วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

หมาน่อย : ไม่ง่วงไม่ยอม



แม้ทีวีไม่ชัด



เช้าวันพุธที่ 28 เมษายน 2553

เช้านี้หมาน่อยลูกแมววัยประมาณ 3 เดือน ยังมาในสูตรเดิม
คือตื่นมากัดแทะ เข้าห้องน้ำ หม่ำ แล้วก็คึกจนถึงขั้นท็อปฟอร์ม
จากนั้นกราฟจะตกวูบ

เล่นมากจนง่วงนั่นเอง

ทุกๆ เช้าก่อนฉันออกมาทำงาน หมาน่อยจะม่อยกระรอก
อยากมีรูปถ่ายมันตอนยอมอยู่นิ่งๆ ก็ต้องชิงโอกาสตอนนี้

ไม่อย่างนั้นไม่มีทางยอมให้ถ่ายดีๆ

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

หมาน่อย : ญาติผู้ใหญ่ของหมาน่อย



มันเป็นแมวคราวที่จมูกโด่งคมทีเดียว

(ตีนแมวตัวผู้นี่โตจริงๆ ด้วยโม่)

คืนวันอังคารที่ 20 เมษายน 2553

เป็นวันที่ไม่มีงานหรือนัดตอนเย็น
ฉันจึงเร่งรีบกลับบ้านตามปกติ
ตามปกติคือแวะทักทายแมวๆ ใหญ่เล็กที่แผงร้านค้าหน้าสน.พระโขนงเป็นปกติ

แล้วดูสิว่าคืนนี้ฉันพบใคร...




(รูปไม่ดีเพราะถ่ายด้วยมือถือ ไม่ใช่เพราะฝีมือไม่ห่วย-อิอิ)

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

โ ม โ ห






กดชัตเตอร์ด้วยมือไม้สั่นเทา เมื่อเช้านี้เอง

คนญี่ปุ่น : คนโตเกียว






17-19 มีนาคม 2553


ไปเหยียบโตเกียวแค่ 2 วันเศษ
ยังไม่รู้จักคนที่นั่นดีพอหรอก


รูปเยอะ ส่วนใหญ่จะไม่สวย แต่อยากเล่าให้เห็น
เชิญชมตามสบาย
โดยไม่ต้องกังวลกับการเขียนรีพลาย

หมายเหตุ:
-เล่าเรื่องด้วยภาพตามลำดับเหตุการณ์
-สีของแต่ละภาพ "จัด" ไม่เท่ากัน เพราะใช้กล้องคนละยี่ห้อ ปรับตั้งไว้ต่างกัน
-ด้วย ความขี้เกียจเป็นยิ่งยวด จึงทำเพียง group มิได้ปรับแต่งให้ภาพมีความสวยงามไปกว่าที่ถ่ายมา รวมทั้งไม่ได้ resize ด้วย (ถึงได้ให้ดูแค่ Network ไง) ผู้ใดประสงค์จะเซฟไฟล์ไปใช้ โปรดบอกให้รู้สักนิด

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

แมวสอนว่า : อย่าล่ำลาอย่างร่ำไร

สามมื้อในรีสอร์ต



ยอมรับ




ไปพักมา ๑ คืน ได้ชิมอาหารที่ Intercontinental Hua Hin Resort ๓ มื้อ
ไม่ถึงกับกลับมานอนฝันถึง แต่ก็ไม่ถึงกับเลวเกวอะไร



คอนเทมโพรารีโคโลเนียล





พฤหัสบดีที่ ๒๒-ศุกร์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๓

มีโอกาสไปสำรวจ Intercontinental Hua Hin Resort รีสอร์ต ๕ ดาวที่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และถูกวางตัวให้เป็น Flagship ของ Intercontinental Resort (นัยว่ารีสอร์ตในเครือแห่งแรกที่บาหลียัังไม่หรูถึงขั้น)

เขาว่าเขาออกแบบให้เป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (แต่ฉันว่ามันเป็นโคโลเนียลแบบคอนเทมโพรารีแหละ) โดยได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชนิเวศมฤคทายวัน

ฉันว่าฉันไม่ค่อยได้กลิ่นเหมือนที่ได้กลิ่นที่พระราชนิเวศน์ อาจเพราะที่นั่นโปร่ง สบายลม แต่ที่นี่เป็นรีสอร์ต จะโปร่งได้แค่ไหนก็ต้องไม่เสียความเป็นส่วนตัวของแขก (แต่ฉันก็ไม่ได้ไปพระราชนิเวศน์มาสัก ๑๐ ปีได้แล้วมั้ง)

ใครจะเห็นว่าสถานที่สองแห่ง relate กันไหม อย่างไร
คงต้องสัมผัส แล้วรู้สึกกันเอาเองละนะ

ร่อง รอย และ รู






เย็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๓



แอบมาเดินเล่น สำรวจหาดหัวหินคนเดียว

หัวหินไม่ใช่หาดที่สวย ไม่มีทรายสีขาว เม็ดเล็กละเอียด เนียนเป็นแป้ง
ไม่มีน้ำทะเลใสแหนว ที่ขยับออกไกลหาดไปเท่าไหร่ก็ยิ่งมีีเฉดเข้มขึ้นของสีฟ้า และสีเขียว
แถมไม่คลื่นที่ทำประกายกับแสงอาทิตย์ เปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นสีทองในตอนเย็นๆ ช่วงเวลาที่ผู้คนจะโรแมนติกได้มากกว่าตอนเช้า เพราะถ่างตาตื่นไม่ไหว

อยากเห็นน้ำทะเลสีนั้นที่หัวหิน ต้องตื่นเช้า

หัวหินไม่ใช่ทะเลที่สวยที่สุด เแต่หัวหินมีชีวิตชีวาเสมอ
เป็นชีวิตชีวาที่มีเสน่ห์

มีเสน่ห์ เหมือนมีมนต์ ทำให้คนคิดถึง จนอยากกลับมาอีกนั่นแหละ

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

หลายสีที่หัวหิน






พฤหัสบดีที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๓

วันเดียวใน ๓๖๕ วันที่มารดาโทรเช็คว่าถึงบ้านหรือยังนั้น ฉันอยู่ที่หัวหิืน

และแทนที่จะโดนเฉ่ง(ตามเคย) ทำนอง..อ่อ ถ้าไม่โทรมาก็ไม่รู้สินะ ว่าไปไหน
กลับได้ยินเสียงตอบว่า..เออ ดีแล้วลูก แค่นี้นะลูก (เปลือง)

ก็นะ..ภาพรูโหว่บนหลังคาชานชาลามันออกจะทิ่มใจคนเป็นแม่ขนาดนั้นนินะ


เรื่องราวที่เกิดในบางกอกคืนวันนั้นช่างน่าตกใจ
น่าตกใจที่จู่ๆ คนเราก็ลืมไปว่าโลกของเรางดงามด้วยความหลากหลาย
หลายรูป หลายแบบ หลายเสียง หลายสี

ท้องฟ้ายามเย็นริมหาดหัวหินวันนั้นก็งดงาม ทั้งยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของสีสัน
เป็นวันที่อากาศแจ่มใส ลมดี แทนที่จะเป็นว่าวตัวเล็กๆ ที่ลอยประดับประดาท้องฟ้าเหนือหาดอยู่ ตอนนี้ ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องเป็นไคต์เซิร์ฟหลากสีที่คนเล่นไม่ได้สู้กันเอง แต่กำลังสู้่กับลมและคลื่น

