วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลังอาน : หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ฝน ก้นสู้อาน

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Other
Author:บินหลา สันกาลาคีรี


หลังอาน โดย บินหลา สันกาลาคีรี พิมพ์ครั้งแรกในปี ๒๕๔๐ แต่ฉบับที่ฉันได้อ่านนี้ เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่สี่ ในปี ๒๕๔๓ ได้อ่านด้วยความอนุเคราะห์ให้ยืมจากเพื่อนในมัลติพลายซึ่งฉันลบคอนแทกเขาไปแล้ว

ที่อยู่ในคือเรื่องเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้หนุ่มนักเขียนร่างนุ้ยคนนี้ตัดสินใจทิ้งกรุงเทพฯ ไปอยู่เชียงใหม่ ย้ายก้นขึ้นไปสถิตอยู่บนอานจักรยานเสือภูเขา พาหนะที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรงถีบจากเจ้าของก้นบนอาน
ไต่ดอยชันในบางครั้ง และไหลเรื่อยลงมากับแรงเฉื่อยในบางหน

การเดินทางของเขานำคนอ่านไปพบกับมิตรภาพน่าประทับใจ รวมทั้งช่วงเวลาที่อดเสียวแทนไม่ได้ แต่ประสบการณ์ก็สอนให้บินหลาบินแข็ง และเชี่ยวขึ้นในเวลาต่อมา การเดินทางคือการต่อสู้ คือการสำรวจ และการค้นพบ บินหลาค้นพบอะไรหลายอย่าง ที่ชีวิตตอนที่ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่บนอานยังไม่ได้เจอ หลายอย่างที่ว่ารวมถึงความสุขรสชาติหวานซ่าน ละมุนละไม ซึ่งเขาเล่าจนเราแทบสัมผัสได้

ตัวหนังสือของบินหลาน่ารักเสมอ มันทำให้เราเห็นถึงวิถีของหนุ่มร่างอ้วน ที่อ่อนน้อม ผู้อยากจะฝัน และแม้ไม่ใช้วิธีมุทะลุดุดัน แต่ด้วยการถีบไปอย่างช้าๆ เขาก็อุตส่าห์เดินทางถึงจุดหมายในฝันได้

ฝันไกล แต่ใช่ว่าจะไปไม่ถึง
(ประมาณนั้น)


หมายเหตุ:

ขอขอบคุณเจ้าของ "หลังอาน" มา ณ ที่นี้
(จะรีบส่งไปคืนในเร็ววัน)

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

cocoamix : โกโก้ร้อนรสชาติไม่ต้องลุ้น

Rating:★★★★
Category:Other


เจอ cocoamix (เครื่องดื่มดัทช์โกโก้ปรุงสำเร็จชนิดผง ตราดรอสเต้) โดยบังเอิญตอนไปหากาแฟในคาร์ฟูร์ วันนั้นมองไปเห็นโกโก้กระป๋องตราครอสเต้มีของแถมมัดติดอยู่ ๑ ซอง เป็นโกโก้ 3-in-1 รู้สึกเค้าจะเขียนไว้ว่าของแถมนี้มูลค่า ๑๐ บาท
ก็...เอ๊ะ ดรอสเต้โกโก้ทำของแบบนี้ขายด้วยหรอ

แล้วก็เห็นข้างๆ มีแพ็ค cocoamix ขายอยู่ บรรจุ ๕ ซอง ขายราคา ๔๕ บาท เลยซื้อมาชิม

ปรากฏว่ารสชาติเข้มข้นดี หอมโกโก้สบายใจเชียว
คือมันไม่อร่อยมากไปกว่าโกโก้ร้อนที่ชงด้วยนมสด ตามร้านกาแฟหรอก แต่ว่าอร่อยกว่าฉันชงมั่วๆ เองแน่

ก็มาโม้ให้ป้าอ้อยฟัง ป้าอ้อยถามว่าแล้วทำไมไม่ชงเอง
ฉันว่าโกโก้ถ้าจะชงให้อร่อยต้องใส่นมข้นจืด ทีนี้เปิดกระป๋องแล้วก็ต้องกินให้หมดไวๆ ฉันกินคนเดียว มันไม่ค่อยจะหมดไว ทิ้งไว้หลายวันก็จะเสียซะก่อน

ฉันเลยรู้สึกว่ามีโกโก้มิกซ์อย่างนี้สะดวกดี
ไม่ต้องซื้อโกโก้กระป๋องมาหนึ่ง มีน้ำตาล (บ้านฉันไม่มีน้ำตาล) มีนมวัว (ในตู้เย็นมีแต่นมแพะ) แล้วก็นมข้นจืด แล้วก็ไม่รู้ว่าจะชงอร่อยไหม

อยากกินโกโก้ร้อนก็เปิดชงได้เลย รสชาติไม่ต้องลุ้น เอาไปชงกินที่ทำงาน ก็จะไม่ต้องเสียตังค์ให้ร้านข้างนอกสำหรับโกโก้ร้อนแก้วละ ๒๐ (ราคาประหยัดในย่านที่ทำงานแล้ว)

แต่ถ้าวันไหนอยากกินโกโก้อร่อยๆ คงต้องเสียตังค์ ๒๕ บาทให้เจ๊เค้า
ถ้าอยากมีวิปครีม รู้สึกจะเพิ่มอีก ๕ บาท ของเค้าดีจริง (อ้วนจริงด้วย)

ไม่รู้ราคาที่สตาร์บั๊คส์เป็นไง ไม่เคยซื้อกินเองเลย




หมายเหตุ
๑. ส่วนประกอบที่สำคัญของ cocoamix คือ น้ำตาล 43%, ครีมเทียม 19%, ผงดรอสเต้โกโก้ 18%, นมผงขาดมันเนย 11%, คาปูชิโน่โฟมเมอร์ 7%
๒. กลับไปซื้อในอีกอาทิตย์ต่อมา จากแพ็คละ ๔๕ บาท มี ๕ ซอง คาร์ฟูร์ขายขึ้นราคาเป็น ๕๐ บาท ยังไม่ได้เดินดูที่อื่นว่าเขาขายกันเท่าไหร่ (เจ็บใจจริง แต่ก็ซื้อกลับมาอีก)
๓. การกลับไปครั้งที่สอง ทำให้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่จากดรอสเต้ คือ mochamix เป็นกาแฟมอคค่าปรุงสำเร็จรูปชนิดผง 3-in-1 อีกเช่นกัน ชงแล้วก็รู้สึกว่ามันอร่อยเข้มโกโก้ดีนะ ดีกว่ากาแฟ 3-in-1 อื่นๆ
(แต่ปลื้มรสชาติ cocoamix มากกว่า ^_^ )


วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

X2 Rayong



ช้อบ-ชอบ

ที่เดียวกะรูปตะกี๊
ต่างกันแค่คนละวัน

(เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงตาหลอดเวลา)




X2 (อ่านว่า ครอสส์ทู) เป็นแบรนด์ดีไซน์รีสอร์ตหรู ที่เด่นเด้งที่ดีไซน์ (แหง๋สิ) โดยเฉพาะ X2 กุยบุรี ออกแบบโดย คุณด้วง-ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกผู้โด่งดัง ส่วน X2 อีกแห่งอยู่ที่สมุย (เดี๋ยวคงมีคนมาบรรยายความประทับใจให้คุณอ่านกัน) ไม่รู้ใครออกแบบ

ทั้ง X2 สมุยและกุยบุรี รวมทั้งแบรนด์ X2 เป็นของ และบริหารโดย บริษัท Astudo ซึ่งนอกจากเป็นเจ้าของ+บริหารแล้ว ยังบริหารโดยไม่ได้เป็นเจ้าของด้วย (คือรับจ้างบริหารนั่นเอง)

X2 ระยอง คือหนึ่งในรีสอร์ตแบรนด์ X2 ที่ Astudo เป็นผู้บริหารให้
พูดอีกนัยหนึ่งคือ มันไม่ได้ถูกออกแบบตั้งแต่แรก ให้เป็นรีสอร์ตสไตล์ และไซส์เดียวกับ X2 รุ่นพี่ทั้งสองแห่งที่เปิดไปก่อนหน้า ฉะนั้น สำหรับคนที่เคยไป X2 กุยบุรี และสมุยแล้ว ให้ลืมไปเลย แล้วทำความรู้จักกับ X2 ระยอง ในแบบที่มันเป็น X2 ระยอง

