วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

The Orphanage : ยังไม่เข้าใจแม่

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Horror
วันอังคาร ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ จับพลัดจับผลูไปดูหนังผีสเปนกับปกรณ์
คือตอนแรกไม่รู้ว่ามันคือหนังอะไร ไม่ได้เตรียมตัวไปล่วงหน้า แค่นัดกันประมาณเที่ยงครึ่งที่สยาม แล้วไปดูกันว่าน่าดูเรื่องอะไรบ้าง

อยากดู Australia แต่เพื่อนดูแล้ว (แถมบอกว่าไม่หนุก-ใช่สิ เอ็งจะหนุกกะกล้ามแน่นๆ ของฮิว แจ็คแมนเรอะ?) เพื่อนยังไม่ได้ดู Burn after Reading ก็บอกให้เพื่อนดู เผื่อเพื่อนได้ขำ เดี๋ยวเราจะดู The Orphanage เอง เพราะว่าดูมันน่าดูที่สุดจากที่เหลือ (วันนั้นไม่อยากดูหนังญี่ปุ่น) เสร็จแล้วออกมาเจอกัน

ปรากฏว่าเพื่อนตัดสินใจมาดูเรื่องเดียวกัน ซึ่งก็ดีมากเลย เพราะไม่รู้มาก่อนว่า มัน - เป็น - หนัง – ผี และมันน่ากลัว มาก – มาก ถ้านั่งดูคนเดียวอาจมีกรี๊ดได้

หนังเล่าถึงชีวิตเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เป็นกันมาตั้งแต่แม่ (ลอร่า) ซึ่งมีคนขอรับไปอุปการะ เช่นเดียวกับลูก (ซีโมน) เด็กกำพร้าขี้โรค ซึ่งเธอและสามีหมอขอรับมาอุปการะตั้งแต่ยังแบเบาะ

ลอร่าผูกพันกับบ้านหลังใหญ่ที่เคยเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อถึงวันที่เธอพร้อม อยากเปิดสถานอุปการะเด็กกำพร้าที่เป็นเด็กพิเศษบ้าง เธอจึงเลือกบ้านหลังนี้ ซึ่งถูกปล่อยร้างอยู่เกือบ ๓๐ ปี หลังจากเธอออกจากบ้านไป เพราะการหายตัวไปอย่างลึกลับของเด็ก ๕ คนที่เหลือ

ทำไมหนอทำไม บ้านเก่าแสนเก่า มีเสียงไม้ลั่นดังเรื่อยๆ อยู่ใกล้ชายหาดก็จริง (สวยด้วย) แต่แถวๆ หาดดันมีถ้ำน่ากลัวๆ ที่จะเป็นโพรงใหญ่เฉพาะตอนน้ำลด...ที่แบบนี้มันน่าเลี้ยงเด็กตรงไหน อิฉันงง

ความแปลกประหลาด เพี้ยนพิลึก เริ่มตั้งแต่ครอบครัวน่ารักครอบครัวนี้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้าน ดูเหมือนลอร่าก็รู้สึก (แต่ตอนนั้นเธอไม่ได้นำพา) คุณสามีหมออาจจะไม่มีทั้งเซ้นส์และความผูกพัน ส่วนหนูน้อยซีโมนวัย ๗ ขวบ แม้จะป่วยเป็นโรคประหลาด (VIH หรือ IVH อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ HIV) ต้องกินยาทุกวัน แต่ก็มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูผิดเด็กป่วยซึ่งเล่าเสมอว่าเล่นกับคนโน้นคนนี้ มีเพื่อนเยอะแยะรอบตัว ฯลฯ ก็ไม่ได้รู้สึกว่า “เพื่อน” ของพวกเขา ที่ไม่มีใครอื่นมองเห็นตัว เป็นสิ่งที่ควรจะกลัว ลอร่าเอง แรกๆ ก็คิดว่าที่ลูกพูดถึงเพื่อน คงเป็นแค่จินตนาการในแนวเดียวกับเรื่องปีเตอร์แพนที่เธอเล่าให้ลูกฟัง (อิฉันเดาว่าบางทีลอร่าก็เชื่อว่าเรื่องเล่าของซีโมนคือความพยายามแย่งความสนใจไปจากเธอซึ่งกำลังยุ่งกับการเตรียมตัวรับเด็กพิเศษคนแรกที่จะมาถึงบ้านเท่านั้น)

เมื่อลอร่าพาซีโมนไปเดินเล่นริมหาด เด็กน้อยก้าวเข้าไปสำรวจในโพรงถ้ำน่าสยองที่อิฉันเล่าไป แล้วดันไปคุยกะใครไม่รุตรงมุมมืดๆ (ไม่มีใครมองเห็นตัว) แถมชวนกันมาเล่นที่บ้านอีก หืยยยย... อิฉันได้ขนลุกเป็นคราวแรกก็คราวนี้แหละ

นอกจากนี้ยังมีการมาเยือนของคุณยายน่าสยองคนหนึ่งที่ลอร่าคุ้นหน้า แล้วก็เกมเพี้ยนๆ ที่ซีโมนชวนแม่มาเล่นด้วยนั่นอีก

เมื่อซีโมนหายตัวไปในวันลอร่าจัดปาร์ตี้ต้อนรับเด็กคนแรกที่มาถึงบ้าน (ให้ตาย ปาร์ตี้นี้แม่งโคตรเพี้ยน เด็กพิเศษหน้าตาไม่น่าเอ็นดูเหมือนเด็กปกติไม่พอ ผู้ใหญ่ยังอุตริจัดเป็นปาร์ตี้เด็กพิเศษสวมหน้ากากอีกนะ) ลอร่าแทบคลั่งขณะค้นหาตัวซีโมนตามห้องต่างๆ ของบ้านหลังใหญ่ และในที่สุด เธอก็ถูกขังไว้ในห้องน้ำโดยเด็กสวมหน้ากากกระสอบคนหนึ่ง ใช่... ในที่สุดเจ๊เค้าเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเรื่องที่เกิดมันไม่ปกติ ออกจากห้องน้ำได้ก็ร้องกรี๊ดๆ วิ่งเรียกชื่อลูกลงทะเล หกล้มหกลุกขาหักขาแพลงกันไปก็ไม่ยอมหยุด เพราะตอนนั้นน้ำขึ้นแล้ว เริ่มท่วมปากถ้ำ แล้วตัวเองดันเห็นลูกยืนอยู่ที่ปากถ้ำอีก ดีที่ผัวตามไปหยุดไว้ทัน ไม่งั้นเรื่องคงจบตั้งแต่ตอนนั้น เพราะเข้าไปจมน้ำตายติดแหงกอยู่ในถ้ำ แถมซีโมนไม่ได้อยู่ในนั้นอีกด้วย

จากนั้นหนังก็เล่าถึงการค้นหาอย่างบ้าคลั่งของพ่อแม่คู่นี้ จากสามเดือน เป็นเก้า เธอเอามันทุกวิธี ตั้งแต่ติดประกาศตามหา ไปจนเข้าทรงถามวิญญาณ เราได้เห็นความพยายามของลอร่า ความเคร่งเครียด กดดันตัวเอง ฯลฯ จนผัวทนไม่ได้ ยื่นคำขาดว่าต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้ (เพิ่งคิดได้นะยะ) ซึ่งหนังก็เขียนบทไว้ได้เนียน นักแสดงก็เล่นดี ด้วยความที่เชื่อว่าชีรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เป็นทุกข์เป็นร้อนกับการหายตัวไปของลูกชนิดที่กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทั้งที่ไม่ใช่ลูกในอุทร โอเค ชีอาจจะแค่อยากรู้เท่านั้นว่าลูกตายไปแล้ว (จะได้หมดห่วง) จะอะไรก็ตาม อิฉันเกิดคำถามหนึ่งขึ้นในใจ...นี่แม่เค้ารักลูกกันอย่างนี้หรอ? ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกที่ตัวเองให้กำเนิดด้วยใช่ไหม?

ตอนที่ลอร่าเจอซีโมนตอนท้ายเรื่องนั่น ก็สงสัยอีก เฮ้ย นี่เค้ารักลูกจนทำได้ขนาดนี้เลยเรอะ? เค้าทำอย่างนี้เพื่อไร เพราะว่าห่วงลูกที่ป่วยอยู่ ต้องกินยาทุกวัน? หรือเพียงเพื่อให้ตัวเองหายจากความรู้สึกผิด เพราะปล่อยให้ลูกหายไป? ความมองโลกในแง่ร้าย และไม่เคยเป็นแม่คนมาก่อนทำให้คิดไปอีกว่า... หรือที่เค้าเป็นอย่างนี้เพราะแค่จะตามหาสมบัติชิ้นสำคัญของเค้าวะ??? (ดูอิฉันสิคุณ)

ถ้าคุณไปดู (อยากให้ไปดูนะ) จะเห็นปริศนาที่ค่อยๆ เฉลยขึ้นที่ละน้อยๆ จนในที่สุดคุณก็จะแจ่มแจ้งเหมือนเติมภาพจิ๊กซอว์ขนาด ๒,๕๐๐ ชิ้นครบ จากประสบการณ์หารดูหนังผีที่มีอยู่น้อยนิด อิฉันพบว่ามันเป็นหนังผีที่เขียนบทลงตัวมากอะ มันมี logic มีเหตุมีผล มีจังหวะลงตัว มีการแสดงที่ยอดเยี่ยม มีรสนิยมการใช้เอฟเฟคท์ที่คลาสซี่มาก ไม่ฟุ่มเฟือย แต่อิมแพคสุดๆ ตอนที่เค้าจะจัดให้คุณสยองนะ คุณจะสยองจนแม้แต่ขนอ่อนริมใบหูยังพลอยลุกไปด้วย

เป็นเอาได้ขนาดนี้ แต่หนังเรื่องนี้ก็จบได้สวยมาก ไม่จัดเป็นแฮปปี้เอนดิ้งหรอก (อย่างนั้นคนดูที่ทั้งสงสัยว่าซีโมนมันหายไปไหนวะ แล้วเอาใจช่วยลอล่าตามหาลูกมาตลอดเรื่องคงก่นด่า-อย่างน้อยก็อิฉันคนหนึ่ง) เป็นการจบที่สยอง แต่ก็ลงตัว

สรุปว่าชอบหนังผีเรื่องนี้มาก

ยกให้เป็นหนังสุดยอดแห่งการสยองขวัญของปี ๒๕๕๑ เลยล่ะ






บันทึก
• ชื่อสเปนของหนังคือ El Orfanato (ชื่อไทยแม่งห่วย-สถานรับเลี้ยงผี)
• ที่จริงไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่านี่เป็นหนังสเปน
• (แอบดีใจที่ยังฟังออกหลายคำอยู่)
• มารู้ว่าเป็นหนังผีอีตอนไตเติลนั่นแหละ
• ฉากเปิดเรื่องเป็นฉากที่ทั้งสวยและระทึกอยู่ในที ทั้งจากดนตรี การเหวี่ยงกล้อง และ un-dos-tres นั่นด้วย
• หนังผีฝรั่งนี่ดี ไม่ต้องเรียกความสยองกันด้วยผีหน้าเละ เลือดไหล น้ำเหลืองเยิ้ม
• ผู้กำกับชื่อ ฆวน อันโตนิโอ บาโยน่า
• เรื่องนี้เขียนโดย เซอร์จิโอ้ จี. ซานเชซ
• ไม่คิดมาก่อนว่าคนสเปนจะทำหนังผีดี และมีรสนิยมถึงเพียงนี้
• ฉายในเครือเอเพ็กซ์เท่านั้น เช็ครอบฉายที่ 0 2252 6498


