วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Ariyasomvilla




วันศุกร์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๑

มีโอกาสได้สัมผัสกับ Ariyasomvilla ซึ่งเป็น Boutique Hotel ขนาด ๒๔ ห้อง ท้ายซอยสุขุมวิทซอย ๑ ในพื้นที่ไร่กว่าๆ ติดคลองแสนแสบ
ได้รู้จักก็เพราะ talaydad บอกมานั่นแหละ ว่าที่นี่เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่ปรับปรุงจากบ้านเก่าโดยเจ้าของเอง
ตอนที่น้องเขียนพีอาร์โทรมาหา โรงแรมก็ยังไม่เสร็จ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็เข้าเค้ามากแล้ว แต่ดิฉันเห็นทีว่าถ้าต่อไปอาจช้ากว่าคนอื่น จึงติดต่อมาทำงาน

เริ่มจากบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน ๒ ชั้นหลังสวย มีหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน เปิดรับลมทั้ง ๔ ด้าน ที่ได้รับการบอกเล่าว่า สร้างโดยพระเจริญวิศวกรรม คณะบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ท่านแรก สร้างขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ (สามารถเนอะ) ตัวบ้านมีห้องใต้ดินสำหรับหลบภัยด้วย
เป็นบ้านที่สร้างมาอย่างดีเลิศ เพราะแม้ปัจจุบันจะถูกล้อมรอบด้วยตึกสูงรอบด้าน แต่โครงสร้างยังแข็งแรง ไม่มีทรุดหรือเอียงแต่อย่างใด

เจ้าของปัจจุบันเป็นทายาทรุ่นหลานปู่ มีอาชีพเป็นนักออกแบบภูมิสถาปัตย์ สามีเป็นนักออกแบบตกแต่งภายใน Ariyasomvilla จึงถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างมีรายละเอียดสวยงาม ลงตัวไปจนกระทั่งสีสันต่างๆ ที่ได้เห็นจากมุมหนึ่งของห้องอาหาร

สวนข้างนอกยังเป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก ดอกไม้ต่างพรรณถูกปลูกอยู่ด้วยกัน แต่ไปด้วยกันได้ลงตัวยังกะบรรจงจัดจัดแจกัน

องค์ประกอบทุกอย่าง รวมทั้งร้านอาหาร ณ อรุณ สร้างบรรยากาศให้โรงแรมเล็กๆ แห่งนี้กลายเป็น “บ้าน” ของแขกที่มาพักได้จริงๆ

หารายละเอียดเกี่ยวกับราคา ที่ตั้ง และอื่นๆ ได้ที่ www.ariyasom.com

ป.ล. เนื่องจากไม่ได้ไปทำรีสอร์ตรีวิว จึงมีรูปมาฝากแค่พอเป็นกระสัย
ดูรูปมากขึ้นได้จากเว็บไซต์ที่ให้ไปข้างบนค่ะ

ณ อรุณ สุขุมวิท ๑



ดูเสียก่อน ว่าเป็นบ้านที่สวยแค่ไหน

วันศุกร์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๑

ณ อรุณ คือชื่อของห้องอาหารใน Boutique Hotel เล็กๆ ที่ขอกล่าวถึงในอัลบั้มต่อไป
อันนาม "อรุณ" นั้น เป็นชื่อของคุณย่าของเจ้าของ คู่บุญของพระเจริญวิศวกรรม ผู้เป็นปู่ และเป็นผู้สร้างบ้านหลังนี้

ที่นี่เสิร์ฟอาหาร healthy organic vegetarian food เน้นการกินเพื่อสุขภาพ มีเนื้อขาวอย่างปลาให้สั่ง แต่ไม่มีพวกเนื้อแดง

อาหารรสชาติดี แต่บรรยากาศดีกว่า
ใครจะคิดว่าจากสถานีบีทีเอสเพลินจิต เดินมาทางสุขุมวิท ลึกเข้าในสุขุมวิทซอย ๑ แค่สัก ๒๐๐ เมตร จะเงียบ มีลมโชย แล้วก็นั่งได้สบายขนาดนั้น


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ณ อรุณ และ Ariyasomvilla ได้ที่ www.ariyasom.com

คุณมาโนช กับ คุณลีลาวดี(๒)



...อ๊ะ
รูปนี้ไม่ได้ถ่ายที่แมริออท
แต่เป็นอีกโรงแรมที่อยู่ในสุขุมวิท ซอย ๑
...จะเล่าให้ฟังในอัลบั้มต่อไปจ้ะ

วันศุกร์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๑

ไปทำงานที่ฟิตเนสคลับของ JW Marriott
ชั้นนี้ี่มีสวนกลางแจ้งขนาดกระจิดริด
แต่ก็มีดอกลีลาวดีร่วงหล่น พอให้คุณมาโนชเก็บภาพมาฝากคุณที่รัก
..ตามเคย

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

บางเรื่องที่ไม่รู้เหตุผล ตอนที่ ๓ การกลับมา


“ขอบคุณที่จะเลี้ยงข้าว”

ภารดีกรอกเสียงกระซิบลงไปในโทรศัพท์ แต่นี่เย็นมากแล้ว ยังไม่เสร็จธุระกับเพื่อนเลย ถ้าไปกินข้าวกับพี่ คงกลับดึก คืนนี้ต้องทำงานให้เสร็จด้วย.. แล้วนี่ฝนก็ยังไม่หยุดตกเลย เธอรู้ตัว หัวใจกำลังเต้นแรง และไม่อาจควบคุมจังหวะการพูดไม่ให้เป็น ละล่ำละลัก 

 

หึหึ..ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เขาตอบกลับมา งั้น..ให้พี่ไปหาที่คอนโดได้ไหม?

 

....เสียงโครมครามในอกดังจนเธอกลัวเขาได้ยิน ..ด้วยเข้าใจดี การมาหาที่คอนโดในเวลาแบบนี้ จะไม่มีการกลับก่อนสว่าง

หือ?เขาทวงคำตอบ

 

คิดว่าไม่สะดวกค่ะ แม้เสียงจะสั่น แต่ก็เด็ดเดี่ยว

ทำไมล่ะ? หรือเดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว? เขาถามเสียงแปร่ง

 

ก็..ไม่มีคนอยู่ด้วยหรอก แต่ว่า..ตอนนี้ ภารดีหยุดคิด ...ไม่ได้ไม่มีใคร

ไม่ได้มีใคร? เขาทวนคำเธอ ...ไม่เข้าใจ

ก็หมายความว่า.. อยู่คนเดียว แต่ว่าไม่ได้ไม่มีใครไงคะ

 

อืมม์..เขาครางอยู่ในลำคอแบบเดิมที่เธอยังจำได้

ถ้าจะกินข้าวกัน ก็ไม่น่าจะค่ำเกินไป ควรจะเกรงใจเขาด้วย

... เขาไม่มีคำถาม หรือความเห็น

งั้น..แค่นี้ก่อนนะคะ เพื่อนรออยู่ จบคำยังไม่มีเสียงตอบ ภารดีจึงวางสาย เดินกลับสู่วงสนทนาของเพื่อน

 

เขากลับมาแล้ว.. หลังจากทิ้งเธอไปไกล โดยไม่สะสางความรู้สึกที่มีต่อกัน

เขา

คนที่ทำให้เธอสับสน ด้วยไม่เคยเข้าใจการตัดสินใจของเขา

คนที่ทำให้เธอร้องไห้ จากการกล่าวหาอันโหดร้ายว่า เธอไม่เคยยืนอยู่ข้างเขา

คนที่ทำให้เธอเดือดปุด จากแต่ละคำพูดเชือดเฉือน ในแต่ละครั้งที่ทุ่มทะเลาะ ถกเถียง

คนที่ทำให้เธอนอนไม่หลับ จากความระแวงกังวล ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ

คนที่เคยบอกว่ารัก แต่ก็ละเลย ไร้การดูแลเอาใจใส่ความรู้สึก

คนเดียวกับที่เธอเคยบอกตัวเองว่าไม่รัก แต่ในที่สุดก็ไม่อาจหยุดคิดถึงแม้สักคืน

 

เวลายาวนานที่เขาหายไปจากชีวิตไม่อาจช่วยให้เธอแกะ คลายปมซับซ้อนของความรู้สึก

ไม่ช่วยให้เข้าใจว่าเหตุใดจึงรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียด ทั้งต้องการและอยากผลักไสเขาได้ในเวลาเดียวกัน

...แต่มันก็ช่วยให้ภารดีคิดตกว่าควรทำอย่างไรกับตัวเอง กับความสัมพันธ์ และกับเขา

 

เธอเลือกจะดับกองเพลิงร้อนแรงจนควบคุมไม่ได้ ก่อนมันจะเผาใจจนกลายเป็นผุยผง

ด้วยการปฏิเสธการกลับมาของเขา

 

 

 

 

ความสวยงามของชีวิต




วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๑
เสร็จงานแรก ระหว่างเตร็ดเตร่อยู่ในสยามพารากอน
รอเวลาทำงานที่ ๒ ไปเจอเอางานนิทรรศการภาพถ่ายอันหนึ่ง ที่ Lifestyle Hall ชั้น ๒

ชื่อว่า นิทรรศการภาพถ่ายแห่งแผ่นดิน
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคัดเลือกภาพรางวัลชนะเลิศทั้ง ๔ ถ้วยด้วยพระองค์เอง

ดิฉันชอบใจอยู่ ๔ ภาพ
เอามาเรียกน้ำย่อยคนชอบเดินสยามพารากอน
เผื่อจะแวะไปชมกันบ้าง

ลาแล้ว...เซลลูไลต์

Start:     Aug 30, '08 4:00p
Location:     Wow Women with พี่ผึ้ง

รู้ว่าอ้วน แต่ก็รอ
รอจนเกือบทนตัวเองไม่ได้
(ไม่รู้จะรออะไร)

ในที่สุด ดิฉันก็ตัดสินใจซื้อเมมเบอร์แคลิฟอร์เนียว้าวไปเรียบร้อย
เล่นฟิตเนสได้ ๒ สาขา คือ Wow Women กับสยามพารากอน
แต่เล่นโยคะได้ทุกสาขา
ตอนนี้กำลังฝันเฟื่องว่าจะเข้านอนไว แล้วตื่นเช้าไปวิ่ง หรือเล่นโยคะรอบแรก (๗ โมงเช้า)
แล้วอาบน้ำ เดินมาทำงาน

หุหุ

...เสร็จแน่ เจ้าเซลลูไลต์

หาแฟนช่างภาพดีไหม?



กลับมาครอปอีกนิด
แล้วแจ๋วขึ้นเยอะ

วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๑

ไปทำงานที่สยามพารากอนทั้งวัน
เหน็ดเหนื่อยกะอีการแบกหามอุปกรณ์ถ่ายภาพนี่แหละ
(เอ น้องมันก็แบกเองนี่หว่า...แต่เราเห็นมันแบกก็เหนื่อยแล้วน่ะ)

ตอนนั่งเซ็งอยู่หน้าลิฟต์ชั้นไหนสักชั้น ในพารากอน
เกือบจะนึกอยู่เชียวว่าพวกช่างภาพนี่น่าเบื่อ
พกอุปกรณ์เยอะอย่างนี้ แต่ถ้าจะถ่ายรูปทีก็ต้องแกะกล่องออกมา
ประกอบอุปกรณ์ทั้งหลายเข้าด้วยกัน
วัดแสงอย่างประณีต ซูมเข้าซูมออก
แล้วจึงกดชัตเตอร์

ไหนจะเหมือนเรา
มองไปตรงหน้า เห็นช่องไฟเท่ๆ เลยหยิบคุณมาโนชออกมา
บอกแม็กซ์ว่า

"แก..ถ่ายรูปให้ชั้นหน่อย"

แล้วก็ได้พอร์ตเทรตกิ๊บๆ ดังที่เอามาโชว์


วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

..ชะโงกดูเงา



แจ่มจิงๆ กระจกบานนี้

ภาพถ่ายตัวเองจากหลายโอกาส หลายเวลา
คัดมาเฉพาะรูปที่ถ่ายกับกระจก
บางรูปเท่ดี บางทีก็ขำนะ

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

call me irresponsible [รำพึง-รำพัน]



Call me irresponsible
Call me unreliable
Go on and throw in,
Undependable too

Well, do my foolish alibies
Bore you
Well I'm not clever
Baby I just adore you

Go on and call me unpredictable
Tell me I'm inpractical
Rainbows I'm inclined to pursue

Ooh go on and call me irresponsible
Yes I'm unreliable
but it's undeniably, it's undeniably true
I'm irresponsibly mad about you

เพ้อ-เพ้อ
ช่วงนี้อารมณ์ประมาณในเนื้อเพลงนี้
แต่ต้องเป็นเวอร์ชั่น Dinah Washington เท่านั้นนะ
คนอื่นร้องไม่ได้ฟีลเดียวกันนี้

เรดาร์แมว: ไม่เล่นด้วย



แมวหนุ่มสนใจสายคล้องกล้องอีกแล้วสิ


วันอาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๑

ตอนแวะกินข้าวเที่ยงที่ร้านจันทร์เพ็ญ เรดาร์แมวจับเจอเจ้าเหมียวนี่
พยายามชวนเล่นแล้ว แต่เค้าไม่เล่นด้วย
ท้ายที่สุดก็หนีไปนอนในซอกระหว่างโอ่งซะอย่างที่เห็น

เรื่องหมาหมา: น้องหมานครนายก



มีอนุสรณ์ของการต่อสู้ฝากไว้ด้วย

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๑

สามสาวไปนครนายกดังที่ได้ทราบจากอัลบั้มก่อนๆๆ หน้านี้
ดิฉันจมูกไวกลิ่นน้องหมาตามเคย
ทริปนี้เลยได้ภาพน่าเอ็นดูมาฝากคนรักหมาพอควร

เชิญทัศนาได้ตามความพอใจ

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สงสัย-สงสัย (๒)





ฟังอะไรได้ฟีลลิ่งกว่ากัน
ระหว่าง
๑. ตอนอินเลิฟฟังเพลงรัก
๒. ตอนอกหักฟังเพลงเศร้า


ชีวิตสัตว์โลก ตอน ชีวิตที่ไม่มีผู้ชาย




หากว่า

..นกคู่กะฟ้า
..ปลาคู่กะน้ำ
..ผู้หญิง ก๊อต้องคู่กะผู้ชาย

(ตรรกะมั่ก!)

