วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

Brothers & In America : สมบัติล้ำค่าชื่อ “ครอบครัว”

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

พักนี้ฉันได้ดูหนังดราม่าบีบคั้นหัวใจของผู้กำกับ Jim Sheridan ถึง 2 เรื่อง เริ่มจาก VCD เรื่องราวของครอบครัวไอริชกับชีวิตใหม่ในอเมริกา ใน In America (2002) ต่อด้วยการเดินเข้าโรงไปชมหนังรีเมค (จากหนังภาษาอะไรก็ลืมไปแล้ว) เรื่องเล่าจากบาดแผลและความกดดัน ที่ “ความคาดหวัง” จากครอบครัว ได้บดขยี้ลงบนครอบครัวเล็กๆ นั้นจนเกือบจะแตกสลายไม่มีชิ้นดี ใน Brothers (2009)

ดูเผินๆ แล้ว หนังสองเรื่องนี้แทบไม่มีอะไรคล้ายคลึงกันเลย In America นั้นเป็นหนังอินดี้เล็กๆ ไม่ปรากฏนักแสดงที่เรารู้จักชื่ออยู่ในหนัง ไม่ได้ใช้เทคนิคในการถ่ายทำ การตัดต่อสวิงสวิงสวาย เชื่อว่าแม้เงินลงทุนก็ไม่ได้มากมายอะไร ส่วน Brothers เป็นหนังฮอลลีวูดสตูดิโอดัง ไม่ต้องนับต้นทุนในการถ่ายทำ ค่าโพสต์โปรดักชั่น และค่าอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะหรอก แค่รัศมีจากชื่อเสียง และเสน่ห์ของนักแสดงนำฝีมือเยี่ยมอย่าง Natalie Portman, Jake Gyllenhaal รวมทั้ง Tobey Maguire ก็จับตา เรียกคนดูเข้าไปนั่งน้ำตาไหลในโรงได้แล้ว

แต่ถ้าจะพูดถึงความเชื่อมโยงกันแล้วละก็ มีออกเยอะแยะไป

ข้อที่เด่นจับตาคือ หนังทั้งสองถ่ายทอดรายละเอียดซับซ้อนในความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวได้อย่างคนเข้าใจ เล่าเรื่องได้ละเอียดลออสวยงาม สะเทือนใจ และหนังทั้งสองมีตัวละครเด็กหญิงพี่น้องทั้งคู่

ตลกดีถ้าจะคิดว่าผู้กำกับตั้งอกตั้งใจจะให้เป็น ‘เด็กหญิงสองพี่น้อง’ แต่ฉันว่าเชอริแดนคงติดใจอะไรสักอย่างกับ ‘เด็กหญิงสองพี่น้อง’ ถึงได้มอบความสำคัญในการดำเนินเรื่องด้วยบทบาทอันจับตาให้กับเด็กหญิงคนพี่ทั้งสองเรื่อง

ใน In America เด็กหญิงคนพี่วัย 10 ขวบ (Sarah Bolger) เป็นพี่คนโตที่โตเกินวัย ในบ้านที่เหมือนจะรักกันดี แต่จริงๆ แล้วมีปัญหาจากบาดแผลที่พ่อแม่ไม่ยอมให้หายเสียที เธอคนนี้เป็นคนเรียกสติพ่อ ผู้เอาแต่ตีอกชกหัว ชอกช้ำ แต่ไม่ยอมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาชะล้างความผิดในใจ จากการเชื่อว่าเป็นเพราะความเลินเล่อของตัวเอง จึงทำให้สูญเสียลูกชายคนเล็กไป เด็กคนนี้ปลุกพ่อซึ่งเอาแต่ดองตัวเองอยู่แต่ในความทุกข์จากความรู้สึกผิดและประกาศถึงการมีตัวตนของเธอกับน้องสาวว่า น้องชายผู้จากไปก็เป็นน้องชายของพวกเธอเหมือนกัน และเธอก็ร้องไห้ให้กับการจากไปของเขาด้วย เพียงแต่ไม่มีใครรู้

นั่นแหละ ผู้เป็นพ่อถึงได้ตาสว่าง คิดออกว่าระหว่างการคร่ำครวญว่าทำให้ลูกตาย กับการเอาใจใส่ดูแลลูกตาดำๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่นั้น อะไรคือสิ่งที่ควรทำ

ส่วนใน Brothers เด็กหญิงคนพี่ (Bailee Madison) เป็นเด็กที่เป็นตัวของตัวเอง แบบเด็กอเมริกัน ยังไม่โตพอจะเก็บความรู้สึกได้ และซื่อสัตย์กับความรู้สึกจนกลายเป็นลูกร้ายกาจที่ทุบตบะพ่อซึ่งเพิ่งลากสังขารอันเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจจากสงครามแตะดังโพละ (แม่คนนี้ทำฉันนึกถึงความร้ายกาจของยัยเด็กตกกระใน Atonement ขึ้นมาเชียว)

ตัวพ่อในเรื่องนี้ (โทบี้) เองก็มีน้องชายเป็นคู่กันอีกคน (คือเจค) ภายใต้แรงกดดันมหาศาลของสายตาพ่อแม่ พี่คือลูกที่น่าภาคภูมิใจ ฉลาด เก่ง รักดี เป็นฮีโร่ เป็นพ่อที่ดี มีเมียสวย ครอบครัวน่ารัก ในขณะที่ตัวน้องเป็นภาระของครอบครัว เป็นตัวปัญหาของสังคม และนี่คือปมเริ่มต้นของปัญหาชีวิต และความสัมพันธ์ที่ก่อเรื่องขึ้นใน Brothers

หนังทั้งสองเรื่องยังมีตัวละครที่ทำหน้าที่คล้ายกันในฐานะ “คนนอก” อีกตัว คือ ศิลปินผิวดำ (Djimon Hounsou) ใน In America และ น้องชายของพ่อ ใน Brothers เป็นบทบาทที่ทำให้ตัวละครหลักมองเห็นคุณค่าแท้จริงของครอบครัว และความสำคัญของการรักษาครอบครัวเอาไว้

ฉันว่าตัวละครนี้แหละ ที่เราต้องขอบคุณ

ขอบคุณเหลือเกินกับการเลือกบทบาทที่ไม่ใช่ตัวเด่น แต่เป็นตัวที่ช่วยดันตัวละครหลักให้โดดเด่น เพราะด้วยการแสดงของคุณ ทำให้คนดูอย่างฉันรู้สึกเหมือนกันว่า ที่สุดแล้ว ครอบครัวนี่แหละ ที่เป็นขุมกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ เป็นอ้อมกอดอบอุ่นยามเหน็บหนาว เป็นที่บำบัดเยียวยายามบาดเจ็บ

ช่างเป็นหนังสองเรื่องที่แม้ถูกทำให้สะบักสะบอมกับความรู้สึกมาตลอดเรื่อง แต่ก็จบอย่างอบอุ่นใจ

แล้วฉันก็นึกถึงครอบครัววุ่นๆ แต่เป็นแบ็คอัพที่หนักแน่น แสนดี และเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดซึ่งฉันไม่ต้องไขว่คว้าหา มีหน้าที่แค่ต้องดูแลรักษาเอาไว้ให้ดีอยู่เสมอ




บันทึก :
• Brothers รอบที่ไปดูนั้นคือรอบเช้า วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2553 ที่โรงหนังสยาม ราคาตั๋ว 80 บาททุกที่นั่ง ฉันเลยเลือกนั่งชั้นบน ที่ปกติแล้วเขาขายตั๋วราคา 120 บาท รอบนั้นทั้งโรงสยามมีคนดู 6 คน-โอ้ แม่จ้าว Apex จะเจ๊งไหม?
• จริงๆ ตั้งใจจะไปดู Sherlock Holm แต่ไปไม่ทัน
• ฉันว่า โทบี้ แมคไกวร์ พยายามมากไปหน่อย ไม่ค่อยชอบการแสดงของเขาเท่าไหร่
• น้องคนที่แสดงเป็นพี่คนโตใน Brothers เจ๋งจนอยากจะรู้จัก Acting Coach ของหล่อนเลย
• Brothers เตือนให้รู้ และระวังความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจตัวเอง (แต่ให้ตายเหอะ ถ้าอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้จะทำไงเหมือนกันแหละ)
• อีกเรื่องที่สอนคือ ความหึง ทำให้เกิดปัญหาเสมอ (แต่ก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ ถ้าคุณมีน้องชายที่ทั้งหล่อและสูงสมาร์ท-กว่าตัวเอง-อย่างนั้นน่ะ)
• ฉันว่าเขาตั้งชื่อเรื่องได้ดีนะ Brothers เนี่ย ชีวิตผู้ชายสองคนไปกันคนละทิศละทางได้ขนาดนี้ ก็เพราะแรงกดดันจากการเป็นพี่น้องกัน แต่ชีวิตที่กระจัดกระจายกระจุยไปคนละทิศก็กลับมารวมเป็นรูปเป็นร่างได้ เพราะความเป็นพี่น้องกันเหมือนกัน (คิดแล้วอิจฉาผู้ชายว่ะ)
• น้องคนที่เล่นเป็นพี่สาวคนโตใน In America เสียงดีมาก แล้วก็เลือกเพลงเก่งจังนะ Desperado เนี่ย ใช่เลย
• ฉันว่าฉันชอบ In America มากกว่า Brothers เพราะรู้สึกว่าเรื่องหลังคนดูถูก Built ความรู้สึกมากไป เรื่องแรกดูค่อยๆ พาความรู้สึกไปเนียนๆ ดีกว่า
• มันต้องเป็นความศรัทธาส่วนตัว ที่ทำให้ผู้กำกับคนนี้สื่อสารออกมาได้อย่างเด่นชัดในหนังทั้งสองเรื่องของเขา (หนังครอบครัวเรื่องต่อไปจะซ้ำแนวเดิมอีกไหมจ๊ะ?)

