วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

หมาน่อย : หมาน่อยกับจุมปุ๊ก






พุธที่ 31 มีนาคม 2553

ฉันอยู่กับหมาน่อยมาวันนี้เป็นวันที่ 5 แล้ว

คิดว่าเราสอง(คนและตัว)เริ่มคุ้นเคย และคิดถึงกันมากขึ้นทุกวัน
ตั้งแต่คืนที่สอง เรานอนหลับด้วยกัน ตื่นพร้อมกัน เข้าห้องน้ำพร้อมกัน
เสร็จแล้วฉันก็เสิร์ฟอาหารเช้า แล้วหมาน่อยก็จะเล่นๆๆๆๆๆๆ แล้วก็จะสลบไปเป็นยกแรกของวันตอนที่ฉันได้เวลาเข้าห้องน้ำอาบน้ำพอดี

หลับไปแค่งีบเล็กๆ มันจะตื่นทันฉันออกจากบ้าน แล้วพอปิดประตู ฉันก็จะได้ยินเสียงเบบี๋ของมันลอดออกมา เป็นเสียงโวยวายกึ่งเว้าวอน ..หม่ามี๊ไม่เล่นกะหนูแล้วหรอ

ฉันรู้ว่ามันจะเข้าใจ ว่าตอนเย็น (จริงๆ คือค่ำๆ) ฉันก็จะกลับ


หมายเหตุ: ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนที่ฉันไม่อยู่มันเล่นอะไรบ้าง แต่เชื่อว่ามันซนไม่ถึง 1 ใน 5 ของตอนที่ฉันอยู่ด้วย เพราะว่าบ้านยังอยู่ในสภาพคล้ายเดิม จะมีสิ่งผิดปกติบ้างก็เช่น เชือกผูกคอที่มีกระดิ่งเล็กๆ ห้อยของมันหายไป อาหารในจานแหว่งไปนิดนึง

ที่สำคัญมันไม่ได้ฉี่หรืออึระหว่างที่ฉันไม่อยู่เลย โถ..หมาน่อยของหม่ามี๊

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

หมาน่อย : ลูกแมวน้อยธรรมดา



อืมม์ ถ้าโตแล้วหนูอย่าให้มันมามาเกาะระเบียงบ้านเรานะลูก




เสาร์ที่ 27 มีนาคม 2553

ฉันมีนัดทำฟันตอนเช้า เสร็จแล้วยังมีเวลาพอจะดู Alice in Wonderland ก่อนจะไปเจอโม่ตามนัด

วันนี้โม่จะพาโยโกะ แมวน้อยเพศเมีย วัยประมาณ(ว่า) 2 เดือน ที่เธอช่วยดูแลให้ระหว่างหลายวันที่ฉันไม่อยู่ (ตอนนั้นฉันยังเรียกมันด้วยชื่อนี้อยู่) มาให้

ฉันได้แมวตัวนี้ (ตกลงได้มาแล้วจริงๆ ใช่ไหมโม่?) หลังจากที่เข้าไปอ่านบล็อกประกาศหาบ้านให้ลูกแมวน้อย 4 ตัวของโม่ จากทั้งหมด 4 ตัว ฉันว่าคงไม่มีใครอยากได้เจ้าขี้เหร่ตัวนี้ ไฝของมันก็ติดใจฉันได้อีก ก็เลยเสนอตัวขอเจ้าโยโกะ แมวมีไฝที่ริมปากมาเลี้ยง (ตอนนั้นยังไม่แน่ใจเลยว่ามันเป็นตัวผู้หรือเมีย)

แม้ในตอนแรก จะมีคนขอโยโกะไปเลี้ยงแล้ว แต่คงเป็นเรื่อง serendipity อีกแล้ว เพราะในที่สุด เราก็ได้มาอยู่ด้วยกัน

แม้จะดูโตกว่าในรูปที่ได้เห็นในบ้านพี่เหม่ง แต่โยโกะก็ดูยังบอบบางมาก
มันยังมีขนาดตัวน้อยนิดเดียว ดูผอม ขี้ก้าง แต่พุงโต หน้าตาขี้เหร่ แถมหางยังคดๆ งอๆ ไม่มีเค้าว่าจะโตเป็นแมวสวยอย่างโคโค่จัง หรือโมจิไปได้

