วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หมาน่อย : โตช้าหน่อยก็ได้





เสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓

หมาน่อยมีอายุราว ๔ เดือนแล้ว
มาอยู่ด้วยกันได้ ๒ เดือนโดยประมาณ (แหว่งวิ่นในช่วงแรก)
หม่ามี๊พบว่าหมาน่อยโตเร็วมาก
จากแรกๆ เบบี๋แมวผอมแห้งหัวโต ขนตั้ง
ไปๆ มาๆ กลายเป็นนังแมวเด็กสาวแขนขายาวพุงโร ขนเรียบ และเหมือนจะเป็นมัน ลื่นมือยามลูบ

ระหว่างนี้หมาน่อยโดนกร้อนขนไปสองรอบ รอบแรกที่หัวกับข้อศอก รอบสองตรงกลางหัวเหม่งเลย ที่ต้องทำกับหนูอย่างนี้ก็เพราะอาการโรคผิวหนังที่มีสาเหตุจากคนรักความสะอาด (แทนแมว) ของหม่ามี๊เอง (ขอโทษอีกครั้ง)

หมาน่อยเป็นลูกแมวสาววัย ๔ เดือนที่ยังไม่ทันสวย แต่หนูกำลังจะเป็นสาวแล้ว
่สองสามวันมานี้ หม่ามี๊พบว่าหัวนมเม็ดน้อยๆ สีชมพูมันเด่นเด้งเรียงเป็นแถวแนวที่พุงอ่อนนุ่ม ปกคลุมไปด้วยขนปุกปุยของหนู

โตช้ากว่านี้หน่อยก็ได้นะหมาน่อยนะ
หม่ามี๊ตั้งตัวไม่ทันเลย


วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หมาน่อย : หนูอยากไปเที่ยว



หม่ามี๊แกล้งให้แมวมีความหวังจะได้ไปเที่ยว

(เห็นพุงที่หลามออกมาข้างๆ นั่นไหม?)




พฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓

หม่ามี๊ชักจะซุ่มตัวอยู่กับบ้านหลายวันแล้ว แต่ดูทีวี(ไม่ชัด)มากๆ เข้าก็ชักหดหู่
เลยหาโอกาสแว้บไปไหนมาไหนใกล้ๆ บ้านอยู่เรื่อย
ไม่รู้ว่าหมาน่อยเรียนรู้การเคลื่อนไหวของหม่ามี๊ได้ไง ว่าแบบนี้คือกำลังจะออกจากบ้าน
ทุกทีที่จะเปิดประตู ลูกแมวตัวพุงโรวิ่งจะมานั่งรอตาแป๋วอยู่หน้าประตู
พอจับลูกบิดก็จะเริ่มตะกายแกรกๆ ดิ้นรนอยากตามออกไปเที่ยวข้างนอกด้วย

แรกๆ หม่ามี๊ไม่ยอมให้ออกมาเลย กลัวหมาน่อยวิ่งปรี๊ดหนีไปแล้วกลับมาไม่ถูก
หลังๆ หม่ามี๊คิดใหม่ หมาน่อยอาจจะแค่อยากรู้อยากเห็น

ให้ออกไปดมอะไรแปลกๆ ข้างนอกสักแป๊บก็ได้

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ปั้นปูนให้เป็น 'บ้านนายดี'






วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2553

ฉันไปค้างแรมที่ "บ้านนายดี" ผลงาน Living Art ที่นายดีช่างหม้อ (ดุษฎี รักษ์มณี) สร้างสรรค์ขึ้นเป็นบ้านพัก freeform จากปูน

บ้านเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ วิกหัวหิน และโรงเรียนภัทราวดีมัธยม หัวหิน
เปิดให้เข้าพัก จัดค่ายนักเรียน อบรมสัมมนาและจัดงานต่างๆ

อาจไม่สะดวกสบายเหลือเฟือเหมือนโรงแรมที่แข่งกันติดดาวในหัวหิน
แต่ที่นี่มีบรรยากาศของอิสระ การสร้างสรรค์ และการผจญภัย
แถมยังเป็นการเติมเชื้อไฟให้ฝันเก่าๆ ของใครหลายคน ที่อยากจะมีบ้านดินกับเขาสักหลัง

