วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

ลาก่อน..คลับสตรีที่รักของอิฉัน





อังคารที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๒

(ดูสิ ยังไม่ทันร้องท่อน The winds of March that make my heart a dancer เรย เดือนมีนาคมก็จะจากเราไปแล้ว)

แรกเลยกะว่าจะไปเดินงานสัปดาห์หนังสือคนเดียวรอบนึงก่อน เนื่องว่าออร์เดอร์จากบรรดาญาติโยมมันช่างมากหลาย วันไปเดินกันหลายคนอาจเก็บเกี่ยวได้ไม่หมด ทว่า เมื่อโทรไปเช็คคลาสโยคะที่คลับแห่งหนึ่ง ด้วยความหวัง (หวังไว้ก่อน แม่สอนไว้) ว่าเช้าวันพุธ จะตื่นเช้าไปเล่นรอบแรก ก็ได้ทราบความว่า ที่จริงคลับสตรีของอิฉันยังมีคลาสโยคะจนถึงวันนี้ ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือวันสุดท้ายของเดือนมีนาคม

(ตอนแรกไม่เห็นโปรแกรมประจำสัปดาห์ที่ี่คลับนี้อัพโหลดในเว็บแล้ว ก็คิดว่าเค้าคงหยุดบริการตั้งแต่อาิทตย์นี้ แต่พอรู้ว่าเค้ามีถึงวันสุดท้ายของเดือนก็เกิดดีใจมาก ดีนะ ที่เตรียมกางเกงมาด้วย)

เรื่องของเรื่องคืออิฉันทราบมาได้อาทิตย์นึงแล้ว ว่าแคลิฟอร์เนียว้าวจะปิด WOW Women คลับสตรีที่อิฉันสมัคร และชอบเล่นโยคะที่นั่นมากเสีย
เขาอ้างว่า เขาหมดสัญญากับตึกฟีนิกซ์ (หมดก็ต่อซีวะ) จึงจะย้ายสตูดิโอโยคะ รวมทั้งส่วนออกกำลังกายของสตรีไปที่ WOW สุขุมวิท 23

บอกตรงๆ ว่าเกลียดบรรยากาศคลับที่สุขุมวิท 23 นั้นมาก
สตูดิโอโยคะที่นั่นอยู่ชั้นใต้ดิน เพดานต่ำ แล้วก็อยู่ในกล่อง อุดอู้ แล้วอิฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะมีที่ว่างพอสร้างสตูดิโอโยคะห้องใหญ่เท่าที่ WOW Women ได้อีก

รู้ข่าวแล้วก็ทั้งโกรธ ทั้งงอน แต่ไม่รู้จะมาบ่นทำไมในมัลติพลาย มันเป็นเรื่องส่วนตั๊ว-ส่วนตัว
สุดท้ายก็เลยบ่นกับพี่ผึ้ง เพราะพี่ผึ้งเป็นคนชักนำเข้าวงการ บ่นๆๆๆ ว่าดูสิ ดูเค้าทำ ตอนนี้ปิดคลับเรา เดี๋ยวๆ จะปิดหมดทุกคลับเลยไหม ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

พี่ผึ้งซึ่งเพิ่งผ่านการฝึกฝนจิตใจที่อินเดียและเนปาลมาหมาดๆ ก็ปลอบว่า หนู อย่าคิดมากเลย หนูจ่ายไปเท่าไหร่นะ...อ๋อ พี่จ่ายเยอะหว่าหนูอีก แล้วหนูก็ไม่ใช่คนที่ซวยที่สุึดหรอกนะ
พี่ว่าคนที่เพิ่งสมัครน่ะ ซวยกว่า

นั่นแหละ เลยพอรู้สึกดีขึ้นหน่อย หาเพื่อนร่วมชะตากรรมเจอ พี่ผึ้งเค้าก็ชอบมาเล่นที่คลับนี้เหมือนกัน

ที่ WOW Women เนี่ยดี มันใหม่ สะอาดสะอ้าน สตูดิโอยะคะก็ใหญ่ขนาดจุคนได้ใกล้ร้อย แถมมีตั้งสองห้อง คือแยกห้องร้อนไว้เลย ห้องน้ำมิดชิด ใหญ่กว่าคลับอื่น ห้องแต่งตัวก็มีพื้นที่เคลื่อนไหวได้สะดวกเอวกว่าห้องน้ำหญิงในคลัีบอื่น

บอกตรงๆ ว่าอาลัยมาก

และอดนึกด่าใครบางคนอย่างหยุดไม่ได้ มาจนบัดนี้



สุดท้ายนี้ ถ้าใครอ่านแล้วคันใจ อยากยุให้ฟ้อง กรุณาอย่ายุอย่างเดียว แต่ให้มาพร้อมคำแนะนำในการฟ้องด้วย จะเป็นพระคุณอย่างสูง

หมายเหตุ อัลบั้มนี้ แอบมุบมิบถ่ายมาด้วยมืออันสั่นเทา ปกติถ้าไม่ขออนุญาตถ่ายทำ เค้าไม่ให้ถ่ายรูปกันหรอกนะเออ


วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552

(เกือบ) ถูกใจหนู




อังคารที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๒

แวะธนาคารออมสินหน้าดิเอ็มโพเรียมก่อนมาทำงาน
เสร็จแล้วก็ข้ามถนนมารอสาย ๓๘
อยู่ว่างไม่ได้ สายตาต้องสอดส่ายหาของกิน ประสาคนตะกละ

ไม่น่าเชื่อว่าหน้าเอ็มโพเรียมจะมีข้าวเหนียวดำหน้าสังขยา (ทำเอง) ร้อนๆ
ขายในราคาถูกขนาดนี้

๑๐ บาท นั่นใส่กล่องข้าวได้เกือบเต็มแน่ะ
ภาชนะใส่ข้าวเหนียวก็แสนจาถูกใจ
ถ้าคุณพี่ปรับปรุงรสชาติอีกนิดนะ
หนูจะตามไปซื้อบ่อยๆ เลย

เพราะว่าชอบกินข้าวเหนียวดำฮะ
^_^

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

รวมรูป portrait



อยากไปสมุยราคาประหยัด
ต้องไปเช็คอินตีห้านะจ๊ะ ทูนหัว



๑๘-๒๐ มีนาคม ๒๕๕๒

บนเกาะสมุย
ส่วนใหญ่เป็น self-portrait
มีรูปเดียวที่ให้เพื่อนถ่ายให้

ฝนบนเกาะ





เช้าตรู่วันพุธที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๒

ตื่นตีสาม เพื่อไปเช็คอินก่อนตีห้าที่สุวรรณภูมิ
แม้บ้านจะอยู่ห่างสนามบินไม่เท่าไหร่ก็ต้องตื่นตอนนี้ เพราะว่าเป็นคนโอ้เอ้

เครื่องบินขึ้นหกโมงเช้า ตอนขึ้นรถบัสไปขึ้นเครื่องบินคุณฝรั่งได้กลิ่นฝน
แล้วถึงเห็นเม็ดปาดที่กระจกเป็นสาย
โอ้ว..ฝนตก
(หวังว่าสมุยจะอากาศดี กัปตันก็บอกว่าอากาศดี)

ปรากฏว่า..ลงเครื่องแล้วซู่ใหญ่เชีย
เล่นเอาใจแป้วกันทั้งไทยฝรั่ง

ก็ปลอบใจกันไปว่าฝนทางใต้ตกแป๊บเดียว เดี๋ยวก็แจ่ม
ค่อยยังชั่วที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ
อยู่สมุย ๓ เช้า เลยได้กลิ่นฝน ได้ยินเสียงอึ่งทั้งสามเช้า
ก่อนจะได้ยินเสียงจั๊กจั่นหรีดก้องรีสอร์ตในเวลาต่อมา

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

ฉลามมาแง้ววววววววว!



...น่าเอ็นดู๊




เสาร์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๒

สยามโอเชี่ยนเวิลด์มีปลาฉลามหลายตัว
ล้วนแต่อ้วนตุ๊ต๊ะ และไม่เห็นทำไร นอกจากว่ายน้ำอืดอาดไปมา
ไม่เห็นจับใครกิน (แม่หมูบอกว่าปลาฉลามที่นี่เขาคงให้อาหารให้อิ่มเข้าไว้ และสัตว์ผู้ล่าถ้ามันไม่หิว มันก็จะไม่ล่า)

เหมือนว่าจะเป็นฉลามที่เพาะขึ้นสำหรับการว่ายโชว์อย่างเดียว
ตอนที่ลูกหมูหลับ แม่หมูกับป้าม้อยก็นั่งเม้าธ์กันตามประสาคนไม่ได้เม้าธ์ระยะ eye-to-eye กันนานนม แต่สายตาของป้าม้อยก็ไม่ได้จับอยู่ที่ตาแม่หมูตลอดเวลาหรอก (ก็มันมืดจาตาย)
แต่ดันไพล่ไปเห็นอะไรแหลมๆ ยาวๆ สองแท่งที่งอกออกมาจากจุดหนึ่งในปลาฉลามบางตัว
ในขณะที่บางตัวไม่มีอะไรงอกๆ อย่างนี้ แต่เปลี่ยนเป็นหลุมเป็นหลืบลึกลงไปแทน

แหง๋แระ ไอ้ที่งอกออกมานั่น...มันต้องเป็นจู๋ฉลามแน่นอน!!!

ไปดูปลากับพี่ลูกหมูและน้องปลาบู่





เสาร์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๒

ป้าม้อยไปสยามโอเชี่ยนเวิลด์เป็นครั้งแรก (ด้วยตั๋วฟรีจากการรูดปรื๊ดครั้งนั้น)
คราวนี้แม่หมูพาทัวร์ ได้ดูทั้งนางเงือก-นายเงือก นางฉลาม และนายฉลามด้วย
ตื่นเต้นจริงเลย

อยากมาอีก คนเดียวก็ได้ จะได้ค่อยๆ ดูปลากันไป
แต่...ตั๋วมันแพงจังเนอะ



วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2552

Melati Beach Resot & Spa



วิลล่าห้องที่พัก
มี 1 ห้องนอน กับมีพูลเล็กๆ
(ก็เรียกว่าบ่ออะแหละ-ว่ายไปสโตรกครึ่งก็ถึงแล้ว)

เค้าว่ากันว่าคนไทยชอบนักล่ะ พูลในวิลล่าเนี่ย
มันไพรเวตก่าลงไปนอนอาบแดดในที่สาธารณะริมสระใหญ่ของโรงแรม



18-19-20 มีนาคม 2552

มีโอกาสไปทำงานไกลถึง Melati Beach Resot & Spa เกาะสมุย
ชอบรีสอร์ตนี้จัง ไม่ใช่เพราะได้นอนพูลวิลล่า แต่ชอบต้นไม้ต้นไร่ที่นี่
เขาดูแลดีจริง รั้วโมกออกดอกพรึ่บ

พูดถึงภาพ: สมุยตอนนี้กำลังอากาศดี มีฝนทุกเช้า แต่สายก็เหมือนปิดก๊อก เปิดสวิตช์แดดทันที
ที่นี่ซันนี่มาก ฟ้าใส แจ่ม ลมพัด เลยไม่ร้อนเท่าไหร่
พูดถึงเสียง: เพราะเป็นหน้าร้อน จั๊กจั่นก็เลยกรีดเสียงแข่งกันเป็นระยะ สลับกับเสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บ ฟังแล้วสบายใจ
พูดถึงกลิ่น: รีสอร์ตนี้หอมมาก บอกแล้วว่ารั้วโมกออกดอกพรึ่บ ลมโชยทีก็หอมกันที แล้วไม่ใช่แค่รั้วโมก ทางเดินในรีสอร์ตมีกอเตยปลูกแซมเป็นระยะ นอกจากหอมโมกก็เลยสลับกับหอมเตย มะลิ ลีลาวดี ฯลฯ ฯลฯ ได้อีก

