วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มันนานมาแล้ว






...ที่คุณผู้ชายเขาเริ่มมีความสนิทสนมกัน








(ภาพจากฝาผนังในพระวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ หมือนอัลบั้มก่อนหน้านี้)


วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว





ภาพชีวิตที่ถูกบันทึกไว้บนฝาผนังพระวิหารลายคำ
วัดพระสิงห์ เชียงใหม่

บุญมีแต่กรรมบัง



งามจับตา





22 ธันวาคม 2552

เหมือนๆ ว่าบุญจะมี แต่กรรมมันบัง
เคยอาศัยเชียงใหม่เป็นบ้านเป็นอู่เป็นสิบปี
จนย้ายจากไปจะครบยี่สิบปีแล้ว กลับมาแอ่วบ้านเพื่อน (เรียกอย่างนี้ถูกต้องมากกว่า "มาเที่ยวเชียงใหม่) ในปีนี้ กรรมที่บังตาอยู่เหมือนจะจางไป เลยได้ก้าวเข้าวัดพระสิงห์เป็นครั้งแรกในชีวิต

สายวันอังคารธรรมดาๆ นั้่น แดดอุ่นของฤดูหนาว จับอยู่ที่วิหารลายคำหลังน้อย
ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่งดงาม
สมกับถูกสร้างโดยศรัทธาของสล่าผู้ช่างชาญฉลาด ประณีตในการตกแต่งภายใน เพียรพยายามในการวาดเรื่องเขียนลาย บันทึกวันเวลาบางเสี้ยวลงไปบนฝาผนัง

ยังมีสิ่งหนึ่งที่จับตาฉัน คืออัจฉริยภาพในการออกแบบแสง

พระพุทธสิหิงค์งามจับตา

ได้กราบแล้วมีความรู้สึกว่ามีผู้คุ้มครอง

ออกจากวิหารลายคำเลยกล้าโทรไปคุยธุระสำคัญที่จดๆ จ้องๆ มานาน
ว่าจะโทรดีไม่โทรดี
โทรเมื่อไหร่ดี แล้วพูดยังไงถึงจะดี
พูดยังไงให้จบดีๆ




กราบพระพุทธสิหิงค์แล้วกล้าหาญอย่างนั้นกระมัง

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

26 ธันวาคม-วันนี้ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว คุณทำอะไร อยู่ที่ไหน?

ข้าวซอยเสมอใจ-ชวนใจเต้น





วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2552

วันสุดท้ายในเชียงใหม่

เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าวซอย เพื่อนๆ จึงพาไปกินข้าวซอยเจ้าดังที่อยู่ไกลถึงวัดฟ้าฮ่าม
จาก มช. ต้องวิ่งซูเปอร์ ข้ามแม่น้ำปิงไปโน่น

ร้านนี้คงดังจริง คนเยอะม้ากกกกกกกกกก
มากจนเขาต้องขายคูปอง แล้วเราก็ต้องไปเข้าคิวสั่งอาหารที่ต้องการเอง
คนก็เยอะจนเบียดเสียด เข้าไปแล้วก็ต้องรีบหาโต๊ะเหมือนตอนลงไปกินข้าวเที่ยงตอนเที่ยงเป๊ะยังไงยังงั้น พอเจอโต๊ะแล้วก็ต้องให้เพื่อนนั่งจองคนนึง ที่เหลือออกไปซื้อของกินมา

แบ่งหน้าที่กันทำ ไม่งั้นจะไม่ได้กินเสียที

ก็ตื่นเต้นดี สนุกดี (นักท่องเที่ยวจะสนุกไหม) แอบเครียดเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะมาเจอแบบนี้ (แบบว่ากะมาวีนเด็กเสิร์ฟเต็มที่)

รสชาติข้าวซอยเขาก็โอเค เลี่ยนน้อยกว่าข้าวซอยอิสลามเจ้าดังที่มากินคราวก่อน (แต่ผักกาดดองไม่อร่อยเท่าเจ้านั้นนะ) แต่ถ้ากินช้าเกินไปมันจะเค็มนิดๆ

ยังสงสัยว่า ถ้ามีเวลานั่งดีๆ สั่งดีๆ กินดีๆ ได้กินทันทีที่มันมาเสิร์ฟ
ข้าวซอยร้านนี้จะอร่อยกว่านี้ไหม

ป.ล. น้ำส้มสายน้ำผึ้งคั้นสด (ขวดละ 10 บาท) แช่เย็นจัด ที่ขายอยู่หน้าร้านอร่อยมาก


วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กุ้งเหลือทำอารายดี




มาม่ากุ้งแม่น้ำสำหรับคนโสด
(เลยต้องกินกุ้ง 2 ตัว)