ฉันไม่แน่ใจนักว่าจะพามันกลับถึงบ้านได้อย่างรอด ปลอดภัย ไม่มีใครสังเกต
แต่นังหนูให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มันหลับไประหว่างอยู่บนรถไฟฟ้า แล้วก็ตื่นมาร้องอุทธรณ์ "แง้ว" ผ่านปากเล็กๆ ที่มันฟันซี่เล็กๆ เรียงราย (ไม่รู้ว่ามันต้องการบอก "หนูหิวแล้วนะ" หรือ "หนูเบื่อแล้วนะ") ตอนที่ฉันแง้มกระเป๋าดูบนรถสองแถวเข้าซอย

"อดทนหน่อยนะโย" ฉันบอกมันซ้ำๆ ลูกหัวเล็กๆ นั้นไปด้วย
ไม่รู้ว่ามันให้ความร่วมมือ หรือว่าเหนื่อยเกินกว่าจะดื้อ ในที่สุดฉันก็พามันมาถึงบ้าน(ที่จริงคือคอนโดห้องเล็กมากๆ )อย่างปลอดภัย

ระหว่างเดินทาง ฉันคิดไว้ในใจ จะทำอะไรก่อนดี
ให้อาหารก่อน หรือน้ำก่อน หรือเททรายในกระบะก่อนดี

ปรากฏว่าฉันเลือกเททรายในกระบะ เพราะไม่รู้ว่าที่มันร้อง เพราะปวดฉี่หรืออึ
จับมันขึ้นไปวาง จับเท้าให้คุ้ยเขี่ยทรายอย่างที่โม่สอน แต่มันยังไม่ฉี่ พอฉันเสิร์ฟน้ำ เจ้าตัวน้อยโซ้ยอย่างต่อเนื่องยาวนาน ปริมาณน้ำที่มันกิน ราวสักสองอึกคน ..มันคงกระหายมาก ก็อากาศร้อนออกอย่างนี้

จากนั้น ฉันก็แกะปลาทูทอดตัวอวบที่ซื้อติดมือมาด้วย

ดีใจจัง มันกินเกือบหมดแน่ะ ..หิวจริงๆ สินะแก

จากนั้นโยก็ฉี่ แล้วอึออกมา
โอ้แม่จ้าว แมวอึเหม็นอย่างที่โม่บอกจริงๆ (เอ๊ะ ฉันไม่เคยช่วยแม่เก็บอึแมวเลยหรอเนี่ย?)

ตกค่ำ ฉันโทรหาแม่ เล่าให้แม่ฟังว่าได้มาแล้วนะ ลูกแมวน้อย
มันกินปลาทูด้วยล่ะ แม่ฉันฟังสวดอยู่ แต่ก็เหมือนจะอยากฟังเรื่องลูกแมวของฉัน บอกให้เล่าไป
ฉันเลยเล่าว่ามันเข้าไปซ่อนตัวในซอกตู้วางทีวี เป็นซอกที่เล็กจนฉันเอื้อมมือไม่ถึง
แล้วมันก็ตกใจเสียงเครื่องดูดฝุ่นกับเสียงชักโครกเอามากๆ
อ้อ แล้วก็เล่าเรื่องหางหักๆ งอๆ ของมันด้วย แม่ฉันรีบแก้ให้ว่า นั่นเขาเรียกว่าแมวหางกวักตะหาก

ท่าทางแม่ฉันจะนึกเอ็นดูแมวน้อยตัวนี้แล้วสินะ (ตอนแรกที่ฉันเล่าว่าจะรับแมวมาเลี้ยง ชีถอนหายใจ แล้วพูดแค่ว่า"..ชีวิตเป็นภาระ")

พอวางสาย ฉันนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกแม่เลยว่า มันชื่อ โยโกะ แต่พอมานึกว่าถ้าแม่ถามว่าทำไมถึงชื่อโยโกะ ฉันเล่าแล้วคงไม่แคล้วถูกถามว่าไม่มีชื่อดีกว่านี้หรือไง

ว่าแล้วก็เกิดไอเดียก็ผุดขึ้นจากท่าทางเด๋อด่า หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ของนังแมวน้อย

