ในย่านอุเอโนะ (上野) ในโตเกียว

33. วันป๊อกกี้และปริทซ์ (ポッキー&プリッツの日 : Pocky&PRETZ No Hi) ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน ของทุกป
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : กูลิโกะ บริษัทผลิต ป๊อกกี้และปริทซ์ ตั้งวันป๊อกกี้และปริทซ์ ขึ้นมาเมื่อ ปีเฮเซที่ 11 เดือน 11 วันที่ 11 หากนำวันและเดือนและปี มาเขียนเรียงติดกัน ก็จะได้เป็น 111111 ซึ่งเหมือนกับแท่งป๊อกกี้และปริทซ์ 6 แท่ง ในโฆษณาของป๊อกกี้เอง ก็มีการโชว์แท่งป๊อกกี้ 4 แท่งในมือของพรีเซนเตอร์ด้วย (เพราะว่าปีเฮเซที่ 11 เลยมาแล้ว) จุดประสงค์ที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา คงไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการส่งเสริมการขายป๊อกกี้ มีการจัดแคมเปญต่างๆเกี่ยวกับป๊อกกี้และปริทซ์ในวันที่11/11 ของทุกๆปีด้วย

34. วันแห่งโรงแรม (ホテルの日 : Hotel No Hi) ตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 20 พฤศจิกายน ปีเมจิที่ 23 เป็นวันแรกที่ Teikoku Hotel (帝国ホテル) โรงแรมแห่งแรกในญี่ปุ่นเปิดให้ใช้บริการ

35. วันแห่งไก่ทอด (フライドチキンの日 : Fried Chicken No Hi) ตรงกับวันที่ 21 พฤศจิกายน ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : 21 พฤศจิกายน ปีโชวะที่ 45 เป็นวันแรกที่มีร้านไก่ทอด เคนตักกี้ เปิดในญี่ปุ่น ที่นาโกย่า

36. วันแห่งโซบะ (蕎麦の日 : Soba No Hi) ตรงกับวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี
สาเหตุที่ตั้งวันนี้ขึ้นมา : เนื่องจากชาวญี่ปุ่นมีประเพณีการทานโซบะข้ามปี (年越し蕎麦 : Toshikoshi Soba) จึงบัญญัติวันนี้ขึ้นเป็นวันรณรงค์การทานโซบะ

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

โอโคโนมิยากิทำเอง ที่ ดงดง



มาอย่างนี้

มีกะหล่ำปลีหั่นฝอย หมูเป็นชิ้นๆ ปลาหมึกสดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็แป้งอะไรสักอย่าง ละลายน้ำ ตกไข่ ๑ ฟอง




อังคารที่ 15 กันยายน 2552


เปิดเรียนคอร์ส Y6 เป็นวันแรก
ตั้งแต่สอบ Y5 เสร็จก็ยังไม่ได้กินฉลองกันเลย วันนี้เอจังกับบีจังเลยพากันไปลองร้านใหม่ ในละแวกเดิม (คือแถวๆ เอ็มโพเรียม)

DonDon (จะเรียก ดงดง หรือด้งด้ง ก็ได้ แต่อย่าเรียก ดอนดอน เพราะร้านนี้ขายอุด้ง ไม่ใช่อาหารแมกซิกัน) มาที่นี่ จะได้กินอุด้งเส้นสด หมายถึงเค้าทำเส้นอุด้งเอง ไม่ได้นำของสำเร็จรูปมาต้ม (ก็ไม่ได้เห็นว่าเขาำทำกับตาหรอก ไปถึงก็ดึกแล้ว ชั้นล่างเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่น สูบบุหรี่กันอย่างเมามัน-กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหารมันมีนานแล้วนิหว่า?) เลยพุ่งตัวขึ้นชั้นสองเลย

ชั้นสองมีโซนนั่งพับขา และนั่งเก้าอี้ เราเลือกเข้าห้อง นั่งพับขา ไม่อยากดมบุหรี่อีก ทั้งๆ ที่แม้เวลาที่ไปถึงมันไม่มีใครอื่นนอกจากเราแล้วก็ตาม

โม่เล่าว่าเคยมากินโอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki=พิซซ่าญี่ปุ่น) ทำเองที่ร้านนี้ เลยอยากลองมั่ง เลยสั่งชุดหมู (บูตะ)+ปลาหมึก (อิกะ) เพราะว่าใครบางคนแพ้กุ้ง (เอบิ)

ส่วนอุด้ง เนื่องจากเมียงมองราคาโอโคโนมิยากิที่สั่งไป (ชุดนี้รู้สึกจะ 180 บาท ถ้าจำไม่ผิด) ก็เลยต้องสั่งอุด้งเมนูที่ไม่สวิงสวาย (=แพง) นัก ก็ดีเลย จะได้ชิมว่าเนื้อของเส้นเป็นยังไง น้ำซุปรสเป็นยังไง

ขออภัยที่รูปแย่ พักนี้ขี้ลืม วันนี้ลืมทั้งกล้่อง และแว่นสายตา (-___-')
(ที่จริง Lucille ก็ถ่าย macro ได้ดี แต่ต้องช่วยมันหาโฟกัสนิดนึง)

ทางไปร้านเหมือนวกวน ความจริงถ่ายรูปซองตะเกียบที่มีเบอร์โทรศัพท์มาด้วย แต่ไม่รุใครแอบลบ ทางไปวกวนนิดนึง แต่นั่งบีทีเอสมาลงพร้อมพงษ์ ลงฝั่งตรงข้ามเอ็มโพเรียม เดินเข้าไปในซอยสุขุมวิท 39 ซอยที่มีโคคา เดินไปจนเจอสามแยกแล้วเลี้ยวซ้าย
ร้านจะอยู่ซ้ายมือ
แผนที่
v

http://wikimapia.org/4836047/th/LOF-Don-Don

ไว้อ่านเอง: อุทานแบบญี่ปุ่น


เจออีกบล็อก ช่างรวบรวมไว้ได้น่าสนใจจริง
http://www.hi5thai.com/viewthread.php?tid=100592&sid=46y8jc

คำด่า+อุทานในภาษาญี่ปุ่น



やだも~! yadamo ต๊าย!

すご~いな! sugo~i na ว้าว!, โอ้โห

あ~むかつく! aa~mukatsuku หมั่นไส้

なんてこったい! nante kottai โธ่เอ๊ย!

ばんざ~い! bansa~i ไชโย!

イヤッホ~! iyahho~! ฮิ้ววววว!

ざまあみる! zama amiru! สมน้ำหน้า!

マジかよ! maji kayo! อะไรวะ?

マジで = ほんとに maji de = honntoni! จริงอ่ะ

やめてください。 yamete kudasai อย่า!!

ざけんなコラー! zakenna koraa!   X  X , กวนตีน

こりゃ、しょーが ありませんね。 korya, sho-ga arimasen ne. โธ่! ช่วยไม่ได้นะ

よっぱらい = のんべえ yopparai = nonbee ขี้เมา

よくしゃべる yoku shaberu  พูดมาก

うそつき uso tsuki  ขี้โม้

ケチ kechi ขี้เหนียว, งก

ずうずうしい zuuzuushii หน้าด้าน

いちいちうるさいひと ichi ichi urusai hito เรื่องมาก

バカ baka บ้า

スケベ sukebe ทะลึ่ง

げひん gehin ทุเรศ, หยาบคาย

くちきたない = いぬのくち kuchi kitanai = inu no kuchi  X

カルイ.ナンパな karui.nanpa na ใจง่าย

エロオヤジ ero oyaji เฒ่าหัวงู

オカマ okama กระเทย

あいじん ai jin ชู้

うざいの! uzai no! ไม่ต้องมายุ่ง

いらない! iranai! ไม่เอา....

いらないったら!! iranaittara!! ไม่เอาก้อไม่เอา

すぐだよ! sugudayo! อีกแป๊บนึง

ちょっとまって chotto matte เดี๋ยวก่อน, รอแป๊บนึง

ちょちょちょ まって chochocho matte เดี๋ยวๆๆ      

おい! こらこら! oi! korakora! เฮ้ย!