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

กลับบ้าน ครั้งที่ ๑

Start:     Feb 12, '10
End:     Feb 15, '10
Location:     บางกอก-สุราษฎร์ธานี




กลับบ้านวันวาเลนไทน์

Sexual Life : คำถามที่คนมีคู่ต้องตอบ

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

เหมือนจะเป็นหนังอาร์ เหมือนจะเป็นหนังเปรี้ยว กล้าหยิบคำๆ นั้นมาเป็นชื่อ แต่หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังเบาๆ ไม่ใช่หนังปลุกใจเสือป่า และไม่ใช่แม้แต่บทวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาฟอนเฟะบนเตียง

ที่จริงมันเป็นอะไรที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องเล่าถึงความสัมพันธ์อันมีรายละเอียดระหว่างคู่รัก ที่มีเซ็กซ์เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แถมยังเล่นแรง ด้วยการยิงคำถามใส่คนดูโดยไม่ปรานีปราศรัยว่า
“จะเลือกอยู่กับคนที่เรารัก หรือคนที่เราเลือกแล้ว”

Sexual Life (2005) เป็นหนังดราม่าที่ผูกเรื่องเล็กๆ ของคู่รักหลายคู่เข้าเป็นเรื่องเดียวกัน ี่มีทั้งเพิ่งเดตกัน มาเจอกันบนเตียงชั่วคราวเพราะยังไม่อยากเร่งรัดขอเซ็กซ์จากแฟนสาว คู่นึงเป็นความสัมพันธ์ลับระหว่างนายกับเลขา มีบ้างเป็นเรื่องการเสียความบริสุทธิ์ให้หนุ่มคนรักก่อนเข้าพิธีวิวาห์ เพื่อเสียความบริสุทธิ์(ตามที่สามีเข้าใจ) อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น และเรื่องนี้ถูกเก็บเป็นความลับที่สามีไม่รู้จนวันที่เจ้าของเรื่องตาย

บางคู่เป็นคู่ชีวิตที่อยู่กันมานานจนผัวจำทุกอย่างของเมียได้ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น รส ตำแหน่งของรอยกระ หรือท่วงท่าที่เธอโปรดปราน จึงสิ้นแล้วซึ่งแรงจูงใจที่จะมีอะไรกับเมีย และเธอเองก็กำลังเซ็งกับความเย็นชาของสามี จนต้องกระตุ้นตัวเองอีกครั้งด้วยหนุ่มแปลกหน้ารูปหล่อ ผู้ซึ่งกำลังพยายามถอนตัวเองจากการเป็นมือที่สามระหว่างเพื่อนสาวกับคนรักของเธอ ซึ่งกำลังจะเข้าโบสถ์แลกคำสาบานกัน ในขณะที่ว่าที่เจ้าบ่าวยังสับสนกับชีิวิต ว่าชีวิตของเขานั้นเป็นของเขาหรือของใคร

ดูๆ ไปแล้วก็เห็นใจ เพราะใครๆ ก็ไม่อยากเป็นคนมากชู้หลายใจ ใครๆ ก็อยากรักษาความสัมพันธ์กับคนที่ตัวเองรักให้ยืนยง มั่นคงไปนานๆ แต่ว่าความสัมพันธ์นั้นไม่มีสูตรตายตัว ความสัมพันธ์ของคนคนหนึ่ง ไม่อาจเป็นตัวอย่างให้อีกคนลอกเลียน
และไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าความสัมพันธ์แบบที่เรากำลังมีอยู่นั้น ถูก หรือผิด ได้ดีเท่ากับตัวเราเอง

เพราะเราเองนั่นแหละ ที่จะต้องเป็นคนตอบ
จะเลือกใคร ระหว่างคนรัก กับคนที่เลือกแล้ว?




บันทึก
• ไตเติลหนังเรื่องนี้สวย มันสอดพอดีกับเกมครอสเวิร์ดที่น้องคุกกี้เล่นตอนเริ่มเรื่องเลย
• เป็นหนังที่เขียนบทได้ดีและลงตัว ไม่เห็นจะต้องมีเรื่องให้มากเข้าไว้อย่าง New York, I love you หรือ Paris, Je t’aim เลยนินะ
• เป็นหนังฟอร์มเล็ก ดาราไม่ดังมาก แต่ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีนะ ลงตัว
• น่าสนใจตรงที่แม่ยายในเรื่องนี้แนะนำให้ลูกสาว ซึ่งยืนยันว่าผัวนอนกับเลขาแน่นอน ให้ลืมเรื่องนี้เสีย เพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ แต่ดันกลับลุ้นให้ลูกออกเดตกับเพื่อนสมัยมหาลัยที่หลงโทรมาหา นัยว่าเพื่อเยียวยาความสัมพันธ์กับสามี
• มีคู่หนึ่งในเรื่องที่คิดไม่ตกว่าจะต้องเดตกันนานแค่ไหน จึงจะเริ่มมีเซ็กซ์ด้วยกันดี แถมตอนมีเซ็กซ์กันจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายพอใจ คือตัวเองก็คาดหวังให้อีกฝ่ายประทับใจ แต่อีกฝ่ายกลับพูดว่าไม่ได้คาดหวังอะไรนัก จากนั้นเขาก็มานั่งคุยกันในวันต่อๆ มา แล้วฝ่ายชายพูดว่า บางที เรื่องบางเรื่องเราอาจจะ ‘ควรพูดให้น้อย คิดให้น้อย แต่ทำให้เยอะ’...เป็นคำพูดที่จับใจคนช่างคิดช่างพูดอย่างฉันจังเลย
• หนังเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อัตราค่าบริการต่อครึ่งชั่วโมงของนางทางโทรศัพท์ในหนังนั้น แพงมากมาก คือ 75 เหรียญ ไม่รวมทิปและค่าแท็กซี่กลับ (เพราะงี้ใช่ไหมเลยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกัน-แต่เอ้า แฟนเธอจะชมว่า หูย...ใหญ่มาก โอว์...เยี่ยมจริง อ๊าห์...คุณยอดที่สุด อย่างมืออาชีพไหมนะ?)

Yokogao




Song : Yokagao Ost.Hotaru no Agari
Vocal : Aiko

眠っていた心の中に
些細な些細な小さな傷 いつの間に
その隙間から溢れて来るのは
あなたの名 優しく強い目 指
髪全てに気付かされる

出逢えたこと 話をしたこと
次は触れたいといつからか願ってた

* 起こされた想いは止まらないから躓いても
胸は風を切って 横顔に恋をした
あたしはとても切ない
あなたをとても愛しい

あの日偶然 助手席に乗った
特別に感じたシートの熱
右肩がくすぐったくて

待ちくたびれる 長い毎日
きっとあなたに逢っていないせいだな

辛い時があっても輝く術も知ってるはず
電話が鳴る度に横顔が浮かぶのは
やっぱり少し切ない
あなたをいつも愛しい

雨上がりに二人歩いた道
足音がいつもと違ってなんだか嬉しい

* repeat


nemutte ita kokoro no naka ni
sasai na sasai na chiisana kizu itsu no ma ni
sono sukima kara afurete kuru no wa
anata no na yasashiku tsuyoi me yubi
kami subete ni kidzukasareru

deaeta koto hanashi wo shita koto
tsugi wa furetai to itsu kara ka negatteta

* okosareta omoi wa tomaranai kara tsumazuitemo
mune wa kaze wo kitte yokogao ni koi wo shita
atashi wa totemo setsunai
anata wo totemo itoshii

ano hi guuzen joshuseki ni notta
tokubetsu ni kanjita SHI-TO no netsu
migikata ga kusuguttakute

machikutabireru nagai mainichi
kitto anata ni atte inai sei da na

tsurai toki ga attemo kagayaku sube mo shitteru hazu
denwa ga naru tabi ni yokogao ga ukabu no wa
yappari sukoshi setsunai
anata wo itsumo itoshii

ameagari ni futari aruita michi
ashioto ga itsumo to chigatte nandaka ureshii

* repeat
English Translation

Profile

A very very tiny wound was sleeping
inside my heart and before I knew
What came flooding from that crack
was your name, your tenderly strong eyes, your fingers
Your hair, making me notice it all

since when had I wished to touch you
After meeting you, after talking to you

Because my awakened feelings wouldn't stop, even if I stumbled
My chest went flying along and I fell in love with your profile
I'm in so much pain
I love you so much

That day I happened to ride with you in the passenger seat
I felt that seat specially hot
As your right shoulder tickled me

It's certainly for not meeting you
That I feel tired of my every day

Even if I feel heartbroken, I should also find ways to shine
Every time the phone rings, your profile comes to my mind
For that, of course I'm in a bit of pain
I will always love you

In the road we walked after the rain,
I was a little happy that the sound of our steps were different from usual

Because my awakened feelings wouldn't stop, even if I stumbled
My chest went flying along and I fell in love with your profile
I'm in so much pain
I love you so much


Shallow Grave : เงินแพงกว่ามิตรภาพ

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Comedy


หนังตลกร้ายสไตล์อังกฤษ ผลงานในปี 1994 ของผู้กำกับ Danny Boyle ผู้กำกับ Slumdog Millionaire (2008) ที่ฉันได้มาดูแบบไม่รู้อะไร และไม่อ่านอะไรก่อนดู จะเดาจากปกดีวีดีว่าเป็นหนังแนวไหนก็ช่างยากเย็น
เพราะมันเป็นดีวีดีผีที่ทำปกมาอย่างเน่า การดูหนังเรื่องนี้เลยกลายเป็นการผจญภัยที่ออกมาสนุกและหรรษาอีกเรื่อง

เมื่อฉันดูจบแล้ว ก็แล้วจัดประเภทให้ว่าเป็นหนังตลกร้ายที่ลึกลับเข้มข้น ที่มีคำถามแถมท้ายเรื่องที่เสียดใจที่สุด

เรื่องเริ่มง่ายๆ เบาๆ บ๊องๆ ในแฟลตแห่งหนึ่งใน Edinburgh (ป้าอ้อยสอนว่า ต้องอ่านว่า เอดินเบอะหระ(แบบ"หระ") ครึ่งเสียงอะ แต่ต้องออกเสียง-โปรดอย่าถามกรูว่าทำไมนะ เพราะกรูไม่รู้เหมือน แต่ถ้าไม่ออกเสียงแบบนี้ ชาวบ้านเมืองนี้มันจะไม่รู้จัก) เพื่อนร่วมแฟลตเจ้าของอารมณ์ขันแบบเพี้ยนๆ เป็นหญิง 1 ชาย 2 ต้องการหาคนมาแชร์ค่าใช้จ่ายอีก 1 คน แฟลตหรือห้องชุดห้องนี้สวยมาก มันเป็นห้องเพนท์เฮ้าส์อยู่ชั้นบนสุดของตึกเก่าๆ หลังสวย มีแสงสวยๆ หลอกๆ ตา และเขาจัดแบบป๊อปๆ ที่จับอะไรจากหลายยุคหลายสมัยมารวมกัน ทาผนังด้วยสีสวยเจ็บ จนดูสวยแบบหลอกๆ เหมือนฉากละครเวที