3 คืนที่ได้เสวยสุขอยู่ในเมลาตีเลยเหมือนชดเชยการไม่ได้โบนัสติดต่อกัน 3 ปีได้อย่างนั้นเลย
T-T


ป.ล. ลืมถ่ายรูปทางเดินในรีสอร์ตมาเฉยเลย ที่มีมาโชว์มีแค่ทางรถบักกี้
ทางเดินในรีสอร์ตเค้าปูหินศิลาแลง (เรียกงี้ป่าวฟระ) คดโค้งไปมา เป็นอุบายไม่ให้เป็นทางเดินลงบีช (ภาษาไทยเรียกหาดทราย) ที่ชันเกินไป
ระหว่างที่เราเดินคดโค้งไปตามทาง ก็จะได้ชมนกชมไม้ ชมบัวและปลาในบ่อ เพลินเสียงน้ำตกไปด้วย

ทางเดินในรีสอร์ตนี่ อิฉันเห็นฝรั่งโคตรกรี๊ด
แต่เชื่อคนไทยบางคนคงเซ็ง ว่ายุงเยอะ ขี้เกียดเดิน พาลไม่ออกมาข้างนอก
เอาแต่กินๆ นอนๆ แช่น้ำอยู่ในวิลล่าซะงั้น

(อยากดูเว็บก็ search ดูนะจ๊ะ ทูนหัว)

ศูนย์ประชุมฯ คนเยอะมากกกกกกกกกก



นี่เข้าแถวรอแลกการืดในฟู้ดคอร์ทนะฮะ



ศุกร์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๒

เพิ่งกลับจากกินข้าวกะทะเล+แม่ทะเล และไปเยี่ยมเยียนคุณพี่ที่รักที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ใช่...ตอนนี้ที่นั่นกำลังมีงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ซึ่งจะจัดต่อเนื่องไปถึงใันที่ 6 เมษายนนี้
ขอรายงานว่า วันนี้คนเยอะมากกกกกกกกก

ต้องวางแผนดีๆ ว่าถ้ากลับไปอีกที จะไปวันไหน กี่โมงดี


ป.ล. คนเยอะ แต่เด็กหญิงทะเลยังอารมณ์ดีฮะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

ดอกไม้หน้าร้อน




หน้าร้อนเมืองไทย ถึงอุณหภูมิจะพุ่งปรี๊ด ร้อนอบอ้าวจนอยากเป็นลมวันละหลายๆ หน
แดดก็แผดจนตัวดำไปตามๆ กัน ออกจากบ้านต้องไม่ลืมแว่นกันแดด
แต่อย่าเพิ่งวางใจบางวันอาจต้องเอาร่มออกมาด้วย เพราะีพายุฤดูร้อนจะมาพร้อมลูกเห็บ บุกโจมตีเมืองด้วยการถล่มป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ให้ปลิวว่อนในอากาศแล้วตกปุลงมาบนหัวคนข้างล่าง

น่าตื่นเต้น และไม่น่าเบื่อ

ไม่เชื่อลองเบิ่งตามองไปรอบตัว
ฤดูนี้ดอกไม้สีต่างๆ เหมือนจะแข่งกันระเบิดความร้อนผ่านทางการออกดอกก็ไม่ปาน

ดูปลากับลูกหมู (และปลาบู่ในท้องแม่)

Start:     Mar 28, '09 10:00p
Location:     สยามโอเชี่ยนเวิลด์ สยามพารากอน


ในที่สุดอิฉันก็จะได้ดูปลาในสยามโอเชี่ยนเวิลด์ฟรี
โฮ่ โฮ่ โฮ่



(คิดถึงลูกหมูจัง
ปลาบู่ที่อยู่ในท้องแม่จนจะออกมาอยู่แล้วป้าก็ยังไม่เคยทักทายเลย)

เรียกว่าอะไร?





๑๘-๑๙-๒๐ มีนาคม ๒๕๕๒

ไปทำงานที่ เมลาตี บีช รีสอร์ต เกาะสมุย
รีสอร์ตแห่งนี้ตั้งอยู่ที่หาดท้องสน
ริมหาดแห่งนี้มีต้นไม้ต้นหนึ่ง มีผลทรงประหลาดดังที่เห็น
สวยดี แต่ไม่รู้เรียกว่าอะไร
ใครรู้มั่งล่ะ?

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : ชีวิตมันช่างน่าอิจฉา





พฤหัสบดี 26 มีนาคม 2552

ไอ้อ้วนโอเชี่ยนหลับแต่เช้า
(เอิ่ม..จริงๆ ก็เริ่มสายแล้วแหละ)
อิจฉามันว่ะ

ชีวิตริมหาดท้องสน




ศุกร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๒

หลังอาหารกลางวันแล้วคนไทยทั้งสามก็ชิ่งคุณฝรั่งไปสำรวจหาดท้องสน
พบว่าเฉพาะหน้ารีสอร์ตเท่านั้นที่เป็นทรายลาดๆ ลงไป มีหินน้อยหน่อย
แต่ด้านซ้ายและขวาของหาดหน้าโรงแรม (อยู่กลาง) มีสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดเกาะอยู่บนหินดังที่เอามาให้ชมนี้ล่ะฮะ

เรื่องของความรัก


ความรักนี่ก็แปลก ยากจะอธิบายว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดเมื่อไหร่ และควรจะเป็นแบบไหน

เราแค่รู้เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เป็นไปแล้ว

ควรจะเป็น แบบไหน ยิ่งเป็นสิ่งเกินการควบคุม

 

อิฉันมีคนรักมาแล้ว 3 คน แต่ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้ชายแต่ละคนที่คบด้วยนั้น คือความรักทั้งหมด 

 

เพราะกับแต่ละคน อิฉันรู้สึกกับเขาต่างกันไป

 

เมื่อวานนี้ ผู้ชายคนที่สอง ซึ่งบอกกับในที่นี้ได้ว่าเป็นครั้งแรกที่อิฉันได้รู้จักความรัก..รักแรก แล้วก็รักมากด้วย โทรมาหา ตอนที่กำลังนั่งกินโจ๊กอยู่ข้างทาง

อิฉันรับสายไม่ทัน แต่พอรู้ว่าเขาโทรมา ก็ส่งข้อความกลับไปถามว่า ได้รับโปสการ์ดแล้วสิ?

 

เขาโทรกลับมาทันใด บอกว่าส่งโปสการ์ดมาหรอ ไม่รู้เรื่องเลย

แล้วก็ได้คุยถามสารทุกข์ดิบกันนิดหน่อย ก่อนจะวางสายไป เพราะรู้ว่าเราคุยไม่สะดวก

 

ไม่ได้คุยกันหลายเดือนแล้ว แม้แต่โปสการ์ดใบสุดท้ายที่ส่งให้กัน มันก็มาถึงราวๆ คริสมาสต์ปีก่อน

แปลกดีนะ ที่เราเพิ่งส่งโปสการ์ดไป พอดีกับที่เขาคิดถึงเราขึ้นมา

 

ความรู้สึกที่มีกับผู้ชายคนนี้เป็นปรากฏการณ์น่าอัศจรรย์ไม่น้อย

ภาพแรกของเขาเหมือนฉากในภาพยนตร์ อิฉันหลงรักเขาอย่างรวดเร็ว ได้อย่างไรก็ไม่รู้จะเล่าอย่างไร แต่รู้ว่าเขาเป็นคนที่ เข้าทาง เขาเป็นผู้ใหญ่ เขาห้าว แต่โรแมนติก อ่อนไหว แต่ก็เข้มแข็ง มีหัวใจด้านชาที่อยากจะรัก แต่ก็ไม่กล้าลงหลักปักใจ เพราะยังเข็ดขยาดจากการถูกคนรักหักหลังเมื่อครั้งนั้น  

 

เราปิดเรื่องของเราเป็นความลับ เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อการคบกันอย่างเปิดเผย อิฉันในวัยนั้น บอกตัวเองว่าไม่แคร์ เพราะนี่มันเรื่องของเรา

 

ไม่อยากคิดเลยว่าวันที่เขาคุกเข่าลงวันนั้น บทสนทนาเกี่ยวกับอนาคตของเราตอนเช้าตรู่นั่น หรือภาพที่เรามองเห็น แทนที่จะเป็นทุ่งหญ้าเขียวสดหมาดฝนที่อยู่ตรงหน้า ระหว่างที่มือหนึ่งต่างกุมแก้วกาแฟ อีกมืออยู่ในมือของอีกคน จะเป็นแค่ความฝัน

..แต่มันคงเป็นได้แค่นั้นแหละ  เพราะมันไม่ได้กลายเป็นจริงขึ้นมา

 

นานปีที่คบกันแบบนั้น ทั้งๆ ที่อิฉันไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น เขาเองก็ไม่สบายใจที่จะคบกันไปแบบนั้น แต่ก็เปลี่ยนเป็นแบบอื่นไม่ได้ เป็นความขัดแย้งที่ทำเอาเราสองชักอ่อนใจ สุดท้าย จึงต่างคนต่างเงียบหายไปจากชีวิตของอีกคน

 

แน่นอนว่าการเลิกกันไม่ใช่เรื่องง่าย การทำใจยิ่งยากกว่า แต่เมื่อมันจำเป็นต้องทำ เราก็ควรทำ ชีวิตคนเราไม่ได้เป็นของใครอื่น นอกจากของเรา และถึงเราไม่ได้ตัวเขามาเคียง เราก็ยังมีชีวิต มีจิตใจของเราที่ต้องดูแล

 

สิ่งที่แลกมาด้วยอาการตาบวมเพราะร้องไห้นานเกินไป ร้องหนักจนหายใจไม่ออก หัวตื้อ แล้วก็นอนหลับยาก แล้วก็มักตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย วนเวียนอย่างนี้อยู่นานวัน คือการเรียนรู้ที่จะรัก

 

ถามตัวเอง-รักเขาจริงไหม? รักเพราะอะไร? แล้วเราเสียใจเพราะอะไร? เพียงเพราะเขาไม่ได้ขอให้เราอยู่เคียงข้างอย่างนั้นหรือ? แล้วหากเขาไม่อาจมีเราอยู่เคียงข้าง หากไม่ได้พบกันอีกเลย จะยังรักอยู่ไหม?

