วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ช่างฝันกันตั้งแต่ยังเป็นทารก


..พอดีอ่านเจอมา

ความฝันกลไกหนึ่งของธรรมชาติ
มนุษย์เราเริ่มฝันกันตั้งแต่ยังเป็นทารกกันอยู่เลยค่ะ คุณแม่ต้องแปลกใจแน่เลยหากรู้ว่าเจ้าตัวเล็กของคุณแม่สามารถฝันตั้งแต่วัน แรกที่คลอดออกมา มีการศึกษาพฤติกรรมการนอนหลับและวัดคลื่นสมองของเด็กทารกพบว่า เด็กทารกมีการตื่นหลับ 18 - 20 ชั่วโมง โดยการหลับครึ่งหนึ่งจะเป็นการนอนหลับแบบฝันค่ะ

ความจำเป็นที่หนูต้องนอนฝัน
ความฝันสัมพันธ์กับการเติบโตของเจ้าตัวน้อย เนื่องจากลูกน้อยของคุณแม่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาเรียนรู้มากก็ต้องเก็บความจำมาก จึงทำให้ใน 1 คืน เจ้าตัวเล็กหลับฝันซะเป็นส่วนใหญ่ค่ะ และนอกจากนั้นระหว่างที่เกิดกลไกความฝัน ยังเป็นการถ่ายทอดข้อมูลจากการเก็บความจำระยะสั้น ไปเก็บไว้ยังส่วนต่างๆ ของสมองอย่างเป็นระเบียบ เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำระยะยาวต่อไปอีกด้วยค่ะ

และระหว่างที่เจ้าตัวเล็กนอนฝัน คุณแม่รู้ไหมคะว่ามีเซลล์หลายกลุ่มในสมองและร่างกายส่วนต่างๆ ของลูกน้อยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและชีวะเคมี โดยเฉพาะการทำงานของยีนหรือสารพันธุกรรมในเซลล์ เพื่อให้เซลล์สร้างโปรตีนเฉพาะ และเป็นการเปิดกลไกการทำงานของเซลล์บางอย่างให้มีการสังเคราะห์และแสดง ลักษณะสารพันธุกรรมออกมา เช่น ระบบต่อมไร้ท่อจะขับฮอร์โมนโซมาโทโทรพิน (somatotropin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตที่หลั่งจากต่อมใต้สมองในเวลาลูกน้อย หลับ หรือพูดง่ายๆ ก็คือในช่วงที่ลูกน้อยของคุณแม่นอนหลับฝันอยู่นั้น จะมีการเอาข้อมูลที่อยู่ในพันธุกรรมของ DNA ที่อยู่ในโครโมโซมมาเปิด แล้วยอมให้มีการถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อเอาไปสังเคราะห์โปรตีนชนิด ต่างๆ เช่น เอนไซม์โครงสร้างโปรตีน ที่มี  หน้าที่ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ ดังนั้น ช่วงที่เจ้าตัวเล็กนอนฝันจะมีกลไกที่ทำให้เซลล์ซ่อมแซมตัวเองได้ค่ะ

การนอนฝันของเจ้าตัวน้อยยังมีความเกี่ยวข้องกันกับการทำงานของระบบสร้างภูมิ คุ้มกันในร่างกายให้ตัวเขาอีกด้วยนะคะ  และขณะลูกน้อยหลับฝันระบบประสาทจะไม่มีการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย จึงทำให้อุณหภูมิของเขาตกลงมาได้ ดังนั้น หากเจ้าตัวเล็กของคุณแม่หลับในห้องที่มีความเย็น คุณแม่จะต้องระวังให้ความอบอุ่นแก่ลูกน้อยด้วยนะคะ



(จากหน้านี้ http://motherandchild.in.th/content/view/387/32/)
..................................................
อยากรู้อีกนิด แล้วแมวล่ะ ฝันอะไรไหม?
(เล่นนอนกันวันละพอๆ กับทารกขนาดนั้น)

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Aishiteiru to Ittekure : บอกมาว่ารัก

Rating:★★★★
Category:Other

ซีรีส์เรื่องนี้ออกอากาศทางสถานี TBS ในญี่ปุ่นในปี 1995 (15 ปีมาแล้ว) มาฉายในโทรทัศน์เมืองไทยหลังจากนั้นกี่ปีก็ไม่ทราบ ตอนนั้นฉันได้ดู จำไม่ได้ว่าได้ดูที่ไหน จำหน้านางเอกไม่ได้ จำเพลงไม่ได้ จำไตเติลไม่ได้ สิ่งเดียวที่จำได้คือความเท่ของพี่พระเอก ศิลปินร่างสูง เงียบขรึม ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่ง กางเกงหลวม และรองเท้าแตะคีบ นั่งนิ่งๆ นิ้วเรียวยาวสวยคีบบุหรี่จรดที่ริมฝีปาก หน้าตาพี่เขาหล่อ หล่อแบบเท่ๆ เงียบๆ

เงียบ เพราะเขาหูหนวก ก็เลยพูดไม่ได้

จนมาเลือกสั่งซีรีส์ (ผีอีกตามเคย) เมื่อวันก่อน เห็นรายชื่อซีรีส์เรื่องนี้ 愛していると言ってくれ (อ่านว่า Aishiteiru to Ittekure แปลว่า say you love me) เห็นแค่ชื่อจำไม่ได้หรอก ต้องมีเรื่องย่อกับรูปประกอบถึงจะจำได้ แล้วก็เกิดกิเลส อยากชมมาดเท่ๆ ของพี่เขาอีกครั้ง ก็เลยจัดการสอยมารื้อฟื้นความทรงจำอีกหน

