วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Countdown ก่อนวันสิ้นโลก




            สวัสดีวันที่ 20/12/2012 เสียก่อน เผื่อพรุ่งนี้ 21/12/2012 จะไม่มีให้สวัสดีกัน ถ้ามันเป็นวันสิ้นโลกจริงๆ (ฮา)

            ถ้าโลกรอด ไม่ระเบิดตูมตามไปในวันพรุ่งนี้ เราก็คงได้ฉลองปีใหม่กันอีกหน ปีใหม่ที่บรรดารายการใน New Year Resolutions ที่คิดไว้สวยหรูในปีเก่าถูกเช็กไปไม่ถึงครึ่ง เพราะมัวแต่ใช้ชีวิตอิดออด อ้อยสร้อย slow motion  

ก่อนได้เวลา Countdown นับถอยหลังส่งท้ายปีเก่าเริ่มต้นปีใหม่ ฉัน ผู้ซึ่งไม่เคยออกไปนับกับใครที่ไหน คืนวันส่งท้ายปีเก่าได้แต่นอนก่นด่าเพื่อนบ้านเสียงดังที่ตั้งวงเหล้าเคล้าคาราโอเกะฉลองปีใหม่ (ไม่เคยเข้าใจว่าจะฉลองกันไปทำไม ในเมื่อมีวันอย่างนี้ทุกปี??) ได้ไปดูหนัง Countdown

ฉันว่ามันน่าสนใจเพราะความไม่เหมือนหนัง GTH ของมันนี่แหละ

ยอมรับว่าตื่นเต้น อยากรู้ว่าคนไทยทำหนังแนวนี้ได้จริงหรอ แต่ก็ดูอย่างเปิดใจ ไม่ได้คาดหวังหรือคิดจะเอาไปเทียบกับหนังฝรั่ง ดูจบแล้วก็ตัดสินใจว่าดีใจเถอะเรา คนไทยทำได้นะ ทำได้แบบไท้ย-ไทยเสียด้วย ถึงเรื่องราวมันจะปะแล่มๆ และหาเหตุผลยากในบางจุด แต่ฉันดีใจที่หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังทริลเลอร์ที่ตั้งใจจะทำให้คนดูกลัวหัวหดแต่ถ่ายเดียวเหมือนหนังฝรั่งที่เคยดู แต่ยังพยายามเตือนใจให้ฉุดคิด สะกิดให้เกิดสติ ทบทวนถึงชีวิตของตัวเอง สิ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะรายการที่ยังค้างเติ่งในปณิธานปีใหม่นั่น และอีกหลายรายการที่ตั้งใจจะทำ แต่ไม่ได้เขียนลงไป

เออ นั่นสินะ ถ้าโลกแตกก่อนถึงเวลา Countdown ขึ้นปีใหม่ เวลาที่จะสะสางก็คงเหลือน้อยลงไปอีก

หวังว่าพรุ่งนี้โลกยังไม่แตก และเราๆ ยังมีเวลาตามสะสางสิ่งคั่งค้าง รวมทั้งรายการเรื่องที่อยากทำกันต่อไปละกัน

หมายเหตุ
·       เมื่อวานเป็นวันที่ฉันเหนื่อยมาก เหนื่อยติดต่อกันมาหลายวันแล้ว แถมก่อนเข้าโรงกินข้าวอย่างอิ่ม ยังห่วงอยู่เลยว่าจะหลับไหม แต่ดูหนังเรื่องนี้ลืมหลับไปเลย (ฮา)
·       มันอาจไม่ใช่หนังทริลเลอร์ที่ดี สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ (ที่จริงรู้สึกขัดๆ กับตอนจบ) แต่ฉันดูแล้วรู้สึกยินดีกับนักแสดงนำทั้ง 4 นะ ที่ตัดสินใจรับบทแบบนี้ และทำออกมาได้ขนาดนี้ ยินดีที่พวกเขาพัฒนาไปอีกขึ้น สู่ความเป็น “นักแสดง” ไม่ใช่แค่ “ดารา”
·       ไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จด้านรายได้หรือไม่ ฉันว่าดีใจที่ GTH ตัดสินใจทำ อย่างน้อยคนที่ผิดหวังกับหนังไทยมา (เกือบ) ตลอดอย่างฉันก็ยังพอมีหวัง
·       ฉันชอบฉากในหนังเรื่องนี้นะ ฉันแอบคิด (เสร่อนะ) ว่าคนไทยก็ทำฉากเก่ง แถมคุม continue ได้เยี่ยมไปเลย
·       ผู้กำกับ (นัฐวุฒิ พูนพิริยะ) เก่งนี่ เขากำกับหนังอะไรมาบ้างนะ?

