Rating: | ★★★★ |
Category: | Movies |
Genre: | Drama |
จนในที่สุดก็ได้ไปดูภาพยนตร์ The Reader (2008) เสียที
ใครๆ ที่เขาได้ไปดูมาก่อน ล้วนกลับมาชมเชยให้เราฟังว่าเป็นหนังที่ดี ดูแล้วซึ้งกินใจ ร้องไห้ตาม ฯลฯ น้องคนหนึ่งซึ่งคุยกันรู้เรื่องในเรื่องของหนัง+หนังสือ ซึ่งได้ลงทุนอ่านหนังสือก่อนไปดู (เหมือนกัน) ถึงกับบอกว่า “หนังดีมากๆ ดีกว่าหนังสืออีก”
นั่นไม่ทำให้อิฉันผู้ซึ่งรักเรื่องราวความผูกพันบนความเจ็บปวดที่หนังสือเล่มนี้เล่า (เอามาก) ถึงกับเขม่นน้องทำนอง ‘อรัยวะ หนังจะทำได้ดีกว่าหนังสือได้ไง’ แต่ทำให้รู้สึกสนใจหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ อยากรู้ว่าเขาทำอย่างไร จึงทำให้น้องคนนี้จึงสรุปสั้น ๆ คมๆ แค่นั้น
อิฉันดูแล้วมองไม่เห็นทางที่จะนำหนังกับหนังสือมาเปรียบเทียบกันได้ แต่ก็คิดว่าพอเทียบเคียงกันได้ในบางแง่ ตามข้อสังเกตที่ตั้งขึ้นดังนี้
• หนังกับหนังสือ เป็นสื่อที่ใช้ภาษาต่างกัน อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่อิฉันเชื่อว่าการที่เราจะเสพอรรถรสจากวรรณกรรมดีๆ สักเล่มได้เต็มอิ่มนั้น มันต้องมีตั้งแต่ทักษะในการอ่าน สมาธิที่จะสนใจเรื่องบรรทัดต่อบรรทัด มีวุฒิภาวะในด้านที่จำเป็น บวกกับจินตนาการอันกว้างไกล ในขณะที่ภาษาของหนังที่เล่าเรื่องผ่านภาพ เสียง ในจังหวะจะโคนที่เหมาะสม ดูจะเป็นลีลาที่เข้าถึงผู้รับสารได้ดีกว่า โดยที่ผู้รับสารจะมีแบ็คกราวนด์ยังไงก็ได้ อยู่ในภาวะมีหรือไม่มีสมาธิก็ได้ เพราะอีกเดี๋ยวภาพบนจอก็จะดึงเขาสู่สมาธิเอง
• สำหรับอิฉันแล้ว มีความรู้สึกว่าเรื่องในหนังสือค่อยๆ ลากเราจมสู่อารมณ์อันลึกล้ำ แล้วก็ทำให้เราจมดิ่งอยู่อย่างนั้น-เนิ่นนาน เหมือนกับการค่อยๆ เดินลงทะเลสาบอย่างหม่นหมอง แล้วก็ค่อยๆ ละเลียดกับความตายจากอาการอึดอัด หายใจไม่ออก พร้อมๆ กับการจมลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่หนังเล่าได้อย่างสะเทือนอารมณ์เหมือนถูกถ่วงน้ำ มันตกใจ ช็อค แล้วก็ทำให้น้ำตาไหลอย่างฉับพลัน สมมติถ้าเราเต็มใจจะตาย การดูหนังคงเหมือนตายด้วยน้ำมือคนรัก แต่การอ่านหนังสือ เหมือนฆ่าตัวตายเพราะคนรัก (ก็คงได้?)