ถ้าสนใจไปหัวหินคราวหน้าลองแวะไปชมซี เขาไม่หวง
จากหัวหิน วิ่งขึ้นสะพานไปทางไปประจวบ ลงสะพานสัก 300 เมตร แล้วมองป้ายบอกจังหวะทางซ้ายมือไว้
หน้าโรงเรียนมีป้ายใหญ่โต วิกหัวหินอยู่ทางขวา เลี้ยวขวาเข้าไปเลย

ถามเส้นทางหรือถามรายละเอียดค่าห้องที่ 032 827815

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทางเดิน และการเดินทางของครูเล็ก




คนบางคน เกิดมาเพื่ออะไรบางอย่าง
ฉันยังไม่เชื่ออย่างนั้นจนกระทั่งโตพอ
ได้เห็นชีวิตคนหลายคน
บางคนเกิดมาเป็นปราชญ์ บ้างก็เกิดมาเป็นโจร

แต่กับครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน
ครูเกิดมาเป็นศิลปิน และครูโดยแท้

ภาพเรียงลำดับการเดินทางในชีวิตครูเล็กที่เห็นนี้ประดับอยู่ที่ทางเดินในแกลลอรี่ วิกหัวหิน
ที่ที่มีทั้งโรงละครและโรงเรียนมัธยม ที่พักและงานศิลปะ
น่าไปเห็นและชื่นชมเป็นอย่างมาก

ลิโด้ กับสกาล่าปลอดภัยดีใช่ไหม?

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แมวสอนว่า : ต้องระวังพวกฉวยโอกาสด้วยนะ หม่ามี๊

เด็กสองร้อยปี

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Childrens Books
Author:เค็นซาบุโร โอเอะ

ห่างเหินจากวรรณกรรมเยาวชนไปนาน แต่พอหลงไปเจอบูธดวงกมลสมัยในงานสัปดาห์หนังสือครั้งล่าสุด ได้พิศดูหนังสือลดราคาของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ (ซึ่งไม่เคยเอาหนังสือของตัวเองมาลดราคาในงานนี้ด้วยตัวเองเลยสักครั้ง) ก็เลือกได้หลายเล่ม และเลือกเล่มนี้กลับมาด้วย

ก็เพิ่งอ่าน "รอยชีวิต" ของโอเอะ จบไป อยากรู้ว่าวรรณกรรมเยาวชนของนักเขียนรางวัลโนเบลที่เขียนนิยายได้ "หนัก" ขนาดนั้น มันจะเป็นยังไงกัน

แล้วฉันก็พบว่านี่เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่อ่านไม่ง่ายเลย ไม่ใสอย่างกับ "บึงหญ้าป่าใหญ่" ที่อ่านไปแล้วก็ยิ้มบางๆ มีความสุขกับภาพที่เกิดในหัว (แต่ฉันอ่านไม่ยักจบ) ไม่หรอก จะอ่าน "เด็กสองร้อยปี" ต้องใช้ทั้งทักษะในการอ่าน และวุฒิภาวะในการอ่าน ยิ่งถ้ามีแบ็คกราวนด์เกี่ยวกับสังคมญี่ปุ่นบ้าง แบ็คกราวนด์เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของโอเอะบ้าง ก็อาจจะทำให้มีความเพียรที่จะ 'อ่าน' ความคิด และทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาบอกผ่านเรื่องราวที่เขียนไว้ได้มากขึ้น เข้าใจได้ในแง่มุมที่ละเอียดมากขึ้น

ฉันพบด้วยว่า เมื่ออ่านได้ และอ่านไปจนจบ ก็ได้พบว่านี่เป็นเรื่องราว และความคิดที่ลุ่มลึกมาก
ลุ่มลึกจนเราไม่น่าจำกัดมันให้เป็นเพียงวรรณกรรมเยาวชนเลยด้วยซ้ำ

ที่จริงมันน่าจะอ่านกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อ่านจบแล้วก็นำมาพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะกันได้
เพราะไม่ใช่ว่าสติปัญญาของผู้ใหญ่พัฒนามาไกลกว่าแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสติปัญญาคนที่อ่อนด้อยกว่าอย่างเด็กอีกหรอก
แต่เพราะแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ผู้ใหญ่ขาดไปคือจินตนาการและความใส ซึ่งเด็กมีอยู่เต็มเปี่ยมนั่นเอง โดยเฉพาะในเด็กพิเศษ เขาจะใสเป็นพิเศษยิ่งกว่าเด็กปกติเสียอีก

การจินตนาการถึงการย้อนกลับไปในอดีตหรือไปในอนาคตไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่การตั้งคำถามของโอเอะที่ว่า ได้ไปในเวลาอื่นแล้วไง? ในเมื่อเราไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เคยเกิด หรือสิ่งที่จะเกิดไม่ได้ แล้วจะไปให้ได้ประโยชน์อะไร?

