วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฝัน (๑)





ฉันฝัน
ถึงบันไดสูงชัน
ไม่หวั่นจะขึ้น..แต่เป็นการก้าวลง





วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เด็กๆ กับวิทยาศาสตร์


มีกล้ามเนื้อที่ใช้บังคับลูกกะตาตั้ง...กี่มัดนะ


เสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2553
ติดสอยห้อยตามป้าไปงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่ไบเทค บางนา
เด็กเยอะ ท่าทางจะสนุกดี ผู้ใหญ่ก็สนุก แต่เล่นเอากะปลกกะเปลี้ยจนไปหลับคา Inception ในเวลาต่อมาทีเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โปรดอย่ายุ่ง (ลุงจะหลับ)







ศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2553
วันนี้วันดี เจอลุงหนวดอีกแล้ว

กำลังหลับน่าเอ็นดู๊อยู่บนกำแพง
เห็นแล้วก็นึกอยากให้ญาติหมาน่อยในมัลติพลายได้เอ็นดูร่วมกัน
จึงจ่อเข้าไปถ่ายภาพ

ขออำภัยที่เข้าไปแทรกระหว่างนิทรารมย์อันแสนสุขนะจ๊ะ ลุงหนวด


วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แมวอยากมีส่วนร่วม






เช้าวันพุธที่ 18 สิงหาคม 2553

ระหว่างกำลังถ่ายรูปผลงานการเพาะเมล็ดข้าวสาลีที่ระเบียง
หมาน่อยก็แสดงความจำนง อยากมีส่วนร่วม
หม่ามี๊ก็เลยจัดใ้ห้

บังเอิญได้ยินใครบางคนบ่นว่า "ยิ่งเล่น facebook ยิ่งเหงา"

ข้าวสาลีเพาะง่าย



เริ่มแช่เมล็ดวันที่ 12 สิงหา
ปลูกวันที่ 13 สิงหา
งั้นเมื่อเช้าก็อายุได้ 4-5 วัน


มิใช่เพราะความรักโลก อยากให้โลกเป็นสีเขียว หรืออยากให้โลกร่มเย็น
ทั้งยังไม่ได้เพราะฮิตรักสุขภาพถึงกัีบต้องเพาะกล้าข้าวสาลีมาคั้นน้ำดื่มเอาคลอโรฟิลเหมือนคนอื่น

แต่เรื่องมันเป็นเพราะแมว

หลายเดือนก่อนไปร้านหนังสือ ยืนอ่านตำราเลี้ยงแมวแปลจากหนังสือฝรั่ง
เห็นเขาแนะนำว่าถ้าไม่อยากให้สวนเยิน (เพราะฟันแมว) ลองเพาะเมล็ดข้าวสาลีให้แมวแทะเล่นดู

เอาเรื่องนี้มาเล่าให้เดือนกับโม่ฟัง เดือนเห็นด้วย บอกว่าได้ยินมาเหมือนกันว่าแมวชอบ และมันมีประโยชน์ (อย่างน้อยก็เราก็หวังว่าไฟเบอร์จะช่วยพาก้อนขนหลุดออกมาทางรูทวารของมันได้อย่างสะดวกโยธิน)
อยากลองเพาะ แต่ชุดเพาะที่เค้าขายกันตามเว็บของของจุ๊กจิ๊กให้คนเลี้ยงแมว
มันช่างแพงแสน

จึงดำริไปให้แมวคราว ถามไปว่าเวลาไปร้านขายของมังสวิรัติ ถ้าเจอเมล็ดข้าวสาลีก็ให้ซื้อติดมือมา แมวคราวจัดให้มาจริงๆ แต่แบ่งมานิดเดียว ด้วยหวังจะเพาะข้าวสาลีให้ทารกน้อยในบ้านได้ดื่มกินน้ำคั้น

กาลเวลาผ่านไป ในที่สุด แมวของฉันก็ได้เล็มกินยอดกล้าข้าวสาลีก่อนทารกผู้นั้นจนได้

ป.ล.
-ข้าวสาลีเพาะง่ายจัง
-เดี๋ยวจะฝากแมวคราวไปเหมาเมล็ดข้าวสาลีมาส่งให้เดือนกับโม่นะ แมวๆ ของเราจะได้มียอดกล้าข้าวสาลีแทะกันถ้วนทั่ว ไม่น้อยหน้าคนมีน้ำคลอโรฟิลดื่ม
-สเต็ปต่อไปจะลองเพาะพริกขี้หนู โหระพา แมงลักดูมั่ง
-ศึกษาวิธีการเพาะมาจากหน้านี้ฮะ http://www.pantown.com/board.php?id=36139&area=3&name=board1&topic=35&action=view