あらまあ。 aramaa อุ๊ยต๊ายตาย

うるさい! urusai! หนวกหูว่ะ

バカ じゃねぇよ! baka janee yo! บ้าป่ะเนี่ย

うそ! uso! โกหกน่า, โม้ว่ะ

うんざりだ unsarida น่าเบื่อ, เซ็ง

まさか masaka พูดเล่นน่า

ไว้อ่านเอง: สแลงญี่ปุ่น


บังเอิญไปเจอศัพท์สนใจใน http://www.zheza.com/index.php?a=blog&b=entry&uid=306393&eid=5
เลยก๊อปมาแปะไว้อ่านเอง


あまえんぼう
甘えん坊
ขี้อ้อน ชอบอ้อน  
僕はとても甘えん坊なんです。
ผมเป็นคนขี้อ้อนมาก

あまやかす
甘やかす
ตามใจ  
あまり甘やかさないでね。
อย่าตามใจมากเกินไปนะ

あまえる
甘える
อ้อน ออเซาะ  
昨日母に甘えておもちゃを買ってもらった。
เมื่อวานอ้อนแม่ให้ซื้อของเล่นให้

きさま
貴様
มึง  
貴様は誰だ。
มึงเป็นใครวะ

てめえ
手前
มึง  
てめえは誰だ。
มึงเป็นใครวะ

いちゃいちゃする
  จู๋จี๋ สวีท  
あの二人はいつもいちゃいちゃしている。
พวกเขาสองคน(สวีทกันมาก)ชอบจู๋จี๋กันเสมอ

だって
ก็--อ้า  
だって嫌いだもん!
ก็เค้าไม่ชอบอ้า

すねる
งอน  
いつまですねているんだ。
จะงอนไปถึงไหน

ちょう~
超~
มั๊กมากกกกก  
タッキー、超かっこいい!
ทักกี้ เท่ห์มั๊กมากกกก

あねき
姉貴
พี่สาว  
姉貴みたいな女が好きだ。
ผมชอบผู้หญิงที่เหมือนพี่สาว

あにき
兄貴
พี่ชาย ลูกพี่  
兄貴には関係ないんだ。
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่(ลูกพี่)

チャリンコ
จักรยาน  
今日はチャリンコで行こう。
วันนี้ไปด้วยจักรยานกันดีกว่า

バイト
งานพิเศษ  
どんなバイトしているの?
นายทํางานพิเศษอะไรอยู่  


ダチ
เพื่อน  
あたし、男のダチがほしい。
ฉันอยากมีเพื่อนชายจังเลย

めじゃない
目じゃない
ไม่อยู่ในสายตา  
目じゃないですよ。
ไม่อยู่ในสายตา(ไม่ใช่คู่แข่ง)

サボる
โดดเรียน โดดงาน  
私は学校をサボったことがない。
ฉันไม่เคยโดดเรียน


すごい
凄い
สุดยอด เก่ง ทึ่งจริงๆ  
凄い!
สุดยอดไปเลย เก่งจังเลย (เป็นวิวที่)สวยจริงๆ


バカ
馬鹿
บ้า ซื่อ เซ่อ โง่  
バカ!
อีตาบ้า ไอ้บ้า ไอ้ทึ่ม ไอ้กระบือ ไอ้โง่ ไอ้...

お前
おまえ  
เอง แก มึง  
俺はお前が好きだ。
กูชอบมึง(ฟังดูแล้วเป็นลูกผู้ชาย)


おれ  
ฉัน กู ข้า อั๊ว  
俺はお前が好きだ。
กูชอบมึง(ฟังดูแล้วเป็นลูกผู้ชาย)

ちっちゃい
เล็ก  
ちっちゃ~~~い!
เล็กจังเยยยยยยยยย!

ちょろい
จิ๊บจ๊อย หมูๆ  
สบายมาก  
大丈夫、大丈夫!ちょろい、ちょろい!
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร จิ๊บจ๊อย จิ๊บจ๊อย  

なんちゃって
ซะเมื่อไหร่ละ  
昨日、タクシン首相と食事したぞ!、、、、、、何ちゃってね。
เมื่อวานรู้เปล่า ฉันได้ไปทานข้าวกับท่านนายกทักษิณด้วยล่ะ.........ซะเมื่อไรล่ะ  


や~だ!
ไม่เอาอ่ะ  
や~だ、や~だ。
ไม่เอา ไม่เอา (หนูจะกินไอติมอ้า หนูอยากไปด้วยอ้า ฯลฯ)


お邪魔虫
(おじゃまむし)  
ก้างขวางคอ  
この辺にお邪魔虫が多いから、他のところに行こう。  
แถวนี้มีพวก กอ-ขอ-คอ เยอะ ไปที่อื่นกันดีกว่า

オカマ
กระเทย  
タイはオカマが多い。  
ประเทศไทยมีกระเทยเยอะ

彼女
(かのじょ)  
แฟนสาว  
毎日彼女とデートに行っている。  
ผมไปเดทกับแฟนทุกวัน

彼氏
(かれし)
แฟนหนุ่ม  
明日彼氏とデートに行く。  
พรุ่งนี้จะไปเดทกับแฟน


(かれ)  
แฟนหนุ่ม  
明日彼とデートに行く。  
พรุ่งนี้จะไปเดทกับแฟน

うざい
จุกจิกจู้จี้น่ารําคาญ  
うざいなぁ、本当に。  
จุกจิกน่ารําคาญจริงๆ

ハゲ
หัวล้าน  
ハゲで何が悪い!
ทําไม หัวล้านแล้วจะทําไม

はまる
ติด หมกมุ่น คลั่งไคล้  
すげえはまっている。  
กําลังติดงอมแงมแลย(ว่ะ)

ナンパする
จีบสาว  
明日海へナンパに行こうか。  
พรุ่งนี้ไปทะเลไปจีบสาวกันไหม  

キレる
โกรธจัด ฟิวส์ขาด  
彼は今日もまたキレた。  
วันนี้เขาฟิวส์ขาดอีกแล้ว  

びびる
กลัว สยิว เสียว  
今マジでびびった。  
เมื่อกี้โ_ตรเสียวเลยว่ะ

デブ
อ้วน หมูตอน  
昔私はデブだった。
เมื่อก่อนฉันเคยอ้วนมาก

甘い
(あまい)  
อ่อนหัด ยังไม่ถึงขั้น  
まだまだ甘いね。  
ยัง ยังไม่ถึงขั้น(ยังอ่อนหัด)

キモい
ขยะแขยง  
や~だ、キモい!
ไม่เอาด้วยหรอก น่าขยะแขยงจะตาย(อยากจะอ้วก)

チュウする
หอม จูบ  
チュウしていい?  
ขอหอมแก้ม(ขอจูบ)ทีนึงได้ไหม

ブタ箱
(ブタばこ)  
คุก  
ブタ箱に行きたくないよ。  
ฉันยังไม่อยากจะเข้าคุก  

ラブラブ
หวานชื่น สวีท  
相変わらずラブラブですね。  
ยังสวีทกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ

キてる
ผมเริ่มบาง หัวเริ่มล้าน  
ちょっとキてるね。
ผมเริ่มบางแล้วนะ(หัวเริ่มล้านแล้วนะ)

イっちゃってる
(บ้า)ไปซะแล้ว  
完全にイッちゃってる。  
ไปซะแล้ว(บ้าไปซะแล้ว)

イケてる
เจ๋ง แจ๋ว เท่ห์  
ใช้ได้ อร่อย  
これはイケて(い)る。
อันนี้เจ๋ง(ว่ะ)

こわれる
เมาเละเทะ  
あいつ、完全にこわれている。
มันท่าทางจะพัง(ท่าทางจะไป)แล้ว

おいしい
งานสบายแต่เงินดี  
最近おいしい仕事ってないですか。  
ช่วงนี้มีงานอร่อยๆ(งานสบายๆแต่เงินดี)บ้างไหมครับ

ブス
ขี้เหร่ อัปลักษณ์  
なんだよ、このブス!
ทําไมมีไรป่าว ยายอัปลักษณ์  


うれのこり
(売れ残り)  
ขายไม่ออก
ขึ้นคาน  
今年結婚しないともう売れ残りよ。
ปีนี้ถ้าไม่แต่งงาน ระวังจะขึ้นคานนะ  