 

ตอบตัวเองสั้นๆ ว่า ยังไงก็รักเขาแล้ว และถึงเขาจะร้าย เราจะผลักไส ตัดรอน ก็จะรักเขาต่อไป

 

หลังจากนั้น ก็ได้แต่ส่งใจไป บอกเขาว่ารัก บอกเขาว่าเป็นห่วง อยากบอกอรุณสวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์  อยากถามสบายดีไหม  ทุกอย่างทางโน้นยังเหมือนเดิมหรือเปล่า..ก็ได้แต่ส่งใจไป

 

การรักและคิดถึงคนๆ หนึ่งจากระยะที่ห่างไกล ซึ่งจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าไกลเท่าไหร่ แถมไม่รู้ด้วยว่าเขารักและคิดถึงเราเหมือนกันไหม และเขามีใครมาเคียงข้างหรือยัง ทำให้อิฉันได้เรียนรู้ว่า ถ้ายังรักจะรักเขาต่อไป ก็ต้องรักแบบนี้

 

เมื่อยอมรับสภาพตัวเองได้ อิฉันก็เริ่มเห็นใจคนที่มีรัก ซึ่งจริงๆ แล้วเราทุกคนกำลังรักใครบางคน หรือใครหลายๆ คนอยู่ตลอดเวลา แม่รักลูก ครูรักนักเรียน พี่รักน้อง พ่อรักแม่ เพื่อนรักเพื่อน  หัวหน้ารักลูกน้อง แล้วอิฉันก็พัฒนาระดับขั้นของการ รัก ไปในชั้น

 

อิฉันว่าเพราะรักเขา อิฉันจึงเข้าใจความ เมตตา ในพรหมวิหาร 4 พบว่าตัวเองอยากให้ทุกคนมีความสุข เมื่อเห็นใครกำลังมีความสุขกับความรัก อิฉันยินดีด้วย แต่ถ้ารู้ว่าใครกำลังทุกข์เพราะความรัก อิฉันอยากให้เขาพบหนทางเยียวยาจิตใจตัวเองไวๆ

ความรักวนเวียน ลอยฟ่อง และอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวเรา เรารักคนอื่นๆ และคนอื่นๆ ก็รักเรา โลกนี้จะไม่มีใครขาดรักเลย เพียงแค่เรารู้จักรักเท่านั้น

 

อิฉันวางสายคนรักเก่าด้วยความรู้สึกอิ่มเอม เพียงเขาระลึกถึงเราบ้าง ก็รู้สึกยินดีมากแล้ว

กดอ่านข้อความภาพที่เข้ามาระหว่างรับสายเขา ก็พบกับภาพที่ทำให้ยิ้ม

 

อิฉันส่งข้อความไปถามเพื่อนสาวว่า-เป็นยังไง ท้องโตไปถึงไหนแล้ว

สะดือจุ่นแล้ว ^_^ -เธอตอบ

อยากเห็นจังเลย-อิฉันเย้า

แล้วเธอก็ส่งภาพนี้มา


ความรักลอยอยู่รอบตัวเราจริงๆ ด้วย



วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552

เกาะสมุยที่ได้เห็น



โปสการ์ดรูปนี้ส่งถึงใครบอกด้วยนะฮะ
จำมิได้แล้ว



ความทรงจำเกี่ยวกับเกาะสมุย
ระหว่างวันที่ 18-19-20 มีนาคม 2552

Doubt : จากจุดเริ่มต้นเดียวกัน

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

ได้ดู Doubt (2008) กับปกรณ์ที่ลิโด้ตั้งแต่กลับจากชะอำได้สองวัน พบว่าเป็นหนังที่น่าอัศจรรย์ใจมาก แต่ต้องใช้เวลานึกอยู่หลายวัน จนเดินทางไปเจอปกรณ์ที่เกาะสมุย และกลับมาบางกอกอีกรอบแล้ว อิฉันจึงได้นึกออก ว่าจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้อย่างไร

เรื่องมันไม่ได้เริ่มต้นเอาที่ตัว “ความสงสัย” โดยตรง แต่มันเริ่มจากความเขม่นก่อน เขม่นว่าทำไมฟาเธอร์ฟลินน์ (ฟิลลิป ซีมอร์ ฮอฟแมน) ถึงได้เป็นพระที่ดูมั่นใจจัง ทำไมถึงโดดเด่นจัง ทำไมถึง shiny แล้วก็ดึงดูดผู้คนได้ดีจัง... แล้วการจับผิดของซิสเตอร์อลอยซิอัซ โบวิเอร์ (เมอริล สรีพ) จึงเริ่มขึ้น (พระช่วย! นามสกุลอะไรเรียกยากอย่างนี้ ขอเรียกว่าซิสเตอร์สรีพละกันนะ)

เรื่องนี้มันดูคุ้นชินพิกล..อิฉันเพิ่งถึงบางอ้อวันนี้ เมื่อกลับเข้าออฟฟิศเป็นครั้งแรกในรอบ 5 วัน

ก็จริงแล้ว มันช่างละม้ายคล้ายเรื่องที่เกิดรอบๆ ตัวอิฉันนัก

ไม่ว่า “ผู้หญิง” สำหรับคุณจะน่ารัก น่าเทิดทูนราวกับแม่พระผู้บริสุทธิ์อย่างไร อิฉันขอแสดงความเคารพไว้ ณ ที่นี้ ก่อนจะขอเล่าว่า อิฉันออกจะโชคร้ายอยู่สักนิด ที่มองเห็นผู้หญิงรอบๆ ตัวเป็นสัตว์โลกช่างสังเกต เก็บรายละเอียด และช่างนำรายละเอียดนั้นมาวิเคราะห์แจกแจง เมื่อมีสมาชิกใหม่ย่างก้าวเข้ามาในผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง พวกเธอจะรอคอยการสาบานตนเข้าเป็นพวกเดียวกัน โดยคาดหวังว่าสมาชิกใหม่จะมีรสนิยมใกล้เคียงกัน ชอบกินข้าวร้านเดียวกัน ระดับราคาพอๆ กัน ชอบเดินตลาดแนวเดียวกัน พูดคุยเรื่องเดียวกัน มีความเห็นสอดคล้องไปในทางเดียวกัน พูดภาษาบ้านๆ คือชอบที่จะ “เม้าท์” ในเรื่องเดียวกัน

ใครผิดไปจากนี้ คนนั้นแหละที่จะโดนเขม่น โดยการจับตาทุกรายละเอียด เพื่อเฟ้นหาประเด็นน่าสงสัยมาวิเคราะห์เจาะลึก ว่าหล่อนผู้นั้นทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ แล้วการที่หล่อนเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ แปลว่านิสัยของหล่อนเป็นยังไง ฯลฯ

...กระบวนการเช่นนี้เราเรียกภาษาบ้านๆ ว่า “เม้าท์” อีกนั่นแหละ

ใช่ เหมือนว่าเรื่องราวใน Doubt จะเริ่มจากอุปนิสัยดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ในสัญชาตญาณลูกผู้หญิง แต่ทว่า ความสงสัยในหนังเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ อย่างที่บางคนสงสัยฆ่าเวลา หรือสงสัยเพื่อแค่ให้มีบทสนทนา (อย่างออกรส) กับคนอื่นๆ
ก็คนที่ถูกสงสัย และประเด็นที่สงสัยมันเกี่ยวข้องกับเด็กๆ นี่นา

บอกตรงๆ ก็ได้ว่า จริงๆ แล้ว “ผีแม่” เริ่มเข้าสิงอิฉันตั้งแต่ดูหนังเรื่องนี้แล้วล่ะ

โอเค-ซิสเตอร์สรีพเธออาจจะเป็นนางชีเคร่งวินัย ใจร้าย ใจแคบ ไม่มีรอมชอม ฯลฯ ก็ตาม แต่เธอไม่ได้ดื้อด้านที่จะเป็นอย่างนั้น หากยืนตัวตรงเป็นไม้บรรทัดอยู่บนจุดหลักการของเธอ เพราะเธอถือตัวว่าเป็นครู สิ่งที่ทำ ก็ทำเพื่อปลูกฝังระเบียบวินัยให้นักเรียน และนั่นคือความเมตตาต่อเด็กในแบบฉบับของเธอ

ด้วยอิทธิฤทธิ์ของผีแม่ และด้วยความเอนเอียงเข้าข้างซิสเตอร์สรีพของอิฉัน (ขอสารภาพตรงๆ เลยแหละ) ทำให้อิฉันดูหนังเรื่องนี้โดยถือหาง เข้าข้างซิสเตอร์ เพราะเชื่อว่า แม้ซิสเตอร์จะเขม่นฟาเธอร์ แต่เธออยู่ข้างเด็ก

และถ้าฟาเธอร์ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมไม่พูดออกมา ว่าฉันไม่ได้ผิดนะ แทนที่จะหลบหน้า หนีหายไปจากเวทีอย่างที่เป็นในหนัง

คำพูดยอกย้อนที่คมกริบบาดหูระหว่างสงครามของสองตัวละครยังไม่ทำให้ปวดใจเท่ากับบทพูดน้อยคำของแม่ของโดนัลด์ เด็กผิวสีที่น่าสงสารคนนั้น

ตอนที่ซิสเตอร์สตรีพพยายามจะบอกข้อสงสัยว่าฟาเธอร์ฟลินน์ทำอะไรกับลูกชายของเธอ-ทั้งๆ ที่ก็พอจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่า ฟาเธอร์ฟลินน์ takes อะไรจากลูก แต่ก็ gave และสัญญาว่าจะ give อะไรกับลูกบ้าง-เธอดันพูดว่า

I don’t know if you and we are on the same side. I’ll be standing with my son and those who are good with my son. It’d be nice to see you there.

อิฉันฟังไป (อ่านซับฯ ด้วยสิคะ) แล้วก็อึ้ง…


ออกจากโรงมาถึงกับต้องถามปกรณ์ว่า “ถ้าเอ็งเป็นแม่ของเด็ก เอ็งจะทำยังไง?”




(ใจจริง อยากถามว่า “ถ้าเอ็งเป็นแม่ของเด็ก เอ็งจะทำอย่างนั้นหรอ?” มากกว่า)




บันทึก
• ขอบคุณปกรณ์ที่ดูเป็นเพื่อน แรกๆ เอ็งคงไม่อยาก (ไม่งั้นคงไม่หลับ) แต่ดูแล้วก็ชอบใช่ไหม?
• หนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าที่ไดอาลอกโคตรเจ๋ง ถ้ามันเป็นมวย การแคสติ้งได้ป้าสรีพมาชกกับน้าฮอฟแมนแบบนี้ นับเป็นคู่ชกที่สมศักดิ์ศรีจริงๆ
• ขอคารวะคุณจอห์น แพ็ตทริก แชนลีย์ เจ้าของบทละครเวทีดั้งเดิมชื่อ Doubt: A Parable เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์สาขาดราม่าในปี 2005 ซึ่งลงมือเขียนบทดัดแปลงและกำกับหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเอง คุณเข้าใจหยิบธรรมชาตินิสัยของคนมาเล่น และเล่นได้เจ๋งมากค่ะ
• น้องเอมี่ อาดัมส์ ที่เล่นเป็นซิสเตอร์เจมส์หน้าตาน่ารักจริงๆ หลายคนดูแล้วคงอยากกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้งสินะ
• อิฉันนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนที่ไร้อคติกับเกย์ แต่อิฉันเกลียดการคุกคามทางเพศว่ะ โดยเฉพาะผู้ใหญ่คุกคามเด็กด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่เพศไหน อิฉันรับไม่ได้ทั้งนั้น
• (เห็นไหม ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันเลยว่าฟาเธอร์ฟลินน์ทำผิดจริง แต่สัญชาตญาณผู้หญิงที่อิฉันก็มีกะเค้าเหมือนกัน ทำให้อิฉันเขม่นคนได้ง่ายๆ งี้แหละ)
• (ไม่รู้สินะ ในฐานะผู้หญิง ยอมรับว่าค่อนข้างเชื่อมั่นใน woman's intuition ของตัวเองไม่น้อย พูดอีกทีแล้วจะบอกว่าภูมิใจด้วยซ้ำ)
• หนังเรื่องนี้ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่า ความช่างสังเกต และช่างสงสัยของลูกผู้หญิง ใช่จะเป็นสิ่งไร้สาระเสมอไป



วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552

Slumdog Millionaire : หนังเศร้า

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

ได้ยินเสียงร่ำลือหนาหูเกี่ยวกับความเจ๋งของ Slumdog Millionaire (2008) หนังที่ถามคำถามตัวเป้งไว้บนโปสเตอร์ว่า What does it take to fine a lost love?