ชื่อ หมาน่อย (ธรรมดา) ละกันนะแก
น่าเอ็นดูดีกว่าชื่อโยโกะ (ชื่อจริงคือ โยนี) เยอะเลย

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

ชิมเบียร์ญี่ปุ่น



เลือกกระป๋องเล็กมาชิม
พอผ่านจิบแรกอันซาบซ่า พบว่ามีรสหวานติดค้าง อ้อยอิ่งอยู่ที่โคนลิ้น

กระป๋องนี้ในคืนฝนตก ที่โตเกียว


จัดว่าอร่อยดีแหละ



ก่อนโน้นฉันปลื้มเบียร์สิงห์ มันเข้มข้น แรงดี ได้ใจ
แต่พอได้ชิมอาซาฮี "ซูเปอร์ดราย" แล้วก็ให้ติดใจในความเผ็ด ความขื่น ที่โคนลิ้น
จากนั้น ก็จะมีอาซาฮีติดตู้เย็นไว้เรื่อย (จากประสบการณ์ ราคาต่อกระป๋องในโลตัสถูกที่สุด) กะว่าวันไหนครึ้ม อยากจิบก็จะได้จิบเบียร์เย็นๆ

เมื่อมีอันมาติดซีรีส์ Hotaru no Agari รูปลักษณ์ของเบียร์ Suntory Premium ก็ติดตาฉัน
น้องนางเอกเธอติดเบียร์ยี่ห้อนี้มา่ก เธอจะจบท้ายวันอันเหนื่อยล้าในอิริยาบย้วยๆ ่ในชุึดวอร์มเก่าๆ เผ้าผมไม่ได้สนใจจะจัดแต่งให้สวยงาม แล้วนั่งแปะลงบนระเบียง เปิดกระป๋องเบียร์ ซดคำแรก เรอ แล้วก็พูดอะไรทำนอง "อา...ที่ไหนจะสุขใจเท่าที่บ้าน" ออกมา

Suntory the Premium เลยเป็นเบียร์ยี่ห้อเดียวที่ฉันกะจะมาลองที่ญี่ปุ่น เอาให้รู้รส ว่ามันอร่อยตรงไหน-ถึงจะรู้ว่าบางทีที่โฮตารุดื่ม ก็เพราะว่าเบียร์นั่นเป็นสปอนเซอร์ซีรีส์เรื่องนี้ก็ตาม
(ก็ฉันไม่ใช่คอเบียร์นี่นา ถึงชิมไปมากมายก็ใช่จะแยกแยะออก)

แล้้วก็ได้เรื่อง ได้ชิมมาแล้ว เรียบร้อย
ทั้ง Suntory the Premium และ Asahi Super Dry

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

สุดกรี๊ดที่อาเมะโยโกะ



หมึกยักษ์

เห็นเจ้านี่แล้วเกิดอยากกินซูชิขึ้นมา

ป.ล. นี่แหละสีแหลแบบแคนนอน



พฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2553



เช้าแรกในโตเกียว
กินอาหารเช้าแล้วก็ขึ้นรถไฟสองสามต่อ แล้วไปลงสายยามาโนะเตะที่สถานีอุเอโนะ
(ที่ได้ไปเห็นซากุระสีชมพูเข้มมานั่นแล) เสร็จแล้วคิดกันว่าจะไปไหนต่อ

ดูคู่มือแล้วได้ความว่าย่านใกล้ๆ อุเอโนะชนิดที่เดินถึงมีแหล่งช็อปชื่อ Ameyoko
ยังไม่แน่ใจนักว่าที่นั่นขายอะไรบ้าง แต่แค่รู้ว่าเป็น "แหล่งช็อป" ก็อยากจะไปทันที

และแล้ว
ก็ได้ช็อปมาสมใจ

อิอิ




หมายเหตุ
ที่นี่ขายของหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นของกินอย่างผลไม้ ของแห้ง ชา ขนมขบเคี้ยวแห้งๆ
แต่ที่มีเยอะและถูกมากคือ เสื้อผ้า และรองเท้า (ไม่ค่อยได้ถ่ายมา เกรงใจเจ้าของร้าน+เอาแต่ช็อป) ของที่ได้มาจากที่นี่คือนาฬิกา Swatch (2100 เยน), เสื้อวอร์มอาดิอาสของแท้ (1422 เยน-ลด 70 หรือ 80% จำไม่ได้), ชาเขียวแบบเซนฉะ (ห่อละ 840 เยน), เครื่องสำอางฝากญาติพี่น้องจากร้านมัตสึโมโตะ (8,147 เยน-ถูกโคตร)