モテモテ
เนื้อหอม  
彼は女性にモテモテです。
เขาเนื้อหอมในหมู่สาวๆ  


コネ
เส้นสาย  
タイ社会ではコネは非常に重要です。  
ในสังคมไทย เส้นสาย เป็นสิ่งที่สําคัญมาก  


社会の窓
(しゃかいのまど)
ซิปกางเกง  
Aさん、社会の窓が開いているよ。  
คุณเอครับ หน้าต่างเปิดอยู่ครับ (ไม่ได้รูดซิปครับ)  


大蔵省
(おおくらしょう)  
ภรรยา  
คุณแม่ที่บ้าน  
うちの大蔵省は最近厳しい。
ช่วงนี้ กระทรวงการคลัง(ภรรยา)ผม..เข้มงวดมาก(ขอเงินใช้ยากมาก)  


一杯やる
いっぱいやる  
ไปดื่มเหล้า  
今夜一杯やろうか。
คืนนี้ไปดื่มกันซักหน่อยไหม

ムカつく
หมั่นไส้  
ムカつく!
มันน่าหมั่นไส้(น่าโมโหจริงๆ )

やばい
แย่ล่ะ ตายล่ะ    
おい、おい、やばいよ!
เฮ้ยๆ ตายแน่ล่ะคราวนี้  

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

ญี่ปุ่นเดือนมีนา

Start:     Mar 12, '10
End:     Mar 21, '10
Location:     สุวรรณภูมิ-โอซาก้า-สุวรรณภูมิ

เดิมจะไปฮิโรชิม่ากับบางกอกแอร์เวย์ส
ไปๆ มาๆ จะได้ไปโอซาก้ากับการบินไทยแทน

เค้าว่ายังเหลืออยู่ 10 องศา
แต่บางเค้าว่าดอกบ๊วยจะบาน
เค้าเองก็หวังได้เห็นซากุระ (บ้าง)


must
-sento
-Kyoto
-maiko
-ryokan (จะมีปัญญาไหม?)
-Tokyo Tower
-udon เส้นสด
-sashimi ของแท้
-เหล้าบ๊วยและสาเก
-ดอกบ๊วยและซากุระ
-Yubari Melon Steamcake
-อื่นๆ

รักไม่ใช่ฟิสิกส์; แรงปฏิกิริยาไม่จำเป็นต้องเท่ากับแรงกิริยาเสมอไป

ประกวดงานออกแบบ Furoshiki

Start:     Sep 14, '09
End:     Oct 30, '09



เจแปนฟาวน์เดชั่น ประกาศเชิญคนช่างคิดสร้างสรรค์ร่วมประชันไอเดียในการประกวดงานออกแบบผ้าห่อของญี่ปุ่นที่มีชื่อเรียกว่า “ฟุโรชิขิ” (Furoshiki) เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับนานาชาติ นี่จะเป็นโอกาสดีที่นักศึกษาด้านการออกแบบระดับมหาวิทยาลัยของไทยจะได้แสดงฝีไม้ลายมือในระดับชาติ



ผ้าฟุโรชิขิเป็นผ้าห่อสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้กันมาหลายร้อยปีในประเทศญี่ปุ่น แสดงถึงวัฒนธรรมการห่อของที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ ด้วยการคืนชีวิตสู่ผืนผ้าที่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ครั้งแล้ว ครั้งเล่า


ข้อมูลการประกวด (กรุณาอ่านข้อมูลการประกวดอย่างละเอียดในเวบไซต์ www.jfbkk.or.th)



หัวข้อการประกวด: JF Original Furoshiki Design

แนวการออกแบบ: เป็นการออกแบบที่ผสมผสานความเป็นประเทศที่นักออกแบบพำนักอยู่กับประเทศญี่ปุ่น

คุณสมบัติของผู้สมัคร: ส่งได้ทั้งประเภทบุคคล และประเภทกลุ่ม นักศึกษาที่เรียนด้านการออกแบบในมหาวิทยาลัย หรือวิทยาลัยอาชีวศึกษา ที่พำนักอยู่ในประเทศที่มีสำนักงานของเจแปนฟาวน์เดชั่น (ผู้มีสัญชาติญี่ปุ่นมีสิทธิ์สมัครได้)



รางวัล:

จะมีผลงาน 3 ชิ้น ที่จะได้รับการคัดเลือกนำแบบไปพิมพ์ลงบนผลิตภัณฑ์



ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลจำนวน 30,000 เยน รวมทั้งค่าจดลิขสิทธิ์

ผ้าฟุโรชิขิแบบที่ได้รับรางวัลจะมีจำหน่ายที่ร้านของเจแปนฟาวน์เดชั่น และสถานที่อื่น ๆ



ระยะเวลาส่งผลงาน: ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2552

สถานที่ส่งผลงาน: JF Original Submissions เจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ ชั้น 10 อาคารเสริมมิตร ทาวเวอร์ 159 ถนนสุขุมวิท 21 กรุงเทพฯ 10110

ประกาศผล: ประมาณต้นเดือนมกราคม 2553

ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม และดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.jfbkk.or.th

สอบถามเพิ่มเติมที่
The Japan Foundation, Bangkok
10th Fl. Serm-Mit Tower,
159 sukhumvit 21 Rd., Bangkok 10110
Tel. (662) 260-8560-4 Fax. (662) 260-8565
Website: http://www.jfbkk.or.th

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิตมีให้้พิจารณา






เสาร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๒

สามแม่ลูกพากันไปสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา
หลังจากที่มีคนถามลอยๆ ว่า ฉันอยากไปไหน
ฉันก็ตอบลอยๆ ไปสวนโมกข์ฯ

มีใคร (ในบ้าน) รู้มั่งว่าตั้งแต่เกิดมา ตรูยังไม่เคยไปสวนโมกข์ฯ
(อืมม์ แบบว่าบ้านอยู่ห่างจากสวนโมกข์ฯ แค่ รถวิ่ง ๒๐ นาทีอะนะ)


เข้่ามาในสวนโมกข์ฯ แล้วคิดถึงวัดอุโมงค์
สถานที่สองแห่งไม่ได้เหมือนกัน แต่คล้ายกัน จะเรียกว่ามี Theme อย่างเดียวกันก็ได้
(รู้กันใช่ไหมว่าตอนหลวงพ่อปัญญาจะสร้างวัดอุโมงค์ ท่านได้หลวงพ่อพุทธทาสเป็นคอนซัลต์)

แต่ในความรู้สึก วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ ดูมีมนต์ขลังแบบวัด(ใหม่ที่สร้างขึ้นบนซากวัด)โบราณ
ในขณะที่บรรยากาศในสวนโมกข์ฯ ดูคอนเทมโพรารีกว่า แจ่มใจกว่า
(ยุงและมอสก็น้อยกว่าด้วย)

ในสวนโมกข์ฯ นอกจากต้นไม้แล้วยังมีป้ายมากมาย หลวงพ่อพุทธทาสท่านคงอยากให้เราเมื่อเข้ามาแล้วใช้ตาดู และใช้หัวคิดตามมากกว่าเอาแต่พูดพล่าม ถามถึง และบ่นว่า เหมือนตอนอยู่ข้างนอก

ท่านว่า เข้ามาแล้วให้ฟังเสียงต้นไม้และก้อนหิน

ท่านให้พิจารณา


ฉันก็พิจารณาของฉัน เท่าที่ความเกรงใจสองแม่ลูกที่อุตส่าห์พามาจะอำนวย
ยังดีที่แม้แบตเตอรี่ในกล้องถ่ายรูปจะไม่อำนวย แต่โหมดมาโครในกล้องโทรศัพท์มือถือยังพอจะอำนวยอยู่ เลยได้เก็บภาพชุดนี้มาฝาก



