วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

หมาน่อยไปทำหมัน



ฮึ่มๆๆๆๆ


หลังจากที่หม่ามี๊ประสาทกับการคิดเรื่องทำหมันแมวมา ๒ อาทิตย์
ในที่สุด ก็ตัดสินใจพาหมาน่อยไปทำหมันที่โรงพยาบาลสัตว์สวนหลวง ถนนเฉลิมพระเกียรติร.๙ (ใกล้สวนหลวง ร.๙)

นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ตื่นเต้นมาก ทั้งกับคนและแมว
กว่าจะตัดสินใจได้ ก็ได้เพื่อนโม่และเดือนคอยให้คำปรึกษามาเป็นลำดับ
เพื่อนำเรื่องราวมาถ่ายทอดให้ที่ปรึกษาหลักทั้งสองได้อย่างละเอียดละออ งานนี้หม่ามี๊เลยเก็บภาพหมาน่อยในขั้นตอนต่างๆ มาฝาก เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่แม่แมวมือใหม่ที่จะพาแมวตัวแม่ตัวแรกในชีวิตไปทำหมันด้วย

เรียงภาพไล่ตามเหตุการณ์เป็นวันๆ ไปเลยละกัน

วันที่ ๑ : เสาร์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๓ (เลยวันครบรอบเกิดครบ ๘ เดือนของหมาน่อยที่หม่ามี๊ติ๊ต่างขึ้นมา ๑ วัน)

หลังจากงดอาหารและน้ำมาตั้งแต่เที่ยงคืน หม่ามี๊จับหมาน่อยไว้ในกระเป๋าฟิตเนส ระเห็จระเหินจากบ้าน ผ่านซีคอนสแควร์และพาราไดซ์พาร์คไปถึงโรงพยาบาลซึ่งอยู่บนถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ ตอนสายๆ
คุณหมอตรวจร่างกายทั่วๆ ไปเพื่อให้แน่ใจว่าน่อยไม่ได้กำลังท้อง
น่อยไม่ต้องตรวจเลือดเพราะอายุยังไม่เกิน ๑ ปี
จากนั้นหม่ามี๊ก็ฝากหมาน่อยไว้ที่โรงพยาบาล นอนกรงให้หายตื่นเต้น แล้วคุณหมอจะผ่าตอนบ่ายโมงบ่ายสอง ระหว่างนี้ถ้ามีอะไรไม่ดี โรงพยาบาลจะโทรมา
แต่ถ้าเขาไม่โทรมา เราก็สามารถโทรมาเช็คผลการผ่าตัดได้

หม่ามี๊กับแมวคราวกลับไปเยี่ยมหมาน่อยราวทุ่ม การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี หมาน่อยตื่นจากยาสลบแล้ว แต่จมูกยังซีด แถมยังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ ป้องกันตัวเองสุดฤทธิ์ เพราะยังจำใครไม่ได้

แมวคราวโดนไปสองฟ่อ ถึงแก่ซึม
(หมามี๊เข้าใจสิ่งที่โม่เตือนไว้ก็ตอนนี้)
เบาใจแล้วก็พากันกลับ

วันที่ ๒ : อาทิตย์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๓
จากที่คิดว่าจะไปหาตอนบ่ายๆ หม่ามี๊เปลี่ยนแผน เข้าเมืองไปวัดพระแก้ว กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็ทุ่มกว่า

เปิดประตูเข้าห้องไป หมาน่อยก็ขู่ฟอด แต่พอหม่ามี๊เรียกหลายคำ น่อยก็จำได้
มีร้องตอบมาเหมือนเคย เปิดประตูให้หมาน่อยออกมา น่อยก็ออกมาเดินกระย่องกระแย่ง หมามี๊ไม่อยากให้เดินเยอะเลยจับเข้ากรง พอเข้าไปในกรง หนูก็หันมาขู่พี่ที่คอยดูแลหนูอีกฟอด หม่ามี๊ตลกจัง

วันที่ ๓ : วันจันทร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๓
หม่ามี๊ไม่ได้ไปเยี่ยมหมาน่อย
เพราะอ่อนใจกับการจราจรจากที่ทำงาน-โรงพยาบาล-บ้าน และฟ้าฝน
อีกอย่างโทรเช็กว่าหมาน่อยกินได้นิดหน่อย อึฉี่ได้ และร่าเริงดี (จริงอ้ะ?) หม่ามี้ก็นอนใจ
อยู่โรงพยาบาล ยังไงก็ปลอดภัยละนะ

วันที่ ๔ : วันอังคารที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓
หม่ามี๊ลางานไปรับหมาน่อยในตอนบ่าย ขอสารภาพว่าตื่นเต้นมากที่น่อยจะได้กลับบ้านซะที คิดถึงกันเนอะน่อยเนอะ

เจอหน้ากัน จำกันได้แล้วน่อยก็ร้องประท้วงไม่หยุดเลย หม่ามี๊เปิดกรงอุ้มแล้วพบว่าขนหนูหลุดกระจายเลย คงเป็นเพราะว่าสองวันมานี้ใส่ลำโพงตลอด เลียเนื้อตัวแทบไม่ได้ แล้วหนูก็อาจจะไม่มีกะจิตกะใจจะเสริมสวยนัก ไม่เป็นไร ถึงบ้านแล้วเดี๋ยวแปรงขนให้นะจ๊ะ

หมอให้ยาฆ่าเชื้อเม็ดเล็กไปให้หม่ามี๊ป้อน คนจ่ายยากำชับให้มีคนช่วยจับกันโดนหนูตบ
หุ หุ หม่ามี๊ไม่มีหรอก

ลงจากแท็กซี่อันแสนร้อนขึ้นมาถึงห้องของเรา น่อยดูดีใจที่ถึงบ้านเสียที เดินกรายไปทั่วบ้าน แล้วก็กินปลาไข่ (ของโปรด) ผสมอาหารเม็ดลูกแมวไปเกือบหมดชาม ฉี่ เดินตามหม่ามี๊อีกพักใหญ่ แล้วก็นอน

ถึงบ้านเราแล้วเนอะหมาน่อยเนอะ





วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ว่างๆ ก็ไปนั่งเล่นที่สวนสันติฯ




อาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2553

บ่ายวันอาิทิตย์ที่เงียบเหงา สองเราขึ้นรถเมล์(ฟรี!) ไปถนนพระอาทิตย์
มันเป็นวันที่เงียบจริงๆ บรรยากาศก็เหงาๆ
ถ่ายรูปออกมายิ่งเหงา

แต่เราก็โอเคใช่ไหมป้า?