ทั้งสามทั้งแกล้งทั้งอำบรรดาคนที่อยากมาร่วมแชร์แฟลตจนในที่สุดก็คัดนักเขียนที่คิดว่าเพี้ยนพอกันได้คนหนึ่ง เมื่ออีตาคนนี้ย้ายเข้ามาแล้วก็ทำตัวแปลก คือไม่ยอมออกจากห้องจนข้ามวัน ร้อนจนเพื่อนร่วมแฟลตต้องพังประตูเข้าไป ถึงรู้ว่าตะแกนอนตายเปลือยอยู่บนเตียง และนั่นแหละ เรื่องวุ่นก็เริ่มขึ้น

มันไม่ได้วุ่นแค่อยู่ดีๆ ก็มีคนมาตาย แบบไม่รู้ว่าตายตามธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเพราะในกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งที่ตาคนนี้หิ้วมา เต็มไปด้วยเงินปอนด์อัดแน่นเต็มใบอีกต่างหาก

ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำไงดี แจ้งตำรวจ หรือว่าเก็บเงินไว้ แล้วจัดการกับศพ

เพื่อนร่วมแฟลตทั้งสามเลือกวิธีหลัง ซึ่งทำให้คนที่จับไม้สั้นได้เป็นคนจัดการกับศพต้องจิตตกไป (ให้ตายฉากที่ต้องจัดการกับศพนี่ มันดูแล้วทั้งขำทั้งเศร้าเลย จริงๆ นะ) แถมเรื่องยังไม่จบง่ายๆ ไม่ได้เงินไว้ใช้ปรีดิ์เปรมอย่างใจคิด เพราะทั้งมาเฟียเจ้าของเงินและตำรวจไล่ตามมาจนคนทั้งสามจิตตกถ้วนหน้าจนแทบบ้า แล้วก็นำพาเรื่องไปจบอย่างที่น่าขำ แต่ขมขื่นที่สุด

ใครว่ามิตรภาพของตัวเองกับเพื่อนแข็งแกร่ง แพงกว่าเงินปอนด์เป็นฟ่อน อัดแน่นเต็มกระเป๋าเดินทาง
ดูหนังเรื่องนี้แล้วอาจต้องทบทวนใหม่



บันทึก
• ขอบคุณม่อนที่ส่งมาให้ยืม ดูแล้วชอบจริงๆ ด้วยแหละ
• เป็นหนังเล็กๆ ที่ดีจังเลย มีรสนิยมในทางศิลปะ ชอบแสง สี และสไตล์ของฉากมาก
• เพราะเป็นหนังตลก จึงต้องขอชมเป็นพิเศษกับ Scene ที่ควรเป็นการนำเสนอความกักขฬะรุนแรง และน่าขยะแขยง ผู้กำกับนำเสนอได้เจ๋งอะ เรารู้ว่ามันโหด แต่มันไม่เลอะเทอะสกปรกน่ารังเกียจในสายตาเรา
• นักแสดงนำแต่ละคน (รู้จักแต่ Ewan McGregor) เล่นดีมาก ชอบ Christopher Eccleston คนที่เล่นเป็น David พนักงานบัญชี เล่นได้จิตได้ใจ เจ้ Kerry Foxx ก็ร้ายจริงๆ



เด็กชายอินดี้ ออกมาสวัสดีชาวโลก (ร้อน) แล้ว ด้วยน้ำหนัก 3,445 กรัม แม่เอ๋คลอดเอง (เก่งจัง) ได้ข่าวว่าหน้าตา (หล่อ) เหมือนพ่ออ้นซะด้วยนะเออ

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

สิ่งที่เราทำไม่ได้เมื่อเรามีคู่





อ่าน "จักรวาลในสวนดอกไม้" ของฮิมิโตะ ณ เกียวโต เมื่อวันก่อน
สนใจตอนหนึ่งที่เธอยกตัวอย่างขำๆ จากหนังสือ "Againts Love: A Polemic"
โดย Laura Kipnis แล้วก็อยาก share กับเพื่อนมัลติพลาย

หนังสือนั้นยกตัวอย่าง "สิ่งที่เราทำไม่ได้เมื่อเรามีคู่" ไว้ว่า

"เราไม่สามารถออกจากบ้านไปเฉยๆ โดยไม่บอกอะไรกับใคร เราไม่สามารถไปโดยไม่บอกว่าจะกลับกี่โมง เราไม่สามารถเถลเถไถอยู่นอกบ้านจนเกินเที่ยงคืน ห้าทุ่ม สี่ทุ่ม เวลากินอาหารเย็น หรือแม้กระทั่งต้องกลับบ้านเมื่องานเลิก เราไม่สามารถไปปาร์ตี้คนเดียว เราไม่สามารถออกไปเที่ยวคนเดียวเพียงเพราะเราอยากไปเที่ยว เพราะนั่นแปลว่าเราเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจ ไม่นึกถึงความรู้สึกของคนอื่นที่จะห่วงว่าเราไปไหน จะกลับกี่โมง... เราไม่สามารถทำอะไรโดยไม่ปรึกษาอีกฝ่ายหนึ่ง ..เราไม่สามารถทิ้งหนังสือ รองเท้า เครื่องสำอาง ชุดชั้นใน เครื่องเย็บปักถักร้อย หนังสือโป๊ไว้เกลื่อนกลาดทั่วบ้าน เราไม่สามารถสูบบุหรี่ หรืออย่างน้อยไม่สามารถสูบบุหรี่ในบ้าน หรือไม่สามารถเอาก้นบุหรี่จุ่มทิ้งไว้ในถ้วยกาแฟ ไม่สามารถบ้าคลั่งงานอดิเรกของสะสมในระดับที่เกินกว่าที่อีกฝ่ายหนึ่งจะรับได้

"คุณไม่สามารถทิ้งจานไว้ในอ่างโดยไม่ล้าง หรือล้างลวกๆ ไม่ใส่น้ำยาล้างจาน ไม่สามารถดื่มน้ำจากขวดในตู้เย็นโดยไม่เทลงแก้ว ทำเลอะแล้วไม่เช็ด..ไม่สามารถมีโต๊ะทำงานแสนสบายเพราะมันไม่เข้ากับสไตล์การตกแต่งบ้านที่มีอยู่ ..คุณไม่สามารถเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ในขณะที่กำลังทำธุระอยู่เพราะมันดูน่าเกลียด ขณะเดียวกันคุณก็ห้ามล็อกประตูห้องน้ำ เพราะต้องเผื่ออีกคนอาจอยากเข้ามาใช้..คุณเล่นโซลิแทร์ไม่ได้ตอนที่เขาอยู่  เพราะเสียงคลิกของเม้าส์ทำให้เขารำคาญ คุณไม่สามารถเมาธ์แตกทางโทรศัพท์ เพราะเขาชอบพูดแทรก เพื่อนสนิทของคุณไม่สามารถโทร.หาได้หลังสี่ทุ่ม ..คุณไม่สามารถอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยกินข้าวไปด้วย คุณสั่งขี้มูกในโต๊ะอาหารไม่ได้ กินขนมบนเตียงก็ไม่ได้ ลุกจากเตียงทันทีหลังมีเซ็กซ์ก็ไม่ดี คุณไม่สามารถเป็นโรคนอนไม่หลับโดยไม่พยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจว่ามีเรื่องอะไรรบกวนจิตใจคุณนักหนา..."



...เยอะจังเนอะ



เปลือกหอยจากนางเงือก

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Childrens Books
Author:นางาซากิ เก็นโนะสุเกะ


เห็นมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ซื้อ หรือหามาอ่านเสียที
ได้ไปช่วยเพื่อนท้องแก่จัดชั้นวางหนังสือ ก็เลยยืมเพื่อนกลับมาอ่านซะเลย

"เปลือกหอยจากนางเงือก" แปลโดย ผุสดี นาวาวิจิต จากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นโดย นางาซากิ เก็นโนะสุเกะ

เป็นวรรณกรรมเยาวชนเล่มเล็กๆ ที่น่ารัก สะอาดสดใส คนเขียนเล่าเรื่องง่ายๆ จูงใจนักอ่านอายุน้อยด้วยเทพนิยายและจินตนาการ ใช้ตรรกะง่ายๆ เขียนอย่างง่ายๆ ไม่ใช้สำนวนซับซ้อน แล้วก็จบได้ใส๊-ใส ชนิดที่แม้เป็นคนอ่านเจริญวัยถึงขั้นเป็นแม่นักอ่านกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ก็ยังยิ้มได้อย่างชื่นใจ

เขาช่างเข้าใจวิธีปลูกฝังสิ่งดีงามในใจเด็กเหลือเกิน


ขอบใจเพื่อนเอ๋ที่ให้ยืมอ่าน
(นี่เค้าไปคลอดหรือยังนะ?)