ฉันชอบช่วงเวลานั้นจัง









ปิดเสียบ้าง




เรดาร์แมว : ส่งข่าวแบบแมวแมว






ศุกร์ที่ 11-อาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2552
กลับบ้านไปนอนขี้เกียจที่บ้าน
พบว่าคุณนายลาย แมวของพระแม่คราวนี้แปลก
ร้องจะออกไปข้างนอกตามเคย ก็ให้ออกไป
ออกไปได้ก็หายยยย ไปเลย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่กลับมาซักที

เบ็ดเสร็จหนึ่งคืนกับครึ่งวัน หล่อนถึงได้ก็ผลักประตูมุ้งลวด(โครม)เข้ามาเอง
ว่าแล้วก็ร้องโวยวายใหญ่ นััยว่าหิว (จิกตาใส่ได้อีก) พุงแฟบไปเชียว
จนต้องวางมือกับโปสการ์ดที่กำลังปั้น+แปะ ไปเอาอาหารให้หล่อนกิน

หล่อนจัดการอาหารเสร็จสรรพก็โดดขึ้นโต๊ะที่คนกำลังเขียนโปสการ์ด
ราวกับรู้ว่าโปสการ์ดบางใบจะส่งไปถึงแมว
หล่อนเลยประทับรอยซะ

..ฝากส่งข่าวไปแบบแมวแมว ว่างั้น

กลางทะเลขี้ผึ้ง





“เอ่ย น้องเอย มะพร้าวนาฬิเกร์
ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง
ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง
กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย”


มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน คือพระนิพพาน ที่เป็นความหนึ่งเดียว ไม่มีคู่เปรียบ

กลางทะเลขี้ผึ้ง หมายถึง ท่ามกลางสังสารวัฏซึ่งมีของคู่คละเคล้ากัน ดีกับชั่ว บุญกับบาป แต่นิพพานนั้นอยู่เหนือบุญ-บาป ดี-ชั่ว

ต้นมะพร้าวกลางทะเลขี้ผึ้ง เป็นความเปรียบว่า พระนิพพานนั้นอยู่ท่ามกลางวัฏสงสาร ความรู้แจ้งเห็นทุกข์ก็ต้องเกิดขึ้นตรงที่เกิดทุกข์ ความทุกข์เกิดที่ไหนความดับทุกข์ต้องเกิดในที่นั่น

ฝนตกไม่ต้องฟ้าร้องไม่ถึง หมายความว่า ไม่มีสิ่งใดมาแผ้วพานได้

ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ ก็คือเมื่อพ้นบาปก็ถึงบุญ เมื่อพ้นบุญก็ถึงนิพพาน


ท่านพุทธทาสให้สร้างสระนาฬิเกร์ไว้ในสวนโมกข์เพื่อเป็นอุปกรณ์ของมหรสพทางวิญญาณ ให้คนที่เห็นได้รู้สึกระลึกถึงธรรมะ และเป็นการระลึกถึงปัญญาคุณของคนรุ่นปู่ย่าตายายที่มีความเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติธรรม จนถึงมีการเอาเรื่องพระนิพพานมาใส่ไว้ในเพลงกล่อมเด็ก


คัดลอกข้อความจาก http://angerlo-ash.spaces.live.com


วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

จดหมายตอบจากบางกอกแอร์เวย์ส



(ได้รับตอบเวลา 17.25 วันที่ 10 กันยายน 2552)
(ตอบไวกว่าที่คิดนะ)
(เพื่อความเข้าใจ โปรดอ่าน Blog ก่อนหน้านี้ก่อน)


เรียน คุณ.............

ทางสายการบินฯ รู้สึกเสียใจที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบว่า ทางสายการบินฯ จำต้องปิดดำเนินการเส้นทางการบินระหว่าง กรุงเทพ - ฮิโรชิม่า ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เที่ยวบินสุดท้ายจะเป็นวันที่ 26 ตุลาคม 2552 

ด้วยคำนึงถึงความไม่สะดวกสบาย และ ความไม่พึงพอใจที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดนี้ ทางสายการบินฯ จึงได้มีมาตรการที่จะรับผิดชอบในกรณีที่ผู้โดยสารได้ซื้อบัตร  Flyer Pass

สำหรับกรณีที่ท่านซึ่งได้สำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสารเรียบร้อยแล้ว จึงขอแจ้งถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับกรณีของท่าน ทางสายการบินฯ มีทางเลือกให้ท่าน 2 ทางเลือก ดังนี้

- หากท่านยืนยันการเดินทาง ทางสายการบินฯ จะดำเนินการจัดหาเที่ยวบินจาก กรุงเทพ ไป ญี่ปุ่น ในสายการบินที่มีที่นั่งว่าง โดยจะเลือกจากสนามบินที่ใกล้เคียงฮิโรชิม่า และท่านสามารถนำใบเสร็จรับเงินของรถไฟ Shinkansen มาเรียกเก็บได้ภายหลัง ในวงเงินไม่เกิน JPY20,000 ซึ่งทางเราได้ส่งเรื่องไปยังทาง Reservation เพื่อดูแลในเที่ยวบินกับสายการบินฯ อื่นที่สามารถยืนยันได้ และ ทาง Reservation จะแจ้งผลให้ท่านทราบต่อไป

- หากท่านไม่ต้องการเดินทาง แม้จะออกบัตรโดยสารแล้ว ทางสายการบินฯ จะ ดำเนินการคืนเงินให้ตามจำนวนที่ท่านได้ชำระจริง และยินดีมอบบัตร Flyer PAss ให้กับท่านที่ขอคืนเงินค่าบัตร Flyer Pass ใน Package Fancy และ  Freedom ดังนี้

        
ลูกค้าที่ขอคืนเงินของชุดบัตร Fancy Package จะได้รับ Fun Package 1 ชุดบัตร 
        ลูกค้าที่ขอคืนเงินของชุดบัตร Freedom Package Fusion Package 1 จะได้รับ ชุดบัตร

สำหรับข้อสงสัยในกรณีที่มีการผ่อนชำระค่าบัตร Flyer Pass กับบัตรเครดิตนั้น ทางสายการบินขอความร่วมมือจากท่านในการยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการถูกเก็บดอกเบี้ยผ่อนชำระดังกล่าว เพื่อพิจารณาต่อไป

สำหรับการคืนเงินนั้น ทางสายการบินฯ จะดำเนินการคืนเงินตามวิธีการชำระเงินที่ท่านได้ใช้เมื่อซื้อบัตร Flyer Pass กล่าวคือ หากท่านชำระด้วย

- เงินสด สายการบินฯ จะคืนเป็นเงินสด โดยใช้เวลาประมาณ 7 วัน ทำการ และจะโอนเข้าเบอร์บัญชีของท่าน

- บัตรเครดิต สายการบินฯ จะคืนเงินกลับไปทางบัตรเครดิตใบเดิม โดยใช้เวลาประมาณ 10 วัน ทำการ

เอกสารประกอบในการขอคืนเงิน:
1 ในกรณีที่ชำระเป็นเงินสดและผู้โดยสารต้องการให้โอนเงินคืนเข้าบัญชีจะต้องมีเอกสารแนบ ดังนี้
    - บัตรFlyer Pass

    - สำเนาบัตรประชาชน (กรณีเป็นคนไทย)
    - สำเนา Passport
(กรณีเป็นคนต่างชาติ)
    -
ใบเสร็จรับเงิน (ถ้ามี)
    - สำเนาหน้า book bank
หรือ รายละเอียดของบัญชี คือ ชื่อบัญชี หมายเลขบัญชี ธนาคาร และ สาขา
    - ระบุวันที่ซื้อ Flyer Pass


2. ในกรณีที่ชำระด้วยบัตรเครดิต
    - จะต้องมีเอกสารเช่นเดียวกับข้อ1.และเพิ่ม Slip บัตรเครดิต (ถ้ามี)

3. ในกรณีที่ใบเสร็จรับเงินออกในนามบริษัท จะต้องมีเอกสารเช่นเดียวกับข้อ1. และเพิ่มเอกสาร
    -
หนังสือมอบอำนาจจากบริษัท ลงนามโดยผูมีอำนาจลงนาม
    - สำเนาบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ

ในข้อสงสัยที่เกี่ยวกับความคุ้มครองทางวินาศภัย ที่ได้รับจากบัตรเครดิตที่ท่านใช้ชำระค่าบัตร Flyer Pass นั้น ทางสายการบินฯ ขอความกรุณาให้ท่านแจ้งรายละเอียดของความคุ้มครองที่ท่านได้รับจากบัตรเครดิต และ ชื่อของบัตรเครดิตที่ท่านได้ใช้ เพื่อทางสายการบินฯ จะดำเนินการติดต่อกับบริษัทบัตรเครดิตนั้นๆ เพื่อหาข้อสรุปให้ท่านต่อไป

หวังว่าคำอธิบายข้างต้นจะสร้างความเข้าใจแก่ท่านไม่มากก็น้อย

หากท่านมีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้

ขอขอบพระคุณในความเข้าใจ และ การสนับสนุนต่อทางสายการบินฯ

ขอแสดงความนับถือ

สุพันนิกา กฤตผลชัย
Marketing and Customer Relations

Bangkok Airways Co., Ltd.