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เมื่อเรานั่งลงพักเพื่อหายใจใต้ต้นไม้




              เมื่อวานนี้ฉันกับเพื่อนร่วมงานฝ่าความสับสนของการจราจรและจิตใจออกจากกรุงเทพฯ ชั่วคราว มุ่งหน้าไปทางนครปฐม ด้วยความสับสนที่ว่าด้วย ด้วยเพราะเราไม่เคยไปด้วย เพราะไม่ชินกับเส้นทางด้วย ทำให้เราไปถึง Little Tree ช้ากว่าเวลาที่ตั้งใจ

แต่พอไปถึงแล้วหายเหนื่อย รู้สึกราวข้ามทะเลทรายมาเจอโอเอซิสก็ไม่ปาน

เรายิ้มกับต้นไม้ใหญ่น้อย เฟิน ดอกไม้ที่อยู่บนต้น และที่ส่งกลิ่นหอมอยู่ในแจกันบนโต๊ะ อิ่มเอมกับแอปเปิลเขียวปั่นกับตะลิงปลิง ข้าวผัดเนยกับซี่โครงหมูอ่อนอบโรสแมรี่ปลูกจากสวน ชอร์ตเบรดหอมๆ สโกนแอปเปิ้ลเขียวและกระเจี๊ยบ ชาทไวนนิ่งอุ่นๆ ในฝ่ามือ ระหว่างที่ฝนส่งท้ายฤดูเทลงมา อย่างหนัก และยาวนาน

ฝนทำให้หมดโอกาสเดินชมสวนส่วนที่ยังไม่ได้เห็น ห้องอบขนม ห้องเรียนศิลปะของเด็กๆ รวมทั้งท่าน้ำริมน้ำท่าจีน แต่ก็เปิดโอกาสให้กับบทสนทนายาวนานเกี่ยวกับชีวิต

ฉันเลือกของที่ระลึกจาก Little Tree เป็นแผ่นรองแก้วโครเชต์ชุด 6 ชิ้น น่ารักและราคาไม่แพงเลย ที่จริง ของแบบนี้ฉันทำเองได้ หลังๆ มานี้ฉันมีความคิดว่าของที่ทำเองได้ ก็น่าจะทำใช้เอง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงเลือกของชุดนี้กลับมา

สงสัยจะอยากได้ของที่ระลึก ถึงแรงบันดาลใจซึ่งสถานที่เงียบสงบ อบอุ่น และสวยงามแห่งนี้ทำให้เกิดขึ้นข้างในตัวฉัน ฉันอยากทำงานที่น่ารัก สงบและสวยงามอย่างนั้นบ้าง ฉันอยากใช้ชีวิตให้สงบและสวยงามอย่างนั้นบ้าง

ฉันกลับมานอนในที่นอนของตัวเองแล้วฝัน ฝันถึงหนังเรื่อง “เด็กสาว” หนังที่ฉันไม่ได้สนใจเรื่องราวในนั้นมากไปกว่า ภาพที่ถ่ายทอดลีลาอ่อนไหว แต่แข็งแรง ความโดดเด่น และสง่างามของไม้ใหญ่

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

The Taste of the Money: อยากอยู่อย่างมีเงิน หรือมีศักดิ์ศรี?






เคยดูหนัง The Housemaid ของ อิมซางซู แต่ไม่ได้ติดใจอะไรนัก ทั้งความอีโรติกและเนื้อเรื่อง เพราะมันหนัก สุดโต่ง และบ้าบอ ดูแล้วไม่ได้สะใจ ไม่สบายใจ ไม่ชอบ (แม้แต่ฟิกเกอร์ของนักแสดงก็ไม่ชอบ) ...แล้ววันหนึ่งก็บังเอิญได้ไปดูหนังอีกเรื่องของเขา โดยไม่ได้สนใจจะนึกสำเหนียกว่าหนังเรื่องนี้กับ The Housemaid ออกจะมีอะไรที่เชื่อมโยงกันอยู่ ทั้งๆ ที่ได้เห็นโปสเตอร์หนังแว้บๆ ก่อนไปดูตั้งหลายรอบ  