บันทึก: กับหนังสือเล่มนี้ ไม่ยักนึกว่าเป็นหนังสือเลือกวัยคนอ่านแฮะ


ด้วยหัวใจทั้งเจ็ดดวง

Rating:★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:พอล กาลลิโก แปลโดย ฤดูร้อน


ด้วยหัวใจทั้งเจ็ดดวง แปลโดย ฤดูร้อน จาก Love of Seven Dolls โดย พอล กาลลิโก ผู้เขียน Flowers for Mrs. Harris เป็นหนังสือที่เพื่อนชอบ เพื่อนว่าฉันก็น่าจะชอบ จึงให้ยืมมาอ่าน

ปรากฏว่าฉันก็ชอบนะ

แต่เรื่องบางเรื่อง ถ้าได้อ่านในวัยที่เหมาะสม เราถึงจะช้อบ-ชอบ ชอบๆๆๆๆๆ มากกว่าชอบธรรมดาแบบนี้ละมั้ง

ในแง่ของการใช้จินตนาการในการอ่าน จะบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นวรรณกรรมเยาวชนก็ได้ แต่พูดได้ไม่เต็มปากหรอก อยากแนะนำว่าเป็นเรื่องเล่าของเด็กสาวน่าสงสารคนนึงที่เกือบกระโดดลงแม่น้ำแซนไปแล้ว เพราะไม่รู้สึกว่าได้รับความรักหรือการยอมรับจากใครเลย แต่ก็รอดชีวิตและได้รับการช่วยเหลือจากคนคนหนึ่ง ที่ได้มอบความรักและความอบอุ่นให้เธอโดยไม่รู้ตัว ผ่านตุ๊กตาหุ่นกระบอกทั้ง ๗ ตัว และเขาผู้นั้น โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ก็ได้รักเด็กสาวคนนี้ด้วยเช่นกัน

มันเป็นเรื่องอบอุ่นของคนเหงาจนหนาวสองคน ที่ได้มาเจอกัน มีตัวตนในสายตากันและกัน แล้วก็รักกัน ทำให้ตัวตนของอีกฝ่ายอิ่มเอิบ อบอุ่นขึ้น

หนังสือเล่มนี้ทำฉัน ในวัยที่รู้จักโลกเยอะพอควรแล้วระลึกขึ้นมาได้ว่า...คนเรามีชีวิตโดยขาดความรักไม่ได้จริงๆ

ความอบอุ่นจากความรักละลายน้ำแข็ง(กระด้าง)ในใจคนได้ และสามารถทำให้จิตใจคนอบอุ่นและอ่อนโยนขึ้น

...แต่ว่าความรักแบบนี้มันมีสำหรับเราจริงๆ หรอ?



เมื่อคุณมองฉัน







คุณเห็นอะไร?




เสาร์ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๓
ถ่ายรูปตัวเองแล้วเอามาโชว์-ประสาคนชอบโชว์

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ของเล่นของเด็กหญิงทะเล






ศุกร์ที่ 22 มกราคม 2553

เพราะว่าพี่ประถมมีกีฬาสี น้องอนุบาลได้หยุดโรงเรียน
แม่แอนจึงพาเด็กหญิงทะเลมาสวัสดีนายฉัน
(แบบว่าแม่แอนเคยมีนายคนเดียวกัน แต่พอคลอดทะเลแล้วเธอก็ชิ่งหนีไป)

เด็กคนนี้ก็เลยมาปรากฏโฉมให้พี่ป้าน้าอาวี๊ดว้ายกระตู้วู้ว่า
โตแล้ว-เป็นสาวแล้ว-ขาวเหมือนใคร-อยู่ ป. อะไรแล้ว-ต๊าย อนุบาล 3 เองหรอ-
มากอดหน่อย-หอมที-สวยจัง ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

ก็แหง๋ล่ะ ใครๆ ก็มีรูปทะเลตอน 2 ขวบ ตอนหน้าอ้วนกลม ประแป้งขาว ผูกแกละสองข้างติดที่โต๊ะ เพราะพี่หนุ่มปริ๊นต์สีมาแจกให้ทุกโต๊ะ แล้วตอนนี้เปลี่ยนไปขนาดนี้ ที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังอ้วนกลม เดินเตาะแตะ ใครมั่งจะไม่แปลกใจ

ทะเลอยากกินราเมง เราสามคนเลยต้องเดินกันไกล๊ไกล ไปตลาดหลังแกรมมี่ก็แล้ว แล้วก็พากันเดินย้อนไปทางปากซอยประสานมิตร ไปหยุดที่ร้านโตไก (คราวหลังขออนุญาตพาไปกินราเมงร้านแจ่มกว่านี้นะเจ้ แต่ต้องลงสถานีพร้อมพงษ์)

ขากลับ เด็กหญิงทะเล ผู้ไม่ประสบความสำเร็จในการขอให้แม่ซื้อของเล่นที่ตลาดนัดให้
เธอยืนกรานอยากได้ของเหล่านี้
ด้วยความเป็นแม่ เจ้แอนก็ได้โอนอ่อนผ่อนตามให้ตามสมควร

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ดนตรีในสวน ค่ำร้อนๆ ก่อนปีใหม่




เห็นว่าจะเริ่มเล่น 5 โมงเย็น
ที่ศาลาภิรมย์ภักดี สวนปาล์ม ในสวนลุมพินี


อาทิตย์ที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๒

ไปดู AVATAR ที่โรงหนังสยาม
แล้วเดินไปสวนลุม จับจองที่ทาง รอฟังวง BSO บรรเลงดนตรีในสวน


(เป็นเย็นหน้าหนาวที่อากาศร้อนอบอ้าวมาก-ยังจำกันได้ใช่ไหม)


ระหว่างรอ เพื่อนฉันก็ถ่ายรูปมาเล่นๆ ดังนี้

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

วันนี้เป็นวันประเมินผ่าน-ไม่ผ่านโปร





รู้จักกันมาครบ 4 เดือนวันนี้แล้วแก

เย็นนี้เค้าตะแง้วๆ ชวนไปกินข้าวด้วยกันด้วยอะ
เค้าจะบอกอะไรชั้นหรือป่าว


แบบว่า

..ม้าน้อย ขอบคุณนะที่ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมาไปเที่ยวกับพี่ กินข้าวกับพี่ จูบกับพี่
ต่อแต่นี้ขอให้เราเป็นเพื่อนที่ดีกันตลอดไปนะครับ


.....

วันดีดี..คิดจะพาคนเกิดปีเสือไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเสือ



จับเรือไปลงท่าสะพานพุทธ

แล้วเดินไปลงเรือข้ามฟากที่ท่าเรือปากคลองตลาด ที่ตั้งอยู่ระหว่างปากคลองตลาดกับโรงเรียนราชินีล่าง




วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2553

ยังไม่พ้นต้นปี
เลยยังคงชวนกันไปไหว้พระเป็นสิริมงคลแก่ตัว

จริงๆ แล้วเป้าหมายอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ ก็เพื่อนเกิดปีเสือ ปีชงกับปีเสือพอดี

แต่เนื่องจากผ่านวัดกัลยาณมิตรฯ บ๊อยบ่อย โดยเฉพาะเวลานั่งเรือ มองเห็นแต่ไกลรู้สึกว่าวัดนี้สวยแปลกๆ ดี วันอาทิตย์เพื่อนว่าง เลยชวนไปไหว้หลวงพ่อโตก่อน แล้วค่อยข้ามฟากไปวัดโพธิ์ (ฉันยังไม่เคยไป) แล้วไปวัดพระแก้ว (เพื่อนอยากไป-เสมอ) แล้วค่อยเดินต่อไปศาลเจ้าพ่อเสือ

ปรากฏว่าผิดแผนไปหน่อย แต่สนุกดี อากาศก็ดี
ถ่ายรูปออกมาสวยเชียว
(รูปคนนะ-อิอิ)


หมายเหตุ:
-ข้อมูลวัดกัลยาณจากหน้านี้ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3
-ข้อมูลวัดระฆังจากหน้านี้จ่ะ http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=2795&title=%CB%CD%BE%C3%D0%E4%B5%C3%BB%D4%AE%A1%A2%CD%A7%C7%D1%B4%C3%D0%A6%D1%A7%E2%A6%CA%D4%B5%D2%C3%D2%C1_%C7%C3%C1%CB%D2%C7%D4%CB%D2%C3

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

แสงสีวันสุริยคราสที่สองฝั่งคลอง






ศุกร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๓
เป็นวันที่มีสุริยุปราคาวงแหวนเวลาประมาณ ๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น.
เวลาเดียวกับที่ฉันนัดไปทำงานที่ร้านอาหารวิวสวยชื่อ "สองฝั่งคลอง"
(แต่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านปากเกร็ด) พอดี

ไม่มีอุปกรณ์ปลอดภัย เลยไม่ได้ร่วมสังเกตการณ์สุริยุปราคาวงแหวน
แต่รู้สึกว่าช่วงระหว่างที่มีคราส แสงอาทิตย์ดูแปลกแปร่งไป
แถมน้ำในแม่น้ำยังขึ้น อยู่ในสภาพอืดๆ ไม่ไหลแม้แต่จะเอื่อยๆ
เหมือนน้ำขึ้นตั้งแต่บ่ายสองจนห้าโมงเย็น
ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับสุริยคราสไหม

บังเอิญที่ได้มาทำงานที่นี่เ ในเวลานี้ แล้วก็โชคดีที่ช่วงนี้อากาศเย็นสบาย (สมกับเป็นหน้าหนาว)
บรรยากาศก็เลยดี๊ดี
ถึงไม่ได้นั่งกินเบียร์เหมือนคนอื่น แต่ก็คุ้มกับที่มาไกล




หมายเหตุ
๑. ร้านอาหาร "สองฝั่งคลอง" เป็นอีกหนึ่ง Outlet ของเครือ Buddy ที่คุณอาจจะเคยไปกันแล้วก็มีร้านกินลมชมสะพาน ผับของเขาย่านข้าวสาร
รวมทั้งบัดดี้ที่สมุย (ดูเหมือนจะอยู่หาดละไมชิมิ คนสมุย?)
ที่นี่วิวสวยมากๆ โดยเฉพาะช่วงอากาศดี (ไม่มีฝนและไม่ร้อน) ตกเย็นคนไม่นั่งในร้านเลย ออกมานั่งระเบียงริมแม่น้ำหมด อาหารรสชาติดี สมราคา (ไม่แพงเกินไป) มีเหล้าทุกขนาน (ก็เค้าเครือบัดดี้นะจ๊ะ) เบียร์ก็มีให้เลือกเยอะ แต่ไม่มีอาซาฮี
ตัวร้านสวยตามสไตล์ี้เขา คือทำเป็นอาคารสไตล์โคโลเนียล หลังคาสูง โปร่งสบาย ใช้อิฐเยอะ ใช้ไม้(จริง)ยิ่งเยอะ เหมาะกับการจัดเลี้ยง (ครัวเค้าใหญ่มาก เพื่อการจัดเลี้ยงโดยเฉพาะ)

ร้านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซอยเดียวกับร้านอาหารสวนทิพย์ (ที่ใครๆ ก็รู้จัก)
ลองดูแผนที่ที่นี่ www.songfangklong.com หรือโทร. 02 584 5496-8

๒. ถ่ายรูปมามั่วๆ อีกแล้ว เพราะว่าตัดสินใจไม่ได้ว่าจะถ่ายรูปสีหรือขาวดำดี
แถมถ่ายๆ ไป แบตหมด ต้องใช้มือถือถ่ายต่ออีกต่างหาก

