คนทุกคนมีแรงพลุ่งไปใน ความเกิด ด้วยฤทธิ์ของตัณหาและอุปาทาน. โดยเหตุที่ไม่ทราบว่า ที่แท้อารมณ์ทั้งปวงนั้นก่อตัวพลุ่งขึ้นก็เพียงเพื่อมุ่งกลับสู่สภาพเดิม คือ ความดับ.
เหมือนไม้ไผ่ตัดจากกอไผ่ไปทำขลุ่ยเป่าเสียงดังไพเราะ ก็เพียงเพื่อ ความดับ แห่งเสียงนั้นลงสู่สภาพไม้ไผ่จากกอเดิม; หรือเหมือนไอน้ำจากทะเลพลุ่งขึ้นเป็นเมฆและตกเป็นฝนลงสู่ทะเลตามเดิม.
ความวุ่นที่พลุ่งขึ้น ก็ย่อมดับมอดลงสู่ ความว่าง อันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ เพราะฉะนี้แล ความไม่ดิ้นรนทะยานไปในอารมณ์ทั้งปวง ด้วยตัณหาอุปาทาน จึงเป็นความดับสนิทไปแต่ต้นมือแล้ว.
เสียงขลุ่ยหวนกลับมาหากอไผ่
ว่าไผ่ลำตัดไปจากไผ่กอ
เสียงก็หวนกลับมาหากอไผ่
เหมือนไอน้ำจากทะเลเป็นเมฆา
เหมือนตัณหาพาคนด้นพิภพ
วิ่งมาสู่แดนวิสุทธิ์หยุดเกเร
อันความวุ่นวิ่งมาหาความว่าง
ในที่สุดก็ต้องหยุดเหมือนอย่างเคย
จงคิดให้เห็นความตามนี้หนอ
ทำขลุ่ยพอเป่าเป็นเสียงมา
เป่าเท่าไรกลับกันเท่านั้นหนา
กลายเป็นฝนกลับมาสู่ทะเลฯ
พอสิ้นฤทธิ์ก็ตระหลบหนทางเห
ไม่เถลไถลไปที่ไหนเลย;
ไม่มีทางไปไหนสหายเอ๋ย
ความหยุดเฉยเป็นเนื้อแท้แก่ธรรมเอยฯ
...Sound of the rain
ตอบลบTurn to lamentation
Of the bamboo flute.....
...เสียงฝน
เเปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองรันทด
ของขลุ่ยไม้ไผ่.........
-ขลุ่ยไม้ไผ่ พจนา จัทรสันติ-
เห็นจะจริง
ตอบลบไม่มีอะไีรให้เถียง?
ตอบลบชอบ
ตอบลบ