คุณน็อต หนุ่มวัย 25 เจ้าของ X2 ระยองเล่าให้ฟังว่า พื้นที่ 3 ไร่ติดอ่าวไข่ (เงียบสงบ น่ามาพักผ่อนมาก) แห่งนี้ ตอนแรกคิดจะสร้างบ้านตากอากาศสำหรับครอบครัว ก็บอกสถาปนิกบริษัท IDIN Architect ไปว่าชอบ minimal เพราะน้อยๆ มันเข้ากับทะเล และมันจะอยู่ไปได้อีกนานกว่าดีไซน์แบบรุ่นพ่อ

แต่คุณน็อตเห็นแบบแล้วคิดว่า ขยายโปรเจคท์ ทำเป็นรีสอร์ตไปเลยดีกว่า

ในที่สุดก็ได้เป็นรีสอร์ตเล็กๆ ที่มีทั้งหมดแค่ 13 ห้อง แต่ละห้องออกแบบแนวๆ ผิดสัดส่วนของโรงแรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมในย่านนี้

การจัดพื้นที่ใช้สอยของห้องน้ำคือสิ่งที่น่าสนใจ ห้อง 13 ห้อง มีห้องน้ำใหญ่โต แล้วก็ถูกออกแบบให้มีเดย์ไลต์ชอนไชเข้ามาในห้องน้ำ (สวยมาก-ชอบ) แต่ว่า แต่ละห้องจะถูกจัดวางตำแหน่งของอ่างอาบน้ำ โถสุขภัณฑ์ เรนชาวเวอร์ และช่องแสงไม่เหมือนกันเลย ถ้ามีโอกาสได้เข้าไปดูหลายๆ ห้องเหมือนฉันคุณคงตื่นเต้นเหมือนกัน

Facilities อื่นๆ ของโรงแรมคือ สระว่ายน้ำยาว 25 เมตร (ประมาณนั้น) ห้องอาหาร 4K (อ่านว่า ฟอร์ก เหมือนส้อมน่ะ) Signature Restaurant ของแบรนด์ X2 ที่ยังไม่เสร็จ (คาดว่าจะพร้อมเดือนกันยายน แต่โปรดเช็คอีกทีนะจ๊ะ) ไม่มีสปา ไม่มีห้องเกม ไม่มีห้องเด็ก มีห้องประชุมไม่ใหญ่ (ไม่ได้ไปดูแฮะ) ไม่มีคอมให้ใช้ แต่มีสัญญาณเน็ต (ช้าๆ) ฟรี ที่จอดรถประมาณ 10 คัน

ที่สำคัญคือ หาดที่ไม่ติดโรงแรมหรอก มันถูกคั่นด้วยถนนเลนเดียวที่แทบไม่มีใครใช้ เดินออกจากโรงแรม ข้ามถนนก็ถึงแล้ว เขื่อนที่มีเก้าอี้วางไว้ให้ชิลล์ และหาดที่นี่ เงียบสงบ สบายมาก ใกล้ๆ มีร้านอาหารบ้านๆ รสชาติซีฟู้ดสุดแซ่บด้วย (โปรดหาข้อมูลจากอัลบั้มก่อนนี้)

สรุปว่า ไม่ใช่รีสอร์ตที่จัดว่าหรู (เว็บจองโรงแรมจัดไป 4 ดาว) แต่ที่นี่สบายเพียงพอ เงียบ (เพราะยังไม่ค่อยมีใครมา-ฮา) และไม่แพง!

ตอนนี้ราคาห้องเดอลุกซ์ ซีวิวแบบที่ฉันได้นอน เขาขายแค่ 4,000 บาท++ ส่วนห้องไม่เห็นวิวทะเล ขนาดเท่ากัน ทุกอย่างเหมือนกัน แต่จะอับๆ นิดหน่อย เพราะเป็นห้องที่อยู่เตี้ยสุด แค่ 3,300 บาท++ เป็นราคา soft-opening ถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้เท่านั้น

X2 Rayong
215/3 หมู่ 3 แหลมแม่พิมพ์
อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
โทร. 0 3865 7378
แฟกซ์ 0 3865 7379
www.X2resorts.com



วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คำสารภาพ ฉบับที่ ๖ : ฉันลบคอนแทก



ฉันเล่นมัลติพลายมาสองปีกว่าได้ เคยมีคอนแทกเหยียบร้อย (ถ้าไม่เกิดเรื่องคืนวันฮัลโลวีนเมื่อปีก่อนไม่รู้จะทะลุไปเท่าไหร่) กับเวตติ้งลิสต์อีกเกือบสามสิบ (วันดีคืนดีก็หายไปเองบ้างเพราะเขาพาตัวเองออกไปจากแถว)

 

เทียบกับหลายคนในโลกมัลติพลาย จำนวนคอนแทกของฉันแค่จุ๋มจิ๋ม แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมกูต้องมีคอนแทกเป็นร้อยด้วยวะ

 

ฉันเป็นมนุษย์ประเภทที่อยู่ได้โดยไม่ต้อง Popular แล้วก็เลิกแคร์คนที่ฉันไม่คิดว่าควรแคร์ไปนานแล้ว (หลังเรียนรู้ว่ามันเหนื่อยเกินไปที่จะแคร์ทุกคนให้ได้ครบ) แต่คนที่มาเป็นคอนแทกกัน ฉันอยากจะแคร์ ฉะนั้น ถ้าคนพวกนี้มีเป็นร้อยๆๆ เหมือนชาวโลกมัลติพลายคนอื่น ฉันคงต้องตามแคร์จนไม่เหลือเวลาไปทำมาหากิน

 

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีโอกาสจะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ที่น่าสนใจ และมีน้ำใจ ฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะ (ได้เพื่อนแบบนี้จากมัลติพลายเยอะอยู่เหมือนกัน ^_^ )

 

ด้วยความไม่อยากจะฉาบฉวย ผิวเผิน ทำให้ฉันขอเป็นคอนแทกคนอื่นน้อยมาก ยิ่งหลังจากฮัลโลวีนบ้าบอคอแตกนั่น ยิ่งคิดมาก ตัดสินใจช้ากันไปใหญ่ คนใหม่ๆ ที่เพิ่งรู้จักไม่นาน (บางคนก็ไม่รู้จักเลย) ที่มาขอทาบทามเป็นเพื่อนกัน (ทำไมเขาถึงอยากเป็นเพื่อนกะฉันนะ?) ฉันแทบไม่เสียเวลาคิด หรือพยายามตามไปทำความรู้จักกับเขา แต่ ดอง invitation ไว้อย่างนั้นแหละ

 

เพราะว่าถ้ารับเขาเป็นคอนแทก ไม่รู้จักเขาคนเดียวไม่พอ ยังได้เน็ตเวิร์กเป็นร้อยๆ จากคอนแทกเขา ซึ่งฉันไม่รู้จักสักคนเป็นของแถมมาด้วย ..แค่คิดก้อกลุ้มละ

 

สิ่งที่จะสารภาพก็คือ:

หลังจากคิดเพี้ยนๆ วนเวียนอยูู่่พักใหญ่ ฉันก็เริ่มลงมือสังคายนาบัญชีรายชื่อคอนแทกของตัวเอง ดูว่ามีใครอยู่ในนั้นบ้าง ใครบ้างที่ถึงแม้ไม่เคยอัปแม้แต่รูป Headshot ก็ลบเขาออกไปไม่ได้ ใครยังมีชีวิตอยู่ ใครตัดทางโลกไปแล้ว และในวันแรก คือศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2552 ก็เลือกลบคอนแทกไปประมาณ 7 รายการ เรื่องเหตุผล..คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องสาธยายแจกแจงกัน เพราะฉันไม่ใช่คณะกรรมการซีไรต์ตัวแม่

 

ที่อยากจะบอกไว้ในบล็อกที่ไม่รู้จะให้ประโยชน์โภชน์ผลแก่คนอ่านหรือไม่ก็ไม่แน่ใจนี้ ก็คือ

 

มัลติพลายมันแค่โลกสมมตินะจ๊ะ อย่าไปเอาน้ำยากับมันมากมายเลย


โลกที่เรามีชีวิตอยู่เนี่ย มันเป็นโลกจริงๆ มีแรงจีที่กระทำต่อทุกสิ่งอย่างที่อยู่บนตัวมัน นั่นทำให้เท้าของเราติดอยู่กับดิน เป็นโลกที่มีต้นไม้ สายลม แม่น้ำ สายฝน พระอาทิตย์ และหิมะ บนโลกใบที่มันกำลังร้อนอยู่เนี่ย เราสามารถทำความรู้จักกันด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 6 พูดคุย จับมือ เทศนา หอมแก้ม กินข้าว ปรับทุกข์ เถียง คุยตลกกันได้ กระทั่งมีเซ็กซ์กันอย่างสุขสมจากการสอดใส่ ไม่ใช่แค่สุขหลอนๆ จากไซเบอร์เซ็กซ์

