เกิดมาเป็นคนจะทุกข์หรือสุขมันก
โดยเฉพาะความรู้สึกที่เป็นผลจากความรัก
นึกถึงความรู้สึกตอนเด็กๆ ตอนกรี๊ดรุ่นพี่สุดเท่ห์ (โมเมนท์นี้พี่เขาก็ได้เปลี่ยนไปนิดหน่อยอะนะ)
ตอนนั้นความสุขมันอยู่ที่การแอบกรี๊ดแบบลับๆ การได้เห็นเขาเดินมาไกลๆ ได้ใจเต้นตึก-ตึก-ตึก แค่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวตัวเดียวกัน ในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยแมงวันของวิทยาเขตชานเมือง ได้ลงมือทำของพิลึกพิลั่นอย่างถักหมวก (ที่พี่เขายังใช้เป็นมุกมาอำเราจนกระทั่งบัดนี้-อายชิบ)
จนวันนึงเมื่อเห็นเขาเดินเคียงข้างสาวผมยาว ผอมบาง (แบบที่เราไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้เลย) ใจก็เศร้าแป้วลง
อีตอนมีแฟนคนแรก ความรู้สึกมันไม่ใช่ความรักแรกพบอะไรอย่างนั้นหรอก แต่มันคือความปิ๊ง แค่ความประทับใจสั้นๆ ที่เขาคงไม่ได้ตั้งใจ บวกกับความอยากรู้อยากลอง ว่ามีแฟนแล้วมันจะเป็นยังไง
เราก็ได้มีแฟน
ก็คบกันไป เป็นแฟนกันได้ตั้ง 3 ปี เพื่อจะมีความรู้สึกว่า 'อย่างนี้มันไม่ใช่นี่หว่า'
ในจังหวะเดียวกับที่ไปเจอกับความรักเข้าพอดี
ไม่รู้อะไรที่ดึงดูดเราเข้าหาเขา
สงสัยจะเป็นความรัก
ความรักครั้งแรก ที่ไม่ได้มีให้กับแฟนคนแรก (เอ๊ะ-แปลกไหม)
ช่วงนี้แหละที่ได้เข้าใจว่าการคิดถึงใครคนหนึ่ง 'ทุกลมหายใจเข้าออก' น่ะมันเป็นไง
ได้ประสบกับตัวเองว่าคนประเภทไหนกันที่มันโทรหากันได้วันละหลายๆ ครั้ง
คุยกันนานเป็นชั่วโมงๆ ก็ยังไม่หมดเรื่องจะคุย
แล้วก็ได้พบว่า เมื่อเราเข้าใจว่าเรารัก เรามีความรัก เมื่อนั้น เราจะทำได้ทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ในสายตาเพื่อน หรือเรื่องที่ทำให้เพื่อนเข้าขั้นเป็นห่วงก็ทำมาแล้วทั้งสิ้น
(นึกถึงในตอนนี้แล้วก็ให้ละอายใจไม่น้อยอยู่)
6 ปีของวัยสาวไม่ใช่เวลาน้อยๆ แต่เราก็ผ่านมันมาแล้ว อย่างมีรสชาติสุดๆ ทั้งสูงสุดและต่ำสุด ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย
ได้รู้ว่าโลกนี้สวยแค่ไหนเมื่อใจมีรัก
รวมทั้งได้รู้ถึงศักยภาพในตัวของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังรักผู้ชาย
แต่แล้วเราก็เลือกที่จะจบช่วงเวลานี้ด้วยตัวเอง เพราะเหตุผลสั้นๆ มีอยู่ว่า แม้เราจะรักเขา โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แต่เราก็ต้องรักตัวเอง และรักคนที่รักเราด้วยเหมือนกัน
ช่วงเวลานั้นเองที่ได้รู้จักผู้ชายอีกคน
จะเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนในสเปค หรือเพราะยังเจ็บปวด ใจยังไม่พร้อมจะรัก หรืออะไรก็ตามแต่ จำได้ว่าได้บอกเขาไปว่าเราไม่ได้ชอบเขา ไม่ได้อยากมีแฟน ไม่ต้องมาดูแล-เรียกว่าปิดประตูใจทุกทาง
แต่เหมือนมีกรรม เพราะเขาชอบเรา เขาต้องการจะมีผู้หญิงของเขาเป็นคนแบบเรา
เขาก็เลยตื๊อ ไม่ยอมไปไหน
จนเราชินกับการมีเขา จนเรางง แยกไม่ออกระหว่างความรู้สึก 'รัก' กับความ 'ชิน' ที่มีเขา
แล้วเราก็ต้องเศร้าอีกครั้ง เมื่อได้ข้อสรุปว่า คนที่น่าจะเป็นคนรู้จักและเข้าใจกันที่สุด กลับกลายเป็นคนไม่(เคย)รู้ใจไปเสียได้
ใช่ เราสองคนไม่เคยเข้าใจกันเลย เมื่อคนหนึ่งพูด อีกคนไม่เคยฟัง แถมไม่มีใครยอมใครอีกต่างหาก
อย่างงี้จะไปรอดได้ไง ไม่มีทาง
เรื่องก็เลยจบเห่อีกหน
(สม-ไม่เชื่อเรื่องดวงชงกันก็ต้องเจออย่างนี้แหละ)
คราวนี้ไม่มีใครมาเป็นตัวช่วย เราก็อยู่ของเรามาได้ อย่าง wiser เสียด้วย เพราะเราคิดว่าเราเข้าใจความลึกลับของความรู้สึกแล้ว ว่าสุขและทุกข์จากความรักเกิดขึ้นได้อย่างไร
ด้านมืด และด้านสว่างของความรัก ต่างกันแค่ไหน
อยู่เป็นโสดไม่มีใครเป็นเจ้าของหัวใจมาพักใหญ่ มันก็มีความสุขดี
ทั้งตัวและหัวใจเป็นของเรา อยากจะทำอะไร ไปไหน ยังไง กินอะไร ไม่กินอะไร เกลียดหัวหน้าพรรคไหน หรือจะเลือกใคร ก็แล้วแต่เรา
จนเราเกือบเชื่อแล้วว่าชีวิตนี้ที่เหลือคงจะได้อยู่อย่างนี้แหละ
อย่างมีความสุขแบบคนโสด
แต่
ตลกดีนะ ที่สิ่งรู้ใจเราไม่ใช่คน แต่เป็น ไพ่ทาโรต์
4 วันก่อนมีโอกาสเปิดไพ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แม่หมอให้คิดคำถามไว้ในใจ ก็คิดไว้แค่ 2 ข้อ หนึ่งในนั้นคืออยากรู้ว่าจะมีไหม แฟนน่ะ
ปรากฏว่ามีใบหนึ่ง ปรากฏ ณ ตำแหน่งหนึ่งบอกอย่างชัดเจนว่า
อยากมีครอบครัว
(จำได้ว่ายังเถียงแม่หมอเสียงแข็งว่าไม่ได้อยากมีครอบครัวซะหน่อย-แค่อยากมีแฟนเอง)
ก็
ขอแค่เนี้ย โดยที่ไม่สนใจจะคิดเลยว่า ต่อจากนี้จะเป็นยังไง
สินสอดกี่บาท แหวนกี่กะรัต จะให้ใครทำเว็ดดิ้งออกาไนเซอร์ จัดงานที่ไหน ให้ใครถ่ายรูป ค่าใช้จ่ายในบ้านจะจัดการยังไง ลูกคนแรกจะเป็นชายหรือหญิงดี และจะคลอดเองหรือผ่าคลอด
แต่ว่า
จะมีจริงหรอ คนคนนั้น คนที่จะคุยเรื่องเดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง ยอมฟังกัน แล้วก็ยอมกัน
เฮ่อ...
ถ้าคุณมีตัวตนจริงๆ นะ คุณ Ace of Cups,
ช่วยรีบปรากฏตัวด้วยนะ
ช่วงนี้อากาศมันชักจะหนาวมากขึ้นๆ ทุกวันด้วยซี