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คน (๑)



ชายไม่สมประกอบกู่ร้องขายเรียงเบอร์
ยี่สิบแปดวันที่เหลือของเดือน
ฉันไม่รู้เขาไปอยู่ที่ไหน



วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มาเฟียกับเพนกวิน

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:อังเดรย์ เคอร์คอฟแปลโดยรสวรรณ พึ่งสุจริต


นิยายที่เล่าถึงบรรยากาศอึมครึมเหมือนหมอกหนาที่บดบังความสับสนวุ่นวายยุคที่ยูเครนเพิ่งแยกออกจากรัสเซียไว้เสียมิด นักเขียนโดดเดี่ยวตกยากคนหนึ่งหาเลี้ยงตัวเองกับสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของเขา เพนกวินแสนซื่อที่มีอาการหดหู่และโรคหัวใจเป็นเจ้าเรือน ด้วยงานเขียนชิ้นเล็ก ก๊อกๆ แก๊กๆ จนวันหนึ่งสำนวนสั้นๆ ที่กินใจของเขาก็ไปเตะตาบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายวันเข้า แล้วเขาก็ได้งานเขียนมรณานุสรณ์

แต่บทความมรณานุสรณ์จะได้ใช้ก็ต่อเมื่อคนคนนั้นตายลง แล้วเขาจะทำอย่างไร?

เขาก็ได้แต่คัดเลือกรายชื่อคนดังจากหนังสือพิมพ์ หาข้อมูลเกี่ยวกับคนคนนั้น แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเขียนตุนไว้น่ะสิ

กระทั่งวันหนึ่ง ความตายแบบใบไม้ร่วงของคนในรายชื่อก็เริ่มขึ้น ต่อเนื่องกันไปไม่มีหยุดหย่อน

นี่มันอะไรกัน เขาและเพนกวินของเขากำลังเข้าไปพัวพันกับเรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร และทำอย่างไรจึงจะปลีกตัวออกมาได้ หรือมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาและเพนกวินของเขาจะ “รู้เรื่อง” มากไปเสียแล้ว

ในวันเวลาที่ฝนตกตลอดเวลา อากาศแสนจะหดหู่หม่นหมอง ชวนให้เอาแต่ล้มตัวลงนอน (อย่างไร้ประโยชน์)ตลอดเวลาเช่นนี้ นี่คือหนังสืออ่านง่าย เบา แต่สนุก(แปลก็สนุก)จนไม่อยากวาง

หนังสือเล่มนี้ทำให้ยิ้มได้จากเรื่องตลกร้ายที่ทำให้นึกถึง “ร้านชำสำหรับคนอยากตาย” แต่ไม่ได้ประชดประชันกันขนาดนั้น

สนุกดี ไม่เชื่อลองไปยืนอ่านในร้านดูก่อน



วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บังอรเอาแต่นอน



vignette : โฟกัสเฉพาะตรงกลางเฟรม



วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม 2553
ยังสนุกอยู่ ^o^

แมว (๑)






งีบหลับในท่า "ขดอุ่นในท้องแม่"
บ่ายวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๓


ชีวิต (๑)






๑๘.๓๘ น.
พุธที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๓
ปากซอยสุขุมวิท ๓๓/๑ เยื้องดิ เอ็มโพเรียม


ไม่ใช่แค่ "ค่าน้ำนม"




ในวันหยุดวันแม่ ฉันอ่านนิตยสารสารคดีฉบับกรกฎาคม 2553 เจอเรื่องที่ทำให้ทึ่งว่า เด็กสมัยนี้อาจไม่ได้มีแค่ "ค่าน้ำนม" ที่ต้องระลึกรู้บุญคุณ แต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนต้องซึ้งและพยายามโตขึ้นมาดีให้คุ้มคุณค่าก็คือ "ค่าผ้าอ้อมสำเร็จรูป" ที่ทุกสิ่งมีชีวิตในโลกจ่ายให้ด้วย

เห็นว่าต้นทุนการผลิต จัดจำหน่าย และทำลายผ้าอ้อมสำเร็จรู
ปออกจะเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่น่าจะรู้ (ทั้งที่ควรรู้) ฉันจึงคัดเฉพาะตอนที่น่าสนใจมาให้อ่านกัน