 

สำหรับฉัน การเป็นคอนแทกกันไม่ได้หมายความว่าเรารักกันปานจะกลืน รู้ใจกันทุกเรื่อง สนิทกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมาสามชาติ การเลิกเป็นคอนแทกกันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหันหลังให้กัน หมดมิตรภาพและความเมตตากรุณาต่อกัน หรือแปลว่าฉันเกลียดคุณขนาดทนสูดหายใจเอามวลอากาศเดียวกับคุณเข้าไปไม่ได้

 

ฉันแค่ลบคอนแทก ไม่ได้บล็อก

การที่คุณไม่ได้เป็นคอนแทกของฉันแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถมาเยี่ยมเยียนกันได้อีก รู้ไหม ฉันยังติดตามข่าวคราวของคุณผ่าน Inbox ที่เซ็ตเป็น Network (เรายังอยู่ในเน็ตเวิร์กเดียวกันจ้ะ!) ยังทักทาย แซว กัด จีบ ทับถม สดุดี กระทบกระเทียบเปรียบเปรย ให้กำลังใจ ตั้งคำถาม โยนระเบิด ฯลฯ กันผ่าน Guestbook ได้อยู่ เดี๋ยวนี้ฉันปล่อยให้มันเปิดประตูรับ ทุกคนในโลกมัลติพลายแล้วล่ะ  


ฉะนั้นถึงฉันจะลบชื่อคุณออกจากคอนแทกโดยไม่ได้ขออนุญาตเป็นเรื่องเป็นราว และถึงแม้การที่เราได้มาเป็นคอนแทกกันนั้น เกิดจากคุณ ที่มาขอฉันเองก็


...โปรดอย่าเคืองฉันเลย

 

 

 


ป.ล. 1 ถ้าไม่รบกวนเกินไป อยากให้คุณช่วยบอกเหตุผลดีๆ สักข้อ ว่าคนเราขอเป็นคอนแทกกันไปทำไม?

ป.ล. 2 รูปหมาน้อยร่าเริงนี่ไม่ได้ถ่ายเอง เจอในโลกเสมือนนี่แหละ เซฟไว้นานแล้วจ้า

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Coco avant Chanel : ก่อนโลกจะรู้จักชาแนล

Rating:★★★
Category:Movies
Genre: Drama


บางทีเราก็ลืมไป ว่าก่อนที่โลกจะเป็นอย่างทุกวันนี้ โลกเป็นยังไงมาก่อน

ก่อนที่ผู้หญิงจะใส่กางเกงยีนส์ขาเดปเอวต่ำกับเสื้อกล้าม คล้องผ้าพันคอ เขย่งบนส้นเข็ม และไม่ลืมกรีดขอบตาคมกริ๊บออกจากบ้าน คนรุ่นทวดเราเขาแต่งตัวยังไง

ก่อนที่ผู้หญิงจะประกาศท้าหย่าผัว แล้วยืนยันจะเลี้ยงลูกคนเดียวในวิถีของซิลเกิลมัม
คนรุ่นทวดเราเขาอยู่ยังไง ทำมาหารับประทานยังไง

ก่อนที่โลกจะรู้จักกับชาแนล แบรนด์เนมที่กำหนดเทรนด์แฟชั่นและรสนิยมการแต่งตัวของผู้หญิงมีตังค์อย่างทุกวันนี้นั้นโลกเป็นอย่างไร ดูได้ในหนัง Coco avant Chanel (2009) หนังที่ตั้งชื่อภาษาฝรั่งเศส แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า โคโค่ ก่อนจะเป็น (โคโค่) ชาแนล

โคโค่ ชาแนล มีชื่อจริงว่า กาเบรียล ส่วนโคโค่น่ะ เป็นชื่อหมาน้อยซึ่งอยู่ในเพลงที่เธอและพี่สาวร้องในบาร์เพื่อหาเลี้ยงชีพ

ผู้หญิงสมัยของโคโค่ที่จัดว่าเป็นสุภาพสตรี (คือมีตังค์) ไม่ต้องทำงานเลี้ยงชีพกัน เพราะจะมีผู้ชายคอยเลี้ยง ผู้ชายที่ว่าก็เป็นได้ตั้งแต่พ่อ สามี รวมทั้งสามีคนอื่น

โคโค่กับพี่สาวเป็นลูกกำพร้าแม่ที่พ่อไม่ยอมเลี้ยง แต่จับใส่รถม้ามาปล่อยที่คอนแวนต์เลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ชีวิตที่ควรจะเป็นชีวิตดีๆ ของเด็กสองคนนี้เลยไม่มีทางเลือก เป็นได้อย่างเดียว คือชีวิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

พี่สาวของเธอรักกับบารอนคนหนึ่ง ถึงกับเก็บเสื้อผ้าไปอยู่ด้วยแล้ว แต่ก็แต่งงานกันไม่ได้ เพราะครอบครัวฝ่ายชาย (บารอนเชียวนะยะ) ไม่อาจรับสถานะลูกกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายเท้าของหล่อนได้ โคโค่เอง ในที่สุดก็ต้องเลือกที่ตามผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่นสนุกคนหนึ่งไป เพื่อจะได้มีชีวิตต่อไป

สิ่งที่ชีวิตอันหยาบกระด้างและแห้งแล้งให้กับโคโค่คือ ความดื้อ ขวางโลก ขบถ เธอประกาศว่าอยากทำงาน และโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะทำงานอะไรที่จะเลี้ยงตัวเองได้นั้น เธอก็ค่อยๆ ค้นพบความสามารถในการสร้างสรรค์เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของตัวเอง

โคโค่สวมหมวกสักหลาดเรียบๆ แบบผู้ชาย ใส่กางเกงแล้วก็โดดขึ้นหลังม้าแบบขี่คร่อม (สมัยนั้นผู้หญิงเค้าขี่แบบคนใส่กระโปรงนั่นซ้อนมอไซค์วินเดี๋ยวนี้อะ-เหมือนลูกเชอรี่ที่แปะไปบนเค้ก ดังที่ตัวละครตัวนึงกล่าวนั้นแล)

สไตล์ของโคโค่เท่ เธอทำหมวกไม่มีขนนก เดรสไม่มีคอร์เซ็ต (ชุดชั้นในที่รัดแน่นจนเนื้อ+ไขมันกลางลำตัวทะลักล้นไปออกที่นม) รองเท้าไม่มีส้น จับใจเหล่าผู้หญิง ซึ่งสมัยนั้นแข่งกัน ‘เยอะ’ มากจนเริ่มเบื่อ แล้วก็ทึ่งเอากับอะไรเรียบๆ ง่ายๆ เท่ๆ

เสน่ห์เท่แบบเป็นตัวของตัวเองของโคโค่จับใจผู้ชายอีกคน ซึ่งเป็นชายที่เธอรัก ซึ่งเขาก็รักเธอด้วย ..แต่เขากำลังจะแต่งงาน ช่าย..เขากำลังจะตกถังข้าวสาร (โอ้ว...ม่าย)

โคโค่นั้นรู้ดี ว่าเธอไม่อาจเป็นเมียใครได้ (ก็สถานะอย่างเธอ สังคมไม่ปลื้มอะดิ) ก็เลยเปลี่ยนความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาทั้งหมดที่มี มุ่งมั่นไปในการทำงาน อย่างน้อยคงเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าแม้ไม่อาจได้รับการยอมรับในฐานะเมียผู้น่าภาคภูมิใจของชายคนที่เธอภูมิใจ แต่ผู้หญิงหลายๆ คนก็ทึ่ง ปลื้ม และยอมรับในสไตล์ของเธอ

ในที่สุด Chanel แบรนด์เนมที่นำนามสกุลของโคโค่มาใช้ ก็ถือกำเนิดขึ้น และยืนสง่าในโลกแฟชั่นมาจนทุกวันนี้

ชีวิตของโคโค่ไม่อาจพูดได้ว่าน่าสงสาร ที่รู้สึกในฐานะลูกผู้หญิงคือ เป็นชีวิตที่น่าภาคภูมิใจของลูกผู้หญิง แม้จะไม่ใช่ผู้หญิงที่มีโอกาสได้เป็นเมีย หรือแม่ของใคร



