วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เมื่อเรานั่งลงพักเพื่อหายใจใต้ต้นไม้




              เมื่อวานนี้ฉันกับเพื่อนร่วมงานฝ่าความสับสนของการจราจรและจิตใจออกจากกรุงเทพฯ ชั่วคราว มุ่งหน้าไปทางนครปฐม ด้วยความสับสนที่ว่าด้วย ด้วยเพราะเราไม่เคยไปด้วย เพราะไม่ชินกับเส้นทางด้วย ทำให้เราไปถึง Little Tree ช้ากว่าเวลาที่ตั้งใจ

แต่พอไปถึงแล้วหายเหนื่อย รู้สึกราวข้ามทะเลทรายมาเจอโอเอซิสก็ไม่ปาน

เรายิ้มกับต้นไม้ใหญ่น้อย เฟิน ดอกไม้ที่อยู่บนต้น และที่ส่งกลิ่นหอมอยู่ในแจกันบนโต๊ะ อิ่มเอมกับแอปเปิลเขียวปั่นกับตะลิงปลิง ข้าวผัดเนยกับซี่โครงหมูอ่อนอบโรสแมรี่ปลูกจากสวน ชอร์ตเบรดหอมๆ สโกนแอปเปิ้ลเขียวและกระเจี๊ยบ ชาทไวนนิ่งอุ่นๆ ในฝ่ามือ ระหว่างที่ฝนส่งท้ายฤดูเทลงมา อย่างหนัก และยาวนาน

ฝนทำให้หมดโอกาสเดินชมสวนส่วนที่ยังไม่ได้เห็น ห้องอบขนม ห้องเรียนศิลปะของเด็กๆ รวมทั้งท่าน้ำริมน้ำท่าจีน แต่ก็เปิดโอกาสให้กับบทสนทนายาวนานเกี่ยวกับชีวิต

ฉันเลือกของที่ระลึกจาก Little Tree เป็นแผ่นรองแก้วโครเชต์ชุด 6 ชิ้น น่ารักและราคาไม่แพงเลย ที่จริง ของแบบนี้ฉันทำเองได้ หลังๆ มานี้ฉันมีความคิดว่าของที่ทำเองได้ ก็น่าจะทำใช้เอง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงเลือกของชุดนี้กลับมา

สงสัยจะอยากได้ของที่ระลึก ถึงแรงบันดาลใจซึ่งสถานที่เงียบสงบ อบอุ่น และสวยงามแห่งนี้ทำให้เกิดขึ้นข้างในตัวฉัน ฉันอยากทำงานที่น่ารัก สงบและสวยงามอย่างนั้นบ้าง ฉันอยากใช้ชีวิตให้สงบและสวยงามอย่างนั้นบ้าง

ฉันกลับมานอนในที่นอนของตัวเองแล้วฝัน ฝันถึงหนังเรื่อง “เด็กสาว” หนังที่ฉันไม่ได้สนใจเรื่องราวในนั้นมากไปกว่า ภาพที่ถ่ายทอดลีลาอ่อนไหว แต่แข็งแรง ความโดดเด่น และสง่างามของไม้ใหญ่

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

The Taste of the Money: อยากอยู่อย่างมีเงิน หรือมีศักดิ์ศรี?






เคยดูหนัง The Housemaid ของ อิมซางซู แต่ไม่ได้ติดใจอะไรนัก ทั้งความอีโรติกและเนื้อเรื่อง เพราะมันหนัก สุดโต่ง และบ้าบอ ดูแล้วไม่ได้สะใจ ไม่สบายใจ ไม่ชอบ (แม้แต่ฟิกเกอร์ของนักแสดงก็ไม่ชอบ) ...แล้ววันหนึ่งก็บังเอิญได้ไปดูหนังอีกเรื่องของเขา โดยไม่ได้สนใจจะนึกสำเหนียกว่าหนังเรื่องนี้กับ The Housemaid ออกจะมีอะไรที่เชื่อมโยงกันอยู่ ทั้งๆ ที่ได้เห็นโปสเตอร์หนังแว้บๆ ก่อนไปดูตั้งหลายรอบ  

ตรงข้ามกับเรื่องแรกเลยนะ ฉันดูแล้วชอบหนังเรื่องนี้เชียวแหละ

ฉันชอบที่ตลอดเวลาของการฟังผู้กำกับเล่าเรื่องหม่นๆ แต่เรารู้สึกได้ถึงความหม่นนั้นจริง แต่ไม่ได้เครียดและหม่นตามไปด้วย ตลอดเวลาที่ดู เรานั่งตาโต ทึ่งไปกับความเว่อร์ และอึ้งไปกับความชั่ว รักความร้าย ฮาไปกับมุก และยิ้มไปกับเสน่ห์ของเขา

ส่วนเรื่องความ อีโรติกที่คนขายหนังเอามาขาย ฉันว่าฉันยังเห็นไม่ชัดเจนเท่ากับความเท่

 The Taste of the Money เป็นหนังที่เท่ ทั้งภาพ เสียง และรสนิยมในการเล่าเรื่อง 

ไหนจะคำถามเท่ๆ ท้าให้คนดูชั่งเอา ระหว่าง การมีชีวิตเพียบพร้อมหรูหราอย่างคนมีเงิน แต่ไร้ศักดิ์ศรี กับมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีแต่ไม่มีเงิน  

ถ้าหนังทั้งสองเรื่องของผู้กำกับ อิมซางซู คือคำพูด หนังเรื่องแรกเหมือนการบริภาษอย่างรุนแรงจนคนฟังหน้าชา แต่เรื่องหลังเป็นการเหน็บแนมเสียดสีแบบขำๆ เนียนๆ แต่ฟังแล้ววาบไปถึงไหนๆ

ผู้กำกับเติบโต คนดูก็เติบโตขึ้นแฮะ