Rating: | ★★★★★ |
Category: | Movies |
Genre: | Drama |
ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ แต่ก็ได้ DVD หนัง Out of Africa (1985) หรือ “รักที่ริมขอบฟ้า” มาไว้ในครอบครองนานจนลืม เพิ่งมานึกได้ว่าอยากดูก็สองสามวันนี้เอง แล้วก็ไม่รู้เป็นอะไร ดูไปถึง Chapter ที่ 7 ก็หยุดไว้ก่อน แล้วไปค้นหนังสือ “รักที่ริมขอบฟ้า” ซึ่งแปลโดย สุริยฉัตร ชัยมงคล นักแปลมหากาพย์ผู้ล่วงลับ ซึ่งก็ได้มาครอบครองตั้งแต่ปี 2000 แล้วก็ยังไม่ได้ลงมืออ่านจริงจัง (ตามเคย) แค่เปิดชิมไปนิดๆ หน่อย (ก็ตอนนั้นรู้สึกว่าอ่านยากจัง-เพราะเขาแปลแบบประโยคต่อประโยค มีคอมมา โคลลอนก็แปลมาตามโครงสร้างประโยคต้นฉบับเลย) มาอ่านจริงจัง อ่านถึงบทที่ 2 ก็วางหนังสือ
ไม่รู้ว่าเพี้ยน หรือสมาธิสั้น..ก็อิฉันแค่อยากจะรู้ว่าหนังเล่าเรื่องเหมือนหนังสือไหม แค่นั้นเอง
พอเริ่มจับทางได้ว่า อ๋อ หนังสือเล่าเรื่องแนวนี้ ส่วนหนังเล่าอีกแนว เลยกลับมาเปิดหนังดูจนจบแบบฟูมฟายน้ำหูน้ำตา เมื่อคืนวานนี้เอง
หนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือที่ บารอนเนส Karen Blixen (Meryl Streep) เขียนขึ้นเมื่อกลับสู่เดนมาร์ก เมืองมาตุภูมิ หลังจากที่เธอเดินทางไปใช้ชีวิตในเคนยาเป็นเวลาทั้งหมด 23 ปี
เรื่องราวที่หนังเล่าจึงเป็นชีวิตครบรสของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งความรัก ความฝัน ความตั้งอกตั้งใจ ความมานะบากบั่น แล้วเธอก็มีใจสู้ สู้ยิบตาอย่างน่านับถือจริงๆ
เรื่องเริ่มจากวัยสาว คาเรนเป็นสาวเดนมาร์กจากครอบครัวมีอันจะกินที่อยากแต่งงานเพราะอยากออกจากบ้าน โดยไม่สนว่าจุดหมายจะเป็นที่ไหน ศรีลังกาหรือออสเตรเลียก็จะไป ขอให้ได้ไป เมื่อคนรักบารอนของเธอไม่ยอมแต่งงานด้วย เธอจึงยื่นข้อเสนอในการแต่งงานกับเพื่อน ซึ่งเป็นน้องชายของคนรัก ผู้กำลังถังแตกว่า แต่งกับเธอเสีย แล้วจะได้เงินไปทำฟาร์มโคนมที่เคนยา
คาเรนแต่งงานและเป็นบารอนเนสในวันที่เดินทางถึงเคนยา แต่เมื่อถึงบ้าน บนโต๊ะดินเนอร์ เธอกลับได้รู้ว่าบารอนผู้สามีเปลี่ยนแผนจากการเลี้ยงวัวนม (ซึ่งเธอคงจะมีทักษะมากกว่า) ไปเป็นปลูกกาแฟ (ซึ่งเธอปลูกไม่เป็น แถมยังไม่เคยมีใครปลูกกาแฟได้ผลดีในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลขนาดนี้มากก่อน) เสียแล้ว
และก่อนที่เธอจะได้หัวเสียกับเขา สามีก็เก็บของออกไปล่าสัตว์ตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้น