แล้วก็ได้เรื่องเลย น้ำตาหลั่งไหลมากมากเพราะความเศร้าและสงสาร


คนเราไม่มีใครตั้งใจจะเกิดมาหูหนวก ตาบอด พี่เท่หรือพี่แม่น้ำโตโย (Toyokawa Etsushi) ซึ่งในเรื่องชื่อ Sakaki Kohji ก็เหมือนกัน เพราะอาการป่วยในวัยเด็ก ทำให้สูญเสียการได้ยิน นำมาซึ่งปัญหาครอบครัว แม่ทิ้งเขาไปในวัย 10 ขวบ เพียงเท่านี้ก็เหมือนสาปให้เด็กชายโคจิกลายเป็นเด็กชายที่เหงาที่สุดในโลก เมื่อโตขึ้นเป็นหนุ่มใหญ่วัย 31 ก็ยังเหงาไม่เลิก แค่การไม่ได้ยินอะไร พูดอะไรไม่ได้ก็เป็นเหมือนกำแพงกั้นตัวเองจากโลกภายนอกเพียงพออยู่แล้ว แต่นี่เขายังปลีกตัวออกมาอยู่เงียบๆ คนเดียวอีก ยังดีที่เป็นคนมีพรสวรรค์ทางการวาดรูป เลยได้ระบายอะไรๆ ออกมาบนผ้าใบ ไม่งั้นอาจบ้าไปแล้ว

ความเท่ของพี่เขาจับตาและดึงดูดใจ Mizuno Hiroko (Tokiwa Takako) สาวน้อยช่างฝันวัย 21 เข้าอย่างจัง (เออ ตอนดูซีรีสเรื่องครั้งแรกนี้ฉันคงอายุประมาณหล่อนน่ะแหละ) เธอก็เลยเป็นฝ่ายเข้าไปวนเวียน ป้วนเปี้ยน พาความสดใสร่าเริง ไปกวนจิตใจอันแน่วนิ่งเป็นน้ำตกตะกอนของพี่เขาปั่นป่วนจนร้อนเป็นความรักขึ้นมา

ซีรีส์เรื่องนี้ยาวถึง 12 Episode หรือ 6 แผ่น DVD ฉะนั้น ความรักระหว่างหนุ่มใหญ่ไม่พูดกับสาวน้อยที่ยังไม่รู้จักตัวเองดีนักจึงไม่ได้จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้งอย่างรวดเร็ว แรกเริ่มเป็นช่วงของการเรียนรู้ ตามมาด้วยความเข้าใจ แล้วก็ต่อด้วยการทำร้ายกันด้วยความหึงหวง และคาดหวัง สุดท้าย แทนที่จะได้จบดีๆ แฮปปี้ตลอดไป ก็กลายเป็นว่านางเอกเป็นฝ่ายทำเรื่องพัง พังง่ายๆ เสียอย่างนั้น

ฉันคิดว่า เรื่องแบบนี้เหมือนงี่เง่า แต่ได้ดูแล้วก็เหมือนได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญ

คือมันไม่จำเป็นที่เราจะต้องสัมผัสความรักจากคนรักด้วยประสาทสัมผัสทุกส่วนที่เรามีหรอก แค่ได้สัมผัสให้พอมั่นใจ ว่า ‘เขารักเรา’ ก็น่าจะพอแล้ว

ตอนสำคัญที่นางเอกพาตัวเองไปเคาะประตูแมนชั่นของคุณแฟนเก่าของโคจิ แล้วดันไปถามเธอคนนั้นว่าชอบอะไรในตัวโคจิมากที่สุด เธอคนนั้นก็มากด้วยชั้นเชิงของสาวใหญ่ ตอบกลับมาว่า ชอบเสียงของเขามากพอๆ กับภาพวาดของเขา ก็แหม๋ พี่เค้าไม่พูดเพราะไม่มั่นใจจะพูด เนื่องจากไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ดันไปหลอกเด็กสาวว่าเขาเคยพูดให้ฟัง แม่เด็กสาวเลยฝังใจ อยากฟังเสียงโคจิบอกรักบ้าง

เธออ้างว่าเพราะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเสียงของโคจิ ก็เลยรู้สึกเหงาเหลือเกิน

ฉันผู้มาเปิดซีรีส์เรื่องนี้อีกครั้งในวัยที่ความสาวสุกงอมเกือบสุดแล้ว ดูแล้วนึกสมเพชแม่สาวน้อยที่มีของดีอยู่ในมือแต่กลับอยากขว้างทิ้งไปเพราะเชื่อว่ามันไม่ดีเท่ากับของอีกสิ่ง ฉันอยากจะถามหล่อนออกไปด้วยภาษาไทย ในความหมายเหมือนที่โคจิถามด้วยภาษามือ ว่า

แค่รักตลอดไป-ไม่พอหรอ?