พ.ศ. ๒๕๕๒ - ปณิธานปีใหม่




พุธที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑

จะหมดปีอีกแล้ว ไวจริง (บ่นเป็นฟอร์แมตเดียวกับทุกคน)
อิฉันเริ่มต้นปี ๕๑ อย่างบ้อท่า เพราะมัวแต่ทำอะไรสักอย่างกับคอมพิวเตอร์จนเค้าเคานท์ดาวน์กันเสร็จเรียบร้อย
(ถ้าไม่มัวเล่นมัลติพลายก็ดูหนัง-อะไรสักอย่างนี่แหละ)

ปีนี้ต้องเริ่มต้นให้สวยหรูกันนิดนึง
ด้วย "ปณิธานปีใหม่"
ก็ตั้งใจจะทำอะนะ
ทำไ้ด้-ไม่ได้ อีกเรื่องละกัน

ปณิธานปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๒

๑. จะทำอะไร-อะไรโดยนึกถึงจิตใจคนอื่นให้มากกว่านี้
๒. จะเมตตา เมตตา และเมตตา
๓. จะใช้ชีวิตอย่างใจเย็น และมีสติ
๔. จะไม่เสียเวลาเสียดายสิ่งที่ไม่ควรเสียดาย
๕. กับสิ่งที่ควรเสียดาย ก็จะไม่เสียดาย เพราะเสียดายไปก็ไม่มีประโยชน์
๖. จะรักคนที่เขารักเรา
๗. จะ Keep in Touch กะคนที่ควร Keep
๘. ใครไม่ควร Keep ก็ถีบมันออกไปจากชีวิต
๙. จะประหยัด
๑๐. จะไม่สัญญาอะไรกะใครอีก เพราะที่จริงก็ไม่อยากเบี้ยวหรอก
(เบี้ยวแล้วก็ใช่จะสบายใจหรอกนะ)


ขำ-ขำ ส่งท้ายปีกับรูปเก็บตกจากเมืองเลย




พุธที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑

เนื่องจากไม่มีหัวอ่าน มีรูปเริ่ดๆ ใน DVD ก็ไม่ผิดกับลิงได้แก้ว
ดีจังที่มีคนไปพันธุ์ทิพย์ วันนี้อิฉันเลยได้ฤกษ์ขุดรูปขำๆ ของตัวเองมาดูก่อนสิ้นปี

หมายเหตุ:
-ขอบคุณพี่มนัส ช่างภาพเซ็ตนี้เป็นที่สุดฮะ
-มีหัวอ่านนี่มันดีจิงๆ เลยเนอะ (รำพึง-รำพัน) วันนี้ได้ดู Delta of Venus แล้ว
หลังจากซื้อมาดองรอหัวอ่านใหม่อยู่ ๓ ชาติ

วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551

๕ ปริศนาทางเพศที่อิฉัน(เพิ่ง)รู้คำตอบ



เรื่องราวต่อไปนี้เป็นการเก็บตกมาจากเรื่อง "๔๐ ปริศนาทางเพศที่ใครๆ ก็อยากรู้คำตอบ" เขียนโดย Jena Pincott  ซึ่งเรียบเรียงขึ้นจากหนังสือ Do Gentlemen Really Prefer Blondes? (เข้าใจว่า Penthouse Thai Edition แปลมาจาก US Edition)

อิฉันอ่านแล้วสงสัยว่าว่า ๓๕ ข้อในนั้นมันเป็นปริศนาที่ "ใครๆ" ก็อยากรู้จริงหรอ ในเมื่อคำตอบมันมีแน่เป็นแช่แป้งอยู่แล้ว เช่น

-ทำไมสาวผมยาวจึงเซ็กซี่ (เอ้า ก็เพราะมันดู feminine กว่าสาวผมสั้นกุดไง)
-ทำไมรองเท้าส้นสูงจึงทำให้ผู้หญิงเซ็กซี่ขึ้น (แหม๋ ใส่ส้นสูงมันก็ต้องเซ็กซี่กว่าลากแตะคีบหรือใส่รองเท้าวิ่งอยู่แล้ว)
-ผู้ชายชอบผู้หญิงผมบลอนด์จริงหรือ (แหง๋ล่ะก็มันดูบอบบาง แล้วก็ดูเด่นด้วย ผู้ชายเค้าไม่ชอบผู้หญิงลุค ordinary หรอกย่ะ)
-ทำไมผู้ชายจำนวนมากใฝ่ฝันอยากมีองคชาตที่ใหญ่ขึ้น (ยังต้องสงสัยกันด้วยหรอ?)

อ่านจนจบแล้วจึงสรุปได้ว่า ใน ๔๐ ข้อที่เขาว่ามานั้น มีแค่ ๕ ข้อที่เป็นอิฉันนึกสงสัยมานาน
แล้วก็เลยได้คำตอบเสียที

ปริศนาข้อที่ ๒๓ ทำไมคนเราจึงเอียงศีรษะไปทางขวาเวลาจูบกัน
คำตอบ คนส่วนมากจูบเอียงขวาเพราะเรามีมอเตอร์การเคลื่อนไหวที่โน้มเอียงไปทางด้านขวา และเราไม่ได้โดดเดี่ยว เพราะสัตว์จำพวกปลาก็มีแนวโน้มที่จะว่ายไปทางขวาเวลาเผชิญหน้ากับศัตรู แม่ไก่ก็ชอบหันหัวไปทางขวาตอนที่พวกมันนอนกกไข่ หนูก็นิยมวิ่งไปทางขวา ตอนที่พยายามหนีออกมาจากเขาวงกต
(จำไม่ได้ว่าเอียงไปทางไหน ร้างลาการจูบมาประมาณ ๑ ทศวรรษแล้ว)

ปริศนาข้อที่ ๒๔ ทำไมคนเราชอบจูบแบบลิ้นพันกัน (French-kiss)
คำตอบ ความจริงการจูบแบบเฟรนช์คิสไม่เห็นจะเซ็กซี่ที่ตรงไหน การแหย่ลิ้นเข้าไปในปากของคนรัก นอกจากแลกเปลี่ยนน้ำลายกันแล้ว ยังเป็นการแพร่เชื้อแบคทีเรียไปในตัว แต่หลายคนก็บอกว่ามันให้ความรู้สึกดีมากๆ การจูบเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในการเกี้ยวพาราสี เพื่อตัดสินศักยภาพทางร่างกายของคนรัก ว่ามีเคมีตรงกัน หรือเข้ากัีบตัวเองได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ ๙๐ เปอร์เซ็นต์จึงมีวัฒนธรรมของการจูบ ตอนที่คุณประกบปากกับคนรัก หรือแม้แต่สอดลิ้นเข้าไปลิ้มรสน้ำลายของเธอ เปรียบเหมือนคุณกำลังสำรวจ "ลักษณะเฉพาะทางเคมี" ของเธอ เพราะน้ำลายและเหงื่อประกอบด้วยสารฟีโรโมนส์ ซึ่งสามารถทำให้คุณตื่นตัวหรือห่อเหี่ยวได้พอๆ กัน
(....มิน่าล่ะ)

ปริศนาข้อที่ ๓๔ ความรู้สึกทางเพศของผู้หญิงจะพุ่งสูงสุดในช่วงอายุ ๓๐ จริงหรือ
คำตอบ ยากที่จะสรุปด้วยเหตุผลทางชีววิทยา ว่าทำไมผู้หญิงอายุ ๓๐ ต้นๆ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของแรงขับทางเพศที่เข้มข้น ทั้งๆ ที่ผู้หญิงทุกช่วงอายุก็มีระดับความสำส่อน และการนอกใจไม่แพ้กัน ความเชื่อที่ว่าหญิงอายุ ๓๐ ต้นๆ เต็มไปด้วยแรงปรารถนาทางเพศและชอบกิจกรรมเข้าจังหวะบนเตียงนอน อาจเนื่องมาจากความคาดหวังทางสังคมและวัฒนธรรม บวกกับพวกเธอมีความเชื่อมั่นในเรือนร่าง เพศ และความสัมพันธ์กับคนอื่นเพิ่มมากขึ้น เธอจึงแสดงบทบาทตัวเองอย่างเต็มที่
(อิฉันก็ว่างั้นแหละ)

ปริศนาข้อที่ ๓๖ ผู้ชายกับผู้หญิงถึงจุดสุดยอดแบบเดียวกันหรือไม่
คำตอบ จุดสุดยอดของผู้หญิงโดยทั่วไปประกอบด้วยการบีบตัวเป็นจังหวะประมาณ ๓-๑๕ ครั้ง กินเวลาไม่เกิน ๑๕ วินาที แม้จะมีบางคนถึงจุดสุดยอดยาวนานถึง ๒ นาที แต่นั่นเป็นข้อยกเว้นที่เกิดขึ้นยากเต็มที ส่วนจุดสุดยอดของผู้ชายมีค่าเฉลี่ยในการบีบตัวคือ ๑๐-๑๕ ครั้ง กินเวลาประมาณ ๑๗ วินาที แต่ด้วยเหตที่ศูนย์กลางการรับภาพในสมองของผู้ชายจะตื่นตัวมากขึ้นเวลามีเพศสัมพันธ์ เป็นหลักฐานยืนยันว่า เพราะเหตุใดชายจึงแสดงออกมากกว่าหญิงระหว่างการร่วมรัก รวมทั้งวินาทีที่ถึงจุดสุดยอด ชายก็จะแสดงอารมณ์มากกว่า ถ้ามองโดยรวม ประสบการณ์การถึงจุดสุดยอดของผู้หญิงกับผู้ชายนั้นเหมือนกัน จะต่างกันก็ช่วงผ่อนคลายหลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่ตามมาว่าเป็นไปในเชิงลบหรือบวก
(อ่านแล้วงง ยังสงสัยอยู่ว่ามันจะไปเหมือนกันได้ไง???)

ปริศนาข้อที่ ๔๐ โดยธรรมชาติแล้ว คนเราเป็นสัตว์ผัวเดียวเมียเดียวใช่หรือไม่
คำตอบ คำตอบคือ "ใช่" และ "ไม่ใช่" ในเวลาเดียวกัน มนุษย์อยู่ในกลุ่ม ๔ เปอร์เซ็นต์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเพศเฉพาะตัวไม่เหมือนสัตว์อื่น บางคนบอกว่าเราเป็นสัตว์ผัวเดียวเมียเดียว แต่กฎข้อนี้ค่อยๆ จางหายไปอย่างที่รู้กันอยู่ ในปัจจุบันมนุษย์แทบทุกคนใช้ชีวิตแบบผัวเดียวเมียเดียวเป็นช่วงๆ โดยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่รักหลายคนต่อเนื่องกันไปตลอดอายุขัย พูดให้ตรงเป้าคือ เราเป็นสัตว์หลายผัวหลายเมีย แต่ยังอยู่ในระดับอ่อนๆ เมื่อเทียบกับสัตว์อื่น เพราะเรายังยึดหลักศีลธรรมอย่างเคร่งครัด นักพันธุกรรมศาสตร์ค้นพบหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า การอยู่กินกันแบบผัวเดียวเมียเดียวอย่างเคร่งครัดไม่เคยเป็นบรรทัดฐานทางสังคมของคน แต่มันกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในช่วง ๕,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ปีก่อน ตอนที่เปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมสู่การตั้งบ้านเรือนและสร้างชุมชนเกษตรขึ้นมาแทนการร่อนเร่และล่าสัตว์ บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือ สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ ชีวิตแบบผัวเดียวเมียเดียวไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคำจำกัดความนั้นหมายถึง "การที่ต้องมีคู่นอนเพียงคนเดียวตลอดชีวิต"
(หึ หึ)