*       ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแต่ละชิ้
นประกอบด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน 3 ชั้น ชั้นนอกสุดคือฟิล์มพอลิเอทิลีน เป็นแผ่นพลาสติกบางๆคอยป้องกันอึและฉี่ของเจ้าตัวน้อยไหลซึมสู่ภายนอก ชั้นกลางบรรจุสารโซเดียมพอลิอะครีเลต หรือพอลิเมอร์ดูดซับความชื้น ลักษณะเป็นเม็ดกลมขนาดเล็กซึ่งจะเปลี่ยนสภาพเป็นเจลเมื่อเจอความ เปียกชื้น และชั้นในสุดซึ่งสัมผัสกับผิวทารกตลอดเวลาคือผ้าไม่ทอ ซึ่งมีความพิเศษตรงที่ยอมให้ของเหลวซึมผ่านไปสู่วัสดุดูดซับความ ชื้นแต่ไม่ไหลย้อนขึ้นมา จึงช่วยให้ทารกแห้งสบาย
*       วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผ้าอ้
อมสำเร็จรูปคือ น้ำมันดิบ เยื่อไม้ และพลาสติก
*       การผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูป 1 ชิ้น ใช้น้ำมันดิบ 2/3 ถ้วยตวง
*       ไม่เพียงต้องโค่นต้นไม้
ขนาดโตเต็มที่จำนวน 10 ตันเพื่อให้ได้เยื่อกระดาษเพียงพอกับการผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับ ทารกแรกเกิดจนถึง 2 ขวบเพียงคนเดียว ขั้นตอนการฟอกขาวเยื่อกระดาษยังซ้ำเติมสิ่งแวดล้อมด้วยการปล่อยมล พิษชื่อ "ไดออกซิน"
*       กว่าเจ้าตัวน้อยจะควบคุมการขั
บถ่ายได้เอง ต้องผ่านการเปลี่ยนผ้าอ้อมราว 5,000-6,000 ครั้ง หากทั้งหมดเป็นการนุ่งผ้าอ้อมสำเร็จรูป นอกจากมันจะแปลงร่างเป็นภูเขาขยะสูงท่วมหัว ยังคิดเป็นเงินจำนวนไม่น้อยที่ต้องควักกระเป๋าจ่าย
*       ผ้าอ้อมสำเร็จรูปต้องใช้เวลานาน 200-500 ปีจึงจะเสื่อมสภาพและแตกสลายเป็
นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นั่นหมายความว่า ขยะผ้าอ้อมสำเร็จรูปทุกชิ้นนับตั้งแต่ผลิตออกมา หากไม่ถูกโยนเข้าเตาเผาขยะ มันก็ยังตกค้างอยู่ในโลกใบนี้
*       ผ้าอ้อมบางรุ่นแสดงความเป็นมิ
ตรกับสิ่งแวดล้อมโดยประทับตรา "Biodegradable" หรือ "ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ" ทว่าในความเป็นจริงมีเพียงองค์ประกอบส่วนน้อยเท่านั้นที่ย่อยสลายได้เร็ว
ที่เหลืออีกส่วนใหญ่ล้วนเป็นวั
สดุย่อยสลายยากเช่นเดียวกับที่ใช้ ในผ้าอ้อมสำเร็จรูปทั่วๆ ไป
*       สิ่งขับถ่ายที่หมักหมมอยู่
ในขยะผ้าอ้อมสำเร็จรูปมักย่อยสลาย โดยจุลินทรีย์ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนหรือมีออกซิเจนน้อย และปล่อยผลลัพธ์เป็นมีเทน ซึ่งสร้างปัญหาโลกร้อนรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์
*       ผ้าอ้อมสำเร็จรูปใช้แล้วเป็
นขยะที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ หากไม่จัดการให้ดี เช่น กองทิ้งกลางแจ้ง ฝังในหลุมฝังกลบที่มีการรั่วซึม น้ำชะขยะจะกระจายเชื้อโรคสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นจากการใช้ผ้าอ้อมแบบดั้งเดิมซึ่งต้องฉีดล้าง สิ่งขับถ่ายลงโถส้วมก่อนนำผ้าอ้อมไปซักทำความสะอาด

สุดท้ายนี้ขอออกตัวว่าไม่ได้
บรรจงเขียนขึ้นเป็นความเรียงรับวันแม่ แค่มันบังเอิญทิ่มตาเอาในจังหวะว่าง และขอบคุณสวรรค์ที่ดิฉันไม่มีบุตร เพราะถ้ามี ก็คงไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกให้โตขึ้นด้วยการพึ่งพาผ้าอ้อมซักได้เพียงอย่างเดียว


วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Oppai Volleyball : พวกเราสู้ตาย! (ขอแค่ได้ชมนมคุณครู)

Rating:★★★
Category:Movies
Genre: Comedy


ถึงจะรู้ก่อนดูว่านี่เป็นหนังตลกทะลึ่งแนวโค้ชหน้าอ่อน ขุนพวกเด็กเหลือขอให้กลายเป็นนักกีฬามีความสามารถ
เช่นเดียวกับ Water Boys และอื่นๆ แต่ฉันก็ยังสั่งหนังเรื่องนี้มาดู เพียงเพราะเป็นหนังของฮารุกะจัง

ดูแล้วได้อะไรเยอะกว่าที่คาดหวัง ทั้งความสนุกและแง่คิด

ไม่ใช่แค่ขำความหน่อมแน้มไม่ประสีประสาอะไรกับเรื่องเพศ แต่ก็อยากรู้อยากเห็น อยากจับอยากต้องเหลือเกินกับเด็กผู้ชาย ม.ต้นพวกนั้น แต่เพราะมันเป็นหนังย้อนยุค ที่พาเรากลับไปในราวปี '70s-'80s (เดาจากเพลง) เลยได้เห็นอะไรสนุกๆ ประจำยุค ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเครื่องแต่งกาย ไลฟ์สไตล์ของคนญี่ปุ่น และเพลงป๊อป เพลงโซล เพลงเทรนด์ของวันนั้น

เด็กพวกนี้มันทะลึ่ง อยากเห็นนมสาว พอครูสาวมาใหม่ได้รับมอบให้มาดูชมรมวอลเลย์บอลชายซึ่งมีสมาชิกแค่ 5 คน และไม่มีใคร(ครูคนไหน)เอา เด็กพวกนั้นเลยติดสินบนครู ว่าถ้าแข่งชนะครูต้องเปิดนมให้พวกผมดูนะ

เพื่อให้เห็นของจริง เด็กพวกนี้ก็เลยมีโอกาสพิสูจน์ศักยภาพของตัวเอง เรื่องที่ไม่คิดว่าทำได้ ก็ได้รู้ว่า ถ้าพยายามก็ทำได้ ครูเองก็ได้ประจักษ์ และเคารพความพยายามของเด็ก (จากตอนแรกไม่คิดว่าจะโดนจับจริงๆ หลังๆ เริ่มหวงนมไว้ให้เด็กจับ) ได้เรียนรู้ชีวิตครู อะไรที่ควรทำ แค่ไหนที่ทำได้ และต่อไปจะทำอย่างไรให้สามารถทำเพื่อเด็กได้ ได้ซึ้งกับแรงบันดาลใจดีๆ ที่ทำให้ได้ค้นพบว่าจะอยู่ต่อไปอย่างมีคุณค่าได้อย่างไร

เรียกว่าได้ค้นพบตัวเอง ได้เข้าใจกันทั้งครู นักเรียน และระหว่างเพื่อน
ครอบเครื่องและสร้างสรรค์ประสาหนัง(+ซีรีส์) ญี่ปุ่นล่ะนะ



หมายเหตุ :
-ดูเหมือนหนังเรื่องนี้เข้าโรงเครือ Apex ก่อนโรงหนังสยามวอด ฉันเองก็อยากไปดูในตอนนั้น แต่เกรงจะปรี๊ดแตกใส่ม๊อบซะก่อน เลยต้องมาดู DVD แทน
-อายาเสะ ฮารุกะจังเนี่ย ก่อนจะมาดังจากบทบาทการแสดงให้ฉันรู้จักผ่านซีรีส์หลายต่อหลายเรื่อง (ตอนนี้มีซีรีส์ Mr.Brain ที่เธอเล่นเป็นผู้ช่วยวิจัยของสึคุโมะจัง-ทาคุยะ คิมูระ-ฉายอยู่ทางไทยพีบีเอส) ดูเหมือนจะเคยถ่ายอะไรหวิวๆ และมีชื่อในแนว "สาวทรงโต" มาบ้าง แต่ก็สามารถเปลี่ยนโฉมเป็นสาวปลาย่างแบบโฮตารุ และครูสาวเจี๋ยมเจี้ยม (ซึ่งที่สุดแล้วเราก็ไม่ได้เห็นแม้แต่เนินอกของเธอ) ใน Oppaiฯ
-เรียกว่านักแสดงญี่ปุ่นเค้าพิสูจน์ตัวเองที่ความสามารถ ถ้าเล่นบทอื่นได้ ก็จะได้บทอื่นเล่น ไม่ติดอยู่กับนางเอ๊กนางเอก นางร๊ายนางร้าย แม๊แม่ เหมือนดาราไทย
-ถ้าอยากรู้ว่า Oppai แปลว่าอะไร อยากให้หาหนังมาดู จะได้รู้อย่างหรรษามากกว่าเฉลยให้ฟังกันตรงนี้่
-เป็นหนังใสๆ ที่แฟนฮารุกะจังดูแล้วปลื้มจ้ะ

