ตื่นก็เมื่อสายแล้ว (ก้ออากาศมันน่านอน) เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กะจะโทรไปจิ๊จ๊ะกับแม่หน่อย
ลูก: ’โหล...ม๊า
แม่: ว่าไงลูก
ลูก: ทำไรอยู่ ขายของหรอ?
แม่: อือ ขายอยู่ลูก
ลูก: ขายดีป้าว?
แม่: ดีลูก
ลูก: งั้น...ม๊าอยากขายของก่อนไหม?
แม่: อือ แค่นี้ก่อนนะลูก
ลูก: -__-’
หม่าม๊า หรือว่าแม่ของดิฉันเป็นอย่างนี้แหละ วันอะไรเป็นวันอะไรชีไม่สนใจหรอก ถ้าฝนไม่ตกหรือน้ำไม่ท่วมจนผู้คนไม่มาตลาดกัน ชีก็จะยังออกไปขายของ วันไหนไม่ป่วยจนไม่มีแรงทำงานก็จะออกไปทำงาน
คงจะทำงานหาเงินให้ลูกใช้จนชิน ทุกวันนี้เลยยังไม่ยอมหยุด เพราะไม่ชินที่จะหยุด
..เชื่อว่าแม่ของหลายคนก็คงเป็นคล้ายๆ กัน
นึกถึงธรรมชาติข้อนี้ของแม่แล้วนึกถึงอีเมล์ฉบับหนึ่ง ที่หัวหน้าคนปัจจุบัน assign ให้เขียนส่ง สมัยสมัครทำงานกับเขา ตอนนั้นดิฉันไม่มีเวลาไปสัมภาษณ์ครั้งที่ ๒ เพราะต้องลงไปกระบี่ ทั้งๆ ที่ต่างคนต่างสนใจกันและกันมากๆ ก็เลยต่อรองเป็นอีเมล์ฉบับนี้
ขอคัดเฉพาะส่วนที่เล่าถึงครอบครัวและแม่มาเล่าต่อให้ฟัง (อ่าน) ทั่วๆ กันแล้วกัน
Sent:
ต้องบอกกับคุณก่อนว่าชีวิตของฉันนั้นค่อนข้างจะระหกระเหิน
ฉันเป็นลูกคนโตของพ่อและแม่-ชาวบ้านธรรมดาที่มีการศึกษาไม่มาก
แถมไม่ค่อยมีสมบัติด้วย
ท่านทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ทางตอนใต้ แม่เป็นคนสุราษฎร์ฯ
มีเชื้อสายเป็นมอญจากทางตา และเป็นคนนครปฐมจากทางยาย
ส่วนพ่อมีเชื้อคนจีนจากมาเลย์ฯ โดยอาผ่อและอากุง (ย่าและปู่)
ของฉันอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ปู่-ย่าของฉันคงไม่ค่อยสบายใจนักที่ได้ลูกสะใภ้เป็นคนไทย
แถมมีอาชีพเป็นชาวสวน
เรื่องราวความรักของพ่อแม่จึงมีกลิ่นอายคล้ายละครน้ำเน่าหลังข่าวภาคค่ำ
แต่กระนั้นปู่กับย่าก็ไม่ปฏิเสธที่จะรักหลาน
เมื่อฉันเกิดขึ้นเป็นคนแรก
พ่อกับแม่จึงไปฝากให้ปู่กับย่าเลี้ยง
พ่อของฉันพยายามตั้งเนื้อตั้งตัว
ท่านพาครอบครัวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
เริ่มจากเป็นลูกจ้างในร้านขายยางรถยนต์
น้องชายคนรองที่มีอายุห่างจากฉันสองปีครึ่งถือกำเนิดที่นี่
จากนั้นก็เดินทางขึ้นเหนือ
ไปอาศัยอยู่พี่สาวของท่านที่มาเป็นสะใภ้คนจีนที่อำเภอแม่สอด
จังหวัดตาก และที่นี่เอง ที่น้องชายคนสุดท้องของฉันเกิด
พ่อมีเหตุผลของพ่อที่ต้องอพยพพวกเราทั้งหมดไปอยู่ที่เชียงใหม่
สำหรับเชียงใหม่ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นบ้านของฉัน
ภาพต่างๆ ทั่วเมืองเชียงใหม่อยู่ในความทรงจำของฉันตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล
จนถึงม.5
จะเรียกว่าฉันโตขึ้นที่เชียงใหม่นี้ก็ได้
เวลาใครถามว่าฉันเป็นคนที่ไหน ฉันก็อยากจะตอบเขาว่า
'เป๋นคนเจียงใหม่เจ้า'
ฉันจบชั้นประถมจากโรงเรียนคำเที่ยงอนุสรณ์
อยู่ใกล้กับตลาดวโรรส หรือกาดหลวง
และสะพานข้ามแม่น้ำปิงที่ชื่อ นวรัตน์
บ้านเราอยู่บนถนนเจริญประเทศ ใกล้โรงเรียนจนเราเดินไปได้
จากนั้นฉันสอบเข้าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ที่โรงเรียนนี้มีเรื่องน่าประทับใจคือโรงเรียนตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นั่นก็คือเชิงดอยสุเทพ ดังนั้น เวลาที่เราอยู่ในโรงเรียน