และไม่ว่าคำตอบที่ถูกต้องจะเป็น money, lucks, smarts หรือว่า destiny แต่ด้วยชะตากรรมนำพา ในวันนี้ อิฉันก็ได้ไปดูหนังเรื่องนี้กับหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะรอดู DVD เพราะมีหนุ่มเสนอจะให้ยืมถึง 2 คน

(หึ หึ)

จากความรู้สึกแล้ว หนังเรื่องนี้มันเป็นหนังรักที่เรียกได้ว่า “เน่าสนิท” ไม่ผิดกับนิยายประโลมโลกย์ที่กี่ยุคกี่สมัยก็ยังใช้พล็อตแบบนี้ คือรักแท้ที่ผูกพันกันตั้งแต่เยาว์วัย การพลัดพราก แล้วก็หากันจนพบ แต่ก็มีอุปสรรคใหม่เป็นชนชั้นที่แตกต่าง ทำให้ฝ่ายชายต้องพิสูจน์ตัวเองให้ฝ่ายหญิงเห็น
และแล้ว หลังจากการต่อสู้ฝ่าฟัน ความรักก็ลงตัว จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ใครเป็นผู้ร้ายก็ตายไป (ตามระเบียบ)

แต่หนังเรื่องนี้มันน่าดูตรงที่เขาใช้จังหวะ ภาพ มุม การตัดต่อ ที่บอกถึงอารมณ์ และความรู้สึก เล่าเรื่องชีวิตในสลัมของเด็กๆ ตัวละครเอกในเรื่องได้อย่างมีสีสัน น่าประทับใจมาก ชีวิตอะไรจะลำบากและเปื้อนดินขนาดนั้น และขบวนการอะไรที่จะเลวร้ายกับเด็กได้ขนาดนั้น

เด็กสลัมตาดำๆ สองคู่ ที่แม้จะหาความสุขได้ตามประสา แต่ก็ดูมีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากเพราะความยากจน อยู่ดีๆ ก็ต้องเสียแม่ไป (พ่ออยู่ไหนไม่มีใครรู้) ชีวิตที่ไม่มีแม่คอยกางปีกปกป้อง ทำให้เด็กจำเป็นต้องแก่และกร้านโลก แทนที่จะพัฒนาไปในทางดีๆ ในที่สุดต้องเดินไปในทางที่...อิฉัน ซึ่งช่วงนี้ “ผีแม่” กำลังเข้าสิง ดูแล้วรู้แล้วรู้สึกสะเทือนใจมาก

จะว่าอะไรไหม ถ้าจะบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเศร้าสำหรับอิฉัน

ไม่ได้ร้องไห้ระหว่างที่ดูหรอก แต่นึกถึงแล้วก็อยากจะร้องตอนเดินไปโอบองแปง
ท่ามกลางผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ อิฉันอยากสะอึกสะอื้นออกมาด้วยซ้ำ

เพราะเด็กชายสองพี่น้องในเรื่องนี้ทำให้อิฉันนึกถึงน้องชายทั้งสองของตัวเอง (เชื่อไหมว่า Madhur Mittal ซึ่งเล่นเป็น ซาลิม ตัวพี่ชายตอนโตนั่นก็หน้าตาละม้ายคล้ายน้องคนรองได้อีก) ก็ลองคิดเล่นๆ ไปว่า ถ้าในวัยประมาณนั้น อยู่ดีๆ แม่มาจากเราไปกะทันหัน อยู่ดีๆ ก็เกิดบ้านแตกสาแหรกขาดขึ้นมา เราจะเป็นยังไง

ต่อให้มีญาติพี่น้องยื่นมือมาอุ้มชูดูแล เราก็คงไม่อาจโตมาในสภาพใกล้เคียงผู้ใหญ่ปกติเหมือนในทุกวันนี้ ที่เป็นผลจากการโตมาในบ้านหลังเดียวกัน บ้านซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไร แต่ก็ยังมีแม่ ยังกินอิ่ม นอนหลับ มีโรงเรียน มีค่าเทอม มีชุดนักเรียนเพียงพอ ได้เรียนพิเศษ และเล่นเกมมาริโอ (โอ..แน่นอน ถึงแม้ว่าถ้าเราเป็นอย่างนั้น เราอาจมี drive ที่จะไปแข่งเกมทศกัณฑ์ หรือเกมพันหน้า ฯลฯ เหมือนจามาลมั่งน่ะนะ)

บทของซาลิม คนที่ชีวิตทำให้เขาต้องแข้งแข็ง กล้า และต้องกร้าว เพื่อปกป้องน้องนั้น ทำให้ดิฉันจุก 2 ครั้ง ในตอนที่เขาทำละหมาดก่อนออกไปทำงานชั่ว เขาบอกกับพระองค์ ว่าเขารู้ว่าตัวเองทำบาป แต่เขาวิงวอนพระเจ้า ขอให้ทรงให้อภัย กับตอนที่เขาสรรเสริญพระเจ้าก่อนจบชีวิต

อิฉันดูแล้วรู้สึกน้อยใจ ทำไมพระเจ้าให้โอกาสเด็กคนนี้ได้ใช้ชีวิตน้อยนัก?

แล้วก็ไม่ได้หือได้อืออะไรกับความสมหวังแสนแฮปปี้เอนดิ้งของสองหนุ่มสาวเลย

หนังเรื่องนี้ยังบอกข้อมูลที่น่าปวดใจกับอิฉัน 2 ข้อ คือการที่ฮินดูในอินเดียบุกทำร้าย ฆ่ามุสลิมอย่างโหดร้ายที่สุด อันนี้ไม่ว่ามุสลิมจะไปทำอะไรเขาไว้ก่อน ตำรวจฮินดูก็ไม่น่าจะนั่งเฉยดูคนถูกเผาได้อย่างนั้น

กับอีกฉาก การจับเด็กดีๆ มาทำให้เป็นเด็กพิการของแกงค์ค้ามนุษย์ ก็รู้อยู่ว่ามันมีจริง แต่เห็นแล้วมันปวดใจ ใจคอคนทำเป็นยังไง ทำไมทำได้ขนาดนั้น

ถ้าการภาวนา แผ่เมตตา หรือกรวดน้ำ ช่วยได้ อยากจะทำให้เด็กทุกคน ไม่อยากให้มีเด็กคนไหน ไม่ว่าเด็กไทย อินเดีย โรฮิงญา เขมร หรือแม้แต่เด็กออสเตรีย ต้องถูกผู้ใหญ่ข่มเหงรังแกในทางใดๆ อย่าให้มีเด็กคนไหนมีช่วงชีวิตวัยเด็กที่โหดร้าย ที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดไปตลอดช่วงชีวิตที่เหลือของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ก็อย่างที่บอกแหละ ช่วงนี้ “ผีแม่” เข้าสิง





บันทึก

• หนังเรื่องนี้เป็นหนังอังกฤษทุนต่ำที่ได้รางวัลนั้น-รางวัลนี้จากหลายเวที คุณความดีนี้ อิฉันยังอยากจะปรบมือให้คุณผู้กำกับ Danny Boyle, Vikas Swarup คนเขียนเรื่อง และ Simon Beaufoy เขียนบท ช่วงแรกๆ หนังเล่าเรื่องได้จับใจดีจริงๆ อ้อ ชอบสกอร์ (โดย เอ.อาร์. ราห์แมน) ด้วยนะคะ ฟังแล้วอยากเข้าคลาส Indian Dance ขึ้นมาติดหมัด
• ใช่ มันเจ๋งอยู่ การที่ตัวน้องเลือกเล่นเกมเพื่อเป็นหนทางในการเปลี่ยนจาก “สุนัขสลัม” เป็นคน (ดัง) ในขณะที่ตัวพี่เลือกทางอื่น แต่ให้ดาวแค่ 4 ดวง เพราะถึงพล็อตมันน่าเบื่อ แต่ตอนต้นเรื่องทำได้ดีแล้ว ช่วงหลังๆ ก็น่าจะทำได้น่าเบื่อน้อยกว่านี้ แต่นี่อะไร๊ ทำไมมีความรู้สึกว่ามันเหมือน MV เลยอะ (ไม่ได้หมายถึงช่วง end title หรอกนะ)
• หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึง City of God ของผู้กำกับ Katia Luno ที่เล่าถึงชีวิตในสลัมในริโอ เดอจาเนโร
• น้อง Dev Patel ที่เล่นเป็นจามาลตอนโตน่ะ ใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอนนะจ๊ะ ไม่ใช่สลัมในมุมไบ น้องมีความสามารถนะคะ พี่ยอมรับ แต่น้องผู้หญิง Freida Pinto ที่เล่นเป็นลาติกาน่ะ พี่ว่าน้องสวยอย่างเดียวเลยค่ะ
• ค่อยยังชั่ว เมื่อรู้ว่าบ่ออุจจาระที่จามาลวัยเด็กตกลงไปทำจากเนยถั่วผสมช็อกโกแลต
• ติดใจนิดนึง ทำไมฮินดูถึงต้องไล่ฆ่ามุสลิมด้วย แล้วเรื่องนี้มันติดอยู่ในใจคนเขียนเรื่องมากใช่ไหม ถึงได้แต่งเรื่องของจามาลกับซาลิมขึ้นมาแบบนี้

เรดาร์แมว : เหมียวน้อย-ซอยเดียวกัน





อาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2552

ขอคั่นอารมณ์สมุยด้วยเหมียวน้อยๆ ในซอยเดียวกะอิฉันหน่อย

ก็รู้มานานแล้วว่าในซอยมีเหมียวน้อย-เหมียวใหญ่อยู่มิใช่น้อย
แต่ไม่แน่ใจว่าแต่ละตัวมี่ถิ่นพำนักอยู่บ้านไหน
วันนี้เจอจังๆ ที่บ้านหลังหนึ่ง
เจ้าของแมววัยยังเป็นเด็กน้อยเล่าว่า เลี้ยงไว้ตั้ง 7 ตัวแน่ะ

ป.ล. วันนี้ออกจากบ้านไม่มีน้ำผึ้ง แต่ยังดี ที่มีคุณมาโนช



อาหารการกินที่สมุย



เสร็จจากผัดไทย
ดูเมนูของหวานแล้วไม่อยากจะกินอะไรเลย
แต่น้องที่ห้องอาหารวิวพะงัีนน่ารักมาก
เธอมาเสนอว่า ลองชิมไอศกรีมจัสมินดูไหม (รายการนี้ไม่อยู่ในเมนู)
เป็นไอศกรีมที่เขาสั่งมาเป็นพิเศษ
เพื่อให้เข้ากับ Theme ของรีสอร์ต ซึ่งตั้งชื่อที่แปลว่า Jasmine ในภาษาอินโดนีเซีย