อยากได้รองเท้าบู๊ตยางสำหรับวันที่บางกอกฝนตก-น้ำท่วม แต่ขี้เกียจแบก

สรุปคือถ้ามีเวลาในโตเกียวสักครึ่งวัน ไปที่นี่เหอะ หนุกดี ของถูกๆ ทั้งนั้น

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

กินเพื่ออยู่



ขอเงินพี่เขามา 100 เยน ใช้ของตัวเองอีก 20 เยน

(ก็ใช้เงินเยนจนเกือบหมดแล้วนี่)

ได้ชาจีน 1 ขวดเล็ก



เสาร์ที่ 13-จันทร์ที่ 22 มีนาคม 2553

ประมวลภาพสิ่งที่กินเพื่ออยู่ (จริงๆ อยากจะ "ไปเพื่อกิน" มากกว่า)
ที่ญี่ปุ่น ตลอดเวลา 8-9 วันที่ไปเที่ยว (ด้วยทุนรอนของตัวเอง)

ที่โน่นไม่ได้แร้นแค้นของกินเล้ย แม้จะมีตังค์ไปน้อยนิดอย่างพวกเรา
มีน้อย ก็กินอร่อยได้แบบมีน้อย ของกินราคาน้อย แต่อร่อยมาก มีถมเถในญี่ปุ่น

ฉะนั้น ไม่ต้องพกมาม่าไปกดน้ำร้อนให้พะรุงพะรังหรอกนะ
แค่สอดส่ายสายตาไปถามท้องถนน ตรวจชั้นวางอาหารสำเร็จรูปใน Conbini ให้ดี

ของอร่อยมีอยู่ทั่วไปเลยแหละ




ป.ล. สีแร่ดบ้าง (ตอแหลสไตล์แคนนอน) เน่าบ้าง โปรดอภัย เนื่องจากไม่ได้บรรจงแต่งสรรให้ดูน่ากินเกินไปกว่าที่บันทึกภาพมาได้

ถ้าอยากรู้ราคาเป็นเงินบาท ลองเอาราคาเป็นเยนคูณด้วย .37 นะจ๊ะ อันนั้นเป็นเรตที่แลกเงินมา

วันเดียวเที่ยว(ไม่ทั่ว)โกเบ




มาเมืองนี้ให้สังเกตฝาท่อให้ดี

มีให้ตื่นเต้นกับลวดลายในทุกย่างก้าวเชียวแหละ



อาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2553

ไม่เต็มวันในโกเบ
เมืองที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะไป แต่ในที่สุดก็ไปมาแล้ว (อิือิ) ชอบซะด้วย

แม้ที่พักจะอยู่เกียวโต แต่ชินคังเซนสามารถพาฉันมาถึงโกเบได้ภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที ฉะนั้น ถ้าใครอยากเที่ยวญี่ปุ่นหลายๆ เมือง ในเวลาอันมีอยู่จำกัดจำเขี่ย ก็ควรจะซื้อตั๋ว JR Pass ไปจากเมืองไทย

แล้วจะรู้ว่าจ่ายไป 28,300 เยนที่จ่ายไปนั้น โคตรจะคุ้มเลย


ป.ล. ลงรูปเยอะเพราะเอามาให้ดูเกือบหมด
ให้ข้อมูลทางสายตากะนุชหน่อย นุชกำลังจะไปญี่ปุ่นอาิทิตย์หน้า เห็นว่าอาจจะไปโกเบด้วย

ดอกไม้คงบานพอดี

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ซากุระบานที่สวนอุเอโนะ



ต้นนี้เป็นอีกบริเวณหนึ่ง
ไม่ได้เห็นใกล้ๆ จึงไม่แน่ใจว่าเป็นซากุระพันธุ์เดียวกับที่หยุดชมพร้อมคุณป้าหรือไม่

แต่สีจัดเหมือนกันเลยนะ ว่าไหม?

พฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2553

แม้จะวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นล่วงหน้านานเป็นปี แต่เพราะตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดที่เราและใครๆ แย่งกันซื้อมา ทำให้การบุ๊ควันเดินทางที่ตรงกับช่วงเวลา blooming ของดอกไม้สีชมพูนาม ซากุระ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

แต่ยังไงก็ตาม การมาถึงใกล้ช่วงเวลาที่เหล่าดอกไม้สีชมพูจะพร้อมใจกันผลิกลีบบอบบาง แล้วเบ่งบานไปทั่้วกิ่งและก้าน ก็ทำให้ได้เห็นของแปลกเหมือนกัน

เราได้เห็นทั้งดอกตูม ที่ค่อยๆ เป่งจนแทบจะปริ แล้วก็ได้เห็นดอกไม้แก่แดดบางต้นที่ไม่ชอบความสามัญ หล่อนจึงขโมยซีน ชิงบานก่อนเพื่อน

ฉันมาถึงโตเกียวในวันพุธ และเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีมาถึง ฉันก็เลือกมาที่นี่ สวนอุเอโนะ สวนสาธารณะใหญ่กลางกรุง ทำเลที่ชาวญี่ปุ่นจะเฉลิมฉลองการผ่านพ้นคืนวันอันทรมานในฤดูหนาว และต้อนรับการมาถึงของความอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิด้วยการธรรมเนียม ฮานะมิ (ฮานะ=ดอกไม้, ในที่นี้คือซากุระ มิ=ชม)

ในระหว่างทิวแถวของต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสีดำ ฉันเห็นต้นไม้ช่วงหนึ่งมีดอกไม้สีชมพูเข้มผลิบานอยู่

แรกเลยไม่แน่ใจว่านั่นเป็นดอกบ๊วย (ume) หรือดอกท้อ (momo) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึง ใกล้เคียงกับซากุระ จนบางทีคนญี่ปุ่นเองก็ยังสับสน ซึ่งมักจะบานก่อนซากุระ จึงลองถามคุณป้าที่แวะชมดอกไม้สีชมพูเข้มอยู่ใกล้ๆ กัน ว่านี่คือดอกไม้อะไรหรือ

คุณป้าบอก "kore wa sakura no hana" พร้อมชี้ไปที่ป้ายที่ห้อยอยู่กับซากุระต้นหนึ่ง

อืมม์ จริงด้วย



ตกลงว่า..เธอก็คือหนึ่งในจำนวนมากมายหลายพันธุ์ของซากุระสินะ
(ว่าแต่ตอนนี้พวกเธอเบ่งบานกันไปถึงไหนแล้วล่ะ?)

Ohayo-Osaka






วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553
TG 672 พาฉันออกจากความวุ่นวายในบางกอกไปตั้งแต่เวลา 23.50 น.

ไม่ได้จะหนีไปไหนเหมือนคนอื่น แค่ไปเที่ยวตามที่ได้วางแผนมาตั้งแต่ปีก่อน
(ตอนแรกไม่ได้ซื้อตั๋วการบินไทยซะด้วยสิ อิอิ)

มันแปลกดี ที่การบินจากสนามบินสุวรรณภูมิ บางกอกถึงสนามบินคันไซ โอซาก้า ต้องใช้เวลา 6 ชั่วโมงกว่า

เราออกเดินทางก่อนเที่ยงคืน 10 นาทีเวลาท้องถิ่น แต่ดันถึงปลายทางเวลาตี 5 เวลาท้องถิ่น

ตอนแรก ฉันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับเวลาที่หายไป 2 ชั่วโมง

แต่ในที่สุดก็ได้มันคืนมา ตอนบินกลับเมืองไทยด้วย TG 623 ในอีก 9 วันต่อมา
เครื่องขึ้นเวลา 11.00 น. เวลาท้องถิ่น และถึงเมืองไทยเวลา 15.30 น. เวลาท้องถิ่น