รู้ไว้เถอะว่าโคโค่ ชาแนล คือผู้หญิงคนแรกๆ ที่เดินออกมาจากเงาของผู้ชาย






บันทึก
• หนังเรื่องนี้กำกับโดย Anne Fontaine เล่นเป็นโคโค่ ชาแนลโดย Audrey Tautou
• ดูหนังเรื่องนี้แล้วไม่รู้สึกเหมือนกำลังดูชีวิต โคโค่ ชาแนล แต่เหมือนดูอาเมลีที่แก่ขึ้น และทำตัวเป็นโคโค่ (เพราะยิ้มและเขี้ยวของเธอแน่เลยยัยโตตู)
• เรื่องของโคโค่ ชาแนล ออกจาทรงพลัง ทำไมหนังออกอ่อนอ้อยสร้อย ไม่ทรงพลังเลย หรือฉันคาดหวังเยอะไป? หรือฉันเข้าใจเนื้อหาหนังผิด? หรือฉันมีอคติกับโตตู? ไม่นะฉันรักโตตูที่เป็นอาเมลีจะตาย
• เล่าความรู้สึกนี้ให้น้องที่ออฟฟิศฟัง น้องบอกว่า ไม่หรอก ที่โตตูเล่นในดาวินชี่โค้ดนั่นออกจะดี (เอ่อ ไม่ได้ดูว่ะ-ฉันแอนตี้สังคมน่ะ)
• โปสเตอร์ที่หามาประกอบรีวิวนี่เป็นคนละอันกับที่ติดอยู่ที่ลิโด้ (ซึ่งเป็นภาพที่ไม่อยู่ในเรื่อง ในเรื่องโคโค่ไม่ได้ตัดม้าเต่อเหมือนในโปสเตอร์ใบนั้น) เข้าใจว่าที่ลิโด้ต้องใช้โปสเตอร์แบบนั้น เป็นเพราะว่าแม้หนังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องของโคโค่ ชาแนล แต่ไม่อาจใช้รูปที่เธอคีบบุหรี่ติดหน้าโรงได้ (โดยไม่ถูกด่า) นั่นเอง
• เราจะสังเกตเห็นความขบถของโคโค่ในรูปนี้ ชีใส่ชุดนอนผู้ชายนะนั่น ผู้หญิงเขาไม่ใส่แบบนี่กันหรอก
• สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้คือฉาก ฉากชนบท ทุ่งหญ้าที่คนรวยขี่ม้ากัน ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นสวยมาก
• แน่นอนว่า costume ในเรื่องก็สวยมากๆ
• ถ้าอยากชมก็เชิญที่ลิโด้เลยละกาน

Comrades, Almost a Love Story : เพื่อนรัก-รักเพื่อน

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


หลายปีหลังแยกทางกัน ถ้าบังเอิญได้พบกับคนรักที่ตัดใจจากไปแล้ว เห็นเขาส่งยิ้มแบบเดียวกับแบบเดิมที่เราคุ้ยเคยดีให้มาแต่ไกล ใจเราตอนนั้นจะเป็นยังไงนะ?



ในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา เราอาจพบกับความรักได้หลายครั้ง แต่แต่ละครั้งที่ได้รักคงประทับอยู่ในพื้นที่ความทรงจำเรามากน้อย งดงาม และจับใจเราไม่เท่ากัน

หนังฮ่องกงที่ใช้ชื่อไทยว่า “เถียนมีมี่ 3,650 วัน..รักเธอคนเดียว” เล่าเรื่องความรักที่ไม่อาจลืมเลือนของหนุ่มสาวจากแผ่นดินใหญ่คู่หนึ่งที่ข้ามมาขุดทองในฮ่องกงในปี 1986

วิถีชีวิตคนจีนแผ่นดินใหญ่ในฮ่องกงเวลานั้นอาจคล้ายคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ คือมันลำบาก งานที่มีให้ทำก็จะเป็นแต่งานที่คนฮ่องกงเค้าไม่ทำ เพราะมันเหนื่อยยาก ต้องใช้แรงงาน พูดเป็นแต่จีนกลางก็ต้องมาหัดพูดกวางตุ้งจะได้สื่อสารกับเขาได้ แค่นั้นไม่พอ ถ้าอยากได้งานดีกว่านี้ ก็ต้องหัดพูดอังกฤษด้วย

แต่ถึงจะลำบาก แต่ชีวิตในฮ่องกงให้โอกาส ใครขยัน ใครลงทุนเป็น ใครมีคอนเนกชั่นดีก็อาจจะรวยได้เหมือนกัน

ลี่เฉียว (จางม่านอวี้) นางเอกของเรานั้นขยันมาก ตั้งอกตั้งใจแล้วก็พยายามเหลือเกิน วันๆ ทำงานหลายอย่าง เธอมาฮ่องกงก็เพราะอยากมีเงินกลับไปสร้างบ้านให้แม่อยู่ ส่วนเสี่ยวจิน (หลี่หมิง) พระเอกก็เป็นคนดี ร่าเริง จิตใจดี มองโลกในแง่ดี (ด้วยสายตาและความรู้สึกของเสี่ยวจินนี่เองที่ทำให้คนดูรู้สึกได้ถึงซอกมุมที่น่ารัก น่าอยู่และโรแมนติกของฮ่องกงในเวลานั้น) เสี่ยวจินที่เขียนจดหมายถึงคนรักซึ่งรออยู่ที่บ้านตลอดเวลา สงสัยเขาข้ามมาทำงานเก็บเงินตั้งตัวก่อนกลับไปแต่งงานกับหล่อน

สองคนเจอกันครั้งแรกในร้านแมคโดนัลด์ คนนึงเป็นคนขาย อีกคนไปเข้าคิวซื้อ จากนั้นก็กลายเป็นเพื่อนคนแรกบนเกาะฮ่องกงของกันและกัน ..มันดูอบอุ่นขึ้นนะ ชีวิตในเมืองใหญ่ เมืองแปลกใหม่ ที่มีเพื่อนเนี่ย

ลี่เฉียวเองยังดูมีความสุขขึ้นเยอะ เธอถึงกับร้องเพลงเถียนมีมี่จากท้ายรถจักรยานที่เพื่อนปั่นไปส่งตอนเปลี่ยนที่ทำงาน เพื่อนเองก็ผสมโรงด้วย ภาษาจีนในเพลงของเติ้งลี่จวินทำให้ทั้งสองคิดถึงบ้านกระมัง?

วันหนึ่งหลังจากตั้งเต็นท์ขายเทปและแผ่นเสียงเติ้งลี่จวิน แต่ขายไม่ได้เลยเพราะฝนตก ทั้งสองก็ขึ้นเตียงกัน มันไม่ใช่ความตั้งอกตั้งใจหรือหมายมั่นปั้นมืออะไร ไม่แน่ใจหรอกว่าตอนนั้นสองคนนั้นชอบกันแค่ไหน จริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นแค่เรื่อง ‘คืนฝนตกฟ้าคะนอง คนว้าเหว่สองคนมากินข้าวด้วยกัน’ เหมือนที่ลี่เฉียวบอกก็ได้

ไม่รู้ลี่เฉียวคิดยังไง แต่รู้ว่าหลังจากนั้นแล้วเสี่ยวจินเขียนจดหมายหาคนรักไม่ออกเลย

ทั้งสองคบกันอย่างนี้พักใหญ่ ไม่ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่นัดเจอกันในห้องเช่าหมายเลข 527 แบบชั่วคราวเพราะลี่เฉียวต้องการประหยัดเงิน

เสี่ยวจินเองโชคดี จากหนุ่มส่งของ ได้เปลี่ยนไปทำงานพ่อครัว ก็เริ่มมีเงินเก็บ วันหนึ่ง ลี่เฉียวเสียหุ้นแทบหมดตัว แถมมีหนี้นอกระบบอีกบาน เลยจำใจต้องไปเป็นหมอนวด (นวดอย่างเดียวนะจ๊ะ) งานที่ทำเจ้าตัวจิตตกไม่น้อยเพราะไม่ภูมิใจ แต่ก็ทำให้เธอได้เจอกับพี่เป้า

เสี่ยวถิงชวนลี่เฉียวไปเลือกสร้อยข้อมือทองคำให้คนรัก (...ซื่ออะไรอย่างนี้) ลี่เฉียวก็ช่วยเลือก เสี่ยวถิงดันซื้อแบบเดียวกันอีกอันให้ลี่เฉียวด้วย (เขาคงไม่รู้ว่าทำแบบนี้มันทำร้ายใจกันขนาดไหน) เส้นบางๆ ในใจลี่เฉียวเลยขาดผึงในคืนนั้น เธอโวยวายถามว่าทำแบบนี้ทำไม ‘ฉันมาฮ่องกงไม่ใช่เพื่อคุณ คุณมาฮ่องกงก็ไม่ใช่เพื่อฉัน’