โตช้าหน่อยก็ได้







เสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2553

ในวันคล้ายวันเกิดใครบางคน และฝนกระหน่ำตลอดบ่าย
ฉันพบว่าหมาน่อยเป็นสาวแล้ว

รู้สึกเหงาและเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

อยากพูดอีกหลายๆ ครั้งว่าหมาน่อยเอ๊ย โตช้าหน่อยก็ได้
เป็นแมวเด็กสนุึกกว่าแมวสาวเยอะเลยนะ



แมวกับดอกไม้้




ฉันเพิ่งตระหนัก
ลูกแมวโตไว
เหมือนดอกไม้บาน





วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ลองของใหม่



ไม่ชัดอย่างแรง
เพราะว่ายังไม่ได้เอาพลาสติกที่แปะรอบตัวมาออก



ปลายเดือนก่อนถอยมือถือใหม่
ไม่ใช่เพราะของเดิมเสียหรืออะไร แต่เพราะว่าเล็งอยากลองใช้มานาน พอดีเค้าจัดโปรโมชั่นเร้าใจมากมายก็เลยไม่รู้จะรออะไร
แล้วเลยให้ชื่อว่า Hachi ซึ่งแปลว่า 8 ให้พ้องกับชื่อรุ่น

เป็นมือถือ 3G แต่ก็ไม่ได้ทำมาให้ถ่ายรูปได้สวยๆ
ถึงมี 5 ล้านพิกเซลแต่เลนส์ก็เป็นของงั้นๆ รูปที่ได้ก็เลยไม่คม ไม่ชัด ไม่อะไรเอาเสียเลย
(สู้ Lucille ก็ไม่ได้ ขานั้นมีแค่ 2 ล้านพิกเซล แต่มีระยะมาโครให้ใช้)

กระนั้น ก็มีคนอยากเห็นว่าได้รูปยังไงบ้าง
เลยลองเอามาให้ดูักันเล็กน้อย
มีบางรูปออกแนวขำๆ แปลกๆ เพราะถ่ายผ่าน Application ที่โหลดมา

ได้ความขำมาแทนความคม
กล้องมือถือตัวนี้คงให้คุณสมบัติแบบนั้นละนะ


วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หมาน่อยพบญาติ : ลุงหนวด




พุธที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๓

เช้าวันที่ฝนกำลังจะตก
กระเป๋าหนัก และง่วง
ก่อนตาจะปิด ได้ปรายไปเห็นลุงหนวด แมวคราวขาว-ดำตัวเขื่อง
ผู้เป็นญาติผู้ใหญ่ของหมาน่อยอย่างไม่ต้่องสงสัย

เลยชักภาพมาฝากกันให้ยิ้มยิ้ม

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขนมหวานที่ Divana





วันก่อนไป Divana ซอยสุขุมวิท 35
แต่ไม่ได้เข้าสปา

ตื่นเต้นกับฉำฉาต้นใหญ่ ฟอร์มสวย ที่หลังร้าน(อาหาร)-หน้าบ้าน(สปา) แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา
หลังจาก 3 ชั่วโมงผ่านไป กับการสงสัยว่าจะได้กินอะไรอร่อยๆ ไหมก็ได้กินของว่างมื้อบ่าย

อาหารเขาสร้างสรรค์เหลือเกิน แต่ในโมเมนท์นั้น (ที่ฉันอุตส่าห์ลัดมื้อเที่ยง หิ้วทองมาฝากไว้กับ Divana โดยเฉพาะ) ฉันคิดว่า แค่อะไรที่อร่อยเรียบง่ายแบบเบสิกก็เพียงพอ

ขนมหวานของเขาหน้าตาสวยงาม แต่ที่ิติดใจคือความสดของผลไม้ (นอก)
และครีมชีสในบลูเบอรี่ชีสพายชิ้นเล็ก วางราสเบอรี่สุดแอร่มไว้ข้างบน

แว่วว่าปรุงขึ้นจากชีสที่หอบหิ้้วมาจากสวิสโน่นเลย