เราจะมองเห็นวัดพระธาตุดอยสุเทพใกล้กว่าใครๆ
และสวยกว่าใครๆ
พอขึ้นชั้นม.5 เพื่อนๆ ที่โรงเรียนฮิตไปสอบเทียบกันมาก
ฉันก็เลยตามเพื่อนไปด้วย ด้วยความคิดว่า
ถ้าเพื่อนสอบเอ็นทรานซ์ติดกันหมด เหลือฉันไว้เรียนม.6
อยู่คนเดียวคงหง่าว
ไปเรียนแค่ไม่กี่เดือนก็จบหลักสูตรม.ปลาย แล้วในปีนั้น
ฉันก็สอบเอ็นทรานซ์ติดในอันดับที่สอง
ที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เดินทางมาเรียนที่ธรรมศาสตร์เพียงคนเดียว
โดยมีเพื่อนอีกคนสอบติดที่จุฬาฯ นอกนั้นสอบติดที่ ม.ช.
หรือไม่ก็เรียนต่อม.6
ชีวิตปีแรกในมหาวิทยาลัยนั้น ต้องบอกว่าฉันรู้สึก Suffer
มาก คิดถึงบ้านเป็นอย่างไรก็ได้รู้จักคราวนี้ แรกๆ
เล่นเอาฉันน้ำหนักลด ตัวผอมไปเลย แถมพอเรียนๆ
ไปก็ได้ข่าวว่าบ้านที่เชียงใหม่ถูกไฟไหม้หมด แม่ของฉัน
ซึ่งได้เปลี่ยนสถานะเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่พ่อตายจากเราไปตั้งแต่ฉันเรียนชั้น
ม.3 โดยการนำเสื้อผ้าพื้นเมืองมาเย็บขายให้นักท่องเที่ยวแถบไนท์บาร์ซาร์
จึงตัดสินใจย้ายครอบครัวกลับไปตั้งหลักที่สุราษฎร์ธานี
และยังคงอยู่ที่นั่นมาจนถึงวันนี้….
การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สุราษฎร์ฯ แบบคนไม่เหลืออะไรเลยเป็นเรื่องหนักหนามาก แม้เราจะมีญาติพี่น้องพร้อมพรั่ง แต่แม่ไม่ต้องการเป็นภาระของใคร จึงอาศัยเพียงคอนเนกชั่นและความช่วยเหลือจากน้องๆ พวกกับความมานะพยายาม ดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองและลูก จนส่งฉันเรียนจบ ตามมาด้วยน้องชายอีก ๒ คน
แม่ต้องดิ้นรนขนาดไหนก็ให้ลองนึกถึงเมืองเชียงใหม่กับเมืองสุราษฎร์ฯ ดู ด้วยการทำเสื้อผ้าชาวเขาขายในท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ ไม่ใช่แค่ส่งลูก ๓ คนเรียน (เรียนพิเศษด้วย) ซื้อวิดีโอเกมให้น้อง ฯลฯ แม่ยังหาเงินค่ารักษาพยาบาลตอนพ่อดิฉันป่วยอีกต่างหาก
ในขณะที่บรรยากาศของสุราษฎร์ฯ ไม่ใช่อย่างนั้น เสื้อผ้าที่แม่ขายก็เป็นเสื้อโหลธรรมดา จะตัดขาย แม่ก็ไม่ได้มีฝีมือขนาดห้องเสื้อ
ภาวะเศรษฐกิจตอนนั้น ประกอบกับวัยที่เริ่มมีปัญหา เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ยากเต็มทีของดิฉัน ทำให้ทะเลาะกับแม่บ่อยครั้ง ทำให้แม่เสียใจไม่น้อย นอกจากนี้ไม่ใช่ดิฉันเพียงคนเดียวที่โตขึ้น และเริ่มเข้าใจอะไรยาก น้องชายสองคนก็ตามมาติดๆ
แต่แม่ก็ยังเดินต่อมาได้ โดยไม่ทิ้งลูก ไม่เคยปล่อยให้ลูกอด
นึกถึงเรื่องพวกนี้แล้วรู้สึกภูมิใจในแม่ตัวเองเสมอ
บ้านเราแตกเมื่อตอนไฟไหม้บ้านที่เชียงใหม่ (ถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้น ทุกวันนี้ดิฉันคงจะเป็นคุณหนูเหมือนบางคนคิด) แต่แม่ไม่เคยท้อ มีปัญหากับพ่อ แม่ก็ไม่เคยคิดจะเลิก เพราะด้วยวิธีนั้น แม่เชื่อว่าจะทำให้ลูกมีปัญหา จนเมื่อเป็นม่าย มีผู้ชายมาชอบพอ แม่ก็คิดจะทำอะไรตามใจตัวเองอีก ต่อให้ลูกโตจนจะแก่แล้วแม่ก็ยังห่วงความรู้สึกลูก
วันก่อน ดิฉันคุยโทรศัพท์กับเพื่อนคนหนึ่ง หลังจากทราบว่าเขาเปลี่ยนชีวิตเพื่อครอบครัว
ดิฉันดันไปถามเขาว่า “คุณเสียดายชีวิตไหม?”