สายๆ วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๒


ออกแรงเยอะทั้งคุณแม่และผู้ช่วยคุณแม่ จึงเกิดความหิวอย่างมหาศาล
อะไรจะดีไปกว่าต้มมาม่าใส่กุ้งแม่น้ำที่เหลือตกค้างจากปาร์ตี้ย่างกุ้ง รับขวัญตั้งแต่คืนแรกที่ฉันมาถึงเชียงใหม่

Mike's : คนเชียงใหม่ลองหรือยัง






Mike's เบอร์เกอร์บนถนนนิมมาน
ไม่ได้ตั้งใจจะแวะ แต่จะไปหาน้าชาน้าต้นกะแพตตี้ที่ร้านกู เลยแวะจอดรถในซอยนี้
แล้วลุงสอโทรมาบอกบุตรสาวว่าอยากกินเบอร์เกอร์พอดี

ไม่ได้ชิม ไม่รู้อร่อยไหม
ใครชิมแล้วบอกหน่อยสิ

โดมเคียงเดือน






พุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒



เย็นวันที่ท้องฟ้าฝั่งวังหลังสีจ้าจับใจ
เราได้กลับไปในสถานที่ที่คุ้นเคย
พร้อมกับคนที่ค่อยๆ คุ้นกันมากขึ้นทุกวัน



วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : แมวตัวเดียวในเชียงใหม่




พอกดชัตเตอร์เสร็จ มันก็วิ่งจู้ด




อังคารที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒

มาเชียงใหม่ตั้งหลายวัน เจอแมวตัวเดียว คือตัวนี้
ที่ชั้น ๓ ตึกที่อุ๊แอ น้องสาวเอ๋ทำงาน
(เรียกว่าไรหว่า)

มันเป็นแมวตัวผู้ ที่เปรียว แล้วก็ไม่คุ้นคน

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สีป่าหน้าแล้ง




ธันวาคม 2552

มาเชียงใหม่เป็นครั้งที่สองของปี

หน้าหนาว ป่าแถบภาคเหนือจะเปลี่ยนสีสัน
ใบไม้ที่เคยแข่งกันเขียวชื่นตาในเฉดต่างๆ จะพากันคายน้ำ แห้งเหี่ยว
สุดท้ายก็ทิ้งตัวลงจากก้านกิ่ง

ต้นไม่ลดการคายน้ำในหน้าแล้ง
คนเราเมื่อร้องให้พอแล้วก็ควรรู้จักประหยัดน้ำตาไว้บ้าง

วันรุ่งขึ้นตาจะได้ไม่แห้งจนทำให้เจ้าตัวเจ็บ

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Nasi Jumpru : ของเขาดีจริง



ปอเปี๊ยะแฮมชีส

ช้อบชอบ
หอมทั้งแฮมทั้งชีส



อาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓

มีนัดไปเจอกับรุ่นพี่ที่บิ๊กซีหางดง (ที่เดียวกับที่ไปกินเคเอฟซีก่อนไปเยี่ยมแตงเมื่อวันวาน)
เจอรุ่นพี่แล้วก็พากันไปหาตุ๊ลุงที่วัดวัวลาย
ไปโรงพยาบาลหางดง แล้วก็หาข้าวกินกัน

จดที่อยู่ร้าน นาซิ จำปู๋ ที่อุ๊เคยแนะนำไว้ในบล็อกมา
เอ๋บอก สบาย หาไม่ยาก

ร้านนี้หาไม่ยากจริงๆ ถ้ามาจากในเวียง วิ่งเส้นเชียงใหม่-พร้าวที่จะไป ม.แม่โจ้
จะผ่านตลาดรวมโชค (มีริมปิงบิ๊กเบิ้มมาก) ทางซ้ายมือ จากตลาดรวมโชคนี้ ให้ไปกลับรถที่ยูเทิร์นที่สอง แล้วก็สังเกตซ้ายมือเอาไว้

นาซิ จำปู๋๋ จะเป็นร้านที่เดิ้นๆ เก๋ๆ ตั้งอยู่โดดเด่นในย่านนั้น
ร้านเขาแต่งสวยแบบตั้งใจแต่งให้สวย
แต่สวยแบบไม่มาก ไม่น้อย