ใครจะว่าไงก็ว่ากันไปละฮะ
นี่แค่คัดมาให้อ่านกันเล่นๆ อีกตามเคย


หมายเหตุ: ภาพประกอบ copy มาจากหน้าหนึ่งในนิตยสาร Penthouse ฉบับประจำเดือนธันวาคม ๒๕๕๑
ขอบอกโดยไม่โฆษณาแฝงว่า เดือนนี้นางแบบสวยทั้ง ๓ คน


ความคิดถึงเดินทางมา : โปสการ์ดมือใหม่





อังคาร ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑

กลับถึงบ้าน พบว่ามีโปสการ์ดรออยู่ในกล่องจดหมาย
เป็นโปสการ์ดทำมือที่คนส่งออกตัวว่าเป็น "มือใหม่หัดทำโปสการ์ด"

จำได้ๆ จำรูปนี้ด้าย
สวยดีทีเดียวแหละ
ถึงแม้ว่าทะเลจะเบี้ยวไปหน่อย

เอาอีกนะ เอาอีก
อ้อ..ละก้อ ขอบคุณนะ
สวัสดีปีใหม่ด้วยจ้า

ภารกิจส่งท้ายปี : กิน กิน กิน




อังคารที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑

เสร็จจากบาร์บีคิวพลาซ่ามีช็อปปิ้งเล็กน้อย
สองคนนั่นไปทิ้งระเบิดฝากรักส่งท้ายปีให้เซ็นทรัลปิ่นเกล้าเรียบร้อยแล้ว เราก๊อไปต่อที่สเวนเซ่นส์

เหตุเพราะปกรณ์ควักคูปองซื้อ ๑ แถม ๑ ออกมา
คูปองนี้มีวันหมดอายุพรุ่งนี้ เจ้แอนเลยฟันธงว่า เราต้องไปกินให้ได้

ก็จัดไป
เราไม่กินอย่างอื่นนอกจากที่เมนูกำหนด คือสั่งเฮอริเคน (ไอศกรีมปนๆ กัน ๕ สคูป ทอปปิ้งด้วยวิปครีมและผลเชอรี่หวานเกินขนาด) แถมสตรอบอรี่บานาน่าครีม (หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ)

กินกันขำๆ ฮะ

ขอบคุณเจ้ เจ้าภาพไอศกรีมมื้อส่งท้ายปีนะฮะ

ภารกิจส่งท้ายปี : กิน กิน




อังคารที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑
หลังจากดูหนังเสร็จ ก็จับรถดิ่งจากสยามตรงสู่เซ็นทรัลปิ่นเกล้าทันที
(กลัวโดนด่าว่าย้วยส่งท้ายปีสิฮะ)
ถกกันอยู่ ๓๐ วิ ว่าจะกินไรดี หวยก็มาออกที่บาร์บีคิวพลาซ่า
(แค่ปรารภออกมาเองว่าไม่ค่อยได้กิน-ก็มันไม่ค่อยเจออะ ชีวิตวนเวียนแค่พารากอนกะเอ็มโพเรียม-คนมันไฮโซ)

ไม่คิดว่าจะมีึคนสั่งกระหล่ำปลีซอย (ถาดละ ๑๘ บาท) มากินถึง ๘ ถาดนะฮะ

ภารกิจส่งท้ายปี : กิน



หรืออะไรสักอย่าง
เพื่อนบอกรสชาติใช้ได้

น่าลอง แต่เบื่อแทะกระดูกฮิ

อังคารที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑
หลังจากนอนซมเพราะพิษไข้ หลังอาหารเป็นพิษเมื่อวันวาน
(ตบท้ายด้วยโดนของไม่มีคมบาดจนเลือดสาดในตอนเย็น)
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของยาแก้ไข้ยี่ห้อซาร่า ที่ตบลงไปหลังข้าว(ซ้อมมือ)ต้มแกล้มปลาิอินทรีย์เค็มและไข่เค็มที่พระแม่จัดเป็นเสบียงจากบ้าน

รุ่งขึ้น...อิฉันก็หายเกือบเป็นปกติ
ยังเหลือแต่อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงนิดหน่อย
พอจะลากสังขารออกไปจ่ายหนี้ (บัตรเครดิต) ได้
(...เป็นลูกหนี้ที่ดีนะฮะ)

และเนื่องจากได้เบี้ยวนัดเพื่อนช. ที่ดีตั้งแต่เมื่อวาน เพราะสังขารไม่อำนวย
ไม่อยากให้ขาเบี้ยวกว่านี้ วันนี้พอมีเรี่ยวแรง จึงได้จิกเพื่อนไปดูหนัง+กินข้่าวกันอีกครา
เพื่อนบอกขอแวะพันธุ์ทิพก่อน อิฉันด้วยความที่ไม่อยากไปพันธุ์ทิพย์ จึงได้ช่วงใช้ให้เพื่อนซื้อ External DVD Writer ติดมือมาฝากหน่อย ที่มีมันเสียไปสามชาติแล้ว (แต่ยังน้อยกว่าไฟกลางห้องนะฮะ อันนั้นห้าชาติละฮะ)

เพื่อนก็แสนดี รับปากรับคำ แถมต่อราคามาให้เสร็จสรรพ
แถมยังมาถึงก่อนเราอีกจนได้
(คนมันต้องไปจ่ายหนี้นิฮะ-อย่าเพิ่งด่ากัน)

จัดให้เพื่อนไปรอในมารีน่า
ไปถึงพบว่าเพื่อนโซ้ยติ่มซำหมดไปสองกระทง เห็นแล้วชักอยากขนมจีบ
ไม่รอช้าเราก็จัดการสั่งทันที
สั่งเสร็จได้ยินเพื่อนถามน้องที่มารับออร์เดอร์ มีกี่สาขา ขนมจีบทำเองหรอ
ฝ่ายน้องก็สาธยาย มีสาขาเดียว ขนมจีบทำเองครับพี่ เราทำวันต่อวัน ฯลฯ
ก็นึกในใจ ฮุ้ยยยย สงสัยจะอร่อยถูกใจมัน

ที่ไหนได้...

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2551

งานวิวาห์คนชื่อเอ




อาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๑
งานฉลองมงคลสมรสของพี่เอ-น้องเอ ที่สยามสมาคม

เอเป็นเพื่อนสาธิตฯ
สมัยอิฉัน เด็กสาธิตม.ช. สอบเข้าทีเดียวตอน ม.๑
หนึ่งชั้นมีกันแค่ ๓ ห้อง แบ่งกันจากการเรียงลำดับตัวอักษรนำหน้าชื่อ

อิฉันอยู่ห้อง ๒ เออยู่ห้อง ๓
ไม่ถึงขั้นคลุกคลีตีโมง สนิทสนมกลมเกลียวกันก็จริง
แต่งานนี้ก็ไปกะเขาด้วย เพราะนังเอ๋ถึงกะนั่งรถตู้มาจากเชียงใหม่

ตะแรกก็ว่าจะติดรถตู้ขากลับไปกะเขา แต่ก็เปลี่ยนใจซะงั้น
เพราะนังเพื่อนไม่ยอมไปซื้อตั๋วกลับให้เป็นที่แน่นอน ว่าอิฉันได้กลับแน่
กอปรกับเครียด เรื่องคน (มากกว่าเรื่องงานและเรื่องเงินนิดนึง)
เลยถูกประนามว่าเป็น "ม้าน้อยขาเบี้ยว" กันไปซะงั้น

ยอมรับแต่โดยดีละฮะ

ป.ล. เจอเจ้าบ่าวครั้งแรกก็งานนี้
แต่รู้สึกว่าทั้งสองน่ารัก และสมกันมากๆ เลย
ขอให้ทั้งสองมีความสุขและเป็นกำลังใจให้กัน เดินเคียงข้างกันไปจนตลอดทางเลยนะฮะ
(ลืมเขียนอวยพรง่ะ)

เค้กกล้วยหอมทะเลเรียกแม่

Rating:★★★★★
Category:Other
อิฉันกับเค้กกล้วยหอมมีความผูกพันกันมานาน
ภาพเด่นในความทรงจำคือ ม้าหินอ่อนข้างซุ้มของว่างและน้ำอัดลมตรงมุมสนามบอล ตรงกลางมหาลัย จุดที่สามารถหมุนตัวได้ทั่วทิศ ไม่ว่าจะเดินไปบัญชี ศิลป์ศาสตร์ ตึกโดม หรือแม้แต่วารสารฯ ตรงที่นกพิราบร้ายๆ ชอบไปรวมตัวกันนั่นแหละ

ไม่ว่าจะเช้า-สาย-บ่าย หรือเย็น อิฉันจะเลือกเค้กกล้วยหอมชิ้นนึง ที่ดูชุ่มๆ น่าอร่อยจากซุ้มนั้นได้เสมอ

และจากความเคยชินนั้นทำให้มองหาแต่เค้กกล้วยหอมหน้าชุ่มๆ เท่านั้น-เสมอมา

ไม่เคยเห็นเค้าทำเค้กกล้วยหอม ก็เลยไม่รู้ว่าความชุ่มที่ตัวเองชื่นชอบมันมาจากน้ำมันพืชจำนวนมหาศาลในเค้ก ทั้งยังไม่เคยชินกับรสชาติใหม่สดของเค้กกล้วยหอมที่เพิ่งถือกำเนิดร้อนๆ จากเตา

จนมาได้เห็น ได้ชิมที่บ้านทะเลนี่แหละ

เห็นแม่ทะเลออกห้าวอย่างนี้ ใครจะรู้ว่าเธอโคตรจะเป็นแม่บ้านแม่เรือน ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเพราะคุณยายทะเลสอนมาดี (โบราณว่าดูนางให้ดูแม่นะฮะ) กอปรกับเธอมีทั้งสามีและลูกที่เอ็นจอยอีตติ้ง จึงขวนขวายขยันหัดทำขนมนู่นขนมนี่ที่สมาชิกในบ้านโปรดปราน

เมื่อสามารถนำตัวเข้าไปสนิทชิดเื้ชื้อกับบ้านทะเลได้ อิฉันจึงพลอยได้ชิมนู่นชิมนี่จากครัวบ้านทะเลอยู่เนืองเนือง

ล่าสุดนี้ได้รับเค้กกล้วยหอม ๒ คัพ เป็นเสบียงติดตัวเมื่อจะกลับออกมา

จริงๆ วันวานแม่ทะเลเพิ่งอบเค้กกล้วยหอมเสร็จหลายสิบคัพ อิฉันก็ชิมไปนิดหน่อย เพราะติดแบบหน้าฉ่ำๆ ทั้งที่เค้กกล้วยหอมอบเสร็จใหม่ๆ นั่นอร่อยแปลกๆ จากความหอมมากๆ ของกล้วย และกรอบนิดๆ ของหน้าที่โดนรมด้วยความร้อนจากเตา

มาได้ฤกษ์อร่อยจริงๆ ก็เมื่อเช้านี้
เค้กเริ่มฉ่ำ จากการเซ็ตตัวและเริ่มคายความมันออกมาบนใบหน้า
เค้กกล้วยหอมแม่ทะเลหอม เพราะเธอใส่กล้วยหอม (ดำ ที่ถูกฟรีซจนแข็ง) โดยไม่ยั้ง
ในขณะที่หวานน้อย เพราะบ้านนี้ไม่เลิฟน้ำตาลนัก เนื้อหรือก็นิ่มได้มาตรฐานของเค้กกล้วยหอมที่เค้าทำขายกันแพงๆ

ผูกพันกับกล้วยหอมไม่พอ อิฉันยังโปรดปรานการกินกล้วยเกือบทุกชนิด
เค้กกล้วยหอมแม่ทะเลจึงถูกปากอิฉันยิ่งนัก
ด้วยความที่มีเพียง ๒ คัพ จึงต้องค่อยๆ แทะเล็มทีละน้อย