เป็นอันว่าคาเรนถูกทอดทิ้งตั้งแต่แรก ต้องแนะนำตัว และทำความรู้จักกับสภาพแวดล้อมแปลกใหม่ด้วยตัวเอง เรียนรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร บริหารจัดการ และแก้ปัญหาในไร่ รวมทั้งดูแลความเป็นอยู่ของคนของเธอให้อยู่ดีมีความสุข มีการศึกษา ซึ่งก็ยังดี เพราะเธอยังมีการช่วยเหลือจากคนรับใช้ชาวพื้นเมืองผู้นับถือศาสนาอิสลามชื่อ ฟาราห์
คาเรนรักชีวิตทิวทัศน์ แสงอาทิตย์ สายลม หยาดฝนในแอฟริกา รักความหลากหลายอันแตกต่างแห่งชาวพื้นเมืองที่อยู่รายรอบตัว เธอรักชีวิตที่นี่ ความรักนี้ของเธอยิ่งใหญ่เสียจนแม้จะถูกชายที่ได้ชื่อว่าสามีทอดทิ้ง หรือประสบโชคร้ายจากการทำไร่กาแฟ เธอก็ยังมีแรงทน ทนที่จะสู้ไป
อีกรักของคาเรนมีให้ชายชื่อ Denys Finch Hatton (Robert Redford) ชายหนุ่มแห่งอิสรเสรีผู้ฉลาดและร่ำรวยอารมณ์ขัน ซึ่งดูเหมือนจะปรากฏตัวในยามหัวใจของเธอต้องการกำลังใจเพื่อให้เดินผ่านพ้นปัญหาเสมอ นับตั้งแต่ครั้งแรก ระหว่างที่เธอรู้สึกอ่อนไหว ไม่มั่นใจ กับดินแดนใหม่ ท่ามกลางแวดล้อมของผู้คนต่างภาษา เธอพบเขาครั้งแรกเมื่ออยู่บนรถไฟสู่ไนโรบี ระหว่างกำลังอ้างว้างเพราะสามีออกจากบ้านทิ้งให้อยู่ลำพังนานวัน เขาก็ปรากฏตัว แล้วมอบนกหวีดเพื่อตอบแทนเรื่องเล่าแสนสนุกที่เธอจัดให้ในค่ำคืนที่เขาและเพื่อนแวะมาค้างแรม เข็มทิศนำทางที่เขามอบให้เมื่อเธอกำลังหลงทางในทะเลทรายกว้างใหญ่แห่งแอฟริกา รวมทั้งทิวทัศน์แสนงามของแอฟริกาจากมุมมองของพระเจ้าที่เขานำเธอไปชม
ใช่แล้ว คาเรนกับเดนนิสรักกัน ตั้งแต่คาเรนยังเป็นภรรยาของบารอนนั้นแน่ะ แต่แม้จะหย่าขาดจากบารอนแล้ว ทั้งสองก็ยังเป็นคู่รัก โดยไม่ได้เปลี่ยนเป็นคู่สมรส
เดนนิสบอกว่า “I’m with you because I choose to be with you” กระดาษแผ่นเดียวไม่ได้ทำให้เราอยู่ใกล้กันมากขึ้น หรือทำให้ผมรักคุณมากขึ้น
ใช่แล้ว แม้จะรักคาเรนแค่ไหน แต่เดนนิสเหมือนมาไซ คือมีชีวิตอยู่ในวันนี้ และจะอยู่ไม่ได้ หากไร้ซึ่งอิสรเสรี
แม้จะทำใจมาตั้งแต่แรก เพราะรู้ และเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายคนนี้ แต่แม้คุณจะเป็นคาเรน นี่ย่อมนับเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ ที่จะทำความเข้าใจได้ว่า...ถ้ารักฉัน ทำไมไม่อยู่กับฉัน ทำไมไม่เคียงข้างฉันในยามที่ฉันต้องการคุณ
ช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน คาเรนตั้งใจจะให้เป็นช่วงเวลาอันสวยงาม มันจึงไม่ถูกรบกวนด้วยการปรับทุกข์ ฟูมฟายว่าราคากาแฟตก ปีนี้ฝนมากไป หรืออีกไม่นานความสวยงามของแอฟริกาจะถูกบุกรุกจากผู้มาเยือน และอาจจะเป็นด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์อันแสนงามนี้ พร้อมๆ กับรอยร้ายของชีวิตในแอฟริกาของคาเรน