เป็นบรรยากาศที่แค่เห็นก็รู้สึกมีความสุข
ลืมไปเหมือนกันว่าที่ราชประสงค์-สีลมเขากำลัง "ฮึ่ม" กันขนาดไหน

ข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจิม



เพราะว่าสมัยนี้มีมะม่วงน้ำดอกไม้
ร้านป้าเจิมเลยมีข้าวเหนียวมะม่วงให้คนกรุงเทพฯ รับประทานตลอดทั้งปี


พฤหัสบดีที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๓

ไปหัวหินวันธรรมดา
ทำให้ได้กินข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจิมโดยสะดวกโยธิน
ไม่ต้องรอคิวให้ผิวเสีย

อิอิ

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

คนญี่ปุ่น : คนตัวเล็ก



นี่เค้าจะลงแล้ว



ช่วงที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นเจอเด็กๆ น่ารักๆ ในเสื้อผ้าน่ารักๆ เยอะมากกก
แต่เกรงใจพ่อแม่เค้า จึงเก็บรูปมาได้เท่านี้เอง

เชิญชมตามสบาย
โดยไม่ต้องกังวลกับการเขียนรีพลาย



หมายเหตุ:
-เล่าเรื่องด้วยภาพตามลำดับเหตุการณ์
-สีของแต่ละภาพ "จัด" ไม่เท่ากัน เพราะใช้กล้องคนละยี่ห้อ ปรับตั้งไว้ต่างกัน
-ด้วย ความขี้เกียจเป็นยิ่งยวด จึงทำเพียง group มิได้ปรับแต่งให้ภาพมีความสวยงามไปกว่าที่ถ่ายมา รวมทั้งไม่ได้ resize ด้วย (ถึงได้ให้ดูแค่ Network ไง) ผู้ใดประสงค์จะเซฟไฟล์ไปใช้ โปรดบอกให้รู้สักนิด

คนญี่ปุ่น : คนบนรถเมล์



ว่าแต่เขาจะบริการคนใช้วีลแชร์ยังไงหว่า

ลิฟต์หรอ?

อืมม์ เป็นไปได้ เพราะว่ารถเมล์ของเขาสามารถย่อตัวตอนจอดเทียบป้าย
และยืดตัวขึ้นสูงเท่าเดิมตอนจะออกรถนะ





จันทร์ที่ 15 มีนาคม 2553

เราเที่ยวเกียวโตอย่างคร่าวๆ ด้วยตั๋วรถเมล์ 1 day มูลค่า 500 เยน
เป็นการเดินทางที่ใช้เวลามากกว่ารถไฟหรือรถใต้ดิน
แต่ก็นั่นแหละ มันทำให้เราได้เห็นชีวิตบนท้องถนน รวมทั้งวัฒนธรรมในการใช้รถเมล์ของคนที่นี่ด้วย


เชิญชมตามสบาย
โดยไม่ต้องกังวลกับการเขียนรีพลาย



หมายเหตุ:
-เล่าเรื่องด้วยภาพตามลำดับเหตุการณ์
-สีของแต่ละภาพ "จัด" ไม่เท่ากัน เพราะใช้กล้องคนละยี่ห้อ ปรับตั้งไว้ต่างกัน
-ด้วย ความขี้เกียจเป็นยิ่งยวด จึงทำเพียง group มิได้ปรับแต่งให้ภาพมีความสวยงามไปกว่าที่ถ่ายมา รวมทั้งไม่ได้ resize ด้วย (ถึงได้ให้ดูแค่ Network ไง) ผู้ใดประสงค์จะเซฟไฟล์ไปใช้ โปรดบอกให้รู้สักนิด

คนญี่ปุ่น : คนบนรถไฟ



อยู่นิ่งปุ๊บเป็นหยิบมือถือมากด

น้องสองคนนี้เหมือนภาพหลอนเลยเชียว


ภาพเล่าเรื่องคนญี่ปุ่น
ระหว่างการเดินทาง 13-20 มีนาคม 2553


รถไฟญี่ปุ่นมีหลายแบบ ที่ไปมาคราวนี้ก็มีโอกาสนั่งมาหลายแบบ แต่ยังไม่ครบ ไม่หมด ทั้งรถด่วนระหว่างเมือง รถเร็ว และรถท้องถิ่น
ได้พบเห็นอะไรน่าสนใจเยอะแยะ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี การให้บริการข้อมูล ความสะดวกสบาย ความสะอาด และน้ำใจจากทั้งเจ้าหน้าที่รถไฟ และผู้โดยสารด้วยกันเอง รวมทั้ง lifestyle ของคนใช้รถไฟญี่ปุ่น

นั่งรถไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นเนี่ย หนุกดีนะ
(อยากกลับไปนั่งอีก)

ก็เหมือนอัลบั้มเมื่อกี๊นะ รูปเยอะ ส่วนใหญ่จะไม่สวย แต่อยากเล่าให้เห็น

เชิญชมตามสบาย
โดยไม่ต้องกังวลกับการเขียนรีพลาย



หมายเหตุ:
-เล่าเรื่องด้วยภาพตามลำดับเหตุการณ์
-สีของแต่ละภาพ "จัด" ไม่เท่ากัน เพราะใช้กล้องคนละยี่ห้อ ปรับตั้งไว้ต่างกัน
-ด้วยความขี้เกียจเป็นยิ่งยวด จึงทำเพียง group มิได้ปรับแต่งให้ภาพมีความสวยงามไปกว่าที่ถ่ายมา รวมทั้งไม่ได้ resize ด้วย (ถึงได้ให้ดูแค่ Network ไง) ผู้ใดประสงค์จะเซฟไฟล์ไปใช้ โปรดบอกให้รู้สักนิด

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

คนญี่ปุ่น





ภาพเล่าเรื่องคนญี่ปุ่น
ระหว่างการเดินทาง 13-20 มีนาคม 2553


รูปเยอะ ส่วนใหญ่จะไม่สวย แต่อยากเล่าให้เห็น
เชิญชมตามสบาย
โดยไม่ต้องกังวลกับการเขียนรีพลาย

หมายเหตุ:
-เล่าเรื่องด้วยภาพตามลำดับเหตุการณ์
-สีของแต่ละภาพ "จัด" ไม่เท่ากัน เพราะใช้กล้องคนละยี่ห้อ ปรับตั้งไว้ต่างกัน
-ด้วยความขี้เกียจเป็นยิ่งยวด จึงทำเพียง group มิได้ปรับแต่งให้ภาพมีความสวยงามไปกว่าที่ถ่ายมา รวมทั้งไม่ได้ resize ด้วย (ถึงได้ให้ดูแค่ Network ไง) ผู้ใดประสงค์จะเซฟไฟล์ไปใช้ โปรดบอกให้รู้สักนิด


วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

ห้องน้ำบนรถไฟ



รถจะไปถึงที่หมายสายๆ ของวันไหว้ตรุษจีน

เลยมีผู้โดยสารเพียงเท่านี้




ฉันมีความผูกพันกับรถไฟ แล้วก็ชอบนั่งรถไฟ
รถไฟไทยนี่แหละ ทั้งๆ ที่มันโบร่ำโบราณ เก่า สนิมเขรอะ แล้วก็วิ่งไปหยุดซ่อมไปเป็นพักๆ