ทั้งสองแยกกันตั้งแต่คืนนั้น แล้วเสี่ยวถิงก็เลิกขี่จักรยานไปเลย

ถิงถิง คนรักของเสี่ยวถิงเดินทางมาฮ่องกงสองสามปีให้หลัง ลี่เฉียวมางานแต่งของทั้งสองพร้อมพี่เป้า สามีที่ไม่ได้แต่งด้วย ความเป็นอยู่ของเธอตอนนี้ดีมาก ก็พี่เป้าเป็นนักเลง มีสตางค์เลี้ยงเมียให้สุขสบาย แถมลี่เฉียวก็ไม่ได้อยู่เฉย เธอยังลงทุนและทำงานเพราะอยากมีตังค์ไปสร้างบ้านให้แม่

ความรู้สึกคงเป็นเหมือนถ่านไฟที่ใช้หุงข้างจริงๆ นั่นแหละ ตราบใดมันยังไม่มอดดับ เราก็เป่าให้มันโชนขึ้นมาใหม่ได้ ด้วยอะไรคล้ายๆ กันนี้ แรงดึงดูดของความห่วงหาอาลัย ความรักความผูกพันที่ทั้งสองยังมีต่อกันก็เลยทำให้ห้องหมายเลข 527 ของโรงแรมโทรมๆ นั่นมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

‘ฉันอยากลืมตาแล้วมองเห็นคุณทุกวัน’ จางม่านอวี้ในองค์ของลี่เฉียวพูด เธอถามคนดูด้วยตาดวงกลมที่กำลัง lost in love ว่า เธอจะทำยังไงดี

เสี่ยวถิง คนรักของเธอบอกเธอว่าเขาจะกลับบ้านมาบอกถิงถิง และเขาทำจริง แต่ว่าลี่เฉียวกลับเป็นฝ่ายที่ไม่อาจทำตามสัญญาได้ และครั้งนี้ ทั้งสองคนก็พลัดกันไปอีกหลายปี


พบกันอีกครั้งในปี 1996 หนึ่งปีก่อนอังกฤษจะส่งคืนฮ่องกงให้กับจีน วันนั้นทีวีประกาศข่าวการเสียชีวิตของเติ้งลี่จวิน หน้าทีวีที่กำลังฉายสกู๊ปประวัตินักร้องคนโปรด เพลงเถียนมีมี่ที่แว่วอยู่ในใจพวกเขาตลอดก็ดังขึ้น

ทั้งสองส่งยิ้มแบบเดิม แบบเดียวกับเมื่อสิบปีก่อนให้กัน แล้วหนังก็จบ


รักแท้ที่ต้องรอถึงสิบปี.. เรื่องแค่นี้ ‘จิ๊บๆ’





บันทึก
• ชอบเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ ทั้ง OST และ score
• เพิ่งรู้ว่าเติ้งลี่จวินตายที่เชียงใหม่
• เห็นหลี่หมิงขี่จักรยานแล้วรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย
• ถึงมันจะเน่าไปหน่อย แต่รักหนังเรื่องนี้จัง
• ผู้กำกับปีเตอร์ ชานเกิดที่ฮ่องกงเมื่อปี ค.ศ. 1962 เมื่ออายุ 12 ขวบเขาติดตามครอบครัวมาอยู่ที่ประเทศไทย อายุ 18 ปีก็ไปเรียนวิชาภาพยนตร์ที่สหรัฐอเมริกา แล้วเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในฮ่องกง (มิน่า มีบทพูดถึงพัทยา แล้วก็มีตัวละครเป็นคนไทยเดินทางไปค้ากามที่ฮ่องกงด้วย)
• ได้ข่าวว่าหนังเรื่องนี้จับใจทั้งคนฮ่องกง ไต้หวัน และจีนแผ่นดินใหญ่ อิฉันเองก็ชอบ มันเหมือนเป็นบันทึกเหตุการณ์ช่วงนั้นน่ะ
• หนังเรื่องนี้ได้รางวัลเยอะซะด้วยนะ


วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ที่ไม่ขอโทษ เพราะไม่รู้สึกผิด หรือเพราะไม่คิดว่าควรขอโทษ?

เหมือนทะเลเป็นสีทอง






เย็นวันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๒


หน้าฝนอย่างนี้ ไปทะเลแต่ละที ต้องมีลุ้น
เพราะว่าทะเลและอากาศเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา
โชคดีที่ทริปนี้มีเย็นวันนึงที่แสงกำลังดี ทะเลมีคลื่น
ก็เลยรู้สึกว่า เฮ่อ....ดีจัง







หมายเหตุ บุคคลที่อยู่ในภาพไม่ได้กำลังเล่นน้ำทะเล
พวกเขากำลังหาเคย (กุ้งตัวเล็กๆ ที่เอาไปทำกะปิระยอง) กันอยู่จ้ะ

ท้องฟ้าและทะเลนั้นเกินจะเดา



เย็นของอีกวัน
หลังเจอนางนวล
วันนี้มีแสงอาทิตย์





จันทร์ ๑๗-พุธ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๒

ไปทำงานที่อ่าวไข่ บ้านกร่ำ แกลง ระยองมา
เป็นการเดินทางที่เพลิดเพลิน และตื่นเต้นเล็กน้อยตอนกลับ

อ่าวไข่ไม่ได้สวยเลิศเลอ แต่สงบเงียบน่าพอใจ

อยากไปอีกจัง

ของอร่อยที่อ่าวไข่






จันทร์ ๑๗-พุธ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒


ไปทำงานที่ X2 ระยอง
รีสอร์ตเล็กๆ นี่ตั้งอยู่ที่อ่าวไข่
ในวันแรกเค้าจะเลี้ยงเฉพาะมื้อเย็น ไปถึงอ่าวไข่บ่ายนิดๆ เลยต้องหาข้าวกินกันก่อน

โชคดีจัง
สุ่มเจอร้านอร่อย
วิวดี แถมใกล้รีสอร์ตแบบเดิน ๕ ก้าวถึง
(มารู้ในภายหลัง)

ใครอกหัก หรืออยากปลีกไปอยู่สงบๆ อ่าวไข่ก็ดีนะ
เงียบสงบดี
ไปให้ถึงแกลง ผ่านอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไปจนถึงปั๊ม (ปี๊มไรหว่า....เออ มันมีปั๊มไม่เยอะหรอก แถวนั้นมันเงียบๆ) เจอสามแยกแล้วก็เลี้ยวซ้าย

ทางมันจะขึ้นเนิน พอลงเนินก็จะได้เห็นภาพเยี่ยงภาพที่ ๑ นั่นแล

เรื่องหมาหมา : นางนวลที่อ่าวไข่






เย็นวันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๒


ฟ้ามีแดดอุ่น
ทะเลมีคลื่น
ลงไปเดินเล่นริมหาดอ่าวไข่
บ้านกร่ำ อำเภอแกลง ระยอง

เจอนางนวลเตร่มาทักทาย


วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Change : ไม่ใช่(นักการเมือง)มืออาชีพ

Rating:★★★★★
Category:Other



ตอนแรกว่าจะไม่ดูแล้ว Change เพราะเพิ่งดูแว้บๆ ไปทางไทยพีบีเอส ซึ่งตอนนั้นเหมือนเขาเอามาฉายได้พอดีกับจังหวะของโอบาม่า และอภิสิทธิ์ (บางคนพยายามสุ่ยให้เป็น โอบามาร์ค) ขึ้นเป็นผู้นำพอดี

แล้วก็เพราะรู้อยู่ว่าการเมืองมันเป็นเรื่องสกปรก ถึงพระเอกจะคนดี มีอุดมการณ์ แต่ถ้าเขียนเรื่องให้คนดีและอุดมการณ์ดีๆ ทางการเมืองเป็นฝ่ายชนะ เรื่องมันคงจะเน่าจนรับไม่ได้

(ออกจะมองในแง่ร้ายไปบ้าง แต่ก็คิดงี้แหละ)

อย่างไรก็ตาม เพื่อนก็เอาดีวีดีมาให้ยืม ตอนแรกก็ให้มาแค่แผ่นเดียวก่อน เพราะชีดูจบไปแค่แผ่นเดียว อิฉันเองได้มาแล้วก็เฉย ดองไว้งั้น ได้หยิบมาดูจริงจังในวันก่อนสอบสัมภาษณ์ Y5 (เพราะเครียด ไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว) ดูจบแผ่นแรกแล้วก็รู้สึกอยากดูอีก จนต้องส่ง sms จิกให้เพื่อนเอาแผ่นที่เหลือมาให้ในวันสุดท้ายที่จะได้เจอกัน-ในห้องเรียน

แล้วก็พบว่านี่เป็นเรื่องที่ดี (อีกตามเคย) จริงๆ

-----

เราๆ เองเคยสังเกตเอง คุยกันเองมานานแล้ว ว่างานที่ต้องเสียสละ เสี่ยง แล้วก็หนักอย่างนักการเมืองเนี่ย ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์ ใครมันจะมาทำ (วะ?)