ราคาก็ไม่น้อยหรอก สมกับรสชาติของเขาน่ะ

ไปกินกันสักสี่คนกำลังดีนะ ได้ชิมหลายๆ เมนู ในราคาที่หารแล้วไม่แพงเกินไป



สอบถามเส้นทางและรายละเอียดอื่น โทร. 053 345362
nasijumpru@hotmail.com

...อรุณสวัสดิ์






ศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒


สีสันของเช้าวันนั้นทำให้อยากกล่าวอรุณสวัสดิ์กับใครบางคน
ที่ไม่ได้มาด้วยกัน

เรื่องแม่-แม่




ประสบการณ์ของผู้โดยสารนั้นยากจะแบ่่งปัน



ธันวาคม ๒๕๕๒

มาเชียงใหม่คราวนี้เหมือนว่าจะมาเที่ยว
แต่ไปๆ มาๆ เหมือนว่าทริปนี้้ของคนเกลียดเด็กอย่างฉัน กลายเป็นทริปตามติดชีวิตแม่ และ(ว่าที่)แม่ไปซะงั้น



วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปาร์ตี้รียูเนี่ยน กับเนียน๑ และเนียน๒



มาถึงก็โซ้ย

กุ้งแม่น้ำ ๓.๕ กก.
ปลาหมึก ๑ กก.
หอยแครง ๒ กก.
เบคอนประมาณ ๑ กก. ไม่รวมหมูสามชั้นแล่บาง (ทำเนียนว่าเป็นเบคอน)

กินไปได้สักครึ่งนึงเองง่า

เอ๋เก็บค่าเสียหายแค่คนละ ๒๐๐ บาทเองง่า (เดี๋ยวพรุ่งนี้ให้รุ่นพี่เลี้ยงข้าวละกันนะแกร)





ศุกร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒

เดินทางมาถึงเชียงใหม่เป็นครั้งแรกในรอบปี
เพื่อนสาธิตที่รู้กันมา....(กี่ปีแล้ววะ?) เลยจัดปาร์ตี้กุ้งย่างเป็นการรับขวัญ

ไม่คิดว่าจะมีแขกมา surprise ตอนดึกๆ ด้วย

ป.ล. เราไม่เม้าธ์กันในนี้นะ โอเคมะ?


หนาวฝน




บางคนทั้งหนาว และเหงา




คืนวันเสาร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒

ฝนหน้าหนาวตกระหว่างทางไปแม่ริม เชียงใหม่
บางคนเปรยว่า พรุ่งนี้จะหนาวขึ้น

ฉันว่าฉันเริ่มหนาวตั้งแต่เห็นละอองฝนแล้ว

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ไหว้พระธาตุวัดสวนดอก






ศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒


รถไฟมาถึงเชียงใหม่เวลา ๑๓.๐๐ น. ช้าไปแค่ ๑๕ นาที

เพื่อนมารับแล้วพาไปกินก๋วยเตี๋ยวโบราณ (ตรงไหน?)
แล้วไปส่งฉันไปวัดสวนดอก


เราทำได้ : หมวกถวายพระ



เสร็จที่ลำพูน

อย่างเฉียดฉิว



พฤหัสบดีที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒

หลังจากรีดอะดรีนาลีนทุกหยดออกมาทำงานส่งจนทัน ก็ลากสังขารไปขึนรถด่วน(สายเหนือ)ขบวนสุดท้าย ไปเชียงใหม่

ไปเชียงใหม่คราวนี้ คุยกับเพื่อนว่าจะถักหมวกไหมพรมไปถวายพระกัน
ก็สามารถทำจนเสร็จบนรถไฟ

ถ้าไม่ได้ไปมีเคืองนะเนี่ย...คุณเพื่อน

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความคิดถึงเดินทางมา : โปสการ์ดเรียกยิ้ม




วาดรูปได้นิดหน่อย
แต่เขียนตัวหนังสือน่ารักดี

การ์ตูนตัวนี้ดูมีจริตจก้านน้อยกว่าตัวตะกี๊้

ลายเส้นเลหนักแน่นมากเลยนะ

แล้วยัยผมหยิกที่อยู่ในการ์ดนี่คือม้าน้อยชิมะ?




อังคารที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒

กลับบ้านดึก วันนี้อย่างเหนื่อย
แต่พอเปิดตู้จดหมายแล้วยิ้มออก

ขอบคุณเด็กหญิงทะเลและลุงป๊อก (ของเด็กหญิงทะเล)


ขอบคุณที่ทำให้ลืมว่าวันนี้เหนื่อยค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

9 ½ Weeks : พิกัดสมดุลในความสัมพันธ์

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

แม้จะเป็นความสัมพันธ์ของคู่รัก แต่นอกจากความรัก ความพิศวาสแล้ว คงต้องมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ประกอบด้วย ความสัมพันธ์จึงจะราบรื่น ลงตัว

ก็เรากับคู่รักไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่แต่บนเตียงนี่นา

ดูอย่างคู่รักใน 9 ½ Weeks (1986) ซิ บทบาทบนเตียงของเอลิซาเบธกับจอห์นออกจะเข้ากันได้ดี๊ดี ฝ่ายหนึ่งให้อีกฝ่ายก็รับ ฝ่ายหนึ่งรุก อีกฝ่ายก็รับ ดูออกจะเติมกันได้เต็มขนาดนั้น แต่แล้วทำไมเรื่องถึงจบได้เหงาแบบนั้นล่ะ?