สนามหลวงหายไป






เมื่อวานไปแถวท่าพระจันทร์ ท่าช้าง
แล้วว่าจะเดินเลาะสนามหลวงไปรอรถเมล์ไปถนนพระอาทิตย์

แต่หาสนามหลวงอันแสนคุ้นเคยไม่เจอ
เขากั้นรั้วรอบเสียมิดชิด

ฟุตปาธจะเดินยังไม่มี
จะโดนรถเฉี่ยวไหม ต้องระวังกันเอาเอง


วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

อย่างนี้นี่เอง



กริ๊งงงง กริ๊งงงงง



(เอ๊ะใคร เบอร์ไม่คุ้น) สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณน้ำหวานใช่ไหมคะ
ค่ะ จากไหนคะ
ดิฉัน เหมย เหมือนฝัน จากบริษัทท่องเที่ยว ***นะคะ บริษัทของเราเป็นตัวแทนท่องเที่ยวเกาหลี ฮ่องกง บาหลี...
ขอโทษค่ะ เข้าประเด็นเลยก็ได้ค่ะ
คือ จะเชิญสมัครสมาชิกน่ะค่ะ
....
ไม่ทราบคุณน้ำหวานเดินทางบ่อยไหมคะ
(เข้าใจว่าถามถึงเดินทางต่างประเทศ) ไม่ค่อยบ่อยค่ะ
ปีละัสองทริปได้ไหมคะ
ไม่นะคะ หลายปีทริปมากกว่า ไม่ค่อยมีงบน่ะค่ะ
โอเคค่ะ งั้นไม่รบกวนแล้วนะคะ ขอบคุณ สวัสดีค่ะ
......(อ ย่ า ง นี้ นี่ เ อ ง)




ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮรีส

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:Paul Gallico แปลและเรียบเรียงโดย บัญชา

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังได้อ่าน "ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮรีส" (Flowers for Mrs. Harris) เป็นครั้งแรก (เมื่อไม่กี่วันมานี้) คือความตระหนักถึงประสบการณ์ ความรอบรู้ ความเข้าใจชีวิต อารมณ์ขัน และความสามารถในการผูกเรื่อง เล่าเรื่องของ Paul Gallico ผู้เขียน

พอล กาลลิโค ทำให้ฉันรู้จักมิสซิสแฮริส “แม่บ้านรับจ้างจากลอนดอน” หญิงชนชั้นกรรมาชีพผู้ซื่อสัตย์ต่องานและการอดออม ด้วยมีความฝันยิ่งใหญ่ที่จะได้เป็นเจ้าของชุดสวย ผลงานชิ้นเอกของคริสเตียน ดิออร์ เช่นเดียวกับผู้หญิงในทุกสาขาอาชีพทั่วโลก เป็นความปรารถนาและ passion ที่เข้มข้น รุนแรงพอจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งอด และทน เก็บเงินจนมีเงินดอลลาร์เป็นมัด และพาตัวเองขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต ไป “ช้อป” สิ่งที่แกต้องการถึงปารีส

จากการโปรยเสน่ห์ของพอล ฉันรักตัวละครทุกตัวในหนังสือเล่มนี้ สำนวนของเขาเนรมิตให้มิสซิสแฮรีสหลุดออกมาโลดแล่นให้ฉันเห็นแบบตัวเป็นๆ ความเป็นแก รอยยิ้มที่ทำให้ตาหยีและแก้มยุ้ย สไตล์ อุปนิสัย ความซื่อสัตย์ ภูมิใจในตัวเอง ความอ่อนโยน ท่าทางที่อ่อนโยนยามแกปฏิบัติต่อกระถางเจเรเนียมทั้ง 30 ในแฟลตเล็กๆ ของแก กระทั่งได้ยินสำเนียงเหน่อแบบคนชั้นล่างของแก ตัวละครอื่นๆ ก็ล้วนดูมีชีวิตจิตใจ มีด้านมืดด้านสว่าง มีความแข่งแกร่งและอ่อนแอ ที่สำคัญที่สุด พอลไม่ได้เขียนให้นิยายเรื่องนี้มีแต่เรื่องดี ดี ดี และจบไปอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง มีเหมือนกันที่ตัวละครต้องอกหักเพราะผิดหวัง เราจึงได้เพลินไปกับรอยยิ้มและน้ำตา การมีความหวัง-ความผิดหวัง-และเมื่อที่ความหวังฟื้นตัว ฟูฟ่องขึ้นมาใหม่

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วหม่นหมอง มันได้ผลเลยแหละ ถ้าจะใช้เรียกรอยยิ้มจากความอิ่มใจ อิ่มในน้ำใจและความรัก ความเมตตาที่คนเรามีให้กัน แม้จะจบไปโดยทำให้เราน้ำตาซึม แต่ก็ซึมด้วยความประทับใจ (และหอมฟุ้ง)

เป็นหนังสือที่อ่านแล้วทำให้อยากรักผู้คนรอบตัวให้มากขึ้น




บันทึก:
• ขอบคุณเพื่อนเอ๋ ที่ให้ยืมมาอ่าน ชอบกว่า "ด้วยหัวใจทั้งเจ็ดดวง" นะจ๊ะ (http://mandymois.multiply.com/reviews/item/135)
• ฉันอ่านแล้วนึกถึงนักเขียนโปรดอีกคน ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช
• ความอินในหนังสือเล่มนี้ต้องขอยกเครดิตให้กับผู้แปลและเรียบเรียงด้วยนะคะ
• ตกลงคนแปลที่ใช้นามปากกา “บัญชา” เป็นใครหรอ?
• ตอนเรียนปี 1 หรือ 2 รู้สึกรุ่นพี่จะทำละครจากหนังสือเล่มนี้ ก็ไม่ได้มีโอกาสชม และไม่เคยพยายามหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านเลย แต่ในที่สุดก็ได้อ่าน รู้สึกสนุกมาก พานให้อยากมีโอกาสชมละครของพวกรุ่นพี่ด้วยแฮะ

Andrew Warhola's





มึนกับ Andy Warhol' s effect







ต่อไปนี้เจอเพื่อนคนไหนจะจับถ่ายรูปแบบแอนดี้ไว้ดูเล่นตอนแก่

Everybody’s Fine : ทุกคนสบายดี

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


จากความทรงจำของฉัน คำว่า “แม่” เหมือนจะคู่กับคำว่า ”บ้าน” มาตลอด ก็แม่ฉันมีหน้าที่อยู่บ้านเลี้ยงลูก ในขณะที่พ่อออกจากบ้านไปทำงานหาเงินมาให้เราแม่ลูกกินใช้และเรียนหนังสือ เราจึงสนิทกับแม่มากกว่า เพราะได้ใกล้ชิดกัน พูดคุยกันมากกว่ากับพ่อ