เป็นไอศกรีมอิตาเลียนโฮมเมด หวานน้อย ไม่มัน
แล้วก็หอมชื่นใจจริงๆ

(ลองนึกถึงเวลากลับมาจากข้างนอก ร้อนๆ แล้วได้ดื่มน้ำเย็นๆ ลอยดอกมะลิสิ)


18-19-20 มีนาคม 2552

ไปทำงานที่ Melati Beach Resort and Spa หาดท้องสน เกาะสมุยมา
กลับมาพร้อมอาการบริโภคเกิน
จากนั้นก็โหยหาอาหารบ้านๆ ง่ายๆ เหมือนทุกครั้งฮะ

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552

made in Koh Samui





วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๒

ระหว่างกำลังนอนแกร่วอยู่ในรีสอร์ตที่มาทำงาน
เพื่อนกรก็มารับ มาพร้อมน้องชาย (หน้าตาดี+ผอมกว่า)
ได้ติดสอยห้อยตามสองหนุ่มนี้ไปส่งของ (ไม่ใช่ยา) ที่รีสอร์ตชื่อ Bhundari
(ที่เจ้าของไม่ยักชื่อบุณฑริกหรอก)
เสร็จแล้วเขาก็พาไปหม่ำหนม

โด่ง น้องเด่น บอกว่าร้านนี้ทำขนมอร่อย
ไอ้เราเห็นแปลกดี เป็นขนมฝรั่ง(เศส)แท้
รสชาติและราคาน่าประทับใจ

ชื่อร้านอยู่ในรูป
ตัวร้านอยู่ใกล้ๆ วัดละไมฮะ

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

บินกับพี่โต้ง



สว่างแท้แน่นอนแล้ว




เสาร์ที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๒


ผู้มีอุปการคุณโปรดทราบ ผู้มีอุปการคุณโปรดทราบ
ขณะนี้อิฉันเดินทางกลับมาถึงบางกอกเรียบร้อยแล้ว
(เพื่อไม่ให้โดนว่าว่าไปไหนไม่บอกอะนะ)
ด้วยสายการบินบางกอกแอร์ไลน์-เอเชียบูตีคแอร์ไลน์ เที่ยวบินไก่โต้ง
หรือเที่ยวจากสมุย กลับกรุงเทพเที่ยวเช้าที่สุด คือเครื่องขึ้นหกโมงเช้า (ซึ่งต้องตื่นตีสี่ เช็คเอาท์ตีสี่สี่สิบ ไปถึงสนามบินก่อนตีห้า)

เที่ยวบินไก่โต้ง กับเที่ยวบินนกเค้าแมว (กลับจากสมุยดึกสุด เึครื่องขึ้นเวลาสี่ทุ่ม) เป็นเที่ยวบินราคาแสนพิเศษ (ดูราคาที่เว็บสายการบินได้-หาเองนะฮะ)
เป็นสองเที่ยวบินที่เริศมาก เพราะทำให้เรามีเวลาเที่ยวสมุยแบบเต็มๆ
คือถึงสมุยเจ็ดโมงนิดๆ เข้าเช็คอินแล้วก็ดอดไปมั่วในบุปเฟ่ต์ไลน์อาหารเช้าได้เลย แถมยังได้เดินเฉวงตอนค่ำๆ แล้วค่อยไปเช็คอินสามทุ่มก็ได้

ที่สำคัญ ถ้าอากาศดี (เพียงพอ) พี่โต้งจะนำเราสุริยนมัสการเยี่ยงนี้ด้วย
^_^


วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

ยายย่าหัวหิน




12-13 มีนาคมที่ผ่านมา
ไปทำงานที่ ยายย่า หัวหิน (แต่อยู่หาดชะอำ)
ดูรายละเอียดที่ www.yaiyaresort.com

ถ่ายรูปมาเยอะเหลือเกิน
แล้วก็ต้องรีบอัพแล้ว ก่อนจะไม่อยู่หลายวันจนมันพอกพูน
ให้ดูเฉพาะคนกันเองแล้วกันนะจ๊ะ

สีมันจะลวงๆ โลกหน่อย
คิดว่าที่ถ่ายมาน่ะ ก็พอดูได้แล้ว แต่ว่าพอดูผ่านมอนิเตอร์ที่ทำงานนี่
มันกลายเป็นดูไม่ได้เอาเสียเรยย

ฉะนั้นสีมันก็จะดูเน่าๆ หน่อยอะนะฮะ

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

เรื่องหมาหมา : ใจละลาย



ผมหล่อใช่มั้ยล่ะ?




อาทิตย์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๒

ไปดูหนังที่ลิโด้
และตอนกำลังจะเดินข้ามฝั่งไปพารากอนนั้นเอง ที่....ได้สบตากับน้องหมาสุดหล่อตัวนี้

โอ้ยย....ทำไมไม่มั่วกอดมาสักทีนะเรา

คิดถึงคนเขียน








อ่าน "บางสิ่งไม่เปลี่ยนไป ใจที่เปลี่ยนแปลง" ในปีีที่ ๑๐ ที่เรารู้จักกัน
ตอนนั้นจำได้ว่างง
คนอรัย เขียนหนังสืองงๆ ยังได้พิมพ์อีก

มาอ่านใหม่อีกครั้งวันสองวันนี้
รู้สึกเข้าใจอย่างประหลาด
คิดถึงเขาจัง

ผู้บ่าวช่างคิด อ่อนไหว ใจดี และแสนสับสน คนนั้น








ป.ล. เจ๊ที่รัก "ขอให้ปีใหม่นี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ" เจ๊หมายถึงไรหรอ?
ถ้าเจ๊หมายถึงสิ่งเดียวกับที่ม้อยคิดถึง ...มันก็ไม่มีหรอกนะ ความเปลี่ยนแปลงนั้น
จากวันนั้นถึงวันนี้ จะสิบปีอีกรอบแล้ว มันก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย T.T

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

อาหารเช้าที่ยายย่า



อร่อย แต่ไม่อิ่มนะฮ้า

สิบโมงครึ่งก็หิวแล้วอะ
:-(





เช้าศุกร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๒

ไปพักยายย่าวันธรรมดา
เขาเลยเสิร์ฟอาหารเช้าแบบอเมริกัน
ไม่มีบุปเฟต์

เสียดายนิดหน่อย
เพราะเป็นโรคจิต ชอบเดินสำรวจและเลือกสรรของกินจากบุปเฟต์ไลน์มื้อเช้า

อรุณสวัสดิ์หาดชะอำ



จะว่าไปแล้วน่าเล่นโยคะบนนี้ว่ะ





ศุกร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๒

ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ล้างหน้า ทาครีมกันแดด ลงไปทักทายกับทะเลเลย
ทะเลเช้านี้เหมือน ด.ญ. ทะเล เพิ่งตื่น คือต้องตั้งตัวก่อน
ระหว่างที่พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนขึ้น คลื่นก็ซัดเข้าฝั่งช้าๆ เบาๆ
สายลมคงยังไม่ตื่น

กว่าทะเลจะเครื่องร้อนก็ตอนสายๆ โน่น
ลมเริ่มตึง คลื่นเิริ่มตั้ง
ไปพีคสุดก็ตอนเย็นๆ
แต่เสียดาย หาดชะอำไม่มีพระอาทิตย์ตกน้ำ

เล่นน้ำตอนเช้าน่าจะอุ่นกว่านะ
^_^


Lonely Hearts : ไขว่ขว้าหารักจนได้เรื่อง

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมใช่ไหม เราถึงได้ยี้ ขยะแขยง เข็ดขยาด หวาดกลัวกับสภาวะที่ต้องอยู่คนเดียว โดดเดี่ยว ไร้คนรู้ใจนัก

ไม่ว่ายุคใด สมัยไหน การอยู่แบบ lonely heart มันเป็นอะไรที่เกินจะทน หลายคนไม่อยากทน ก็เลยลุกขึ้นมาไขว่คว้าหารักกันด้วยวิธีต่างๆ กัน ทั้งรุกและรับ ..อย่าปฏิเสธเลยว่า การพูดคุยในโลกไซเบอร์นี่ก็ใช่

เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Lonely Hearts (2006) เป็นเรื่อง base on true story แม้จะเกิดราวๆ ปลายปีทศวรรษที่ 1940s นับย้อนหลังไปได้เกือบ 50 ปี แต่ก็แสดงให้เห็นว่าคนยุคนั้นก็สุดทนกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายจนต้องดิ้นรนหาคนรู้ใจผ่านจดหมาย (คล้ายๆ เว็บนัดเดตในสมัยนี้นั่นแหละ) เป็นช่องให้มิจฉาชีพเลือกหลอก ปอกลอกเป็นรายตัวได้ (ยุคสมัยผ่านมาครึ่งร้อยปีแล้ว แต่เหตุการณ์ยังเหมือนเดิมเลยเนอะ)

พล็อต (เรียกงี้กับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องแต่งได้ไหม) คือ เรย์ (Jared Leto) ชายโฉด ที่กะหลอกเอาทั้งตัวและเงินของสาวแก่แม่ม่ายหัวใจเปลี่ยว ได้มาเจอกับมาร์ธา (Salma Hayek) หญิงชั่ว ผู้มีเสน่ห์ยั่วยวน เป็นอะไรที่สมน้ำสมเนื้อมาก คนหนึ่งมีพรสวรรค์ในการหลอกผู้หญิง ไม่มีมโนธรรมในสำนึก อีกคนเป็นคนสวยแต่ประสาท เป็นจอมบงการ ใจร้าย และสามารถทำได้ทุกอย่างโดยไม่แคร์อะไรเลย แค่อยากทำ ฉันก็จะทำ

คนชั่วคู่นี้ดึงดูดกันอย่างดื่มด่ำ ยอมรับในกันและกัน ยินยอมที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ร่วมมือกันหลอกผู้หญิงคนแล้วคนเล่า แล้วก็ทำให้ผู้หญิงหลายคนตาย ไม่ตายเพราะฆ่าตัวตาย เนื่องจากไม่อาจทนความอัปยศของการถูกหลอกได้ ก็ตายเพราะถูกสองคนนี้ฆ่า

แล้วไอ้ที่ฆ่าเขาน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ เพราะว่าหึงหวงกันเองทั้งนั้น

คุณนักสืบเอลเมอร์ โรบินสัน หรือพี่ John Travolta ของอิฉันโดดเข้ามาในวงจนอุบาทว์ของคู่รักที่ใช้ความรักเป็นเหยื่อล่อสาวๆ คู่นี้เพียงเพราะการฆ่าตัวตายอันแสนสวยงาม (กรีดข้อมือ ตายเปลือย ลอยอยู่ในเลือดละลายน้ำ) ของเหยื่อรายหนึ่ง ที่แกสะดุดใจ เพราะเมื่อ 3 ปีก่อน เมียของแกก็ฆ่าตัวตายโดยการระเบิดหัวด้วย .38 ให้เลือด (+มันสมอง) กระจุยกระจายอยู่ในบริเวณอ่างอาบน้ำ ทำเอาแกหดหู่ไป 3 ปี วางงานนักสืบไปนั่งโต๊ะ รับโทรศัพท์ (จนอ้วนปุ๊กหยั่งที่เห็น) และเกือบหมดไฟไปแล้ว

อาจเพราะปริศนาว่า เมียฆ่าตัวตายทำไม ที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ทำให้พี่เขาสนใจว่าทำไมสาวสวยวัย 25 ที่มีงาน มีเงิน มีบ้าน ถึงตัดสินใจฆ่าตัวตายอย่างนี้ พอเริ่มได้กลิ่นพิกลๆ ว่าการฆ่าตัวตายของสาวสวยมีเบื้องหลังที่ไม่ปกตินัก พี่ก็เริ่มลงมือสืบ

หนังเรื่องนี้มันเป็นหนังสืบสวนสอบสวน ผสมฆาตกรรมแบบย้อนยุค ที่ทำได้สวย คือสวยทั้งภาพ ไดอาลอก และบท ไอ้โหดน่ะ โหด แต่..โว้ว ตายได้สวยจังพี่ บทหนังจัดสัดส่วนและให้น้ำหนักกับพาร์ทต่างๆ รอบตัวของตัวละครเอกอย่างสมดุล

ในส่วนของการ perform ต้องบอกว่าบทส่งความสามารถของซัลมาสุดๆ มาร์ธาเป็นสตรีมีอดีตอันเลวร้ายที่ส่งผลต่อจิต เข้าข่ายฮิสทีเรีย ต้องการความรัก แต่เสียใจ ไม่ใช่ฮิสทีเรียแบบช่อง 7 เขาเขียนบทให้เธอได้แสดงลึกๆ แต่มีมิติซับซ้อน น่าสนใจมาก

ถ้ามีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ น่าจะจับตาตัวมาร์ธาให้ดี ก็ยัยคนนี้แหละที่เค้นให้เรื่องมันร้ายได้น่าสลดขนาดนี้

ตอนรับสารภาพ (โอ..มีคนคิดว่าผู้ร้ายจะลอยนวลด้วยหรอ?) ชีถามพี่ทราโวลต้าว่า ทำไม (ทำได้ขนาดนี้) รู้ไหม?