เมื่อกินหมดแล้วก็ให้รู้สึกอิ่มใจทั้งจากรสชาติ
และน้ำใจชุ่มฉ่ำที่ไม่เคยมีรสเค็มจากบ้านทะเล ซึ่งได้รับอย่างสม่ำเสมอ-ตลอดมา

(ขอบคุณฮะ พี่แอน)


หมายเหตุ :
-ใครอยากสั่งซื้อขนมบ้านทะเลเชิญนะฮะ
-สั่งได้ที่บ้านนี้ หรือบ้านแม่ทะเล ตามสะดวก
-สั่งได้ แต่เธอจะทำให้หรือเปล่า เป็นอีกเรื่องนะฮะ
^_^

ท ะ เ ล ที่ รั ก




ดึกคืนวันเสาร์ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๑
สองน้าหิ้วกระเป๋าถึงบ้านทะเล
หิวและง่วง
แต่ก็อดเม้าท์ไม่ได้
สองน้าจึงหลับไปเมื่อล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว

๖.๓๐ น. วันต่อมา
ในความเย็นชื่นของอากาศ
น้าก็ถูกปลุกโดยเสียงลงกระไดของเด็กหญิงทะเล

อากาศน่านอนต่อก็จริง
แต่มันก็น่าตื่นนะ
(แม้น้าจะป๊อกหลับไปอีกทีตอน ๑๑ โมง ก็ตาม)

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เราไม่ได้เสี่ยงอยู่คนเดียวหรอก




อย่าอายทำกิน
อย่าหมิ่นเงินน้อย
อย่าคอยวาสนา





หมายเหตุ : ขอได้รับความเคารพอย่างสูง


วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พ.ศ. ๒๕๕๒ - เรามาประหยัดกันเถอะ



วันนี้ไปสัมภาษณ์ผู้บริหารหน่วยงานหนึ่งมา

ถามไปว่าปีหน้าจะทำยังไงกันดี

จึงได้คำตอบที่กลายมาเป็น "คำคม" ที่จริง เสียจนเถียงไม่ออก

 

ประหยัดได้ ๑ บาท เซฟได้ ๑ บาท

ขายได้ ๑ บาท ต้องหักต้นทุนออก ๗๕ สตางค์

 

ฉะนั้น...ปีใหม่นี้เรามาประหยัดกันเถอะ


โลก - ในมุมที่ไม่เคยมอง





มุมใหม่
ได้เห็นเมื่อฟ้าหม่น
ศุกร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๑

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เราทำได้: ผ้าพันคอคนเชียงใหม่ (ญ)


สาธิตได้แค่แบบเดียว แบตก็หมดซะก่อน
แต่เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วเนอะ ว่ากิ๊บ

ถ่ายตอนเพิ่งถึงบ้านเมื่อเช้า
หน้ามัน+เยินมั่กฮะ

พุธที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๑

และแล้ว ผ้าพันคอคนเชียงใหม่(ญ)ผืนแรกก็สำเร็จภายใน ๒ วัน
ฮ่าฮ่า

ผืนนี้ไม่ยาก (เมื่อยมือเล็กน้อย เพราะว่าไหมมันหนา) แถมถักหน้าแคบ
เพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ (ไหมแพง)

ประสิทธิภาพในการทำสร้างความอุ่นให้คอคงเป็นรองผืนของปลาจังกะป้าอ้อย
แต่ความกิ๊บเก๋กินขาดฮ่า

คนเชียงใหม่(ญ)เตรียมตัวกิ๊บได้เลย

ความคิดถึงเดินทางไป : อะไรรออยู่ที่บ้าน

(ทำไมมันต้องมีโพลกันด้วยวะ???-เอ้า โพลก้อโพล)

อะไรคือเหตุผลที่คุณใช้เลือกผู้ว่า

นโยบาย และสังกัดพรรค
 
 2

ความนิยมส่วนบุคคล
 
 5




พฤหัสบดีที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑
วันคริสต์มาส

หกโมงเช้ากว่าๆ
ลากสังขารโทรมๆ กลับมาถึงบ้าน
เปิดตู้ไปรษณีย์
ใจเต้นตึกตัก กลัวจะได้รับจดหมายจากกาชาด
ในตู้ไปรษณีย์มีสิ่งของมากมาย
มีใบแจ้งหนี้ ๓ ปึก
โปสการ์ด ๓ ใบ และพัสดุ ๑ กล่อง


ต๊ายยยย-ตาย
ในที่สุดคุณไดโนเสาร์จากกาฬสินธุ์ก็เดินทางมาถึง (ขอบคุณนะอุ๊-ชั้นว่าสงสัยไดโนเสาร์ืกินแมวหมดน่ะซิแก)
ยังมีโปสการ์ดจากสวนรถไฟของคุณน้องเมย์ (เพิ่งขอที่อยู่พี่ไปไม่กี่วันนี้เองนี่?)
แระก็โปสการ์ดฉบับแรกในรอบ(หลาย)สิบปีจากน้าเอ๋ (ปากแกบึนมาก-บอกมานะ ไปจิ๊กโปสการ์ดมาจากไหน)

...แหม๋ อุ่นหนาฝาคั่งกันดีจริง

พัสดุในกล่องนั้น เห็นแล้วว่ามาจากคุณป๊อก
หะแรกก็ยังงงๆ ว่าคุณป๊อกส่งไรมาหว่า
เปิดออกดูจึงถึงบางอ้อ

อะฮ้า....คุยกันตั้งน้าน-นานมาแล้ว
คุณป๊อกไม่ยักลืมแฮะ

หุ หุ

ขอบคุณคุณป๊อกที่อุตส่าห์ยกให้
เรื่องแปลคงต้องขอออกตัวไว้ก่อน
ภาษาสเปนนั้น คืนครูไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม
...จะลองดูนะคะ

ขอบคุณทุกความคิดถึงและปรารถนาดีที่ส่งมารออยู่ที่บ้านนะค๊า



วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง


แม่อิฉันเก็บขายหวีละ ๕ บาทเองมั้ง
ไม่แพงอย่างในกรุงเทพหรอก



อังคารที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๑

"เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง"
เป็นคำกล่าวของ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร

อิฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ

ดีใจที่บ้านยังมีสวน หน้าบ้านน้ามีแม่น้ำ

ตกงานเมื่อไหร่ หรือต่อให้มีสงคราม
เศรษฐกิจโลกล้มเหลว
ถ้ากระเสือกกระสนกลับมาถึงบ้านได้
...คงไม่อดตาย
(และคิดว่าเรามีแบ่งให้คนอื่นด้วยนะ)






เราทำได้: รักจริงนะเนี่ย



ยังอึ๋มเหมือนเดิมนะคะป้า

จันทร์ที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๑

และแล้ว....มันก็เสร็จ
ผ้าพันคอหนานุ่ม ยาวมากกว่าตัวคนถัก
ที่เริ่มต้นมาหลายเดือนแล้ว

เอามาถักต่อที่บ้าน เพราะที่นี่มีเวลา และไม่มีอะไรทำ
(ที่บ้านแม่ไม่มีคอมน่ะ เลยไม่ต้องพะวงกับมัลติพลาย)
แม่ยังปรามาสว่ากว่าจะเสร็จก็หายหนา่ว

...แล้วเป็นไงล่ะ
โฮ่ โฮ่ โฮ่

ป้าอ้อยที่รัก นี่ต้องเป็นผ้าพันคอที่อุ่นมากๆ แน่
น้องเชื่อนะ

หมายเหตุ:
-การที่ไม่ต้องเล่น มตพ. นีี่ มีเวลาทำโน่นนี่ให้เสร็จเยอะเลยเชียว
-ผลงานชิ้นต่อไป=ผ้าพันคอคนเชียงใหม่!!!

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เรดาร์แมว : อ้วนริมคลอง





เสาร์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๑

หลังจากย้วยได้ที่ก็ออกเดินทางไปบ้านทะเล
ก่อนถึงก็ได้เจอสามสีนั่งรอง่ำ ดังที่รายงานไปแล้ว
ไม่คาด ขากลับได้เจออ้วนริมคลองอีกตัว
ไม่รู้แค่มานอนผึ่งแดด หรือนอนเฝ้าเนื้อแดดเดียวที่คุณยายผึ่งตากไว้แถวนั้น
มันอ้วนปุ๊ก น่ากอด
แต่กล้าทำแค่ลูบหัวมันสองทีหลังถ่ายรูปแล้ว

ป.ล. พี่แอน ม้อยโดนญาติพี่แอนแซวด้วย
เค้าคงเห็นแปลกที่เราถ่ายรูปแมว
(เค้าไม่รู้ว่าเราเป็นชาว มตพ. น่ะ)
หุ หุ

ปริศนาที่ ๕





ทายกันอีกสักข้อ
๑.ตึกชื่ออะไร
๒.อยู่พิกัดไหน ถนนอะไร
๒.โปรดเล่าเรื่องเกี่ยวกับตึกนี้คร่าวๆ

หวังว่าจะไม่ยากเกินไป (ไม่ใบ้ละนะ)
ว่างเมื่อไหร่จะมาเฉลย
หุ หุ

เรื่องหมาหมา : หนูอยากเป็นชูปเปอร์เกิร์ล





เสาร์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๑

เจอหมาหลับ
ท่าตลก
น่าเอ็นดูชะมัด
สงสัยมันฝันอยากเป็นชูปเปอร์เกิร์ล
เพราะถ้ามีจู๋
มันคงนอนท่านี้มิด้าย

...หุ หุ

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ชีวิตมึนส์



ขี้ปุ๋งออกได้อีก

จากนี้จะเริ่มพเนจรแล้ว
อยากได้สัมภาษณ์ก่อนปีใหม่จัง
...ทำไงดี?

ไม่มีอะไร แค่ชอบลายเส้น


อันนี้สงสัยสำนักพิมพ์วาดใหม่


"เรื่องเล่าสยองของลุงมงตากิว"

คือหนังสือที่ผ่านตาเมื่อเร็วๆ นี้
สนุกดี อยากอ่านให้จบ แต่ไม่มีเวลา ต้องรีบส่งคืนเจ้าของเค้า
ชอบลายเส้นภาพประกอบในหนังสือเล่มนี้

แต่ไม่เห็นเค้าให้เครดิตคนเขียนภาพไว้เลยนิ

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ฉันมีความสุขเมื่อ...