หมายเหตุ
• พี่แม่น้ำโตโยใช้ภาษามือได้ดีมาก มีความสามารถในการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดได้เจ๋งมาก (แอบคิดว่าพี่เขาน่าจะมีญาติหูหนวก ถึงได้พูดภาษามือเก่งขนาดนี้)
• ภาษามือของเขาสวยมากๆ ด้วย ก็เป็นคนแขนยาว นิ้วเรียวนี่นะ
• เวลาพี่เขาแสดงภาษาบ่งบอกถึงอารมณ์ ดูแล้วใจจะขาด มันเหมือนเห็นใจคนพูดน้อยที่อดจนระเบิดอารมณ์ออกมาน่ะ (ฉันเลยพลอยได้ภาษามือแบบญี่ปุ่นมาตั้งหลายคำ)
• แต่ดูเหมือนช่วงที่เล่นซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นช่วงพีคสุดของพี่เขานะ หลังจากเรื่องนี้และ Love Letter หน้าตาและหุ่นดูจะแย่ลงมากๆ ถึงขั้นเศร้าเลย ตอนเห็นใน Hula Girl นั่น
• เสื้อผ้าหน้าผมของนางเอกในเรื่องแย่มาก ทั้งที่ความจริงก็เป็นคนสวย (ในบางมุม) ไม่ใช่น้อย
• เขาเขียนบทให้นางเอกเป็นคนเลี้ยงแมวที่แย่มากนะ สนใจผู้ชายมากกว่าแมว
• อีกเรื่องคือหล่อนใจร้ายมาก กับแมวที่หล่อนไม่ไยดี ตอนหล่อนไปขนของออกจากบ้าน พี่เขาขอเอาไว้เลี้ยง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขารักแมวตัวนี้ขนาดนั้น เลี้ยงดูอย่างดีขนาดนี้ หล่อนก็ยังไม่ยอมยกแมวให้พี่เขาเลี้ยงเป็นเพื่อน (เคืองๆๆๆๆ)
• ฉันว่าถ้าเขาเอาเรื่องนี้มาสร้างใหม่ตอนนี้ เรื่องมันจะไม่เป็นอย่างนี้แล้วแหละ ก็สมัยนี้น่ะ คนเราแทบเดินเข้าตู้โทรศัพท์สาธารณะแล้ว (ซูเปอร์แมนยังลำบาก) และแม้แต่คนหูหนวกก็ยังส่งเมล์ผ่านมือถือได้ ไม่ต้องวิ่งไปรับแฟกซ์ ลุ้นตอนส่งแฟกซ์ หรือรอรับแฟกซ์กันอย่างในเรื่องแล้ว
• แผ่นที่เศร้า เรียกน้ำตาสงสารพี่พระเอกมากที่สุดคือแผ่นสุดท้าย แต่ฉันไม่ชอบตอนจบเอาเสียเลย
• เพลงเขาเพราะจริง คำว่า Aishiteru (อายชิเตรุ) หรือ ฉันรักเธอ ในเพลงนี้ฟังดูอ่อนหวาน แล้วก็เพราะมากๆ ในความรู้สึก
• แต่หนุ่มๆ สาวๆ ที่เพิ่งรักกันเขาไม่บอกกันว่า Aishiteru หรอกนะ เขาจะบอกกันว่า Suki ซึ่งแปลว่าชอบ หรือรัก (เหมือนในเพลงโดราเอมอนที่ร้องว่า tottemo dai suki แปลว่า รัก(ชอบ)มากที่สุดไง)
• หลายคนสงสัยว่าทำไมไตเติลซีรีส์เรื่องนี้ถึงต้องให้พระเอกนางเอกลงไปโป๊อยู่ในทะเล ได้ดู Episode แรกก็จะรู้คำตอบแล้วล่ะ
• เรื่องสำคัญที่เป็นอุทธาหรณ์สำคัญสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็คือ หลังจากมีปัญหากับคนรัก ตอนที่กำลังหวั่นไหว จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อย่าได้วิ่งไปหามือที่สามเด็ดขาด จะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ ต้องเมื่อมีสติมั่นคงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะมีแต่คนที่ถูกทำร้าย

หมาน่อยโชว์ : แมวกระโดดกำแพง



ทำได้แค่นี้ล่ะค่า

จะเกาะนิ่งอยู่สัก 15 วนาทีิ แล้วก็ปล่อยตัวเองหล่นลงมา

หยั่งที่บอก ขาหลังมันไม่มีแรงส่งอะ

ป.ล. โปรดสังเกตความล่ำบึ้กของกล้ามเนื้อขาคู่หน้า
ดูเผินๆ คิดว่าแบตแมนนะเนรี่ย



อาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2553

ลีลาแมวกระโดดกำแพง (ที่จริงคือกระโดดขึ้นขอบระเบียง) ของหมาน่อย
ลูกแมววัย 5 เดือน

เท่าที่สังเกตดู คิดว่าแมวมีทักษะในการปีนป่ายมากกว่ากระโดดสูง
ถ้ามีอะไรให้มันปีน น่อยคงขึ้นขอบระเบียงเองได้นานแล้ว (เช่นเดียวกับที่มันสามารถปีนไต่ชายเสื้อที่แขวนไว้จนไปติดแหง็กอยู่ที่ราวแขวนเสื้อในตู้เสื้อผ้า) แต่เพราะว่าการขึ้นขอบไม่มีอะไรให้ป่ายให้ปีนขึ้นไป แต่ต้องอาศัยทักษะสปริงข้อเท้าล้วนๆ ในวัยเท่านี้ หมาน่อยเลยยังพาตัวเองขึ้นไปไม่สำเร็จ

(ไม่จำเป็นต้องอัพรูปเยอะขนาดนี้หรอก แต่ว่าดูกันไปขำๆ แก้เศร้าอังกฤษตกรอบก็แล้วกันนะ)

ฟ้าสีฟ้า



ในบริเวณแถบโซนร้อนจะอยู่ที่ความสูง 6,000 - 18,000 เมตร (20,000 - 60,000 ฟุต) ขึ้นไป ส่วนใหญ่จะมีสีขาวหรือเทาอ่อน และเกิดขึ้นใน Stable air เป็นเมฆซึ่งไม่ทำให้เกิดฝน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเกล็ดน้ำแข็ง และมี Turbulence ด้วย

ในรูปนี่น่าจะเป็น เมฆเซอโรสคิวมูลัส(Cirrocumulus Cloud) มีลักษณะเป็นปอยบางๆ สีขาว หรือคล้ายขนแกะหรือปุยนุ่น



อยากถามว่าคนสีอะไร?


(อาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2553)

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แมวดูเดือน





จันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2553

ช่วงนี้หมาน่อยหลงใหลการขึ้นไปสำรวจโลกจากมุมสูงบนขอบระเบียงห้องมาก
หม่ามี๊จะอุ้มขึ้นไปทุกเช้าเย็น เพราะอยากให้หมาน่อยรู้จักโลกให้มากกว่าที่รู้จัก
ได้เห็นแสงอาทิตย์ยามเช้า เห็นท้องฟ้ายามเย็น (เฉพาะวันที่หม่ามี๊อยู่บ้านตอนเย็น) แล้วก็ไปดมกลิ่นลมตอนกลางคืน

คืนไหนมีพระจันทร์ ก็จะได้ชมจันทร์ใกล้ขึ้นอีกนิดนึง

แรกๆ หมาน่อยแปลกที่เลยแค่หมอบอยู่นิ่งๆ ได้แต่เบิกตามองนั่นมองนี่อย่างสนใจ แล้วก็เหมือนจะรู้ว่าพื้นดินอยู่ห่างมาก จึงเคลื่อนไหวอย่างระวังตัว ส่วนใหญ่รักษาสมดุลไว้ในท่าหมอบ

แต่หลังๆ เธอเริ่มกล้าออกเดินไปดมอะไรๆ ไกลขึ้น ซึ่งหม่ามี๊ก็ไม่ค่อยยอมหรอก เริ่มเดินเมื่อไหร่ก็อุ้มลงเมื่อนั้น

ช่วงนี้หมาน่อยยังไม่สา่มารถกระโดดปึ้บเดียวขึ้นถึงขอบระเบียง (สูงราว 130-140 ซม.)
ทำได้สูงสุดแค่สองขาหน้าเกาะขอบ สองขาหลังไม่มีแรงตะกายขึ้นไป (ท่านี้ตลกมาก ไว้จะถ่ายมาให้ดูนะ) เพราะงั้น เวลาหม่ามี๊ไม่อยู่ หมาน่อยเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปที่ระเบียง

กลัวหมาน่อยเดินไปเที่ยวไกลแล้วกลับมาไม่ถูกอะสิ

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หมาน่อย : ซุ่มโจมตี





กลางเดือนมิถุนายน 2553

เกมหนึ่งที่ลูกแมววัยใกล้ครบ 5 เดือนชอบเล่นคือ ซุ่มโจมตี
มันจะไปซ่อนตามซอกมุมต่างๆ โดยหวังว่าเราจะมองไม่เห็น
เมื่อเราแกล้งเผลอนานพอ (หรือแกล้งเผลอ) มันจะโดดออกจากที่ซุ่ม โจมตีเราด้วยลีลาต่างๆ

แค่มาจ๊ะเอ๋แล้ววิ่งกลับบ้าง วิ่งมากัดนิ้วบ้าง
แล้วแต่อารมณ์แมว

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

The Spring Tone-รอวันใบไม้ผลิ

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Childrens Books
Author:ยูโมโตะ คะซุมิ แปลโดยขวัญใจ แซ่คู

หนังสือแปลจากภาษาญี่ปุ่นเล่มเล็กๆ ที่สำนักพิมพ์จัดให้เป็น 'วรรณกรรมเยาวชน'
แต่ฉันอ่านแล้วไม่รู้ว่าเยาวชนอ่านแล้วจะรู้สึกอะไรมากมายเหมือนคนวัย (แม่) เยาวชน อย่างฉันอ่านไหม

การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้รู้สึกเหมือนได้นอนคุยกับเพื่อนสนิทวัยเดียวกัน คุยกันถึงวันหนึ่งในชีวิตของพวกเราที่ผ่านมานานแสนนาน จนเกือบลืมไปแล้ว

วันนั้นเป็นวันที่เรางงงวยกับชีวิตที่คร่อมคาอยู่ระหว่างความเป็นเด็กกับวัยรุ่น อยู่ๆ ก็ถูกจู่โจมด้วยสรีระที่้เปลี่ยนแปลง ความรู้สึกแปลกประหลาดกับรุ่นพี่เท่ๆ พร้อมกันนั้นก็ต้องทำความรู้จักกับเสื้อยกทรง เสื้อบังทรง และของประหลาดอย่างผ้าอนามัย

เป็นวัยที่เราทำตัวไม่ถูกเลย เพราะไม่ว่าจะในสายตาพ่อแม่หรือสายตาตัวเอง เราไม่ใช่เด็กแล้ว แต่เป็นผู้ใหญ่หรือยังก็ยังไม่แน่ใจ