นี่ตะหากที่เฉียบ

ฉันชอบที่โอเอะกล้าโยนคำถามที่หนัก และปวดใจอย่างนี้ใส่คนอ่าน
นอกจากนี้ยังชอบตอนจบเอามากๆ

ไม่ว่าเราจะกลับไปในอดีต หรือไปในอนาคตได้
แต่เวลาที่สำคัญที่สุดคือ 'เดี๋ยวนี้' นี่แหละ

หมาน่อย : อยู่บ้านกับแมวว





อังคารที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓

วันนี้หม่ามี๊ไม่ไปทำงาน หวั่นๆ ว่าถ้าออกไปแล้วกลับมาไม่ได้ แมวน้อยจะไม่มีคนให้ข้าวกินเลยเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ที่บ้าน
หมาน่อยน่าจะดีใจ เพราะมีเพื่อนเล่นตลอดวัน

อาการโรคผิวหนังของหมาน่อยดีขึ้นมากแล้ว แต่วันนี้หม่ามี๊ว่างจัด จับมาพิศอย่างละเอียด
พลิกซ้ายพลิกขวา ส่องดูทุกร่องรอยก็พบว่า น่อยมีอุ้งเท้าหลังลอก กับแผลที่หัว ไหงมันหายไม่เนียนเหมือนแผลในหู

นี่ยุบก็จริง แต่ขนไม่ขึ้นแล้วผิวตรงนั้นทำไมมันเป็นสีน้ำตาล ไม่ใช่สีชมพูอย่างตรงอื่นๆ
ว่าแล้วเลยตัดสินใจจับน่อยลงตะกร้า ออกจากบ้านไปหาหมอมิโยะตอนเย็น

กลัวว่ามันจะเป็นขี้เรื้อน (ถึงขนตรงอื่นๆๆๆจะสวยดีก็เหอะ)
ยังดี หมอบอกคราวนี้แค่ ยีสต์
(มันมาได้ไงฟระ?)

...เฮ่อ โดนไปอีก ๒ เข็ม และต้องกล้ำกลืนฝืนป้อนยากันทั้งคนและแมวไปอีก ๒ อาทิตย์

อดทนนะ หมาน่อยนะ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หมาน่อย : แมวลำโพง



มิกกี้เม้าส์




อังคารที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓

วันที่หมาน่อยยังไม่ชินกับลำโพง
หายคัน และแผลบนหัวกับในหูดีขึ้น
แต่ที่ข้อศอกยังไม่เห็นแววดี
(ตรงนี้ทายายากจัง ใส่ลำโพงมันเลียไม่ได้ แต่เวลานั่งนอนก็พายาไปป้ายตรงโน้นตรงนี้ไปทั่ว)


โปสการ์ด ๒ ใบ



มาจากสมุย




พุธที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓

เปิดตู้ไปรษณีย์
พบโปสการ์ดสองใบ

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เ รื่ อ ง น่ า คิ ด : เรามีเวลาเหลือกันคนละเท่าไหร่?




รักแท้! เจ้าสาวใส่ชุดแต่งงาน ไปประกอบพิธีสู่ขอ และ มงคลสมรสกับเจ้าบ่าวที่นอนเป็นเจ้าชายนิทรา ที่รพ.ตำรวจ เพราะลื่นล้มทำให้สมองตาย  หมอระบุหากถอดเครื่องช่วยหายใจจะเสียชีวิตทันที...