เมื่อแม่กับพ่อแบ่งหน้าที่กันชัดเจน วิธีเลี้ยงลูกก็เลยต่างกันไปด้วย แม่เป็นคนดูแลเรื่องข้าวปลาอาหาร สุขภาพ ความเป็นอยู่และความสะดวกสบายของทุกคนในบ้าน ส่วนพ่อก็มีหน้าที่เป็นตุลาการศาลสูงสุดของบ้าน มีหน้าที่พิจารณาโทษ โดยมีแม่เป็นฝ่ายปลอบประโลม ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

บทบาทต่างกันทำให้พ่อกับแม่มีภาพลักษณ์ต่างกันในสายตาลูก ทั้งยังมีแรงดึงดูดให้เข้าหาที่ต่างกันด้วย แต่ดูเหมือนทั้งสองคนถือสิทธิ์ในการคาดหวังในตัวลูกไม่ต่างกัน และไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน เพียงแต่อาจจะแสดงออกไม่เท่ากันเท่านั้น

จะด้วยความเข้าใจลูก สงสารลูกหรืออะไรก็ตาม แม่มักจะเป็นฝ่ายทำใจและรับได้เสมอไม่ว่าลูกจะทำให้ผิดหวังในรูปแบบไหน แต่กับพ่อ ไม่รู้ว่าพ่ออ่อนไหว เปราะบาง หรืออะไร พ่อแทบรับไม่ได้เมื่อลูกไม่เป็นไปตามที่หวัง

และเพราะว่าแม่รู้จักลูกและสามีของตัวเองเป็นอย่างดี แม่จึงตัดสินใจจะบอกพ่อเท่าที่พ่อควรรู้ เท่าที่พ่อรับได้ และบอกแบบที่พ่ออยากฟัง

เรื่องราวของ พ่อ แม่ และ 4 พี่น้องใน Everybody’s Fine (2009) ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเรื่องของพ่อ แม่ และ 3 พี่น้องของบ้านฉันเสียจริง

Robert De Niro ผู้หล่อเหลาตลอดกาล เล่นเป็นแฟรงค์ พ่อ ผู้กลายเป็นม่ายในวัยหลังเกษียณ เดียวดายอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงตลอดชีวิตของการทำหน้าที่หุ้มสายไฟด้วยปลอกพลาสติกอย่างมีระเบียบ อดทน และพากเพียรโดยมีความหวังว่าจะเลี้ยงลูกๆ จะโตเป็นคนดี เป็นคนเก่ง เดินไปให้สุดทางฝันของแต่ละคน
ก่อนวันหยุดยาวครั้งหนึ่ง ไม่มีลูกแม้สักคนในสี่คนที่ตอบรับจะกลับบ้าน กลับมาใช้เวลาอยู่ร่วมกันแบบที่เขาปรารถนา แฟรงค์ไม่เข้าใจและไม่รู้เลยว่าลูกๆ ไม่กล้าสู้หน้าพ่อเพราะน้องชายคนเล็กหายตัวไปและยังตามตัวไม่ได้ แถมแต่ละคนยังเคร่งเครียดกับชีวิตที่ไม่ได้เป็นไปแบบที่พ่อรับรู้

แฟรงค์ปรึกษาหมอประจำตัวแล้วตัดสินใจว่า เมื่อลูกไม่พร้อมจะไปหาเขา เขาจะไปหาลูกเอง ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าขึ้นรถไฟบ้าง รถเกรย์ฮาวนด์บ้าง เดินทางไปเซอร์ไพรซ์ลูกแต่ละคน เริ่มที่แจ็ค ลูกชายคนเล็กที่นิวยอร์ก เขาไปถึงแล้วนั่งรถที่บันไดอพาร์ทเม้นท์ แต่รออย่างไรลูกไม่กลับสักที โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ เลยขึ้นรถต่อไปชิคาโก้ ไปบ้านเอมี่ (Kate Beckinsale) ลูกสาวคนโต เพื่อจะได้สัมผัสกับบรรยากาศลักลั่นในครอบครัวของลูก ลูกสาวบ่ายเบี่ยงไม่เชื้อเชิญให้เขาค้างด้วยนานกว่า 1 คืน อ้างว่าเธอต้องบินไปติดต่อธุรกิจ (แท้ที่จริงจะไปตามหาน้องชายที่หายไป) แฟรงค์จึงเดินทางต่อไปเซอร์ไพรซ์โรเบิร์ต (Sam Rockwell) ลูกชายคนโต ผู้ที่เขาเข้าใจว่าเป็นวาทยกรประจำวงออร์เคสตร้า แต่แท้ที่จริงก็เป็นแค่สมาชิกของวง รับหน้าที่ตีกลองเท่านั้น

(ความรักและห่วงใยของแฟรงค์ที่ลูกชายตีความว่าเป็นความคาดคั้นและกดดันซึ่งเขาเคยชินกับมันมาตลอด ทำให้ลูกชายคนนี้น้อยใจพ่อไม่มีวันสิ้นสุด ฉันเห็นฉากสนทนาระหว่างพ่อลูกที่ประตูหลังคอนเสิร์ตฮอล์แล้วสะเทือนใจ นึกถึงน้องชายขี้ใจน้อยของตัวเองขึ้นมาแบบจี๊ดๆ)

กว่าจะไปถึง โรซี่ (Drew Barrymore) ลูกสาวคนเล็กอยู่ที่เวกัส การเดินเปลี่ยนเวลาไปมาทำให้แฟรงค์ตกรถ จึงได้คุยกับคนขับรถบรรทุกม่ายสาวใหญ่ และเกือบโดนอันธพาลซึ่งเขามีน้ำใจให้ทำร้ายเอา โรซี่มารับเขาด้วยรถลีมูซีน พาเขาไปยังอพาร์ทเม้นท์หรูหรา แต่สัญชาตญาณของพ่อก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนสาวอุ้มเด็กทารกทำทีมาฝากลูกสาวตัวเองเลี้ยง แล้วลูกก็เลี้ยงได้อย่างเนียน แถมยังเผลอเรียกตัวเองว่า “แม่” อีก

ยาประจำตัวที่ถูกอันธพาลใช้เท้าขยี้จนเสียหายทำให้แฟรงค์ใจไม่ดี เขาตัดสินใจบินกลับบ้านทั้งที่ใจยังกังวลกับลูกชายคนเล็กที่ยังติดต่อไม่ได้ ระหว่างการเดินทางทอดสุดท้าย ซึ่งเป็นทอดเดียวที่ไม่ได้เห็นสายไฟที่เขาลงมือทำทอดยาวไปตลอดสองข้างทางนี้เองที่เขาเกือบหัวใจวาย

แฟรงค์ฟื้นขึ้นมาจากความฝันที่คลี่คลายปริศนาเกี่ยวกับลูกแต่ละคนเกือบหมด ลืมตาพบลูก 3 คนรายรอบเตียงของเขา เมื่อถามถึงลูกชายคนเล็ก ลูกสาวคนโตก็รายงานว่า เขาตายเสียแล้วที่เม็กซิโก แฟรงค์น้ำตาไหล เขาเสียใจ ลูกๆ พลอยร้องไห้ แต่แล้วทุกคนก็เปิดใจ และได้เข้าใจกัน