น้องชายที่โตตามมายังไร้เดียงสา แต่เราไม่รู้จะจัดการยังไงกับความไร้เดียงสาของน้อง ทำอะไรไม่ถูกกับคนแปลกหน้าในชีวิต วางตัวไม่ถูกไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับญาติผู้ใหญ่ในบ้านที่แสนจะรักเรา แต่ไม่ว่าจะท่านจะแสดงความรักกับเราในรูปแบบไหน ก็ไม่เคยทำให้เราพอใจหรือปลื้มใจ มีแต่ทำให้อายหรือหงุดหงิด แม้กับพ่อแม่ของเราเอง

ยิ่งเวลาที่เห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน เรายิ่งทำตัวไม่ถูก

ทำอะไรไม่ถูก ไม่เข้าใจอะไรเลย แม้แต่ตัวเอง


ระหว่างอ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันเหมือนค้นพบสมบัติมีค่าในมุมลึกของลิ้นชักที่ตัวเองไม่ได้ทำหายหรอก แค่ลืมว่าเก็บมันไว้ตรงนั้นื ซ่อนไว้เสียแนบเนียนจนตัวเองยังเกือบลืม

มันคือ เหรียญทองยืนยันความสำเร็จเล็กๆ ในชีวิตเล็กๆ ในฐานะที่สามารถผ่านช่วงเวลายากลำบากอย่างตอนนั้นมาได้อย่างปลอดภัย

มหวิกฤตที่เคยรู้สึกว่ามันช่างเป็นปัญหายิ่งใหญ่เหลือเกินในชีวิต ณ ขณะนั้น เราในวันนี้ เมื่อมองย้อนไปกลับเห็นเป็นเรื่องเล็ก


คิดแล้วก็ให้รู้สึกเห็นใจเด็กที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่อย่างบอกไม่ถูก


หมายเหตุ:
-จำได้ว่าเอ๋บอกตอนไปช่วยจัดชั้นหนังสือ (ตอนนั้นท้องเอ๋โตมั่ก) ว่าแกน่าจะชอบเรื่องนี้ อืมม์ ชั้นชอบจริงๆ แหละแก คนเขียนเข้าใจความรู้สึกของเด็กวัยนั้นได้ดีจัง ทั้งที่เค้าเขียนตอนอายุมากแล้ว
-ว่าแต่ตอนนั้นแกจำได้หรอว่าเรื่องมันเป็นไง?
-ขอบคุณนะ ที่เขให้ยืมมาอ่าน
-สภาพหนังสือตอนนี้เยินมากอะแก ไม่ได้เพราะถูกแมวแทะ แต่เพราะชั้นมันๆ ที่เกิดจากการเคลือบยูวี (ที่จริงมันน่าจะเป็นพลาสติกประเภทหนึ่ง) ร่อนออกมาอะเซ่
-อยากหาอีกเล่มของ สนพ. เจบุ๊ค พิมพ์งานของนักเขียนคนเขียนและนักแปลคนนี้เป็นคนแปลอีก รู้สึกฉบับแปลจะชื่อ 'เพื่อนรัก'


หมาน่อย : รักสะอาด






จะห้าเดือนแล้วนะหมาน่อย

รักในโลกไซเบอร์

เถอะจะเล่า เรื่องราว ของสาวหนึ่ง

ทำงานซึ่ง เช้าเย็น เห็นเสมอ

เป็นเช่นนี้ ซ้ำๆ สำหรับเธอ

ไม่ฟุ้งเฟ้อ เรียบดี หนอชีวิต

แต่บางครั้ง เหงาใจ กระไรอยู่

บ้างอยากรู้ อยากลอง มันข้องจิต

อยากจะลิ้ม รื่นฤดี ของชีวิต

แต่ล้วนพิษ ล้วนภัย ไปทุกทาง

เพื่อนมากมาย ก็คล้าย วนวายวุ่น

ชุลมุน ชีวิต มันติดขวาง

มากภาระ ยากนัก เกินจักวาง

จึงแยกห่าง ออกมา ไม่ว่ากัน

โดยรวมๆ ดีใส ไร้ปัญหา

แค่บางครา ว้าเหว่ เมื่อเหหัน

ถึงวันหนึ่ง แสงสว่าง กระจ่างพลัน

เธอถลัน สู่โลกฝัน อันวิไล

เธอเปิดแชท ดูใจ ใครคนหนึ่ง

อาจไม่ซึ้ง รูปนาม ก็หวามไหว
ทิ้งระยะ บางอย่าง เพื่อวางใจ

โลกส่วนตัว เราไว้ ในลึกๆ

คุยทุกวัน สัมพันธ์ อันหวานชื่น

ดูระรื่น ชื่นจินต์ ถวิลตรึก สู่ความฝัน อำไพ ในคาดนึก

ไม่กระอึก กระอัก จักเจอกัน


เขาทั้งสอง ปองฝัน อันสดใส

ระทึกใจ ไหวหวาม เหมือนความฝัน

เช่นไรหนอ เกินรอ ต่อคืนวัน

จึงพบกัน ฝันนี้ ที่เป็นจริง


หลังพบเจอ เออออ พอคุยได้

กลับห่างหาย คลายไป ไม่สุงสิง
เขาผิดหวัง ด้วยใจ ไม่ประวิง

ไม่ใช่สิ่ง ร่ำริน จินตนา

เธอกลับเหงา กลับเศร้า เฝ้าท้อแท้

แต่ไม่แคร์ แค่นั้น ใช่ปัญหา
ไล่เซื่องซึม ทึมทับ อับอุรา

แสวงหา รักใหม่ ในไซเบอร์ฯ

เรื่องรักในโลกไซเบอร์

เถอะจะเล่า เรื่องราว ของสาวหนึ่ง
ทำงานซึ่ง เช้าเย็น เห็นเสมอ

เป็นเช่นนี้ ซ้ำๆ สำหรับเธอ
ไม่ฟุ้งเฟ้อ เรียบดี หนอชีวิต


แต่บางครั้ง เหงาใจ กระไรอยู่
บ้างอยากรู้ อยากลอง มันข้องจิต
อยากจะลิ้ม รื่นฤดี ของชีวิต