จดหมายถึงบางกอกแอร์เวย์ส


วันที่    9-09-09

 

เรื่อง    ขอทราบข้อเท็จจริงกรณียกเลิกเส้นทางบิน กรุงเทพฯ-ฮิโรชิมา

เรียน    ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

 


          ดิฉัน ...... ได้ซื้อบัตรโดยสาร Flyer Pass เส้นทาง Freedom ของบางกอกแอร์เวย์ส ด้วยบัตรเครดิต KTC Bangkok Airways เมื่อวันที่ 1-08-09 ในงานแฟร์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แต่ในวันนั้นไม่ได้รับบัตร Flyer Pass กลับมาด้วย ได้รับการอธิบายจากเจ้าหน้าที่ว่าบัตรหมด และจะโทรมาแจ้งวันรับบัตรฯ ในภายหลัง

อยากเรียนให้ทราบว่าดิฉันและเพื่อนๆ กระตือรือร้นกับการไปรับบัตรมาก เพราะเราก็เหมือนคนอื่นที่ซื้อตั๋ว Flyer Pass ชุดนี้ คืออยากรีบจองตั๋ว เพราะไม่อยากพลาดช่วงเวลาที่ซากุระบาน

แต่เอาเข้าจริงๆ ดิฉันกลับได้รับการแจ้งให้ไปรับบัตรจากเพื่อน ซึ่งทราบเพราะเขียนอีเมล์ไปถามวันรับบัตรฯ จากบางกอกแอร์เวย์ส ไม่ใช่จากการแจ้งข่าวของเจ้าหน้าที่บางกอกแอร์เวย์สโดยตรง นั่นทำให้ดิฉันรู้สึกขุ่นข้องใจ และเสียความรู้สึกต่อบางกอกแอร์เวย์สเป็นครั้งแรก  

 

อย่างไรก็ตาม รับบัตรฯ แล้ว ดิฉันก็ทำการสำรองที่นั่งไว้เรียบร้อย กำหนดการเดินทางไปฮิโรชิม่าของดิฉันและเพื่อนคือ ไปวันศุกร์ที่ 5-04-10 (PG 811) และกลับจากฮิโรชิมาในวันจันทร์ที่ 15-04-10 (PG812) Ticket Number ของดิฉันคือ 8292465981573 และ 8292465981574

มีตั๋วเรียบร้อยแล้ว ดิฉันและเพื่อนก็เบาใจ และไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรอีก

          ที่ไหนได้ วันนี้ดิฉันได้รับการแจ้งข่าวจากเพื่อนอีกครั้ง ว่าบางกอกแอร์เวย์สยกเลิกเส้นทางการบินไปฮิโรชิม่า โดยอ้างอิงข้อมูลจากกระทู้ใน pantip.com (http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8297538/E8297538.html) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข่าว และความคิดเห็นในกระทู้นี้สร้างความสับสน และขุ่นข้องอีกครั้ง จนดิฉันคิดว่าถึงเวลาที่เราควรได้รับข่าวสารจากบางกอกแอร์เวย์สอย่างเป็นทางการเสียที

ดังนั้น โปรดตอบคำถามเพื่อสร้างความเข้าใจ และช่วยฟื้นความรู้สึกดีๆ ต่อบางกอกแอร์เวย์สให้ดิฉันด้วย

 

  1. การยกเลิกเส้นทางการบินกรุงเทพฯ-ฮิโรชิม่าเป็นความจริงหรือไม่ ถ้าใช่ เพราะเหตุใดจึงไม่แจ้งให้ลูกค้าที่ซื้อบัตรโดยสาร Flyer Pass ทราบทั้งๆ ที่ได้ให้ข้อมูลไว้แล้ว ทั้งอีเมล์แอดเดรส และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ (หรือขอทราบอีเมล์แอดเดรสและเบอร์โทรศัพท์มือถือไว้เพียงเพื่อแจ้งโปรโมชั่นตั๋วและที่พักราคาพิเศษ??)
  2. หากยกเลิกเส้นทางการบินจริง บางกอกแอร์เวย์สจะแก้ปัญหาอย่างไร
  3. หากหนึ่งในการแก้ไขปัญหาคือการคืนเงินเต็มจำนวน บางกอกแอร์เวย์สจะรับผิดชอบดอกเบี้ยที่ลูกค้าต้องผ่อนจ่ายให้บัตรเครดิต ในกรณีทำเรื่องขอผ่อนชำระด้วยหรือไม่
  4. หากการแก้ปัญหาเป็นการจัดหาบัตรโดยสารสายการบินอื่นให้ บางกอกแอร์เวย์สจะชดเชยการให้ความคุ้มครองวินาศภัยจากบัตรเครดิตที่ใช้ซื้อตั๋ว ซึ่งมีอันเป็นโมฆะไปอย่างไร
  5. อยากทราบจริงๆ บางกอกแอร์เวย์สวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ถ้าคิดจะยกเลิกเส้นทางบิน ยังสมควรจะขายตั๋ว Flyer Pass เส้นทางนี้ไหม และเมื่อตัดสินใจจะยกเลิกเที่ยวบิน วางแผนจะแจ้งลูกค้าที่ซื้อตั๋วไว้แล้วอย่างไร และเมื่อไหร่ (จริงๆ แล้ววางแผนรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นหรือไม่)

 

ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนจนพอใจ และเป็นคำตอบที่ทำให้มองบางกอกแอร์เวย์สในด้านดีได้อีกครั้งในเร็ววัน

 

 

ขอขอบพระคุณมาล่วงหน้า

 

 

......

(นิยายรัก) ฤดูร้อน และรอยเท้าบนผืนทราย : บทโหมโรงของนักเขียนหนุ่ม

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:กนกพงศ์ สงสมพันธุ์

แม้เขาคนนี้จะมีงานเขียนที่ตีพิมพ์ออกมาแล้วถึง 14 เล่ม ทั้งกวีนิพนธ์ รวมเรื่องสั้น และความเรียง แต่ขอสารภาพว่า ฉันไม่เคยอ่านเรื่องของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ นักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ปี 2539 จากรวมเรื่องสั้น “แผ่นดินอื่น” ผู้จากไป (เร็วเกินไป-ในปี 2549) มาก่อนเลย

เรื่องแรกที่หยิบมาอ่านดันเป็นนวนิยายที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์สองเรื่อง ที่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้

“(นิยายรัก) ฤดูร้อน และรอยเท้าบนผืนทราย” ถูกระบุว่าเป็น “ต้นร่าง” เปิดประเด็นเพื่อเข้าสู่เรื่องราวที่ล้ำลึก และมีรสชาติ สร้างความรู้สึกและจุดประกายแสงแห่งแรงบันดาลใจขึ้นในผู้อ่านแต่ละคน...ถ้าเพียงมันจะมีโอกาสได้ถูกเขียนขึ้นจนจบสมบูรณ์

อาจเรียกได้ว่าเป็นความไม่สมบูรณ์ แต่ Overture ปลุกเร้าอารมณ์คนดูให้ตื่น พร้อมคล้อยตามไปกับเนื้อหาใน Opera อย่างไร บทโหมโรงของนวนิยายย่อมทำหน้าที่เดียวกัน

ฉันอ่านบทโหมโรงของ “(นิยายรัก) ฤดูร้อน” แล้วไม่รู้สึกตื่น เขา (กนกพงศ์) สร้างภาพในจินตนาการคนอ่านด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ อ่านแล้วราวฉันหายจากตรงนี้ไปอยู่เชิงเขาหลวง นครศรีธรรมราช ที่ที่ล้อมตัวเองด้วยสีเขียวครึ่ดของต้นไม้ต้นไร่ ในอากาศที่หนักอึ้งด้วยไอน้ำที่ลอยอยู่ แต่มันนาน ยาวไป จนฉันรู้สึกเบื่อ เหมือนจะชื้นจนหายใจลำบาก พานอยากพาตัวเองไปพ้นๆ

หรือบางที อาจเป็นเพราะเขายังพาไปไม่ถึงพีคพ้อยท์แห่งความสงสัย ที่จะยั่วให้ฉันกระวนกระวายใคร่รู้เรื่องในลำดับต่อไป และยังมองไม่เห็นแววแห่งความเป็น “นิยายรัก”?