การเดินทางทริปแรกในชีวิต ในระยะทางที่ไกลที่สุดและโดดเดี่ยวที่สุดให้อะไรกับแฟรงค์มากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดคงจะเป็นเพียงการค้นพบว่าเมื่อเมียและลูกๆ บอกเขาว่า “ทุกคนสบายดี” นั้น ทุกคนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

(แม้จริงๆ แล้ว มันจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ตาม)




บันทึก
• ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดถึงพ่อตัวเองจัง
• รู้สึกสะเทือนใจตอนที่ลูกชายถามพ่อว่า ตอนพ่ออายุเท่าผม พ่อฝันอะไร
• อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้ว ยังมีสิทธิ์ มีเวลา มีโอกาส ไล่ตามความฝันของตัวเองอีกไหม
• ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วเราควรมีลูกกี่คน และเลี้ยงลูกอย่างไร
• เท่าที่รู้ การมีลูกเป็นการมีทุกข์อีกรูปแบบหนึ่งแท้ๆ เลยเชียว
• ก็คุณจะไม่รู้สึกปวดใจเป็นสองเท่าเมื่อรู้ว่าลูกกำลังปวดใจหรือ?
• รู้ไหม ถ้าทำใจไม่ได้ก็อย่ามีเลย แต่ถ้าทำใจได้ก็มีเหอะ ลูกน่ะ คนแบบคุณมีลูกหลายๆ คนก็คงมีความสุขดี ทั้งลูก และพ่อแม่

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

ชะตากรรมของไผ่เงิน






เสาร์ที่ 18 กันยายน 2553

หวังว่าทุกคนคงจำไผ่เงินเขียวขจีทั้ง 3 ต้นที่พี่เดือนให้มาเมื่อเดือนพฤษภาคมได้
(ชมสภาพที่ http://mandymois.multiply.com/photos/album/812/812#photo=33)

ตั้งแต่ได้รู้จัก หมาน่อยก็โปรดปรานการแทะไผ่เงินเสมอมา แม้แต่กล้าข้าวสาลีที่เพาะขึ้นมาใหม่ก็ไม่อาจแย่งความโปรดปรานนี้ไปได้
ไผ่เงินทั้งสามต้นจึงเหลือรอดคมเขี้ยวหมาน่อยเพียงเท่าที่เห็น


(อิฉันจึงแยกต้นที่เล็กที่สุดไปฟูมฟัก หวังว่ามันจะแอบแตกหน่อ คืนสภาพเขียวสะพรั่งดังเดิมได้บ้าง-มีเวลาจะแวะไปหาต้นใหม่มาบำเรอแมว)



วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

หนูชอบกินลองกอง



เลียแบบนี้จนหมดเนื้อ



เสาร์ 11 กันยายน 2553

ฉันซื้อลองกองตันหยงมากิน
ขณะที่กำลังนั่งแกะเปลือกอยู่นั้น หมาน่อยก็มาเดินวนเวียน
ดมเปลือกลองกองแล้วเธอก็เมินๆ แต่ไม่ถึงกับทำท่าโกยดินกลบอึใส่ เหมือนทำกับเปลือกกล้วยหอม

แต่พอให้ดมเม็ดลองกองแกะเปลือกเกลี้ยง พร้อมหย่อนใส่ปาก
เธอดมจนทั่วแล้วก็เริ่มเลีย จากตรงที่เนื้อมันปริ
ก็เลยยกให้เลียจนเกลี้ยงเนื้อ เหลือแต่เม็ดข้างในไปทั้งสิ้น 2 ลูก

หมาน่อยชอบกินลองกองเอามากๆ เลยแหละ
เป็นความรู้ใหม่อีกแล้ว

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

"Futari" พี่น้องสองมิติ

Rating:★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:อาคากะวา จิโร แปลโดยฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์


Futari "พี่น้องสองมิติ" เป็นเรื่องเล่าของพี่สาวกับน้องสาว หลังอุบัติเหตุร้ายแรงพรากผู้เป็นพี่ไป ครอบครัวที่เหลือกัน 3 ชีวิตจึงสั่นคลอนราวกับโดนคลื่นสึนามิโหมใส่ แต่แล้ววันหนึ่งพี่ก็กลับมาหาน้อง กลับมาอยู่ใกล้ๆ ในแบบมองไม่เห็นตัว แต่ได้ยินเสียง คอยพูดคุย ไต่ถาม ห้ามปรามและให้คำแนะนำ เมื่อน้องเรียกหา

มีพี่อยู่ข้างๆ น้องก็ค่อยๆ ดีขึ้น ด้วยไม่ได้รู้สึกว่าพี่จากไปไหน พี่สบายดี ไม่ได้เจ็บปวด ไม่ทรมาน ไม่ได้ถูกกักขังหรือหิวโหย ประกอบกับที่น้องยังเด็ก ยังใส จึงค่อยๆ ฟื้นตัวจากความเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว อาการที่ดีขึ้น ส่งผลให้พ่อกับแม่รู้สึกดีขึ้นด้วย

น้องกำลังเติบโต อยู่ในระยะที่เหมือนดักแด้กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นผีเสื้อแสนสวย เวลาเช่นนี้มีหลายเรื่องราวเกิดขึ้น รวมทั้งปัญหาที่แสนทรมานใจของผู้ใหญ่ แต่การที่น้องมีพี่อยู่เคียงข้างตลอดเวลาทำให้สามารถผ่านช่วงยากลำบากไปได้อย่างอุ่นใจ และไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

จนเมื่อถึงวันหนึ่ง เมื่อเธอไม่ต้องการพี่แล้ว ผู้เป็นพี่ก็หายไปเฉยๆ



อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้ฉันรู้สึกอยากมีพี่สาวอีกครั้ง

การมีน้องชายสองคนในวัยห่างกัน 3 และ 5 ปี ไม่ได้ช่วยให้พี่สาวคนโตอย่างฉันรู้สึกอบอุ่น ก็น้องๆ เอาแต่เด็กกว่า โง่กว่า งอแง อ่อนแอ และเป็นภาระ(ที่พ่อแม่สั่ง)ให้ต้องดูแล น่าเบื่อที่สุด