เป็นอันว่าได้ 2 ชั่วโมงคืนมาตามเดิม

เรดาร์แมว : Nihon no Neko chan



เห็นหุ่นเธอแล้วอยากเอามากอดเพิ่มความอบอุ่น





เสาร์ที่ 13-อาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2553

เวลา 9 วันในญี่ปุ่น นอกจากได้เจอเหมียวน่ารักๆ ในหนังสือแล้ว ยังมีโอกาสพบแมว(เป็นๆ)สัญชาติญี่ปุ่นหลายตัว

ส่วนใหญ่น่าจะเป็นแมวไม่มีเจ้าของ (เดาเอาจากความมอมแมมและไม่มีปลอกคอ)

ถึงจะไม่มีเจ้าของ แต่พวกมันดูตัวอ้วนใหญ่น่ากอดไปเสียทั้งสิ้น

อยากเล่นด้วย แต่พวกมันไม่เข้าใจภาษาไทย
อิ อิ

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทางของคน ถนนของเสือ

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Outdoors & Nature
Author:ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ

.....
วันหนึ่งขณะกลับจากซื้อเสบียงราวๆ สี่โมงเย็น แสงแดดอ่อนๆ ทอทาบทั่วผืนป่า ใบไม้เริ่มแห้ง ต้นไม้หลายต้นทยอยเปลี่ยนสี
ก่อนขึ้นเนินชันๆ เนินสุดท้าย เสือดาวโตเต็มวัยตัวหนึ่งยืนอยู่กลางเส้นทาง
พอเห็นรถ เสือตัวนั้นปฏิบัติเหมือนกับสัตว์ตัวอื่นๆ นั่นคือยืนจ้องสักครู่แล้วค่อยๆ เดินเข้าข้างทาง
แต่เจ้าตัวนี้แปลกสักหน่อย มันเดินแอบเข้าข้างทางแล้วทรุดตัวลงนั่งเฉย
ผมเคลื่อนรถเข้าไปใกล้ จ้องตากันอยู่ในระยะเอื้อมมือถึงอยู่พักใหญ่ๆ
เสือหันไป-มา ทำท่าเหมือนจะอยู่หรือจะไปดี จากลักษณะ ผมเข้าใจว่ามันเป็นเสือดาวที่เพิ่งเติบโตเต็มวัย และคงเพิ่งพ้นมาจากการเลี้ยงดูของแม่
ผมสบตากับมันโดยไม่มีเลนส์หรืออะไรมาคั่นกลาง
จากแววตา ผมเห็นความรู้สึกหวาดหวั่น
เป็นความรู้สึกที่ผมพอจะเข้าใจ
ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก กับการอยู่อาศัยในป่ากว้างเพียงลำพัง
…..



“ทางของคน ถนนของเสือ” เป็นหนังสือผู้ชายเขียนที่เขียนได้ “จับใจ” อีกเล่ม

ม.ล. ปริญญากร วรวรรณ หรือพี่เชน เท่าที่ฉันรู้จัก เป็นคนพูดน้อย สุภาพ มองทุกคนในแง่ดี

หนังสือของพี่เชนก็เป็นพี่เชนแบบที่ฉันรู้จัก คือ เรื่องเล่าที่ประหยัดถ้อยคำ อ่านง่าย ไม่ต้องใช้สมองคิดซับซ้อนในการแปลความหมาย แต่คำน้อยคำที่ใช้กลับแปลเป็นสารที่โคตรกินใจเลย

เรื่องราวในนี้ถ่ายทอดจากประสบการณ์ร่วม ๒ ในการร่วมงานกับโครงการศึกษานิเวศวิทยาของเสือ ที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แม้พี่เชนจะเล่าถึงการทำงาน การติดตาม วิธีศึกษาพฤติกรรมของเสือ สัตว์ผู้ล่าอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นดรรชีชี้ถึงอะไรหลายๆ อย่างในพื้นที่ป่านั้นๆ แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือแนว “ธรรมชาติของเสือ”

ในความรู้สึก ฉันว่ามันเป็นเรื่องราวที่ให้อารมณ์เหมือนผู้ชายเล่าถึงเพื่อนสนิท (ใช่เลย เหมือนบางตอนเวลา ผาด พาสิกรณ์ เขียนให้ตัวเอกในนิยาย เสือเพลินกรง นึกถึงเพื่อนรัก)