เรดาร์แมว : ดงแมว






เสาร์ ๙ มกราคม ๒๕๕๓

จากท่าพระจันทร์ไปท่าช้าง มีดงแมวที่ร้านขายหนังสือ
ผ่านทีไรเป็นต้องแวะรบกวนแมวทุกครั้งไป

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

จักรวาลในสวนดอกไม้

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Biographies & Memoirs
Author:ฮิมิโตะ ณ เกียวโต


ใครหรือคือผู้รับฟังยามปรับทุกข์
ฟัง ฟัง ฟังเราพูดพล่ามจนพอใจ
แล้วก็เพียงยิ้มบางๆ โบกลมให้น้ำตาระเหยหาย

เมื่อนัยน์ตาแจ่ม
จึงกระจ่างใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แล้วก็เติบโตขึ้นอีกขั้น



ผู้รับฟังอย่างสงบงามของเธอผู้นี้คงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากดอกไม้เล็กใหญ่ ต้นไม้ ใบหญ้าทั้งที่กินได้และกินไม่ได้ ที่รายล้อมอย่างไม่มีระเบียบในสวนรอบบ้าน

ฮิมิโตะ ณ เกียวโต โปรยเสน่ห์ใส่ฉันอีกครั้งด้วยความเรียงงดงามชุดนี้ งานเขียนซึ่งสะท้อนภาพความเป็นหญิงสาวผู้มีเลือดมีเนื้อ มีอารมณ์ความรู้สึก มีความอ่อนไหว หญิงสาวธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เป็นสาวพรหมจรรย์เลิศเลอ ไร้มลทิน นางเอก นางมาร เป็นแม่ หรือเมียของใคร เป็นแค่หญิงสาวธรรมดาๆ ที่เจริญวุฒิภาวะทางอารมณ์ตามประสบการณ์ที่ชีวิตที่ได้สั่งสมมา

แค่มนุษย์เพศหญิงสามัญที่มีพร้อมทั้งกิเลส ตัณหา ความปรารถนา อยากได้ เหมือนกับๆ มนุษย์โลกคนอื่นๆ ทำให้เธอดิ้นรน ค้นหา ไขว่คว้า เพื่อจะได้ครอบครอง แต่กลับได้พบกับความพลาดพลั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า

จะโดยตั้งใจหรือไม่ รับรู้ถึงความสุขทุกข์ของเธอหรือไม่-ไม่รู้ได้ แต่ต้นไม้ใบหญ้าร่มรื่นรอบตัวพากันแสดงให้เห็นถึงวาระของการเกิด การดับ การต่อสู้ ความพ่ายแพ้ และพยายาม ครั้งแล้วครั้งเล่า

อันเท่ากับสอนให้เธอเข้าใจชีวิต

ความงดงาม ความเจ็บปวด เศร้าสร้อย และทระนงอยู่ในทีของต้นไม้ในสวน ที่ฮิมิโตะฯ เขียนเล่าให้เราอ่าน เหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ให้เรารู้ว่า บางที กุญแจไขปริศนาในใจหาได้อยู่ไกลสุดขอบจักรวาล

แต่อยู่ในสวนดอกไม้ข้างบ้านนี่เอง




บันทึก
• เจ้าของนามปากกา ฮิมิโตะ ณ เกียวโต เป็นคนคนเดียวกับเจ้าของนามปากกา คำ ผกา (เผื่อยังมีคนไม่ทราบ)
• จักรวาลในสวนดอกไม้เป็นการรวมพิมพ์บทความที่เคยตีพิมพ์ใน Image (ถ้าจำไม่ผิด)
• เธอเขียนถึงแม่ได้น่ารัก (อ่านแล้วนึกถึงแม่ตัวเองทันทีเชียว) แต่เขียนถึงหลานสาววัย 4 ขวบได้อย่างที่ทำให้คนอ่านน้ำตาหล่น
• ฉันรักผู้หญิงคนนี้นะ แม้เขาจะเกลียดหมามาก (เพราะมันบุกรุกทำสวนของเธอเลอะเทอะ) ฉันก็รัก
• ฉันชอบเวลาเธอเขียนถึงกิ่ง ก้าน ใบ ลำต้น ราก ดอก และกลิ่น ที่มักจะนำพาไปสู่ความทรงจำในช่วงต่างๆ ของชีวิต รวมทั้งตอนที่เธอเล่าถึงวิธีปลูกต้นไม้และดูแลสวนตามสัญชาตญาณในแบบเฉพาะของเธอด้วย
• ตอนที่ชอบมากเป็นพิเศษคือ ดอกราตรี และ เจตจำนงของดอกไม้
• อ่านแล้วอยากปลูกบ้าน ปลูกสวนตามใจของตัวเองอย่างนี้บ้าง
• ฉบับที่อ่านพิมพ์โดยแพรวสำนักพิมพ์ ภาพประกอบสวยเชียว (โดยไทยวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์) จัดหน้าได้อ่านง่าย ขนาดรูปเล่มจับถนัดมือ แต่ดูเหมือนปกจะสวยน้อยไปนิด

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

มากมาย หลากหลาย ละลานตา




...หลายไซส์นะ






วันเสาร์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๒

ออกจากบ้านมาวัดพระแก้ว
เสร็จแล้วเดินเตร็ดเตร่แถวท่าช้าง-ท่าพระจันทร์
ผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปี ชีวิตชีวาแถวนี้ยังเหมือนเดิม


เรดาร์แมว : อยากนอนด้วย






พุธที่ 13 มกราคม 2553

บังเอิญไปเจอหนูในหน้าที่เล่าเรื่องนี้
....โคตรน่ารักเลย


Morris Animal Inn Reopens as Luxury Pet Resort


Champagne Celebration for VIPs (Very Important Pets) and their People Will Mark Grand Reopening

MORRISTOWN, N.J., Nov. 13, 2008 — Morris Animal Inn, a 5-star luxury resort and spa for pets, announces the completion of its multi-million dollar expansion and renovation project. The full-service country inn for dogs and cats offers the finest amenities for four-legged guests anywhere — including lodging, grooming, spa services, day care, doggie day camp and more.

The state-of-the-art facility has doubled in size and offers a heated indoor pool, whirlpool, pet suites with soothing music and videos, skylights, indoor and outdoor play areas, pampering and activities packages, daily maid and room service, Happy Hour with homemade pet treats, tuck-in service and more.

Morris Animal Inn (http://www.morrisanimalinn.com) will roll out the red carpet for a Grand Reopening Celebration for its VIPs (Very Important Pets) and their people beginning at 6 p.m. on Thursday, November 20. The private event will feature behind-the-scenes tours, a visit from the “Puparazzi,” a bone bar for dogs, music and refreshments. The media is invited.

The United States pet industry continues to grow. Americans will spend $43 billion dollars on their pets this year, and $3.2 billion on boarding and grooming — up 7 percent from last year, according to the American Pet Products Manufacturers Association.

“Our Inn is not a typical boarding kennel but rather a first-class experience for companion animals,” says owner Walter Morris.

Located on a quiet country lane with over 12 acres, the new facility was designed by Morris with state-of-art engineering to provide for both the comfort and safety of his pet guests. The facility is climate-controlled with purified air, smoke and sprinkler systems, back-up generators, 24-hour surveillance cameras and the capability for daily floor-to-ceiling sanitizing for the cleanest environment. Perimeter fencing encloses the facility.

Spacious, comfortable and affordable accommodations range from $29 to $52 for dogs, $23 to $49 for cats, depending upon size of the pet and season. Additional add-on services are available.

Family-owned and -operated for over four decades, the Inn was established by Walter Morris Sr., a professional dog handler who won “Best in Show” at the prestigious Westminster Kennel Club Dog Show. Current owners Walter Morris Jr. and wife Marianne built the current facility in 1986 and put years of experience into transforming Morris Animal Inn into a luxury pet resort and spa.

ABOUT MORRIS ANIMAL INN

Morris Animal Inn is a full-service, luxury pet resort for dogs and cats located in Morristown, NJ. Established in 1960, the country inn was recently renovated and expanded into a state-of-the-art facility that offers lodging, spa services, grooming, day care and camp. The award-winning Morris Animal Inn is a charter member of the Pet Care Services Association. For more information, call 973-539-0377 or visit http://www.morrisanimalinn.com.

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

เ รื่ อ ง น่ า คิ ด : มีไหม?




forward email เขาบอกมาว่า กับใครคนหนึ่งคนนั้น เราควรรู้สึกกับเขาอย่างนี้


1. ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัสกับความสุขร่วมกับคนๆ นั้น: เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ และเมื่อยามที่เขาห่างไกล ไม่ได้เห็นหน้าก็จะรู้สึกเหงาๆ และคิดถึง  
2. ต้องให้ความเคารพนับถือคนๆ นั้น:  ถ้าจะรักใครสักคน ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาดูถูกและไม่เคยให้ความเคารพในความเป็นเขา แล้วคนอื่นๆ จะเคารพคนๆ นั้นของเราได้อย่างไร และเราจะภูมิใจหรือ กับการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใครๆ เขาดูถูก 
3. ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นที่พึ่งได้: เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าเรากำลังจะตกตึก ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยฉุด 
4. ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน สัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไป: เพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยกันมันก็อยู่กันทน
5. ต้องเข้าถึงความต้องการอารมณ์และความรู้สึกของคนๆ นั้น: อย่างถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียวตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเองด้วยความเต็มใจ
6. ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคนๆ นั้น
7. ต้องรู้สึกว่าเราสามารถจะพูดคุยกับคนๆ นั้นได้ทุกเรื่อง:
คุยอย่างเปิดอก สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจ ขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้ว เราจะอับอายหรือไม่ก็กลัวว่าเขาได้ยิน แล้วจะผงะหงายแล้วเดินหายไปจากชีวิต 
8. ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ: ถ้าไม่มีเขาสักคนชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป 
9. ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคนๆ นั้นในหลายๆ ด้าน: ทั้งความคิดอารมณ์และเวลาแต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง 
10. ต้องรู้สึกอยากมีส่วนร่วมอยากรับฟังทุกอย่าง: ไม่ว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดีหรือเป็นสิ่งที่ทุกข์ ที่เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะคนที่ต้องการแต่จะร่วมสุข นั่นหมายถึงว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีรักแท้





ฉันว่า
กับบางคน ฉันก็รู้สึกกับเขาใกล้เคียงกับที่อีเมล์บอกอยู่หรอก


แต่ว่า
กับคนอย่างฉันเนี่ย
จะมีคนมารู้สึกแบบนี้ด้วยบ้างไหมนะ??






วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Biographies & Memoirs
Author:ฌ็อง-โดมินิก โบบี้ แปลโดยวัลยา วิวัฒน์ศร


ดูเหมือนคนเราจะเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ต่อเมื่อได้เสียมันไปแล้ว

วันที่ยังมีประสาทสัมผัสครบทั้งห้า มือเท้ายังทำงานตามใจสั่ง จับจังหวะ และเคลื่อนไหวได้เร็วเท่าความคิด เราคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าถ้าในวันรุ่งขึ้น เพียงอะไรสักอย่างในร่างกายไม่ยอมทำงานตามที่มันควรทำ ชีวิตเราจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร มีปัญหาแค่ไหน และเรายังจะใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ไหม

ก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 1995 ฌ็อง-โดมินิก โบบี้ คือบรรณาธิการนิตยสาร Elle วัย 43 ปี ที่ใช้ชีวิตปกติ คือ เช้ากินโกโก้ร้อน จูบเมีย ไปทำงาน แก้ปัญหาประสาบรรณาธิการนิตยสาร ตกเย็นก็ไปรับลูกชายจากบ้านแม่ของเขาเพื่อจะไปใช้เวลาวันสุดสัปดาห์ด้วยกัน

แม้อุบัติเหตุเส้นเลือดในสมองแตกในวันนั้นไม่รุนแรงถึงแก่ชีวิต แต่การรอดมาได้ในร่างกายที่กลายเป็นอัมพาตทั้งตัว เหลืออวัยวะที่สั่งให้ขยับได้เพียงอย่างเดียวคือเปลือกตาข้างซ้ายนั้น บางที ตายไปเสียอาจจะี่สบายกว่า

คิดดูเถิด คนที่ยังมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น มีความคิด มีความรู้สึก เจ็บ ร้อน และหนาว แต่พูดไม่ได้ ควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ได้ แม้แต่การกลืนกินก็ทำไม่ได้ และแทบจะสื่อสารกับใครไม่ได้เลยนั้น มีชีวิตอยู่อย่างทรมานแค่ไหน

โบบี้ยังมีชีวิต แม้จะถูกจองจำอยู่ในชุดประดาน้ำหนักอึ้ง รัดรึง แต่ความคิดของเขาโบยบินเสรีได้เช่นเดียวกับผีเสื้อตัวน้อย ดังใจความที่เขาเล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเขียนขึ้นโดยมีผู้ช่วยที่จะไล่ตัวอักษรตามลำดับที่ใช้มาก-น้อย ในภาษาฝรั่งเศสให้เขาฟัง แล้วเขาจะเลือกด้วยสัญญาณของการกะพริบเปลือกตาซ้าย

ไม่ใช่แค่ไม่ยอมแพ้แก่ชุดประดาน้ำ ผีเสื้อตัวน้อยของโบบี้ยังใช้ความเพียรพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า มากแค่ไหนก็ไม่รู้ เพื่อที่จะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เราฟัง เรื่องราวที่เป็นภาพสะท้อนของความสุข-ทุกข์ ความรัก มิตรภาพ สิ่งล้ำค่าในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง รวมทั้งความทรงจำที่ช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อได้แม้ไม่มีอิสรภาพจะเคลื่อนไหวและสื่อสารกับคนอื่นดังใจ

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องเศร้าอย่างที่คิด (คิดมาหลายปี เลยไม่ยอมอ่านเสียที) เพราะในนี้มีแรงบันดาลใจให้ฉันซึ่งปัจจุบันยังมีชีวิต และยังสั่งให้ร่างกายทำได้ทุกอย่างตามที่คิด อยากใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างมีค่า อยากลิ้มรส เมื่อลิ้นยังได้รส-สูดดม กลิ่นรอบตัว-กอด เมื่อยังมีโอกาสกอด-ลูบไล้ เพื่อจดจำความรู้สึกจากสัมผัส- ชื่นชมเมื่อตายังมองเห็น และอยากจะคิดดี พูดดี ทำดี กับคนที่ฉันรักเมื่อยังมีโอกาสใช้ชีวิตด้วยกัน (...จริงๆ นะ)

ขอบคุณที่ฉันยังมีชีวิต ขอบคุณที่คุณยังมีชีวิต
เพราะเมื่อยังมีชีวิต เรายังมีโอกาส



บันทึก
• “..เตโอฟีล ลูกชายของผมนั่งเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของเขาห่างจากใบหน้าผมเพียงห้าสิบเซ็นต์ แล้วผม พ่อของเขา ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเอามือลูบผมดกหนาของเขา สัมผัสต้นคออันอ่อนนุ่ม กอดรัดร่างน้อยๆ อันอบอุ่นและลื่นเรียบของเขาให้แนบแน่น จะให้พูดว่าอย่างไร มันเหี้ยมโหด อยุติธรรม สุดจะทนทาน หรือน่าสะพรึงกลัวกันแน่ ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนด่าวดิ้นสิ้นใจ น้ำตาท่วมท้น มีเสียงดังลั่นอันเกิดจากอาการจุกเสียดเปล่งออกจากลำคอของผมจนเตโอฟีลตัวสั่น อย่ากลัวไปเลยเด็กเอ๋ย พ่อรักเจ้า..” ช่างเป็นวรรคมีชีวิตจิตใจอะไรอย่างนี้
• สำนักพิมพ์ผีเสื้อทำงานประณีตมาก ทั้งรูปเล่ม ความพิถีพิถันในการแปล พิสูจน์อักษร (ไม่มีตัวสะกดผิดเลย) และพิมพ์ เชื่อว่าเชิงอรรถที่ผู้แปลอุตส่าห์จัดทำไว้ท้ายเล่ม ดีไม่ดีจะใช้เวลาพอๆ กับการแปลหนังสือทั้งเล่มด้วยซ้ำ
• ชอบเล่มเล็กๆ จับถนัด สีกระดาษสบายตา font สวน point ใหญ่ อ่านง่าย ทั้งยังไม่มีภาพประกอบรกรุงรังที่จะมาตีกรอบจำกัดจินตนาการคนอ่าน
• แม้ไม่มีอุปสรรคทางร่างกาย ฉันก็เชื่อว่าคนเราทุกคนมีชุดประดาน้ำของตัวเอง แต่ถ้าผีเสื้อของเรายังมีชีวิต ก็จะพาเราโบยบินออกไปจากความหนักอึ้งที่ครอบทับอยู่นี้ได้ อย่ายอมแพ้ง่ายๆ แล้วกัน
• สุดท้ายนี้ไม่ลืมขอบคุนอ้น เจ้าของหนังสือ และเอ๋ คนให้ยืมหนังสือ สองคนนี้กำลังจะได้พบกับอัศจรรย์ของการมีชีวิต (ใหม่) แล้ว


วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องหมาหมา : หมาวัดสวนดอก




เห็นน้องหมาตัวนี้หลับแล้วหลงเลย




ศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒


ถึงเชียงใหม่แล้วก็ไปวัดสวนดอก
อากาศยามบ่ายร้อนระอุเหมือนความหนาวของตอนค่ำ ดึก และเช้าตรู่ ไม่มีอยู่จริง

หมามากมายในวัดพากันหลับใหล
พวกมันไม่แคร์รังสียูวีเอและยูวีบีในแสงแดด

สงสัยจะนอนแอาบแดด สะสมความร้อนไว้ในต่อสู้กับความหนาวเหน็บที่จะมาถึงในไม่ช้า



ป.ล. บางภาพอาจดูคุ้นตาใครบางคน เพราะได้จัดเป็นโปสการ์ดไปทักทายในวันปีใหม่กับคนใกล้ชิดให้ได้ขำขันรับศักราชใหม่เป็นที่เรียบร้อย

ถึงมือกันบ้างหรือยังไม่ค่อยแน่ใจแฮะ

บ่นไปไม่ได้ประโยชน์




ต้นปาล์มเองก็คงงงกับฝนต้นปี




มกราคม ๒๕๕๓

ในเวลาที่ควรเป็นฤดูหนาวเล็กๆ ในเมืองไทย
กรุงเทพมหานครมีฝนตก บางวาระก็หนัก
(หนักแค่บางจุดมีน้ำขังสักครึ่งชั่วโมงหลังฝน)

ขณะที่บางแห่งของโลกมีหิมะตกหนาเป็นเมตร
อากาศติดลบเกินสิบ
หนาวยิ่งกว่าหนาวในรอบสี่ห้าสิบปี

บางแห่งน้ำท่วม
บางแห่งมีไฟป่า

และบางแห่งมีแผ่นดินไหว

ใช่ อากาศมันแปรปรวน
แต่บ่นไป ไม่ได้ประโยชน์

เพราะว่าเราไม่ได้เดือดร้อนเพราะสภาพอากาศแปรปรวนอยู่คนเดียว
แถมเรายังไม่ใช่คนเดียวที่เป็นสาเหตุ และไม่ใช่คนเดียวที่จะแก้ไขความแปรปรวนนี้ได้เสียด้วยสิ





วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

เ รื่ อ ง น่ า คิ ด : ไม่มีเซ็กซ์กันจะอยู่กันไปทำไม?