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนเหมือนจะเข้าใจกันแล้ว (หรือจริงๆ ไม่เข้าใจกัน) เหมือนสองคนจะรักกันมาก (หรือจริงๆ ไม่มากพอจะให้อภัยกัน) เหมือนสองคนจะขาดกันไม่ได้ (หรือที่จริงแล้วมีฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บปวดกับการทนอยู่ร่วมเตียงกัน) และทั้งๆ ที่สามารถหยุดยั้งคนรักที่กำลังจะจากไปได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พยายามจะทำ

ฉันยังไม่เข้าใจอีกว่าทำไม? ทั้งๆ ที่ต่างก็เป็นคนที่ชีวิตนี้จะหาใครที่รู้สึกแบบนี้ด้วยไม่ได้อีกแล้ว แต่ความรักอันดื่มด่ำที่มีต่อกันนั้น ไม่มากพอจะกลบทับความเจ็บปวดในใจได้มิดเมี้ยน เหมือนมันไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้นเลยหรือ?

ช่างเป็นการเล่าเรื่องรักที่ถ่ายทอดความร้อนแรง ยั่วเย้า ทุรนทุราย เป็นความสบสนชนิดที่ยากจะหาจุดพิกัดที่สมดุล เหมาะสมลงตัว สมกับเป็นเรื่องราวของความรักจริงๆ



หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีประเด็นมากนัก แต่เป็นหนังเล่าเรื่องรักที่สวยแบบมีรายละเอียดล้นเหลือ
สมควรแก่การหามาเสพให้ซึ้งถึงอรรถรสกันเอาเอง