(…ช่างกล้าถาม)
เมื่อมานึกถึงชีวิตของแม่ตัวเอง
ถ้าจะถามแม่ด้วยคำถามเดียวกันกับที่ถามเพื่อน คิดว่า...มันคงจะน้อยไป
เพราะว่าตั้งแต่แม่มีเรา แม่ก็สละชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้เราแล้ว
ยาวอะตัว เค้าหิวข้าว เด๋วกลับมาอ่านใหม่
ตอบลบแม่พี่ม้อยเก่งจัง นึกสภาพคนที่ถูกไฟใหม้จนกลายเป็นศูนย์ ต้องมีกำลังใจดีเยี่ยมมากถึงจะผ่านมาได้
ตอบลบพี่เคยสงสัยนะ
ตอบลบว่าแม่ทำได้ เพราะแม่มีลูกหรือเปล่า
ไม่ต้องสงสัยเลยครับ จริงแท้แน่นอน
ตอบลบว่าแต่สมัครงานนี่เขียนจดหมายแนะนำตัวกันยาวขนาดนี้เลยเหรอพี่
กลัวเขียนสั้นๆ เค้าจะไม่รู้จักน่ะสิ
ตอบลบหุหุ
ของจริงยาวกว่านี้ประมาณ ๓ เท่า
แม่ม้อยสุดยอดจริงๆ ตั้งหลักใจเก่งมากเลยนะ ..เก่งขยันมากที่หารายได้เลี้ยงลูกๆจนลูกได้ดีแบบนี้
ตอบลบอืมมม แม่แต่ละคนมีชีวิตการต่อสู้เพื่อลูกและครอบครัวที่รักกว่าชีวิตตัวเองไปคนละแบบเนอะ...เมื่อสมัยพี่เด็กๆแม่พี่ทำงานเป็นพนักงานประจำ รายได้ไม่มาก ก็เอาของสำเพ็งมาขายเหมือนกัน แล้วกลางคืนทุกคืนก็นั่งแปลงานเป็นการฝึกภาษาหารายได้เสริมอีก แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าแม่ยุ่งจนไม่มีเวลาให้ลูกเลย เพราะแม่จัดสรรปันเวลาเก่งมากๆ นอนวันละ 5ชั่วโมงเอง ลูกๆอยากเรียนเปียโนก็พานั่งรถปอ.ไปเรียนทุกอาทิตย์ ไอ้ลูกมันก็โคตรจะขี้เกียจเลย ไม่งั้นป่านนี้อาจมีรายได้เสริมสอนดนตรีแล้ว ...เปียโนมันแพงแม่ก็หามาให้ซ้อมจนได้
พวกแม่ๆนี่สุดยอดเนอะ ..ไอ้คนโสดๆไม่ค่อยมีภาระอย่างพี่ดูแล้วอายจริงๆ สมัยพวกเรานี่โคตรสบายเลย
ตั้งแต่แม่มีเรา แม่ก็สละชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้เราแล้ว
ตอบลบ-----------------------------------------------------------------
จริงๆล้านเปอร์เซ็นต์
กราบแม่ม้อยด้วยค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก ตามมาอ่านเพราะจุ๊บแจงไปบอกไว้ค่ะ คุณลูกก็อึดนะคะ ชื่นชมค่ะ
ตอบลบเอิ่ม...ขอบคุณค่ะ
ตอบลบนี่ม้อยเองยังไม่ได้กราบเลยนะคะ
หม่าม๊ายังไม่ยอมคุยด้วยเรย
พวกแม่ๆนี่สุดยอดเนอะ ..ไอ้คนโสดๆไม่ค่อยมีภาระอย่างพี่ดูแล้วอายจริงๆ สมัยพวกเรานี่โคตรสบายเลย...............อายเหมือนกันจ๊ะ แม่ ๆ เราเขาลำบากกว่าเรากันเยอะเลย เราเป็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็ฟูมฟายไปสามบ้านแปดบ้าน พ
ตอบลบในครั้งหนึ่งที่เราถกเถียงกัน
ตอบลบ(การเถียงกันของเราไม่ใช่แค่เรื่องเบาะๆ หรอก)
ก่อนวางสาย ม้อยถามม๊าว่า
"ม๊าเคยเสียใจไหมที่มีลูกอย่างม้อย?"