ในหนังสือเล่มเล็กๆ ฉันได้อ่านเรื่องราวของฮีโร่ในคราบคนธรรมดา ได้ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างลูกผู้ชาย ได้เห็นมุมที่พี่เชนมองเสือ มองคน และธรรมชาติ และความเคารพที่พี่เชนมีต่อสัตว์ คน และธรรมชาติ

และแน่นอน ฉันได้พบด้วยว่า จริงๆ แล้วชายในฝันของฉันก็มีตัวตนอยู่จริง




บันทึก
• “ทางของคน ถนนของเสือ” ที่มีวางขายในร้านหนังสือรูปปกไม่ได้แบบปกนี้ แต่จะเป็นรูปพี่เชนกำลังนั่งอยู่ในกระท่อม เป็นรูปเดียวกับที่อยู่บนปกหลังเล่มที่ฉันอ่าน ปกแบบที่ฉันได้อ่านนี่ คนที่ให้มาบอกว่าเป็นความผิดพลาดในการพิมพ์ ฉันเลยกรี๊ดว่าวุ้ย โชคดีจังเรา มีไม่เหมือนคนอื่น
• ขอบคุณนะจ๊ะ วี เราคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นการทำงานที่ดี ตรวจตัวสะกดดี เคาะวรรคดี จัดย่อหน้าดี ชอบมาก เวลาละเลียดอ่านมันอร่อยได้กับหลายๆ อย่างเลย ปกก็สวยนะ ยิ่งปกที่ทำวางขาย เราว่ายิ่งสวย คอนเซ็ปท์ดีอีกตะหาก
• ความจริงช่วงก่อนนู้น ตอนที่ยังซื้อขวัญเรือนอ่านทุกปักษ์ก็ได้อ่านงานพี่เชนทุกปักษ์เช่นกัน แต่ไหงไม่อินเท่าอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ไม่รู้นะ ตอนนั้นพี่เชนเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ ต่างกันไป สัตว์บ้าง คนบ้าง มันเหมือนเบื่อๆ ด้วยซ้ำ หรือเพราะอันนั้นมันอยู่ในรูปของคอลัมน์ๆ นึง แต่นี่เป็นพ็อกเก็ตบุ๊ค อยู่ในไซส์ที่เข้ามือพอดี หรือเพราะฉันแก่ขึ้น? (ฮ า)
• สงสัยว่าที่ตัวเองรู้สึกประทับใจวิธีเขียนงานที่ใช้คำน้อยๆ ของพี่เชนนี่ เพราะว่าระหว่างนี้ก็กำลังอ่าน “เสือเพลินกรง” (ใช้คำเยอะ บรรยายเยอะ ประสานิยาย) อยู่ด้วยหรือเปล่าน้า?



เรดาร์แมว : ไม่รู้พี่เขาง่วงอะไรนักหนา




ดูหน้ามันสิ เปรี้ยววว

(รักจังเลย)



ศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓

เมื่อเจอเหมียวหน้าแปลกตัวนี้ครั้งแรกเห็นว่ามันตลกมาก
เหมือนไว้ผมทรงมหาดไทย อิอิ

พอรู้ว่ามันอยู่บ้านไหนเวลาเดินผ่านก็มองหามันตลอด
ไอ้นี่มันแสบ ซ่า กล้ามาก บางทีก็ไปนอนอยู่ริมทางเท้า ตรงที่ใกล้กับรถวิ่งแล้ว
ช่างเป็นแมวขี้เซาที่ไม่ได้เกรงกริ่งอะไร

วันวาน ผ่านบ้านมันอีกที มองไปก็เห็นมันนอนแผ่อยู่หน้าบ้าน

ได้ไปตีซี้กับคุณลุงเจ้าของร้านไว้แล้วเมื่อวันก่อน
วันนี้ทนไม่ไหว ควักกล้องขึ้นมาขอถ่ายคุณลุงถ่ายรูปมันหน่อย

คุณลุงว่าเอาเลย



นี่นี่ เจอหน้ามันครั้งแรกตอนนี้จ้ะ
http://mandymois.multiply.com/photos/album/637/637

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ท ะ เ ล ที่ รั ก : ฮู-เล-ฮูป