...ไม่เชื่อหรอ?
งั้นมาดูกันไหม ว่าชีวิตที่ไม่มีผู้ชายน่ะ มันเป็นยังไง

-อ้วน...เพราะไม่มีเพื่อนกินข้าว เลยต้องกินแต่จั๊งก์ฟู้ด

-โทรม...เพราะไม่มีคนคุยด้วยก่อนนอน เลยหันไปติดมัลติพลาย หลับหลังเที่ยงคืนประจำ

-พูดจาด้วยน้ำเสียงระคายหู...เพราะวันๆ แทบไม่ได้ฝึกใช้เสียงอ่อนเสียงหวานกับผู้ชาย

-บ้านช่องสกปรกรกรุงรัง...เพราะไม่มีใครมาหา ก๊อเลยไม่จำเป็นต้องสะอาด และมีระเบียบ

-จุดเทียนอาบน้ำได้เป็นเดือน...เพราะคิดว่าไฟในห้องน้ำเสีย ทั้งๆ ที่ที่จริงแล้วแค่เปลี่ยนหลอดก็จบ

-ใช้ชีวิตมืดมนมาเกือบปี...เพราะบัลลาดหรือสตาร์เตอร์ไม่รุ มันเสีย แล้วไม่มีปัญญาซ่อมเอง

-อดดูโทรทัศน์ไปเกือบสองเดือน...หลังจากโทรทัศน์เครื่องเก่าพังแล้วไม่อาจซื้อเครื่องใหม่ เพราะนึกไม่ออกว่าจะเรียกใครมาช่วยยกขึ้นตึก

-กำลังจะอดดูโทรทัศน์...เพราะเป๋อไปทำขั้วสายสัญญาณโทรทัศน์เครื่องเล็ก ยกคนเดียวได้ ที่น้าให้มาพัง ทำเก่งจะซื้อเส้นใหม่มาเปลี่ยนก็็โง่อีก ดันซื้อแบบที่เป็นตัวผู้กับตัวเมีย...ก็ัดันเชื่อเองนินะ ว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง


สมัยนี้ผู้ชายเค้าหันไปจับคู่กันเองหมดแล้ว
...ยัยโง่



เพื่อนฉัน: เพื่อนสาว (สวยทั้งสิ้น)



สาบานได้ว่าหล่อนกำลังขับรถ

อาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๑

อัลบั้มนี้รวบรวมภาพเพื่อนสาวทั้งสองที่ร่วมทางกันไปถึงดงละคร นครนายก
ทริปนี้หนุกหนานดี

แม้หลังบันทึกภาพสุดท้าย ดิฉันจะเผลอไปเหยียบขี้ (คน-แน่ๆ) เข้าให้ จนต้องทิ้งรองเท้าคู่โปรดลงถัง (ห่อแล้วเรียบร้อย) นั่งรถเท้าเปล่าเปลือยจนถึงบ้าน แล้วก็วิ่งจู๊ดดด ขึ้นลิฟต์ไป

ดีนะ ที่พี่ผึ้งถามซื้อมาลัยมะลิ ๓ พวง ๑๐๐ มาก่อน
ในรถก็เลยหอมหอมกลิ่นมะลิ
แทนที่จะ........หึหึ

ป.ล. มีคนบอกว่าเหยียบขี้แล้วจะมีโชค
...เชื่อกันมะ?

ของฝากหนูนา



เชื่อเจ้ดิ
เหอ เหอ

เมื่อวานแวะไปบอกหนูนา (หรือนาดาล-ชื่อที่ใช้เรียกในวงการเทนนิส) ว่ามีของมาฝาก จากนครนายก

วันนี้เจ้าตัวมาทวงที่หน้าบ้าน บอกว่าไม่เห็นมีเลย

เอาล่ะ นี่ไง
...ของฝากหนูนา

หุ หุ หุ

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ดงละครที่ได้เห็น



จำเป็นต้องถ่าย
ก็ป้ายเค้าออกจาสวย
แต่ใครช่วยเอาตู้โทรศัพท์ข้างหลังออกไปหน่อยได้ไหม?

อาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๑

สามสาวไปถึงตำบลดงละคร อำเภอเมือง นครนายก เพื่อเยือน "ดงละคร" เมืองโบราณสมัยทวาราวดี ที่เชื่อว่าสร้างโดยเขมร (โบราณ)
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าตอนที่เมืองแห่งนี้ (จริงๆ ชื่อไรไม่รุ แต่เรียกว่าดงละครตามเสียงเพลงปี่พาทย์ที่บางคนได้ยินตอนกลางคืน...บรื๋อว์) รุ่งเรืองนั้น พื้นที่กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯ ที่เราอาศัยอยู่นี้ยังเป็นก้นทะเลอยู่เรย

ว่ากันว่าเมืองแห่งนี้ล่มสลายไปเพราะโรคระบาด (ห่า-หรืออหิวาต์นั่นเอง)
ฟังฟังดูคล้ายเมืองเวียงกุมกามที่ตอนแรกจะได้เป็นเมืองหลวงของล้านนาแทนเชียงใหม่ แต่ถูกน้ำปิงท่วมจนจมมิดเสียก่อนยังไงยังงั้น

ในพื้นที่เมืองดงละคร มีชาวบ้านยุคปัจจุบันทำการเพาะปลูกและตั้งบ้านเรือน เช่นเดียวกับชาวเมืองเชียงใหม่ทำสวนลำไยอยู่ใกล้เจดีย์วัดเก่าในเวียงกุมกาม

แต่ดิฉันว่าดงละครน่าสงสารกว่าเวียงกุมกาม เพราะนอกจากไม่ได้รับการจัดการที่ดีจากท้องถิ่นคือ อบต. แล้ว (ดิฉันว่าการดูแลจัดการจากท้องถิ่นสำคัญกว่าจากกรมศิลป์ฯ มากนะ) ยังไม่ค่อยเหลืออะไรให้เราเห็นเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกับที่เวียงกุมกาม

ไปดงละครวันนี้เลยไม่ได้เห็นอะไรมาก
ที่ไม่พาตัวเองไปเห็นมากๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ไม่ค่อยสบายตัวด้วย
ในนั้นถึงจะเป็นป่า เป็นดงสมชื่อ ถึงจะมีเสียงนกบ้าง แต่มันแปลกๆ
อึดอัดๆ อย่างไรบอกไม่ถูก อากาศก็ร้อนอ้าวแบบฝนกำลังจะตก
เดินๆ อยู่ใจก็นึกอยากจะกลับเร็วๆ

ยังไงไม่รู้แหละ
รูปที่ถ่ายมาก็มีแค่นี้อีก

อยากลองหาดูไหม ว่าถ่ายติดอะไรมามั่ง?

หึหึ

เพ็ญนี้..ที่รอคอย



รสชาติดีเหมือนจั๊บฉ่ายกระดูกหมูทั่วไป


อาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๑

และแล้ว สามสาว (สรรพนามเหมือนชื่อสามแยกแห่งนึงใกล้ร้านที่กำลังจะพูดถึง) ก็ได้ออกเดินทางไปนครนายก เพื่อไปชมเมืองโบราณดงละคร และ observe สถานปฏิบัติธรรมที่พี่ผึ้งเล็งไว้

แต่ก่อนอื่นใด ต้องหาของกินก่อน

ดีที่คราวนี้มีจุดหมาย คือ ร้าน "จันทร์เพ็ญ" ที่ซึ่งพี่ผึ้งอ้างว่าเพิ่ง search เจอเมื่อเช้า
...เป็นเหตุให้มารับดิฉันช้าไปกว่ากำหนดครึ่งชั่วโมง (ตอนนั้นดิฉันก็กำลังเช็ครีพลายจากมัลติพลายเหมือนกัน อิอิ)

เห็นหน้าร้านครั้งแรก ขอบอกว่านึกในใจว่า "จะดีหรอ?"
แต่พอเข้ามาข้างใน พบว่าน่านั่งมากมาย
แถมอาหารก็ไม่เลว
แม้จะไม่ได้กินกุ้งเผาอย่างที่พี่ผึ้งอยาก แต่ก็นับว่าดีอยู่ ที่เราไม่จบมื้อเที่ยงไปกับก๋วยเตี๋ยวเรือสั่วๆ เจ้าไหนสักเจ้าริมคลอง เหมือนทุกๆ ครั้งที่มานครนายก

อาหารที่นี่ราคาไม่แพง (เจ้ามือจ่ายไปห้าร้อยกว่าบาท) รสชาติไม่น่ารังเกียจ แม้จะติดหวานอยู่สักหน่อย แต่เสียตรงที่ทำกันอยู่ ๒ คน ใครมาจังหวะไม่ดี มีหวังได้รอจนมีน้ำโห (เหมือนโต๊ะใหญ่ที่มาหลังเราแป๊บเดียว ช้าจนรอไม่ไหว แถมสมาชิกในโต๊ะตั้งใจจะไปโพสต่อว่าอีก-เว็บไหนน๊า???)

จันทร์เพ็ญอยู่ตรงไหน รอถามพี่ผึ้งกับอิ๋วเองละกัน
เดี๋ยวดิฉันจะไปเรียกชีทั้งสองมาชม

สังขารไม่เที่ยง




อาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๑


..คือความงาม
..คือสัจธรรม



ขอขอบคุณ
คุณบัวในกระถางหน้าบ้านเพื่อนอิ๋ว

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คำสารภาพ ฉบับที่ ๔ : รูปแบบไหนที่ชอบดู?


รูปแบบไหนที่ชอบดู?



คำตอบง่ายๆ มีแค่ รูปที่มีเรื่องราวอยู่ในนั้น


ตั้งแต่เข้ามาในโลกมัลติพลาย ได้เห็นรูปมากมาย สวยบ้าง ไม่สวยบ้าง
แต่รูปที่อยากดูเสมอ ไม่วามันจะสวยหรือไม่ คือรูปที่มีเรื่องราว
รูปบางชุดจัด composition มาโคตรสวยแล้ว นางแบบก็ยังกะนางฟ้า แถมจัดแสงเริ่ดไม่พอ
คนทำรูปเก่งอีกตะหาก
แต่ก็ไม่ชอบดู
เพราะรูปพวกนี้ดูมากๆ ไปก็เบื่อๆ ไม่ได้อะไรขึ้นมา

ได้รับพัสดุอีเอ็มเอสเมื่อวันพฤหัส เป็นความอนุเคราะห์จากสปอนเซอร์ส่วนตัวที่ส่ง National Gegraphic Thai Edition กับ Shape เล่มล่าสุดมาให้อ่าน

เปิด NG แล้วก็พบว่า นี่ไง รูปที่ชอบดู
NG เป็นหนังสือสารคดีรอบโลก ของ National Geographic Society (1888) องค์กรด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ที่ให้การสนับสนุนโครงการสำรวจและวิจัยกว่า ๘,๐๐๐ โครงการ โดยมีวัตถุประสงค์ในการทวีัความรู้เกี่ยวกับโลก ทะเล และท้องฟ้า

เรื่องราวในนิตยสารเล่มนี้ จึงเป็นเรื่องราวของโลก ทะเล และท้องฟ้า
รูปที่มี ล้วนเป็นรูปที่เล่าเรื่องดังกล่าว โดยการถ่ายทอดของช่างภาพระดับโลก
แค่เปิดชมรูปอย่างเดียวก็ให้รู้สึกได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

ใน NG ฉบับประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๑ นี้ มีเรื่องเด่นเป็นเรื่องของแม่น้ำเจ้าพระยา
ช่างภาพนาม ยุทธนา อัจฉริยวิญญู ได้ถ่ายทอดภาพใหม่ๆ ของมุมต่างๆ  รวมทั้งชีวิตริมสายน้ำที่เปรียบเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเราเส้นนี้ให้เห็น  ประกอบกับเรื่องเล่าจาก ราชศักดิ์ นิลศิริ

ดิฉันชอบรูปครอบครัวบนเรือกระแซงแบบที่ขนสินค้าลากจูงตามกันเป็นขบวนในแม่น้ำนั่นจังเลย
แล้วก็รูปคุณยายที่ยกมือปิดหน้า ร้องไห้ แต่ไม่อาจซ่อนน้ำตา ระหว่างเล่าถึงอุทกภัยที่พรากชีวิตผัวของแกไปเมื่อปีก่อน

ในเล่มยังมีเรื่องเปอร์เซีย แหม๋ อยากไปเที่ยวอิหร่านขึ้นมาเชียว (ภาพโดย นิวชา ตาวาโกเลียน)

อีกเรื่องที่รูปภาพอ่อนหวานน่าประทับใจมาก ถ่ายโดยช่างภาพลูกครึ่งญี่ปุ่น (?) นามไมเคิล ยามาชิตะ
เป็นเรื่องของ ไดเซทซึซัง อุทยานแห่งชาติกลางเกาะฮกไกโด ที่ที่มีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น ป่าลึกที่รวมรวมสัตว์หายาก
..รูปมันสวยแท้ อยากไปญี่ปุ่นได้อีก