..เพราะว่าเรย์ ‘belongs to me’ เรย์ทำทุกอย่างเพราะรักฉัน เรารักกัน
คิดดูสิคุณนักสืบ การที่เรารักใครสักคนมากพอที่จะฆ่าคนตาย หรือยอมตายเพื่อคนที่เรารักได้

อิฉันมองตาซัลมา (คือจริงๆ เธอคือมาร์ธา) ตอนนั้นแล้วรู้สึกหนาวว่ะ




บันทึก
• ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึง Black Dahlia (ก็มันยุคเดียวกันหนิ)
• ซัลมาสวยจัง ต้องเป็นสาวละตินใช่มะ ถึงจะสวยคมได้ขนาดนี้
• เห็นหุ่นนกเพนกวินของพี่ทราโวลต้าแล้วนึกถึงก้นเด้งๆ ของแกใน
• อารมณ์ไหนหรอ ที่ทำให้คนสมัครใจเข้าไปดูเขาประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า?
• เมียพี่ทราโวลต้า (ในเรื่อง) เป็นแม่บ้านยุค ‘50s อีกรายที่ฆ่าตัวตาย โดยที่ฐานะความเป็นอยู่ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ทำไมนะ ยุคสมัยนั้นมันกดดันแม่บ้านอเมริกันมากนักหรอ
• ดูมาร์ธารักเรย์สุดๆ และเพราะรักนี่แหละทำให้หวง แล้วก็หึงจนเป็นบ้าไปขนาดนี้ แต่อิฉันไม่คิดว่าเรย์จะรักมาร์ธาอะไรนักหรอกนะ พ่อคนนี้เค้าสันดานกะล่อน แล้วรักตัวเองมาก ที่คลิ๊กกับมาร์ธาก็เพราะว่ามาร์ธาเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ด้วยได้โดยไม่ต้องสวมหน้ากาก และวิกผมมากกว่า (ฮา)
• ผู้กำกับและคนเขียนเรื่องนี้คือ Todd Robinson เห็นว่ามีการทำเพื่ออุทิศให้พ่อด้วย (แต่ลูกพี่ทราโวลต้าในเรื่องไม่ได้ชื่อ Todd นิหว่า เหมือนจะชื่อเอ็ดดี้นะ)
• ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็ต้องมาขบคิดถึงความรัก-ความสัมพันธ์ในอุดมคติเหมือนกัน ว่ามันควรไหมที่คนรักของเราควรจะ ‘belongs to me’ แล้วมันควรไหมที่จะต้องฆ่าตัวตายเมื่อรู้ว่าแม่งหลอกให้เรารัก
• ยังคงคิด-แบบไม่องุ่นเปรี้ยวด้วย-ว่า รักคนอื่นมากแค่ไหนก็ต้องไม่ลืมรักตัวเองด้วย กรณีนี้นึกนิยมเจ้เรอเน่ (Laura Dern) secret lover ของพี่ทราโวลต้ามากอยู่ ชีคนนี้ดูมีวุฒิภาวะพอที่จะมีความสัมพันธ์แบบนี้ สัมผัสได้ว่าชีรักผู้ชายของชีไม่น้อย แต่ระหว่างที่รัก ชียังคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้อย่างน่านับถือ
• เข้าใจนะ ว่าคนที่ฆ่าตัวตายน่ะ เพราะว่าเค้าอยากตาย แต่ก็ยังสงสัยนะว่า จริงๆ แล้วเค้าได้เทียบกันดีแล้วใช่ไหม ว่าอยากตายมากกว่าอยากอยู่
• ว่าแต่ว่าเค้าทำใจยังไงกับภาระที่ทิ้งไว้? ห่วงมั่งไหม หรือว่าปลงเรียบร้อยแล้ว?







ฉันหลงรักฤดูร้อน






๑๒-๑๓ มีนาคม ๒๕๕๒
ไปทำงานที่ยายย่า หัวหิน (ตอนปลายของหาดชะอำ)
เข้าฤดูร้อนแล้ว
แต่ลมทะเลช่วยให้ที่นี่ไม่อบอ้าวจนเกินไป
แสงแดดสดใสของฤดูร้อน กลิ่นทะล เสียงลมพัด สลับกับนก ไก่ และจิ้งหรีด

...รักฤดูร้อนจัง



ป.ล. อยากอัดอากาศ แดด ลมของที่นี่ลงกระป๋อง ส่งไปให้คนเชียงใหม่

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

อาหารการกินที่หัวหิน



ปลาหมึกผัดกระเทียมพริกไทย

เค็มปี๋
สงสัยมันเพิ่งมาจากทะเล


พฤหัสบดี ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๒



(มีคนถามถึงของกิน เลยต้องรีบเอาให้ดูกันหน่อย)

ไปทำงานที่ชะอำคราวนี้มีฝากท้องที่หัวหิน ๒ มื้อ
คือเที่ยง และเย็นวันที่ ๑๒
ออกจากกรุงเทพสายๆ ผ่านชะอำตอนเที่ยงก็เลยไปกินข้าวที่หัวหินก่อนเลย (หิวนะเฟ้ยยย)

ปีโน้น (ปีไหนจำไม่ได้แระ) มาทำงานที่หัวหินก็แวะมากิน โกทิ ความอร่อยยังอยู่ในเมมโมรี (อันนี้จำได้่) แม้จะต้องรอเกือบชั่วโมง แต่รสชาติปลาหมึกผัดไข่เค็มกับปลาทอดตัวนั้นมันช่าง....

มาคราวนี้เลยพุ่งตัวไปร้านโกทิ กะว่ายังหัววัน รับรองได้กินเลย ไม่ต้องรอ ฮ่าฮ่าฮ่า -หมายมั่นกันไปเต็มที่

...แต่ทว่า
ต้องรอ(เหมือนเดิม)ไม่พอ รสชาติยังเปลี่ยนไป
ไม่ได้ตามออร์เดอร์ แล้วก็ยังแพง (...)

ตกเย็น คราวนี้ยังไงๆ ก็ไม่กินโกทิแล้ว

พี่หมีพาไปร้านเจ้แมว
แกบ่นใหญ่ว่าปรับปรุงร้านแล้วหมดบรรยากาศบ้านๆ (แกว่ามันทำให้อาหารอร่อยขึ้นมากมาย)

เห็นราคาอาหารแล้วตาวาว สั่งทั้งยำ ทั้งต้มยำ แถมเสร่อสั่งยำผักกาดดอง
พี่หมีมาบอกทีหลังว่ามากินร้านนี้ต้องกินข้าวต้มปลา หรือพวกลวกจิ้่ม
(อ้าว...น้า)

อย่างไรก็ตาม ถ้าให้เปรียบเทียบรสชาติอาหาร การบริการ เวลาที่ต้องรอ กับราคาแล้ว
อิฉันแนะนำให้มากินร้านเจ้แมวฮ่ะ

สองร้านนี้อยู่ซอยเดียวกันเชีย หัวหิน ๕๗
โกทิอยู่ตรงปากซอยเลย
แต่เจ้แมวต้องตรงไปๆๆๆๆ จนเกือบสุดถนน ก่อนถึงชาวเลน่ะ
หาเอานะ ไม่ยากหรอก ตลาดหัวหินเล็กนิดเดีย

~sweetness kiss good night~





พฤหัสบดีที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๒

ทำงานเสร็จช้า ก็เลยยังไม่ได้กินข้าวเสียที
หิวมากๆๆ ทำงานเสร็จรีบขึ้นที่พัก แยกย้ายกันเก็บของ
นึกขึ้นมาได้ อิฉันก็รีบเขียนโปสการ์ด เพราะเราจะออกไปกินข้าวที่หัวหิน
พี่หมีมาเรียก เข้ามาถึงก็สำรวจระเบียงห้องแล้วร้องเสียหลง
"เฮ้ย" พี่หมีคิด ๒ วินาทีแล้วผลุนผลันกลับไปเอากล้อง

ก็ห้องนี้เห็นพระจันทร์ดวงนั้นตรงๆ มากกว่าห้องพี่แก

พระจันทร์ขึ้นจากทะเลดวงโตสวยมาก
แล้วก็เป็นสีแดงจัด
อยากเก็บภาพนั้นมาฝาก
แต่น้ำผึ้งมีปัญญาเพียงเท่านี้

ฉะนั้น โปรดใช้จินตนาการช่วยนะฮะ





(คืนนี้พระจันทร์สวยจริงๆ)

~sweetness kiss good morning~



..อา




ศุกร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๒

เช้าตรู่
ที่ระเบียงห้อง ๓๔
ยายย่า หัวหิน
(แต่อยู่หาดชะอำ)

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

อยากมีลูกฉลาด ต้องมีเมียแก่นะจ๊ะ


พ่อมีอายุอาจทำให้ลูกมีปัญญาไม่ดี แม่อายุมากให้ลูกหัวไว [11 มี.ค. 52 - 00:39]

นัก วิทยาศาสตร์กล่าวว่า ผู้ที่ปัญญาไม่ดี อาจจะโทษพ่อผู้มีอายุเมื่อตอนให้กำเนิดตนได้บ้าง แต่บัดนี้ ได้มีการค้นพบใหม่ว่า ลูกของมารดาที่มีอายุกลับเป็นคนหัวดี

 

หนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทมส์ของ อังกฤษ รายงานว่า คณะนักวิจัยระหว่างประเทศได้ศึกษาพบครั้งล่าว่า เด็กที่เป็นลูกของพ่อที่มีอายุ จะทำการทดสอบเชาวน์ ได้คะแนนสู้ลูกของพ่อที่ยังหนุ่มกว่าไม่ได้ นักวิจัยได้สาเหตุว่า ผู้ชายเมื่อมีอายุมากขึ้นเซลล์ผลิตตัวอสุจิ จะเกิดการกลายพันธุ์มากขึ้น และอาจส่งผ่านความผิดปกติต่อๆไปถึงลูกหลานได้