(โปรดสังเกตพุงกลมกลม)



วันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓


อีกโชว์ของเด็กหญิงทะเล
แม้มีพุง เธอยังสามารถเหวี่ยงฮูล่าฮูปสองวงพร้อมกัน
และนานที่สุดในบ้าน

..ที่จริง เธอเป็นคนเดียวในบ้านที่เหวี่ยงฮูลาฮูปได้ด้วยซ้ำ อิ อิ




(ขออำภัยที่ไม่ได้ถ่ายคลิป เนื่องจากเมมโมรี่เหลือไม่เพียงพอ)

ท ะ เ ล ที่ รั ก : Morning Walk with Talay




โปรดสังเกตตาที่ยังตุบและคราบขาวสองมุมปาก

ยังไม่ตื่นเต็มตัวทะเลก็พร้อมยิ้มแล้ว






จันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓

วันนี้ม้าน้อยตื่นเช้ากว่าทะเล เย้!

แ ม ว วั น นี้ # 2


Cat's Prayer


I hope I'm not asking too much, Lord;
All I want is a home of my own,
And to know when my next meal is coming
Instead of the scraps I get thrown.

I've been out in the cold for so long now,
Just coping as best as I can;
But it's not been so long I've forgotten
The touch of a soft caring hand.

I look in house windows at Christmas,
As cats doze by the fire, quite replete;
How I'd welcome a box in the kitchen,
And tasty food for me to eat.

For me there was tinsel and giftwrap,
But the fun didn't last very long.
They put me outside with the rubbish;
I still don't know what I did wrong.

I really don't want to be greedy;
At the moment I'm all skin and bone,
So would it be too much to hope for
That someone will give me a home?

Author Unknown


วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

ท ะ เ ล ที่ รั ก : แม่ค้าหน้าเป็น



เล่นกับเด็กต้องมีจินตนาการพริ้งพรายหน่อย ถึงจะสนุกนะคะ





จันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓

ตอนนี้ทะเลเค้าฮิตเล่นเปิดร้าน
ตอนม้าน้อยมาถึง กำลังเปิดธนาคาร แต่พอได้ของเล่นชุดใหม่จากน้าแมว เธอก็เปิดร้านใหม่ เก็บธนาคารไว้ก่อน

ม้าน้อยไปหาทะเลวันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม ไปถึงก่อน แล้วน้าแมวก็ตามมา (ทันเวลากินเชียว) ก่อนมา น้าแมวสั่งให้ม้าน้อยเอาของเล่นที่ซื้อจากตลาดท่าน้ำนนท์ในวันก่อนหน้านั้นไปด้วย
เพราะถ้าให้น้าแมวเอาไปเอง มีสิทธิ์ลืม

ไม่ได้โม้นะ แต่ม้าน้อยแนะนำให้น้าแมวซื้อของเล่นพวกนี้มาฝากเลเองแหละ
คิดว่าเลต้องชอบมากๆ ปรากฏว่าทะเลชอบมากๆ จริงๆ

น้าแมวเค้าเลยได้หน้าไปกระบุงโกย

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

ท ะ เ ล ที่ รั ก : เรียกเสียงกรี๊ด






จันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓


พักหลังนี้แม่ทะเลงานยุ่ง พ่อทะเลก็งานเยอะ
ไม่มีเวลาอัพรูปทะเลบ่อยเหมือนก่อน
พี่ป้าน้าอาคงคิดถึงทะเลกันแย่สินะ

ม้าน้อยไปค้างบ้านทะเลเมื่อคืนวันมาฆะ
เช้ารุ่งขึ้นยังได้เล่นกับเลพักใหญ่
ถ่ายรูปนิดหน่อย ติดไม้ติดมือมาฝากคนคิดถึงเด็กหญิงทะเล
(กำลังจะเป็นพี่ ป.๑ แล้วนะค๊า)

อยากได้ยินเสียงกรี๊ดของใครบางคนจัง



(ไม่ได้ยินนานแล้ว)


หมายเหตุ
-ขอบคุณ Lucille
-และขอบคุณตัวเอง ที่กดชัตเตอร์ทัน+ใจเย็นพอจะรอช็อตใหม่