ที่ รพ.ตำรวจ เมื่อเวลา 18.00 น.  วันที่ 9 พ.ค. 2553 น.ส.วิภาวรรณ ทองชูแสง อายุ 35 ปี พนักงานข้าราชการโรงเรียนนายเรือ แต่งชุดเจ้าสาวพร้อมญาติได้เดินทางไปประกอบพิธีสู่ขอ และมงคลสมรสกับ นายอดิศักดิ์ ไค่นุ่นกา อายุ 35 ปี เจ้าบ่าว ลูกจ้างประจำกรมสวัสดิการทหารเรือ ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ในห้องศัลยกรรมประสาทชายชั้น 4 ตึกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องจากฝ่ายชายลื่นล้มในแฟลตพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ศีรษะกระแทกพื้นสมองตายร่างกายไม่ตอบสนองมาตั้งแต่คืนวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยแพทย์ระบุว่า โอกาสรอดน้อยมาก ต้องให้ออกซิเจน และยาช่วยกระตุ้นหัวใจ หากถอดเครื่องช่วยหายใจจะเสียชีวิตทันที

เจ้า สาวเปิดเผยว่า ตามกำหนดได้แจกการ์ดแต่งงานกันในวันนี้ ที่สโมสรนายทหารสัญญาบัตร โรงเรียนนายเรือ สมุทรปราการ แต่ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน ส่วนสาเหตุเนื่องจากว่าที่เจ้าบ่าวอ่อนเพลียจากการไปซื้อสิ่งของเครื่องใช้ มาทำพิธีในช่วงเช้าไม่มีเวลาพักผ่อน ตอนนี้ถือว่าได้ทำพิธีให้ดีที่สุดตามที่ได้ตั้งใจไว้แล้ว ส่วนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็จะทำใจยอมรับ


(ล่าสุด) เจ้าบ่าวนิทรา แต่งงานกับแฟนสาว ที่โรงพยาบาลตำรวจ เสียชีวิตแล้วอย่างสงบ เมื่อคืนที่ผ่านมา ปิดตำนานรักแท้สุดประทับใจ...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 21.00น. วันที่ 10 พ.ค. 2553 นายอดิศักดิ์ ได้เสียชีวิตแล้วอย่างสงบ ที่โรงพยาบาลตำรวจ ท่ามกลางความโศกเศร้า ปิดตำนานรักแท้ที่ฟันฝ่ากันมาจนถึงวันแต่งงานสุดประทับใจ


ข้อมูลจาก:
-http://www.thairath.co.th/content/region/82176
-http://www.thairath.co.th/content/region/81956

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คนญี่ปุ่น : คนคุ้นๆ






รูปคนคุ้นๆ ของฝากคนคุ้นเคย

มอสเบอร์เกอร์เมืองไทยอร่อยกว่า



ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงโตเกียว
ร้านนี้อยู่อากิฮาบาระ


ไปญี่ปุ่นไม่ได้ลองชิมแมคโดนัลด์ ไม่ได้ชิมเคเอฟซี
แต่ไปชิม Mos Burger, Fine Japanese Burger

แต่พบว่า Mos Burger เมืองไทย (ที่เอ็มโพเรียม) อร่อยกว่าเฉยเลย

Tokyo Sonata : นั่งชิดกันไว้ให้อบอุ่น

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


ระหว่างครอบครัวที่อ้างว้าง ทุกคนดูห่างไกล ไม่เข้าใจกัน กับครอบครัวที่อบอุ่น เพราะสมาชิกทุกคนใกล้ชิดกัน เข้าใจกันและกัน คุณต้องการแบบไหน?

เชื่อแน่ ไม่น่ามีใครอยากได้ครอบครัวแบบแรก
ชีวิตแบบไหนที่จะเติบโตขึ้นได้จากบรรยากาศเย็นชาแบบนั้น?

แต่ครอบครัวคนโตเกียวในหนังเรื่องนี้ เป็นแบบนั้น ครอบครัวที่มีแบบแผนสูง แบบแผนจัดจนหาความเป็นกันเองไม่ได้ (แม้จะใช้ภาษากันเองแล้วก็ตาม) ก็เหมือนภาพหลายภาพที่ฉายให้เห็นความสัมพันธ์ของพวกเขา ตำแหน่งของการนั่งที่ห่างไกลจนคนดูรู้สึกเหงาแทน

พ่อต้องเป็นแบบนี้-เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำงานเลี้ยงครอบครัว เป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสิน, แม่เป็นแบบนี้-เป็นแม่บ้าน เป็นผู้บริการ ตื่นก่อน นอนทีหลัง, ลูกเป็นแบบนี้-อยู่ในโอวาท มีระเบียบวินัย ไม่เถียง พ่อแม่ว่าไงก็ตามนั้น, พ่อกับลูกต้องเป็นแบบนี้ ส่วนแม่กับลูกเป็นอีกแบบหนึ่ง