หมายเหตุ:
• 9 ½ Weeks (1986) สร้างจากบทประพันธ์ของ Elizabeth McNeil เป็นหนัง Erotic Drama เรื่องดังที่ไม่เมคมันนี่ตอนฉาย แต่ชื่อเสียงของหนังยังกระฉ่อนอยู่อีกนานในรูปของวิดีโอ (ใช่ วิดีโอแบบที่เป็นตลับๆ น่ะ)
• ไม่ได้กระฉ่อนเพราะมันโป๊อล่างฉ่างนะ (ห่างไกลคำนั้นมาก) แต่คงเป็นเพราะมันเป็นหนังอีโรติกที่สวยงามมากกว่า คิดดูสิ ปี 1986 กับการสร้างภาพด้วยแสงอย่างนั้น มุมกล้องอย่างนั้น ไหนจะเพลงอีก
• อีกอย่างที่น่าจะทำให้คนชอบกันมากน่าจะเป็นเพราะฉากรักที่แหวกแนวธรรมเนียมประเพณีน่ะ เหมือนกับว่าไม่ว่าคุณจะเคยมีจินตนาการทางเพศหวือหวา ตื่นเต้นแค่ไหน ตัวละครในหนังเรื่องนี้ทำมันทั้งหมด อย่างนั้นเลย
• เป็นงานที่ล้ำยุคมากๆ
• บางคนเขาจัดให้หนังเรื่องนี้เป็น Erotic Sadomasochistic สำหรับฉัน ฉันว่านี่เป็นหนังซาโด-มาโซ ที่เจ็บปวดได้วิจิตรเหลือเกิน
• นอกจากนี้มันเป็นหนังที่เป็นหลักฐานการมีอยู่จริงของยุค’80s ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม แฟชั่น แสง เงา และดนตรี เห็นแล้วอิ่มในใจ บอกไม่ถูกอะ
• Kim Basinger นักแสดงอดีตนางแบบเล่นหนังเรื่องนี้ตอนอายุ 32-33 สวยจนไม่รู้จะสวยยังไง สวยทั้งหน้า รูปร่างอิ่มเอิบโดยไม่อ้วน สมส่วน เย้ายวน ริ้วรอยยามแย้มยิ้มที่ไปกันได้กับกริยาแห่งวัย ..สาววัยสามสิบกว่าสวยอย่างนี้เอง
• อย่างเดียวในตัว คิม เบซิงเกอร์ (วิกิฯ บอก pronounced /ˈbeɪsɪŋər/ BAY-sing-ər,) ที่ฉันเห็นว่าไม่สวย ก็คือมือ เธอเป็นผู้หญิงสวยที่มือบึกมาก นิ้วใหญ่ เส้นเลือดปูดโปนได้อีก อ้อ อีกส่วนที่(จำขี้ปากคนอื่นมา)ไม่สวยคือ หนังตา มีคนวิจารณ์ว่าคิมมีหนังตาห้อยย้อย มันตก ไม่สวย ไม่รู้สิ ฉันว่าในวัยนั้น บวกกับการเมคอัพเปลือกตาอย่างนั้น เธอดูเซ็กซี่จะตายไป (อีกอย่าง สมัยนี้เค้าทำกันได้สวยเนียนแบบสบายๆแล้วหนิ)
• สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้คือ โหนกแก้ม รูปหน้าคิมสวยมาก จมูก รับกับปาก และฟัน (อาจจะครอบมา ตามฟอร์มดาราฮอลลีวูด แต่ก็โอฯ อะนะ) ขา สะโพก แล้วก็นม เป็นนมที่น่าอิจฉามาก ทำยังไงก็ไม่มีทางสวยเป็นธรรมชาติได้อย่างนั้น
• Mikey Rourke ตอนหนุ่มช่างมีแววตากับรอยยิ้มเย้ายวนเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่า 20 ปีต่อมา เขาจะกลายเป็นอย่างนั้นใน The Wrestler (2008) ไปได้ (http://en.wikipedia.org/wiki/The_Wrestler_(2008_film))
• จอห์นเป็นตัวละครที่เป็นชายในฝันของหลายคน รวย เปย์ ขี้เล่น ชอบเอาใจ ทำกับข้าวเก่ง ร้อนแรง ยั่วยวน แล้วก็สร้างสรรค์ แต่ผู้ชายแบบนี้ไม่มั่นคงอย่างแรงเลย น่ากลัวที่สุด (ฉันขอแค่คนธรรมดาที่ทำกับข้าวเก่งก็พอ)
• ซีนที่อีโรติกมากๆ คือ ฉากปิดตาส่องไฟ (เสื้อเธอบางน่ะ ), ตอนปิดตาป้อน, ฉากเริงรักที่บันได กลางสายฝน ส่วนฉากที่เอลิซาเบธเต้นระบำเปลือยนั่นแสงสวยมาก แล้วก็เป็นฉากที่ดูแล้วได้อารมณ์ที่ไม่ใช่อีโรติก แต่เป็น “ความรักและสนิมสนม” ...รักฟิลลิ่งนี้จัง
• ขอขอบคุณจูเนียร์ มายเวิลด์ สปอนเซอร์หลักที่ให้การสนับสนุนการเปิดหูเปิดตามา ณ ที่นี้ (มีอีกหลายเรื่องที่อยากเขียนถึง ให้เวลาเจ้หน่อยนะคุณน้อง)



ประตูที่ปิดตาย

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:กฤษณา อโศกสิน

ระหว่างอ่านนิยายเรื่องนี้ ฉันถามตัวเองว่า เราควรใช้เวลาทำความรู้จักกับคนคนหนึ่งนานสักแค่ไหนกัน จึงจะสามารถตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาได้

ฉัน ผู้เกิดในปีพ.ศ. หลังปีที่นิยายเรื่องนี้เขียน อ่านแล้วให้รู้สึกฉงนแกมดูแคลนยัยจิลลา นางเอกของ “ประตูที่ปิดตาย” พิลึก

ตามเรื่อง กฤษณา อโศกสิน เล่าว่า จิลลา สาว (ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องมีสร้อยต่อว่า “น้อย”) วัย 24 เลือก (จากผู้ชายที่มาติดพันอยู่2-3 คน) นพี หนุ่มใหญ่วัย 36 นักเรียนนอกสุดเพียบพร้อม คือทั้งหน้าตาหล่อ รวย มีนามสกุล แต่งตัวดี สะอาดสะอ้าน หน้าที่การงานเริ่ด ผ่านผู้หญิงมาไม่น้อย แต่ก็ยังรักษาความโสดไว้ได้

คุณสมบัติอีหรอบอย่างข้างบน ถ้าหลุดมาปรากฏในโลกทุกวันนี้ คนเล่าสาธยายยังไม่ทันจบ คงไม่แคล้วโดนคนถามแทรกอย่างรู้ทันว่า “เกย์ล่ะสิ ” แต่ไม่หรอก ยัยจิลลาไม่คิดเลยว่าคนรักที่แสนเพียบพร้อมของตัวเองจะไม่ชอบผู้หญิง หล่อนคิดว่าเขาเป็นผู้ชายเพอร์เฟคท์