คนเขียนบทก็คงเริ่มต้นจากตรงนี้ เลยเขียนเรื่องให้ลูกชายที่ออกจากบ้าน เพราะรับไม่ได้ที่พ่อซึ่งเป็น สส. ไม่ยอมปฏิเสธว่าไม่ได้รับสินบน กลับต้องเป็นผู้ลงสมัครเพื่อสืบทอดและรักษาเก้าอี้ สส. พรรคเซยู แทนผู้เป็นพ่อ และพี่ชายซึ่งจู่ๆ ก็เสียชีวิตกะทันหันในอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์

จริงๆ ที่อาซากุระ เคตะ (ทาคุยะ คิมูระ) ยอมสมัคร ก็เพราะปกป้องแม่ ไม่ให้แม่ต้องลงสมัครเองนั่นแหละ

เคตะเป็นครูวัย ๓๕ ออกจากบ้านที่ฟุกุโอกะ ไปเป็นครูประถมอยู่ที่นากาโน่ เพราะไม่วางมาด แถมเป็นกันเองกับเด็ก เลยถูกเด็กๆ ล้อว่าเป็นครูหัวยุ่ง (ก็เคตะเค้าผมหยักศกธรรมชาติ) แต่จากเด็ก ป.๕ นี่แหละ ที่เคตะได้เรียนรู้ แล้วก็หล่อหลอมบุคลิก วิสัยทัศน์ของเขาให้เป็นแบบที่เป็นอยู่

ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งซ่อมแทนตำแหน่งของพ่อ เขาไม่มีความสุขเล้ย คิดดูเหอะ เคยเป็นคนรักสงบ เป็นตัวของตัวเองสูง แต่วันๆ ต้องแต่งสูท ไดร์ผมตรง ออกไปตระเวณทำความรู้จักกับคนโน้นคนนี้ โค้งคำนับแล้วคำนับเล่า แต่ก็ทำไปตามหน้าที่ เพราะหวังว่า ถ้าถึงวันเลือกตั้งแล้วแพ้ คนพวกนี้ก็จะได้หยุดยุ่งกับชีวิตเขา ปล่อยเขาไปตามทางเสียที

แต่ตอนที่หาเสียงงวดเข้ามา ฝ่ายตรงข้ามปล่อยข่าวเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ตอนที่พ่อเขารับสินบน เคตะถูกถามระหว่างกำลังปราศรัยว่าเรื่องที่พ่อของเขาทรยศนั้นเป็นความจริงหรอ

เป็นคุณ คุณกำลังหาเสียง แล้วคุณก็รู้ด้วยว่าพ่อทำหรือไม่ทำ คุณจะตอบยังไง ตอบรับ หรือว่าปฏิเสธ??

-----

เคตะเลือกที่จะเล่าว่า เขาเคยถามพ่อ ว่าพ่อรับเงินจริงหรือ พ่อไม่ตอบ แต่บอกว่า การจะเป็นนักการเมืองต้องแลกมาด้วยอะไรหลายอย่าง

เคตะบอกว่า เขาเกลียดการเมืองนับตั้งแต่บัดนั้น เขาเคยคิดว่า ไม่อยากสมัครเลือกตั้งซ่อมอะไรนี่ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจ ที่ได้ขอโทษแทนพ่อ

แล้วเขาก็ก้มหัวขอโทษแทนพ่อ

เคตะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. ที่ยอมก้มหัวขอโทษประชาชนจริงๆ คนแรกที่หลายๆ คนได้เห็น
(อดีตนายกพลัดถิ่นของเราก็ไม่เคยขอโทษเรานะ ใช่ไหม?)

“ผมไม่อยากสอนพวกเด็กๆ ว่าสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นในสังคมนี้”

ดูสิ อย่างนี้ประชาชนจะไม่เลือกเคตะได้ไง?

-----

มิยาม่า (ฟุกาสึ เอริ) นางเอกของเราเป็นสาวเก่ง เป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการคลังมากความสามารถที่ศรัทธาภาพลักษณ์ของนักการเมืองอาชีพ (แบบนี้จะชั่วนะ) จึงมุ่งมั่นเรียนรู้เพื่อที่วันหนึ่งจะได้เป็นนักการเมืองอาชีพบ้าง นอกจากจะถูกส่งมาหาผู้สืบทอดของ สส. ผู้ล่วงลับแล้ว เธอต้องทำหน้าที่ทีมสนับสนุนหาเสียงให้เขา และเมื่อเขาได้รับเลือก เธอก็ต้องมาทำหน้าที่เลขาให้เขาด้วย

เธอไม่เข้าใจเคตะ ผู้ไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน ว่าทั้งๆ ที่ผู้ใหญ่ในพรรครอกินข้าวอยู่ แต่ทำไมเคตะกลับมัวแต่เสียเวลาฟังปัญหาของผู้ชายเพี้ยน เจ้าของแมว ๓๕ ตัวที่เก็บมาเลี้ยง ซึ่งกำลังโดนชาวบ้านร้องเรียน

เคตะขอโทษขอโพย แต่ก็บอกว่า เขาได้มาเป็น สส. เพราะคะแนนเสียงที่คนแสนกว่าคนเลือกเขา เมื่อได้เป็น สส. แล้ว บ้านก็มีให้อยู่ หรือแม้แต่รถไฟ หรือเครื่องบิน เขาก็ยังได้ขึ้นฟรี แต่ตอนนี้กลับไม่รู้จะทำอะไรตอบแทนให้สมกับคะแนนเสียงที่ประชาชนเลือก และนี่คือสิ่งที่เขากำลังพยายามทำ

คำพูดของเคตะทำให้มิยาม่าเริ่มปรับโฟกัสของเธอใหม่

-----

ถ้านายกญี่ปุ่นเป็นคนไม่รู้เรื่องการเมืองเลย ประเทศญี่ปุ่นจะชิบหายไปภายใน ๓ เดือนไหม แกนนำคนสำคัญของพรรคเซยูถามแกนนำคนอื่น คนอื่นๆ ตอบว่าไม่มีทาง

อิฉันละเกลียดเสียงหัวเราะของคนพวกนั้นในฉากนั้นจริงๆ ก็พวกเขาเห็นนายกรัฐมนตรีเป็นแค่หุ่นเชิด จะให้ใครเป็นก็ได้ ถ้าเด็กป.๕ เป็นได้ตามกฎหมาย แล้วประชาชนพอใจและยอมรับ พวกเขาคงไม่มายด์ที่จะให้เด็กเป็น เพราะว่าคนที่จะคอยชักใยอยู่เบื้องหลังแท้จริงแล้วคือพวกเขาไงล่ะ

ว่าแล้วอีตาคนนี้ก็วางแผนจะดันให้เคตะ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจ และเอ็นดูจากประชาชนและสื่อมวลชนขึ้นเป็นนายก อะไรๆ ก็ดูเข้าล็อคตามแผน เคตะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่เพิ่งเป็น สส. สมัยแรก ยังไม่เคยเป็นรัฐมนตรี และมีอายุเพียงแค่ ๓๕ ปี

เขารับตำแหน่งด้วยอุดมการณ์เรืองโรจน์ ว่าจะทำงานหนัก จะเดินไปด้วยกัน และยืนเคียงข้างประชาชน จะมองเห็นสิ่งเดียวกับที่ประชาชนเห็น

แต่ดูเหมือนพวกที่ดันเขาขึ้นมาไม่ได้คิดอย่างนั้น


-----


"Change" ที่ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอะไร โดยใคร และอย่างไร ถ้ามีโอกาสก็หามาดูกันเองเองนะ แม้ซีรีส์เรื่องนี้จะไม่มีบทพิศวาสหวานแหวว ไม่รีดน้ำตา แต่ไม่เสียเวลาดูหรอก



บันทึก:
• ดูเหมือนทาคูยะ คิมูระ จะได้บทคล้ายๆ เดิมอีกแล้ว ยังไงน่ะหรอ? ก็บทพระเอกอินดี้ เก๋ เท่ แหวกธรรมเนียมแนวทางสามัญ ที่มาพร้อมกับสัญชาตญาณ ความจริงใจ แล้วก็เฮงเรื่องบริวารไง
• ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว น่าเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวละคร อาซาคุระ เคตะ มาก
• อายุมากขึ้น แต่ยังหล่อเหมือนเดิมนะ
• ถ้ามีอะไรสักอย่างที่เราต้องเชื่อมั่น สิ่งนั้นควรเป็นความดี เพราะว่าความดีมันคือความคงทน ค่าของมันไม่แปรผันเหมือนอัตราเงินเฟ้อ
• ความดีคืออะไร (อาจมีคนถาม) ความดีคือการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ไม่คดโกงเอารัดเอาเปรียบใคร และแม้จะมีคนประณามว่าเราไม่ใช่มืออาชีพ ก็อย่าได้แคร์ ความเป็นมืออาชีพนั้นมันแล้วแต่การให้ความนิยาม จงเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเชื่อมั่น (นั้นคือความดี) แล้วจงเป็นมืออาชีพในสไตล์ของเรา
• ทำไมละครไทยไม่มีงี้มั่งฟระ?





วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : อยากหนุนพุงแมว






แมวในซอย
นอนแผ่หน้าโบสถ์วัฒนา
เจอกันบ่อยๆ
ลูบคลำได้บ่อยๆ
ส่วนใหญ่จะไม่หนีมือ
เนื่องจากเคลื่อนตัวลำบาก

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ถ่ายภาพบำบัด-รอลาบปลาดุก




อิจฉาฟ้าที่นี่ไหม
คนเมืองลีดส์?





เสาร์ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒


อาทิตย์ที่ผ่านมา มีอะไรเิกิดขึ้นมากมาย
จัดได้ว่ายุ่ง ป่วน และเครียด
ของที่คิดว่าจะส่งให้ใครๆ เลยต้องดองไว้ รอจนถึงวันเสาร์ แล้วก็ไปไปรษณีย์

เพราะวันเสาร์ ไปรษณีย์ปิดเที่ยง กว่าจะได้กินอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลยต้องรอให้กลับจากไปรษณีย์แล้ว

แม่ค้าส้มตำแถวๆ บ้านมีเมนูลาบปลาดุกเป็นพิเศษสำหรับเสาร์-อาทิตย์
อยากลองชิมหน่อย แต่ดันมาถึงพอดีเที่ยง เลยรอคิวนาน
แม่ค้าเกรงใจลูกค้าหน้าวีน เลยจัดเก้าอี้ให้นั่ง

ลูกค้าก็นั่ง แล้วเหม่อ
อาิทิตย์นึงราวกับหนึ่งเดือน มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำไปพร้อมๆ กัน
แต่ละอย่างนั่น ต้องทำให้ได้ดีทุกอย่างซะด้วย

เหมือนแม่ค้าส้มตำตอนนี้เลย
สิ่งที่ต้องทำมีทั้ง ตำส้มตำ สับลาบปลาดุก คนข้าวเหนียวในหวด
ไหนจะต้องคอยบริหารอารมณ์ลูกค้า คอยบอกเมนู และคิดเงิน
โดยต้องทำทุกอย่างนั้นให้ได้ดี ไม่ผิดพลาด คิดเงินต้องเป๊ะ
ตำส้มตำต้องได้รสเดิม ลาบปลาดุกต้องใส่เครื่องให้ครบ และเลือกก้างปลาออกให้หมด
พูดจากับลูกค้าก็ต้องหวานไม่น้อยไปกว่าที่ลูกค้าเคยได้ยิน

จะมาโอดครวญ วิงวอนขอร้อง บอกว่าทำไม่ทันจ้า ขอแม่ค้าทำทีละอย่างได้ไหม
หึ หึ....แล้วลูกค้าที่ไหนมันจะรอ

นี่มันเวลาเที่ยง เวลาที่ทุกคนควรได้กิน หิวแล้ว เข้าใจไหม


นี่แหละ...
โลกของมืออาชีพเป็นแบบนี้


แม่ค้าส้มตำก็ต้องพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพของแม่ค้าส้มตำ

เรา-ก็ต้องพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพของเราเหมือนกัน



เรื่องหมาหมา : ...ดีกันนะ ตัวเอง







....ชิส์!
ทำมาง้อ


วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ถ่ายภาพบำบัด-ดอกไม้






ค่ำวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ สิงหาคม ๕๒




สอบเสร็จ ต้องไปหาซื้อของมาทำงานต่อ
ก็เดินไปห้าง

ตอนไปถึง อึ้ง
ในห้างกำลังจัดโชว์ไทยทิวลิปอลังการ
ทั้งคนไทย ฝรั่ง แขก ญี่ปุ่นตื่นเต้นกันใหญ่
ถ่ายรูปกันจ้าละหวั่น

ก็หายหัวไปหาของ

กลับออกมา ห้างจะปิดแล้ว
บรรยากาศโหรงเหรง

ทุ่งไทยทิวลิปเหลือแต่ดอกโทรมๆ



...สงสารดอกไม้
วันนี้เธอทำงานหนัก

เรดาร์แมว : ขอบคุณ ที่ให้กำลังใจ






...นะ เจ้าเหมียว

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ถ่ายภาพบำบัด-ฟ้า






สติสตังไม่อยู่กับเนื้อตัว
ออกจากบ้านไป หวังเจอแมวสักตัว
ปรากฏว่าแม้แต่หมายังไม่เจอเลย

แหงนหน้ามองฟ้า

นะ..อย่างน้อย ฟ้าก็ยังเต็มใจให้ถ่ายรูป





วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มีพี่ดีเป็นศรีแก่ปาก (too)



บะตื๋นจากแม่แต๋ง





อังคารที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒

พักก่อนพี่บุ๋มเล่าว่ากินบะตื๋น (คำเมือง หมายถึงกระท้อน) กับน้ำอ้อย (เครื่องจิ้มของเปรี้ยว ทำจากน้ำตาลอ้อยละลายกับเกลือ พริกป่นและอื่นๆ) ซึ่งเป็นการกินของส้ม (หมายถึงเปรี้ยว) แบบเมือง แล้วคิดถึงม้อย

พี่บุ๋มไม่เล่าเปล่า จัดการหาส่งมาให้ม้อยชิมน้ำอ้อยสูตรนี้จริงๆ
ส่งแึค่น้ำอ้อยก็เกรงใจแย่แล้ว นี่พี่บุ๋มส่งบะตื๋นมาด้วย
(หนักมากเลย) เพราะพี่บุ๋มอยากให้แกะกล่องแล้วกินได้เลย

เกรงใจมาก แต่ก็ขอบคุณมากนะคะ

น้ำอ้อยอร่อยจริง
จิ้มดูดโดยยังไม่ได้ปอกบะตื๋นไปได้ครึ่งนึงแล้วเนี่ย
^_^

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มีเพื่อนดีเป็นศรีแก่ปาก



ให้ชั้นเป็นหนี้แกนะ

(จดไว้แล้ว)



เสาร์ที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒

บ่นไปในอัลบั้มก่อนนี้ ว่าชอบกินงาโหย่วแบบที่ให้ดูรูป
แต่เท่าที่เจอเขาขายในกรุงเทพฯ มันก็ช่างแพงเหลือเกิน แล้วก็วิงวอนไปว่า

...เพื่อนคระ
ถ้าไปทำงานที่ไหนแล้วเจอผลิตภัณฑ์เยี่ยงนี้ (แล้วมันไม่แพงเท่าที่เคยซื้อ)
เพื่อนโปรดอย่าลืมบอกเพื่อนนะคระ...

เพื่อนผู้แสนดีก็จัดแจงหาให้ แล้วก็ส่งมาให้กินด้วยความเมตตาในตัวเพื่อนผู้สลิดอยากกิน

เพื่อนอุตส่าห์ส่ง EMS ออกตัวตั้งแต่วันที่ ๔ ซึ่งไปรษณีย์ก็แสนดี ส่งถึงในวันที่ ๕
แต่เป็นคนทำงานที่คอนโดเพื่อนเองที่ขี้เกียจตัวเป็นขน

ไม่ยอมแจ้งว่ามีพัสดุ ไม่งั้นเพื่อนจะได้เปิดซองตั้งแต่เช้าวันที่ ๖ ไม่ใช่บ่ายวันที่ ๘ แบบนี้

เพื่อนก็ไม่รู้จะวีนยังไงแล้ว เพราะเท่าที่วีนไป ถ้าเป็นเพื่อนโดนเอง
เพื่อนก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

หัวหน้าเค้าก็ช่างเฉยดาย
ลูกค้ามาตำหนิ (อีกแล้ว) แทนที่จะขอโทษ แล้วปรับปรุง
กลับกล่าวโทษลูกน้องให้ลูกค้าฟัง

เป็นคนแบบนี้ ทำตัวแบบนี้ มาทำงานแบบนี้
ไม่รู้เมื่อไหร่จะเจริญรุ่งเรืองเหมือนกัน


วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มักแต๊-มักว่า



โปรดสังเกตส่วนผสม

ใช้น้ำผึ้งซะเยอะ แต่ไม่หวานแหลมเหมือนน้ำตาล
แต่เลยหวานหอมๆ ทั้งกลิ่นน้ำผึ้งน้ำอ้อยเลย






เคยพยายามจะเล่าให้เพื่อนฟัง
ว่าสิ่งที่ชอบกินสิ่งนี้รูปร่างหน้าตาเป็นไง

...มันเป็นบาร์ที่ทำจากงา น้ำผึ้ง แล้วก็น้ำอ้อยนะแก
เป็นของโอทอปจากแม่ฮ่องสอนนะแก ชั้นได้กินตอนไปปายแล้วเค้าแวะร้านของฝากนะแก..