จนเมื่อวันนึง แบบแผนนี้ถูกทำร้ายจนเสียหาย ครอบครัวทั้งครอบครัวก็เหมือนจะถูกสั่นจนคลอนไปด้วย

พ่อ ซึ่งเคยออกจากบ้านไปทำงานอันมั่นคง ทุกอย่างควบคุมได้โดยไม่ต้องปริปากบ่น หรือขอความช่วยเหลือจากเมีย ถูกเลย์ออฟ กลายเป็นคนตกงานในวันเดียว ไม่แน่ใจว่าผัวไทยจะทำอย่างไร แต่ผัวญี่ปุ่นเลือกที่จะไม่บอกใคร เขายังคงออกและเข้าบ้านตามเวลาปกติทุกวัน โดยแต่ละวันได้แต่เตร่ไปเข้าคิวรับอาหารฟรีที่คงเป็นสวัสดิการสำหรับคนไม่มีงาน ไม่มีบ้าน แล้วก็ไปเข้าคิวรับบริการจากหน่วยงานจัดหางาน เพื่อจะผิดหวังกลับมา เพราะไม่มีใครอยากรับชายอายุ ๔๗ เข้าทำงานในระดับเดิมกับที่เขาเคยทำ

อาจไม่ใช่แค่ต้องทำใจเรื่องงานที่เลือกไม่ได้ แต่ดูเหมือนมีหลายอย่างที่คนเป็นพ่อต้องทำใจ โดยเฉพาะเรื่องของอำนาจในการปกครอง (จริงๆ แล้วมันน่าสงสัยว่าครอบครัว ต้องมีผู้ “ปกครอง” ด้วยหรือ?)

ส่วนชีวิตของแม่ ถ้าเด็กสมัยนี้อยากรู้ว่า 'ช้างเท้าหลัง' เป็นยังไง ให้ไปดูชีวิตเธอคนนี้ ช้างเท้าหลังมีแต่ก้าวตามช้างเท้าหน้า ชีวิตแม่ในเรื่องก็ไม่ต่างกัน อย่าว่าแต่ความคิดริเริ่มจะทำอะไรอย่างที่ตัวเองอยาก อย่างที่ตัวเองฝันเลย แค่จะออกโรงช่วยลูก ปกป้องลูกยังยากที่จะทำเลย เห็นแล้วบอกไม่ถูกว่าจะสงสารหรือรำคาญดี

ส่วนลูก ยิ่งโตก็ยิ่งเป็นตัวของตัวเอง ลูกคนเล็กพบว่าตัวเองอยากเรียนเปียโน แต่พ่อไม่ให้เรียน อ้างว่าเพราะรู้ว่าลูกไม่จริงจัง เรียนไปเดี๋ยวก็เบื่อ แต่ที่จริงเพราะปัญหาเศรษฐกิจ จนลูกต้องแอบเอาเงินค่าอาหารไปสมัครเรียน เป็นเหตุให้มีการกระทบกระทั่งอีโก้กันจนต้องตีลูก ส่วนลูกคนโตเริ่มฝันใหญ่ อยากมีส่วนช่วยสร้างสันติภาพให้โลก ก็ดื้อไปสมัครเป็นทหารอาสากองทัพอเมริกัน พ่อแม่ไม่เห็นด้วยก็ดื้อออกจากบ้านไปจนได้

สมาชิกสี่คน นอนอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน แต่เหมือนอยู่กันคนละทิศละทาง ไม่มีการสื่อสาร ไม่มีการทำความเข้าใจ และเอาใจเขามาใส่ใจเรา (ยกเว้นแม่นะ แม่ดูจะเข้าใจทุกคนเป็นอย่างดี แต่ช่วยใครไม่ได้เลย แม้แต่ตัวเอง)

เป็นหนังที่เหมือนฉายสภาพอากาศอันโหดร้าย แต่ยังดี ที่ผู้กำกับยังเชื่อว่า หลังวันคืนอันยาวนานของฤดูหนาว มีฤดูใบไม้ผลิรออยู่

ฉันดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดว่า ภาพชีวิตคนญี่ปุ่นที่ไปเห็นมา ๙ วัน มันแค่เรื่องผิวเผินจริงๆ และแม้ฉันจะดูหนังเรื่องนี้มาหลายรอบก่อนไป ก็เหมือนไม่ได้ ‘เห็น’ เท่ากับที่ได้เห็นในรอบที่ดูวันนี้ ไม่ได้รู้สึก ‘หนาว’ กับชีวิตมนุษย์ที่มีระเบียบวินัยมากที่สุดในโลกเท่าวันนี้