ความน่าเบื่อของน้องผลักดันให้ฉันหันไปหลงใหลบุคลิกผู้นำ เก่งกล้าสามารถ ฉะฉาน และเอาแต่ใจ (ประสาลูกคนโต) ของพี่สาวลูกพี่ลูกน้อง (ปัจจุบันล่วงลับไปแล้ว) อยากได้เธอมาเป็นพี่สาวของฉันจริงๆ (แม้เธอจะแกล้งฉันอยู่เสมอ) แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เราอยู่กันคนละจังหวัด เมื่อเธอมาอยู่บ้านฉันเพื่อที่จะมาเรียนหนังสือ วัยก็พาเธอพลัดไปเป็นสาวรุ่น ทิ้งห่างฉันซึ่งยังเป็นเด็กกะโปโลที่เธอน่าจะคิดเหมือนที่ฉันคิดกับน้อง ว่า “น้อง-น่า-รำ-คาญ”

ตอนยังเด็กฉันจึงรู้สึกเหงาๆ พิกล (ทั้งที่น้องๆ รอบตัวออกจะทำอึกทึกวุ่นวาย)

คงจะดี ถ้าเด็กๆ ได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกันแบบมีพี่ มีน้อง หรืออย่างน้อย ก็ไม่ได้เติบโตมาโดยรู้สึกโดดเดี่ยว (ทั้งที่แทบไม่มีโอกาสจะอยู่คนเดียวเลย) อย่างฉัน




บันทึก:
• คำว่า Futari แปลตรงตัวว่า สองคน-เป็นคำลักษณะนามที่ใช้เรียกจำเพาะกับคนสองคน
• นิยายขนาดเหมาะมือ พล็อตไม่ซับซ้อน สำนวนอ่านง่าย เพราะเขียนมาให้เด็กมัธยมอ่าน
• คนเขียนหนังสือเล่มนี้คืออาคากะวา จิโร คนเดียวกับที่เขียน “มิเกะเนะโกะ โฮล์มส์ แมวสามสียอดนักสืบ” และ “ซันชิไม ทันเทอิดัน” จากวิธีการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะจากการที่เขาเป็นผู้ชาย ฉันว่าเขาเป็นนักเขียนที่ช่างสังเกตและเก่ง สมแล้วเขียนอะไรๆ ได้หลายแนว แล้วก็เป็นนักเขียนที่เขียนอะไรๆ ออกมาได้พรั่งพรู ไม่มีติดขัดเลย
• น่าสนใจนะ ว่านักเขียนแบบนี้ได้แรงบันดาลใจจากอะไรบ้าง
• บอกไว้เป็นเกร็ดสนุกๆ ฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์ ผู้แปลสาวเจ้าของสำนวนแปลนี้ เป็นแฟนของตั้ม วิศุทธิ์ พรนิมิต นั่นเอง
• เข้าใจว่าที่มาของหนังสือเล่มนี้คือเอจัง เอจังให้ยืมหลังจากที่ฉันอ่าน “หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข” ของโยชิโมโต บานานา ที่ฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์ แปล เมื่อสัก 2 ปีก่อน แล้วเกิดกรี๊ดกร๊าดเอามากมาย

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

คน (๓)





คลำทางจากรามฯ สอง
สาวตาบอดขึ้นรถเมล์-รถไฟฟ้า-รถใต้ดิน
ไปทำงานที่จามฯ สแควร์







วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

ฝัน (๒)




ในห้วงลึกแห่งนิทรา
แมวแปลกหน้าคาบร่างหนูไร้วิญญาณ
มาวางตรงหน้าฉัน




Did you Hear about Morgans? : ผัวเมียมอร์แกนหายไปไหน?

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Romantic Comedy



เคยคิดเล่นๆ เหมือนกันว่าวันหนึ่งหลังตกลงแต่งงานไปกับคนรักแล้วจับได้ว่าเขานอกใจ เราจะทำยังไง? เดินร่วมทางกันต่อไปหรือต่างคนต่างแยกย้าย แยกทาง

ก็คิด (ไม่เห็นจำเป็นต้องคิด) จนได้คำตอบว่า ถ้าถูกคนที่วางใจมากพอจนตกลงใจจะซื่อสัตย์กับเขาทรยศเอาสักครั้งฉันคงไม่อาจ ไว้ใจเขาได้อีกต่อไป เพราะงั้นถ้ารู้ก็คงต้องเลิก

คู่แต่งงานนิ วยอร์เกอร์ในหนังโรแมนติกคอมมิดี้ Did You Hear about Morgans? (2009) ก็กำลังเผชิญปัญหาเดียวกับกรณีสมมติของฉัน ทั้งสองกำลังแยกกันอยู่รอการหย่า หลังเมอริล (Sarah Jessica Parker) รู้ว่าพอล (Hugh Grant) ไปมีอะไรกับสาวอื่น เพราะเธอคิดแบบเดียวกับฉันเป๊ะ

เมื่อชามแก้วเจียระไนแห่งความไว้วางใจมีอันปริเป็นแผล ก็ยากที่จะทำเป็นมองไม่เห็น

ไม่ได้เลิกกันง่ายๆ เพราะพอลยังรักเมอริล จึงเพียรพยายามขอคืนดี พ่อคนนี้ก็ตื้อจนพาเมียไปเจอดี บังเอิญไปเห็นหน้าฆาตกรโหดตอนกำลังปฏิบัติการเข้าเต็มๆ เพื่อความปลอดภัยของพยาน ตำรวจจึงจับผัวเมียมอร์แกนเข้าโครงการพิทักษ์พยาน ซึ่งจะส่งพยานคนสำคัญไปในที่ที่ไม่มีใครรู้แห่งหนึ่ง เก็บตัวจนจับคนร้ายได้เรียบร้อย แล้วถึงจะพากลับมา

ทั้งสองเก็บกระเป๋าเดินทางกันปุบปับคืนวันนั้นเลยแหละ ไปไกลถึงไวโอมิ่ง เครื่องลงที่เมือง Cody เมืองที่มีโปสเตอร์แนะนำวิธีรับมือกับหมีตั้งแต่ที่สนามบิน แล้วก็เดินทางต่อไปยังเมือง Ray

เป็นเรื่องลำบากใจไม่น้อยสำหรับผัวเมียจากเมืองใหญ่ที่ติดไปหมด ติดมือถือ ติดเน็ต ติดงาน ติดวิถีชีวิตสไตล์นิวยอร์กเกอร์ แถมยังลำบากใจที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกันด้วย (โดยเฉพาะสำหรับเมอริลซึ่งพยายามจะเลิกกับพอลอยู่) แต่ก็ยังดีที่เมอริลในอวตารนี้ไม่ร้ายไม่ปรี๊ดเท่า Carrie' Bradshaw ใน Sex and the City (สงสัยเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เมอริล แต่เป็นแครี่ที่ต้องไปอยู่ไวโอมิ่ง เรื่องจะเป็นไง)

เรื่องราวในหนังต่อจากนั้นดำเนินไปตามพล็อตที่ไม่ได้มหัศจอรอหัน หักมุม หรือช็อกความรู้สึกคนดูแต่อย่างใด แต่ได้สนุกตรงที่ได้ยิ้มตลอดเรื่องไปกับมุกตลกร้ายเกี่ยวกับปัญชาชีวิตสมรสของคนแก่จิตแพทย์ ความน่ารักของตัวละครเมอริลกับพอล และสองผัวเมียวีลเลอร์ที่ทั้งสองไปอยู่ด้วย มุกเหน็บแสบๆ เข้ากับอุดมการณ์ของพวก PETA (People for the Ethical Treatment of Animals) เทรนด์ทันสมัยและสูงส่งของคนเมืองใหญ่ การตามมา “ปิดปาก” ของฆาตกร

รวมทั้งได้ถูกท้าทายจากคำถาม (อีกครั้ง) ว่า
ว่าถ้าเรารักคนคนหนึ่งมากพอ อยากใช้ชีวิตร่วมกับเขามากพอ เราจะให้อภัยเขา และเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม?