หัวข้อข่าว: ศาลฎีกาเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้คู่สมรส "ไร้เซ็กส์" หย่าร้างกัน

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศาลฎีกาของประเทศเกาหลีใต้พิพากษาตัดสินให้คู่ชีวิตที่ฝ่ายภรรยาปฏิเสธจะมี เพศสัมพันธ์กับสามีเป็นเวลาหลายปี ไม่สามารถจะยุติชีวิตคู่ดังกล่าวด้วยการหย่าร้างได้

การฟ้องร้องขอหย่าร้างครั้งนี้เกิด ขึ้นหลังจากคู่สมรสฝ่ายชายที่ถูกเปิดเผยเพียงชื่อนามสกุลว่า "คิม" ได้ฟ้องร้องต่อศาลว่าภรรยาคู่ชีวิตไม่เคยร่วมเพศกับเขาเลย โดยทั้งคู่แต่งงานกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 แล้วย้ายไปอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาด้วยกัน ก่อนจะกลับมาใช้ชีวิตที่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งหนึ่ง

"คิม" ยื่นฟ้องร้องขอหย่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 โดยอ้างว่าภรรยาไม่เคยทำให้ชีวิตการแต่งงานของเขาและเธอ "บรรลุถึงจุดสุดยอด" เลย อย่างไรก็ตาม ในที่สุดศาลฎีกาของเกาหลีใต้กลับตัดสินว่า ทั้งคู่น่าจะสามารถแก้ไขปัญหาบนเตียงดังกล่าวได้ หากพวกเขาและเธอมีความพยายามอย่างแท้จริง

นอกเสียจากว่าฝ่ายจำเลย (ภรรยา) มีความปรารถนาที่จะหย่าร้างเช่นกัน ศาลจึงจะอนุญาตให้การหย่าร้างดำเนินการได้, ทั้งยังเป็นเรื่องยากที่จะประเมินได้ว่าชีวิตสมรสของฝ่ายโจทก์ (สามี) จะแตกหักอย่างไม่สามารถเยียวยาจากปัญหาดังกล่าวจริงหรือไม่" ศาลฎีกาเกาหลีใต้พิพากษาในประเด็นการขอหย่าร้างดังกล่าว

โดยศาลเกาหลีใต้จะอนุญาตให้มีการหย่าร้างได้ในกรณีที่คู่รักมีอาการป่วยทางร่างกายจนส่งผลกระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์ในชีวิตสมรส

ทั้งนี้ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้พยายามจะชะลออัตราการหย่าร้างภายในประเทศ หลังจากตัวเลขการหย่าร้างของคู่สมรสชาวเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวในหนึ่งทศวรรษนับจากปี พ.ศ.2538 เป็นต้นมา จนกลายเป็นประเทศที่อัตราการหย่าร้างสูงที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย


เ รื่ อ ง น่ า คิ ด : จะตายไหม?





"ปมมาบตาพุดทำนักลงทุนญี่ปุ่น มองไทยไม่ใช่อันดับ1ปท.น่าลงทุนเอเชีย"

..ก็ถ้าเขาไม่มาลงทุนกันแล้วเราจะตายไปเลยไหมล่ะ??



วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

ขำ ขำ


อ่านไป นึกตามไป แล้วจะยิ้มได้


TEACHER:    Maria, go to the map and find   North America .

MARIA:        
 Here it is.
TEACHER:   Correct. Now class, who discovered   America ?

CLASS:          Maria.

____________________________________

TEACHER:   John, why are you doing your math multiplication on the floor?

JOHN:            You told me to do it without using tables.

__________________________________________

TEACHER:   Glenn, how do you spell 'crocodile?'

GLENN:         K-R-O-K-O-D-I-A-L'
                                           
TEACHER:    No, that's wrong

GLENN:         Maybe it is wrong, but you asked me how I spell it.

                     (I Love this kid)

____________________________________________

TEACHER:   Donald, what is the chemical formula for water?

DONALD:      H I J K L M N O.

TEACHER:   What are you talking about?

DONALD:      Yesterday you said it's H to O.
__________________________________

TEACHER:   Winnie, name one important thing we have today that we didn't have ten years ago.

WINNIE:        Me!

__________________________________________

TEACHER:   Glen, why do you always get so dirty?

GLEN:
          Well, I'm a lot closer to the ground than you are.
_______________________________________

TEACHER:    Millie, give me a sentence starting with ' I. '

MILLIE:           I is..

TEACHER:    No, Millie...... Always say, 'I am.'

MILLIE:           All right...  'I am the ninth letter of the alphabet.'
   
________________________________

TEACHER:   George Washington not only chopped down his father's cherry tree, but also admitted it.  
Now, Louie, do you know why his father didn't punish him?
LOUIS:           Because George still had the axe in his hand.
   
______________________________________

TEACHER:    Now, Simon, tell me frankly, do you say prayers before eating?

SIMON:          No sir, I don't have to, my Mom is a good cook.
______________________________

TEACHER:     Clyde , your composition on 'My Dog' is exactly the same as your brother's. Did you copy his?

CLYDE :           No, sir. It's the same dog.
___________________________________

TEACHER:     Harold, what do you call a person who keeps on talking when people are no longer  
interested?
HAROLD:       A teacher

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

เมนูปรารถนา

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Biographies & Memoirs
Author:ฮิมิโตะ ณ เกียวโต


ไม่ใช่แค่ภาพถ่าย เพลง หรือหนัง ที่ทำให้เราคิดถึงคนบางคน เวลาบางเวลา
..อาหารก็ด้วย

หนังสือเล่มนี้บ่งบอกถึงอีกเสน่ห์หนึ่งของผู้หญิงปากจัดคนนี้ เสน่ห์ที่รู้จักใช้ความอ่อนไหวของตัวเองเขย่า้คนอ่านให้อ่อนไหวตามไปได้้ใหญ่โต

"เมนูปรารถนา" ไม่ใช่เรื่องเล่าอ่านสบายๆ ฮาๆ เหมือน "ครัวหรรษา จากปลาร้าถึงวาซาบิ" ที่ฉันเพิ่งเขียนถึงไป แต่เป็นการเล่าเรื่องเข้มข้น เจาะลึก เล่าถึงความรู้สึกที่เธอระลึกได้จากกลิ่น หน้าตา และรสชาติของอาหารสักจาน

คนทุกคนมีความทรงจำแบบเดียวกับเธอ เรามีเมนูโปรดของเรากับอดีตคนรัก มีขนมที่ชอบเหมือนเพื่อนมัธยม มีอาหารปลอบใจตอนเศร้า มีอะไรที่ต้องกินตอนเครียด รวมทั้งบางช่วงของเดือน

เราจึงดื่มด่ำไปกับความทรงจำผ่านอาหารของฮิมิโตะฯ แล้วก็พลอยหวิวไหว ตัวเบาไปกับฉากอีโรติก ที่บางเมนูเธอก็ปรุงประณีต จนหอมหวน นวลเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน บางเมนูก็คลุกเคล้าให้เข้ากันแค่พอหยาบๆ เปิดโอกาสให้ปากให้ลิ้นได้สัมผัสกับ Texture และความสดฉ่ำจากความสดของวัตถุดิบ

เพียงแต่ว่า อีโรติกติดๆ กันหลายตอน มันจะเลี่ยนเอา เท่านั้นเอง




หมายเหตุ:
-ขอบคุณเอ็มโม่มากเลย เขาเป็นคนที่เขียนถึงปลาดิบ เนื้อดิบ และไข่ปลาได้ชนิดที่ทำให้น้ำลายกระฉูดจนแทบจะไหลออกมาจากมุมปากจริงๆ
-ฉบับที่โม่ส่งมา สำนักพิมพ์ freeform ทำได้สวยนะ จัดแบบนี้อ่านง่ายแล้วก็น่าอ่าน แต่ ฉันว่า่ ปกก็ยังไม่สวยอยู่ดี (ฮา)
-ฮิมิโตะฯ มีชีวิตวัยเด็กที่น่าอิจฉามาก เธอเป็นคนสันทราย เติบโตในครัวของยายและแม่ จึงเชี่ยวชาญทั้งการบริโภคและการปรุงอาหารเมืองแบบ born to be
-ส่วนฉัน แค่ต้มไข่ให้ได้ความแข็งอย่างที่อยากได้ หรือหุงข้าว(หม้อไฟฟ้า)ไม่ให้แฉะยังต้องลุ้นเลย
-สวนของตาก็เป็นอีกอย่างที่น่าอิจฉา สวนของตาเต็มไปด้วยผักหญ้า ฉันอยากมีสวนอย่างนั้น และอยากจะรู้จักการนำผักหญ้าในสวนมากิน มาปรุงอาหารอย่างนั้นบ้างในสักวันหนึ่ง

ครัวหรรษา จากปลาร้าถึงวาซาบิ

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Biographies & Memoirs
Author:ฮิมิโตะ ณ เกียวโต


ช่วงนี้ฉันสมพงษ์กับ ฮิมิโตะ ณ เกียวโต จัง

ก่อนหน้านี้ ช่วงต้นเดือนธันวา ฉันเริ่มอ่าน "เมนูปรารถนา" ที่โม่ส่งมาให้ก่อนแต่ก็อ่านแค่วันละนิดละหน่อย เพราะว่าแต่ละเรื่องมันเป็นเรื่องที่สนุก กลัวจะจบไว แล้วก็กลัวว่าถ้าอ่านต่อๆ กันมันจะเลี่ยนเกินไป เหมือนกับที่เรากินของอร่อยรสชาติใกล้เคียงกันปริมาณมากเกินเหมาะ

แต่ช่วงก่อนวันหยุดปีใหม่ ฉัน ซึ่งเสร็จงานส่วนของตัวเองแล้ว แต่ต้องไปทำงานตามปกติ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นเพื่อนหัวหน้า ซึ่งยังไม่เสร็จงาน (ที่ต้องไปเป็นเพื่อนกันก็เพราะชาวบ้านชาวเมืองเค้าพากันลาพักร้อนไปไหนต่อไหนจนออฟฟิศเกือบร้างแล้วน่ะสิ)

ก็เลยไปค้นหนังสือเล่มนี้ที่มีอยู่ที่ออฟฟิศมาอ่านตอนที่ว่างๆ (ช่วงนั้นดันเข้ามัลติพลายไม่ได้อีก)
จนมาเจอหนังสือเล่มนี้เข้า แล้วก็อ่านได้จนจบ (โอ้พระเจ้า หลังๆ นี้ไม่ค่อยจะอ่านหนังสือจบเล้ย)

ฉันตื่นเต้นที่มันเป็นเรื่องเล่าคนละสไตล์กับในเมนูปรารถนา แม้จะเขียนโดยอวตารเดียวกันของคนคนเดียวกับ "คำ ผกา" นักเขียนรุ่นใหม่ๆ ที่ฉันโปรดเธอเพราะความเป็นผู้หญิงปากจัด ตรงไปตรงมา (โดยเฉพาะเรื่องใต้กระโปรง) ช่างวิจารณ์ แล้วก็โคตรจะเป็นตัวของตัวเองคนนั้น