แต่ล้วนพิษ ล้วนภัย ไปทุกทาง


เพื่อนมากมาย ก็คล้าย วนวายวุ่น
ชุลมุน ชีวิต มันติดขวาง
มากภาระ ยากนัก เกินจักวาง
จึงแยกห่าง ออกมา ไม่ว่ากัน

โดยรวมๆ ดีใส ไร้ปัญหา
แค่บางครา ว้าเหว่ เมื่อเหหัน

ถึงวันหนึ่ง แสงสว่าง กระจ่างพลัน
เธอถลัน สู่โลกฝัน อันวิไล

เธอเปิดแชท ดูใจ ใครคนหนึ่ง
อาจไม่ซึ้ง รูปนาม ก็หวามไหว
ทิ้งระยะ บางอย่าง เพื่อวางใจ
โลกส่วนตัว เราไว้ ในลึกๆ

คุยทุกวัน สัมพันธ์ อันหวานชื่น
ดูระรื่น ชื่นจินต์ ถวิลตรึก
สู่ความฝัน อำไพ ในคาดนึก
ไม่กระอึก กระอัก จักเจอกัน

เขาทั้งสอง ปองฝัน อันสดใส
ระทึกใจ ไหวหวาม เหมือนความฝัน
เช่นไรหนอ เกินรอ ต่อคืนวัน
จึงพบกัน ฝันนี้ ที่เป็นจริง


หลังพบเจอ เออออ พอคุยได้
กลับห่างหาย คลายไป ไม่สุงสิง
เขาผิดหวัง ด้วยใจ ไม่ประวิง
ไม่ใช่สิ่ง ร่ำริน จินตนา

เธอกลับเหงา กลับเศร้า เฝ้าท้อแท้
แต่ไม่แคร์ แค่นั้น ใช่ปัญหา

ไล่เซื่องซึม ทึมทับ อับอุรา
แสวงหา รักใหม่ ในไซเบอร์ฯ

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Devil’s Advocate : ชนะเป็นมาร

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


ใน Devil’s Advocate (1997) เควิน โลแม็กซ์ (Keanu Reeves) เป็นทนายจำเลยที่ชนะคดีมาตลอด นั่นทำให้เขาไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ แม้จะเป็นคดีล่วงละเมิดทางเพศที่ครูกระทำต่อนักเรียนของตัวเอง ซึ่งตัวเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าลูกความเป็นฝ่ายผิด จึงใช้พลังทั้งมวลที่มีพลิกลิ้นจนเป็นฝ่ายชนะคดีอีกครั้ง ชัยชนะบนคราบน้ำตาของผู้เสียหายเปล่งประกาย 'เข้าตา' บริษัทกฎหมายใหญ่เบ้งจากนิวยอร์กที่ส่งคนมาทาบทามให้ไปช่วยคัดเลือกลูกขุนในการพิจารณาคดี

เงินก้อนใหญ่และนิวยอร์กคือเหยื่อล่อชิ้นสำคัญให้เควินกับแมรีแอนน์ (Charize Theron) ทิ้งฟลอริดา แม่ และโบสถ์ของแม่อย่างไม่อาลัย ไปสู่อ้อมกอดต้อนรับของจอห์น มิลตัน (Al Pacino) เจ้าของบริษัทผู้ฉลาด ปราดเปรื่อง และรวยเสียงหัวเราะเริงร่าอย่างรู้ทัน (อันที่จริงรู้ใจ) คน

นิวยอร์กเป็นมหานครที่ผู้คนแข่งขันกันตลอดเวลา และในการแข่งขัน คนที่ได้รับการจดจำคือผู้ชนะเท่านั้น ชัยชนะเป็นกลิ่นหอมหวานดั้งเดิมที่ดึงดูดเควินอยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่บีบคั้นให้กระหายชัยชนะอย่างในนิวยอร์ก เขาจึงมุ่งตรงไปหามันจนไม่ยอมเสียเวลากับอะไรข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นความถูกต้อง มนุษยธรรม จริยธรรม หรือเมียแสนสวย ที่เขาเคยยอมรับว่าเป็น 'ทุกสิ่งทุกอย่าง' ของตนเอง

เควินไม่รู้ตัวว่าที่จริงเขาเป็นเหมือนเหล็กที่ถูกเผาให้ร้อน เพื่อให้ช่างตีขึ้นรูปให้เป็นอาวุธชั้นเลิศ ช่างตีเหล็กคนนั้นจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่จอห์น พ่อแท้ๆ ที่เขาเพิ่งรู้จัก ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่งได้รู้ด้วย ว่าพ่อไม่ใช่แค่คนเก่ง แต่พ่อของเขาคือมารตัวใหญ่ที่อุบัติขึ้นเพื่อปฏิบัติการแทะทำลายโครงสร้างของความยุติธรรม และความดีของมนุษยชาติ โดยใช้ความหอมหวานซ่านซ่าของชัยชนะล่อให้เขาและเลือกเนื้อเชื้อไขคนอืนๆ แทรกซึมเข้าไปในศาล ไปเปลี่ยนคนผิดให้เป็นคนถูก ย่ำยีคนถูกให้เจ็บปวดกับความอยุติธรรม