 

นักชีววิทยาจอห์น แมคแกรธ หัวหน้านักวิจัย “ลูกของพ่อคนที่มีอายุจะแสดงอาการบกพร่องทางสติปัญญา ในช่วงทั้งในวัยทารกและวัยเด็ก ให้เห็นอย่างคลุมเครือ” และได้ เสริมว่า “แต่ ที่น่าสนใจก็คือ การศึกษากับแม่ที่มีลูกเมื่อมีอายุมากบ้าง กลับปรากฏว่า ผู้หญิงเหล่านี้กลับมีลูกที่มีระดับเชาวน์สูง เนื่องจากว่าไข่ของผู้หญิงก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ และยังมีดีเอ็นเอคอยช่วยป้องกันการกลาย พันธุ์ จนกว่าจะใช้งาน”.

http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=127189


วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

อีกคนที่หายไป





อังคารที่ 10 มีนาคม 2552


รูปพวกนี้ถ่ายเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2551
...คิดถึงคนถ่ายจัง


เพ็ญโพยมเยี่ยมฟ้า กลางกรุง






ค่ำวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2552








หมายเหตุ:
-เดินไปเข้าห้องน้ำก่อนกลับบ้าน บังเอิญมองเห็นพระจันทร์ขึ้น
-ใกล้เต็มดวงแล้วสิ (เต็มดวงวันนี้ วันนี้วันพระ)
-คงมีแค่ช่วงเวลานี้สินะ ที่พระจันทร์กับพระอาทิตย์ได้สบตากัน

คำคม#๑๙




เมืองที่น่าภูมิใจอย่างน้อยสำหรับฉันคือ เมืองที่เคารพคนที่อยู่ในเมืองอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนเมือง คนไทย คนฝรั่ง คนจีน ชาวเขา แรงงานทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
คือเมืองที่เคารพในสิทธิของคนอืนๆ ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มน้อยหรือคนกลุ่มใหญ่
เมืองที่น่าอยู่ไม่ใช่เมืองที่พยายามจะนำเอาบรรยากาศเมื่อ 700 ปีที่แล้วกลับคืนมา
แต่คือเมืองที่อยู่ในโลกปัจจุบันได้อย่างสง่างาม

................

สาวเครือฟ้าควรจะหยุดกระซิกกระซี้ แต่ลงมือเฉดหัวร้อยตรีพร้อมออกจากบ้าน
ทิ้งร่มบ่อสร้าง แล้วสวมแว่นกันแดดปราด้าออกมาร่วมกับเครือข่ายความหลากหลายทางเพศ
เดินพาเหรดกับคนนานาเพศ เพื่อรณรงค์ให้สังคมล้านนาผละจากตัวธรรมและตุงสักครู่
เพื่อมาสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชนมากขึ้น




จาก "สาวเครือฟ้าสวมปราด้า"


...ให้เดาว่าใครเขียน
 อิ อิ



วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

The Reader : แด่ช่วงเวลานั้น (ที่ฉันอ่านหนังสือ)

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama
เคยอ่าน The Reader ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน และเมื่อทราบว่าเคต วินเสล็ตลงทุนเล่นหนังดราม่าเรื่องนี้ไว้อย่างสุดยอด อิฉันก็ลงมืออ่าน The Reader อีกรอบ เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้าโรง

จนในที่สุดก็ได้ไปดูภาพยนตร์ The Reader (2008) เสียที

ใครๆ ที่เขาได้ไปดูมาก่อน ล้วนกลับมาชมเชยให้เราฟังว่าเป็นหนังที่ดี ดูแล้วซึ้งกินใจ ร้องไห้ตาม ฯลฯ น้องคนหนึ่งซึ่งคุยกันรู้เรื่องในเรื่องของหนัง+หนังสือ ซึ่งได้ลงทุนอ่านหนังสือก่อนไปดู (เหมือนกัน) ถึงกับบอกว่า “หนังดีมากๆ ดีกว่าหนังสืออีก”

นั่นไม่ทำให้อิฉันผู้ซึ่งรักเรื่องราวความผูกพันบนความเจ็บปวดที่หนังสือเล่มนี้เล่า (เอามาก) ถึงกับเขม่นน้องทำนอง ‘อรัยวะ หนังจะทำได้ดีกว่าหนังสือได้ไง’ แต่ทำให้รู้สึกสนใจหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ อยากรู้ว่าเขาทำอย่างไร จึงทำให้น้องคนนี้จึงสรุปสั้น ๆ คมๆ แค่นั้น

อิฉันดูแล้วมองไม่เห็นทางที่จะนำหนังกับหนังสือมาเปรียบเทียบกันได้ แต่ก็คิดว่าพอเทียบเคียงกันได้ในบางแง่ ตามข้อสังเกตที่ตั้งขึ้นดังนี้

• หนังกับหนังสือ เป็นสื่อที่ใช้ภาษาต่างกัน อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่อิฉันเชื่อว่าการที่เราจะเสพอรรถรสจากวรรณกรรมดีๆ สักเล่มได้เต็มอิ่มนั้น มันต้องมีตั้งแต่ทักษะในการอ่าน สมาธิที่จะสนใจเรื่องบรรทัดต่อบรรทัด มีวุฒิภาวะในด้านที่จำเป็น บวกกับจินตนาการอันกว้างไกล ในขณะที่ภาษาของหนังที่เล่าเรื่องผ่านภาพ เสียง ในจังหวะจะโคนที่เหมาะสม ดูจะเป็นลีลาที่เข้าถึงผู้รับสารได้ดีกว่า โดยที่ผู้รับสารจะมีแบ็คกราวนด์ยังไงก็ได้ อยู่ในภาวะมีหรือไม่มีสมาธิก็ได้ เพราะอีกเดี๋ยวภาพบนจอก็จะดึงเขาสู่สมาธิเอง

• สำหรับอิฉันแล้ว มีความรู้สึกว่าเรื่องในหนังสือค่อยๆ ลากเราจมสู่อารมณ์อันลึกล้ำ แล้วก็ทำให้เราจมดิ่งอยู่อย่างนั้น-เนิ่นนาน เหมือนกับการค่อยๆ เดินลงทะเลสาบอย่างหม่นหมอง แล้วก็ค่อยๆ ละเลียดกับความตายจากอาการอึดอัด หายใจไม่ออก พร้อมๆ กับการจมลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่หนังเล่าได้อย่างสะเทือนอารมณ์เหมือนถูกถ่วงน้ำ มันตกใจ ช็อค แล้วก็ทำให้น้ำตาไหลอย่างฉับพลัน สมมติถ้าเราเต็มใจจะตาย การดูหนังคงเหมือนตายด้วยน้ำมือคนรัก แต่การอ่านหนังสือ เหมือนฆ่าตัวตายเพราะคนรัก (ก็คงได้?)

• หนังทำให้น้ำตาหยดในฉากสุดท้าย บทสนทนาระหว่างเด็กน้อยกับมิสมาเธอร์ ดูเหมือนความเศร้านี้ยังเหลือติดออกมาจากโรงอีก 15 นาที ในขณะที่่หนังสือทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่อัดอยู่ในอก แล้วก็แน่นอยู่ในนั้นอีกนาน.... (เก็บไปฝันด้วย)

• การอ่านหนังสือทำให้สงสารมาก มากมาย สงสารทั้งคู่ แต่ดูหนังแล้วไม่ยักรู้สึกรู้สากับความรู้สึกเจ็บปวดของเด็กน้อยซึ่งถูกฮันนาทิ้งไปโดยไม่ร่ำลา (สงสัยข้อจำกัดของหนังจะมันมีเยอะไป) อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้เปิดโอกาสให้ได้เห็นการแสดงอันยอดเยี่ยมของเคต และราล์ฟ ไฟนส์ ซึ่งน่าประทับใจ สมราคา

• ทีมสร้างหนังเรื่องนี้ และตัวเคตเอง ทำให้อิฉันเหมือนได้รู้จักฮันนาอีกคนที่แม้จะโทรม ฉาบความห่างเหินบนสีหน้าเพื่อปิดซ่อนความเครียดและรู้สึกไม่มั่นคงอยู่ตลอดเวลาเอาไว้ แต่ก็ยังคงสวย และเร้าอารมณ์สไตล์ฮอลลีวูด ในขณะที่ฮันนาคนที่หลุดออกมาจากหนังสือดูเป็นสาวบ้านนอกอมทุกข์ ดิบกว่า แต่เร้าอารมณ์กว่า

• (หลงรักเคต วินสเล็ตกับตีนกาเวลาที่เธอยิ้มอีกแล้ว แม้ในหนังเรื่องนี้เคตจะยิ้มน้อยมาก)

• สรุปว่าชอบทั้งหนังและหนังสือ แต่กับหนังสือแล้ว รู้สึกประทับใจมากกว่า
(ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการอ่านหนังสือก่อนดูหนังแล้วมาสรุปอย่างนี้จะแฟร์ไหม )

• สงสัยหนังรอบที่ไปดูจะถูกตัดไปเยอะ (ลิโด้ 2 รอบ 9.50 น. เสาร์ที่ 7 มีนาคม 2552) ดูมันไม่ค่อยสมบูรณ์ ที่รู้สึกทะแม่งสุดเป็นตอนที่ฮันนาถามเด็กน้อยว่า เธอเก่งวิชาอะไรบ้าง แล้วเขาตอบว่าไม่เก่งอะไรเลย ..มันควรมีซีนที่ฮันนาสั่งอย่างเฉียบขาดว่าถ้าไม่เก่งอะไรเลยไม่ต้องมาเจอกันอีกด้วย เพราะมันเป็นประเด็นสำคัญอย่างหนึ่ง ว่าจริงๆ แล้วฮันนาเป็นที่ทำให้เด็กน้อยเอาจริงเอาจังกับการเรียน จนพิสูจน์ตัวเองให้พ่อแม่เห็นได้ว่าโตแล้ว เอาตัวรอดได้ จากเรื่องดั้งเดิมในหนังสือ ฮันนาไม่ได้เป็นแค่ชู้รักวัยแม่นะ แต่เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตวัยเด็กของเด็กน้อยเลยล่ะ ฮันนาเป็นทั้ง drive และ inspiration เลยนะ


เขียนบันทึกความรู้สึกเมื่ออ่าน The Reader จบเป็นรอบที่สองไว้ที่ http://mandymois.multiply.com/reviews/item/71



ป.ล. สภาพภายในทัณฑสถานหญิงของเยอรมันช่างน่าอภิรมย์เหลือแสน



ทะเลวันนี้ : สดใส-ไร้เหา




เสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๒

อัลบั้มแก้คิดถึงทะเล
หลังจากหมักเชลล์การ์ดถล่มเหา(และโคตรเหง้าของมัน)มาตลอดสัปดาห์
ม้าน้อยไปแหวกๆ ผมเลดู
พบว่าวันนี้ทะลไม่มีเหาแล้ว

ฮ่า-ฮ่า



places I remember : บ้านริมน้ำ#๒




เสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๒

วันนี้ไปมาอีกแล้ว (ไปเรื่อยเหมือนเป็นเมมเบอร์)
บ้านริมน้ำ เป็นที่ที่มีเงาสวยๆ ทั้งเช้า-กลางวัน-เย็น
มีอาหารหอมๆ อร่อยๆ
มีเด็กหญิงช่างเจรจานามว่าทะเล
เป็นที่ที่อยากนอนกลางวันสัก ๒ ชั่วโมง (แต่ไม่เคยได้นอนนานเกิน ๑๕ นาทีเลย)