รูปชีวิตในมอสโคว์ก็น่าประทับใจมาก live มากๆ street มากๆ (โดย เกิร์ด ลุดวิก)
...ชอบแต่เห็นแล้วไม่ยักอยากไปแฮะ

เปิด NG ครบทุกหน้าแล้วบังเกิดกิเลส อยากสมัครสมาชิกขึ้นมาอีก
แต่คิดๆ ไปก็กลุ้มใจ เพราะทุกวันนี้ห้องรกมาก ถ้าแผ่นดินไหวตอนกลางคืน คิดว่าอาจตายเพราะกองหนังสือตกลงมาทับก่อนโดนคานหล่นทับซะอีก

...ใครคิดจะแซวเรื่องคาน ขอด่าไว้ก่อนเลยนะว่า...มุกเสื่อม





หมายเหตุ: ถึงสารคดี
สารคดียังเป็นนิตยสารที่ดิฉันรัก และมีความสุขทั้งในการเปิดชมรูป และอ่านเรื่องราวเสมอ
ดิฉันรักเรื่องราวในสารคดี รูปด้วย (ติดตามผลงานของเพื่อนที่เป็นหนึ่งในทีมช่างภาพมานาน)
สารคดียังเป็นนิตยสารเพียงเล่มเดียวที่ดิฉันบอกรับเป็นสมาชิกในตอนนี้



วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เรื่องหมาหมา: หมาเช้ามืด




เช้ามืด พฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑

งัวเงีย(+หนาว)เดินลงจากรถนอนปรับอากาศ ถึงสถานีบ้านเราแล้ว
เบลอๆ แบกเป้ไปตามทาง
แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับหมาเหงาตัวหนึ่ง
ไม่มีขาตั้งกล้อง
มีแต่น้องน้ำส้ม
ก็เรยเก็บภาพมาได้เพียงเท่านั้น

ออกจะอาย-อาย
แต่ชอบ ก็เลยอยากอวด

เรดาร์แมว: เหมียวราตรี



บ้านช่องอยู่ไหน
ทำไมไม่กลับ

พฤหัสบดีที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๑

เดินกลับจากเรียน กศน. ผ่านมาทางแยกอโศก
เรดาร์แมวทำงาน
พบหนุ่มน้อยนอนอยู่ริมถนน
สวยเสียจนอดไม่ได้ที่จะพยายามเก็บภาพมา

เข้ากับรูปหมาที่อีกคอลเลกชั่นที่กำลังจะออกตามมาเป็นอย่างมาก


วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

How fragile we are [รำพึง-รำพัน]





FRAGILE
Sting

If blood will flow when fresh and steel are one
Drying in the colour of the evening sun
Tomorrows rain will wash the stains away
But something in our minds will always stay
Perhaps this final act was meant
To clinch a lifetimes argument
That nothing comes from violence and nothing ever could
For all those born beneath an angry star
Lest we forget how fragile we are

On and on the rain will fall
Like tears from a star like tears from a star
On and on the rain will say
How fragile we are how fragile we are

On and on the rain will fall
Like tears from a star like tears from a star
On and on the rain will say
How fragile we are how fragile we are
How fragile we are how fragile we are



ชีวิตคนเรา จะว่าบอบบางก็บอบบาง
แต่เอาเข้าจริงก็ทนทานเหลือเชื่อ

อยากให้กำลังใจใครหลายหลายคนที่กำลังต่อสู้
ดิฉันเองไม่จัดเป็นนักสู้ผู้ช่ำชองสนามรบ
ทั้งยังไม่อึด อดทน จนควรค่าที่ใครจะนับถือ

แต่ดิฉันไม่อยากให้คุณยอมแพ้ง่ายๆ

ชีวิตเป็นสิ่งสวยงาม
โปรดสู้ และอยู่ต่อไป
เพื่อสัมผัสความสวยงามของชีวิต
และมิตรภาพ ของเรา


วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เรื่องหมาหมา: หมาวัดระฆัง



นอนขดเชียว


อาทิตย์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๑

ไปกินข้าวกับครอบครัวทะเล รออุดมมาสมทบ
แล้วเดินเล่นไปวัดระฆังตามเสียงเรียกร้องของเด็กหญิงทะเล

ปลาและนกช่างน่ากลัว น้าม้อยเลยเลี่ยงไปเล่นกับน้องหมา
เจอน้องหมาตัวนี้เข้าให้
ถูกชะตากันมากมาย

ดูดูเหมือนมันจะน่าสงสาร
แต่มันยังยิ้มได้นะ เห็นไหม?

พี่ผึ้ง(จะ)ลากไปดงละคร

Start:     Aug 24, '08 09:00a
Location:     ดงละคร นครนายก

นัดกันหลายที มีอันคลาดกันตลอด
เพราะท่านผู้สูงวัยกว่าธุระจัด
คราวนี้คุณพี่โทรมาจิกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

นี่หล่อน, วันอาทิตย์นี้ไม่ได้ไม่ว่างใช่ไหมยะ?

(ตามไวยากรณ์แล้ว เด็กๆ ไม่ควรเลียนแบบเด็ดขาด
เป็นคนไทย ไม่จำเป็นต้องถามด้วยประโยคปฏิเสธหรอกนะ-คนตอบงงจ้ะ)

ใช้สมองประมวลผลแล้วนึกได้ว่าคงเป็นผลมาจากการที่คนถามเรียนภาษายุโรปมามากไป
เข้าใจแกในเสี้ยววินาทีต่อมาว่าต้องการบุ๊คกิ้งคิวดิฉันไปไหนสักแห่งด้วยกัน

นัยว่าจะชวนไปดูวัด (ที่จะไปปฏิบัติธรรม) อะไรเนี่ยแหละ
แว่วๆ ว่าดงละคร นครนายก
(เป็นเมืองโบราณด้วย ชีตื่นเต้นมากที่จะได้พาน้องไปถึงแหล่งอารยธรรมของบรรพบุรุษ)

ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ยังไงเหมือนกันอะนะ




อันที่จริง...จะได้ไปจริงๆ เสียทีไหมยังไม่รู้เล้ย

ป.ล. เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไปเอาอะไรกับผู้สูงวัย ชีธุระเยอะ
แถมหวั่นไหวง่าย เรื่องยกเลิืกนัดถือเป็นเรื่องปกติ

คำคม#๑๐


"ฉันตระหนักว่า
ความจริงแล้วการเลิกรากันมีึความหมายลึกล้ำ
ใกล้เคียงกับความตายยิ่งกว่าความตายเองเสียอีก"







เพราะมันหมายถึงสายสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนได้ขาดสะบั้นลง
ด้วยเหตุนี้ภาพของปู่และแม่จึงยังคงอยู่ หนำซ้ำยังอยู่ใกล้ตัวกว่าคนรักที่เลิกรากันไปเสียอีก
ใบหน้าของพวกท่านแจ่มชัดราวกับจะสัมผัสได้ ทั้งสองยังโอบกอดฉันไว้อย่างทะนุถนอมตลอดมา

จาก "ปีกนางฟ้า"
เขียนโดย โยชิโมโตะ บานานา
แปลโดย นภสิริ เวชศาสตร์

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แม่ลูกเค้าทำอะไรกัน




บันทึกเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๑
ที่โป๊ะหน้าวัดระฆัง

ควรจะตั้งชื่อภาพนี้ว่า "ก้นแม่-ก้นลูก"
แต่พี่แอนขู่ว่าอย่าแม้แต่จะคิด

หุหุ

พิศดูรูปนี้ดีๆ จะเห็นคุณทหารเรือยืนตะเบ๊ะ
(ห....หลอนนะ) และน้าโอ๊ต-อุดมทางมุมขวาบนของภาพ

ดังนั้น จะเรียกว่าภาพนี้เป็นภาพแรกที่อุดมถ่ายคู่กับน้องทะเลสุดกรี๊ดเป็นภาพแรกก็ว่าได้

น้าม้อยจัดให้

โฮ่ โฮ่ โฮ่

เชิญชิม: ขนมปังฟักทองรุ่นช้างเหยียบ



ใครเค้ายัดขนมปังใส่ซองกันงี้มั่งยะ

วันอังคารที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๑

ได้รับจดหมายอีเอ็มเอสจากแม่ริม เชียงใหม่
เป็นซองพัสดุแปลกประหลาด เพราะความหนัก อ้วนใหญ่ที่เมื่อกดแล้วก็พบว่าูนุ่มนิ่มพิลึก

ใช่แล้ว เอ๋ เพื่อนเรากำลังคึกกับการอบขนมปังฟักทองสูตรเด็ดที่เธอได้รับจากพี่แอน
และเพราะดิฉันดันไปปรามาสเธอให้ว่า จะอร่อยเร้อ
คุณเธอเลยจัดแจงแพ็คขนมปังฟักทองที่อบเสร็จเย็นวันอาทิตย์ส่งอีเอ็มเอสมาให้เพื่อนชิม
เพื่อนจะได้ประจักษ์ถึงเสน่ห์ปลายจวักของเธอ

ไอ้เราก็ไม่นึกว่าคุณเธอจะเขียมถึงปานนี้
นึกซะสวยหรูว่ามันต้องมาในกล่องพลาสติก แพ๊คเรียบร้อยในกล่องพัสดุไปรษณีย์อย่างดี

...เพื่อนเราคงมองกระบวนการส่งพัสดุไปรษณีย์ในแง่ดีไปหน่อย
ไม่คิดว่ามันจะมาถึงผู้รับในสภาพ "แบน" เหมือนถูกคุณบุรุษไปรษณีย์นั่งทับเยี่ยงนี้

เอาล่ะ ไม่พูดพล่ามทำเพลงละ จะทำหน้าที่นักวิจารณ์อาหารละนะ

รูปลักษณ์: มันมาถึงชั้นในสภาพแบนเหมือนช้างเหยียบงี้อะนะแก ต้องใช้จินตนาการสูงสักนิด ว่าถ้าอยู่ในสภาพมาตรฐาน ขนมปังฟังทองของแกจะน่ากินขนาดไหน

สัมผัส: อบใหม่ๆ มันควรจะนิ่มๆ ละลายในปากได้เหมือนขนมปังเนยสดใช่ไหมนี่ แต่ที่ชั้นกินมันมีเนื้อเหมือนขนมปังเนยสดอัดเม็ดอะนะแก ไม่แฟร์กับนักวิจารณ์อาหารเลยนะ T-T

กลิ่น: ชั้นว่ามันก็หอมเหมือนหอมขนมปังอะนะ (เซริมซังบอกว่าได้กลิ่นยีสต์)

รสชาติ: เชื่อว่ารสชาติที่ไม่ถูกทำลายโดยกระบวนการขนส่งคงไม่แย่เกินไปนัก ขนมปังแกไม่หวาน และไม่เค็ม รสอ่อนๆ ชั้นชอบอาหารรสอ่อนๆ ที่มีรสชาติ

สรุปว่าชั้นคงชอบขนมปังฟักทองแกอะนะ

ป.ล.ชั้นไม่ได้รสฟักทองเลยว่ะ กลิ่นก็ไม่ได้ มีแต่สีอะ

เพื่อความเป็นธรรม ชั้นได้นำไปให้ พี่เอ๋-แม่น้องอิ่มเอม (พี่เอ๋รับไป ๑ ก้อน) และเซริมซัง บัดดี้ของชั้นชิม (เซริมชิมไปคำเดียว) และได้คำวิจารณ์มาฝากดังนี้

พี่เอ๋-แม่น้องอิ่มเอม: น่าจะอร่อยถ้ามันฟูๆ นิ่มๆ อะนะ พี่ว่าตอนนั้นเนื้อคงจะเหนียวๆ แต่นี่ก็รสชาติใช้ได้นะ

เซริมซัง: หอมกลิ่นยีสต์ (ซะงั้น) ชอบรสชาตินะ เพราะเราไม่ชอบขนมปังหวานๆ แล้วนี่ก็ไม่เค็มดีด้วย เนื้อก็มันๆ ดีนะ สรุปว่าชอบ

...เป็นไง?
เพื่อนชั้นมีแต่ผู้หญิงคิดบวกทั้งนั้นเลย จริงไหม?

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

บางเรื่องที่ไม่รู้เหตุผล ตอนที่ ๒ การครอบงำ


“ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวค่ะ”

ภารดีกล่าวพร้อมกระพุ่มมือไหว้ เมื่อเขาจอดรถตามที่เธอต้องการ แล้วก็ก้าวลงรถ ยืนมองจนรถเก๋งสีดำคันนั้นวิ่งกลืนกับคลื่นจราจรเวลาสามทุ่ม ก่อนจะเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

 
หลายชั่วโมงผ่านไปกลิ่นกายของชายคนนั้นยังติดจมูก มันไม่ใช่ทั้งกลิ่นอาฟเตอร์เชฟ และกลิ่นตัว แต่เป็นกลิ่นแปลกที่ทำให้เธอรู้สึกอะไรบางอย่างซึ่งอธิบายยาก มันเหมือนกับว่าร่างกายของเขาประกาศศักดาออกมาทางกลิ่นกาย ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงอำนาจในการครอบงำจิตใจ จากเขา

 
ประกายตาของเขาก็เช่นกัน

ปราดแรกที่เห็น มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกไฟดูด รอยยิ้มที่ฉาบฉายบนริมฝีปากหนาคู่นั้นอีก ที่ทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจ ทำอะไรไม่ถูก

 
ได้เจอกันเสียทีนะ เขาพูดยิ้มๆ ยิ้มด้วยตาและปากที่ทำให้เธอต้องก้มหลบ

วันก่อนก็ควรจะได้เจอแล้วนี่คะ กล่าวแล้วภารดีก็เชิดหน้าขึ้นสบตา ใช่-วันนั้นเขาผิดนัดเอง

พี่ขอโทษจริงๆ วันนั้นฝนตกหนักมาก น้ำท่วม แล้วรถก็ติด มาไม่ได้จริงๆ

 
...เป็นคนนัดเอง มาไม่ได้ แต่ไม่โทรบอก แล้วก็ไม่รับสายอีกด้วยภารดีนึกในใจ ไม่ว่าอะไร เพียงยิ้มอย่างยากจะเดาความหมาย แล้วออกเดินไปเคียงกับเขา

 
...แล้วเขาก็ถือวิสาสะจับมือเธอครั้งแรก

เป็นการจับอย่างตั้งอกตั้งใจ

เธอไม่พูดอะไร แค่ยิ้ม บิดมือเบาๆ ให้หลุดจากการเกาะกุม นึกรอฟังคำพูดของเขา

แต่เขาไม่เอ่ยอะไร ได้แต่หัวเราะราวผู้ใหญ่เอ็นดูกริยาน่าขันของเด็กๆ

 
ภารดีไม่คิดว่าเขาจะจับมือเธออีกครั้ง แต่เขาก็จับ

น้ำหนักการดึงมือกลับในคราวนี้ทำให้เขาต้องถาม ทำไมล่ะ คิดถึงจะตาย กว่าจะได้เจอกัน ให้พี่จับมือหน่อยไม่ได้หรือครับ?