ฉันชอบการบริจาคเงินเล็กๆ น้อยๆ (แต่ไม่ชอบให้เงินขอทานนะ) ชอบบริจาคเลือด และเหมือนโรคจิต ฉันไม่เคยถักผ้าพันคอใช้เองเลย (มีแค่ตอนเด็กๆ ที่พยายามถักเสว็ตเตอร์ใส่เอง แล้วมันออกมาอุบาทว์มาก) แต่ชอบทำให้คนอื่น ฉันมีความสุขกับทุกปมทุกห่วง มันทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย ใช้เข็มสอดไหมไปมาเป็นเป็นปม เป็นแถว เป็นหลายๆ แถว และเป็นผืน ถักเสร็จแต่ละผืน ฉันรู้สึกมีความสุขราวกับได้ orgasm ทางจิตวิญญาณ

พฤหัสบดีที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๑

เพิ่งอ่าน "อาอี๊ชวนเล่น-เห็นอะไรแล้วรู้สึกดี"
(http://aroundlove.multiply.com/journal/item/24)
ของอาอี๊เค้า แล้วก็อยากถามตัวเองเหมือนกัน
ว่าอะไรบ้าง ที่ทำให้มีความสุข

หาได้ไม่ครบ ๑๐ ข้อ
แต่โชคดี ที่ก่อนจะถึงวันนี้ ต้องผ่านเมื่อคืนนี้เสียก่อน
เลยพอนึกถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุขได้บ้าง

^_^

หมายเหตุ: เหล่านี้คือกุหลาบน้อยๆ ที่แสนจะอ่อนหวานในแปลงหน้าสถานีเกษตรภูเรือจ้ะ
เก็บภาพไว้ตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๑

[เ - บี้ - ย - ว] ไปชิลล์ที่เชียงใหม่ (อีกแล้ว)

Start:     Dec 29, '08 01:00a
End:     Jan 3, '09
จะไปเชียงใหม่อีกแล้ว (วันก่อนป้าอ้อยถาม ปีนี้ไปกี่รอบแล้ว..ก็จำไม่ด้าย)
ก็ดันมีรถให้ติดกลับไปนี่นา ทำไงด้าย (แต่ยังไม่รุจะกลับวันไหน และยังไงเลยนะ)
ก็ลาพักร้อนเลยดิ (ลาจนหมดแล้วยังเหลืออีกตั้งหลายวัน)
คราวนี้ไปนอนบ้านเอ๋ (แหง๋ล่ะ ออกตัวเลทแบบนี้ ไม่นอนบ้านเอ๋แล้วจะไปนอนวัดไหนละยะ?)
ดีใจมากที่จะได้ร่วมงานปาร์ตี้ปีใหม่กับเพื่อนสาธิต (ตั้งแต่เรียนจบมาไม่เคยอยู่เชียงใหม่ตอนปีใหม่เลย)

ว่าแล้วมาเริ่มคิด Wish List กันเลยดีกว่า

-แหนมเนืองประตูวิดวะ
-กาแฟร้านพระจันทร์ (ช่วยเสิร์ฟกาแฟให้คุณฝรั่ง หรือ/หรือคุณอาร์ติสท์-ถ้าเป็นไปได้)
-ช่วยน้าชาเปิดร้าน (ถ้ามันยังไม่ได้เปิดอะนะ)
-ขี่จักรยานชิลล์รอบเมือง วันที่เอ๋ทำงาน (จันทร์ 29 อังคาร 30)
(คาดว่าเป็นจักรยานนุซัง-ยังไม่ได้ยืม)
-ดูหนัง Happy Birthday กับเอ๋ (อย่าลืมทิชชู)
-กินสุกี้บ้านเอ๋ (อย่าลืมเอากระทะไปด้วย)
-นอนห่มผ้าต้วบแสนอุ่น
-ถักผ้าพันคอเสร็จ 2 ผืน แล้วส่งมอบ ณ ที่เกิดเหตุ
-นั่งรถเมล์ไปไหว้พระธาตุแช่แห้งที่เมืองน่าน
-เขียนโปสการ์ดให้เพื่อนทุ้กกกกก คน
-....นึกออกแล้วจะมาเติม


(เติม-เติม)
-ส่งเอ๋ตัดผม
-ซื้อกระดาษซับมันคลอโรฟิล
-กิ๋นยำผักกาด

[เบี้ยวแล้วฮะ ไม่ไปมันซะเฉยๆ งั้นแหละ]

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ฉัน = สิ่งมีชีวิตเจ้าอารมณ์



ชอบเทียบรุ่นกับสนสูงอายุ
ทรงภูมิ
และเห็นโลกมานานกว่าฉัน


พุธที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๑

วานซืนฉันมึน
เมื่อวานฉันขำ
วันนี้ฉันจิตตก
พรุ่งนี้นี้อาจจะเฉา
แล้วมะรืนคงจะวีน

ฉันเปลี่ยนไปได้ทุกวัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

และตัดสินใจไม่ถูก ว่าในความเจ้าอารมณ์
โดยเนื้อแท้แล้ว ฉันเป็นคนดีหรือเลวกันแน่


หมายเหตุ:
-วันนี้ฉันเพี้ยน

พืช = สิ่งมีชีวิตแสนงาม




พุธที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๑

เก็บเงาต้นไม้ตอนไปเชียงคานมาฝากกัน

ดวงชะตาคนราศีมีน มี 2552


ราศีมีน 15 มีนาคม – 12 เมษายน (โดยหมอทรัพย์ สวนพลู)


      ในปี 2552 นี้ ท่านสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามาก ชีวิตและงานของท่านเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีหลายครั้ง ดาวประจำราศีชองท่าน "พักร์" ในราศีมังกรอันเป็นราศีที่พฤหัสบดีอับแสงซึ่งกลับให้คุณแก่ดวงของท่านในกรณี เกิดวิกฤตในทางวิชาการหรือจริยธรรม ซึ่งท่านจะออกมาแก้ไขให้ทุเลาเบาบางลงได้หรือกลับสู่สภาพปกติ วันที่ 4 ธันวาคม 2551 ดาวพฤหัสบดีย้ายเข้าราศีมังกร คืออับแสงร่วมกับราหู จนวันที่ 20 เมษายน 2552 พฤหัสบดี ย้ายขึ้นราศีกุมภ์จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2552 ถอยกลับมาราศีมังกรอีกจนถึง 14 ธันวาคม 2552 จึงย้ายไปราศีกุมภ์อีก ท่านจึงออกจะมีชีวิตความเป็นอยู่และความคิดจิตใจที่โลดโผน มีเพื่อนใหม่ ๆ หรือเพื่อนเก่าแต่เขามาในมาดใหม่ชี้นำให้ท่านทำธุรกรรมที่ต้องลงทุนด้วยเงิน หรือความรู้ความสามารถหรือชื่อเสียงของท่าน ซึ่งถ้าเป็นกรณีเช่นนี้มักถอนทุนไม่ขึ้น แล้วพวกเพื่อนๆตัวดีเหล่านี้จะหายเข้ากลีบเมฆไปหมด แต่ดาวดวงนี้ก็ให้คุณแก่ท่านตลอดชีวิต
      วันที่ 30 กันยายน 2552 ดาวเสาร์ย้ายจากราศีสิงห์ลงมาราศีกันย์ในฐานะดาวร้ายธรรมดา ๆ ดวงหนึ่ง แม้จะเล็งราศีเกิดของท่านก็ให้ร้ายแบบสามัญไม่รุนแรงเหี้ยมโหดอย่างที่ดาว เสาร์มักจะกระทำเมื่ออยู่ในราศีที่ทำให้เด่นหรือเสื่อม
      ชาวราศีมีนได้ผ่านการถูกราหูทับมาแล้วเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2548 ถึง 29 กันยายน 2549 ในช่วงเวลาปีกว่า ๆ เช่นนั้นท่านได้อะไรมาและต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ถ้าจำได้ก็อาจช่วยให้วินิจฉัยสถานการณ์ที่จะเกิดจากราหูเข้าราศีที่เป็นภพ กรรมะ (งาน) ของท่านได้พอสมควร หรือบางทีก็ไม่ได้อะไรเลย
      ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2552 ดาวศุกร์ย้ายเข้าราศีมีนเป็นมหาอุจ ดาวศุกร์นี้เป็นดาวแห่งความรักเสน่หายาใจ เป็นดาวที่นำความปลาบปลื้มดื่มดำมาสู่ผู้คน เป็นดาวแห่งความกลมเกลียวสมสนิทในไมตรีจิตภาพ ดาวศุกร์นี้จะโคจรในราศีมีนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2552 ชาวราศีนี้และราศีที่มีศุกร์เป็นดาวประจำราศีคือพฤษภและตุลจะมีความสุขอย่าง มาก แม้คนที่อาภัพที่สุดก็จะรื่นรมย์สมหวังในความปรารถนาต่าง ๆ อย่างนึกไม่ถึง ช่วยให้คนยากจนเป็นคนมั่งคั่งได้โดยสุจริต และโชคดีเรื่องความรักอย่างพระสังข์ทองได้รจนา ไม่มีใครริษยาและต่อต้านได้
      ท่านชาวราศีมีนเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดสุขุมประณีต รักษาอนามัยดีและเป็นคนสะอาดทั้งใจและกาย มีระเบียบวินัยดูแลตนเองได้ สุภาพต่อผู้อื่นแม้จะเป็นผู้อาภัพอับวาสนา แต่ราศีที่อยู่ข้างหน้าราศีมีนเป็นราศีเมษ ท่านจึงโกรธเก่งที่สุด ถ้าเป็นมิตรก็เป็นกัลยาณมิตร ถ้าเป็นศัตรูก็หฤโหดและไม่อภัยให้แก่ใครใด ๆทั้งสิ้น เหมือนคนไม่มีหัวใจ บทจะรักก็รัก ไม่รักก็เกลียดเลย เป็นเพื่อนกันก็ไม่เอา ปีใหม่นี้ท่านดวงดีกว่าหลายปีที่ผ่านมา ไม่พูดให้ร้ายผู้อื่นแล้วจะดีที่สุด

คริสมาสต์นี้ ใครคนหนึ่งจะเปลี่ยนไป


อ่านไม่ออกโปรดดูรูปถัดไป

ได้อีเมล์จากศูนย์ความงามไฮโซ
น่ารักดี เลยเอามาให้ดูกัน
เผื่อใครบางคนจะอยากเปลี่ยนไปมั่ง

อิ อิ

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เรื่องหมาหมา : น้องหมาเชียงคาน





ถ้ามีเวลานะ อยากเล่นด้วยทุกตัวเล้่ย

บทจะหายเหนื่อย




จันทร์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๑

เย็นนี้มีภารกิจ จำต้องไปฟูจิซูเปอร์มาร์เก็ต
ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ได้โวไว้ว่าอร่อย
ให้แม่ทะเล และเอ๋ เพราะว่าวัีนนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่เค้าจะลดราคาจากซองละห้าสิบกว่าบาท
เหลือ ๓๘ บาท

ออร์เดอร์ที่มี รวมของตัวเองแล้วเข้าไปแล้วช่างบานตะไท
ตายละ...เค้าจะจำกัดจำนวนซื้อหรือเปล่า?

แล้วหนุ่มญี่ปุ่นในซูเปอร์นั้นจะเห็นชั้นเป็นคนยังไง
ตะกร้ายัยนี่มีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ฯลฯ

เครียดเครียด

ก่อนถึงซูเปอร์ดันแวะร้านนีโอ
แล้วก็ต้องเสียเงินมากมายให้กับไหมพรมไฮโซจากญี่ปุ่น
ที่กะจะเอาไปทำอะไรเก๋ๆ (ให้ผู้ชาย) อีก
-_-"

ออกจากซูเปอร์แทบเป็นลม
แค่ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่สิบกว่าซอง ไมแพงงี้วะ
-_-"

เดินออกมาปากซอย ๓๓/๑
มองตรงไปฝั่งตรงข้าม โอ้ว...เขาเปิดน้ำพุเต้นระบำ
สวยจังเลย

ลากสังขารและถุงใส่บะหมี่ฯ กลับมาถึงคอนโด
เปิดเมล์บ็อกซ์

พบโปสการ์ดจากปาย ๒ ใบ

...ขำจนหายเหนื่อย

^_^


เรดาร์แมว : เหมียวเชียงคาน


แมวเนี่ย


เฮ้อ....
กว่าจะได้ฤกษ์รวบรวมรูปเหมียวน้อยจากเชียงคานมาให้คนรักแมวได้ชื่นชมกัน

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เรื่องของคนอยากมีแฟน

Rating:★★★★
Category:Other
กอนโดล่าส่งลิงค์มาให้อ่าน เลยนำมาขยายความต่อ



หัวข้อข่าว: 63% ของคนญี่ปุ่นอยากมีแฟนในฤดูหนาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ธันวาคม 2551 21:22 น.