ตรงข้ามกับเรื่องแรกเลยนะ ฉันดูแล้วชอบหนังเรื่องนี้เชียวแหละ

ฉันชอบที่ตลอดเวลาของการฟังผู้กำกับเล่าเรื่องหม่นๆ แต่เรารู้สึกได้ถึงความหม่นนั้นจริง แต่ไม่ได้เครียดและหม่นตามไปด้วย ตลอดเวลาที่ดู เรานั่งตาโต ทึ่งไปกับความเว่อร์ และอึ้งไปกับความชั่ว รักความร้าย ฮาไปกับมุก และยิ้มไปกับเสน่ห์ของเขา

ส่วนเรื่องความ อีโรติกที่คนขายหนังเอามาขาย ฉันว่าฉันยังเห็นไม่ชัดเจนเท่ากับความเท่

 The Taste of the Money เป็นหนังที่เท่ ทั้งภาพ เสียง และรสนิยมในการเล่าเรื่อง 

ไหนจะคำถามเท่ๆ ท้าให้คนดูชั่งเอา ระหว่าง การมีชีวิตเพียบพร้อมหรูหราอย่างคนมีเงิน แต่ไร้ศักดิ์ศรี กับมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีแต่ไม่มีเงิน  

ถ้าหนังทั้งสองเรื่องของผู้กำกับ อิมซางซู คือคำพูด หนังเรื่องแรกเหมือนการบริภาษอย่างรุนแรงจนคนฟังหน้าชา แต่เรื่องหลังเป็นการเหน็บแนมเสียดสีแบบขำๆ เนียนๆ แต่ฟังแล้ววาบไปถึงไหนๆ

ผู้กำกับเติบโต คนดูก็เติบโตขึ้นแฮะ 


วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความสุขเช้าวันศุกร์




หมา ชื่อ แมว
ส่งความสุขให้ฉัน
ยามเราหยุดทักกันระหว่างทาง




วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Midnight in Paris: สุขกับปัจจุบัน

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Romantic Comedy

คนเรานี่ก็แปลก ตัวอยู่ตรงนี้แต่ชอบปล่อยให้ใจล่องลอยไปโน่นมานี่ อนาคตบ้าง อดีตบ้าง

บางคนก็มีหวังกับอนาคต แต่มีไม่น้อยเลยที่อาลัยอดีต ฉันเองก็ยังเป็นวันละหลายๆ หน เวลาเปิดวิทยุเจอซาวนด์แห่งยุคสมัยแล้วพานนึกถึงความเรียบง่ายที่บอกเล่าความรู้สึกอย่างซื่อสัตย์ของเพลงแจ๊สเก่าๆ ซึ่งเมื่อใดที่ได้สัมผัสความรู้สึกเนื้อๆ ของเครื่องดนตรีและเสียงร้องแล้วก็พานอยากเกิดในยุคนั้น ได้แต่งตัวประณีตงดงาม ทำผม ทาปาก ไปนั่งคีบบุหรี่ ฟัง live ในบาร์เก๋ๆ แห่งยุค หรือบางทีเวลาที่อ่านแม่พลอยแล้วก็อยากมีชีวิตแบบสาวชาววัง หรือเวลาอ่านนิยายที่เขียนขึ้นเมื่อ 40 ปีก่อนของสุวรรณี สุคนธา ก็อยากจะมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ยังมีทุ่ง มีดอกไม้ มีน้ำสะอาด แบบในยุคนั้นบ้าง

เพราะว่าเป็นคนช่างฝันเวิ่นเว้อแบบนี้ละมัง ถึงถูกใจนักกับหนังที่ Woody Allen เหน็บแนมว่าคนเราไม่ว่าจะเกิดในยุคสมัยไหนก็มักจะโหยหาวันวานเสมอ จึงไม่มีใครพอใจในยุคสมัยของตัวเอง

ลุงแสดงทัศนะที่ว่าออกมาอย่างมีศิลปะผ่านหนังเรื่องนี้

ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นเพราะลุงสูงวัยแล้วหรือเปล่า? ไม่แน่ใจนัก รู้แต่ได้ดูแล้วว่ามันใช่เลยค่ะลุง คนเราไม่เคยพอใจในสิ่งที่อยู่ในมือ รักครั้งนี้ไม่เคยยิ่งใหญ่สะเทือนใจเท่ารักครั้งที่ผ่านมาแล้ว ประดิษฐกรรมยานยนต์สปอร์ตรุ่นปีนี้ไม่เคยงดงามคลาสสิกเท่าสมัย 1970’s ดนตรีปีนี้ไม่ได้แสดงความสามารถของนักร้องและนักดนตรี หรืออย่างน้อยก็สื่อความคิดได้ไม่เคยแหลมคมเท่าดนตรียุค 1960’s ฯลฯ เราชินกับการเปรียบเทียบทั้งๆ ที่ หลายอย่างเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เราโหยหา ทั้งๆ ที่รู้ว่า ไม่มีโอกาสได้ครอบครอง