ปีสุดท้ายของชีวิตในแอฟริกา เกิดไฟไหม้โรงคั่วและโกดังเก็บเมล็ดกาแฟ ผลผลิตตลอดทั้งปี ในปีที่เมล็ดกาแฟได้ราคาดีวอยวายไปในกองเพลิง คาเรนหมดปัญญาหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยธนาคารแล้ว ไม่มีทางออกสำหรับเธออีกแล้ว นอกจากขายสมบัติทั้งหมด ใช้หนี้ แล้วกลับเดนมาร์ก
ยังเหลือภาระรับผิดชอบยิ่งใหญ่ (ซึ่งทำให้อิฉันน้ำตาตก) อีกเรื่อง คือการหาที่ดินผืนหนึ่ง เพื่อให้ชาวพื้นเมืองที่เคยทำงานให้เธอได้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน คาเรนคุกเข่าลงขอร้องให้ข้าหลวงผู้ดูแลอาณานิคมแอฟริการับปาก แต่ผู้ที่ยืนขึ้นเพื่อรับปากเธอกลับเป็นสุภาพสตรีผู้เป็นภรรยาของท่านข้าหลวง
ถ้าคาเรนจากไปโดยทิ้งแอฟริกาและเดนนิสไว้เบื้องหลัง เธอจะกลับมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนคนรัก และดินแดนที่เธอแสนรักสักครั้งไหมนะ? อิฉันลองคิดดูประสาคนงี่เง่า เพราะว่าเรื่องที่หนังเล่าคือ ทั้งๆ ที่สัญญาว่าจะไปส่งลงเรือกลับเดนมาร์ก แต่คาเรนกลับสูญเสียเดนนิสไปอย่างไม่มีวันกลับ ก่อนหน้าวันที่เขาสัญญาจะมารับนั้นเอง
แทนที่จะเป็นคาเรน ผู้ถูกฝัง ณ เนินเขาที่เธอปรารถนาจะถูกฝังอยู่ (ดังที่คุณได้เห็นในภาพโปสเตอร์) กลับเป็นคนที่เธอรักที่สุดซึ่งทอดกายนอนหลับอยู่ตรงนั้น เพื่อที่จะเฝ้ามองภูมิประเทศแสนงามแห่งแอฟริกาตลอดไป
คาเรนจากแอฟริกาในปี 1931 แล้วเธอไม่ได้กลับมาอีก
เป็นไปตามคำพูดของเดนนิส ที่ครั้งหนึ่งเคยเหน็บเธอ ซึ่งขณะนั้นรู้สึกผูกพันกับสิ่งต่างๆ ในแอฟริกามามาย จนกลายเป็นความทุกข์ เขาบอกว่า
“เราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย
เราแค่ผ่านมาเท่านั้น”
บันทึก
• Out of Africa กำกับโดย Sydney Pollack ยาวประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที ยาวมากๆ แต่ไม่ยักเป็นหนังที่ดูแล้วหลับแฮะ
• หนังเรื่องนี้รวบรางรางวัลมาได้ถึง 28 รางวัล ในจำนวนนี้เป็นออสการ์ 7 รางวัล รวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีรางวัลนักแสดงชาย หรือหญิงยอดเยี่ยมนะจ๊ะ
• ว่ากันว่าสตรีไทยบางคน ซื้อตั๋วเข้าชมหนังเรื่องนี้ซ้ำๆ ถึง 12 รอบทีเดียว
• หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพได้สวยจริงๆ บทดัดแปลงก็เริ่ดมาก จัดน้ำหนักและสัดส่วนได้สมดุลจริงๆ อิฉันชอบไดอาล็อกมากๆ
• เขาจัดบ้านคาเรนน่าอยู่มาก ชอบวีรันดาที่มีเก้าอี้หวายพร้อมเอนกายมากที่สุด