ส่วนบทโหมโรงของ “รอยเท้าบนผืนทราย” นั้น ทั้งๆ ที่เรื่องราวเกิดขึ้น ณ จุดพิกัดใกล้กับเรื่องแรก คือใต้ร่มเงาของเขาหลวง ใต้ต้นเงาะ และทุเรียนสูงอายุ แต่กลับเป็นการเล่าด้วย Passion ที่เร่าร้อน มีอุณหภูมิทางอารมณ์กว่าเรื่องแรก มีการเลื่อนไหลของสายลมมากกว่าเรื่องแรก มีรสชาติ ถึงพริกถึงขิงกว่าเรื่องแรก แบบนี้คงถูกจริตคนอ่านอย่างฉัน มันถึงทำให้ฉันรู้สึกพอใจ และประทับใจมาก ที่ในที่สุดก็พาตัวเองมารู้จัก กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เสียที
(นึกดีใจด้วย ที่ไม่หยุดอ่านเสียตั้งแต่รู้สึกเบื่อกับเรื่องแรก)

มันเล่าเรื่องความสัมพันธ์ และความรู้สึกของของเขาที่มีต่อผู้หญิงของเขา ผู้ซึ่งทิ้งชีวิตเมืองมากับเขา จากการอ่าน ฉันรู้สึกว่าเธอดูดัดจริต ยั่วยวน แต่ก็เป็นเหมือนกองไฟอุ่นแรงบันดาลใจให้ร้อนได้ในเวลาเดียวกัน

ดูเป็นความสัมพันธ์ที่มีชีวิตชีวา อิ่มเอม และเป็นจริงเป็นจังจนฉันอยากรู้จักหญิงสาวผู้เป็นหญิงสาวในชีวิตจริงของเขา และฉันก็พบ

...เธอดูไม่ใช่หญิงสาวในเรื่องเสียทีเดียว แต่ฉันว่าใช่ล่ะ เธอคนนี้เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจของเขา

กนกพงศ์ เป็นนักเขียน ฉันหมายถึงนักเขียนจริงๆ ไม่ใช่แค่คนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นนักเขียน ในงานเขียนของเขา เราจะพบว่ามันสร้างสรรค์ขึ้นอย่างประณีต อย่างมีประสบการณ์ และอย่างมีรสนิยมทางวรรณกรรม

ที่สำคัญคือ เขาไม่เพียงเขียนบทรักได้สวยงาม และมีชีวิต แต่ยังมีอารมณ์ขันด้วย!



ฉันอยากรู้จักเขามากขึ้นอีก
ช่วยแนะนำได้ไหมว่า ฉันควรเริ่มต้นจากเล่มไหน



วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

วันที่ 9-09-09 จองตั๋วไป-กลับ กรุงเทพฯ-หลวงพระบาง (ภายใน 30-11-09) ราคา 6,990 บาทเน็ต ได้ที่ www.bangkokair.com

Grave of the Fireflies : สุสานหิ่งห้อย

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Animation



(คำเตือน : ถ้ายังไม่อยากรู้เรื่อง โปรดอย่าเพิ่งอ่าน)



Grave of Fireflies (1988) หรือชื่อภาษาญี่ปุ่น 火垂るの墓 (Hotaru no Haka) เป็นแอนิเมชั่นที่ไม่ได้เล่าเรื่องแนวจินตนาการ หรือการผจญภัยน่ารักๆ จบอย่างแฮปปี้ที่ดูแล้วต้องยิ้มตามแนวแอนิเมชั่นส่วนใหญ่ของ Studio Ghibli แต่กลับนำเสนอชีวิตที่แสนจะ tragic ในช่วงเวลาที่สุดจะลำบาก อันเป็นภาพที่ดูห่างไกลตัวคนดูยุค 3G มีกินมีใช้เหลือเฟือ แถมผู้คนในสังคมยังเมตตาอารีต่อกันอย่างล้ำเหลือ (!?!) อย่างเรา ชนิดที่แทบนึกไม่ออกว่าก่อนหน้านี้ คนยุคนั้นปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร

มันเป็นชะตากรรมระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองของเด็กญี่ปุ่นคู่หนึ่ง แม้เป็นเด็กเมืองโกเบ หาใช้เมืองฮิโรชิมาหรือนางาซากิที่โดนถล่มเสียราพณาสูรด้วยระเบิดปรมาณู แต่การเป็นกำพร้าแม่ และไม่รู้แห่งหนที่อยู่ของพ่อ ก็ทำให้เด็กสองต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนาที่สุด

ครอบครัวของเซตะและเซตสึโกะที่จริงไม่ใช่ยากไร้ พ่อของเด็กทั้งสองเป็นถึงนายพลทหารเรือแห่งกองทัพพระจักรพรรดิ แต่ในยามสงคราม พ่อก็ไปออกรบ เหลือแต่แม่กับเซตะวัย 14 ปี และเซตสึโกะ น้องน้อยวัย 4 ขวบเพียงลำพัง

วันนั้นมีสัญญาณเตือนภัย เซตะให้แม่ซึ่งเป็นโรคหัวใจไปหลบภัยในอุโมงค์ก่อน ตัวเองค่อยแบกน้องขึ้นหลังตามไป เพราะไม่ได้ไปพร้อมกันนี่เอง เด็กทั้งสองจึงโชคดี รอดพ้นระเบิดลูกที่ถล่มลงมาจนทำให้แม่ถูกไฟคลอก บาดเจ็บสาหัส

บ้านของพวกเขาไหม้ไฟ แม่ก็ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เซตะจึงพาน้องขึ้นรถไฟไปอาศัยอยู่กับป้าที่อีกเมืองหนึ่ง แต่หลังจากกลับไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล เซตะก็กลับมาพร้อมกล่องใส่อัฐิ ก็แม่มีแผลไฟไหม้เยอะขนาดนั้น ในภาวะที่ไม่พร้อมจะให้การรักษาแบบนั้น ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอแบบนั้น ให้ถึงกับรอดคงเป็นอะไรที่สูงเกินหวัง

ในเวลาที่ข้าวยากหมากแพงจากสงคราม การอุปการะเลี้ยงดูเด็กเพิ่มอีกสองปากสองท้องย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่าย ก็น่าเห็นใจคุณป้ามากอยู่ แต่คุณป้าจะรู้ไหมว่าการระบายความเครียดไปเป็นคำพูดกดดัน เหน็บแนม ว่ากระทบพ่อกระทบแม่ จนถึงด่าตรงๆ ว่าขี้เกียจ ซึ่งบีบบังคับให้เด็กตาดำๆ ต้องออกไปดิ้นรนหาความสงบ สบายใจ และอาหารกินให้อิ่มท้องนอกบ้านนั้น เป็นบาปกรรมแค่ไหน