หมายเหตุ:
• เป็นหนังที่ควรจะดู soundtrack เป็นที่สุด จะได้ฟังมุกตลกและสำเนียงของตัวละคร
• Sarah Jessica Parker เล่นบทนี้ได้น่ารักมาก
• สำหรับ Hugh Grant ถ้าฉันโดนทรยศโดยคนแบบเขา ก็คงยากที่จะไม่ให้อภัย
• ดูเป็นหนังเรื่อยๆ ที่เหมาะจะดูวันฝนตกตลอดเวลา


วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

แมววันหยุด




อุ๊บส์ นั่นแมว หรือแมวน้ำกัน?



เสาร์ที่ 11 กันยายน 2553

แมวกัด แปลว่าแมวรัก
แมวให้จวัก แปลว่าแมวกวักอุ้งเรียก

อิอิ

10 วันท้องฟ้าไม่เคยเหมือนเดิม



เช้านี้เห็นเมฆก้อนใหญ่มาก
แต่ละมุมของก้อนเมฆก็สวยมาก



เท่าที่สังเกตดู แต่ละวันของเดือนในปี
แสงสี ท้องฟ้า และกลิ่นของอากาศไม่เคยเหมือนกัน
อย่างตอนนี้เข้าเดือนกันยายน ฟ้ายังฉ่ำฝน แต่แดดเริ่มเฉียง สาดเข้าระเบียงห้องที่หันหน้าไปทางใต้แล้ว
และจะค่อยๆ ก้าวเข้ามาเรื่อยๆ จนเรียกว่าสาดเข้ามาอย่างเต็มที่ในตอนสายเมื่อเข้าเวลาหน้าหนาวแบบเต็มๆ

ท้องฟ้า องศาของแดด ลม และกลิ่นของอากาศเป็นสิ่งที่ฉันสนใจ
บางทีที่เห็นแล้วชอบใจก็อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ตลอด แต่ก่อนนี้ไม่ได้ทำ
หลังจากโหลด Application กล้องถ่ายรูปมาเล่นแล้วก็ติดใจ มันไม่ได้ช่วยให้ถ่ายได้ชัด
(เพราะเวอร์ชั่นนี้เป็นของฟรี ไม่สามารถถ่ายเป็นไฟล์ใหญ่โตได้) คิดว่ามันช่วยให้สนุกที่จะเก็บภาพท้องฟ้าขึ้นเยอะเลย

รูปพวกนี้เป็นท้องฟ้าหน้าฝน 10 วันแรกของเดือนกันยายน 2553
ต่อไป แสงสีของท้องห้าและการเรียงตัวของเมฆก็คงจะเปลี่ยนไปจากนี้
ไว้จะคอยดูและเก็บภาพมาฝากกันใหม่


วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

Henry Poole is Here : ปาฏิหาริย์มีจริง

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นวันอาทิตย์แห่งการทอดหุ่ย ไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆ ให้กับชีวิตของคน หรือแม้แต่ชีวิตแมว ได้แต่นอนทอดหุ่ย กินขนม สลับกับดูหนังพากย์ไทยจากเคเบิ้ลทีวีที่ฉายกันแบบนอนสต็อป เลยดูๆ หลับๆ กันทั้งคนทั้งแมว ดูมาจนค่ำ จนเริ่มปวดหัวแล้วนั่นแหละ ถึงได้มาสะดุดตาสะดุดใจกับหนังเรื่องนี้

Henry Poole is Here (2008)

แปลกกว่าหนังอื่นที่เคเบิ้ลเลือกมาฉายตรงที่หนังเรื่องนี้เป็นหนังอินดี้ อืมม์ ไม่เชิงอินดี้แบบแนวโคตรๆ แค่เป็นหนังจากสตูดิโอเล็กๆ เป็นหนังช้าๆ ที่ไม่แอคชั่นตูมตาม ไม่ใช่หนังผี ที่จะจับคนดูให้นั่งนิ่งอยู่หน้าจอ

เริ่มต้นขึ้นอย่างช้าๆ ชนิดที่ไม่น่าสนใจในสายตาบางคน (หนังที่เริ่มต้นแบบไม่น่าสนใจมักน่าสนใจ) ชายชื่อเฮนรี่ พูล (Luc Wilson) ตามเอเย่นต์ไปดูบ้านด้วยอาการเรื่อยๆ ไม่อยากรู้อยากเห็น ไม่จุกจิก ไม่ต่อรอง และไม่มีคำถาม อาจจะดูแค่แปร่งๆ แปลกๆ แต่ไอ้การตกลงใจซื้อไม่ต่อรองราคา และไม่แยแสจะขอของแถม ขอให้ซ่อมส่วนที่เสียนี่สิ ชวนให้คิดว่าอีตานี่มันเพี้ยน หรือกำลังคิดอะไรไม่ดีกันแน่

กระนั้น คุณเอเย่นต์ขายบ้านก็แสดงความเป็นมืออาชีพ จัดคนมาโป๊วสีให้ในจุดที่ทรุดโทรมก่อนที่เฮนรี่จะย้ายเข้ามา

เขากลับมาอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่เคยอยู่เมื่อตอนเป็นเด็กด้วยเหตุผลบางอย่าง

เฮนรี่พบว่าตัวเองมีเพื่อนบ้านเป็นสาวใหญ่เชื้อสายละตินที่มาแนะนำตัวพร้อมกับอาหารทำเอง เอสเปอรันซ่า หรือป้าเอส ออกจะเป็นเพื่อนบ้านที่มีความละเอียดอ่อน ใส่ใจ และช่างสังเกตจนไปพบสิ่งมหัศจรรย์บนผนังด้านนอกของตัวบ้านซึ่งช่างทาสีมาโป๊วสีซ่อมไว้อย่างขอไปที

เธอเห็นพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า

อืมม์ ป้าเอสเห็น หลวงพ่อที่เธอพามาก็เห็น มิลลี่ เด็กน้อยข้างบ้าน รวมทั้งดอว์น แม่ของเธอ รวมทั้งคนอีกครึ่งเมืองที่ป้าเอสพามา เห็น แต่ฉัน และเฮนรี่ พูล มองไม่เห็น