แต่ล่าสุด ฉันเพิ่งมีโอกาสนั่งรถไฟญี่ปุ่นหลายแบบ รวมทั้งรถหัวกระสุนชินคังเซ็น
ก็เลยคิดว่า น่าจะเก็บภาพมาให้ดูกัน

แต่อย่าบ่นว่าอะไรมากเลย
เราจ่ายต่างกัน

ฉันนั่งรถไฟชั้น 2 ตู้นอนติดแอร์มาจากสุราษฎร์ เสียเงินซื้อตั๋ว 698 บาท
คนญี่ปุ่นจ่ายค่าชินคังเซ็นเพื่อพาตัวเองจากเกียวโตไปโตเกียวเป็นเงิน 13,220 เยน
(ราว 4,891.4 บาท-ประมาณว่าไปกลับกรุงเทพฯ-หาดใหญ่-กรุงเทพ ด้่วยแอร์เอเชียได้ มีตังค์จ่ายค่าแท็กซี่เข้าบ้านด้วย)

แต่ก็หยั่งว่า ฉันใช้เวลานอนมา 1 คืน บนรถไฟวิ่งๆ หยุดๆ (ซ่อม) ตลอดทาง จากสุราษฎร์ฯถึงกรุงเทพฯ
คนญี่ปุ่นจากเกียวโตมาโตเกียว ขึ้นชินคังเซ็นวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ยสามร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 3 ชั่วโมง


เรียกว่าจ่ายอย่างไรก็ได้อย่างนั้นละมั้ง?

ค ล า ย ร้ อ น




ภาพจาก http://postcardsworldwide.wordpress.com/2008/10/28/poland-uae-and-an-elephant-swimming-underwater/



มองไปก็คล้ายแมว


มีผู้ประสงค์จะเลี้ยงชาบู

Start:     May 2, '10
Location:     แล้วแต่คนเลี้ยง


เห็นตื้อจะเลี้ยงมาหลายเดือน
ไอ้เราก็ชอบขัดใจคน
แต่เพิ่งนึกออกว่าอยากชิมเนื้อดีๆ สักชิ้นสองชิ้น
ได้ดื่มฉลองกันหน่อยก็ท่าจะดี


วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ไปหาดใหญ่กับเด็กไฮเปอร์





พฤหัสบดีที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๓

จำใจไปหาดใหญ่ด้วยตั๋วแอร์เอเชีย (อันแสนแพง)
บทเรียนจากรถบขส เมื่อหลายปีก่อนสอนไว้ ว่าถ้ามีนัดสำคัญ จงไปเครื่องบิน

ด้วยความตื่นเต้น ไม่ได้ขึ้นแอร์เอเชียมานานแล้ว จึงรีบเร่งทำงานมือเป็นระวิง แล้วจับแท็กซี่ (ของคุณสวรรค์ที่ไม่ต้องฟังวิทยุชุมชนระดมด่า) บึ่งไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิแต่หัววัน
เกรงจะเช็คอินไม่ทัน

ปรากฏว่ามันไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้

เช็คอินเรียบร้อย กะจะไปนั่งรอหน้าเกต พิชิต sudoku เลเวลที่ค้างคาอยู่ให้สำเร็จเสร็จไป
แต่เด็กไฮเปอร์ (จริงๆ ห่างไกลความเด็กมาเยอะแล้ว) ที่ซื้อตั๋วกลับหาดใหญ่เที่ยวกับนี้ไว้ตั้งนานแล้ว (ตอนโปรโมชั่นตั๋ว 0 บาท) และฉันก็เพิ่งมารู้ว่าจะได้ไปเที่ยวบินเดียวกับหล่อนเมื่อไม่นานนี้ ไม่ยอมเข้าไปนั่งรอเฉยๆ ชวนยิกๆ ให้ไปเดินดูสนามบิน

เออ ไปก็ไป
ฉันคิดทั้งๆ ที่ง่วง

ซึ่งก็ดีเหมือนกัน
เพราะยังไม่เคยเห็นสนามบินในมุมนี้ ในเวลาอย่างนี้เลย


หมายเหตุ : เช็คอินพร้อมกัน นามสกุลเดียวกัน
ไมเค้าไม่ให้นั่งด้วยกันหว่า?

เรดาร์แมว : แมวเครา



ขืนเล่นกะแกนาน ฉันต้องอุ้มขึ้นรถกลับบ้านแน่ๆ




ศุกร์ที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๓

เดินทางไกลไปเจอแมวเคราที่สงขลา
เกือบอุ้มกลับมาแล้ว ถ้าคุณแม่ไม่ขอร้อง

หมาน่อย : อาบน้ำได้




นั่นเป็นผ้าโสร่ง ฉันเอาทำม่าน


อาทิตย์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๓

กะมาพักใหญ่แล้วว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะลงมืออาบน้ำให้หมาน่อยเสียที
แต่ก็ลังเล รีรออยู่ อ้างกับตัวเองว่าเมื่อวานอากาศเย็น ไม่มีแสงแดด กลัวอาบน้ำแล้วแมวไม่แห้ง (อิอิ)

แต่ตอนบ่ายวันวานได้ข่าวจากโม่ว่าได้ล่วงหน้าอาบน้ำให้ถุงทองแล้ว ประสพความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ไม่มีเสียเลือดเนื้อ
ฉันเลยใจชื้นเป็นกอง

มันไม่น่าจะยากอย่างที่คิด

อืมม์ มันไม่ยากจริงๆ แหละ แค่ต้องตั้งสติ แล้วก็เตรียมอะไรๆ ไว้ให้พร้อม

ค่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมกันนะ หมาน่อย
หม่ามี๊หัดอาบน้ำให้หนู
หนูก็ต้องหัดชินกับการอาบน้ำ ไม่เกลียดน้ำ แล้วก็หัดชินกับเสียงไดร์เป่าผมด้วยนะ

ต่อไปเราจะอาบกันอาทิตย์เว้นอาทิตย์นะเบบี๋

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

หมาน่อย : เอาแต่นอน






พฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2553

อาทิตย์กว่าๆ ที่ไม่ได้อยู่้ด้วยกันมีอะไรเกิดขึ้นเย้อะ
หมาน่อยก็โตขึ้นจนแมวคราวสังเกตเห็น

ป้าโม่ แม่อุปถัมภ์ของหมาน่อยพามันมาส่งฉันที่เดิม
ฉันว่าขนมันยาวขึ้น แล้วโครงก็โคร่งขึ้น คือตัวใหญ่ขึ้น แต่ยังไม่อวบอั๋นเสียที

โม่เล่าว่าตอนอยู่ด้วยกันกับถุงทอง แมวพี่ของมัน สองพี่น้องซนสุดๆ
ฉันก็พอนึกออก ลำพังมันอยู่ตัวเดียวก็เซี้ยวจะแย่ ยิ่งมีคู่ขา ไม่ยิ่งเซี้ยวไปกันใหญ่หรือ