และไม่ได้รู้สึก ‘ซึ้ง’ ถึงความอบอุ่น จากใกล้ชิด (แม้บางทีจะลามไปเป็นการล้วงลูกและล็อบบี้ก็ตาม) ที่ได้จากพูดคุย และสัมผัสแบบที่มีในครอบครัวไร้แบบแผน แบบบ้านๆ แบบไทยๆ มากเท่าวันนี้เลย



บันทึก:
• หลายคนมองว่าหนังเรื่องนี้สะท้อนสภาพเศรษฐกิจอันยอบแยบของญี่ปุ่น ฉันกลับมองว่ามันสะท้อนภาพน่าสมเพชของอีโก้ดึกดำบรรพ์แห่งเพศชายมากกว่า
• เป็นหนังดราม่าที่น่าตบมือให้การแสดงนะ (โดยเฉพาะพ่อกับแม่) หนังได้รับรางวัล Un Certain Regard Jury Prize จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ซะด้วย
• เป็นหนังที่กำกับโดย Kiyoshi Kurosawa ผู้กำกับ Kairo ผีอินเตอร์เน็ตอันสุดสยองขวัญ หนังเรื่องนี้ไม่เหลือเค้าความสั่นประสาทแบบนั้น มันเล่าเรื่องแช่มช้า เนิบนาบ ชนิดที่ทำให้คนหลับคาจอได้ง่ายๆ (ฉันเองก็หลับไปหลายรอบ) แต่ในความนิ่ง มันบอกเล่าอะไรๆ เยอะแยะมาก ถ่างตา ถ่างหูไว้ให้ดีเหอะ
• ชอบซีนนั้นน่ะ มี ๓ คน พ่อกำลังเถียงกับลูกคนโต (ไดอาล็อกปวดใจมาก) มีแม่นั่งเอาท์โฟกัสอยู่ตรงกลาง สีหน้าแต่ละคน..สุดยอด
• ฉากที่เคนจิเล่นเปียโนตอนจบมันนิ่งมาก แต่ชอบจริงๆ ทั้งภาพ เสียง และความรู้สึก ทั้งๆ ที่สิ่งที่เคลื่อนไหวดูจะมีแค่ชายม่านก็ตาม
• ดูแล้วได้ถามตัวเองนะ ว่าจะยอมให้ตัวเองเป็นแบบนี้ไหม

หมาน่อย : เป็นโรคผิวหนัง





เสาร์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓

ฉันพบว่าหมาน่อยเกาด้านในของใบหูทั้งสองมาตั้งแต่วันอังคารหรือพุธ
ตอนนั้นกล้าหาญเหยาะเบตาดีนลงไป ปรากฏว่ามันสะบัดหัวสะบัดหูอย่างไม่คิดชีวิต

เออ น่อยคงแสบ หม่ามี๊ลืมไป ขอโทษนะเบบี๋

จากนั้นก็คิดว่านี่ถึงวันนัดฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าเข็มแรกแล้ว เออ เดี๋ยวให้หมอดูสิ น่อยเป็นอะไร (ในใจตอนนั้นน่ะ คิดว่าคงไม่เป็นอะไร น่าจะแค่เครียดกลัวจะโดนทิ้ง วันไหนที่หม่ามี๊กลับบ้านดึก) เพราะยังไม่มีวี่แววอื่นๆ เนื้อตัวยังนุ่มนวล ขนยังนิ่มมือ

สองวันต่อมาฉันคลำพบอะไรตะปุ่มตะป่ำตรงข้อศอก ข้างซ้ายเป็นมากกว่าข้างขวา พยายามจะแหวกขนดูให้รู้ว่าเป็นสะเก็ดจากการเกา ก็ไม่ได้คำตอบ จนอาบน้ำให้น่อยเช้าวันเสาร์ ก่อนไปหาหมอในตอนเย็น ก็ยังไม่เห็นเป็นสะเก็ด

อ้อ แถมมันมีปุ่มขึ้นตรงกลางหัวอีกเม็ด จับแล้วเป็นที่ผิว เพราะดิ้นได้ตามหนัง

จนไปถึงมือหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคผิวหนังแล้วล่ะ ขอตรวจหน่อยนะ ว่าเป็นอะไร มีราไหม แล้วมีขี้เรื้อนหรือเปล่า