ไม่ได้ค่ะ เธอตอบเบา เพียงสั้นๆ ไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้น

มันทำให้เขาหัวเราะแบบเดิมอีกครั้ง

 
แล้วบทสนทนาระหว่างมื้ออาหารก็เริ่มขึ้น เขาเล่าอะไรหลายอย่าง แต่ภารดีไม่คิดว่าเวลา ๒ ชั่วโมงของการนั่งสบตากัน ตามที่เขาร้องขอจากเธอมาตลอด และเรื่องหลายเรื่องที่เขาเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าให้ฟังเองนั้น จะช่วยให้เธอรู้จักเขามากขึ้น

 
เธอยังคงอ่านไม่ออกว่าเขาคิดอะไร

เธอยังคงสับสน ด้วยไม่รู้ว่าจะเชื่อว่าเรื่องไหนที่เขาเล่าคือเรื่องจริง

หรือที่เล่ามาคือความจริงทั้งหมด

หรือที่เล่ามา ไม่มีเรื่องจริงเลย

 
เธอยังคงสงสัยว่าทำไมเขายังรักษาความลึกลับได้เหนียวแน่นนัก

ผิดกับเธอ

ขณะอยู่ต่อหน้าเขา ตาคู่นั้นส่งประกายออกมาเย้ยว่าเขาอ่านเธอได้ทะลุประโปร่ง

 
ตาสบกัน เขาอยู่ในอิริยาบถแสนสบาย แต่ทำไมเธอจึงรู้สึกเปล่าเปลือยเช่นนี้?

 
อันตราย

ภารดีสรุปกับตัวเองหลังนอนกระสับกระส่ายมาู่พักใหญ่ ด้วยจมูกยังจำกลิ่นกายของเขาที่ติดอยู่กับมือ

 
นั่นเป็นวิธีเดียวกับที่แมวตัวผู้ฝากกลิ่นแสดงอาณาเขตหรือเปล่านะ?

 
เธอยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้





ติดตามเรื่องอ่านเล่นตอนเก่าได้ที่:

http://mandymois.multiply.com/journal/item/144 (ตอนที่ ๑)

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ทะเลระยะประชิด


เลยื่นหน้ามาใกล้จนคุณน้ำส้มโฟกัสไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๑

นัดกับครอบครัวทะเลแถวๆ ศิริราช เพื่อที่น้าโอ๊ต-อุดม จะได้เจอกับทะเลเป็นครั้งแรก

รูปอัลบั้มนี้ไม่ได้ตั้งใจจะอัพเร็วนัก

แต่เห็นอัลบั้มทะเลระยะไกลของน้าโอ๊ต-อุดม (ซึ่งยังไม่ได้ฤกษ์เข้าประชิดทะเลเสียที) แล้วน้าม้อยก็เห็นว่า น่าจะอัพรูประยะประชิดของทะเลให้น้าโอ๊ตได้ชื่นใจ (กรี๊ด) เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย

หุหุ

แพนด้า

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:ปราบดา หยุ่น
สักครั้งในชีวิต
ใครบ้างเคยมีความคิดว่า บางทีเราอาจไม่ใช่คนที่นี่
ไม่ใช่พลเมืองของโลกสีน้ำเงินใบสวยนี้
ไม่ใช่ลูกของพ่อแม่เรา
แต่มาจากดาวดวงไหนสักดวง?

ดิฉันเคยนึกเมื่อยังเด็ก
ช่วงหลังจากที่เลิกคิดเรื่องพ่อแม่เก็บเรามาจากถังขยะ(เพราะรักเราน้อยกว่าน้อง)แล้ว
ช่วงนั้นมันเริ่มอ่านหนังสืออะไรๆ ในห้องสมุดเยอะขึ้น จินตนาการคงจะฟุ้งฝันไปหน่อย

ไม่น่าเชื่อว่าปราบดาจะคิดอะไรคล้ายๆ กัน
ตอนอ่านนิยายเรื่องนี้ครั้งแรกนั้นก็เลยได้อารมณ์เหมือนแพนด้าพบคนที่เขาเชื่อว่ามาจากดาวดวงเดียวกันเลย (’โทษที เว่อร์ไปนิด แต่ดิฉันเป็นคนเว่อร์-เวอร์อย่างนี้แหละ)

แพนด้า ไม่ใช่หนังสือสารคดีชีวิตสัตว์ อีกทั้ง แพนด้า ยังไม่ใช่หมีน่ารักตุ้ยนุ้ยจากเมืองจีนที่กินยอดไผ่เป็นอาหาร คนก็ไม่ใช่....สัตว์ก็ไม่ใช่ แล้วแพนด้าคืออะไร?

แพนด้าคือชื่อที่ทุกคนพร้อมใจกันใช้ขนานนามแทนหนุ่มเนิร์ดร่างใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสิ่งแวดล้อมเอาเสียเลย วันๆ แม้จะอยู่ในวงล้อมของครอบครัว และมีการงานทำเป็นปกติ แต่เขาก็เหงา เก็บตัว ไม่หลับไม่นอน และไม่มั่นใจในตัวเอง

แพนด้าบอกกับตัวเองในวันหนึ่ง หลังค้นพบอวัยวะประหลาดบนใบหน้าตัวเอง ว่าเขา “อยู่ผิดดาว”

ยิ่งกว่านั้น แพนด้ายังพบว่า มนุษย์ (สัีตว์โลกที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์) แท้ที่จริงแล้วทุกคนคือชีวิตที่เกิดผิดดาวหมดเลย เกิดผิดดาวยังไม่พอ ทุกคนยังจะเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตเจ้าถิ่น (ได้แก่บรรดาสิงสาราสัตว์) บนโลก จนเกิดภาวะเสียสมดุลอย่างร้ายแรง

หลังจากรู้ตัว แพนด้าก็เริ่มเขียนบันทึก (ซึ่งก็คือนิยายเล่มนี้) ขึ้น นัยว่าเพื่อบอกเล่ารายละเอียดความเป็นมา-เป็นไปแก่สมาชิกครอบครัวของเขาหลังจากเขาจากไปแล้ว (แพนด้าเชื่อด้วยว่าสมาชิกในครอบครัวของเขาแต่ละคนมาจากคนละดาว เพราะไม่มีใครมีธรรมชาติเหมือนกันเลย) พร้อมๆ กันนี้เขาลงมือปฏิบัติภารกิจสุดสำคัญและยิ่งใหญ่ไปพร้อมกัน นั่นคือการกระจายข่าวสารไปให้พลเมืองดาวแพนด้าที่พลัดหลงมาอยู่บนโลกได้รู้โดยทั่วกันว่า ๑. ตัวเองอยู่ผิดดาว ๒. ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้ว

อ่านเรื่องคร่าวๆ ที่ดิฉันเล่ามาแล้วอย่าเพ่อตัดสินใจว่านิยายเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องขำขันอ่านให้ฮาแตกฮาแตนกันเท่านั้น เพราะนี่คือนิยายของปราบดา มันจึงซ่อนเร้นไปด้วยประเด็นเหน็บแนม เสียดสีปรากฏการณ์แห่งสมัยมากมาย แต่ก็ไม่วายแอบแทรกความซึ้งมาด้วย อย่างไม่ให้ขาดรส

การโดดเดี่ยวตัวเองในวงล้อมของความรักประสาคนในครอบครัว ชีวิตที่เป็นดัง “ตัวประหลาด” ในสายตาเพื่อน ปมคาใจเรื่องเพื่อนสนิท การตามหาส่วนเติมเต็มที่เรียกว่าความรัก ฯลฯ
ถ้าคุณเองก็ “อิน” ในเรื่องเหล่านี้ก็ลองหาแพนด้ามาอ่านดู
บางทีคุณจะได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเสียที

ขอบคุณนะ ปราบดา หยุ่น-ดิฉันชอบนิยายเรื่องนี้มาก ชอบที่มันขำ และสดใส ไม่หม่นเศร้าจนหนาวตามไปด้วยเหมือน "ฝนตกตลอดเวลา"

คิดถึง


มองจากไหน
ให้เดา

อาทิตย์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๑

..หลายปีผ่านไป แต่ยังคิดถึงเสมอนะ

สงสัย-สงสัย



ทำไมผู้ชายชอบนั่งถ่างขา?
แต่
ผู้หญิงชอบนั่งไขว้ขา?




วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

The Essential Stevie Ray Vaughan and the Double Trouble

Rating:★★★★★
Category:Music
Genre: Blues
Artist:Stevie Ray Vaughan
่็
อย่างที่ได้แจ้งให้ทราบไปบ้างแล้วว่าดิฉันกำลังหัดฟังเพลงบลูส์
แม้จะรู้แล้วว่าชอบ B.B. King ชอบ Robert Cray กิเลสโลภก็บอกว่ายังไม่พอ
ยังอยากรู้อีกว่าจะชอบแนวไหนอีก
ก็ปรากฏว่า้ลองฟัง Jimi Hendrix แล้ว รู้สึกว่ายังไม่แนว
สไตล์ของ Hendrix ยังไม่ตรงใจ มันสับสนซับซ้อนแล้วก็ฟั้งก์ไป (หรือป่าว-ไม่แน่ใจ-แน่ใจว่ายังไม่ชอบ)

จนเมื่อต้นเดือนสิงหาคม อ่านขวัญเรือน เห็นเขาพูดถึง The Essential Stevie Ray Vaughan and the Double Trouble ก็สนใจ

ไม่ใช่เพราะเขาเขียนไว้ว่า "บางคนเชื่อว่าสตีวี่ เรย์ วอห์น คือมือกีตาร์บลูส์ที่ดีที่สุด นับตั้งแต่โรเบิร์ต จอห์นสัน (คนนี้ดิฉันยังไม่รู้จัก) และถึงแม้ความเชื่อนี้จะไม่ถูกต้อง แต่โลกดนตรีก็ยกย่องสตีวี่มาก.."

แต่เป็นตอนที่เขียนว่า "เขาเสียชีวิตเมื่อปี ๑๙๙๙ จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ช่วงนั้นสตีวี่กำลังอยู่บนจุดสูงสุดของการเป็นมือกีตาร์..." ตะหาก

แล้วการติดตามหาอัลบั้มนี้เกิดขึ้น ดิฉันก็เพียรไปถามคุณพี่คนขายซีดีเพลงแนว (แนวของดิฉันเอง) ในตลาดนัดแถวออฟฟิศ ตอนแรกพี่เค้าบอก เออ อัลบั้มนี้ขายดี แต่มันไม่ยักมีของเสียที พี่แกก็เชียร์ให้รับชุดอื่นไปก่อน
มันขัดใจดิฉันเกินไป ก็เลยยังไม่ได้รับมา

จนเมื่อวาน ไปดูหนังที่โรง IMAX สยามพารากอนกับอุดม
อุดมแวะชมซีดีที่ Gramophone ดิฉันเลยเตร่ไปดูที่แผนกเพลงบลูส์
ปรากฏว่าเจอเข้าให้
จึงรับกลับบ้านมาพร้อม B.B. King Duce Wild
(เสียทรัยพ์ไป ๘๙๙ บาท-ซื้อของลิขสิทธิ์ก็งี้ละนะ T T)

แน่นอนว่าต้องเปิด B.B.King ก่อน ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดพลาด
อัลบั้มนี้ฟังมาแล้วตั้งแต่คาสเซ็ต

ตอนจะเปิด Stevie นี่สิ ยังหวั่นใจ
ถ้าเป็นแนวเดียวกะ Jimi จะเป็นไง

ปรากฏว่าไม่
ถึงเพลงแรกๆ จะพบว่ามันเร็ว (ตามรูปลักษณ์และปีที่เค้าทำงานมันก็น่าจะเร็ว)
แต่มันเป็นเพลงบลูส์ที่มีรายละเอียด
มันเจ็บปวด มันหม่นหมอง มันกรีด มันย้ำลงไปในใจ
เป็นการเน้นย้ำถึงความ Blues ในใจในรูปแบบที่โมเดิร์นขึ้น

ฟังแล้วอยากจะร้องไห้
ร้องด้วยความโสมนัส ที่ตัดสินใจซื้ออัลบั้มชุดนี้มา

...เหนือความคาดหวังจริงๆ
เสียงกีตาร์บลูส์ของ Stevie Ray Vaughan คือเสียงกีตาร์เทพดีๆ นี่เอง