แต่กลับมาคราวนี้หมาน่อยยังไม่ออกอาการซน
ไม่โวยวายจะไต่ออกจากกระเป๋า ขึ้นรถแล้วก็ทำท่าจะหลับ
พอถึงบ้านก็ไม่ได้วิ่งปรู๊ดปร๊าดไปที่มุมโปรด ได้แต่ดมเงียบๆ ไปที่ซอกนั้นมุมนี้ เดินไปแทะต้นไม้ต้นโปรดที่ระเบียง แล้วนั่งนิ่งๆ

ฉันชวนมันฉี่แล้วอึ อีกแป๊บเดียวมันก็เริ่มร้องอุทธรณ์ว่าหิว
(ฉันคิดของฉันเองทุกที เวลามันเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย ปากก็ร้องแง้วๆ ไม่ยอมหยุดอย่างนี้)

พอฉันเสิร์ฟมันก็กินใหญ่ (ดีใจจัง)

กินเสร็จก็นอน น้อน นอน

นอนยังกะจะชดเชยให้เพียงพอกับเวลาอาทิตย์กว่าๆ ที่ไปออกแรงเซี้ยวกับคู่ซ่า


แมวคราวบอกว่าพรุ่งนี้มันจะซนเหมือนเดิม
...ไม่แน่ใจนะ เมื่อเช้ามันยังไม่ออกฤทธิ์เท่าไหร่เลย

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

ถ่างใจให้กว้าง : ถ้าไม่อยากเป็น "ชนชั้นกลาง" ต้องเป็น "ไพร่" งั้นหรอ?


อาหารสมอง
อ่านเพิ่มเติม(รวมทั้งความคิดเห็นต่อบทความนี้)ได้ที่ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1271232137&grpid=01&catid

........................................................................................

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553
 เวลา 21:00:00 น.  มติชนออนไลน์


เมื่อผู้กำกับ "รักแห่งสยาม" เขียนจดหมายตอบน้องเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์ 10 เมษายน

... เพราะภราดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชน ชั้นสูงอย่างเต็มตัว...

หมายเหตุ "ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล" หรือ "มะเดี่ยว" ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "รักแห่งสยาม" รวมทั้งหนังสะท้อนปัญหาสังคมไทยในยุคปลายรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หลาย ๆ เรื่อง เช่น "คน ผี ปีศาจ" และ "13 เกมสยอง" ได้เขียนจดหมายตอบกลับไปยังเพื่อนรุ่นน้องที่เข้ามาระบายอารมณ์ความรู้สึก ผิดหวังเสียใจกับปฏิกิริยาของคนรอบข้างที่มีต่อเหตุการณ์นองเลือดในวันที่10 เมษายน โดยเขาได้นำเนื้อหาในจดหมายดังกล่าวไปโพสต์ไว้ในเว็บล็อกส่วนตัว http://mdsponx.spaces.live.com มติชนออนไลน์เห็นว่าจดหมายของชูเกียรติมีเนื้อหาน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้

 

//////////


13 เมษายน


โยนิโสมนสิการ
 

จากที่ได้ป่าวประกาศไปในเฟศบุคว่าจะทำรายการตอบคำถาม ก็มีผู้คนส่งคำถามมามากมาย มีไม่น้อยที่เปนคำถามเกี่ยวกับสังคมและการเมือง จะอ่านตอบลงไปในยูทูปก็เกรงใจเพราะว่าในการดำเนินรายการหมายมุ่งว่าทำเพื่อความบันเทิงเริงใจ การค้นหาความจริงทางสังคมและการเมืองตอนนี้มีผู้คนออกมาแสดงความเห็นกันมากมายอยู่แล้วจึงปล่อยให้เปนหน้าที่ของท่านเหล่านั้นไป


หาก แต่ก็ยังมีความกลัดใจอยู่ไม่น้อยในประเด็นความขัดแย้งแลความเศร้าที่ต้องมี ผู้คนเสียชีวิตบาดเจ็บไปในเหตุการณ์จึงหยิบจดหมายของน้องคนหนึ่งที่เขียนมา ในใจความถามว่า เขาควรทำอย่างไรดีเมื่อเริ่มขัดแย้งกับเพื่อนในเฟศบุคเกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่เปนเพื่อนสนิทที่นิสัยดี พอความขัดแย้งเกิดขึ้นเขาและเธอว์เหล่านั้นต่างแสดงตัวตนที่โหดเหี้ยมอำมหิต ออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อจดหมายส่งมาถึงข้าพเจ้าหลายวันหากแต่ยังไม่ได้ตอบ แล้วไม่นาน น้องคนนั้นก็นำไปเขียนลงบลอกด้วยความสับสนว้าวุ่นใจ แฝงความทุกข์ใจที่เสียเพื่อนอยู่ในที เจือระคนด้วยความโกรธเคืองอยู่บ้าง ข้าพเจ้าเชื่อว่าความโกรธนั้นไม่ได้มุ่งหมายไปที่ตัวบุคคล แต่ยังแผ่ลามไปถึงสังคม แลทุกสิ่งที่ปลูกความคิดอัปยศเหล่านั้นให้เพื่อนของเขา จึงขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านในบลอกนี้ ก่อนที่จะอ่านจดหมายตอบกลับของข้าพเจ้าต่อไป


http://nanoguy.exteen.com/20100412/entry


จดหมายถึงน้อง


ตี้น้องรัก


จากคำถามสั้น ๆ วันก่อนที่เธอว์ได้ถามพี่มา บัดนี้ได้แจกแจงรายละเอียดจนเห็นภาพชัดแจ้ง โดยที่ไม่ต้องจินตนาการใด ๆ เพราะรอบข้างตัวพี่ ตัวเรา ตัวเขา ตัวเธอว์ เหล่านั้นเราต่างประสบปัญหานี้กันทั้งสิ้น แม้แต่ตัวพี่เองที่วันนี้คงพูดไม่ได้แล้วว่าเปนกลางทางการเมือง


การออกตัวว่าเห็นด้วยกับกลุ่มคนเสื้อแดงเปนเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างมากในสังคมกรุงเทพสาธารณะ(ในที่นี้หมายถึงในโลกไซเบอร์นี้ด้วย) เพราะเราจะถูกชี้หน้าด่าทันทีว่าเปนลิ่วล้อของทักษิณ เปนคนโง่ที่ถูกล้างสมอง ไร้การศึกษา ชีวิตมีค่าเพียงธุลีดิน และถูกเกลียดชังไปในทันที แต่พี่ว่าการออกตัวอย่างชัดเจนยังดีกว่าการออกตัวว่าเปนกลางแล้วซ่อนความยินดีอำมหิตอยู่ภายในอย่างคนที่ตี้ได้เจอคนพวกนี้เขาไม่ถามเราหรอกว่าทำไมเราถึงเห็นด้วยกับเสื้อแดง เหมือนที่เขาตอบเราไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงเกลียดทักษิณ แล้วส่วนใหญ่ก็จะอธิบายไม่ได้ด้วยว่าทักษิณทำผิดอะไร มักจะเชื่อเพราะเขาบอกมา เชื่อเพราะเขาพูดกัน เชื่อเพราะสื่อชี้ให้เห็นเปนแบบนี้ และที่น่าเศร้า เชื่อ เพราะกลัวจะถูกหาว่าไม่ฉลาดทันคน