กว่าเควินจะรู้ตัว เขาต้องเสียแมรีแอนน์ไป แต่เมื่อรู้ความจริงทั้งหมด พิธีกรรมการยั่วกิเลสของพ่อก็ไม่อาจเอาชนะคุณธรรมความดีที่แม่ฟูมฟักไว้ในตัวเขาได้ เควินจึงตัดสินใจไม่ให้ในสิ่งที่พ่อต้องการ

การตัดสินใจของเควินอาจทำให้คนดูช็อก แล้วก็ซึ้งกับอีกครั้งที่ธรรมะชนะอธรรม แต่เรื่องราวในหนังยังไม่จบ เพราะมารมันเอาจริง จะเอาชนะให้ได้ และจะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะให้ได้

ดูหนังเรื่องนี้แล้วได้คิด บางทีที่เรารู้สึกกระหายชัยชนะเหลือเกิน ร้อนรุ่มอยากได้เหลือเกิน โลภ คิดๆๆๆๆ ว่าทำอย่างไรถึงจะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง อาจจะต้องหยุด แล้วถามตัวเองสักนิดว่า ทำไมเราถึงอยากได้ขนาดนั้น อยากเป็นคนชนะขนาดนั้น? ใครกันที่อยากชนะ ตัวเรา หรือมารในตัวเรา?




หมายเหตุ :
• หนังสร้างจากนวนิยายโดย Andrew Neiderman กำกับโดย Taylor Hackford
• เป็นหนังที่สะท้อนภาพความเป็นไปในโลกนี้ได้กระจะอย่างน่าเจ็บปวดดี
• แต่จริงหรือ ที่คนชนะคดีถือเป็นฝ่ายถูก??
• “Lawyers are the devil’s ministry” Quote นี้น่าสนใจมาก
• หลายเรื่องที่ฉันเคยผ่านตาแล้วพบว่าหนุ่มคีอานูเล่นไม่ค่อยเข้าตา ฉันว่าเรื่องนี้โอเค แต่ถ้าไม่หล่อสดขนาดนั้น (ย้ำอีกทีว่าหนังเรื่องนี้ออกปี ‘97) มีหวังโดนรัศมี อัล ปาชิโน่เบียดกระเด็นแหง๋ ส่วนแม่ชาร์ลีซคนสวย ตอนนั้นยังเดินไม่ใกล้เวทีออสการ์ ก็เลยยังแหม่งๆ อยู่ไม่ใช่น้อย แต่ดูแล้วก็เพลินตาดีนะ
• CG หนังเรื่องนี้น่าสนใจนะ อย่าลืมสิว่ามันหนังเมื่อ 13 ปีที่แล้วแน่ะ
• ว่าแต่ฝ่ายจำเลยเขามีสิทธิ์เลือกลูกขุนกันได้ด้วยหรอ
• มีสองคนที่ต้องขอบคุณ คือ น้องปิ๋ม ผู้ให้ยืมแผ่นหนังเรื่องนี้มานานแล้ว แต่พี่ยังไม่ได้ดูสักที เพราะทั้งเครื่องเล่นและหัวอ่านที่บ้านต่างก็อ่านไม่ได้ (เกือบถอดใจว่าสงสัยทำแผ่นน้องเขาเสียไปแล้ว) จนกระทั่ง ป๊อปว้าว บุคคลที่สองที่ต้องของคุณ ได้บริจาคเครื่องเล่นซัมซุงมาให้ใช้ หลังจากที่ตัวเองได้ถอยเครื่องเล่นโซเคนอันไฮโซกว่า (อ่านได้เริ่ดมากมาก-ขอบอก) จึงขอขอบคุณบุคคลทั้งสองไว้ ณ ที่นี้ด้วยเจ้าค่ะ


...แต่ไม่อยากเป็นพจมานนนนนนนน



ลักษณะนิสัย ของคนที่เกิดวันที่ 11
  คือแม้จะเจ้าอารมณ์ แต่ก็สร้างสรรค์

คนเกิดวันที่ ๑๑ เป็นคนที่ต้องการคนเอาใจมากกว่าคนเกิดวันอื่น ๆ เป็นคนซื่อตรง และปราศจากเล่ห์เหลี่ยม แต่ก็มักใจน้อยและเจ้าอารมณ์ ดังนั้นจึงมักทำงานที่ต้องอดทน หรือมีรายละเอียดกวนใจมากเกินไปไม่ค่อยได้

คนเกิดวันที่ ๑๑ จึงไม่ชอบเป็นผู้บริหารราชการที่มีระเบียบมากมาย จุกจิก แต่ชอบที่จะเป็นศิลปิน ซึ่งสามารถสร้างสรรค์งานได้โดยจินตนาการและอารมณ์ของตนเอง

และด้วยเหตุผลที่เป็นคนมีจินตนาการแจ่มชัด มีอารมณ์อ่อนไหวช่าง คิดช่างฝันนี้เอง จึงเป็นผู้ที่มีความสุขมากถ้ามีโอกาสได้ทำงานด้าน ประดิษฐ์สร้างสรรค์