• หนังทำให้น้ำตาหยดในฉากสุดท้าย บทสนทนาระหว่างเด็กน้อยกับมิสมาเธอร์ ดูเหมือนความเศร้านี้ยังเหลือติดออกมาจากโรงอีก 15 นาที ในขณะที่่หนังสือทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่อัดอยู่ในอก แล้วก็แน่นอยู่ในนั้นอีกนาน.... (เก็บไปฝันด้วย)
• การอ่านหนังสือทำให้สงสารมาก มากมาย สงสารทั้งคู่ แต่ดูหนังแล้วไม่ยักรู้สึกรู้สากับความรู้สึกเจ็บปวดของเด็กน้อยซึ่งถูกฮันนาทิ้งไปโดยไม่ร่ำลา (สงสัยข้อจำกัดของหนังจะมันมีเยอะไป) อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้เปิดโอกาสให้ได้เห็นการแสดงอันยอดเยี่ยมของเคต และราล์ฟ ไฟนส์ ซึ่งน่าประทับใจ สมราคา
• ทีมสร้างหนังเรื่องนี้ และตัวเคตเอง ทำให้อิฉันเหมือนได้รู้จักฮันนาอีกคนที่แม้จะโทรม ฉาบความห่างเหินบนสีหน้าเพื่อปิดซ่อนความเครียดและรู้สึกไม่มั่นคงอยู่ตลอดเวลาเอาไว้ แต่ก็ยังคงสวย และเร้าอารมณ์สไตล์ฮอลลีวูด ในขณะที่ฮันนาคนที่หลุดออกมาจากหนังสือดูเป็นสาวบ้านนอกอมทุกข์ ดิบกว่า แต่เร้าอารมณ์กว่า
• (หลงรักเคต วินสเล็ตกับตีนกาเวลาที่เธอยิ้มอีกแล้ว แม้ในหนังเรื่องนี้เคตจะยิ้มน้อยมาก)
• สรุปว่าชอบทั้งหนังและหนังสือ แต่กับหนังสือแล้ว รู้สึกประทับใจมากกว่า
(ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการอ่านหนังสือก่อนดูหนังแล้วมาสรุปอย่างนี้จะแฟร์ไหม )
• สงสัยหนังรอบที่ไปดูจะถูกตัดไปเยอะ (ลิโด้ 2 รอบ 9.50 น. เสาร์ที่ 7 มีนาคม 2552) ดูมันไม่ค่อยสมบูรณ์ ที่รู้สึกทะแม่งสุดเป็นตอนที่ฮันนาถามเด็กน้อยว่า เธอเก่งวิชาอะไรบ้าง แล้วเขาตอบว่าไม่เก่งอะไรเลย ..มันควรมีซีนที่ฮันนาสั่งอย่างเฉียบขาดว่าถ้าไม่เก่งอะไรเลยไม่ต้องมาเจอกันอีกด้วย เพราะมันเป็นประเด็นสำคัญอย่างหนึ่ง ว่าจริงๆ แล้วฮันนาเป็นที่ทำให้เด็กน้อยเอาจริงเอาจังกับการเรียน จนพิสูจน์ตัวเองให้พ่อแม่เห็นได้ว่าโตแล้ว เอาตัวรอดได้ จากเรื่องดั้งเดิมในหนังสือ ฮันนาไม่ได้เป็นแค่ชู้รักวัยแม่นะ แต่เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตวัยเด็กของเด็กน้อยเลยล่ะ ฮันนาเป็นทั้ง drive และ inspiration เลยนะ
เขียนบันทึกความรู้สึกเมื่ออ่าน The Reader จบเป็นรอบที่สองไว้ที่ http://mandymois.multiply.com/reviews/item/71
ป.ล. สภาพภายในทัณฑสถานหญิงของเยอรมันช่างน่าอภิรมย์เหลือแสน
เมื่อพฤหัสที่แล้วกะจะดู เราบอกเพื่อนสนิทว่า
ตอบลบให้เพื่อนสนิทไปดู watch men
ส่วนเราจะดูเรื่องนี้ ก็ตกลงกันได้
แต่ the reader รอบมันดึกเกิน
(ลดรอบแล้วเหลือน้อย)
ยังไม่ได้ดูสักที
อ่านในนี้แล้วก็ยิ่งอยากดูอีกง่ะ
เดือนจะไปดูที่ไหนอะ?
ตอบลบเหมือนว่าที่ลิโด้ยังมีรอบเยอะอยู่นะจ๊ะ
แต่เราว่าอ่านหนังสือ แล้วไปดูหนัง
ตอบลบมันน่าจะทิ้งระยะกันสักหน่อย
ไม่งั้นมันจะเผลอคิดตามหนังสือ
เหมือนชิมอาหาร ต้องอมน้ำเปล่าล้างปาก ก่อนชิมจานอื่น
จะได้แฟร์กับหนัง :)
ลิโด้ไกลอะ
ตอบลบอืมม์
ตอบลบเราว่ารอดูดีวีดีก็อาจจะไม่เลวนะเดือน
เราเชื่อว่าหนังโดนตัดอะ
เรื่องแฟร์ไม่แฟร์ เราว่าเราเปิดใจมากแล้วคราวนี้
(เพราะเคตแท้ๆ) ก่อนหน้านี้ถ้าหวงความรู้สึกจากหนังสือมากขนาดนี้ละก็ เราไม่ดูหนังด้วย
• สำหรับอิฉันแล้ว มีความรู้สึกว่าเรื่องในหนังสือค่อยๆ ลากเราจมสู่อารมณ์อันลึกล้ำ แล้วก็ทำให้เราจมดิ่งอยู่อย่างนั้น-เนิ่นนาน เหมือนกับการค่อยๆ เดินลงทะเลสาบอย่างหม่นหมอง แล้วก็ค่อยๆ ละเลียดกับความตายจากอาการอึดอัด หายใจไม่ออก พร้อมๆ กับการจมลงไปเรื่อยๆ
ตอบลบ...................................