พี่ทำหนังวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลทักษิณมาตั้งแต่ก่อนเรียนจบ มหาวิทยาลัยจนถึงเรื่องสิบสามเกมสยองก่อนที่รัฐบาลของเขาจะถูกรัฐประหารใน คืนที่ถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ส่วนใหญ่ที่พูดถึงในเนื้องานคือเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสงครามยาบ้า อันเปนนโยบายของรัฐบาล เรื่องการแทรกแซงสื่อและนโยบายประชานิยม พี่ไม่ค่อยกล้าแตะเรื่องการเลี่ยงภาษีหรือการทุจริตต่าง ๆ ที่เขายกมาเปนประเด็นในช่วงท้าย ๆ ของการดำรงตำแหน่งนั่นเปนเพราะว่าพี่ไม่เข้าใจระบบภาษี ไม่เข้าใจวิธีการฟอกเงิน การวิพากษ์วิจารณ์สิ่งใดที่เราไม่รู้แจ้งจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นักเพราะวันหนึ่งสิ่งต่าง ๆ อาจจะย้อนมาหาตัวเราเอง อนึ่ง หากจะพูดเรื่องภาษี พี่ก็ยังเห็นคนรอบข้างตั้งหลายคนพยายามหลบเลี่ยงภาษีด้วยวิธีต่าง ๆ นานาเช่นกันและที่ไม่น่าพูดถึงเลยก็มีคนในประเทศนี้ตั้งหลายคนที่ไม่ต้องเสียภาษีและก็ใช้ทรัพยากรเดียวกันบนผืนแผ่นดินไทยรวมถึงพี่ด้วย ที่บางอารมณ์เมื่อนึกถึงความทุจริตที่เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าในหน่วยงานของรัฐ พี่ก็ไม่อยากจะเสียภาษีเหมือนกัน แต่ก็เลี่ยงไมได้เพราะหัก ณ ที่จ่ายเงินทุกครั้งเมื่อพี่ได้รับค่าจ้าง


เราคงไม่ต้องอธิบายแรงผลักดันในการออกมาต่อสู้ของชนชั้น รากหญ้าให้เสียเวลาเพราะมีคนได้อธิบายไปแทบจนหมดสิ้นแล้วแต่คนส่วนใหญ่ใน เมืองก็ยังเลือกที่จะไม่เข้าใจอาจจะเปนเพราะชาวนาในความคิดเขาก็ยังเอาควาย ไถนาเกี่ยวข้าว สวมงอบกันเหมือนในโปสการ์ดของการท่องเที่ยวฯ ความยากจนและการถูกกดขี่มันเปนอย่างไรคงยากจะจินตนาการถึงในสังคมของผู้ที่ ร้องเรียนทุกอย่างได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เรื่องของแถมจากการชิงโชค สินค้าไปจนถึงโดยแย่งอาหารในชาบูชิบุฟเฟต์ ไม่ว่าจะให้ข้อมูลอย่างไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเปนการทำลายธุรกิจ การใช้จ่ายอันศรีวิไลซ์และความสำราญสะดวกสบายของเขาเหล่านั้น มากกว่าจะเปนการเรียกร้องความเปนธรรมทางการเมืองที่เขาถูกลิดรอนมาหลาย ทศวรรษแล้ว


มีคำถามของน้องคนหนึ่งชื่อ "ปาริณ" ถามได้น่าสนใจว่า "ใครคือชนชั้นกลาง" เปนคำถามที่ดีมากสำหรับเด็กมัธยมผู้ใฝ่รู้ จริงแล้วแต่ละสาขาก็มีอรรถาธิบายต่อคำว่าชนชั้นกลางของตัวเอง ทางรัฐศาสตร์ก็แบบนึง เศรษฐศาสตร์ก็แบบนึง สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ก็อีกแบบนึงแล้วแต่จะพูดไป แต่สรุปรวมคำอธิบายในแบบของพี่ ชนชั้นกลางคือผู้ที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ทำงานอยู่ในระบบธุรกิจ จุดมุ่งหมายของชนชั้นกลางคือการถีบตัวไปสู่ชีวิตที่สูงขึ้นในระดับชนชั้นสูง คนพวกนี้มีความอ่อนไหวเปราะบางทางความรู้สึกเพราะชีวิตของพวกเขาไม่มีความ มั่นคง เกือบทั้งหมดมีหนี้สิ้น ไม่ว่าจะเปนบ้านหรือรถ หรือธุรกิจ ดังนั้นไม่แปลกที่พวกเขาจะมีความกังวลในใจตลอดเวลาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการ เมืองและต้องการหาแหล่งอำนาจไว้พึ่งพิงชนชั้นกลางอ่อนไหวกับข่าว เชื่อสื่อง่ายโดยเฉพาะสื่อทางเลือกอย่างเช่น อินเตอร์เน็ต และเคเบิลทีวีพวกเขาพร้อมใจจะเชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์ ข่าวซุบซิบ หรืออะไรก็ตามที่ขึ้นต้นว่า "ข่าววงใน" สิ่งที่พวกเขากลัวคือการตามไม่ทันกระแส โดยเฉพาะยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนี้ใครรู้ก่อน ปล่อยข่าวได้ก่อน ย่อมได้รับการยกย่องราวกับเปนกูรู ข้อพิสูจน์นี้เห็นได้จากรายการแฉที่ได้รับความนิยมมากมาย พิธีกรหรือนักเขียนที่มีชื่อเสียงในการแฉไม่ว่าจะเปน มดดำ ซ้อเจ็ด หรือช่องเคเบิลใด ๆ ที่เปิดแล้วมีแต่กระเทยมาเม้าธ์กัน ตอนนี้มีมากมายและได้รับการยกย่องเสียด้วย ในขณะที่เราถูกสอนว่าการนินทาผู้อื่นนั้นไม่ดี โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จัก แต่ทำไมถึง...


ช่างมัน เรามานินทาชนชั้นกลางกันต่อ ด้วยรู้จุดอ่อนข้างต้น ชนชั้นปกครองจึงหลอกเอาขนมผสมน้ำยาได้โดยง่าย ด้วยสื่อที่เปนของทหารและรัฐเกือบทั้งหมดเขาจะทำให้เราเชื่ออะไร รักอะไร เกลียดอะไรได้โดยง่าย เรียนนิเทศมาสื่อแบบนี้เขาบอกว่าเปนสื่อของรัฐบาลเผด็จการทหาร ไม่ใช่สื่อของเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างที่เราเชื่อกัน เพราะถ้าเปนเช่นนั้นจริง ฟรีทีวีเราคงมีมากกว่าสิบช่องให้มีการแข่งขันเสรีมากกว่าจะต้องทนดูอะไรห่วย ๆ โง่ ๆ ไร้รสนิยม ที่รัฐและนายทุนสื่อที่มีอยู่ไม่กี่เจ้ายัดเยียดให้เราดูแล้วบอกว่า "ชาวบ้านเขาต้องการแบบนี้" ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยากดูแบบนี้หรือไม่มีปัญญาทำแบบอื่น หรือกลัวเขาจะฉลาดขึ้นมา