หมอกร้อนขนน่อยแล้วใช้สก็อตเทปเก็บสะเก็ดแผลหายไปห้องข้างๆ แล้วกลับมาพร้อมโคมไฟมือถือ บอกว่าจะส่องดูรากัน ส่องแผลไหนเป็นสีเขียว แปลว่ามีรา

แผลที่หูข้างซ้ายมีราชัดกว่าเพื่อน นอกจากนั้นไม่ชัดเจน

หมอกลับมาบอก มันคันและเกาจนเป็นแผลจากแบคทีเรีย แล้วก็มีเชื้อราเข้ามาผสมโรง
วันนี้หมอจะฉีดยาลดอาการอักเสบ และลดอาการคันให้เข็มนึง แล้วมียาไปป้อนที่บ้าน ๒ ตัว ยาทาแผลอีก ๑

ฉันรู้สึกงงๆ ไม่รู้เพราะตกใจหรือเสียเซลฟ์มากกว่ากัน
เพราะคิดว่าดูแลมันดีแล้วเชียว ทั้งอาหารและความสะอาด แต่ดูเหมือนว่า การดูแลความสะอาดโดยการจับลูกแมวอาบน้ำอาทิตย์ละหนนี่จะมากจนเป็นการทำร้ายมัน

ได้รับการยืนยันในวันนี้จากหมออีกคน โดยแมวคราว ซึ่งถูกไหว้วานให้ไปสอย "ลำโพง" มาให้หมาน่อยใช้หน่อย มันจะได้ไม่เลียยาที่ทาไปบนแผลซะหมด ไหนๆ จะไปแล้วเลยบังคับให้แมวคราวไปถามมาด้วยว่า
-สาเหตุคืออะไร เพราะบ้านสกปรกหรือไง
-มันเป็นอาการปกติของแมวไหม
-แล้วนี่จะติดมาถึงคนหรือเปล่า (คำถามสุดท้ายนี้เพราะโดนแมวคราวอำตอนรายงานไปทางโทรศัพท์)

แมวคราวกลับมารายงาน หมอ (ผู้ชาย-เมื่อคืนจับหมาซึ่งสงสัยว่าหลังจะหักอยู่) บอกว่าปกติแล้วแมวมันไม่ได้มีต่อมเหงื่อที่ผิวหนัง ผิวมันจะมี (อะไรบางอย่างคล้ายซีบัมในคนไหม?) เคลือบอยู่ การอาบน้ำบ่อยๆ จะทำให้สมดุลส่วนนี้เสียหาย การป้องเชื้อโรคที่ปกติก็มีอยู่ทั่วไปเลยบกพร่อง เท่ากับเชื้อโรคโจมตีได้ง่าย

ไอ้เรื่องที่ว่าแมวตัวอื่นเป็นไหม มันก็มีเป็นกันบ้าง แล้วแต่ภูมิคุ้มกัน เหมือนคนนั่นแหละ
คนจะติดแบคทีเีรียแมวตัวนี้ไหม ไม่ติด แต่เชื้อรา ถ้าคนมีแผลเปิดก็มีสิทธิ์ติดได้ ทั้งนี้ไม่ต้องนอยด์ (แมวคราวเซด) ไม่ติดหรอก
(ขอโทษ ใครกันยะที่นอยด์?)


สรุปว่า คราวนี้ที่หมาน่อย-แมวน้อยแสนบริสุทธิ์ของหม่ามี๊ต้องมาเป็นโรคผิวหนัง ต้องมามึนส์กับลำโพงอันเบ้งที่ครอบหัวอยู่ แล้วก็ต้องเสียจิตตอนหม่ามี๊ป้อนยา ทายา
ก็เพราะหม่ามี๊เว่อร์อาบน้ำให้หนูนั่นเอง

ขอโทษนะเบบี๋ ต่อไปเราอาบกันสองอาทิตย์ครั้งนะ เอ หรือสามอาทิตย์ครั้งดีล่ะ?

leela iro



คิดจะถ่ายมาแต่แบบนี้

..ก็มีแต่กล้องมือถืออะจ่ะ


ศุกร์ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓

ไปเยี่ยมสวนลีลาภิรมย์
มีลีลาวดีมากมาย หลากหลายทั้งสี และทรงต้น
ร้อนไปหน่อย แต่แสงสวยดี

เสียดายอย่างเดียว
...ลืมเอากล้องไป

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คนญี่ปุ่น : คนไม่อยู่บ้าน






มีเยอะ
เห็นแล้วก็สงสัย ทำไมไม่อยู่บ้าน?