หนังของลุงจึงสะกิดใจยิ่งนักให้เรามองปัจจุบันของเราให้ดี ให้ใช้ชีวิตอยู่ที่ปัจจุบัน อิ่มเอม มีความสุข เจ็บปวด หมดหวัง และมีความหวังอีกครั้งกับชีวิตขณะนี้ ก่อนที่มันจะผ่านไป กลายเป็นอดีต เพื่อให้เราได้แต่โหยหามัน


หมายเหตุ:
•หนังเรื่องนี้ไม่ใช่การอุทิศให้ หรือเป็นไดอาลอกแทนใครเลย นอกจากลุงอัลเลน ฉันดู Owen Wilson เล่นเป็น Gil แล้วก็ยังนึกถึงว่าถ้าเอาหน้าลุงมาแปะ พ่อโอเว่นก็คือลุงนั่นแหละ พูดแบบนี้ ท่าทางอย่างนี้ เคยเห็นลุงเล่นในหนังเมื่อตอนหนุ่มๆ ฉันจำได้
•มีผู้กำกับสักกี่คนที่เซ็นชื่อตัวเองลงไปในหนังชัด อย่างลุง? ว่ามาตั้งแต่เพลงไตเติล โหมโรง ไปจนถึงเอนไตเติลโน่นเลย (ฉันปลื้มนะ)
•ใครประชดเฮมมิ่งเวย์ได้เจ็บชัดขนาดนี้มั่งคะ
•สะใจมากตอนลุงด่าพวกเกรียนอวดรู้
•ชอบทัศนะเกี่ยวกับนักเขียนและงานเขียนของลุงที่ให้เกอร์ทรูด สไตน์พูด
•แน่นอนว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วอยากไปเดินเชื่องช้ากลางสายฝนในปารีสอย่างเป็นที่สุด


ฟินเล็กๆ



หัดเย็บกระโปรงตัวแรกเมื่อไหร่จำไม่ได้แล้ว เป็นได้ว่าอาจจะเคยเกิดขึ้นสมัยมัธยม ตอนเรียนวิชาเย็บผ้า (วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ? ที่บางครั้งเราต้องทำอาหาร และแบกจอบไปพรวนแปลงผัก??) ความทรงจำเกือบไม่เหลือ งั้นก็อย่าไปนับว่าเป็นกระโปรงตัวแรกเลยนะ

ไปแม่สอดเมื่อสักเกือบ 10 ปีที่แล้ว แวะตลาดริมเมย ซื้อผ้้าโสร่งพม่ามาผืนนึง ก็เกิดเฟื่องคิดว่าผ้าผืนนี้เอามาเย็บกระโปรงบานๆ รูดมาผูกที่เอวก็น่าจะได้ ฉันทำได้ ก็ลงมือเย็บด้วยเข็มกับด้าย ง่ายๆ ภูมิใจชะมัด แต่ใส่ไม่สวย มันพองเกินไป งั้นก็อย่าไปนับว่ากระโปรงตัวนั้นเป็นตัวแรกอีกเลย

เกือบได้เย็บกระโปรงตัวแรก เป็นกระโปรงทรงเอที่สร้างแบบจากทรงของตัวเองเมื่อต้นเดือนกันยายนปีที่แล้ว ตอนที่สมัครไปเรียนฟรีกับศูนย์ฝึกอาชีพ กทม. เรียนก้าวหน้าไปจนถึงตอนจะติดซิป หมดชั่วโมงเสียก่อน แล้วหลังชั่วโมงนั้นก็ไม่ได้ไปเรียนอีกเลย จากวิกฤตสติแตกหอบแมวหนีน้ำท่วม (ซึ่งที่สุดแล้วก็มาไม่ถึง) ไปฝากแม่ที่สุราษฎร์ฯ