ป้าเอสเห็นว่าสิ่งนั่นคือปาฏิหาริย์ แต่ละวัน เธอเป็นต้องเล็ดรอดเข้ามาในบริเวณบ้านของเฮนรี่ มายืนจ้องปาฏิหาริย์ของเธอนานๆ และบางทีก็ร่ำไห้อย่างเป็นสุข

มิลลี่ เด็กน้อยวัย 5 ขวบที่หยุดพูดไปตั้งแต่พ่อทิ้งเธอกับแม่ไปมีเมียใหม่ก็หายจากบ้านกลางดึก มายืนจ้องปาฏิหาริย์ของป้าเอส น้ำตาไหล แล้วเธอก็กลับมาพูดอีกครั้ง ตามมาด้วยคุณน้องแคชเชียร์แว่นหนาที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งเฮนรี่กลับบ้านมาในวันหนึ่งพบว่าคุณน้องเกาะผนังร่ำไห้ ดีใจที่มองเห็นแล้วโดยไม่ต้องสวมแว่น

เฮนรี่หงุดหงิดใจ เขาหนีมาอยู่ที่นี่เพราะต้องการพักผ่อนอย่างสงบ หลังหมอวินิจฉัยว่าป่วยหนัก และเหลือเวลาอีกไม่นาน เลยเหวี่ยงใส่ป้าเอสว่าเพี้ยนใหญ่แล้ว จะงมงายไปไหน นี่ก็แค่รอยงานโป๊วสีแย่ๆ

ป้าเถียงว่าไม่ใช่หรอก นี่คือปาฏิหาริย์ นี่คือสิ่งที่ทำให้ป้าหายเจ็บปวด (คือปีที่แล้วคนรักคนเดียวของป้าล้มลงสิ้นใจในครัวของบ้านหลังที่เฮนรี่ย้ายมาอยู่นี่แหละ) มิลลี่น้อยหายเจ็บปวด และคนอื่นๆ คลายขึ้นจากความทุกข์ หรือไม่ก็เริ่มมีความหวังว่าจะหายจากความทุกข์

เฮนรี่ไม่อาจเถียงป้าเอส จึงได้แต่ทำท่าเยาะ เย้ยหยัน ว่าคนเหล่านี้งมงาย และได้แต่ร้องก้องในใจว่า ไม่มีหรอก ไม่มีปาฏิหาริย์อะไรในโลกจะมาช่วยฉุดเขาให้พ้นมือโรคร้ายได้

ผ่านไปหลายวัน ของเหลวข้นที่แดงเข้มไหลออกมาจากผนังด้านยิ่งดึงดูดชาวแคทอลิกผู้ไขว่ขว้าหาความหวังมาเป็นสิบๆ เข้าแถวรอกลางแดดกันยาวเหยียด อย่างอดทนและศรัทธา จากหลังบ้านมาถึงริมถนนหน้าบ้าน เพียงเพื่อจะได้ชมพระพักตร์ใกล้ๆ

ภาพนี้ทำให้เฮนรี่ฟิวส์ขาด มันอะไรกันนักกันหนาวะ (แกคงคิดงี้) คว้าค้อนได้ก็กระหน่ำทุบผนังด้านนั้นจนเละ ลากหลังคาด้านนั้นพังครืนลงมาทับตัว ต้องหามส่งโรงพยาบาล

ปาฏิหาริย์ควรจะหายไป ในเมื่อ “พระพักตร์” ไม่เหลืออยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อป้าเอสรายงานว่าไม่มีเค้าของโรคร้ายเหลืออยู่ในร่างกายของเฮนรี่อีก
จากนั้น เมื่อเฮนรี่กลับมาถึงบ้าน เขาก็แก้ข้อความบนฝาผนังซึ่งเจ้าตัวเขียนไว้ตั้งแต่ก่อนวันทุบผนัง

จาก Henry Poole was Here เป็น Henry Poole is Here

หนังจบลงโดยไม่ได้เฉลยคำตอบอย่างกระจะ ว่าตกลงแล้ว “ปาฏิหาริย์” ของป้าเอสมีจริงไหม

ฉันเองก็คร้านจะเค้นหาคำตอบ เพียงแต่คิดว่า ถ้ามันมีจริง ก็คงจะดีเหมือนกัน


หมายเหตุ :
• หนังเรื่องนี้ทำให้อึ้ง และกระบวนการคิดทำงาน
• ชอบหนังเรื่องนี้ที่ประเด็นของมัน กล้ามากนะ ที่เอาเรื่องปาฏิหาริย์มาท้าทายกันอยา่งนี้
• มันเป็นหนังที่อาจจะให้คำตอบได้นะ ว่าแท้จริงแล้วปาฏิหาริย์ที่เราแต่ละคนมองหา อยู่ที่ไหน
• อยากรู้เนอะ ถ้ามีโอกาสเผชิญหน้ากับปาฏิหาริย์ เราแต่ละคนจะขออะไร (ถ้าขอได้แค่อย่างเดียวอะนะ) ขอให้ตัวเอง หรือจะขอให้คนอื่น
• ถึงจะเฉลยตั้งแต่ต้นจนตอนจบ แต่อย่าเพิ่งด่า รีวิวของฉันไม่ได้ทำให้หนังเรื่องนี้น่าดูน้อยลงหรอก
• อยากดูอีก



วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ขำขำ



หาคนช่วยถ่าย

ขำดี โปรดสังเกตสีหน้าไม่ไว้วางใจของม้อย+อ้อย

และ มองต่ำลงมาอีกนิส
คุณจะเห็นตรีนของเราทั้งสองด้วย!



วันก่อนโน้นป้าอ้อยจะไปเดินสวน เลยชวนไปแวะพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรสามเสนก่อน
ถ่ายรูปกันมา ขำดี


หลายปีผ่านไป เพื่อนหลายคนเปลี่ยนชื่อ แต่เพื่อนอีกหลายคนเปลี่ยนรสนิยมทางเพศไปเสียแล้ว

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ผู้ร้ายปากแข็ง





ตีหน้าจ๋อย
แท้ที่จริงหมาน่อยคือจอมกัด

ไม่เชื่อให้มาพิสูจน์แขนขาหม่ามี๊ได้!

เทศกาลโปสการ์ดจากภูเก็ต



สองยุค
สองสำนวน


ช่วงที่ผ่านมาไ้ด้รับโปสการ์ดจากภูเก็ตถึง 3 ใบ
(แล้วทำไมถ่ายแค่ 2?)