• 14-15 ปีก่อน ป้าสตรีพสวยเหลือเกิน โครงหน้าเธอดูแกร่งสมกับเป็นคาเรน สำเนียงที่ทำให้พูดภาษาอังกฤษไม่ชัดนั่นก็เยี่ยมจริงๆ
• สำหรับโรเบิร์ต เรดฟอร์ด เจ้าของดวงตาสีฟ้าคู่นั้น อิฉันมีความรู้สึกว่าบุคลิกของตัวละครที่พี่แกเล่นนั้น เหมือนในชายกระซิบม้า (The Horse Whisperer) มาก มันนิ่ง เหงา โดดเดี่ยว แต่อ่อนโยน ดึงดูดหัวใจสาวชะมัด ยิ่งเสน่ห์ดึงดูดบรรดาสตรีมีสามีแล้วนี่ ตัวละครสองตัวนี้กินกันไม่ลงเลยนะฮะ (ฮา) เรดฟอร์ดเล่นเป็นเดนนิสได้เด็ดขาดมาก ไม่รู้ถ้าให้คนอื่นเล่น อิฉันจะรู้สึกเคารพความรักอิสระของเดนนิสโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ อย่างนี้ไหม
• ความรู้สึก และความสัมพันธ์ ระหว่างคาเรนและเดนนิสน่าศึกษามาก มันเกิดขึ้นกับชายหญิงที่มีวุฒิภาวะแล้ว ที่เคารพในกันและกัน แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกที่มีต่อกันและกันด้วย
• เชื่อว่า Out of Africa จะเป็นหนังอีกเรื่องที่คิดถึง อยากดู และดูได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ขอบคุณทุกคนมาก ที่ทำหนังเรื่องนี้มาให้ดู
• อยากอ่าน “รักที่ริมขอบฟ้า” เร็วๆ จัง อยากรู้ว่าจะรู้สึกถึงบุคลิกของตัวละครเหมือนกับที่รู้สึกจากในหนังไหม
หนังเรื่องนี้เป็นหนังสุดโปรดของพี่ตลอดกาลเลยค่ะคุณน้อง
ตอบลบหนังสวย ตัวแสดงเยี่ยม เนื้อเรื่องก็คล้ายคลึงกับชีวิตรักของคุณพี่ (สมัยสาว ๆ )
ดูครั้งแรกตกหลุมรักลุงโรเบิรฺด เรดฟอร์ดเลย ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่แล้วก็ยังรักอยู่่
รักแววตาที่นิ่ง ๆ มาดนุ่ม ๆ ของพี่แกมาก ๆ (โชคดีสามีอ่านภาษาไทยไม่ออก)
ดูหนังเรื่องนี้ทีไร สัมผัสได้ถึงความเป็นเดนนิสมาก ๆ (ก็มันเคยเกิดขึ้นกับอิฉันแล้วนี่)
อยากรักให้ได้อย่างคาเรนบ้าง แต่ก็ทำไม่ได้สักที
ขอบคุณมาก ๆ ที่เอามารีวิว
เดี๋ยวไปหาดูฉากซึ้ง ๆ ทางยูทูปแล้วนอนฝันถึงเดนนิสดีกว่า
อ๊ะจ๊าก คอมเม้น รายแรก
ตอบลบคุณพี่คะ คาเรนก็ทำเกือบไม่ได้แน่ะนะ
ตอบลบไม่รู้ดิ พอผจญภัยมามากแล้วผู้หญิงเรามักมองหาจุดจุดนึงที่จะตั้งหลักมั้ง
ไม่รู้ผู้ชายเค้าคิดกันยังไงเนอะ
มาคนแรกก็มาเจิมไงคะ
^_^
ตอบลบเป็นหนังที่ชอบมากครับ ^ ^
อินขนาดนี้ พนันว่าอีกหน่อยเวลาขึ้นเครื่องบิน มองลงมาข้างล่าง จะนึกถึงธีมสกอร์ของหนังขึ้นมาทีเดียวเชียว
ตอบลบแหม๋ๆๆ
ตอบลบวิวข้างล่างมันเหมือนแอฟริกาซะเมื่อไหร่ล่ะ ตัวเอง
เหมือนเคยดูแล้ว แต่ ต้องไปหามาดูใหม่
ตอบลบเราแค่เดินผ่านมาเท่านั้น
เห็นนกกระยาง ก็คิดว่าเป็นฟลามิงโกละกัน
ตอบลบได้ดูหนังเรื่องนี้เมื่อนานม๊ากกกก
ตอบลบสมัยยังเด็ก....
ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมใคร ๆ ถึงยกย่องหนังเรื่องนี้กันนัก
ลืมไปแล้วนะเนี่ย
สงสัยต้องไปงัดมาดูใหม่
อ่านหนังสือก็ได้ความรู้สึกเริ่ดมากๆ เลยยุ้ย
ตอบลบเมื่อก่อนหนังสือแบบนี้อ่านไม่ไหวนะ
ดีเหมือนกันเนอะ
แก่แล้วดูอะไร อ่านอะไรอินกว่าตอนเด็กๆ เยอะเลย
ใช่ ๆ ตอนนี้หนังสือบางเล่มหยิบมาอ่านใหม่
ตอบลบกลับเข้าใจอะไร ๆ เยอะขึ้น
สงสัยเราจะผ่านโลกมาเยอะขึ้นนิ
มี field of experience เยอะ
ตอบลบ(กว่าตอนยังเด็ก)
^_^
แก่พรรษา..ว่างั้นเหอะ
ตอบลบฮ่า ฮ่า
เหี่ยวอย่างมีคุณค่า
ตอบลบbecause I worth it
หุ หุ
อ๊ะ...
ตอบลบอย่าเพิ่งเหี่ยว...เด๋วจะก่อนวัยอันควรนะ :P
ได้ดูแล้วเหมือนกันค่ะ ชอบฉากตอนที่เรดฟอร์ดมารับป้าสตรีพขึ้นเครื่องบิน
ตอบลบภาพสวยมาก เพลงก็เพราะมากๆเหมือนกัน
^_^
ตอบลบหนังเรื่องนี้ช่างจับใจผู้หญิง
ไม่รู้จะมีผู้ชายชอบมั่งไหมเนอะ
คาเรนเก่งและเข้มแข็งมาก การยอมรับอิสระที่เหมือนสายลมของคนรักเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากๆๆๆๆ ถึงมากที่สุด เพราะเมื่อถึงเวลานึงที่ถึงจุดพีคจนเราต้องร้องบอกว่า "ทำไมคุณไม่เคยอยู่กับชั้น เวลาที่ชั้นต้องการ เวลาที่ชั้นไม่ไหว" เวลานั้นมักจะเป็นจุดแตกหักของความสัมพันธ์แบบสายลมเย็น
ตอบลบคาเรนควรจามีหนุ่มอีกคนไว้ถ่วงดุลนะ พี่ว่า
ตอบลบอิ อิ
คาซาบลังก้าก็เป็นหนังรักอีกเรื่องที่พูดถึงประเด็นเรื่องความรักอิสระของพระเอกของเรื่องนะ
ตอบลบกระทั่งเมื่อดูๆ ไป ถึงรู้ว่าไอ้นี้มันเต๊ะ ทำเท่เพราะคิดว่าถูกหญิงหักอกมา ทั้งที่จริงหญิงก็รักน่ะแหละ
แต่หน้าที่ความรับผิดชอบต่ออุดมการณ์ที่มอบให้ผู้ชายอีกคน ซึ่งเขา "มาก่อน" ก็ทำให้เธอเลือกที่จะทิ้งเขาไปที่ปารีส
และไม่คิดจะกลับมาเจอกันอีกที่ คาซาบลังก้า
เป็นหนังรักขาวดำเรื่องแรกที่ดู แล้วโคตรชอบเลย
เพราะในความโบราณ มันคลาสสิคสุดๆ
ลองไปหามาดูซะนะ คุณม้อย
หรือว่าดูแล้ว?