คู่กัน




เสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๑

กลับจากดู The Dark Knight ในโรง IMAX
ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล โชคดีที่มีร่ม
ไม่งั้นได้สวยกว่านี้แน่

ระหว่างกางร่มก็นึก
ฝนตกแดดออกอย่างนี้ เดี๋ยวเห็นรุ้งแหง๋
คิดไม่ผิดเลย เพราะอีกแป๊บเดียว รุ้งก็ปรากฏตัว
ดูเหมือนว่ารุ้งกินน้ำเป็นคู่กับฟ้าในเวลานี้
บรรยากาศหลังฝนแบบนี้

ส่วนดิฉัน ก็คู่กับการยืนดูรุ้งที่ระเบียงห้องคนเดียว ไร้เพื่อนชม
(ตามเคย)

เกือบจับคู่กันได้อย่างสมบูรณ์
ถ้ารุ้งตัวที่สองไม่โผล่มาสร้างความฮา

รุ้งไม่ได้คู่กับฟ้าหรอก
เพราะรุ้งเอง ยังมีคู่ของมันเลย

เหอ เหอ

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551

อร่อยที่ Maria


ก็พาสต้าไง

ศุกร์ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑

ถ่อไปทำงานไกลถึง Maria Pizzeria & Restaurant ถนนราชพฤกษ์โน่นนนนนน
(ที่ต้อง โน่นนนนนน ก็เพราะว่าไปจากอโศก..ไกลกันออก)
ฟ้าแจ่ม แดดแจ๋ แต่เราไม่หลงทาง-ฮ่าฮ่า

Maria เป็นร้านสไตล์แฟมิลี่ และถึงจะเป็น Pizzeria แต่ก็มีอาหารไทย จีน เวียดนาม และสเต็กให้เลือกกิน เจ้าของร้าน คือคุณ Maria เองก็เป็นคนส้วย-สวย
ใจดีมากๆ อีกต่างหาก

ที่สำคัญ อาหารที่นี่อร่อยสมกับที่พี่โอ๋และพ่อ-แม่ทะเลแนะนำให้มากิน
ราคาก็ไม่แพง
ใครอยู่แถวนี้น่าจะหาโอกาสมาชิมนะ

เอ้อ แต่ถ้าจะมาคืนวันเสาร์-อาทิตย์ควรจะโทรมาจองก่อน (ถ้ามาครั้งแรกอาจต้องโทรถามทางให้ชัวร์ด้วย) แต่ถ้าจะมาวันหยุดนักขัตฤกษ์ (เช่นวันแม่ วันพ่อ คริสต์มาสต์ เข้าพรรษา สงกรานต์ ฯลฯ) ไม่รับจองจ้ะ ต้องพาตัวเองมาจองโต๊ะเอง
แขกเขาเยอะจริงๆ นะ...ไม่ได้โม้

หมายเหตุ
Maria Pizzeria & Restaurant อยู่บนถนนราชพฤกษ์ ใกล้ไปทางรัตนาธิเบศร์
ดูแผนที่ได้ใน www.mariapizzeria.com หรือโทรถามที่ ๐ ๒๙๒๗ ๓๕๖๔-๕

แจ่ม-จัด!




ศุกร์ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑
วันฟ้าแจ่ม-แดดจัด
อยากถ่ายรูปมาฝาก
แต่กลัวคนดูเคืองตา
เลยถ่ายมาเป็นภาพขาว-ดำ

อยากรู้ว่ารูปไหนถ่ายที่ใด
โปรดเดาได้ตามอัธยาศัย

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

The Dark Knight รอบสอง

Start:     Aug 16, '08 2:00p
Location:     เมเจอร์รัชโยธิน
ออกเดตกับผู้มีนามแฝง อ.
ชม the Dark Knight รอบสอง
(ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะงานนี้ไม่ต้องจ่ายตังค์ค่าตั๋ว-อิอิ)

บางเรื่องที่ไม่รู้เหตุผล ตอนที่ ๑ คนแปลกหน้า

 

 
"ขอบคุณนะ”

ภารดีเอ่ยกับปลายสายอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกดปุ่มวางสายโทรศัพท์

เสียงไก่ขันแว่วมาจากที่ไกล

เช้าแล้วหรือ? นี่เธอคุยกับคนแปลกหน้าคนนี้ได้จนสว่างเลยหรือ

 

ความคิดนี้เรียกรอยยิ้มบางเบาที่ริมฝีปาก

 

ซุกหน้าลงกับหมอน พลางคิดถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมา

 

เธอและเขาเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แม้จะเคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เหลื่อมกัน เธอจากที่แห่งนั้นมาเมื่อเขาไปถึง ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป นานแสนนาน ก่อนที่จะได้มาเจอกัน และรู้จักกันเมื่อไม่นานนี้

 

แปลกดีที่คนเก็บตัวอย่างเธอยอมเปิดใจกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักในโลกอินเทอร์เน็ต และยิ่งแปลกที่เขาคนนี้เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง

 

กล้าเหลือเกินเธอตำหนิตัวเอง พร้อมอาการร้อนผ่าวบนใบหน้า เมื่อนึกถึงหัวสนทนาทั้งหมด

 

พยายามนึก ว่ามันเริ่มขึ้นตอนไหน จากการพูดคุยในวงใหญ่ มาสู่การคุยส่วนตัว การตัดสินใจแลกหมายเลขโทรศัพท์ จากความคิดแค่จะโทรคุยกันก่อนนอน กลายเป็นใช้ชั่วโมงอันยาวนาน ฟังเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า สลับกับเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังได้อย่างไร

 

หรือเพราะว่าเราต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน?’

 

เมื่อต่างเป็นคนแปลกหน้า จึงไร้ความกังวลที่จะคุย ทั้งเรื่องที่ภูมิใจ เรื่องไม่ภูมิใจ เรื่องที่คาใจ

เมื่อต่างเป็นคนแปลกหน้า จึงไร้อคติที่จะมองปัญหาและออกความเห็นต่อเรื่องราวที่ได้รับรู้

เมื่อต่างเป็นคนแปลกหน้า จึงสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมา และตรงใจ

 

ลมเย็นใกล้รุ่งพากลิ่นดอกแก้วหอมเย็นมาถึงบนเตียง

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงๆ หรือ?ภารดีถามตัวเองในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ก่อนจะปิดตา หลับไปอย่างอ่อนเพลีย ทว่าเปี่ยมสุข

 

ใกล้เที่ยงวันนั้น หลังตื่นนอน ขณะกะพริบตาอยู่บนเตียง ทบทวนความทรงจำถึงค่ำคืนที่ผ่านมา

เธอไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง.. หรือแค่ความฝัน

 

 

หมายเหตุ:

นี้เป็นเรื่องอ่านเล่น

เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจที่บังเอิญเก็บตกระหว่างเดินทาง

ยังไม่แน่ใจว่าจะแต่งได้เรื่อยๆ ไหม

เอาเป็นว่า ลองแต่ง-ลองอ่าน กันไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ

พุธนี้ ที่จตุจักร (๒)




พุธที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๑

ต่อจากอัลบั้มที่แล้ว
ไม่มีสาระอะไร นอกจากเก็บภาพดอกไม้ที่ตลาดนัดจตุจักรมาฝาก


หมายเหตุ บรรยากาศแบบนี้มันน่าโดดงานไปชอปปิ้งเสียนี่กระไร

พุธนี้ ที่จตุจักร (๑)


พี่คนขายเล่าว่า
เมื่อสุกเขาจะปอกเปลือกตัวเอง

กล้วยปอกเปลือกตัวเอง?
คงเหมือนสาวๆ เวลาแตกเนื้อสาว
ที่เนื้อแทบจะปริออกส่งเสียงดัง
เผียะ-เผียะ

พุธที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๑

จตุจักรเป็นตลาดนัดวันหยุด (ชาวญี่ปุ่นเรียก "ซันเดมาเก็ตโตะ")
แต่ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี จะเป็นวันขายส่งต้นไม้
มีไม้ดอกไม้ประดับสวยงามน่าซื้อเต็มไปหมดเลย
เสียดายอยู่คอนโด ไม่มีที่จะปลูก บ้านตัวเองก็อยู่แสนไกล
แม้ต้นไม้ราคาไม่กี่บาท ก็ยังไม่อาจซื้อกลับมาปลูกให้เติบโต
งดงาม

หมายเหตุ ไปทำงานนะ ไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ต้องอิจฉากัน

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Reinas: แม่จุ้น จัดงานแต่งให้ลูกเกย์

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Comedy
Reinas (แปลว่าราชินี-พหูพจน์) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Queens (2005) เป็นผลงานการกำกับของ Manuel Gómez Pereira ซึ่งลงมือเขียนบทร่วมกับ Yolanda García Serrano เป็นหนังเกย์แนวขำขันที่นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับชีวิตเกย์ในกรุงมาดริด ประเทศสเปนไว้อย่างน่าสนใจ

ดูเหมือนบรรดาผู้กำกับสเปนจะสนใจเรื่องราวชาวเกย์เสียจริง จะเป็นด้วยว่าเขา (บรรดาผู้กำกับ) เป็นเกย์กันไม่น้อยหรือไม่ก็ตาม การหยิบเรื่องราวของเขาเหล่านี้มาร้อยเรียง เล่าผ่านภาพยนตร์ก็ทำให้เราได้รู้ได้เห็นแง่มุมที่แปลกต่าง หลากหลาย และโรแมนติก ไม่ต่างกับเพศแรก และเพศที่สอง ในประเทศอื่นๆ เลย

อย่างในเรื่องนี้ เขาเล่าถึงการแต่งงานหมู่ของเกย์ซึ่งกำลังจะมาถึงในอีก ๒-๓ วัน โดยโฟกัสไปที่คู่รัก ๓ คู่ และพ่อแม่ของพวกเขา

เรื่องยุ่งๆ ในหนังเกิดจากการที่บรรดาแม่ๆ เดินทางมาร่วมงานแต่งของลูก พฤติกรรมมากรักของเกย์เอง ความรู้สึกผิดกับการนอกใจคนรัก การถูกท้าทายจากคนเป็นพ่อว่า รู้ได้ไงว่าตัวเองชอบผู้ชาย ในเมื่อยังไม่เคยลองมีอะไรกับผู้หญิง การค้นพบความรู้สึกที่ต้องตรงกัน ภายหลังสลัดความไม่เข้าอกเข้าใจเนื่องจากช่องว่างของฐานะทางเศรษฐกิจและหน้าตาในสังคมไปได้ อีโก้บนโต๊ะทำงานของผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความสัมพันธ์บนเตียง (ตอนผัวของเธอไม่อยู่-ฮ่าฮ่า) ฉะนั้น อย่าเอาเซ็กซ์มาแบล็กเมล์ฉัน (อันนี้ช้อบม้ากกกก)

อีกประเด็นที่น่าประทับใจการยอมพูดความจริงของแม่คนหนึ่ง ว่าตัวเองมีอะไรกับว่าที่คู่แต่งงานของลูกชาย (ซึ่งก็เป็นเกย์เช่นเดียวกับลูกตัวเอง) เพราะตัวเองมีปัญหาทางจิต ชอบมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่เพิ่งรู้จัก ในสถานการณ์ที่ไม่น่าจะมีอะไรด้วย

ต่อให้เป็นสเปน จุดที่วิถีชีวิตรักแบบเกย์ ได้รับการยอมรับเท่าๆ (จริงๆ คงไม่เท่าหรอก) กับวิถีชีวิตของคนปกติเพศ แต่เรายังได้เห็นว่า เอาเข้าจริงแล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้น ไม่มีใครอยากให้ลูกเป็นเกย์เล้ย เลือกได้ก็อยากให้มีคนรักต่างเพศแบบลูกคนอื่นเขานั่นแหละ

แต่เอาเข้าจริงอีกที พ่อแม่ก็รักลูกเสมอ ปรารถนาให้ลูกได้มีความสุขเท่าที่เขาจะพึงมี

..ทั้งนี้ ไม่ว่าลูกของตัวเองจะเลือกเพศอะไรก็ตาม


บันทึก:
-หนังเรื่องนี้รวมรวมนักแสดงหญิงระดับดีว่าของเสปนไว้ถึง ๕ คน คุ้มนะยะ (รู้สึกจะซื้อดีวีดีมา ๗๙ บาท)
-คิดว่า Reinas หรือราชินี ซึ่งเป็นชื่อหนังเรื่องนี้จะหมายถึงแม่ทั้ง ๕ คนของคู่แต่งงาน (ผู้ปกครองของอีกคนเป็นพ่อน่ะ)
-เขียนบทดีอะ (รู้สึกผู้กำกับสเปนชอบเขียนบทให้เล่นกับเวลาจัง)
-แอบได้ยินไดอาล็อกของเชฟนักสไตร๊ค์ (เรื่องปกติในยุโรป) กระแนะกระแหน๋ว่าที่เกย์เหล่านี้ได้แต่งงานแต่งการออกหน้าออกตากันก็เพราะว่าเป็นเกย์รวย (ก็จริงนะ ไม่มีใครในเรื่องนี้เป็นเกย์ชั้นปากกัด-ตีนถีบเลย) หรือว่าจริงๆ แล้วแม้จะได้รับการยอมรับและให้เกียรติ แต่เกย์ในสเปนยังมีการแบ่งเลเวลกันอยู่
-ยังคงซึ้งกับรักของเกย์ได้เสมอ
-บทรักของเกย์ก็ยังทำให้หวิวได้เหมือนเดิม (ทั้งเรื่องมีแค่ ๔ วินาทีเอง)
-ชอบหนังสเปนเพราะมันพูดถึงเซ็กซ์ในลักษณะที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามที่ต้องเก็บไปคุยหลังไมค์ อีกอันก็คือ ผู้กำกับหนังสเปนเข้าใจล้วงลึกเข้ามาถึงใจคนดูอย่างนี้แหละ

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เล่าเรื่องแม่


วันนี้เป็นวันหยุดวันแม่ ได้อยู่บ้าน (เพราะโดนสาวใหญ่เบี้ยวนัดอีกตามเคย)

ตื่นก็เมื่อสายแล้ว (ก้ออากาศมันน่านอน) เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กะจะโทรไปจิ๊จ๊ะกับแม่หน่อย


ลูก: ’โหล...ม๊า

แม่: ว่าไงลูก

ลูก: ทำไรอยู่ ขายของหรอ?