นึกตามเลย
เราขอยกมือเห็นร่วมด้วยกับความรู้สึกแบบนี้
ตอนที่ทิ้งเด็กชายหายไปแล้วกลับมาเจอกันอีกรอบ
เรารู้สึกคล้ายๆกับที่ม้อยเขียน
คิดคิดแล้วอยากกลับไปมีชีวิตที่เป็นบ้าเป็นพอเพราะความรู้สึกที่มีกับ 'ใครบางคน' อีกนะเดือน
ตอบลบมันแรงดี ฟีลลิ่งแบบนั้น
นี่ห่างหายมานานแล้ว โดยรวมก็ดูสงบสุขดี
แต่ชีวิตที่ขาด passion นี่เหมือนมันแห้งเหือดๆ ไงไม่รุสิ
โหโดน
ตอบลบแต่พอไปนานๆๆ มันก็ไม่หวือหวาทางอารมณ์แล้วอะ
ตอบลบpassion ที่ว่า จะไปหาเอาที่ไหนล่ะที่นี้
เราเบื่อ เวลาทะเลาะกัน ทำงานไม่ได้
มีคนบอกว่า ทะเลาะกันมากๆ แล้วลูกดก
ตอบลบหุ หุ
อยากดู ไม่มีใครไปดูเป็นเพื่อน
ตอบลบ:) จริงรึ
ตอบลบหูยยยยย
ตอบลบม้อยยังไปดูคนเดียวเลยฮะ
มันเป็นปริศนาที่รอใครบางคนพิสูจน์
ตอบลบหุ หุ
ปีนี้ยังไม่ได้ไปดูหนังเข้าชิงออสการ์สักเรื่องเลยน้องม้อย
ตอบลบเรื่องนี้ อยากดูที่สุด คงได้ดูดีวีดี
เพราะแถวบ้าน รอบที่ฉายมันไม่ตรงกับเวลาว่างของคุณพี่เลย
ดูดีวีดีอาจจะดีนะพี่แจ๋ว
ตอบลบจะได้ดูเวอร์ชั่นเต็มๆ เนอะ
ดีจัง น้อยนักที่จะดีกว่านิยายต้นเรื่อง
ตอบลบช่างเปรียบเปรยจัง รุ่นพี่ แต่มันก็ตายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ต่างที่อรรถรส
ตอบลบตายเหมือนกัน
ตอบลบแค่แบบนึงตายแบบมาโซ อีกแบบตายแบบซาดิสม์
นี่ ตกลงเรารุ่นเดียกันไม่ใช่หรอจ๊ะเธอ?
ดูแล้วเหมือนกันน่ะ ชอบ เคต แสดงเรื่องนี้ ทำให้นึกถึง Titanic ไปด้วย
ตอบลบหนัง The Reder อาจถูกจำกัดด้วยเวลา ทำให้บางเหตุผลไม่สามารถสื่อออกมาได้หมด
ฉากอีโรติค เยอะดี แต่ทำออกมาได้ดี ดูแล้วไม่นึกถึงเรื่องอย่างว่าเท่าไหร่ (สวยงาม)
สรุปว่า ชอบ ให้ดูอีกรอบก็ได้
เอ หรือว่าหนังโดนตัด ทำให้เราอารมณ์ขาด ๆ เกิน ๆ
ตอบลบเห็นด้วยว่าทำได้ดี สวยงาม แล้วก็สื่อสารได้เยี่ยมยอด รู้สึกว่าสองคนนี้ connected มั่ก
ตอบลบแต่ไม่รู้คิดมากไปป่าว พออีโรติกหลา่ยๆ ฉากแล้วเรานึกหวาดๆ คุณน้า ช. ที่นั่งข้างๆ (ห่างไปตัวนึง) ขึ้นมาไงไม่รุ
ขำอ่ะ 5555 มีกลัวด้วย แสดงว่ายังมั่นใจในความสวยของตัวเองอยู่ (ล้อเล่น)
ตอบลบถึงไม่สวย แต่ก็ xxx นะ
ตอบลบฮึ!
ได้อ่านหนังสือ และ พึ่งได้ดู the reader จากแผ่นคับ
ตอบลบสรุปว่าชอบเวอร์ชั่นหนังสือมากกว่ามากกก...เพราะในหนังมันไม่อิ่มอ่ะ
มันไม่ชัดเจนและไม่สะเทือนใจเท่าหนังสือ
โดยเฉพาะฉากจบในหนังสืออ่านแล้วน้ำตาทะลักเลย ตกใจระคนเสียใจเศร้ามาก
แต่ในหนังก็งั้นๆเพราะไม่รู้สึกร่วมไปกับตัวละครเลย
ชอบเคมจากเรื่อง revolutionary road มากกว่าอ่ะ
อย่างที่คุณ mandymois บอก
ใช่ๆ รู้สึกคล้ายๆ อย่างนี้เหมือนกัน
ตอบลบแต่อิฉันว่าหนังก็ดีไปอย่าง สำหรับคนมีเวลาน้อย และชอบเสพสื่อแบบหนัง
หนังสือก็ดีไปอีกอย่าง สำหรับคนชอบใช้เวลาอยู่กับตัวเอง แล้วก็สร้างโลกของตัวละครขึ้นมาจากจินตนาการของตัวเอง
ชอบทั้งสองอย่าง แต่ถ้าถามว่าประทับใจกับอะไรกว่ากัน
อิฉันว่าอิฉันประทับใจหนังสือมากกว่านะ