ด้วยความใส จิลลาคิดว่านพีรักษาความโสดไว้เพื่อรอหล่อน (อพิโถ่-อพิถังเอ๊ย) ตื่นเต้นกับรูปที่ปรุงมาเสียสวยของ “ผู้ชาย”คนนี้ได้ไม่นานเธอก็ปักใจเชื่อว่า นี่แหละ ใช่แล้ว-แต่งเลย โดยไม่ได้ทำฉุกใจ คิดทำการ test run หาข้อบกพร่องกันเสียก่อน

เริ่มมาจับความเอาว่า เฮ้ย ผัวฉันทำไมแปลกๆ ก็เมื่อผัวไม่ค่อยเต็มใจยอมทำการบ้าน (ไหนเคยคุยว่าผ่านมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ผมไม่อยากยกย่องเชิดชูใคร) ไหนเพื่อนๆ บอกว่าให้เตรียมใจรับศึกหนักช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์ยังหวาน แต่ไม่เห็นมีอะไรเลย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ออกจะสวย ทั้งยังสาวยังแส้ ยังเต่งตึง แต่งชุดนอนบางเบา สวยเซ็กซ์ เอ็กซ์ก็ปานนี้ ผัวยังได้แต่นอนกอด แล้วก็จูบหน้าผากทีนึงก่อนพลิกตัวหันหลังให้

จนในที่สุดก็ต้องยอมรับความจริงว่า ผัวตัวเองไม่ได้ชอบมีอะไรกับผู้หญิงเท่าไหร่ ที่ชอบมากเป็นชีวิตจิตใจชนิดขาดแล้วจะแห้งแล้ง เหี่ยวเป็นบัวแล้งน้ำน่ะ คือการมีอะไรกับผู้ชายตะหาก

มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ดื้อแพ่ง ชอบเอาชนะ แม่จิลลาคนสวยเองก็มีคุณสมบัติข้อนี้ไม่น้อยกว่าคนอื่น หล่อนยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบนของสามีได้ ก็เลยยอมปล่อยตัวมีลูกกับเขาอีก (โง่จริงเธอ)

นิยายเรื่องนี้จะจบยังไง? จิลลาอาจจะสงสัย และแอบมีความหวัง (ว่าประตูยังไม่ถูกปิดตาย)

แต่ฉันเชื่อว่าถ้าจิลลาเกิดช้าเท่าพวกเรา เธอคงรู้ตอนจบโดยไม่ต้องเดา
และหวังว่า ถ้าเธอเป็นสาวยุคเดียวกับพวกเรา คงใช้เวลาทำความรู้จักกับผู้ชายให้ดีกว่านี้ ไม่รีบด่วนมีสามีโดยที่เธอและคนรักยังคงเป็น “คนแปลกหน้า” บนเตียง

(ถ้าเธอรู้ตัวว่าชอบมีอะไรกับผู้ชาย อย่างน้อยที่สุดก็ควรแน่ใจว่าผู้ชายของเธอก็ชอบผู้หญิง ไม่ใช่ “ผู้ชาย” และไม่ใช่ “บางครั้งผู้ชาย บางครั้งผู้หญิง”)

คนเป็นเกย์สมัยนี้แทบจะหลอกผู้หญิงไม่ได้แล้ว และส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมหลอกด้วย เพราะเขายอมรับนับถือตัวเองกันมากขึ้น (สังคมก็เหมือนจะยอมรับเขามากขึ้นด้วย) เปิดเผย และเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ส่วนผู้หญิงสมัยนี้ก็มองได้เก่งขึ้นว่าผู้ชายคนไหน “แท้” คนไหน “ไม่แท้” ผู้หญิงที่ถูกเกย์หลอกให้แต่งงานด้วยเพื่อภาพลักษณ์จึงมีน้อยลง



นอกเสียจากว่าเธอคนนั้นจะเข้าใจ และยอมแต่งด้วย เพราะข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง




หมายเหตุ:
• กฤษณา อโศกสิน เขียนนวนิยายเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2517 นานมากแล้ว ผู้คนยังไม่รู้จักคำว่าเกย์กันเลยมั้ง ตอนนั้น เชื่อว่านอกจากจะมีเกย์ที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง ไม่ยอมรับตัวเองแล้ว ก็คงมีผู้หญิงโดนเกย์หลอกแต่งงานด้วยไม่ใช่น้อย การเขียนถึงหัวข้อนี้จึงเป็นอะไรที่กล้ามาก ฉันรู้สึกนับถือนักเขียนท่านนี้มาก ช่างเป็นประเด็นที่แสนจะล้ำยุค จนปัจจุบันก็ยังทันสมัยอยู่เลย
• ฉันคิดอยากอ่านนิยายเรื่องนี้มาเป็นสิบปีแล้ว แต่เพิ่งมาสอยฉบับพิมพ์โดยประพันธ์สาส์น (ลดราคา) ในงานสัปดาห์หนังสือที่เพิ่งผ่านมานี้เอง
• (ปกเฉิ่มไปหน่อยเนอะ)
• อ่านแล้วไม่ผิดหวังเลยจริงๆ นอกจากไลฟ์สไตล์ของตัวละครและฉากแล้ว การอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ให้อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเชย หรือตกยุคแม้แต่น้อย
• ฉันยังไม่เคยแต่งงาน แต่ฉันไม่ชอบเลย เวลาที่คนพูดว่าการแต่งงานก็เหมือนซื้อหวย ฉันกำลังบอกคุณว่า อย่ายอมรับชะตากรรมหลังแต่งงานเพราะเชื่อว่าการแต่งงานก็คือการซื้อหวย แต่จงเลือกคนที่จะแต่งงานด้วยเหมือนเลือกซื้อรถ ไม่ว่าจะซื้อมือแรกหรือมือสอง ถ้าไม่ลองคุณจะรู้ได้ไงว่ารถคันนี้วิ่งดี
• เซ็กซ์ก่อนแต่งอาจไม่ช่วยการันตี 100% ว่าเขาไม่ใช่เกย์ เพราะเขามีความสุขกับคุณได้ อย่าลืมว่าผู้ชายบางคนนั้นมีความสุขได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย แต่เซ็กซ์ก่อนแต่งจะให้ข้อมูลสุดสำคัญกับคุณหลายอย่าง อย่างเบๆ เลยคือคุณจะรู้อุปนิสัยของฝ่ายตรงข้าม ความอดทน การให้เกียรติ การปรนนิบัติเอาใจ ความอ่อนหวาน สัญชาตญาณ ฯลฯ ซึ่งสิ่งสำคัญที่คุณควรสนใจเป็นพิเศษคือ แรงดึงดูดที่มีต่อกัน และความเข้ากันได้ (หรือไม่ได้)
• การหาความสุขทางเพศของผู้หญิงเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงผู้ชายมากขนาดนั้น (ฉันเปล่าเป็นเฟมินิสต์) ดังนั้น ถ้าโลกนี้ไม่เหลือผู้ชายที่ดีพอจะเป็นสามีของคุณก็อย่าได้แคร์ เกย์เป็นเพื่อนที่ดีของผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้หญิงบางนางเสียอีก อันที่จริง ฉันเชื่อด้วยว่าผู้หญิงกับเกย์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ เพียงแต่คุณต้องออกแบบวิธีการใช้ชีวิตในแบบของคุณเท่านั้น
• สุดท้ายนี้ อยากให้มนุษย์ทุกเพศมีชีวิตอย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียน และไม่แย่งชิงกัน (โอม...จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มาแย่งสามีของฉันไปเลย)

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เราทำได้ : หมวกเด็กผู้ชาย




หมวกใบแรกใบเล็ก ต้องให้น้องอิ่ม

ทารกที่เพิ่งคลอด
(พอดีเชียว)




ปีที่แล้วๆ มาถักแต่ของตรงๆ ผ้าพันคอเป็นส่วนใหญ่
ปีนี้ชักกำเริบ เลยเริ่มลองถักของกลมบ้าง
แต่ก็เป็นของกลมที่ทำมาจากของตรง เริ่มลองถัดหมวกจากไม้นิตตรงดูมั่ง

(เพราะว่าไม้นิตแบบนั้นมันแพง ลงทุนซื้อมาแล้วกลัวไม่มีปัญญาถักให้เสร็จน่ะสิ)

ลองถามหาแพทเทิร์นหมวกแบบง่ายๆ จากเอจัง
เอจังก็แสนดี ก๊อปปี้มาให้ เป็นแบบถักหมวกถวายพระน่ะจ่ะ

ด้วยความมั่วของฉัน ฉันก็จับมา adaptation ทำเป็นหมวกใบเล็กๆในแบบที่สัญญาไว้เสียก่อน




วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : แมวหัวเน่า






พุธที่ 9 ธันวาคม 2552



เจ้าอ้วนเป็นแมวเจ้าถิ่นแถบนี้
ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ออกจะคิดถึง แล้วก็นึกไปว่าคงเศร้าไม่น้อยถ้ารู้ว่ามันไม่อยู่แถวนี้แล้ว