แม่: อือ ขายอยู่ลูก

ลูก: ขายดีป้าว?

แม่: ดีลูก

ลูก: งั้น...ม๊าอยากขายของก่อนไหม?

แม่: อือ แค่นี้ก่อนนะลูก

ลูก: -__-’

 

หม่าม๊า หรือว่าแม่ของดิฉันเป็นอย่างนี้แหละ วันอะไรเป็นวันอะไรชีไม่สนใจหรอก ถ้าฝนไม่ตกหรือน้ำไม่ท่วมจนผู้คนไม่มาตลาดกัน ชีก็จะยังออกไปขายของ วันไหนไม่ป่วยจนไม่มีแรงทำงานก็จะออกไปทำงาน

คงจะทำงานหาเงินให้ลูกใช้จนชิน ทุกวันนี้เลยยังไม่ยอมหยุด เพราะไม่ชินที่จะหยุด

..เชื่อว่าแม่ของหลายคนก็คงเป็นคล้ายๆ กัน

นึกถึงธรรมชาติข้อนี้ของแม่แล้วนึกถึงอีเมล์ฉบับหนึ่ง ที่หัวหน้าคนปัจจุบัน assign ให้เขียนส่ง สมัยสมัครทำงานกับเขา ตอนนั้นดิฉันไม่มีเวลาไปสัมภาษณ์ครั้งที่ ๒ เพราะต้องลงไปกระบี่ ทั้งๆ ที่ต่างคนต่างสนใจกันและกันมากๆ ก็เลยต่อรองเป็นอีเมล์ฉบับนี้

ขอคัดเฉพาะส่วนที่เล่าถึงครอบครัวและแม่มาเล่าต่อให้ฟัง (อ่าน) ทั่วๆ กันแล้วกัน


Sent: Thursday, November 28, 2002 4:12:45 PM

ก่อนจะเริ่มเรื่อง

ต้องบอกกับคุณก่อนว่าชีวิตของฉันนั้นค่อนข้างจะระหกระเหิน
ฉันเป็นลูกคนโตของพ่อและแม่-ชาวบ้านธรรมดาที่มีการศึกษาไม่มาก
แถมไม่ค่อยมีสมบัติด้วย
ท่านทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ทางตอนใต้ แม่เป็นคนสุราษฎร์ฯ

มีเชื้อสายเป็นมอญจากทางตา และเป็นคนนครปฐมจากทางยาย
ส่วนพ่อมีเชื้อคนจีนจากมาเลย์ฯ โดยอาผ่อและอากุง (ย่าและปู่)

ของฉันอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
 
ปู่-ย่าของฉันคงไม่ค่อยสบายใจนักที่ได้ลูกสะใภ้เป็นคนไทย
แถมมีอาชีพเป็นชาวสวน
เรื่องราวความรักของพ่อแม่จึงมีกลิ่นอายคล้ายละครน้ำเน่าหลังข่าวภาคค่ำ
แต่กระนั้นปู่กับย่าก็ไม่ปฏิเสธที่จะรักหลาน
เมื่อฉันเกิดขึ้นเป็นคนแรก
พ่อกับแม่จึงไปฝากให้ปู่กับย่าเลี้ยง
 
พ่อของฉันพยายามตั้งเนื้อตั้งตัว
ท่านพาครอบครัวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
เริ่มจากเป็นลูกจ้างในร้านขายยางรถยนต์
น้องชายคนรองที่มีอายุห่างจากฉันสองปีครึ่งถือกำเนิดที่นี่
จากนั้นก็เดินทางขึ้นเหนือ
ไปอาศัยอยู่พี่สาวของท่านที่มาเป็นสะใภ้คนจีนที่อำเภอแม่สอด
จังหวัดตาก และที่นี่เอง ที่น้องชายคนสุดท้องของฉันเกิด
 
พ่อมีเหตุผลของพ่อที่ต้องอพยพพวกเราทั้งหมดไปอยู่ที่เชียงใหม่
สำหรับเชียงใหม่ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นบ้านของฉัน
ภาพต่างๆ ทั่วเมืองเชียงใหม่อยู่ในความทรงจำของฉันตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล
จนถึงม.5

จะเรียกว่าฉันโตขึ้นที่เชียงใหม่นี้ก็ได้
เวลาใครถามว่าฉันเป็นคนที่ไหน ฉันก็อยากจะตอบเขาว่า
'เป๋นคนเจียงใหม่เจ้า'
 
ฉันจบชั้นประถมจากโรงเรียนคำเที่ยงอนุสรณ์
อยู่ใกล้กับตลาดวโรรส หรือกาดหลวง
และสะพานข้ามแม่น้ำปิงที่ชื่อ นวรัตน์
บ้านเราอยู่บนถนนเจริญประเทศ ใกล้โรงเรียนจนเราเดินไปได้
จากนั้นฉันสอบเข้าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ที่โรงเรียนนี้มีเรื่องน่าประทับใจคือโรงเรียนตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นั่นก็คือเชิงดอยสุเทพ ดังนั้น เวลาที่เราอยู่ในโรงเรียน
เราจะมองเห็นวัดพระธาตุดอยสุเทพใกล้กว่าใครๆ
และสวยกว่าใครๆ  
 
พอขึ้นชั้นม.5 เพื่อนๆ ที่โรงเรียนฮิตไปสอบเทียบกันมาก
ฉันก็เลยตามเพื่อนไปด้วย ด้วยความคิดว่า
ถ้าเพื่อนสอบเอ็นทรานซ์ติดกันหมด เหลือฉันไว้เรียนม.6
อยู่คนเดียวคงหง่าว
ไปเรียนแค่ไม่กี่เดือนก็จบหลักสูตรม.ปลาย แล้วในปีนั้น
ฉันก็สอบเอ็นทรานซ์ติดในอันดับที่สอง
ที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เดินทางมาเรียนที่ธรรมศาสตร์เพียงคนเดียว
โดยมีเพื่อนอีกคนสอบติดที่จุฬาฯ นอกนั้นสอบติดที่ ม.ช.
หรือไม่ก็เรียนต่อม.6
 
ชีวิตปีแรกในมหาวิทยาลัยนั้น ต้องบอกว่าฉันรู้สึก Suffer
มาก คิดถึงบ้านเป็นอย่างไรก็ได้รู้จักคราวนี้ แรกๆ
เล่นเอาฉันน้ำหนักลด ตัวผอมไปเลย แถมพอเรียนๆ
ไปก็ได้ข่าวว่าบ้านที่เชียงใหม่ถูกไฟไหม้หมด แม่ของฉัน
ซึ่งได้เปลี่ยนสถานะเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่พ่อตายจากเราไปตั้งแต่ฉันเรียนชั้น
ม.3 โดยการนำเสื้อผ้าพื้นเมืองมาเย็บขายให้นักท่องเที่ยวแถบไนท์บาร์ซาร์
จึงตัดสินใจย้ายครอบครัวกลับไปตั้งหลักที่สุราษฎร์ธานี
และยังคงอยู่ที่นั่นมาจนถึงวันนี้….

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สุราษฎร์ฯ แบบคนไม่เหลืออะไรเลยเป็นเรื่องหนักหนามาก แม้เราจะมีญาติพี่น้องพร้อมพรั่ง แต่แม่ไม่ต้องการเป็นภาระของใคร จึงอาศัยเพียงคอนเนกชั่นและความช่วยเหลือจากน้องๆ พวกกับความมานะพยายาม ดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองและลูก จนส่งฉันเรียนจบ ตามมาด้วยน้องชายอีก ๒ คน

แม่ต้องดิ้นรนขนาดไหนก็ให้ลองนึกถึงเมืองเชียงใหม่กับเมืองสุราษฎร์ฯ ดู ด้วยการทำเสื้อผ้าชาวเขาขายในท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ ไม่ใช่แค่ส่งลูก ๓ คนเรียน (เรียนพิเศษด้วย) ซื้อวิดีโอเกมให้น้อง ฯลฯ แม่ยังหาเงินค่ารักษาพยาบาลตอนพ่อดิฉันป่วยอีกต่างหาก

ในขณะที่บรรยากาศของสุราษฎร์ฯ ไม่ใช่อย่างนั้น เสื้อผ้าที่แม่ขายก็เป็นเสื้อโหลธรรมดา จะตัดขาย แม่ก็ไม่ได้มีฝีมือขนาดห้องเสื้อ

ภาวะเศรษฐกิจตอนนั้น ประกอบกับวัยที่เริ่มมีปัญหา เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ยากเต็มทีของดิฉัน ทำให้ทะเลาะกับแม่บ่อยครั้ง ทำให้แม่เสียใจไม่น้อย นอกจากนี้ไม่ใช่ดิฉันเพียงคนเดียวที่โตขึ้น และเริ่มเข้าใจอะไรยาก น้องชายสองคนก็ตามมาติดๆ

แต่แม่ก็ยังเดินต่อมาได้ โดยไม่ทิ้งลูก ไม่เคยปล่อยให้ลูกอด

นึกถึงเรื่องพวกนี้แล้วรู้สึกภูมิใจในแม่ตัวเองเสมอ

แม้ว่าแม่ดิฉันจะเป็นคนหัวโบราณ รับเรื่องราวใหม่ๆ ได้ไม่ง่ายนัก ขี้บ่น มั่นใจในตัวเอง (บางครั้งไม่ฟังอะไรเลย) ไม่ทำงานบ้าน เพราะเธอถือว่าเรื่องทำมาหากินสำคัญกว่า ทั้งยังเป็นคนคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย ขี้วิตกกังวล แล้วก็มักจะ (โดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) กดดันลูกๆ เสมอ ให้กลับไปอยู่บ้าน (ม๊ารู้ป่าวว่ายิ่งกดดัน ม้อยยิ่งไม่อยากกลับ-ฮ่าฮ่า) แต่กับลูก ๓ คน แม่ไม่เคยปล่อยให้ใครกระเด็นออกนอกอก

บ้านเราแตกเมื่อตอนไฟไหม้บ้านที่เชียงใหม่ (ถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้น ทุกวันนี้ดิฉันคงจะเป็นคุณหนูเหมือนบางคนคิด) แต่แม่ไม่เคยท้อ มีปัญหากับพ่อ แม่ก็ไม่เคยคิดจะเลิก เพราะด้วยวิธีนั้น แม่เชื่อว่าจะทำให้ลูกมีปัญหา จนเมื่อเป็นม่าย มีผู้ชายมาชอบพอ แม่ก็คิดจะทำอะไรตามใจตัวเองอีก ต่อให้ลูกโตจนจะแก่แล้วแม่ก็ยังห่วงความรู้สึกลูก

วันก่อน ดิฉันคุยโทรศัพท์กับเพื่อนคนหนึ่ง หลังจากทราบว่าเขาเปลี่ยนชีวิตเพื่อครอบครัว

ดิฉันดันไปถามเขาว่า คุณเสียดายชีวิตไหม?

(…ช่างกล้าถาม)


เมื่อมานึกถึงชีวิตของแม่ตัวเอง

ถ้าจะถามแม่ด้วยคำถามเดียวกันกับที่ถามเพื่อน คิดว่า...มันคงจะน้อยไป


เพราะว่าตั้งแต่แม่มีเรา แม่ก็สละชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้เราแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เพื่อนฉัน: ป้าอ้อยที่เลิฟ


ใน ๓ รูป
รูปไหนน่ารักสุด

อาทิตย์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๑

ไปทำงานที่ Museum Siam ก็ชวนป้าอ้อยเล่นๆ
ไม่คิดว่าป้าจะมาจริง
(เดี๋ยวนี้ลองคาดหวังอะไรต่ำๆ ดูมั่ง)
ดีใจจัง

ดีใจที่มากะน้องแมกซ์
คราวนี้เลยมีรูปคู่น่ารักๆ ตั้งหลายรูป

ป้า ได้ดิบได้ดีแล้วอย่าลืมน้องคนนี้ล่้ะ

Museum Siam-ที่ที่ดีกว่าศูนย์การค้า


แต่เด็กเล็กมาๆ ยังไม่เข้าใจหรอก

อาทิตย์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๑

เพิ่งได้ไป Museum Siam กับเขา
แถมยังไม่ได้ไปเที่ยวเอง แต่ไปทำงาน
วันนี้ นอกจากบังเอิญเจออุดม ที่เพิ่งกลับกรุงเทพฯ ได้วันเดียวก็พาหลานมาเที่ยวที่นี่แล้ว ยังได้พบและได้ยินเรื่องราวความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์แสนจะเทรนดี้แห่งนี้จากคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา เจ้าของผลงาน (กลุ่ม) ในการก่อร่างสร้างแหล่งเรียนรู้นี้ขึ้นมาเลยด้วย

พี่จี๊ดเล่าให้ฟังหลายเรื่อง มีเรื่องที่น่าประทับใจคือ พี่เค้าบอกว่า คู่แข่งของ Museum Siam ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์อื่น แต่เป็นศูนย์การค้า กับร้านเกม

เท่าที่เห็นกับตาวันนี้ ดิฉันว่า Museum Siam ชนะศูนย์การค้าได้แล้วล่ะ

วันนี้เก็บภาพมาจำนวนหนึ่ง
อาจไม่สวยเหมือนรูปของเพื่อนคนอื่นๆ ที่ได้ไปเที่ยวกันมานานแล้ว
แต่คือภาพจากมุมของดิฉันเอง

เชิญทัศนากันตามอัธยาศัย

หมายเหตุ:
-Museum Siam เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เช็คเวลาทำการและดาวน์โหลดแผนที่ได้ที่ www.ndmi.or.th
-ทุกเย็นวันศุกร์จะมี live music ตรวจสอบกำหนดการได้จากเว็บไซต์ดังกล่าว
-เส้นทางแสนรื่นรมย์ำสู่ Museum Siam อีกเส้นคือ นั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาลงท่าเตียน แล้วเดินผ่านตลาดท่าเตียน ชมบรรยากาศตลาดปลาเค็มท่าเตียน เดินลัดเลาะไปทางโรงเรียนราชินี (ออกจาตลาดท่าเตียนเลี้ยวขวา) ผ่านโรงเรียนตั้งตรงจิตพาณิชยการ ก็เลี้ยวเข้าซอยเศรษฐการ เข้า Museum ได้ทางประตูคนเดิน
****** สำคัญมาก!!! (ลืมได้ไงเนี่ย) ใครไปชม Museum Siam อย่าลืมช่วยกันหยอดเงินบริจาคสนับสนุนกิจการด้วยนะจ๊ะ ตอนนี้เค้าเปิดให้ชมฟรี แต่อีกเดี๋ยวคงต้องเก็บตังค์แล้วล่ะ เพราะเค้าต้องหารายได้เลี้ยงตัวเองไง*******

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Love Me If You Dare: แน่จริงมารักกันมะ?