โดย จินนี่ สาระโกเศศ นิตยสาร Metro Life



“ผ่านลมหนาว จะกี่คราวก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครให้ใจอุ่น
อยากจะหาคนที่ทำให้ใจสมดุล แต่ไม่เคยสมหวังสักที
ใกล้หน้าหนาวทุกครั้ง ไม่มีคนคอยคิดถึง
อยากมีใครให้รักให้ซึ้ง เหมือนคนอื่นเขา
ใกล้หน้าหนาวทุกครั้ง คล้ายฤดูกาลยิ่งเหงา
ต้องทนหนาวกับใจที่เหงาคนเดียวอย่างเดิม…“

ทุกครั้งที่ฤดูหนาวมาถึง เสียงเพลงๆ หนึ่งซึ่งมาพร้อมกับฤดูหนาว นอกไปจากเพลงคริสต์มาส อย่างจิงเกิลเบลล์ ก็คือเพลงๆ นี้

ทุกๆ ครั้งที่เสียงเพลงๆ นี้ พัดเข้ามากระทบพร้อมกับไอความหนาว ความเปราะบางและอ่อนแอที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกภายใน ก็จะแห้งแล้งและอ้างว้างมากเข้าไปอีก

มีคนบอกว่า เพลงนี้ทำให้น้ำตาไหลออกมาได้ ไม่ว่าฤดูหนาวจะผ่านมาเมื่อไร

และยังมีอีกหลายคนที่บอกว่า เพลงนี้ทำให้รู้สึกเข็ดขยาดกับฤดูหนาว

จนความเหงา อ้างว้าง และโดดเดี่ยว เข้ามาครอบงำความรู้สึก

จนไม่อาจเดินต่อไปได้โดยลำพัง

หลายคนอาจจะคิดว่า อาการเหงาในหน้าเทศกาลแบบนี้ จะมีในเพียงแค่ในเมืองไทย ในประเทศที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนในฤดูหนาว ก็จะได้ยินเพลง “ลมหนาว”

แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แต่ในบ้านเราเท่านั้น ที่คนจำนวนไม่น้อยมีอาการเหงาในเทศกาลลักษณะนี้

ในประเทศที่มีจำนวนประชากรต่อพื้นที่หนาแน่นติดอันดับโลกอย่างญี่ปุ่น ก็มีผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งมีอาการนี้ไม่ต่างจากเรา

ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ Sankei Shimbun ของญี่ปุ่น ได้ลงสกู๊ปที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวเลขของคนญี่ปุ่นที่รู้สึก “อยากมีแฟน” ในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาส !

การสำรวจครั้งนี้จัดทำโดยศูนย์ข้อมูลการแต่งงานแห่งหนึ่งในโตเกียว โดยผู้ที่ร่วมตอบการสำรวจเป็นชายหญิงญี่ปุ่นที่ยังโสด ช่วงอายุระหว่าง 20-49 ปี

ผลการสำรวจปรากฏว่า 63% ของผู้ที่ร่วมตอบคำถามทั้งชายและหญิง ล้วนรู้สึกอยากมี “คนรู้ใจ” ขึ้นมาในหน้าเทศกาลคริสต์มาส

โดยที่มีสาเหตุหลักมาจาก “ฤดูกาล” มากถึงเกือบ 50%

ส่วนอีก 31% เป็นเพราะ “ไม่อยากอยู่คนเดียว” และก็มีอีก 2% ที่อยากมีคนรู้ใจขึ้นมา เพราะ “อยากได้ของขวัญ” !

ถ้าไม่นับเรื่อง “ของขวัญ” เกือบ 80% ของหนุ่มโสดสาวโสดในญี่ปุ่น ก็มีปัจจัยในเรื่องของ “ฤดูกาล” และ “เทศกาล” ที่มาทำให้รู้สึก “เหงา” ด้วยเหมือนกัน

อาจเป็นเพราะลมที่พัดมาหนาว ทำให้ความโดดเดี่ยว ไร้คนข้างกาย ยิ่งเด่นชัด

หรือเพราะการที่เห็นใครๆ เดินมาเป็นคู่ ยิ่งทำให้รู้ว่ามีเพียงตัวเราคนเดียว เพียงลำพัง

หรือเป็นเพราะเทศกาลและงานครื้นเครง ทำให้รู้สึกถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่เวียนวนอยู่ข้างกาย

อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงรู้สึกเหงา จนเหน็บหนาวขึ้นมาได้เหมือนกัน

ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง

ทั้งคนไทย และคนญี่ปุ่น

ส่วนวิธีการแก้ปัญหาความหนาวเหน็บในจิตใจที่ไร้คู่ของคนญี่ปุ่น ก็เป็นการไปงานปาร์ตี้ หรือไม่ก็งานเลี้ยงจับคู่มากถึง 34% ส่วนอีก 24% ก็เป็นการทำตัวให้ดูดี และแสดงออกว่า “รับสมัคร” คนรู้ใจอยู่ !

ไม่รู้ว่าวิธีไหนจะได้ผลมากกว่ากัน

การเป็นฝ่ายเดินออกไปหา

หรือว่ารอให้มีใครเดินย่างเข้ามา

การเป็นฝ่ายรุก หรือเป็นฝ่ายรับ

การให้มีคนอื่นเข้ามา หรือว่าเริ่มแก้ปัญหาจากความรู้สึกข้างใน

ไม่แน่ใจว่าคนไทยและคนญี่ปุ่น จะเลือกแก้ปัญหาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

แต่ไม่ว่าเมื่อไรที่ “ลมหนาว” ผ่านเข้ามาหา เราจะรู้ว่า มีใครอีกคนหนึ่งซึ่งรู้สึกอย่างนี้ไม่ต่างจาก “เรา” ค่ะ !


ลิงค์ต้นตอฮะ : http://www.manager.co.th/lady/viewnews.aspx?NewsID=9510000146119

สงสัย (๗)




สงสัยจะแพ้ออฟฟิศ


กลับมานั่งโต๊ะเดิม เปิดคอมเครื่องเดิมเมื่อไหร่
เป็นต้องไอเหมือนสุนัขเป็นวัณโรค
ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้
แล้วก็ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา
...




...อยู่บ้านสองวันไม่เห็นจะไอเลย



เราทำได้: เสร็จแล้วนะ ปลาจัง


แกจะเห็นว่าชั้นถักจนหน้ามัน+มึนส์

อาทิตย์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๑

(ก่อนวันคริสมาสต์ ๑๑ วัน!)

และแล้ว...อิฉันก็สำเร็จผลงานที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน
ผ้าพันคอที่ริอ่านคิดจะถักให้ปลาเอาไปใช้ที่ลอนดอน!!
แรกเริ่มน่ะ ริอ่านจะถักให้น้องมันแพ็คใส่กระเป๋าไปเลยด้วยซ้ำ
...แ่ต่ก็อย่างที่รู้ว่า ทำ-ไม่-ทัน

จนป้าอ้อยจะตามไปอีก
ก็ริอ่านจะทำให้ป้าอ้อยอีก
ผืนแรกยังไปไม่ถึงไหน ยังมีผืนที่สองมาถ่วงได้อีก

จากหน้าใบไม้ร่วง ลากเข้าหน้าหนาว ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายนก็แล้ว
ถ้าเลยจากเดือนธันวาคงไม่ต้องส่งเสิ่งไปหรอก
กว่าจะถึงลอนดอนแม่งก็คงเข้าสปริงพอดี

ยิ่งใกล้ถึงวันคริสมาสต์เจ้ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตามตัว
ก็เลยมุมานะเอาจนมันเสร็จในวันนี้
ด้วยความยาวมากกว่าความยาวตัวของปลา (เชื่อว่างั้น) พร้อมพู่ห้อยระย้า
ครบเครื่องความเป็นผ้าพันคอ

ชั้นตั้งใจทำให้มันกว้าง เผื่อแกจะใช้โพกหัว หรือใช้คลุมไหล่น้อยๆ ของแก
แต่ถ้ามันไม่อุ่นพอ (เพราะไม่ใช้ wool เป็นแค่ไหม acrylic เมดอินไทยแลนด์-แปลว่าคงมีเมลามีนน้อยกว่าจากจีน) จงพันวิธีที่ชั้นสาธิตมา

คงพอช่วยได้บ้าง

เฮ้อ...เบื่อตัวเอง ทำไมกรูช่างเป็นคนอ้อยสร้อยอย่างนี้ (แกเบื่อชั้นไหมวะ ปลา?)

หมายเหตุ
-เนื่องจากแกได้บอกไว้ว่าถ้าถักสีเข้มแกจะใช้บ่อย ชั้นเลยเลือกสีดำ
-และก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าไหมพรมสีดำแม่งโคตรถักยากเลย
มันมองยากอะ
-ห้องชั้นมันยิ่งมืดๆ อยู่แล้ว (ไฟเสียตั้งแต่ต้นปียังไม่ได้ซ่อม)
อันนี้มันจะทำให้ถักช้าหรือเปล่านะ?
-พรุ่งนี้จะไปส่งแระ คงไม่ทันคริสมาสต์หรอก
-หวังว่าค่าส่งจะพอนะ (ช่วงนี้จนกรอบ)

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สะกิดตา-สะกิดใจ





เสาร์ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๑

ไปศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์
เสร็จแล้วจะไปสยามพารากอน แต่ขี้เกียจเดิน
เลยยืนรอรถเมล์ข้างหน้า

รู้สึกเหมือนจะเป็นลม
ไม่ใช่เพราะเพิ่งเสียเลือด แต่เพราะเหม็นปัสสาวะมนุษยละแวกนั้น

มองไปรอบกาย พยายามหาว่าตรงไหนเหม็นน้อยกว่า
ดันไปเจอกับห้องน้ำสาธารณะกทม. เข้า
อ้าว ห้องน้ำก็มีนี่่หว่า

โปสเตอร์ที่แปะอยู่น่าสนใจนะฮะ



ม้อย แมว ดำ





เสาร์ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๑

เพิ่งรู้ว่ามีพัสดุ นิติที่นี่เค้าทำหน้าที่ดีเลิศฮะ
ต้องเจอตัวเสียก่อน ถึงจะบอกกัน

มีแมวดำรอเราอยู่ในซอง
พี่มิจังส่งมา

เห็นของอาอิไปเมื่อวันก่อน
ของหล่อนเป็นแมวขาว ของชั้นเป็นแมวดำ

แหม...คนให้เค้าช่างเข้าใจเลือก

ขอบคุณนะฮะ พี่มิ

รายงานความคืบหน้า


๗ วันจะรู้เรื่องจริงเร้อ???


เสาร์ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๑

ได้มาแล้ว

สื่อการเรียนการสอนสนทนาภาษารัสเซียอย่างง่ายที่กอนโดลาสั่งซื้อ
นัยว่าจะนำไปใช้สนทนากับครูสอนเปียโน (สาวสวยหรือเปล่า???)