นอกเรื่องอีกแล้ว มาเรื่องชนชั้นกลางต่อ อย่าหาว่าเม้าธ์เลย ชนชั้นกลางไม่ค่อยแคร์ต่อความเปนไปของโลกมากนักจนกว่าจะมีปัญหาเดือดร้อนมาถึงตัว ในวัยมหาลัยเขาไปค่ายอาสากัน แต่ก็เหมือนไปเที่ยวไปกอบโกยความสนุกจากชาวบ้านแล้วก็สร้างห้องสมุด ห้องน้ำ โรงอาหารให้เขาอย่างที่เขาต้องการหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วทุกคนก็ลืมไปสิ้นเมื่อตอนแวะตลาดซื้อของฝาก เขาไปเที่ยวชนบทเพื่อดูความเรียบง่าย พอเพียง ทางอุดมคติก่อนจะกลับมาชอปปิ้งในห้างหรูด้วยบัตรเครดิตที่หมุนเดือนชนเดือน แล้วเขาก็ด่าคนที่มาชุมนุมเหยียดหยามเขาเหมือนไม่ใช่คน ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นอาจจะเปนลุงป้าน้าอาที่เคยไปสร้างห้องสมุด โรงอาหารให้กับเขาเมื่อไปค่ายก็เปนได้ เขาไปวัดปล่อยนกปล่อยปลาถวายสังฆทาน แต่ไม่ฟังเทศน์ หลายคนอ่านหนังสือพระดังแต่ไม่รู้จัก "กาลามสูตร" เข้าใจว่าเปน "กามสูตร" หากลองปฏิบัติตาม กาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พี่เชื่อว่าหลายคนคงเปนอิสระจากการครอบงำทางความคิดและเกิด "โยนิโสมนสิการ" ซึ่งไม่ใช่ความยินดีในโยนี แต่ลองไปเปิดหาความหมายเอาเองเถิด


แล้วที่เม้าธ์ชนชั้นกลางมาหลายย่อหน้านี้มันตอบคำถามใดของตี้ หากตี้มีโยนิโสมนสิการแล้วก็จะเข้าใจว่า น้องคนที่เขามีความยินดีในความตายของผู้คนเหล่านั้นเขาเปนชนชั้นกลางที่ขาดซึ่งวิจารณญาณโดยแท้ อาจจะเปนความเยาว์ความเขลาของนาง หรือสื่อที่บิดเบือนโลกของนางไปให้เห็นกงจักรเปนดอกบัว เห็นความตายเปนเรื่องน่ายินดี เห็นความแตกต่างทางการเมืองเปนเรื่องที่ต้องเอามาตัดสินคนว่าโง่เง่าต่ำตม ถ้าเปนพี่ก็คงช็อคมิใช่น้อยถ้าได้เห็นการเอารูปคนตายมาหยามเกียรติและชี้ชวนกันวิพากษ์วิจารณ์ เหตุการณ์นี้มองในแง่ดีเราก็จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนเหล่านั้นเหมือนกันนะตี้ มันทำให้เรามีตาทิพย์ เพราะขณะที่คนอื่นมองเห็นความศรีวิไลซ์ของน้อง ๆ เหล่านั้นว่าเปนคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีการศึกษาและเปนอนาคตของชาติ แต่เรามองเห็นด้านของปีศาจร้าย ความกักฬะโสมม ที่อยู่ในใจนาง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องความเชื่อทางการเมือง แต่เปนเรื่องของสภาพจิตใจมากกว่า


เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ เรายังเชื่อในอำนาจนิยม วันหนึ่งที่เรามีอำนาจเราก็จะกลายเปนปีศาจร้ายทำลายได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิตคนได้อย่างสนุกสนาน คิดดูว่าแค่มีอำนาจในมือในการพิมพ์คีย์บอร์ดยังเปนได้ขนาดนี้ วันหนึ่งที่เขามีสิทธิ์ชี้เปนชี้ตายคนพวกเขาจะสนุกสนานขนาดไหน แล้วเราจะหวังอะไรกับอนาคตของชาติที่เปนแบบนี้


ความหวังเรื่องสันติยังคงมืดมน แม้ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งก็มีมติให้ยุบพรรคประชาธิปปัตย์แล้วก็ยังไม่มีสัญญาณอะไรว่าการชุมนุมจะเลิกรา พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังขออุทธรณ์ดิ้นรนเอาชีวิตรอด หรือถึงแม้จะเลิกชุมนุมไปแล้วการหวนกลับมาของทักษิณก็อาจจะมีการชุมนุมครั้งใหม่ของอีกฝ่าย หรือแม้แต่ทักษิณถูกประหัตประหารไป แต่เชื่อไหม ความขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป นายกรัฐมนตรีสุดหล่อเคยออกมาบอกว่าอย่าเอาความขัดแย้งระหว่างชนชั้นมาเปนเงื่อนไขในการชุมนุม แต่ในความเปนจริง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นนั่นแหละคือปัญหาหลักของประเทศนี้


ชนชั้นสูงรู้ดี ว่าตัวเองมีอะไรอยู่ในมือและชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหากเกิดความ เปลี่ยนแปลงชนชั้นล่างรู้ดีว่าพวกเขาต้องการอะไรและชีวิตของพวกเขามันต่ำ ต้อยแค่ไหนในระบบเผด็จการทหารห่อประชาธิปไตย (เหมือนผัดไทห่อไข่) ทุกประเทศเปลี่ยนไปหมดแล้วไม่เว้นเวียตนามและกัมพูชา เมื่อคนที่ยากแค้นลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมและพวกเขาก็ชนะ พี่เชื่อว่ามันอาจจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่วันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นแน่นอน เพราะภราดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชน ชั้นสูงอย่างเต็มตัว


ประเทศเราไม่มีทางเปนเหมือนเดิมอีกต่อไป ในเมื่อคนถูกเสี้ยมให้เกลียดกันแล้วรอยร้าวนี้ก็ยากจะสมาน ต้องให้เครดิตรัฐบาลชุดนี้ไว้ด้วยตรงที่ขยันออกข่าวสร้างภาพความเลวร้ายของคนเสื้อแดง ใส่สีตีไข่ จนทำให้คนเกลียดกันได้มากถึงเพียงนี้ รัฐอาจจะต้องการรักษาอำนาจของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น สิ่งนั้นอาจจะสำคัญมากกว่าความเข้าอกเข้าใจกันของคนในชาติ


มันอาจจะฟังดูอุดมคติ แต่จริงแล้วเมื่อคนเข้าใจกันว่าเราต่างมีหน้าที่ของตัวเองในสังคม ไม่ได้มีใครสำคัญกว่าใครเราเปนฟันเฟืองตัวหนึ่งที่มีหน้าที่ที่เท่าเทียมกันคือหมุนประเทศนี้ต่อไปข้างหน้าเราเข้าใจว่าเราเองก็ไม่อยากจน ไม่อยากลำบาก และคนอื่นก็เช่นกัน ใครก็อยากรวย อยากสุขสบาย เราจะไปบอกคนอื่นว่าเกิดมาจนก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงไปสิมันไม่ได้หรอก เพราะลองถามตัวเองจะให้ไปอยู่อย่างนั้นเอาไหม เราก็ไม่เอาเหมือนกัน ฉะนั้น กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย คนกรุงเทพไม่ใช่เจ้าของประเทศ คนต่างจังหวัดไม่ใช่คนโง่ เขาตื่นแล้ว ความยากจนข้นแค้น มันเรียกร้องให้เขาหาคำตอบว่าทำไมชีวิตเขาถึงไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้สักที วันหนึ่งเมื่อเขาเจอคำตอบเขาก็ไม่เชื่อสื่อของรัฐอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้เกียจคร้านและแบมือขอ พวกเขาทำงานหนักกว่าเราที่ทำงานในเมือง แต่ค่าตอบแทนมันต่างกันลิบลับ เราร้อนเราเปิดแอร์ แต่เขาร้อนนั่นคือพืชผลถูกทำลายและหมายถึงเจ๊งๆ ๆ ไม่มีจะแดก นี่คือเรื่องจริง อย่างที่สุดไม่ใช่นิยายที่แต่งขึ้นมาประโลมโลกย์ และไม่ตื้นเขินเหมือนคำตอบที่ว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดมาเพื่อทักษิณ