เซตะมีแค่เงินในบัญชีของแม่ กิโมโนเพียงชุดเดียวของแม่ก็ให้ป้าไปแลกข้าวสารแล้วแบ่งไว้หุงในบ้านครึ่งหนึ่งแล้ว เขาไม่มีรายชื่อญาติอื่นๆ ที่จะหวังไปพึ่งพิงได้ เท่าที่สติปัญญาของเด็กชายวัย 14 จะนึกออก เขาจึงทำได้แค่พาน้องไปอยู่ในอุโมงค์เหมืองเก่าข้างบึงน้ำ แรกๆ สองพี่น้องดีใจ สนุกและอิสระเหมือนเล่นสร้างบ้าน พากันไปขนของใช้เก่าๆ จากบ้านเรือนพังๆ เพราะระเบิด แล้วก็ถอนเงินในบัญชีของแม่มาซื้อข้าวสาร และของจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ

แล้วก็ได้กินอิ่ม อร่อยและสบาย(ใจ)เป็นครั้งแรก

แม้จะยึดอุโมงค์เป็นบ้าน แต่อุโมงค์ก็ไม่ใช่บ้าน ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ตกค่ำ เซตสึโกะตัวน้อยจึงถูกรบกวนด้วยยุงและความมืด เด็กน้อยกลัวความมืด พี่ชายทำได้เพียงออกไปไล่จับหิ่งห้อยที่บินอยู่โดยรอบมาปล่อยไว้ในมุ้ง ให้น้องมองต่างแสงดาว

น้องหลับไปใต้แสงดาวหิ่งห้อย แต่แสงนี้กลับทำให้คนพี่คิดถึงงานวันเฉลิมฉลองกองทัพเรือ เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ยังมีแม่และพ่อ..

หิ่งห้อยที่ให้แสงราวกับดาว แต่เมื่อถึงเช้าก็กลายเป็นซากศพ ตอนที่เซตสึกะจังขุดดินหน้าอุโมงค์ เป็นหลุมฝังกองหิ่งห้อยที่กองอยู่พูน ทำให้ฉันไพล่ไปนึกถึงกองศพจากการทิ้งระเบิดที่ได้เห็นหลังจากเซตะไปเยี่ยมแม่ ในความรู้สึกฉากนี้นับเป็นฉากที่เศร้าที่สุดสำหรับฉัน

ชีวิตที่ส่งแสงระยิบระยับราวกับดวงดาว เมื่อเวลาผ่านพ้นก็กลายเป็นซากศพกองใหญ่
(หรือที่จริงชีวิตเราทุกคนก็เป็นอย่างนี้?)



สภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ ทำให้เซตสึโกะน้อยเริ่มมีอาการผื่นคันตามผิวหนัง แล้วก็เริ่มล้มป่วยเพราะท้องหิว เธอมีชีวิตได้อีกไม่นานก็จากโลกนี้ไปเนื่องจากร่างกายขาดสารอาหาร ..เรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดของใครดี ระหว่างพ่อที่ไม่ติดต่อมา แม่ที่ชิงจากโลกนี้ไปก่อน ป้าใจดำเพราะเห็นแก่ปากท้องของครอบครัวตัวเอง พี่ชายที่วิ่งหา ขโมยอาหารให้น้องไม่พอกิน เงินในบัญชีที่เหลือก็ได้แต่เก็บงำไว้จนไม่ทันใช้ หมอที่ไม่ยอมฉีดยาให้น้อง หรือว่า สงคราม?

เซตะเองหลังจากเผาศพน้องแล้วก็เก็บกระดูกไว้ในกล่องลูกอมที่ตัวเองเคยใช้ป้อนตอนน้องงอแง ชีวิตที่เหลือมีแค่ลมหายใจอันไร้ความหวัง ญี่ปุ่นแพ้สงคราม พ่อก็หายไป ไม่มีชายคาอันอบอุ่นและปลอดภัยของบ้าน ไม่มีอาหารจะกิน

ในที่สุด จึงหยุดลมหายใจ กลายเป็นแสงดวงน้อยของหิ่งห้อย ลอยไปสมทบกับดวงวิญญาณของน้อง




หมายเหตุ :
• เป็น DVD อีกเรื่องที่เป็นของฝากจากแม่สาย (หนังแม่สายชัดระดับที่หนึ่งตะวันนา)
• ในบรรดาหนัง Ghibli ที่เพื่อนเอามาฝาก กะว่าจะดูเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย เพราะจำได้ว่าเศร้าที่สุด
• เคยดู Grave of Fireflies ครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน เป็นวิดีโอที่เช่าจากร้านเฟม ท่าพระจันทร์ จำไม่ได้ว่าอะไรดลใจให้เลือกเรื่องนี้ จำได้แค่ว่าดูแล้วรู้สึกเศร้า และหลอนไปนานเชียว
• ดูอีกครั้งตอนแก่ลงกว่าเดิมสิบกว่าปีก็ยังถึงกับเก็บเอาไปฝันร้ายอยู่ (ก็ฝันเห็นศพเรียงรายนั้นแหละ)
• ในความรู้สึก นี่เป็นแอนิเมชั่นที่ดูแล้วเศร้าที่สุดจาก Studio Ghibli เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่อยากปวดใจก็ไม่ควรดูเลย
• เขาวาดเซตสึโกะตอนน้ำตาหล่นน้ำตาไหลได้น่าสงสารจริง โดยเฉพาะตอนที่ป้าจะเอากิโมโนของแม่ไปแลกข้าวสารน่ะ
• หลังสงครามสงบ บรรดาคนหนีสงครามกลับเข้าบ้านตัวเอง มีบ้านหนึ่งเล่นแผ่นเสียงเพลง home sweet home, there’s no place like home เสียงเพลงลอยไปถึงหน้าอุโมงค์ ภาพก็แฟลชแบ็กไปเป็นตอนเซตสึโกะน้อยผู้ซึ่งไม่มีโอกาสได้กลับบ้านตลอดกาล เล่นคนเดียวอยู่หน้าอุโมงค์ริมบึง ที่ที่เธอถือเป็นเสมือนบ้านของเธอและพี่ชาย ใครดูซีนนี้แล้วน้ำตาไม่ไหลก็คงเป็นคนใจแข็งมาก




วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

คำคม#๒๔




On ne voit bien qu'avec le cœur.
L'essentiel est invisible pour les yeux.

正しく見ることができるのは、心だけなのだ。
本質的なものは目では見えないんだよ。

It is only with the heart that one can see rightly;
what is essential is invisible to the eye.





The Cell : หลงไปในฝัน (ของคนอื่น)

Rating:★★★
Category:Movies
Genre: Science Fiction & Fantasy
เรื่องราวในความฝันมันแสนแปลก

คนธรรมดาที่เพี้ยนในบางจังหวะ แต่ยังไม่จัดเข้าขั้น “บ้า” อย่างเรา ฝันแต่ละคืน ยังฝันได้แสนพิสดาร ล้ำลึก แถมยังไร้ขอบเขตและเหตุผล (จะแย่อยู่แล้ว)

ตื่นขึ้นในบางเช้ายังหลอนไม่หาย

แล้วนี่ถ้าได้เข้าไปอยู่ในความฝันของคนบ้า สติไม่ดี หรือพวกฆาตกรโรคจิตไม่ยิ่งเบลอ เหวอจนจะบ้าตามเจ้าของฝันไปกันใหญ่รึ?