ใน ครัวหรรษาฯ ฮิมิโตะเล่าเรื่องอย่างสบายๆ ว่าในชีวิตนักเรียนทุนที่ไม่ได้เรียนเก่งจัด แต่จับพลัดจับพลูได้ทุนรัฐบาลให้ไปเรียนโทต่อเอกที่มหาลัยสุดเริ่ดของเกียวโต ซึ่งเพิ่งอกหักรักคุดจากเมืองไทย สมองเลยยังไม่เข้าที่ แทนที่จะรีบเรียนภาษาจะได้สอบโท กลับเอาแต่สับสนจนเบลอในช่วงแรกที่ไปถึงญี่ปุ่นนั้น ได้ค้นพบว่าการลงมือทำอาหารได้ช่วยให้เธอตั้งตััว ตั้งหลัก แล้วก็พบจุดสมดุลของชีวิตได้ยังไง

ในเรื่องเล่าของเธอ เราได้รู้จักตัวตนอีกแง่มุมหนึ่งของผู้หญิงคนนี้ ฉันหมายถึงในแง่ที่เธอเป็นผู้หญิงธรรมดา มีอารมณ์ขึ้นลง บางทีก็มีแรงบันดาลใจ บางทีก็ขี้เกียจจนเข็นตัวเองไม่ขึ้น เหมือนกับที่ฉัน และผู้หญิงอื่นๆ เป็น

จะไม่เหมือนฉันก็ตรงที่ ฉันน่ะ เอาแต่กิน แต่ฮิมิโตะ นอกจากกินเก่ง กินเป็นแล้ว เธอยังมีเซนส์ แล้วทำกับข้าวเก่งแบบเก่งจากสัญชาตญาณของคนช่างกินเลยแหละ

เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ชะมัด



หมายเหตุ:
-ครัวหรรษา จากปลาร้าถึงวาซาบิ เวอร์ชั่นที่อ่านนี้พิมพ์โดยสำนักพิิมพ์มติชน ฉันว่าเขาจัดหน้าไม่สวย พานให้อ่านไม่สนุกเท่าที่ควร
-อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ปกก็ไม่สวยด้วย หน้าตาอย่างนี้ ถ้าจะให้ซื้อเอง สงสัยฉันไม่ซื้อแหง๋ๆ
-ฉันไม่จัดให้เป็นหนังสือ Cooking เพราะเขาไม่ได้สอนให้คนอ่านทำกับข้าว
-คนอยากเปิดร้านอาหาร จะเป็นในเมืองไทยหรือเมืองนอก น่าลองหามาอ่านนะ ในเรื่อง ฮิมิโตะฯ เขาหุ้นกับเพื่อนญี่ปุ่นเปิดร้านอาหารไทยในเกียวโต เขาเล่าถึงข้อสังเกตและข้อจำเป็นต้องระวังไว้สนุกเชียวแหละ


วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553

Operation Love : “รัก” วันนี้ให้ดีที่สุด

Rating:★★★★
Category:Other



ที่จริงฉันได้ดูซีรีส์เรื่องนี้อย่างบังเอิญ แต่ก็โรแมนติกไม่น้อย

มันเริ่มจากเพลง end title ของซีรีส์ ที่ชื่อ Ashita Hareru Kana (ความหมายประมาณ "พรุ่งนี้จะอากาศดีมั๊ยน๊า?") อันเป็นหนึ่งเพลงในบรรดาหลายสิบเพลงที่เอจังจัดให้ ซึ่งฉัน(ตอนแรกไม่ได้สนใจว่าแปลว่าอะไร)ฟังแล้วก็ติดใจทำนอง น้ำเสียงแบบชายกลางคน แล้วพอๆ ฟังไปยิ่งชอบการเรียบเรียงเสียงประสาน จนกลายเป็นเพลงที่ฟังทุกวัน วันละหลายรอบ พอลองไปค้นดูว่าเนื้อหมายถึงอะไร ก็ยิ่งชอบ

พอบอกเอจังไป เอจังก็เล่าว่ามันเป็นเพลงประกอบซีรีส์ ว่าแล้วฉันเลยฝากเธอสั่งซื้อ (เป็นซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่องแรกที่ซื้อเองนะเนี่ย) แม้ว่าเมื่อดูโปสเตอร์แล้ว ยังแคลงใจว่าจะสนุกไหม

เปิดดูแผ่นแรก ก็เดาไปก่อนแล้วว่าคงไม่สนุกเท่าไหร่

ถึงน้องพระเอก (Yamashita Tomoshisa:ยามะพี) จะหน้าตาดี (น้องนางเอก Nagasawa Masami หน้าตาธรรมดา ไม่ได้น่ารักเป็นพิเศษ แต่ขายาวเหมือนนางเอกการ์ตูน) ทว่า ่หน้าตาท่าทางแบบนี้ก็ไม่สเปคฉัน แถมพี่ Fujiki Naohito (พระเอก Hotaru no Agari) ก็ออกนิดเดียว เรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นพระเอก

เนื้อเรื่องก็ไม่ได้เข้มข้น ซับซ้อนอะไร เป็นเรื่องของเพื่อนที่แอบรักเพื่อนมานานแล้ว ต้องไปงานแต่งของเพื่อน แล้วก็เพิ่งจะรู้สึกว่า เออ ฉันรักเพื่อน ฉันไม่อยากเสียเพื่อนไปให้ผู้ชายคนอื่น มีกิมมิคสนุกสนานเป็นฉากแฟลชแบ็กกลับไปสมัยมัธยม วีรกรรมที่ทำร่วมกัน ความทรงจำที่มีร่วมกัน จังหวะที่พอจะบอกเพื่อนได้ แต่ก็ปล่อยให้เสียจังหวะไปเสียอย่างนั้น ฯลฯ

ฉันว่าฉันแก่แล้ว จะชอบดูอะไรที่เนื้อเรื่องเข้มข้น ซับซ้อนกว่าเรื่องรักใสๆ แบบนี้ ..ที่ไหนได้ ดูๆ ไปแล้วมันก็ อืมม์ ก็โอมากๆ เลยนะ

แม้จะเป็นโรแมนติกคอมมีดี้ แต่ซีรีส์เรื่องนี้ย้ำอีกครั้ง ว่าถ้าปล่อยวันนี้ให้กลายเป็นเมื่อวาน เราจะหมดสิทธิ์แก้ไขทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อนที่อยู่เคียงข้างกันมาห้าปี สิบปี สิบห้าปี หรือแม้แต่กับญาติ กับคนที่เราผูกพันถ้าไม่บอกเขาวันนี้ ว่ารัก บางทีเขาจะไม่รู้ว่าเรารักเขาจริงๆ รักเขาแค่ไหน ต้องการเขาอย่างไร บางที พรุ่งนี้เราอาจไม่มีโอกาสจะบอก ไม่งั้นเขาก็ไม่มีโอกาสจะได้ฟัง

มันก็ซึ้งดี เพราะทุกวันนี้คนเราก็เอาแต่เก็กใส่กันจนเสียเรื่อง

ฉันเองก็คิดเหมือนกัน แล้วก็พยายามล้วที่จะไม่เสียเวลากับการเก็ก แต่มีอย่างนึงที่ฉันคิดได้ (ไม่รู้ว่าจะผิด-ถูกอย่างไร) คือ แม้เราจะคิดว่าคนที่ยื่น Proposal ขอเพื่อนรักของเราแต่งงานนั้น ไม่สมควรจะได้เพื่อนของเราไปครอบครองแม้แต่น้อย แต่ถ้าเขาดีจริง เขารักเพื่อนเรา เพื่อนเราก็รักเขา แถมเรายังไม่คิดจะทำตัวให้คู่ควรกับการได้ครอบครองเพื่อน แล้วก็ป๊อดอยู่อย่างเนี้ย ก็อย่าทำให้เพื่อนไขว้เขวเลย ทำใจ ปล่อยเพื่อนไปมีความสุข มีอนาคตดีๆ เหอะ



หมายเหตุ
• ชื่อในภาษาญี่ปุ่นของซีรีส์เรื่องนี้ คือ Proposal Daisakusen เป็นโรแมนติกคอมมิดี้ครบรส บางตอนก็ขำมาก แล้วบางตอนก็ซึ้งมาก น้ำตาไหลตามก็มีนิดหน่อย
• Fujiki Naohito แม้ไม่ใช่พระเอก แต่ก็มาพร้อมบทและบทพูดที่ดีมากๆ
• ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วอยากวิ่งว่ะ
• การตอบรับคำขอแต่งงานที่น่ารักวิธีหนึ่งของสาวญี่ปุ่นคือ ไม่ตอบว่า Yes! หรือ Hai! แต่เป็นการยิ้ม พูดว่า “กรุณาดูแลฉันด้วย” (yoroshiku onegaishimasu) แล้วโค้งต่ำอย่างงาม
• ไม่รู้มันเริ่มได้ไง แต่การแต่งงานคือความฝันของลูกผู้หญิงเสมอมา (ส่วนใหญ่แล้วเป็นอย่างนั้นอะนะ) ฉันว่า ถ้าคนรักของเธอเข้าใจความจริงข้อนี้ก็คงเป็นเรื่องดี
• ฉันเอง จริงๆ แล้วไม่ค่อยสนใจพิธีการแต่งงานเท่าไหร่ เท่าที่เห็นมามันเรื่องเยอะจนดูไม่เหลือความศักดิ์สิทธิ์ แต่อีกครั้ง ในซีรีส์เรื่องนี้ ฉันมองเห็นมุมมองที่ศักดิ์สิทธิ์ของการแต่งงานด้วยล่ะ
• ซีรีส์ยาว ๑๑ ตอน ใน ดีวีดี ๖ แผ่นจะไม่สมบูรณ์ ถ้าคุณไม่ได้ดูแผ่น Special จำนวน ๑ แผ่น ซึ่งจะเติมเต็มเรื่องทั้งหมดให้สมบูรณ์ และให้คุณค่ากับจิตใจและความคิดของคนดู เกินกว่าจะเป็นแค่ soap opera สำหรับดูฆ่าเวลาไปวันๆ เหมือนละครหลังข่าวที่ฉายในเมืองไทย




ครั้งแรกของปี




แต่ไปวัดพระแก้วก่อน

วันนี้คนเยอะมากๆ ทั้งไทยและฝรั่ง




๒ มกราคม ๒๕๕๓


อัลบั้มสะเปะสะปะ
เล่าถึงการออกจากบ้านเป็นครั้งแรกของปี


คิดถึงเชียงใหม่





มกราคม ๒๕๕๓

กลับจากเชียงใหม่ได้ ๒ อาทิตย์
ชักคิดถึงสตรอเบอรี่คลุกพริกกะเกลือ