...แล้วก็เป็นที่ที่น่าถ่ายรูปเสียจริง


บ้าน (Home) - ปั่น


วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

ไปแอ่วลาวกันเต๊อะ

เสร็จซะที ทางรถไฟสายประวัติศาสตร์

ข้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=126429


พระเทพฯ เสด็จฯเปิดรถไฟ ไทย-ลาว [6 มี.ค. 52 - 05:17]

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 5 มี.ค. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จประทับรถไฟพระที่นั่งจากสถานีรถไฟอุดรธานี มายังสถานีรถไฟหนองคาย ในการนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายกวี กิตติสถาพร ผวจ.หนองคาย นำข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา ประชาชนในจังหวัดหนองคาย เฝ้ารับเสด็จอย่างเนืองแน่น ขณะที่ฝ่ายลาวนำโดย นายสมมาด พนเสนา รมว.โยธาธิการและขนส่ง นายลัดตะนะมะนี คุนพิวง ปลัดกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง นายกอบแก้ว หลวงโดด รองอธิบดีกรมพิธีการทูต นายสมปอง พนเสนา รองหัวหน้าองค์การรถไฟลาวนำคณะเฝ้ารับเสด็จด้วย

 

หลัง จากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายรายงานความเป็นมาของการเปิดการเดินรถไฟสายนี้ว่า รัฐบาลไทยและรัฐบาลลาวได้ร่วมลงนามสัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟร่วมกัน ระหว่างสองประเทศ และให้การรถไฟของทั้งสองฝ่ายร่วมกันกำหนดจำนวนขบวนรถโดยสารและตารางการเดิน รถ โดยไทยได้ให้ความ ช่วยเหลือรัฐบาลลาวในการก่อสร้างทางรถไฟ จากช่วงกึ่งกลางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ถึงสถานีท่านาแล้ง ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร วงเงิน 197 ล้านบาท การเดิน รถไฟระหว่างประเทศทั้งสองนี้จะเป็นการพัฒนาการขนส่งระบบรางและศักยภาพการขน ส่งในอนาคต ทั้งด้านผู้โดย สารและสินค้า รวมทั้งการพัฒนาเครือข่ายระบบการขนส่งในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศ ไทยได้จัดสร้างห้องสมุดของการรถไฟฯ ที่บริเวณสถานี รถไฟหนองคาย เพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าและเป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชนชาวหนองคาย ด้วย

 

จาก นั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จฯ กดปุ่มแพรคลุมป้ายเปิดห้องสมุดการรถไฟฯ และทอดพระเนตรนิทรรศการภายในห้องสมุด แล้วเสด็จฯไปยังขบวนรถไฟพระที่นั่ง ทรงลงพระนามาภิไธยในสมุดลงทะเบียนรายพระนามผู้โดยสารรถไฟขบวนประวัติศาสตร์ เที่ยวปฐมฤกษ์ ทรงลั่นระฆังปล่อยขบวนรถไฟ และในเวลา 10.05 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯโดยรถไฟพระที่นั่งถึงสถานีท่านาแล้ง เมืองหาดทรายฟอง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีท่านบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นายสมมาด พนเสนา รมว.โยธาธิการและขนส่ง คณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องของลาว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและคณะรัฐมนตรีไทย เฝ้ารอรับเสด็จที่ประตูทางลงรถไฟพระที่นั่ง

 

นาย สมมาด พนเสนา รมว.โยธาธิการและขนส่ง กล่าวรายงานว่า รัฐบาลลาวและประชาชนลาว ขอขอบคุณรัฐบาลไทยและประชาชนไทย ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ โครงการฯ นี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี รถไฟสายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งของประเทศลาว คือเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลลาวกับรัฐบาลไทย เป็นรถไฟสายประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นรถไฟสายแรกของลาว มีความหมายสำคัญแม้จะมีระยะทางเพียง 3.5 กม.ก็ตาม ในอนาคตจะมีการขยายเส้นทางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่เหลืออีก 9 กม. ก็จะถึงนครเวียงจันทน์ เชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนส่งเสริม จากรัฐบาลไทยและประชาชนคนไทยเป็นอย่างดี เส้นทางรถไฟสายนี้ในอนาคตจะมีการขยายเพิ่ม เพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ จะทำให้ประเทศลาวซึ่งไม่มีทางออกสู่ทะเล สามารถเป็นตัวเชื่อมและเป็นทางผ่านไปยังประเทศอื่นๆได้ จึงเป็นความภาคภูมิใจของชาวลาว ชาวไทย ตลอดจนประเทศอื่นๆ ทั้งในอนุภูมิภาคและภูมิภาคอื่นๆอีกด้วย ในฐานะตัวแทนรัฐบาลลาวขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนโครงการนี้จนสำเร็จ ลุล่วงด้วยดี และขอรับมอบโครงการนี้ไว้เพื่อดำเนินการต่อไป จากนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วยท่านบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศ สปป.ลาว ร่วมเป็นประธานเปิดการเดินรถไฟไทย-ลาว อย่างเป็นทางการ แล้วทรงปลูกต้นลีลาวดี และฉายพระรูปร่วมกับคณะฝ่ายลาวเป็นที่ระลึก จากนั้นเสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่งที่ทางการลาวจัดถวาย เสด็จฯประกอบพระกรณียกิจในสปป.ลาว

 

นาย ทวีป เสือรอด นายสถานีรถไฟหนองคาย กล่าวว่า หลังเสร็จพิธีเปิดแล้วจะยังไม่สามารถให้บริการเดินรถไฟได้ เนื่องจากยังมีข้อติดขัดเล็กน้อย ต้องมีการพูดคุยกับทั้งสองฝ่ายในข้อปฏิบัติ รายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายเรื่อง หากมีการตกลงเจรจาเป็นที่เข้าใจตรงกันแล้วจึงจะเปิดให้บริการเดินรถไฟอย่าง เต็มรูปแบบ เบื้องต้นกำหนดขบวนรถไฟวิ่งบริการเป็นประจำทุกวัน วันละ 2 เที่ยว หรือ 4 ขบวน คือ ออกจากสถานีหนองคายเวลา 10.00 น. ถึงสถานีท่านาแล้ง จากนั้นเวลาประมาณ 11.00 น. ออกจากสถานีท่านาแล้งกลับหนองคาย ส่วนช่วงบ่ายเวลา 16.00 น. ออกจากสถานีหนองคายถึงสถานีท่านาแล้ง จากนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. ออกจากสถานีท่านาแล้ง กลับหนองคาย ใช้เวลาเดินรถไฟในแต่ละช่วง 15 นาที อัตราค่าโดยสารตู้นอนคนละ 50 บาท ตู้ปรับอากาศ 30 บาท ชั้น 2 ธรรมดา คนละ 20 บาท และทุกคนต้องทำหนังสือผ่านแดนก่อนเดินทางทุกครั้ง

 

ส่วน บรรยากาศภายหลังพิธีเปิดการเดินรถไฟเสร็จสิ้นลง ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จต่างพากันเข้าแถวซื้อตั๋วโดยสารรถไฟสายประวัติ ศาสตร์เป็นที่ระลึก ที่การ รถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำขึ้นเป็นพิเศษในงาน โดยจำหน่ายชนิดราคา 100 บาทเพียงประเภทเดียวและไม่ถึง 20 นาทีตั๋วก็ขายหมดเกลี้ยง และยังมีประชาชนอีกจำนวนมากต้องการซื้อตั๋วโดยสารที่ระลึกนี้เก็บไว้ นอกจากนี้ยังให้ความสนใจซื้อแสตมป์และโปสต์การ์ดที่ไปรษณีย์ หนองคายนำมาจำหน่าย ในราคาแสตมป์ดวงละ 3 บาท เป็นพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ภาพสะพานมิตรภาพไทย- ลาว และภาพรถไฟสายหนองคาย-ท่านาแล้ง ด้านไปรษณีย์ลาวก็ได้นำแสตมป์ของลาวมาจำหน่ายให้เป็นของที่ระลึกภายในงาน ด้วย ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก

 

วัน เดียวกัน สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานถึงการเปิดเดินรถไฟอย่างเป็นทางการ เชื่อมต่อไทย-ลาว ครั้งแรก โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด พร้อมเสด็จพระราชดำเนิน ประทับบนขบวนรถไฟขบวนแรก ซึ่งก่อนพิธีเปิด 1 วัน โฆษกกระทรวงต่างประเทศของลาว แถลงว่าเส้นทางรถไฟ แห่งนี้ ถือว่าสำคัญต่อลาวอย่างมาก เพราะในอดีตการเดินทางหรือขนส่งจากลาว อาศัยแค่รถบรรทุกและมีค่า ใช้จ่ายแพงมาก ต่อแต่นี้ไป ค่าใช้จ่ายคงน้อยลงมาก ข่าวระบุด้วยว่าเส้นทางรถไฟดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อเอเชีย มุ่งตรงสู่ดินแดนตะวันตก อย่างตุรกีและรัสเซีย กับฝังตะวันออก คือเวียดนามและเกาหลีใต้ โดยมีสหประชาชาติหรือยูเอ็นให้การสนับสนุน


-จินตนาการสำคัญกว่าความรู้-





เก็บตกจากวัดนาคราช
อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ (ถ้าจำไม่ผิด)
เดินเตร่สำรวจ หลังดุ่ยไปหาวัดถวายสังฆทานกับพี่ผึ้ง
สายวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

ของแปลก





พฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2552

ระหว่างที่มองหาน้องเหมียวหน้าวิลล่า ก็ไปเจอพี่จิ้งฯ ตัวนี้

หางแกแปลกดี
เกือบถ่ายได้รูปชัดแล้วเชียว

แต่อีแสงช่วยโฟกัสนั่นดันทำพี่เค้าขวัญบินไปซะก่อน

โอ้เอ๋ย..OOTOYA's KareUdon


หรือ อุด้งแกงกะหรี่
ตามธรรมเนียมต้องตอกไข่ดิบลงไป 1 ฟอง


ชามนี้ 180 บาท

พุธที่ 4 มีนาคม 2552

ไปจามจุรีสแควร์
มีนัดหม่ำกับเพื่อนวารสาร
ได้ชิมอุด้งของโอโตย่าก็คราวนี้
เส้นอุด้งเค้าอร่อยจริง มันเหนียวนุ่ม ลื่นปากเวลาเราสูด
เป็นนางเอกที่สวยอย่างน่าซาบซึ้ง

น้ำแกงกะหรี่ก็รสดี ไม่เค็มเกินไปเหมือนที่เคยกินมา
หมูหมักในน้ำแกงก็อร่อย สงสัยอร่อยเครื่องเทศที่ใช้หมัก
แถมยังหอมกลิ่นไหม้เล็กๆ

อร่อยสมราคาเค้าล่ะ

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

ดอกชบาเกิดมาทำไม?


หล่อนช่างไม่กลัวยูวีเอยูวีบี
อินฟราเรด ฟาร์อินฟาเรดอะไรทั้งสิ้น



เสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒



ต้นชบากับคนตาบอด - เฉลียง