The Cell (2000) เป็นผลงานหนังเรื่องแรกของ Tarsem Singh ผู้กำกับเชื้อสายอินเดียซึ่งย้ายมาตั้งรกรากในอังกฤษ สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ประจักษ์ผ่านผลงานภาพยนตร์โฆษณาหลายชิ้น มันเป็นหนังแนวไซโค-ไซไฟ ที่เล่าถึงคนๆ หนึ่งที่ใช้กรรมวิธีบางประการ เปิดประตูเข้าไปอยู่ในฝันของอีกคน ไม่ได้เข้าไปแบบผู้สังเกตการณ์ แต่ไปมีบทบาทหนึ่งในนั้นเสียด้วย

เจนนิเฟอร์ โลเปซ เล่นเป็นนักจิตวิทยาที่เข้าไปในฝันของคนสองคน คนแรกเป็นเด็กชายออทิสติกที่เหมือนว่ากำลังหลงทาง ใจลอยห่าง ไกลผู้ปกครองไปทุกที กับอีกคน เป็นชายหนุ่ม ฆาตรกรต่อเนื่องที่มีวัยเด็กแสนน่าเวทนา

กรณีแรกเธอเข้าไปเพื่อให้ความช่วยเหลือเด็ก ส่วนในกรณีที่สอง เป็นการเข้าไปเพื่อให้ความช่วยเหลือตำรวจในการตามหาหญิงสาวอีกคนที่หายไป และคาดว่าจะต้องกลายเป็นศพเหมือนรายก่อนหน้าในไม่ช้า

ผลงานที่เป็นความเลอเลิศของทีมสร้างหนังเรื่องนี้จึงเป็นการถ่ายทอดฉากต่างๆ ในความฝันอันบรรเจิดของเด็กชาย กับฝันมาคุสุดสยองของหนุ่มโรคจิต ก็เล่นกันทั้งการถ่ายภาพ การตัดต่อ และคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ครบทีม

ก็ชื่นชมกันได้ตั้งแต่ไตเติล ที่เปิดเรื่องด้วยไวด์สกรีน คนชุดขาวหลังม้าดำที่ควบมาไกล เคียงกับสันทรายสีทองแดงที่เป็นรอยริ้วจากสายลม ทาบอยู่ข้างบนคือท้องฟ้าสีสดด้วยแสงอาทิตย์กำลังทำมุมโพลาไรซ์ เติมความอลังการด้วยดนตรีประกอบ (ได้ยินเพียงแผ่ว) เป็นเสียงเครื่องเป่าทองเหลือง แล้วหล่อนก็ลงจากม้า เดินไต่ขึ้นไปตามสันทราย ให้กล้องได้เก็บภาพมุมต่างๆ จนถึงปลายทาง ที่มีเด็กชายคนหนึ่งคอยให้สัญญาณแสงจากกระจกเงาบานเล็ก ยืนรออยู่

โลเปซหน้าสวย และเปิดตัวได้สวย แต่ความสวยมันจบลงเมื่อหล่อนเปิดปากพูด ยัยนี่ช่างจีบปากจีบคอ ประดิดประดอยปากคอจนห่างไกลความเป็นธรรมชาติ (หลาย ค.ศ. ผ่านไป ไม่รู้หล่อนมีพัฒนาการขึ้นบ้างหรือยัง) เผ้าผมในฉากที่ไม่ได้อยู่ในความฝันก็ทำซะเว่อร์ ลอนเป็นลอน สีก็หลอก ยิ่งฉากที่จีบปากจีบคอพูดกับพ่อแม่ของเด็กเอ็ดเวิร์ดนั้น โคตรเสียดายความสวยของโครงหน้าหล่อน ดูแล้วก็แทบจะเชื่อเลยว่าผู้กำกับคนนี้กำกับฉากแบบนี้ไม่เป็น

ทั้งๆ ที่ฉากถูกออกแบบอย่างน่าทึ่ง costume designer ของหนังเรื่องนี้เอง (คือไอโกะ ไอชิโอกะ) เป็นถึงมือรางวัลออสการ์ (จาก Bram Stoker's Dracula) แต่ตัวโลเปซในหนังเรื่องนี้เวลาที่ไม่ได้อยู่ในชุดแฟนตาซี กลับเป็นอะไรที่ดูมีรสนิยมน้อย และดึงให้หนังที่ควรเหยียบไปถึงก้อนเมฆแห่งความเป็นหนังติสท์แดกเรื่องนี้ ต้องต่ำต้อยลงจนกลายเป็นแค่หนังฮอลลีวูดแนวแฟนตาซีที่มีอยู่ดาษดื่น

พูดจาแรงเนอะ แต่รู้สึกอย่างนี้แหละ




หมายเหตุ :
• หนังเรื่องนี้ได้รับการอภินันทนาการจากหนุ่ยนุ้ย ผู้ชื่นชม Tarsem Singh ผู้กำกับ The Cell และ The Fall เอามากมาย จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
• (เออแก ไม่รู้ทำไมเสียงมันเบ๊าเบา เปิดสุดทีวี เปิดสุดคอมแล้วก็ยังแทบไม่ได้ยินเสียง score)
• ไม่แน่ว่าเพราะได้ดู The Fall (2006) ก่อนหรือเปล่า (บันทึกความรู้สึกไว้ในนี้ http://mandymois.multiply.com/reviews/item/55) จึงอดเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ ว่าเรื่องนั้นมันติสต์แตก และมี Theme ที่น่าประทับใจกว่าเรื่องนี้ เนื้อเรื่องก็เจ็บช้ำรันทดกว่า แฟนตาซีกว่า แล้วก็พาฝัน พาใจเตลิดไปได้เต็มที่กว่า ให้โควตากับฉากอลังการของธรรมชาติเต็มหูเต็มตากว่า
• แสดงว่าพี่ผู้กำกับมีพัฒนาการสูงส่งสินะ
• ซีนที่ชอบใน The Cell นอกจากคนชุดขาวตอนไตเติลเปิด ทุ่งข้าวบาร์เลย์กว้างใหญ่ มีถนนลูกรังผ่า และโรงงานตั้งอยู่ตรงกลาง จากนั้น ฉากที่ติดตาดันกลายเป็นภาพฮาร์ดคอร์อย่าง ศพเปลือยซีด กับการดิ้นรนของเหยื่อที่กำลังจะถูกน้ำท่วมตาย กับฉากตอนที่เจโลส่งเด็กลงน้ำจนขาดใจตายไปเสียฉิบ
• ใน The Fall เหมือนเขา (ใครล่ะ?) จะเสพติดอยู่กับการตกจากที่สูง แต่ใน The Cell นี่ เหมือนเขา (ใครอีก?) จะจมจ่อมไปกับความรู้สึกก่อนขาดใจตายในน้ำนะ
• อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัล แต่งหน้ายอดเยี่ยมประจำปีด้วย
• ดู The Cell แล้วอยากเพิ่มดาวให้ The Fall ง่ะ จะได้ขยับดาวให้ The Cell ด้วย
• อีก 2-3 ปี ผู้กำกับคนนี้เค้าจะออก The อะไรมาอีก แล้วจะเริ่ดกว่า The Fall ไปอีกกี่มะน้อย น่าตื่นเต้นจริง

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

ฝันแปลก : ศพเรียงราย



เมื่อคืนฝันว่าเดินไปกับป้าอ้อย อารมณ์เหมือนวันที่เราเดินจากเสาชิงช้าไปพระอาทิตย์ ตามถนนเส้นเล็กๆ ปูหิน สองข้างทางเรียงรายด้วยรั้วบ้านสูงใหญ่ บ้านเมืองในฝันมีสโลปขึ้นๆ ลงๆ บนถนนไม่มีใคร นอกจากเรา

 

แล้วก็ผ่านไปถึงลานโล่งแห่งหนึ่ง มีศพวางเรียงเป็นระเบียบเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มใหญ่ไม่เท่ากัน แถวหน้าของแต่ละกลุ่มเหมือนมีคนยืนคุมอยู่

 

ศพที่วางเรียงถูกมัดแน่นในห่อสวยงาม เป็นร่างเด็กบ้าง ผู้ใหญ่บ้าง อ้วนใหญ่บ้าง ผอมแห้งบ้าง ล้วนโผล่มาแต่หน้า เหมือนทารกแรกเกิดในห้องเด็ก หรืออีกนัยหนึ่ง เหมือนมัมมี่



จำได้ว่าในฝันนั้นเราสองคนเหลือบมองลานวางศพนี้แค่หางตา แล้วก็จ้ำเดินให้ผ่านไปเร็วที่สุด

 

จากนั้นก็มีคนไล่ตามมา ไม่รู้มีประสงค์อะไร แต่ทั้งๆ ที่ก้าวขาแต่ละก้าวได้ยากเย็น ทว่า เราไม่กล้าหยุด





...ไม่รู้ทำไมต้องกับป้าอ้อย ทำไมต้องเรียงเป็นระเบียบ ทำไมถึงแบ่งเป็นกลุ่มๆ แล้วทำไมแต่ละกลุ่มถึงมีศพวางไม่เท่ากัน ทำไมเขาต้องตามเรา แล้วเราทำไมไม่กล้าถาม