แปลกดี ทั้งที่ไม่มีเพื่อนอยู่ภูเก็ต (มีแต่ศัตรู!)
เพื่อนๆ ที่มีโอกาสแวะเวียนไปภูเก็ตยังอุตส่าห์ส่งความคิดถึงมาให้

ยังไม่ได้ตอบใครเลย
และก็ยังปลื้มไม่หาย

ป.ล. หมาน่อยก็ปลื้มด้วยคับ

ทานตะวันทรยศ



รูปนี้จำไม่ได้ว่าเลือกโหมดอะไร
Vignette มั้ง ช่วงนี้ปลื้มอยู่



นอกจากความทรยศ
ดิฉันยังนำความตอแหลมาเสนอด้วย

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

คน (๒)




ก้มหน้าสูดไอในถุงกาว
เด็กสาวพริ้มตาเพลิน
แม้โลกโหดร้าย-เธอหาได้แคร์






ชายชราผู้อ่านนิยายรัก

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:Luis Sepúlveda แปลโดย สถาพร ทิพยศักดิ์


โดยไม่ตั้งใจ ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ (อย่างเชื่องช้า) จบในวันที่ 1 กันยายน
วันสืบ นาคะเสถียร

โดยไม่ตั้งใจอยากจะรู้อะไรก่อนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้
แม้การอ่าน "นางนวลกับมวลแมวฯ" ในลำดับก่อนหน้าเล่มนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตั้งใจ

แต่อย่างไรก็ตาม ฉันยอมรับ ว่าได้รับการสปอยล์จากเจ้าของหนังสือเล่มนี้ก่อนอ่าน ว่าไม่ใช่เรื่องราวแนวเดียวกับ "นางนวลกับมวลแมวฯ"

นับ(ฉันนับเอง)ได้ว่าเป็นการสัมผัสอย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างเปิดกว้าง และไม่คาดหวัง

ฉันลิ้มรสเรื่องราวที่เล่าอย่างเนิบช้า เรื่อยๆ เหมือนน้ำไหลริน
ชายวัยปลายคนกับความโดดเดี่ยวที่เขาเลือกสรรให้ตัวเอง
เรื่องราวรักรันทดที่เขาปรารถนาจะได้อ่าน แม้เป็นการอ่านที่ละคำ เพียงเพราะความรันทดในความรัก มันทำให้เขาหลุดพ้น ลืมเรื่องราวรันทดตลอดชีวิตจริงของตัวเองได้ชั่วคราว
ภาพความสัมพันธ์ของเขากับโลกรอบตัว
ความเข้าใจโลก ที่แม้จะทำให้เขาเจ็บปวดและขมขื่น ซึ่งทำให้เราเจ็บปวดและขมขื่นตามไปอย่างช่วยไม่ได้ กระนั้น เขาก็ทำให้เรารู้ ว่าในวิถีแห่งการหมุนไปข้างหน้าของโลก มันย่อมเจ็บปวดและขมขื่นแบบนี้

ใครจะกล้าเปลี่ยนแปลง ในเมื่อวันนี้ไม่มีคนอย่าง สืบ นาคะเสถียร แล้ว
หรือที่จริงแล้ว แม้จะเป็นอย่างนั้น เราก็ยังไม่ควรสิ้นหวังในการเปลี่ยนแปลง

เรื่องนี้..ฉันเองยังไม่แน่ใจ



หมายเหตุ: อ่านแล้วรู้สึกมีส่วนร่วมโดยไม่ดัดจริตไปกับ
-พี่เชน และเสือของพี่เชน
-ผาด พาสิกรณ์ ("เสือเพลินกรง" ของคุณ ดิฉันยังละเลียดไม่หมด)
-เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เพราะหนังสือเล่มนี้มันสะท้อนถึงความหม่นเศร้าของชายชรา ณ ชายขอบของสองฝั่งโลกอย่างอ้างว้างแท้จริง

-ไม่แน่ใจว่าที่ฉันรู้สึกได้มากมายเพราะฉันเลี้ยงสัตว์หรือเปล่า
-ฉันพบคำผิดอย่างน้อย 2 ที่ เชื่อว่าสำนักพิมพ์ผีเสื้อคงแก้ไขในการพิมพ์ครั้งต่อไป
-หนังสือเล่มนี้มีภาพปก และลายเส้นประกอบสวยจริงๆ
-Luis Sepúlveda เป็นนักเขียนที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง ใช่แล้ว นักเขียนในความคิดของฉันต้องเป็นแบบนี้แหละ รอบรู้ และหลากหลาย มีจิตวิญญาณหลายรูป แต่ลุ่มลึกในทุกรูป (เพราะถ้าคุณไม่ลุ่มลึก คุณจะเขียนอะไรให้ฉันอ่านล่ะ?) ขอคารวะด้วยความจริงใจ
-ไม่ลืมขอบคุณคนเจ้าของหนังสือ เล่มต่อไปรบกวนขอ "ปิน็อกกีโอ" นะฮะ




วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

หูกระจง







ขอบคุณ
ที่เจ้าช่วยบังฉันจากแสงแรงกล้า
และให้ร่มเงางามน่าอัศจรรย์



วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

มารยาแมว





กราบสวัสดีพี่ป้าน้าอาที่เคารพ

หมาน่อยเกือบ 8 เดือน แค่แก่นแก้วเล็กน้อย ไม่ถึงกับเป็นทอม
มารยาสาไถยแบบแมวสตรี หนูก็พอมีเหมือนกันนะฮะ

;-)

เห่าก่อนกัด




31 สิงหาคม 2553

หมาน่อยอายุ 7 เดือนกว่าแล้ว
ตัวโตขึ้นมาก เนื้อแน่น ขนนิ่ม เป็นการโตออกทางยาว
ไม่เห็นอ้วนปุ๊กปั๊กเหมือนแมวอื่นๆ ที่หม่ามี๊แวะเล่นด้วย

หมาน่อยเขี้ยวใหญ่ขึ้น เล่นแรงขึ้น
เจ้าเล่ห์เพทุบาย และเรียกร้องความสนใจเก่งขึ้น

แล้วก็ยึดครองทุกตารางนิ้วในคอนโดเล็กๆ ของเราไปหมดแล้ว
ทั้งแนวตั้งและแนวนอน







หมายเหตุ: เธอกระโดดขึ้นหลังไมโครเวฟที่วางบนโต๊ะ แล้วเทคตัวขึ้นหลังตู้กับข้าว
ก่อนจะไต่ลงมาครอบครองพื้นที่หลังตู้เย็นทั้งหมด ดังในรูป

อากัปในรูปเป็นการล้อเล่นกับหม่ามี๊ เธอเห่าแบบแมวๆ ออกมาทีนึง
ถ้าหม่ามี๊เล่นด้วยด้วยการเอื้อมมือไปใกล้ เธอจะงับ(กัด)อย่างว่องไว
จะงับจริงหรือหลอกก็แล้วแต่อารมณ์ของคุณเธอ