อธิบายไปเพื่อนก็ยังงง
จนเมื่อต้นปี ไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ตที่สยามพารากอน
ก็ไปเจอเข้า ในโซน Gourmet Thai ที่เค้าจะหาของพื้นบ้าน (ก็ไม่เชิงหรอก) ไทยดีๆ มาขายอย่างภาคภูมิใจในคุณภาพ และราคา

งาโหย่วตะไคร้-งาโหย่วน้ำผึ้งที่เคยกินในราคา ๓ แพ็ค ๑๐๐ ก็เลยกลายเป็นแพ็คละ ๔๐ บาทอย่างที่เห็น

เพื่อนคระ
ถ้าไปทำงานที่ไหนแล้วเจอผลิตภัณฑ์เยี่ยงนี้ (แล้วมันไม่แพงเท่าที่เคยซื้อ)
เพื่อนโปรดอย่าลืมบอกเพื่อนนะคระ


ป.ล. ชื่ออัลบั้มแปลว่า ชอบจริง-จริ๊ง

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Memories of Matsuko : All she needs is love

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


เพราะว่าเคยดู Kamikaze Girls (2004) ของผู้กำกับ เทตสึยะ นากาชิมะ ที่ House RCA แล้วเป็น อึ้ง ทึ่ง ตะลึง เอามากมายกะสไตล์ของแก พอรู้ว่า Memories of Matsuko (2006) คือผลงานต่อมา ก็เลยหาแผ่นมาดู

ผลก็คือว่า เป็นได้อึ้ง ทึ่ง ตะลึง อีกครั้งกับการเล่าเรื่องแบบเซอเรียลแฟนตาซี และน้ำตาไหลทั้งๆ ที่ปากยังหัวเราะกับเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้

หนังเริ่มต้นเล่าเรื่องของโช หลานชายที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีป้า ซึ่งถูกพ่อใช้ให้ไปเก็บกวาดอพาร์ตเม้นต์ของป้า คือมัตสึโกะ หญิงวัย 53 ที่ถูกพบว่าเสียชีวิตจากการถูกทำร้าย

ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องแบบฉูดฉาด สุดจะมีสีสัน และเต็มไปด้วยกิมมิค ผู้กำกับพาเราย้อนเวลาสามสิบกว่าปีไปรู้จักกับมัตสึโกะคนสวย มัตสึโกะผู้อ่อนหวาน ครูสาวร้องเพลงเพราะ หัวอ่อน และมองโลกในแง่ดี ผู้ซึ่งถูกคาดหวังอย่างสูง ทั้งยังไม่เคยได้รับความรักอย่างเพียงพอจากครอบครัว ถูกเอารัดเอาเปรียบและล่วงละเมิดจากผู้บังคับบัญชา ผู้ซึ่งได้รับการแสดงความรักอย่างผิดๆ จากเด็กนักเรียนที่แอบชอบ

ชีวิตที่น่าจะเป็นชีวิตดีๆ ของผู้หญิงญี่ปุ่นคนนี้พลิกผันตกกระเด็นออกนอกลู่นอกทางด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทิฐิในธรรมเนียมของครอบครัวแบบญี่ปุ่นที่ไม่อาจรับให้เธอกลับบ้านได้ยังผลักไสให้มัตสึโกะต้องซัดเซพเนจรออกไปเผชิญชะตากรรมนอกบ้าน

ผู้หญิงญี่ปุ่นต่างจังหวัด เมื่อสมัยสามสิบกว่าปีก่อนนั้นออกจะอยู่คนเดียวได้ยาก (คงยากพอๆ กับผู้หญิงไทย) มัตซึโกะไม่อาจยืนบนสองขาเรียวสวยของตัวเอง ต้องยืนอยู่บนสองขาของผู้ชายผู้ได้ชื่อว่าสามี ซึ่งแต่ละคนก็ช่างสุดยอดไปในทางเลว ไม่มีใครเลยที่ไม่ตบตีมัตสึโกะ (อ้อ มีอยู่คนนึง แต่รักครั้งนั้นดันมีอุปสรรคซะอีก) บางคนเป็นแมงดา ให้มัตสึโกะหาเงินให้บ้าง ใช้ให้ขนยาทั้งยังด่าทอก็สารพัด เธอก็ยังทน

เพราะอะไรน่ะหรอ

เพราะเธอไม่มีใครแล้วไง ฉะนั้น ใครก็ได้ที่ยอมอยู่กับเธอ มัตสึโกะจะยอมทนอยู่กับเขาได้ทั้งนั้น


เมื่อผู้ชายคนสุดท้าย คนที่เธอรักมากที่สุด หวังมากที่สุด และฝันสวยที่สุด กระทำอย่างนั้นตอบแทนการรอคอยยาวนานหลายปีของเธอ ความหวังทั้งหมดที่มีก็พลอยระเหิดระเหยหายตามไปด้วย มัตสึโกะคนสวย ซึ่งดูแลตัวเองอย่างดีมาตลอด เกิดหมดอาลัยตายอยากในฉับพลัน หมดความไว้วางใจ และหมดหวังในความสัมพันธ์ เก็บตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวในอพาร์ทเม้นต์รกๆ อยู่นานหลายปี จนกลายเป็นป้าอ้วนฉุ ตัวเหม็น เป็นที่น่ารังเกียจและหวาดกลัวของเพื่อนบ้าน



“All you need is love” ที่เพื่อนสงสัยว่าแค่นั้นจริงๆ หรอ
อิฉันว่า สำหรับผู้หญิงชื่อมัตสึโกะแล้ว เธอต้องการแค่นั้นจริงๆ
เพราะอะไรๆ ในชีวิตมันเป็นสิ่งที่หาเอาได้ทั้งนั้น

มีแค่ความรักเท่านั้น ที่เธอไม่เคยได้กินจนอิ่ม








บันทึก
• โศกนาฏกรรมทั้งหมดที่เกิดกับชีวิตของผู้หญิงคนนี้ อิฉันขอกล่าวโทษที่ครอบครัวของเธอแต่เพียงเท่านั้น
• เล่าซะทราจิก แต่จริงๆ ในความทราจิก หนังสนุกมากเลยนะ
• ดูหนังเรื่องนี้ตั้งหลายรอบ แต่ไม่กล้าเขียนถึง
• หนังเรื่องนี้เข้าชิงรางวัลเจแปนฟิล์มอวอร์ดส์ ถึง 9 รางวัลด้วยกัน (รวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม) คว้ามาได้ 3 รางวัล คือ ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (แกเบรียล โรแบร์โต และ ซึโยชิ ชิบูยะ), ลำดับภาพยอดเยี่ยม (โยชิยูกิ โคอิเกะ) และ รางวัลนักแสดงนำหญิง (มิกิ นากาตานิ)
• ด้วยความที่เคยกำกับเอ็มวีมาก่อน ผู้กำกับ เทตสึยะ นากาชิมะ เลยสร้างโลกของมัตสึโกะใน Memories of Matsuko ให้ออกมาสวยเหมือนนั่งดูเอ็มวียุค ’50s-’70s และสอดแทรกด้วยงานศิลปะแบบป๊อบอาร์ตที่ถึงใจ ตามความตั้งใจของนากาชิมะที่อยากให้หนังเรื่องนี้เป็นที่รวบรวม งานพาณิชย์ศิลป์ ของญี่ปุ่นทุกอย่างมาใส่ไว้ด้วยกัน ตั้งแต่เพลงญี่ปุ่น การ์ตูนญี่ปุ่น แฟชั่นแบบญี่ปุ่น ฯลฯ
• เจ๋ง