Rating:★★★
Category:Movies
Genre: Romantic Comedy
หนังฝรั่งเศสที่ดูมาเป็นหนที่ ๓ ได้
สองหนแรกจำไม่ได้ว่าเคยสงสัยแบบนี้ไหม แต่ครั้งที่ดูวันนี้ดิฉันนึกถึงหนังฝรั่งเศสอีก ๒ เรื่อง จนต้องไปดูว่าผู้กำกับคนเดียวกันไหม-ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะว่า
Love Me if You Dare หรือ Jeux d’Enfant (2003) กำกับโดย Yann Samuell
Amelie (2001) กำกับโดย Jean-Pierre Jeunet
ส่วน Ma Vie en Rose (1997) กำกับโดย Alain Berliner

คนละคนกันเชียว แต่ไหงดิฉันถึงรู้สึกว่าหนัง ๓ เรื่องนี้มีบางอย่างที่รีเลทกันจัง
สงสัยจะเป็นฉากแฟนตาซีบอกความนึกคิดของตัวละคร
(เอ๊ะ ทำไมคนฝรั่งเศสชอบกันจัง)

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องของเด็กวัยประถมเจ้าปัญหาสองคน คนแรก จูเลียน โรคร้ายกำลังจะพรากแม่ไปจากเขา ทิ้งไว้ให้อยู่กับพ่อที่เลี้ยงลูกไม่เป็น ส่วนเด็กอีกคนคือ โซฟี น้องคนนี้เหมือนถูกถีบออกนอกกลุ่มให้กลายเป็นคนนอก เธอถูกเพื่อนๆ ล้อเลียนว่าเป็น “ยัยซื่อบื้อ” เชื่อว่าเพราะหน้าตาเป็นลูกเป็ดขี้เหร่และเชื้อชาติที่ไม่ใช่ฝรั่งเศสของเธอ อาจจะรวมถึงสำเนียงด้วย (ไม่กล้าฟันธงเพราะไม่สันทัด)

วันหนึ่งแม่ของจูเลียน ให้กระป๋องสังกะสีรูปม้าหมุนกับจูเลียน เธอบอกกับลูกว่า ให้เก็บเอาไว้ให้ดีเพราะนี่คือสมบัติล้ำค่า และลูกก็คือสมบัติล้ำค่าของแม่ วันนั้นจูเลียนซึ่งยังไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องตาย ความตายคืออะไร ถือกระป๋องใบนี้ขึ้นรถ ไปโรงเรียนเองเพราะพ่อไม่ไปส่ง จะอยู่เฝ้าไข้แม่ ทำให้เขาเห็นโซฟีกำลังโดนแกล้ง (แกล้งกันแรงจริง เด็กฝรั่งเศส) เขาเลยยื่นกระป๋องสังกะสีใบนั้นให้โซฟี บอกว่าเป็นการแบ่งปัน แต่ว่า.. ว่างๆ ขอเล่นมั่งนะ (ใจกว้าง แต่ยังแอบงก)

ยัยโซฟีก็แสนจะร้าย สวนกลับทันทีว่าให้แล้วจะเอาคืนหรือไง อยากได้ก็ต้องพิสูจน์ แน่จริงก็....สิ

แล้วทั้งสองก็เริ่มเกมท้าทายให้อีกแต่ละคนทำสิ่งพิเรน กวนประสาทผู้ใหญ่ เพื่อผลัดกันครอบครอง “สมบัติล้ำค่า” กระป๋องนั้น และเล่นเกมนี้มาจนโต

เวลามีคนท้าให้เราทำอะไรสักอย่าง เพื่อแลกกับบางอย่าง จะทำหรือไม่ทำมันคงแล้วแต่ว่าเราอยากได้ของสิ่งนั้นแค่ไหน แต่ในกรณีนี้ กระป๋องที่ยิ่งนานปีก็ยิ่งโปเกลงเรื่อยๆ ใบนั้น เหมือนเป็นแค่สัญลักษณ์ ที่สองคนนี้ยอมทำบ้าๆ ตามที่อีกคนสั่ง มันก็เพื่อทำให้อีกคนพอใจ เป็นการเอาใจนั่นเอง

ส่วนฝั่งคนสั่งให้ทำ ก็สั่งเพื่อท้าทาย

สองคนนี้็เล่นกันจนตอนหลังต้องเจ็บปวดใจ เพราะว่าแยกไม่ออก ตอนไหนคือเกม ตอนไหนคือการกระทำที่มาจากใจจริง

พยายามคิดว่าหนังเรื่องนี้มีแมสเซจอะไรแฝงอยู่บ้าง นอกจากเล่าเรื่องความเครซี่อินเลิฟของจูเลียน (ตอนโตเล่นโดย Guillaume Canet) กับโซฟี (Marion Cotillard) ...ก็ยังนึกไม่ออกว่ามี

ก็เลยนึกต่อไป ว่าแล้วสองคนนี้ ใครรักใครมากกว่ากัน? ซึ่งถ้าไปชมตอนท้ายๆ เรื่อง คงจะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นฝ่ายชาย ซึ่งทำบ้าทำบอขนาดทิ้งลูกเมีย ฐานะการงาน และพ่อของตัวเอง เพียงเพื่อทำตามความพอใจของยายโซฟี

...แต่แล้วก็นึกถึงซีนนึงขึ้นมา

ตอนที่สองคนนี้ไปเล่นซนใต้สเกิร์ตโต๊ะงานเลี้ยงแต่งงาน คุยกันว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร จูเลียนบอก อยากเป็นผู้ครองโลก (เมื่อโตขึ้นเขาก็ได้ครองโลกของเขาจริงๆ) ในขณะที่โซฟีบอกว่าอยากเป็นแอปริคอตคัสตาร์ดพาย

มานึกได้ทีหลังว่าเธอคงแค่อยากจะเป็นขนมอบใหม่จากเตา..สำหรับจูเลียนเท่านั้น

แล้วที่เธอท้าทายจูเลียนแรงขึ้นทุกที ก็เป็นแค่อยากจะคอนเฟิร์ม (อยู่ตลอดเวลา) ว่าจูเลียนยังรักเธอ-มากพอ..เท่านั้นเอง



บันทึก:
-ไม่ใช่แค่ซีนแฟนตาซีเล่าความนึกคิดของตัวละคร มุมกล้องของหนังเรื่องนี้ยังทำให้นึกถึง Amelie อย่างแรง
-น้องนางเอกหน้าตาน่ารักอีกแล้ว
-หนังเรื่องนี้รวบรวมเพลง La Vie en Rose ไว้เยอะเวอร์ชั่นมาก ล้วนแล้วแต่เพราะๆ ทั้งนั้นเลย

กันลงแดง: ทายซิ..ใครเอ่ย?




ช่วงนี้แม่แอนงานเข้าเพราะพี่ไรลากลับบ้าน
น้าม้อยก็กลัวว่าน้าๆ ทั้งหลายจะรอเลนาน
เลยแอบนำรูปเบลอๆ ของเด็กซนคนนี้มาให้ชมกันก่อน
รูปเซ็ทนี้ถ่ายเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ๒ สิงหาคม ๒๕๕๑ ที่งาน ๑๒๕ ปีไปรษณีย์ไทย
เลเค้าสนุกใหญ่

แสงน้อย กล้องปัญญาอ่อน
น้าถ่ายเลไม่ค่อยจะทันเล้ย-เลเอ๊ย

เราทำได้: รักแล้ว-ทำได้


เจ้าตัวบอกชอบสีเขียว

เสาร์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๑

ดิฉันได้ประกาศไว้ว่าเสาร์อาทิตย์ที่ ๒-๓ สิงหาคมที่ผ่านมา
จะลงมือประดิษฐ์ของขวัญวันเกิดให้พี่สองคนให้เสร็จ เพื่อจะส่งมอบในวันจันทร์ที่ ๔
แค่นั้นไม่พอ ยังตั้งใจจะทำงาน Iron-On ที่ทำค้างไว้ใน http://mandymois.multiply.com/photos/album/186 ให้เสร็จ
และมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดครบ ๕ ปีแก่เด็กน้อยทะเล

ปรากฏว่ามีงานชิ้นนี้ชิ้นเดียวที่เสร็จ (เพราะว่ามันต้องเสร็จ)

ส่วนของขวัญคุณวันเกิดของพี่ที่รักคนแรกเพิ่งเสร็จเป็นชิ้นแรกบ่ายวันนี้

อีกชิ้นจะเสร็จเมื่อไหร่
ใครจะรู้...

.....เฮ้อ
(เบื่อความเอื่อยเฉื่อยของตัวเอง)

เพิ่มเติมจ้า:
วันเสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๑
ในที่สุดของขวัญชิ้นที่ ๓ ก็สำเร็จเสร็จสิ้น
(เฮ่อออออออออออออออออ) เป็นของขวัญของพี่เอ๋ แม่น้องอิ่มเอม
เดี๋ยววันจันทร์เอาไปให้

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

โฮ่งนี้แด่พี่แอน


น่าอิจฉาชะมัด
ดูเค้าไขว้ขาสิ

ชมอัลบั้มน้องเหมียว พี่แอนก็บ่นถึงน้องหมา
น้าม้อยเลยจัดให้ซะหน่อย

ป.ล. บ่ายนี้หัวหน้าไม่อยู่อีกแย้ว

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ไปไหม ไปไหม ไปไหม-ไป!

Rating:★★★★★
Category:Other
“อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน จิตใจยังอาวรณ์
อยุธยา สมเป็นเมืองทอง ของพี่น้องเผ่าพงศ์ไหน
อยุธยา ถูกข้าศึกรุกราน หรือร้าวฉานมาจากข้างใน
อยุธยา ฟังดูเหมือนยิ่งใหญ่ คุณเคยได้ยินไหม
อยุธยา ยังไม่สิ้นคนดี แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน
จะถามใคร ลองถามคุณดู ไม่รู้ไม่เคยไป อยุธยา...
ตัวผมเอง เกิดและโตขึ้นมา ริมสายเจ้าพระยา
ตัวผมเอง เรียนรู้ได้ฟังเรื่องราว จากซากวัด ซากอิฐเก่า
วังโบราณ ภูมิใจไหมกับเถ้าถ่าน ผมตอบไม่ถูก ผมเกิดไม่ทัน อยุธยา...
ที่เห็นและเคยเป็นอยู่ อยู่สบาย น้ำใสและมีเรือพาย
คันไถใช้ลากด้วยควาย คนกับควาย อยู่ด้วยกันสบาย...
โดดน้ำต้องเจอปลาตอด ตอดสะดือ
จับกุ้งจับปลาด้วยมือ หากินกันด้วยสองมือ ด้วยสองมือ อยู่กันอย่างสบาย...
ผมชอบฤดูน้ำหลาก สนุกจะตาย
ก๋วยเตี๋ยวเรือที่หัวบันได ลอยคอถือถ้วยเอาไว้
ไม่ยากใช่ไหม โถ...ง่ายจะตาย อยู่อยุธยา...”