ซากกระโปรงตัวนั้นยังอยู่เตือนให้ช้ำใจถึงวันนี้

แต่เมื่อเดือนที่แล้ว ไปได้หนังสือแบบตัดกระโปรงง่ายๆ มาจากคิโนะคุนิยะ เป็นหนังสือแปลจากญี่ปุ่น ก็คว้ามาด้วยความดีใจ แล้วก็ดองเก็บไว้ประสาบ้าสะสมตำรา มาเกิดนิมิตเมื่อสองสามคืนก่อน ว่าอยากลองตัดกระโปรงสักทีแล้ว ผ้ามี ซิปก็น่าจะมี แล้วก็เลยเปิด เลือกแบบ

แบบแรกที่เลือกไม่ใช่แบบที่ง่ายที่สุด (ซึ่งน่าจะเ็ป็นกระโปรงทรงตรงเข้าเอวด้วยยางยืด) แต่เลือกเอาจากแบบที่ไม่ยากไป และคิดว่าน่าจะได้ใส่ แถมยังเฉไฉ ไม่ทำตามที่เขาบอกเป๊ะๆ เสียอีก

สนุกและได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการลงมือตัดกระโปรงตัวแรกตามหนังสือบอก โดยเฉพาะ 

ข้อแรก: หนังสือเล่มนี้ดีมาก บอกขั้นตอนชัดเจน รูปประกอบเลิศ ให้กำลังใจอยู่ในที (ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่ด้วยความรู้สึกที่เกิดเวลาอ่านพร้อมทำความเข้าใจไปพร้อมกันว่า ไม่ยากหรอก ทำได้)

ข้อสอง: ตีนผีติดซิปใช้ไม่ยากนี่หว่า (ได้จักรมาจะครบปี เปิดซิงตีนติดซิปก็คราวนี้)

ข้อสาม: (สำคัญมาก) ถ้าเอาแต่คิดว่าอยากทำ แต่ไม่ลงมือทำเสียที มันก็ไม่ได้ทำเสียทีนั่นแหละ!

 

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Lady: The Gentleman and People

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama
หนังเรื่องแรกของ Luc Besson ที่ฉันได้ดูคือ Léon (2537) ตอนนั้นฉันยังเด็ก แต่จำได้ว่าติดใจข้อความที่ถ่ายทอดผ่านดวงตาของนักฆ่ามืออาชีพลีอองมากกว่ารัศมีเจิดจรัสของเด็กหญิง นาตาลี พอร์ตแมนเสียอีก

ได้ดู The Lady (2554) ในปีนี้ ฉันยังคงติดใจข้อความที่ถ่ายทอดผ่านสายตาของมิเชล โหย่ว ในอวตารของ อองซาน ซูจี บุตรีแห่งวีรบุรุษของชาวพม่าอีกครั้ง โดยที่เธอไม่ต้องพูดไดอาล็อกคมคายใดๆ เลย ไม่ว่าจะในภาษาไหน

ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งจะยิ่งใหญ่ได้เพียงใด ฉันไม่เคยฉุกคิดจนมาดูเมอริล สตรีพ ถ่ายทอดชีวิตของมาร์กาเร็ต แธทเชอร์ ผ่านหนัง The Iron Lady แต่เรื่องราวของอองซาน ซูจี ใน The Lady ทำให้ตอบตัวเองได้หมดใจ ว่าชีวิตลูกผู้หญิงนั้นจะยิ่งใหญ่ได้มากที่สุด เมื่อเธอผู้นั้นอดทนอย่างที่สุดและยอมเสียสละอย่างที่สุด เพื่ออุดมการณ์ที่ตัวเองศรัทธา

ผ่านการเล่าเรื่องของลุงลุค ฉันได้เห็นด้วยว่า เบื้องหลังของหญิงผู้ยิ่งใหญ่มีชายผู้เสียสละที่ฉันไม่เคยเห็นเลย จากข่าว หรือสารคดีอะไรก็ตาม การมีอยู่ของเขาผู้นี้เติมเต็มเรื่องราวของ อองซาน ซูจี ให้ดูมีชีวิตจริงบนแผ่นฟิล์ม (กระดากจะพูดเล็กน้อย เพราะตัวฉันเปิดหนังจากแผ่น) ถ้าไม่ได้กำลังใจและการสนับสนุนของสามีและลูกๆ เธอผู้นี้อาจไม่เข้มแข็งพอจะผ่านทุกอย่างมาได้จนถึงวันนี้

ช่างเป็นคู่ชีวิตที่คู่ควร

ได้ยินว่า อองซาน ซูจี กำลังจะมาเมืองไทย ฉันรู้สึกยินดีที่เธอได้เดินทางออกมาทำงานของเธอนอกบ้านบ้าง และแอบฝันว่าถ้าเราได้พบกัน ฉันอยากจะถามอะไรเธอสักข้อ