ป.ล. ที่โอซาก้าน่ะ โรงแรมที่พักอยู่ข้างโบสถ์ที่ใ้ห้ความอนุเคราะห์ (=เงิน) แก่ homeless เลย เห็นเขาเข้าแถวยาวววว ตั้งหลายหน แต่ไม่กล้าถ่ายรูปมา

เกรงใจ

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คนญี่ปุ่น : คนโอซาก้า






เสาร์ที่ 20 มีนาคม 2553

หลังจากหนาวกันมานาน วันที่อากาศแจ่มใสและอบอุ่นก็มาถึง
วันนั้นอากาศดีแบบปลายฤดูหนาวต้นใบไม้ผลิ (ก่อนที่คืนนั้นฝนจะตกและหมอกลงหนาในเช้าวันต่อมา)

เพราะเป็นวันเสาร์ เพราะเริ่มอุ่นขึ้นทุกทีๆ เพราะเป็นวันที่อากาศแจ่มใส คนโอซาก้าจึงออกมาเที่ยวเล่น ทำกิจกรรมน่าอยากรู้อยากเห็นกันมากมาย

ดังจะเล่าต่อไปนี้

หมาน่อย : จอมแทะ



ได้มาในสภาพอย่างงามเลย
หม่ามี๊ก็พยายามหอบหิ้วมาอย่างทนุถนอม

ระวังมาก และถึงกับกัดเด็กร้านซีเอ็ดที่จับถุงยัดล็อกเกอร์อย่างไม่ปรานีปราศัยไปแล้ว


วันอาทิตย์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓

อาบน้ำให้หมาน่อยเป็นอาทิตย์ที่ ๓ ติดต่อกัน
ระหว่างที่จัดมันใส่ตะกร้า ให้มันหลับอาบแดดอ่อนๆ ก็คิดขึ้นมาว่า
ทำปลอกคอเส้นใหม่ให้มันดีกว่า

ก็ค้นไหมพรมสีดำมาถักเป็นเส้นยาว กะให้ยาวกว่ารอบคอตอนนี้
หวังจะใช้ไปนานๆ ถักได้ประมาณกลางเส้นก็ประกอบกระพรวนเข้าไปกับการถัก

แล้วก็เสร็จออกมาเป็นเส้น สวมแล้วก็ดูกิ๊บเก๋ดี

นังตัวดีสวมอยู่ได้สามวันก็ทำกระพรวนหล่นหายไป เลยต้องเอาสร้อยข้อมือเส้นเก่ามาร้อยกับกระดิ่ง ใส่ให้หล่อนใหม่
ไม่อย่างนั้นจะไม่รู้ว่าหล่อนไปซ่อนตัวอยู่ตรงไหน

จริงๆ น่อยไม่ได้ฟันคมกับข้าวของเท่านั้น กับหม่ามี๊เองมันก็แทะซะจนน่วมไปทั้งมือและเท้า
ดีหน่อยที่มันแทะแค่พอเมามัน ยั้งฟันไว้เยอะ ไม่งั้นคงได้เลือดสาดกันไม่เว้นวันหรอก

วันนี้วันหยุด กะว่าจะไปสอดแนมบางเรื่องที่สวนฯ พี่เดือนรู้ความก็เตรียมไผ่เงิน หรือที่เขานิยมเรียกกันว่า ไผ่แมว เพราะแมวชอบม้าก เอาไว้ให้

ตอนแรกคิดว่าพี่เดือนแบ่งที่ตัวเองมีมาให้ ที่ไหนได้ พี่เดือนฝากคุณน้องที่ดูร้านให้ไปซื้อจากตลาดนัดต้นไม้ (เค้ามาขายกันวันพุธ-พฤด้วย เต็มสวนเลย) เมื่อเช้านี้ต่างหาก

เกรงใจจังเลย

เดี๋ยวถ้าชุดที่ได้มานี่โกร๋นเมื่อไหร่ จะ(ฝากแมวคราว)ไปซื้อเองบ้าง (ก็ปกติวันพุธฉันต้องไปทำงานนินา)


ขอบคุณพี่เดือนมากๆ นังแมวน้อยจอมแทะที่บ้านดูจะชอบไผ่แมวมากทีเดียว