ได้มาจากคิโนคูนิยะ
มีเยอะเหมือนกัน ราคาก็ประมาณกัน คือห้าหกร้อยบาท
แต่เลือกอันนี้ให้เพราะแพคเกจดูดี
มีทั้งซีดีแล้วหนังสือ (เชื่อไหมบางแบบที่แค่ซีดี แต่ออกมาหลายชุด)

เพื่อนสั่งว่า ภาษาไทยก็ได้ ภาษาอังกฤษก็ได้ เลยเลือกภาษาอังกฤษให้เืพื่อน
...จะบอกว่าไม่ได้เดินหาสื่อภาษาไทยเลยก็ว่าได้
เพราะของภาษาไทยที่ดีหน่อยมันต้องแปลมาจากอังกฤษอยู่แล้ว

ที่ซื้อมานี่มีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ และมีราคายูเอสดอลลาร์ เลยเชื่อว่ายังไงต้องเป็นภาษาอังกฤษแน่
มารู้ว่ามันเปิดได้หลายภาษาเอาเมื่ออยู่บนรถไฟฟ้า

เห็นสาธยายหลายภาษาแต่มองไม่เห็นภาษาอังกฤษ
ใจหายวูบเชีย
เลยว่าจะแกะป้ายราคาดูหน่อย
...ต๊ายตาย มีภาษาไทยด้วยว่ะเพื่อน

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ฉันหยุดชมจันทร์






ศุกร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๑
๑๙.๑๓ น.
ฉันหยุดชมจันทร์

เค้กส้มสวัสดีปีใหม่


ชุ่มฉ่ำน่ากินดีนิ

วันศุกร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๑

เป็นสื่อมวลชนนี่ จะว่าไปแล้วก็ได้รับการเคารพนับถือเสมือนญาติผู้ใหญ่ของใครหลายๆ คน
ยิ่งใกล้คริสมาสต์-ปีใหม่ บริษัทห้างร้านโรงแรมเค้าต้องมาส่งความสุข มาส่งของขวัญ
มามอบปฏิทินขององค์กรเค้า ทะยอยมากันตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกาเลยทีเดียว

ปีก่อนโน้นพวกเราเคยได้รับของขวัญพวกนี้เยอะจนแอบเอามาเปรียบเทียบกันเสียสนุก
ว่าปฏิทินใครสวยกว่าใคร ของใครเข้าใจออกแบบ ของใครออกแบบแล้วมึนส์

กระทั่งเค้ก 2-3 ปีก่อนเราทำแบบฟอร์มให้คะแนนแจกเพื่อนร่วมงานให้แต่ละคนช่วยกรอกเป็นรายบุคคลด้วยซ้ำ
ว่าเค้กปีใหม่โรงแรมไหนรสชาติยังไง ใครเจ๋งที่สุด

แต่ทว่า...
ปลายปีนี้ช่างเงียบเหงา
ปฏิทินปีใหม่แทบไม่ต้องพูดถึง
กระเช้่ายังไม่มา เค้กปีใหม่ยังไม่มี

สองวันก่อนมีช็อกโกแลตกล่องน้อยจากเครือโรงแรมดุสิต (นายกินหมดแล้ว)
ค่อยยังชั่วที่เขาเอาปฏิทินมาให้ด้วย
ดีใจ ปีหน้ามีปฏิทินไว้จดงานแล้ว
(ใช้ของดุสิตทุกปีเลย มันมีที่ว่างๆ ให้เขียนเยอะ)

วันนี้ ปาเข้าไปวันที่ ๑๒ ธันวาคมแล้ว เค้กชิ้นแรกที่ตกถึงท้องหน้าตาดีหน่อย
แว่วว่ามาจากเว็บไซต์หาคู่ ที่ตอนนี้มีสมาชิกที่ได้แต่งงานกันแล้ว 2-3 คู่
(หรืออะไรทำนองนี้อะนะ)

หน้าตาและรสชาตินับว่าน่าอวด (ว่าฉันได้กินฟรี)
เป็นเค้กส้ม เนื้อเค้กเป็นสปัน เบาๆ นุ่มนิ่ม ไม่หวานเกินไป
ซอสส้มด้านนอกสิ รสชาติได้ใจ มีหวาน มีเปรี้ยวกำลังดี
แถมหอมส้มซันคิส กินกะชาเลดี้เกรย์ของทไวนิ่ง (ของฟรีของออฟฟิศ)
หอมเบอร์กาม็อตน้อยกว่าเอิร์ลเกรย์หน่อย แต่รสชาติเข้ากั๊น-เข้ากันกะเค้กส้ม

ขนมปังที่ได้มาวันนี้อีกชิ้นมาจากโรงแรมแรมแบรนดท์
(เคยไปกินอาหารอินเดียที่โรงแรมนี้ ยังประทับใจอยู่เลย)
หน้าตาเป็นขนมปังถึกๆ ไม่น่าอร่อย เลยไม่มีใครลงมือแกะห่อ

เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ หัวหน้าจึงมอบให้กลับไปกินบ้าน
ไว้ได้ชิมแล้วจะมาสาธยายถึงรสชาตินะ


วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

นอนสบายใต้เงาสน


ซ่อนพระอาทิตย์ไว้หลังสน


เก็บภาพสนที่ภูสน จุดพักแรมบนภูเรือมาฝากเพื่อนกร
คนอยากไปกางเต็นท์บนภู

ส า ย . ไ ฟ




พฤหัสบดีที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑

ซ้อมมือไว้ ก่อนไปถ่ายต้นคริสมาสต์

คำสารภาพ ฉบับที่ ๕ : อิฉันกินลิ้นวัว






.......มันอร่อยมาก






หมายเหตุ:
-ในภาพคือ Tagiatalle Pasta with Ox-tongue Ragout White Truffle Cream
-พาสต้าซอสไวท์ทรัฟเฟิลสุดหอม และเนื้อวัวตุ๋นไวน์ขาวนาน 8 ชั่วโมง
วางเบคอนกรอบ โรยพริกป่นเล็กน้อย เพิ่มฟิลลิ่งแบบเอเชี่ยน
-เนื้อนิ่ม รสอร่อยอย่างอธิบายไม่ถูก
-อิฉันไม่กินเนื้อวัวตั้งแต่อายุ ๑๕
-แต่วันนี้นอกจากลิ้นวัว(๑ คำ)แล้ว ยังกินหัวไหล่ลูกแกะอีกด้วย T-T
-ต้องกินเจไถ่โทษสักกี่วันกันนะ

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

รูปเชียงคานที่เพื่อนชอบ



บอกไม่ถูกว่ะ แต่ชอบจริงๆ
มันดูเหมือนจะถูกทิ้งอยู่คนเดียว
แต่ไม่เป็นไร ก็ไปตามถนน ข้างหน้าก็เจอผู้คนแล้ว ไรเงี้ย
 
ดูเหงาๆ แต่มีความหวัง 555
สรุปว่าชอบละกัน
 
เพื่อนที่บอกชอบรูปนี้ให้เหตุผล เมื่อคนถ่ายถามว่า

ทำไมชอบรูปนี้ฟระ
ไม่เห็นมันจะสวยกว่ารูปอื่น

..ก็ไม่คิดว่าเพื่อนจะมองมันแล้วนึกคิดไปลึกซึ้งขนาดนั้น

อิฉันเองเป็นคนชอบถ่ายรูป ถ่ายแบบถ่ายเร็วๆ คิดเร็วๆ ไม่ได้ประณีตพิถีพิถันมากมาย ประเภทเห็นปุ๊บสัญชาตญาณก็ทำงานเลย ตัดสินใจได้เลย (เหมือนนิสัยมั๊ง)

โดยส่วนตัวชอบถ่ายแบบให้รูปมันเล่าเรื่องมากกว่าจะเอารูปสวย แต่ไม่บอกอะไร นอกจาก "สวย"
อยากให้รูปถ่ายของเราเป็นเหมือนภาพบันทึกความทรงจำของเราเอง (เพราะว่าเป็นคนขี้ลืม)
รูปที่เลือกมาอัพโหลดบางรูปก็เลยไม่สวยเอาเสียเลย แต่คนอัพ ซึ่งเป็นคนเดียวกับคนถ่ายย่อมรู้ ว่ารูปนั่นเล่าเรื่องอะไร ข้างหลังภาพมีอะไร คนในรูปกำลังยิ้มเรื่องอะไร

อัลบั้มรูปในมัลติพลายของอิฉันมันเลยดูบ้าๆ บอๆ เป็นกึ่งๆ คอลเลกชั่นส่วนตัวในระดับที่ยอมให้เพื่อนดูได้
เหมือนสมบัติบางชิ้นที่อยากอวดมาก
บางชิ้นก็อยากอวดแค่นิดหน่อย

อีตอนจะถ่ายรูปนี้ไม่ได้ใช้เวลามาก เดินผ่านซอยนั้นแล้วมองเห็นแสงอรุณที่ปลายซอย
มียอดเจดีย์วัดจับกับแสงแดดอยู่ แล้วก็เห็นหนุ่มสาวนักเดินทางที่ก็คงออกมาชมเชียงคานยามเช้าเหมือนเรา เดินอยู่ด้วยกันคู่นึง
ด้วยตาเปล่า (กล้องที่ดีที่สุดในโลก) รู้สึกว่าภาพนั้นมันส้วย-สวย
เป็นยามเช้าที่อบอุ่นและสวยงาม

เหลือบไปทางซ้ายเห็นรถสามล้อกำลังจะเลี้ยวพอดี
ถ้้าอยากถ่ายให้ทันก็ต้องไม่ปรับอะไรทั้งสิ้น
ก็เลยถ่ายเลย
ช้าไปด้วย เพราะถ้าถ่ายเร็วกว่านั้น รถสามล้ออยู่ริมกว่านี้ องค์ประกอบคงลงตัวกว่านี้

ทั้งที่งงๆ แต่ก็รู้สึกดีใจจริง ที่เพื่อนชอบ




หมายเหตุ
-นี่เป็นเวอร์ชั่นตามที่กดมา อาจจะรีไซส์ไปหนนึง
-สภาพจิตใจช่วงที่อยู่เชียงคานค่อนข้างปกติ นิ่งๆ มีความสุขได้กับปัจจุบันขณะ
-ไม่ได้คิดถึงคนรักเก่า ไม่ได้หวังเจอคนรักใหม่
-ไม่ได้โหยคิดถึงใครจนจะแย่ เหมือนตอนเห็นท้องฟ้าเหนือยอดภู ตอนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
(ก่อนถึงสี่แยกที่น้าเต๋าบอกว่าสวยที่สุดในประเทศ)
-ทั้งยังไม่ได้อิจฉาคนไปเชียงคานพร้อมคนรัก
-แต่รู้สึกอิ่มเอมกับบรรยากาศน่ารื่นรมย์ของเชียงคาน ท่ามกลางมิตรภาพจากเพื่อนร่วมทาง
-ก็ชอบเชียงคานนะ แต่ถ้าจะไปเที่ยวอย่างคนไกลไปสัมผัสเชียงคานอย่างที่ไปมา ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ ถึงจะไม่เบื่อเสียก่อน




เรื่องหมาหมา : คิดถึงพี่ท็อป





พี่ไทด์กะพี่ท็อปเป็นหมาสองพี่น้องของพี่พิม เจ้าของเชียงคานเกสต์เฮ้าส์
(หมาเป็นพี่ แมวเป็นน้อง)

สารภาพเลยว่าอิฉันหลงรักพี่ท็อปหมดใจตั้งแต่แกย้ายกายฟูๆ มาสถิตบนเสื่อที่คนปูไว้เตรียมใส่บาตร

ตอนนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ อากาศยังจัดว่าหนาว
ตัวฟูๆ สะอาดๆ ของพี่ท็อปจึงกลายเป็นที่พึ่งของคนไป

กอดแล้วอุ๊น-อุ่น
นุ๊ม-นุ่ม
แล้วก็ห้อม-หอม

ใส่บาตรเสร็จคนก็ล้อมวงกันยืนจกอาหารเช้า
พี่ไทด์(พี่ชายท้องเดียวกัน)กะพี่ท็อปก็มาวนเวียนรอกินด้วย

เห็นแววตาวิงวอนของทั้งสองแล้ว
ขำก็ขำ เอ็นดูก็เอ็นดูฮะ

..การจากเชียงคานมาโดยไม่ได้กอดอำลาพี่ท็อปอีกครั้งมันช่างคาใจจริงๆ นะเนี่ย

ตามติดชีวิตนักท่องเที่ยว (๓)