เขียนมาถึงขั้นนี้ คงมีหลายคนที่เกลียดชังพี่ที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างออกไป ซึ่งพี่ไม่ได้โกรธคนเหล่านั้น เพราะคนเรามีความเชื่อต่างกันได้ และจะเกลียดกันก็ไม่ว่ากระไรแต่ให้ลองถามว่า คุณเกลียดชังคนมีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากคุณด้วยเหตุผลอะไร หากคุณรักชาติหวงแหนผลประโยชน์ของชาติ ลองนึกถึงคำตอบหน่อยว่า ผลประโยชน์ของชาติ คืออะไร ถ้าตริตรองดูด้วยเหตุผลด้วยข้อมูลต่าง ๆ มาประสมกัน คิดโดย "ไม่ควรเชื่อ เพียงเพราะ..." แล้วยังยึดมั่นอุดมการณ์เดิมด้วยเหตุผลที่หนักแน่น เราก็ยินดีให้ด่า


พี่หวังว่าจดหมายนี้จะเปนคำตอบที่ดีให้กับตี้และน้องปาริณอยู่ไม่น้อย หวังว่าสิ่งที่กลัดใจอยู่คงจะคลายความเครียดของมันลงไปได้ในเร็ววัน อาจจะสงสัยว่าทำไมพี่ถึงเรียกชนชั้นกลางว่าพวกเขา แล้วพี่เปนชนชั้นอะไร จริง ๆ แล้วพี่ก็เปนชนชั้นกลางเหมือนกับทุก ๆ คนที่เล่นเน็ตอยู่ ณ ที่นี้แหละจ้ะ เพียงแต่บางครั้งเราก็ไม่อยากถูกเหมารวมไปอยู่ในหมวดชนชั้นกลางที่เหยียดวรรณะ เพราะถ้าเปนเช่นนั้นแล้ว พี่ยอมเปน "ไพร่" มากกว่าจะเปนคนในแดนศริวิไลซ์ที่มองเห็นคนไม่เห็นเปนคน


วิงวอนให้ทุกคนได้มี "โยนิโสมนสิการ" ในเร็ววัน


แมวโพง สีสวยดี

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

หมาน่อย : หลับแล้วก็หมดฤทธิ์




ตอนมันเป็นไข้จมูกแดงแป้ดเลย



อังคารที่ 6 เมษายน 2553

หลังจากพาหมาน่อยไปรับวัคซีนเข็มแรก มันก็จ๋อยไปนิดนึงแต่แล้วพอหายอึ้งก็กลับมาซ่าใหม่
แต่ลูกแมวก็คือลูกแมว ออกฤทธิ์ได้แป๊บเดียวก็หลับป๊อก

ตกเป็นเหยื่อของแมวคราวไป

haru ni narimashita (3)



พี่น้องสองศรี



เสาร์ที่ 20 มีนาคม 2553

ปลายฤดูหนาว-ต้นฤดูใบไม้ผลิ
เช้าๆ อากาศยังหนาว แต่เริ่มสาย แดดออกก็แจ่มใส
เช้าวันหยุดอย่างนี้ ชาวโอซาก้าพากันออกมาเที่ยวเล่นที่สวนสาธารณะรอบโอซาก้าโจ (ปราสาทโอซาก้า) แผงขายต้นไม้ตรงนั้นก็ขนไม้ดอกไม้ประดับที่กำลังเบ่งบาน สดใส สมกับเป็นสีสันแห่งการมาถึงของความอบอุ่นและอุดมสมบูรณ์

ภาพดอกไม้เบ่งบาน ผู้คนสดใส มีความสุข ทำให้คนมาไกลอย่างเราเห็นแล้วพลอยชุ่มชื่นหัวใจ
อดยินดีกับการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิไปกับเขาไม่ได้


haru ni narimashita (2)





ชมดอกไม้กันต่อ

รูปไหนสีตอแหลไม่ต้องแปลกใจ ไม่ได้ทำ ถ่ายมายังไงก็อย่างนั้น
แค่ใช้กล้องแคนนอน

haru ni narimashita (1)



คล้ายๆ ดอกคล้ายๆ กันที่เรียกว่ากล้วยไม้ดิน


13-21 มีนาคม 2553

ฉันไปญี่ปุ่นในช่วงเวลาคาบเกี่ยว จะคลายจากหนาว ย่างเข้าใบไม้ผลิ
แม้ยังไม่เห็นซากุระบานสะพรั่ง แต่ก็ได้เห็นกับตาว่าดอกไม้หลายพันธุ์ต่างขยับขยาย
รอวันจะคลี่กลีบบาง บานแอร่ม
รับฤดูใบไม้ผลิมาเคาะประตูเรียกแล้ว



วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

แ ม ว วั น นี้ # 4





If I never met you, I wouldn't like you.
If I didn't like you, I wouldn't love you.
If I didn't love you, I wouldn't miss you.

But I did, I do, and I will.





วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

หมาน่อย : จ๋อยจิ๊ดเดียว



อย่าลืมหม่ามี๊นะ เบบี๋



อังคารที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๓

หมามี๊ว่าจะพาหมาน่อยไปตรวจร่างกายและรับวัคซีนชุดแรกตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา
แต่วันนั้นชีวิตหมามี๊มันวุ่นวายมาก อากาศก็ร้อน เลยผัดมาเป็นวันหยุดอีกวัน คือวันอังคาร
ซึ่งหมามี๊คิดว่าเป็นจังหวะที่ดี เพราะนัดจะไปส่งตัวหนูให้ป้าโม่ช่วยเลี้ยงแทนตั้งแต่เย็นวันนี้เลย ฉีดวัคซีนให้เรียบร้อยซะก่อนก็ดี

ที่ต้องไปรบกวนป้าโม่กับลุงเหม่งก็เพราะหม่ามี๊จะไม่อยู่บ้านหลายวันอีกแล้วน่ะซี (ไม่อยากเลย)

คุณหมอที่โรงพยาบาลสัตว์แถวบ้านเราทั้งน่ารักและใจดี
เธอตรวจฟันหมาน่อยแล้วบอกว่า หนูน่าจะอายุ ๒ เดือน หนูหนัก ๘๐๐ กรัมแล้ว
แล้วหมามี๊ก็เลือกวัคซีนป้องกันหวัดแมวรวมที่มีวัคซีนป้องกันลูคิวเมียรวมอยู่ด้วยเลย