ม๊าตอบว่า
"ไม่นะ"
"ไมอ่ะ" ลูกสงสัย
"ม้อยต้องมีลูกเอง แล้วจะเข้าใจ"
อืม...เหมือนแม่เราเลย แม่พี่เขาบอก อโหสิให้ทุกวินาที บางทีเราว่าเราก็ดีแล้วนะ แต่ดียังไงก็ แพ้ "ดีและรัก" ของแม่
ตอบลบซึ้งอะ เคยมีเรื่องให้แม่กลุ้มมากเหมือนกัน
ตอบลบแต่ก็พิสูจน์แล้วว่า รักแม่นี่ยิ่งใหญ่จริงๆ เค้ากลับเห็นใจอโหสิให้เรา ...เพราะแม่ดีอย่างนี้เลยกลับมายืนแบบนี้ได้
น้ำฝน...ตกมาเป็นน้ำตา...ท่วมเมืองนนทฯ แล้วจุ๊บ...อย่าซึ้งมาก ]ล้อเล่นนะจ๊ะ ขออภัยเจ้าของบ้านด้วยจ๊า
ตอบลบฮะฮะ พี่ ...นั่นดิ ยิ่งนอยด์ๆน้ำท่วมโลกอยู่..เอิ๊ก ..
ตอบลบรู้ว่าแกรักม๊า แต่การแสดงความรักของแกนะแปลกๆเสมอ ชั้นก็รักแม่วะ และรู้ว่าแม่ก็รักชั้นเสมอ
ตอบลบชั้นทำให้แม่เสียใจบ่อยๆ ชั้นชอบเถียงแม่ แรงๆหลายครั้ง แล้วก็มารู้สึกผิด ขอโทษบ้างบางที
แบงครั้งก็อายที่จะขอโทษ ไม่รู้ทำไมเป็นคนชอบเถียงก็ไม่รู้ พรุ่งนี้แม่มาซื้อพวงมาลัยหอมๆกลมๆให้แม่ดีกว่า
ม๊าแกเป็นผู้หญิงเก่ง ม๊าไม่ใช่แม่บ้านเต็มร้อยเพราะต้องช่วยป๊าทำมาหากิน แต่ก็รู้ว่าม๊านะดูแลลูกเป็นอย่างดี
หาทุกอย่างที่ลูกอยากได้ โดยเฉพาะกับเปิ้ล จำได้ว่าตอนนั้นรู้สึกว่าม๊าเอาใจนะอาจเพราะเป็นน้องเล็ก
แต่เด็กๆเปิ้ลก็น่ารักสมชื่อ
ถึงม๊าแกไม่ใช่แม่บ้านเต็มร้อย แต่ชั้นจำได้ว่ากินข้าวยำของแม่แกอร่อยมากๆ เป็นครั้งแรกที่รู้จักข้าวยำ ตอนม.3
และก็ชอบมาตั้งแต่นั้นเลย
เข้ามาอ่าน แต่อ่านไม่จบ...
ตอบลบกลับมาอ่านให้จบเดี๋ยวนี้นะ
ตอบลบแม่พี่ม๊อยแกร่งจังเลย ยิ่งกว่านักยกน้ำหนักสาวไทยอีก
ตอบลบคิดว่าได้เหรียญทองจากใจลูกตั้งสามเหรียญละกันครับ
วันนี้นาดาลสวีตน่าดู
ตอบลบ
ตอบลบแม่เก่งทุกคน เป็นเรื่องปกติ เนอะ
ม้อยคิดว่าม้อยคงทำอย่างนี้ไม่ได้อะ พี่บุ๋ม
ตอบลบหนูนาช่างเปรียบเปรย...