วันนี้เห็นมันนอนแผ่ที่ทางเดินตามเคย เลยเข้าไปทัก

ฉันมองเห็นแต่ไกล ว่าหัวมันเยินมาก เต็มไปด้วยแผลเหมือนว่าไปสู้รบกะใครมา
มันอาจจะไปแย่งผู้สาวกับแมวอื่นมามั้ง เพราะถ้ามันไปรบกับหมา แผลคงไม่จุ๋มจิ๋มแค่นี้หรอก

จากการลูบๆ คลำๆ ไล้ๆ ไล่ไปทั่วแบบเดียวกับที่พวกแมวพอใจ(ให้ทำ)
รู้สึกเจ้าอ้วนจะผอมลง มันดูเหมือนมีก้อนอะไรที่ใต้คางข้างขวาด้วย
ที่พุงก็มีก้อน เฉพาะที่พุงของมันนี่ มันไม่อยากให้จับ ไปโดนที่ไรมันใช้ขาหลังถีบมือออกทุกที

มีหนนึง มันอาจจะเจ็บ เลยออกฤทธิ์
กางเล็บตบใส่หลังมือฉันมาทีนึง
เลือดออกซิบๆ



ยังร้ายเหมือนเดิมนะ
เจ้าแมวหัวเน่า

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เ รื่ อ ง น่ า คิ ด : สอนเด็กอย่างไรดี?





เหตุผลที่จำเป็นจริงๆที่เราต้องสั่งสอนเด็กนั้น..
เพื่อให้เค้าได้เติบโตเป็นเด็กที่รู้ถึงกฎของสังคม อยู่ร่วมกับชาวบ้านเค้าได้


ไม่ใช่มีไว้ให้เราเอาทัศนคติและคุณค่าการมองโลกของเราซึ่งเป็นพ่อแม่ยัดเยียดให้กับเด็ก










จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=warabimochi&month=09-2008&date=20&group=22&gblog=3
(ชอบอ่านบล็อกนี้จัง)

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันวานยังหวานอยู่






วันอาทิตย์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๒

กลับไปธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตเป็นครั้งแรกใน..*@x~..ปี (ฮา)
เพื่อไปสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น

สอบนี่เขาจัดพร้อมกันทั่วโลก เพื่อวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นซึ่งได้จัดเป็น ๔ ระดับ จากต่ำไปสูง คือ ๔-๓-๒-๑

หลายคนมาสอบเพื่อจะไปเรียนต่อ หลายคนมาสอบเพื่อความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน
ฉันเองไม่แน่ใจว่าตัวเองมาสอบกะเขาทำไม (เหอ เหอ)

เขาจัดสอบ ๒ รอบ รอบเช้าเป็นการสอบระดับ ๒ กับ ๓ เพราะงั้น คนคงไม่เยอะเท่ารอบบ่าย ซึ่งเป็นการจัดสอบระดับ ๑ (คงมีคนสอบไม่เท่าไหร่) กับ ๔ (ระดับนี้สอบกันบานเลย เพราะเป็นระดับเตี้ยสุด คนเริ่มเรียนไม่นานมักจะสอบระดับนี้กัน)

แน่นอนว่าฉันไปสอบรอบบ่าย ไม่ใช่ระดับ ๑ แต่เป็น ๔ และแม้ว่าจะเสียประสาทกับเสียงเซ็งแซ่ของบรรดาเด็กมัธยมปลายหญิง (ทั้งที่แท้และไม่แท้) นับเป็นพันๆ ที่มาสอบระดับเดียวกัน (คงไม่ใช่ระดับ ๑ แน่ๆ) มึนกับข้อสอบ แต่ฉันก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่ภายในเวลาไม่กี่ทศวรรษ ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตในความทรงจำก็เปลี่ยนไปมากอย่างนี้


ถ่ายรูปมาเล็กน้อย เท่าที่เรี่ยวแรงหลังการสอบยังพออำนวย
(รีบกลับด้วยแหละ)


คิดถึงชีวิตเด็กบ้านนอกเมื่อวันวานจังเนอะ

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เตือนใจ





明日は明日の風が吹く

คำอ่าน : ashita wa ashita no kaze ga fuku
คำแปล : พรุ่งนี้ก็จะมีลมของวันพรุ่งนี้พัด

ความหมาย : วันพรุ่งนี้จะมีลมที่ไม่เหมือนกับในวันนี้พัด
เป็นคำสอนว่าการกลุ้มอกกลุ้มใจกับเรื่องของวันพรุ่งนี้ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ต้องปล่อยให้เป็นไปตามที่จะเป็น