ความรัก ความใคร่น่ะ มันมีเส้นบางๆ ไอ้ที่เีรียกว่า รัก หนักหนา
ลองให้ผจญความลำแบกสุดแสน ก็สั่นคลอน และในที่สุดก็จะเป็นตัวชี้วัดเอง
ว่ารักที่แท้ นั้นเสียสละได้
อ้อ พูดถึงป้าเมอรีล สตีฟ เนี่ยนะ ได้ดู สะพานรักสารสิน เอ๊ย แมดิสันเคานท์ตี้มั้ย?
ที่เล่นกับลุงอิสต์วู้ด นั่นก็ดีนะ แต่หนังสือห่วย ว่าตามที่สตีเฟ่น คิงก์บอก
เข้ามาบ่นอะไรเนี่ย ไม่รู้เรื่องเลย
ขอโทษด้วยนะคุณชะมดม้อย
ดูแล้วย่ะ
ตอบลบทั้งสองเรื่องเลยด้วย
ทำไมคิดว่าเรายังไม่ได้ดูสองเรื่องนั้นล่ะ
เพราะว่าเราเพิ่งได้ดู Out of Afica งั้นหรอ?
มีหลายอย่างที่ไม่อาจลืมได้ As Time Goes by
ตอบลบหน้าสวยๆ ของ Ingrid Bergman (พระเจ้า โครงหน้าผู้หญิงคนนี้เข้ากะโทนขาวดำชะมัด)
มาดเท่ๆ เสียงทุ้มๆ ของ Humphrey Bogart
แล้วก็ฉากในสายหมอก ที่สนามบิน
ว่าแล้วเดี๋ยวหามาดูอีกรอบดีก่า
The Bridges of Madison County ดูแล้วน้ำตารินว่ะน้า
บ่นได้ก็บ่นไปเหอะ
ตอบลบเออ เราคิดว่าไม่ใช่ว่าเพราะรักแท้ ถึงเสียสละได้ หรอกนะ
แต่ความรักจริงๆ มันคือการรัก โดยไม่หวังว่าจะได้รับตอบตะหาก
เมื่อไหร่เริ่มหึง เริ่ม expect เริ่มระทมที่เห็นคนที่เรารักลั้นลากับคนอื่น
ก็ให้ทบทวนได้แล้ว ว่าเรารักเขาจริงไหม
หรือที่จริงรักตัวเองมากกว่า
อิ อิ
ความรักแบบที่คุณว่า ไม่มีอยู่หรอก อย่างนั้นเขาเรียกว่า "เมตตา"
ตอบลบhttp://juziang.multiply.com/journal/item/350/350?replies_read=42
เป็นข้อเขียนที่ใช้ได้ทีเดียว ในเรื่องมุมมองของรักแล้วแต่ลั้นลากับคนอื่น
ดูหนังและอ่านหนังสือเรื่องนี้สามครั้งแล้วค่ะ
ตอบลบ..
ชอบมากกกกกกกกกกก
หนังสือ อ่านภาษาอะไรจ๊ะ?
ตอบลบอะไรที่เราไม่เคยเห็น ไม่มี ทำไม่ได้ แปลว่ามัน "ไม่มีจริง" งั้นหรือ
ตอบลบอย่างนี้ต้องไปอ่านโลกจิตซะก่อนนะจ๊ะ
ความรักเป็นเรื่องปัจเจก และใช่เช่นกัน.. มันออกแบบไม่ได้
รักของใครก็รักของมัน
และใช่เช่นกัน...กรรมของใครก็ของมันนะจ๊ะ