ตอบลบ^_^
^_____^
ตอบลบT_T
ตอบลบรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
ทำไม่ดีกับแม่ไว้เยอะ
เรื่องอินเทรน
ตอบลบต้องมีลูกแหละพี่
ตอบลบแล้วพี่จะคิดว่าพี่ทำได้
ก่อนมีลูกคงต้องมี ผ. ก่อน
ตอบลบแค่หา ผ. ยังไม่คิดว่าจะทำได้เลย น้องโอ๊ต
เข้ามาทำน้ำตารื้นใส่ค่ะ
ตอบลบประโยคพื้น ๆ ที่ว่า ถ้าวันหนึ่งเรามีลูกแล้วเราจะเข้าใจเอง เห็นคนที่มีลูกเอง แล้วจะพูดคำนี้กันทุกคน เสียดายที่คงไม่มีโอกาสได้พูดคำนี้แล้ว เพราะว่า หา ผ. ดี ๆ ไม่ได้เหมือนกันค่ะ
เร็วไปไหมที่จะพูดคำนี้
ตอบลบT-T
พี่ว่าตั้งตัวได้แล้วอาจจะอุปการะเด็กน่าสงสารซักคนอะ ..แหมดูดาราไปมั้ยนี่
ตอบลบถูกต้องเลย
ตอบลบอุปการะตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้ค่ะพี่
ตอบลบช่วยอุปการะเด็กผ่านมูลนิธิศุภนิมิตร เดือนละ ๔๕๐ บาท เท่ากับวันละ ๑๕ บาท
เด็กคนนึงได้เรียนหนังสือ และมีอาหารกลางวันกิน
หุหุ
ตอบลบอยากมีแบบอยู่ด้วยกันทุกวันอะ ..พูดจริงๆนะ ..แต่คงทำยาก ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงได้แบบไหน เด็กจะมีปัญหาใจรึป่าว เราจะดีพอมั้ยนี่
ตอบลบเล่าได้ดี เห็นภาพครับ แม่เราก็ดีอย่างนี้แหละครับ
ตอบลบเพราะว่าแกไม่เคยกินมาก่อนไง
ตอบลบเลยไม่รู้ว่าแบบไหนที่เรียกว่าอร่อย
ฮ่าฮ่า
โถ น้องโน
ตอบลบ(น้องโนเนี่ยนะทำไม่ดีกะแม่-พี่นึกไม่ออกเลย)
มอบรักแทนใจไปกับน้องหมีน้อยแล้วนี่นะ
จำเรื่องพ่อไม่ค่อยได้
ตอบลบแต่รู้ว่าพ่อรักเรามาก
โตแล้วยังกอดยังหอม
เราอ่ะเขิ้น-เขิน
ถูก
ตอบลบอ่านแล้วกระทบใจอย่างจังเลยจ๊ะ ป๋าแต่งกับแม่ แม่เป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ้นต์ (แถมเป็นคนโคราชอีกต่างหาก) (คงนึกภาพออกน่ะ) ญาติป๋าไม่ยอมรับ กดดันตลอดชีวิต แต่แม่ยอม อดทน อดทน จนวันตาย พี่ก็ยังไม่ได้ไปกราบขอขมาเลยค่ะ นึกเสียใจจนทุกวันนี้ ไม่คิดว่าแม่จะจากไปเร็วขนาดนั้น (ความตายอ่ะน่ะ เพราะฉนั้นอยากทำไร ให้รีบทำเสียแต่วันที่เราคิด) วันนั้น ถ้าไม่ได้เห็นผีแม่เป็นตัวเป็นตน ก็คงไม่ได้บวช แม่มาตามให้ไปบวช (คิดดูความรักของแม่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ขนาดตายแล้วยังมาตามให้ลูกไปเห็นพระธรรม) ขอบคุณการเขียนเรื่อง เป็นการเขียนและเรียบเรียงที่ดีมากๆ อยากเขียนได้แบบนี้จัง ชอบแต่คุยมากกว่าค่ะมันส์ดี
ตอบลบขะ...ขนาดนั้นเลยหรอคะพี่?
ตอบลบตอนนี้พี่เป็นแม่คนแล้วพี่เลยรู้ใช่มะ ว่าแม่รักลูกแค่ไหน
ม้อยเองก็พยายามทำตัวให้สมกับที่แม่รักอยู่นะคะพี่
ขอบคุณพี่เหมือนกันค่ะ
ummm เรื่องจริงจ้า มีลุกแล้วเหมือนกรรมตามท้นอ่ะน่ะ ยิ่งเข้าวัยรุ่นแล้วด้วย ชักกลัว อิอิ
ตอบลบ