ตามติดชีวิตนักท่องเที่ยว (๓) : ชีวิตระหว่างทาง

ออกจากเชียงคานเที่ยงๆ วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๑
มีคนอยากเห็นจุดที่คอดที่สุดของประเทศไทย (อีตรงหัวขวานน่ะ)
เราเลยดั้นด้นกันไปหา

ไกลแสนไกลกว่าจะถึง
หนทางหรือก็ช่างเปลี่ยวดายจนอดนึกถึงฉากในนิยาย "แผ่นดินนี้เราจอง" ไม่ได้

แต่ในที่สุด เราก็ผ่านด่าน ตชด. (ที่ไม่มีใครสนใจเราเลย) ขึ้นไปถึงเนินลูกนั้น
แล้วก็ได้เห็นว่า อ้อ จุดที่คิดที่สุดคือคุ้งโค้งนี้ของแม่น้ำโขง (แน่ๆ)
...เฮ่อ

หลังจากนั้นเราก็งมอยู่ในเส้นทางยาวไกลที่จะพาเรากลับสู่ทางหลักเดินทางกลับกรุงเต้บ
ก็ไม่เคยมีใครเคยมาขับรถเล่นแถวนี้มาก่อนนี่นะ
หิวก็หิว ลุ้นก็ลุ้น (ถนนย่านนี้ช่างแล้งปั๊ม) ว่าน้ำมันจะหมด
แต่ในที่สุด เราก็ลากสังขารกลับมากินข้าวเที่ยง (เมื่อบ่ายสองกว่าๆ) ที่ร้านแถวๆ ตัวเมืองภูเรือจนได้

ร้านนี้ดูมิน่าไว้วางใจนัก อิฉันเลยเพลย์เซฟด้วยการสั่งข้าวไข่เจียวแหนม
ถ้ารู้ว่าเค้าทำกับข้าวรสชาติพอใช้ได้กว่านี้ก็คงจะสั่งอะไรที่สวิงสวายกว่านี้หรอก

ตกเย็นเราแวะกราบพระธาตุศรีสองรัก
พระธาตุนี้น่าสนใจดี ตั้งแต่วัตถุประสงค์ในการสร้างเลย
คือ เป็นพระธาตุที่เป็นเหมือนพยานสัมพันธไมตรีระหว่างไทย-ลาว สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (ชื่อคุ้นๆ ว่าอยู่ในหนังสุริโยทัยและนเรศวรเนอะ) ทำนองว่าสองพี่น้องจะเป็นพันธมิตรร่วมต้านทัพพระเจ้าบุเรงนองกัน..อะไรประมาณนั้น จึงลงมือสร้างเจดีย์รูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้างด้านละ 8 เมตร สูงประมาณ 32 เมตร ไว้ตรงกึ่งกลางระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำน่าน

ด้วยเป็นพระธาตุที่เป็นสัญลักษณ์ของพันธมิตรระหว่างสองชาติ เค้าก็เลยห้ามไม่ให้ใส่สีแดง (ประมาณว่าเป็นสีของสงคราม) ขึ้นไปไหว้พระธาตุ
...มันไม่เป็นมงคล เค้าว่างั้น

นอกจากนี้ เค้ายังห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าในโซนในๆ ด้วย
(ไม่แปลกนะ เจอมาเยอะแล้วจากทางเหนือ ในวัดที่เชียงคานไม่มีพระธาตุ เค้ายังห้ามผู้หญิงเข้าเลย-ผู้หญิงช่างเป็นมนุษย์ชั้นสองแท้ๆ )

เอาล่ะ ยังไงก็ได้มากราบพระธาตุแล้ว
ถึงจะกราบอยู่ไกลๆ แล้วก็ท่องคาถาบูชาพระธาตุผิดๆ ถูกๆ เพราะไม่ได้ใส่แว่น
คงมีกุศลเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้พบสักรัก-สองรักมั่งกระมัง

ตามติดชีวิตนักท่องเที่ยว (๒)




ตามติดชีวิตนักท่องเที่ยว (๒) : ชีวิตที่เชียงคาน

เรามาถึงเชียงคานเย็นวันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๑
เชียงคานเกสต์เฮ้าส์เป็นบ้านเรือนแถวเก่า หันหน้าเข้าถนน หลังติดริมโขง
(หรือสมัยก่อนโน้นด้านติดริมโขงจะเป็นหน้าบ้านหรือเปล่าไม่รุเนอะ)
เรา ๑๐ แยกกันนอนใน ๕ ห้อง อิฉันนอนกะพี่ดื้อ ซึ่งเป็นเต็นท์เมทกันมาแต่คืนก่อน

บรรยากาศยามเย็นในห้องพักช่างน่าประทับใจ ด้วยแสงแดดอุ่นยามบ่ายสาดเข้ามาสร้างความอบอุ่นต้อนรับผู้มาเยือน

วางของแล้วโผล่ไปริมระเบียงหลังบ้าน โอ้โห แม่น้ำโขงกว้างจริง
ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝั่งคือเมืองลาว (มีคนอยากข้ามไปช็อปปิ้งฝั่งลาวด้วย)

เก็บของเรียบร้อยเราว่าจะไปตลาด หาของสดมาทำกันเหมือนที่โม้ไว้บนภูหลวง
ไปๆ มาๆ ชักขี้เกียด เลยเวียนรถหาของกิน

ไหงไปโผล่ที่แก่งคุดคู้ได้ไม่รุ
เราเลยแวะลงนั่งเรือชมแก่ง (น่ากลัวออก) แล้วก็กินข้าวที่ร้านริมแก่งเสียเลย
สาวๆ ไม่พลาดการขนซื้อของฝาก ได้แก่มะพร้าวแก้วอ่อนนิ่มมาฝากคนที่บ้านด้วย

คืนนั้นนอนเขียนโปสการ์ดจนเพลีย (เหนื่อยชิบ) หลับสบ๊ายสบายไปพร้อมเพลงในไอพอดน้อย ไม่ได้รู้สึกยี่หระรำคาญกับเสียงเด็กผี เพื่อนร่วมเกสต์เฮ้าส์แต่อย่างใด

เช้ารุ่งขึ้นก็ตื่นแต่ไก่โห่ เพราะตื่นเต้น อยากใส่บาตรแบบจกข้าวเหนียว
(ซึ่งก็ได้จกกันสมใจ) เช้านี้ได้กอดพี่ท็อปอุ๊นอุ่น
เออ อากาศที่เชียงคานหนาวกำลังสบาย ไม่โหดร้ายเหมือนบนภู
สายๆ ก็เลยออกเดินเล่นเตร็ดเตร่ได้โดยไม่ต้องทรงชุดใหญ่


ตามติดชีวิตนักท่องเที่ยว (๑)


กำลังสนุกกันใหญ่

ตามติดชีวิตนักท่องเที่ยว (๑) : ภูหลวง-ภูเรือ

ตอนนี้มีรูปไม่มาก เนื่องจากยังไม่หนิดหนมฮะ

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

กินเองจ่ายเองที่ตันตันเมง


ขอโทษนะ
ว่าจะถ่ายให้สวยกว่านี้แล้วเชียว
แบตหมดซะก่อน

๒ ธันวาคม ๒๕๕๑

ในซอยสุขุมวิท ๓๓/๑ นั้น นอกจากมีร้าน "ราเมงเต" อันโด่งดังแล้ว
"ตันตันเมง" เป็นร้านราเมงอีกร้านที่อร่อยไม่แพ้กัน
โดยเฉพาะ ตันตันเมง หรือราเมงงาบด ของร้านนี้ อิฉันว่ารสชาติกินอีกร้านขาดลอย
นอกจากนี้ ถ้ามาตันตันเมง อย่าลืมสั่งเกี๊่ยวซ่า
ยังไม่เคยกินเกี๊ยวซ่าที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่

หมายเหตุ
-เอจังบอกว่า เกี๊่ยวซ่าของตันตันเมงเป็นเกี๊่ยวซ่าแบบคันไซ มันจะมาแบบติดกันเป็นแผง
-ไปราเมงเตอย่าลืมสั่งคาเรไรสึ (ข้าวหน้าแกงกะหรี่)
-คืนนี้กินราเมงชามเล็ก ๑ ชาม เกี๋ยวซ่า ๑ จาน ราคารวม ๒๑๐ บาท
-อย่าเหน็บว่ากินแต่ของแพง เพราะจะแนะนำบะหมี่หมูแดงที่อร่อยที่สุดในย่าน(ริม)ถนนสุขุมวิทย่านนั้นในโอกาสต่อไป

นิสชิน เมนทะสึ มิโซ แบ็ก

Rating:★★★★★
Category:Other
วันนี้อยู่บ้าน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในตู้เย็น
ยังดีที่หลังเลิกเรียนวันก่อนโน้นไปช็อปที่ ยูเอฟเอ็ม ฟูจิ ซูเปอร์ ซอยสุขุมวิท ๓๓/๑
เค้ากำลังจัดโปรโมชั่นลดราคาฉลองวันเกิดร้าน พวกของอิมพอร์ตจากญี่ปุ่นลดราคาเพียบ
ซึ่งอิฉันก็ได้ขนซื้อของมาหลายสิ่ง หนึ่งในนั้นคือ
บะหมี่ี่กึ่งสำเร็จรูป (ราเมง) อิมพอร์ตจากญี่ปุ่น ยี่ห้อนิสชิน ซึ่งวันนี้เหลือติดตู้อยู่อีก ๑ ซอง
..ก็เลยจัดการต้มซะ

คนญี่ปุ่นช่างมีความพิถีพิถันในการทำอาหารกินเอง แม้แต่อาหารกึ่งสำเร็จรูปอย่างนี้
บะหมี่กึ่งฯ บ้านเราไม่เห็นต้มแล้วได้เส้นละม้ายคล้ายบะหมี่ (ในที่นี้คือราเมง) ขนาดนี้
ไหนจะน้ำซุปอีก มันนุ่ม หยุ่น ให้ตัวเวลาสูดเข้าปาก (กินราเมงต้องสูดนะฮะ)

น้ำซุปมิโซ (เต้าเจี้ยวหมักแบบญี่ปุ่น) ก็ทั้งหอม ทั้งเข้มข้น

แม้มาม่าจะซองละแค่ ๖ บาท แต่อิ่มราเมงซองละ ๓๘ บาทซองนี้แล้วรู้สึกคุ้มมากมาย
ทั้งยังไม่รู้สึกอดสูกับการกินอาหารกึ่งสำเร็จรูป(อีกแล้ว)แต่อย่างใด

เมื่อคืนได้ต้มบะหมี่ยี่ห้อนี้รสโชยุกินไปแล้ว นอกจากเส้นนุ่มเหนียวเหมือนเส้นราเมงจริงแล้ว ยังรู้สึกว่าน้ำซุปหอมมากๆ หอมเหมือนมีเห็ดหอมเป็นส่วนผสม

รู้สึกติดใจไม่แพ้รสมิโซ

เห็นทีต้องรีบกลับไปขนซื้อก่อนที่ซูเปอร์มาร์เก็ตนี้จะหมดโปรโมชั่นลดราคา
เขาลดถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคมนี้จ้ะ

หมายเหตุ
-จำไม่ได้แล้วว่าราคาเต็มตอนยังไม่ลดน่ะ เท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าแพง ซื้อมาต้มกินยามยากคงไม่ไหว
-ที่ฟูจิซูเปอร์เนี่ยเขาไม่ได้ขายของแพง แต่เขามีของญี่ปุ่นครบ น่าเดินดี
-ในซอยเดียวกันยังมีร้าน NEO ที่ทั้งร้านขายของราคา ๖๐, ๗๐ และ ๘๐ บาท ด้วย
-บะหมี่ยี่ห้อเมียวโจ้ เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่ไหน