หมายเหตุ:
• The Lady เป็นหนังดราม่าที่เปิดกี่ครั้งก็เห็นใจผู้หญิงคนนี้ตลอด
• ซีนที่ดอว์ซูดีดเปียโนใต้แสงตะเกียงทำน้ำตาไหลทุกครั้ง
• ชอบเพลงในหนังเรื่องนี้ทุกเพลง
• ฉากสวยมาก โดยเฉพาะบ้านหลังนั้น ฉันอยากรู้จังว่าอยู่ที่ไหน
• อีกเรื่องที่รู้สึกคือ หนังเรื่องนี้ตัดต่อดีมาก
• อยากดูหนัง The Fifth Element





วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พี่น้องคู่ใหม่




กระเป๋าเก็บแว่นกันแดด และกระเป๋าเก็บกุญแจ
ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือที่ลูกค้าส่งมาให้เย็บเดรส มีผ้าเหลือเลยทำเป็นของใช้ให้เข้าชุดกัน

งานชุดนี้เย็บด้วยมือ ควิลท์ตามลายตาราง ติดซิปฟันกระดูก รูดลื่น
เสร็จออกมาน่ารักน่าใช้ดีเหมือนกัน :)

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Village Garden Restaurant




วันนี้ฉันพาตัวเองไปรู้จักร้านอาหารหนึ่งย่านพระรามสอง จริงๆ ก็มีโอกาสได้รู้จักร้านนั้นร้านนี้ ตรงนั้นตรงนี้อยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยเจอร้านที่อยากแนะนำให้เพื่อนรู้จักอย่างร้านนี้

ร้านนี้แปลก ลงทุนเยอะ อาคารสวย ไม่วิจิตร แต่สวยแบบตั้งใจออกแบบ เจ้าของร้านคุมครัวเอง เริ่มต้นจากเป็นคุณแม่ช่างทำอาหาร อบขนมให้ลูกกินตามสูตรในหนังสือ จนวันหนึ่งตัดสินใจไปเรียนกอร์ดองเบลอเพราะอยากเรียนให้รู้จริง ปรากฏว่าได้วิชากลับมามากมาย คุณอ้อบอกว่าไม่ใช่แค่เรื่องสูตรหรือเทคนิคการทำอาหารหรอก

เปิดร้านในซอยวัดยายร่ม หรือพระรามสอง 33 ใกล้โรงเรียนลูกได้ 8-9 เดือน ก่อนน้ำท่วมนิดหน่อย ยังไม่ได้โปรโมทอะไรมาก ยังไม่มีกระทั่งแฟนเพจใน facebook แถมยังตั้งราคาอาหารที่เมื่อเทียบกับวัตถุดิบจานชามสถานที่แล้ว ทำให้คนกินคิดว่า ได้กำไรหรือเปล่า

เลยแอบอยากให้ร้านนี้เปิดต่อไปนานๆ ให้คนแถวนั้น และคนไกลมีโอกาสพาตัวเองไปกินอาหารของคุณอ้อบ้าง อาหารแบบแม่ทำให้ลูก ภรรยาทำให้สามี คือสะอาด จัดให้ถึง เต็มที่ และไม่มีกั๊ก

แต่ก่อนเคยคิดว่าย่านพระรามสองหาร้านอาหารอร่อยๆ บรรยากาศน่านั่งยากจัง ตอนนี้ชักอิจฉาแล้วสิ



ปล. คุณอ้อรับจัดงานเลี้ยง งานสังสรรค์ด้วย สอบถามเส้นทางและจองโต๊ะโทร. 0 2427 9989

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

แดงและขาว กลมและเหลี่ยม





กระเป๋าใส่พาสปอร์ต 4 เล่มของพี่โอ เป็นกระเป๋าแบบเดียวกันใบที่สอง (ใบแรกเป็นของแม่ทะเล) ซึ่งถูกขยายด้านข้างให้กว้างขึ้น แต่ฟังก์ชั่นและรูปแบบยังเป็นเหมือนเดิม คือใช้เสียบพาสปอร์ตฝั่งละ 2 เล่ม เสียบ Bording Pass ด้านละ 2 ใบ กับมีช่องติดซิปสำหรับใส่ธนบัตรหรือตั๋ว หรือเอกสารในการเดินทางที่ไม่อยากให้หล่นหาย

สำหรับพี่โอ เลือกตัวห้อยซิปรูปกล้องถ่ายรูปให้ค่ะ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555