แน่นอนว่ามันแพงกว่าวัคซีนหวัดแมว แต่ก็ถูกกว่าฉีดวัคซีนหวัดแมวเข็มนึง ลูคิวเมียเข็มนึง
(แถมเรายังไม่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อยด้วยนะเบบี๋)

ก่อนฉีดวัคซีน คุณหมอสาธิตการป้อนยาระหว่างป้อนยาถ่ายพยาธิให้หนูด้วย
(แม้ตรวจอึหนูแล้วจะไม่มีพยาธิ ไม่ค่อยพบแบคทีเรีย แต่ก็ต้องถ่ายพยาธิให้ครบนะจ๊ะ)
แหม๋ ช่างเป็นเทคนิคที่ชิลล์จริงๆ ไว้หม่ามี๊จะใช้มั่งนะ

คุณหมอให้เรารอ ๑๕ นาที ดูว่าหมาน่อยจะแพ้วัคซีนไหม หม่ามี๊ก็ลุ้นอยู่เพราะหนูดูซึมๆ ไปตั้งแต่ขึ้นไปอยู่บนแท่นตรวจแล้ว (ขามาหนูโวยวายมาตลอดทาง แถมตะเกียกตะกายจะปีนหนีตะกร้า ออกฤทธิ์แทบแย่)

ปรากฏว่าหนูไม่แพ้ แค่จ๋อย คงเป็นอาการตามที่คุณหมอบอกนะ ว่าหนูรับวัคซีนแล้วก็คือการรับเชื้อโรคเข้าร่างกาย เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน และ ๒-๓ วันต่อจากนี้ หนูจะป่วยๆ ซึมๆ หน่อย

(หม่ามี๊แอบนึกในใจ ซึมหน่อยก็ดี จะได้ไม่หนักแรงป้าโม่กับลุงเหม่ง)


ที่ไหนได้ หนูซึมแค่ ๒๐ นาทีเอง ไม่ทันถึงบ้านก็ตะกายไปพลางโวยวายไปพลาง จะออกจากตะกร้าให้ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว...เอาน่ายังไงเราก็ผ่านวันนี้มาได้แล้วนะเบบี๋ อีก ๒ อาทิตย์ต้องไปกระตุ้นอีกเข็มนะจ๊ะ

สงสัยต่อไปนี้หม่ามี๊ต้องลดเดตให้น้อยลงหน่อยล่ะ เอาตังค์มาจ่ายค่าหมอให้หนู

ท ะ เ ล ที่ รั ก : 40 ยังไหว



แต่เป็นเด็กหญิงข้างหน้าคนนี้ตะหาก

ไข้สูง 39-40 องศาซี แต่เด็กคนนี้ยังไหว

แม่พาไปแอดมิดเพราะเธอมีอาการไข้ (สูง) จากไวรัสเพื่อนเก่าอีกแล้วน่ะซี

(เรื่องป่วย รอแม่มาเล่านะจ๊ะ)


อาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2553

วันนี้ขอเสนอตอน เด็กหญิงทะเลจอมอึด

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

หมาน่อย : ร้ายไม่ใช่น้อย






ปลายเดือนมีนาคม ๒๕๕๓

หมาน่อย-แมวน้อยของฉันไม่ค่อยชอบถ่ายรูป
เพราะแสงช่วยโฟกัสทำให้มันรำคาญ แต่กระนั้น การยกมือถือถ่ายก็เร้าใจมันเกินไปอีก

ก็ลูซิลล์เค้าห้อยป้ายรูปหน้าแมวอยู่ พอลูซิลล์อยู่ตรงหน้ามัน หมาน่อยก็คิดจะเล่นกับป้ายรูปหน้าแมวนั่นตลอดเวลา

การเล่นของมันก็คือกางเล็บตบนั่นเอง
อยากได้รูปเด็ดๆ ก็ต้องโดดหลบให้ทันว่างั้น

เราตากแดดร้อนกันเพื่ออะไร?






เสาร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๓

ฝ่าเปลวแดดไปทำธุระแถววิภาวดี
ตั้งใจจะเดินจากสถานีบีทีเอส คือ..สงสัยเหมือนกันว่าตัวเองยังเบลอค้างอยู่ทั้งๆ ที่กลับจากญี่ปุ่นมาก็นานแล้ว แบบว่าคนที่นั่นนิยมเดิน ถ้าไม่เดินก็จะขี่จักรยาน
ฉันเองถ้ามีรองเท้าที่ใส่แล้วไม่เจ็บตีนก็เดินได้ทนอยู่ ก็เลยคิดว่าจะเดินไป

โชคร้ายที่ยังเบลอ

เพราะถ้าหายเบลอแล้วก็น่าจะฉุกคิดสักนิด แล้วก็พกร่มกันยูวีไปด้วย จะได้เดินเย็นๆ อีกนิด
ก็นี่มันบางกอก ประเทศไทย และในเดือนเมษายน

เมื่อฉันไปถึงที่ที่ไปทำธุระ ฉันดีใจที่ไม่ได้เดินตากแดดร้อนอยู่คนเดียว
ยังมีคนสวมแต่งกายด้วยสีแดงเป็นสีเด่นกลุ่มใหญ่ เขาพร้อมใจกันออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งในตอนเที่ยงเศษๆ อย่างฉัน

เขาออกมาตากแดดเพื่อส่งเสียงบอกอะไรหลายอย่าง เซ็งแซ่จนฉันงง

การที่คนเราลงทุนสละความสะดวกสบายของตัวเอง (ตรงนี้ฉันไม่แน่ใจที่จะใช้คำว่า "เสียสละ") เพื่อให้ได้มาเพื่ออะไรสักอย่าง สิ่งนั้นมันคงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา (เห็นไหมว่าฉันมองมันในแง่ของ "ปัจเจก")

เรื่องยิ่งใหญ่สำหรับใครคนหนึ่ง ควรได้รับการเคารพจากใครคนอื่นๆ สินะ


ฉันเอง เดินจากสถานีบีทีเอสหมอชิตไปที่อาคารแห่งนั่นไม่ใช่เพื่ออะไรที่ยิ่งใหญ่นัก แค่เพื่อเงิน ๒๐๐๐๐ เยน ที่จะไปขูดรีดเอาจากบางกอกแอร์เวยส์เท่านั้นเอง

เงินจำนวนนี้บางกอกแอร์เวยส์จะให้ชดเชยความไม่สะดวกสบายของผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วกรุงเทพ-ฮิโรชิม่าในตอนแรก ต่อมา เมื่อเขามีความจำเป็นจะต้องยกเลิกเส้นทางบิน จึงซื้อตั๋วการบินไทยไปลงโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่น่าเที่ยว น่าพัก คักคักมากกว่าฮิโรชิม่าให้เราแทน แค่นั้นยังไม่พอ ยังแสดงความรับผิดชอบด้วยการให้เรากลับมาเบิกค่ารถไฟชินคังเซ็นสำหรับเดินทางไปฮิโรชิม่า สำหรับผู้โดยสารที่ตั้งใจจะไปฮิโรชิม่าด้วย

คิดแล้วฉันรู้สึกละอายใจ ในการไปเพื่อเอาเปรียบเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า


...แต่ถ้าเขายังให้ ฉันก็ยินดีรับนะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553