สานแสงอรุณสนทนา ครั้งที่ ๕/๒๕๕๑
เชิญร่วมสนทนาในบรรยากาศเรียบง่ายเป็นกันเอง

เรื่อง
อยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าไม่ไร้ราก (เหง้า)

สนทนากับผู้ชาย อยู่อยุธยา ที่ชื่อ มาโนช พุฒตาล
ชวนสนทนาโดย พจนาถ พจนาพิทักษ์
ร่วมฟังทัศนะดีๆ เคล้าคลอเสียงดนตรีอะคูสติกกีตาร์ในบรรยากาศแสนอบอุ่น


ในวันเสาร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เวลา ๑๕.๐๐ – ๑๘.๐๐ นาฬิกา ณ ห้องสมุดประชาชนแสงอรุณ ซอยสาทร ๑๐
โทร. ๐๒-๒๓๗-๐๐๘๐ ต่อ ๑๐๑, ๒๑๘
E-mail: ssamag@yahoo.com

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

กันลงแดง


จะได้ภาพนี้ต้องรอให้เลขึ้นตักซะก่อน

(จะเห็นว่าโฟกัสไม่ทัน)

ไม่ได้ชมอัลบั้มใหม่นานๆ
เหมือนว่าน้าๆ ทั้งหลายจะคิดถึงทะเลจัง
แต่แม่ทะเลยังไม่มีมู้ด
น้าม้อยเลยขออนุญาตนำรูปบางส่วนของเลมาลงแก้คิดถึงกันก่อน
หวังว่าแม่แอนคงไม่เคืองนะฮ๊า

ป.ล. ๔ ภาพนี้บันทึกบ่ายวันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคมที่ผ่านมาจ้ะ

บันทึกเรื่องที่ ๕ : เลือกอะไร-ได้อย่างนั้น



ช่วงนี้เหมือนราศีดอกท้อจับ
เป็นโสดอยู่ดีๆ มีเรื่องผู้ชายให้ร้อนใจ

ถามว่าเป็นโสดมาพักใหญ่แล้ว เหงาป่าว? อยากมีแฟนไหม?
ใช่..มันก็อยาก

แต่จะมีอีกที ขอดีๆ กว่าที่ผ่านมาจะได้ไหม?
อย่าลืมสิู่ว่าการไปยุ่งกับผู้ชายที่แค่ปัญหาของตัวเองยังจัดการไม่ได้เลยเนี่ย
จะมันฉุดรั้งชีวิต(ที่ดีขึ้นมาแล้วของเรา)ลงในทางต่ำ

เตือนสติตัวเองอีกทีแล้วกัน
ผู้ชายแบบไหนบ้างที่ไม่ควรสละเวลาอันมีค่าของวัยสาวตอนปลายไปยุ่งด้วย

-ผู้ชายเขียนหนังสือไทย ๑๐ คำ สะกดผิด ๔ คำ (รับไม่ได้)
-ผู้ชายไม่อ่านหนังสือ (ไม่อ่านแล้วจะเอาอะไรมาคุยกัน?)
-ผู้ชายสูบบุหรี่ (นอกจากควันบุหรี่เป็นสาเหตุมะเร็งแล้ว ยังมีอนุมูลอิสระ ทำให้เราแก่เร็วขึ้น)
-ผู้ชายขี้เหล้า (เสียดายตังค์ ดีไม่ดีต้องมานั่งพยาบาลตอนมันเป็นมะเร็งตับ)
-ผู้ชายติดเกม (เสื่อม)
-ผู้ชายติดการพนัน (อ่อนแอ)
-ผู้ชายมีความลับ (เพราะเราชอบความเปิดเผย ตรงไปตรงมา ใสกระจ่าง)
-ผู้ชายขี้โกหก (เพราะเราจะจับได้ทุกที)
-ผู้ชายไม่เป็นตัวของตัวเอง ติดตามเราตลอด เพราะไม่มีงานอดิเรกของตัวเอง (..อ่อน)
-ผู้ชายที่ยังไม่เคลียร์อดีต (อดีตของใครก็ปัญหาของคนนั้น อย่าให้อดีตของเขากลายเป็นปัญหาของเรา)
-ผู้ชายถนัดพูดภาษาเซ็กซ์มากกว่าภาษารัก (..ชีวิตจริงมันไม่ใช่หนังโป๊นะเว้ย)
-ผู้ชายที่ตายด้านไปแล้วกับการฝัน (ความฝันคือไฟ แรงบันดาลใจของชีวิต คนที่ยังมีลมหายใจควรมี)
-ผู้ชายเห็นแก่ตัว (รับไม่ได้)
-ผู้ชายไร้ไอเดียเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม (คนแบบนี้เป็นภาระของสังคม )
-ผู้ชายขี้โม้ (เสียเวลา และเบื่อจะฟัง ชอบคนพูดน้อย ต่อยหนักมากกว่า)
-ผู้ชายไม่รักษาคำพูด (แค่คำพูดของตัวเองยังรักษาไม่ได้ แล้วจะรักษาอะไรได้บ้างละเนี่ย?)


ใครอ่านแล้วจะด่า หาว่าจะขึ้นคานอยู่แล้วยังเลือกมาก หรือจะหาว่าเราไม่สวยแต่เสือกเลือกมากก็ตามใจ
ชีวิตใครชีวิตมัน

อยากมีแฟนก็ให้อยากมีอย่างมีสติ ไม่ใช่ใครอยู่ใกล้มือก็ฉวยคนนั้น
เพราะว่า การมีแฟนห่วยๆ คือความซวยสุดๆ ในชีวิตลูกผู้หญิง

ป.ล. ชายใดอ่านแล้วโมโห หรือเห็นว่าดิฉันช่างปากกล้า หรือคิดว่าอีนี่มันบ้าแล้ว ก็ช่วยหลบไปไกลๆ ทีเถอะ
..มันอึดอัด

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คำพิพากษา : เมื่อ “ปอป” อยู่ที่ “ปาก”

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:ชาติ กอบจิตติ
อ่าน "คำพิพากษา" จบเช้านี้
แล้วก็ต้องคารวะด้วยการนำดาวทั้ง ๕ ใส่พานถวายน้าชาติ-ชาติ กอบจิตติ ผู้เขียนนวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งพิชิตทั้งรางวัลนวนิยายดีเด่นแห่งชาติ ปี ๒๕๒๔ และ รางวัลซีไรต์ ปี ๒๕๒๕ อย่างนอบน้อม

น้าชาติวางแผนโจมตี “สำนึก” ของความเป็นคนของคนอ่านอย่างแยบยล ผ่านเรื่องราวของ ฟัก ผู้ซึ่งเคยมีอดีตอันเรืองรองเป็นถึงสมาชิกสามัญระดับค่อนข้างต่ำ (มีคนต่ำกว่า) ของชุมชน (ดิฉันจัดให้เอง)
วัดจากการที่เขาเป็นคนไม่มีบ้าน (อาศัยวัดอยู่-อาศัยข้าววัดกิน) ไม่มีแม่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงโตมากับพ่ออย่างพร่องคุณภาพชีวิต แต่กระนั้นฟักเคยมีช่วง “รุ่ง” กับเขาเหมือนกัน สมัยที่บวชเรียนเป็นเณร ความขยันหมั่นเพียรทำให้ สามเณรฟักสอบนักธรรมเอกได้ภายใน ๓ ปี แต่แล้วเขาก็ขอลาสึก เพราะความเป็นห่วงพ่อซึ่งตอนนี้แก่แล้ว ชักจะงกๆ เงิ่นๆ ทำงานภารโรงที่โีรงเรียนไม่ค่อยไหว

ไม่รู้ว่าพ่อของฟักเหงาหรือสงสาร วันที่ฟักกลับจากทหารจึงพบสมาชิกใหม่ในบ้าน (กระต๊อบ) เป็นหญิงสาวสติไม่เต็มเต็ง นามว่า สมทรง
(ทำไมหนอ น้าจึงให้คนแบบฟู พ่อของฟัก ได้เมียเป็นผู้หญิงแบบนี้)
และเมื่อสิ้นพ่อ ฟักก็รับดูแลแม่เลี้ยงต่อไป ในกระท่อมเดียวกัน-ก็จะให้เขาเอานางไปทิ้งที่ไหน สติสตังไม่เต็มเต็งแบบนี้

ไม่ใช่แค่แม่เลี้ยง มรดกที่ฟักรับช่วงต่อจากพ่อยังเป็นงานฟูลไทม์ในหน้าที่ภารโรง ซึ่งหมายถึงงานรับใช้จิปาถะทั่วไป แล้วแต่บรรดาครูประสงค์ด้วย โรงเรียนจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฟัก และบุคลากรในโรงเรียนก็มีอิทธิพลสำคัญต่อฟักด้วย

ด้วยการใช้วิถีชีวิตต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไร้ความทะยานอยากได้ใคร่ดีของคนอย่างฟัก เรื่องอาจจะไม่เลวร้ายนัก ถ้าในวันนั้น วันที่พ่อจากไปได้แค่เดือนกว่าๆ นางสมทรงไม่ทำตาขวาง ด่าแม่ค้าขายถั่วในงานวัดที่มาหยอกล้อฟักอย่างหึงหวง ว่า “อย่ามายุ่งกับผัวฉันนะ”

ไม่ว่าสมทรงจะรักฟักเหมือนผัวหรือไม่ ประโยคนี้ก็ทำให้เรื่องราวน่าสังเวชใจทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น

ชาวบ้านเริ่มซุบซิบนินทา ว่าฟักเอาเมียพ่อเป็นเมียตัว ในสังคมแคบๆ ในเงื่อนไขที่บีบรัด (ฟักมองไม่เห็นทางออกอื่นนอกจากเลี้ยงดูสมทรงต่อไป) กดดันความรู้สึกของฟักแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับการยอมรับ ถูกถีบออกจากสังคมให้กลายเป็นคนนอก ไร้คนคบหาสมาคม และเริ่มจะประสาทกับการวนเวียนพูดคุยกับตัวเอง เครียดมากจนนอนไม่หลับ

แล้วน้าชาติก็ให้ฟัก ผู้ซึ่งตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำบาปกรรมอะไรเลย ลงมือเด็ดชีวิตหมาไม่มีทางสู้ตัวหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นหมาบ้า หรือแค่หมาป่วย ฟักรู้สึกผิดไม่น้อยกับการกระทำึครั้งนี้ แต่อีกใจเขาก็เชื่อว่าด้วยการฆ่าหมาตัวนี้ ทำให้เขาดูน่านับถือขึ้นบ้างในสายตาของชุมชน

คนอ่านดิ่่งลึกไปในความบัดซบของชีวิตฟักมากขึ้นเรื่อยๆ ในฉากเผาศพพ่อ ก็ได้เห็น (อ่าน) น้ำตาแรกของฟัก จากนั้น ฤทธิ์สุราขาวตรารวงข้าวก็ช่วยเปิดประตูเขื่อนน้ำตาของเขาจนเต็มบาน

เมื่อฟักพบว่าสุราช่วยคลายความกดดันทั้งมวลที่ประดังประเดอยู่ สุราทำให้เขากล้าสู่ตาคน กล้าพูดในสิ่งที่อยากจะพูด และสุราทำให้เขาพบเพื่อนเพียงคนเดียวที่คุยด้วยรู้เรื่อง นั่นก็คือ สัปเหร่อไข่ ผู้มีอาชีพสกปรก น่ารังเกียจ ซึ่งครั้งหนึ่งฟักเคยเหยียดว่าแกมีสถาพภาพทางสังคมต่ำกว่าตัวเอง..และในที่สุด ฟักก็ติดเหล้า กลายเป็นไอ้ฟักขี้เมาไปโดยสมบูรณ์แบบ

น้าชาติยังไม่หยุดที่จะฉุดให้คนอ่านหมองไปกับเรื่องของฟัก อ่านไปนานๆ ชักปวดหัว (แต่ก็ยังอ่านต่อนะ) แล้วในที่สุด น้าแกก็จบชีวิตตัวละครตัวนี้อย่าง ..อย่างน่าสงสาร น่าสังเวชใจ

ถ้าจะถามว่าการอ่านหนังสือเล่มนี้ ให้อะไรบ้าง?
หลายคน คงจะตอบด้วยคำตอบหลายอย่าง

ดิฉันเอง ระหว่างที่อ่านคำพิพากษาไปวันละนิดหน่อย ก็นึกถึงสารคดีข่าวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง “ผีปอป” ของบางชุมชนทางภาคอีสานที่ได้ดูทางไทยทีวี ..ได้ดูในช่วงคาบเกี่ยวกันพอดี

นึกถึงคำพูดของผู้ใหญ่บ้านหนุ่มแห่งหมู่บ้านที่ผู้ถูกขับไล่ (เหมือนหมูหมา) จากชุมชน เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอปจะไปอยู่รวมกัน เพื่อรักษาอาการด้วยน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์
ผู้ใหญ่ตอบคำถามว่า ปอปคืออะไร สั้นๆ เพียงว่า

“ปอป อยู่ที่ปาก”

..ทั้งที่ปอปยังเป็นเรื่องพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้ามีคนหนึ่งเริ่มต้นกล่าวหาว่าอีกคนเป็นปอป แล้วคนอื่นๆ เชื่อ คนที่ถูกกล่าวหาก็เหมือนกลายเป็นปอปไปแล้วจริงๆ

บางที ชีวิตของเราอาจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา
แต่อยู่ที่ “ปาก” ของคนอื่นนี่เอง




บันทึก:
• นี่เราอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้ช้าไปถึง ๒๖ ปี เชียวหรือนี่?
• เล่มที่อ่านเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๔๑
• มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจริงๆ ด้วย
• อยากรู้มากๆ ว่าน้าชาติได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
• และน้าชาติใช้เวลาเท่าไหร่ในการวางพล็อตก่อนลงมือเขียน
• อ่านแล้วสงสัยว่า บาปกรรมมีจริงไหม
• เพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนคนหนึ่งถึงติดเหล้าได้
• สงสัย ว่าคนมีความสุข ชีวิตไม่ได้จมอยู่กับความทุกข์จะติดเหล้าได้ไหม
• ขอบคุณน้าชาติที่รีบจบเรื่องโดยไม่ให้ฟักไปทำอะไรที่ทำร้ายใจคนอ่านเพิ่ม อย่าง ขอทานหรือปล้นใครเพื่อเอาเงินมาซื้อเหล้า
• ไม่น่าไปดูหนังเรื่องนั้นก่อนอ่านหนังสือเรื่องนี้เลย