ถ้าคุณมีบุตรธิดาคนรัก หรือแม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่ามอบงานบริหารให้เลย ให้มอบงานประดิษฐ์คิดค้นให้ดีกว่า คุณจะได้ประโยชน์และเขาหรือเธอก็จะมีความสุขด้วย

คนเกิดวันที่ ๑๑ ค่อนข้างหัวแข็งในสายตาคนรอบข้าง แต่ที่จริงเป็นคนที่เรียกว่า ' หยิ่งในตัวเอง ' มากกว่า ว่ากันว่าถ้าตรวจสอบวันเกิดกันได้ คุณพจมาน สว่างวงศ์ คงเกิดวันที่ ๑๑ เพราะเป็นคนหยิ่งในตัวเอง และถ้าอยากจะทำให้อ่อนน้อมนุ่มนวลก็ทำได้เป็นอย่างดี ใครที่ทำให้คนที่เกิดวันนี้เกลียดหรือหมั่นไส้ จะถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเลย แต่ก็เป็นไปเพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น เพราะคนเกิดวันที่ ๑๑ จะไม่รุกรานคนอื่นเลย

เมื่อพูดกันถึงเรื่องความรัก คุณคงไม่ต้องบอกรักคนที่เกิดวันนี้ก็ได้ ถ้าคุณสามารถทำตัวให้เป็นคนที่เป็นเพื่อนกับคนเกิดวันนี้ได้ในทุกสถานการณ์ เป็นกำลังใจในการทำงานให้แก่เขาหรือเธอผู้นั้น ที่ สำคัญคือคุณต้องเป็น ' หลัก ' ให้เขาหรือเธอผู้เกิดวันที่ ๑๑ ได้ในการเป็นผู้นำและตัดสินใจในเรื่องที่เขาหรือเธอไม่ชอบที่จะเกี่ยวข้อง

ในเรื่องของความสัมพันธ์ เมื่อยามคุณอยู่กันสองต่อสองนั้น คำยกยอ คำพูดขอร้องที่อ่อนหวาน จะเป็นการปรุงรสสวาทที่ดีกับคนเกิดวันที่ ๑๑ และในส่วนที่เป็นบทรัก คนเกิดวันที่ ๑๑ เป็นคนที่ชอบทำอะไรซื่อ ๆ ไม่มีพลิกแพลง

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า คุณจะทำความเรียบง่ายไม่พลิกแพลงให้เป็นความสุข สมของทั้งสองฝ่ายได้อย่างไรเท่านั้นเอง


วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หมาน่อย : ไปเดินเล่นกัน



ไปกันเถอะ



อาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๓

เช้านี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส
ไหนๆ ก็ตื่นเช้า เราไปเดินเล่นกันดีกว่านะ หมาน่อย


อ้อ เมื่อวานพาหมาน่อยไปหยอดวัคซีนกระตุ้นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
(หมอบอกช่วยป้องกันแมวจากโรคนี้ได้ 70% ส่วนวัคซีนหวัดแมวช่วยป้องกันได้ 90%)
ที่ใช้คำว่า "หยอด" เพราะหมอหยอดทีละหยดลงไปในรูจมูกแมว เพื่อจำลองการติดเชื้อในธรรมชาติ ซึ่งจะติดจากการหายใจ

เรื่องอาการผิวหนัง หมอไม่ติดใจอะไรแล้ว บอกว่าต่อไปอาบน้ำแชมพูยาอาทิตย์ละหนได้ (ต้องงดอาบ 7 วันหลังวัคซีนอยู่แล้ว) ที่หมอตกใจคือ น้ำหนัก 2.1 กก.

หมอนับนิ้ว นับวันหลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้าย แล้วบอกว่า 3 ขีดใน 10 วันหรอเนี่ย
ว่าแล้วก็เขย่าพุงแมว ร้องว่า "เจ้าอ้วนนนนนน"

โปสการ์ดไม่ธรรมดา




ข้างหน้าสวยดี





โปสการ์ดธรรมดาที่เหมือนไม่ค่อยจะธรรมดา
ได้รับในอาทิตย์ที่ผ่านมา

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรดาร์แมว : ชายชาญสัญชาติแมว






ศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553

เจอเจ้าอ้วน-โอเชี่ยน เกลอเก่า
คราวนี้มันนอนผงาดอาบแดดอุ่นๆ โดยไม่ได้เกรงสายตาใครอีกตามเคย
ก็ใครจะมาใหญ่กว่ามันซึ่งเป็นแมวใหญ่คุมโซนนี้ได้เล่า?

เห็นมันง่วง เลยกล้าวนเวียน สำรวจเนื้อตัวมัน
เยินเป็นบ้า แผลเล็กแผลใหญ่เหวอะหวะ

เปิดดูหูเห็นผิวเป็นแผล ท่าทางเจ้าตัวจะคันจนขึ้นเป็นชั้นหนา (ต้องเป็นยีสต์แน่นอน)
ฟันใหญ่ แต่เหลืองเป็นคราบ หักตรงปลายเขี้ยว เข้าใจว่าจะใช้งานเยอะ

เห็นเจ้าอ้วนแล้วรู้สึกหลายอย่าง ทั้่งนับถือในความเป็นแมวตัวผู้นักสู้ของมัน หมั่นไส้ แต่เห็นท่าทางยโสของมันแล้วอยากเปิ้ดกะโหลกสักที แต่ก็ไม่ได้ทำ (ไม่กล้า)

อดคิดไม่ได้ ถ้ามันมีคนเลี้ยงจริงจัง ชีวิตมันจะดีกว่านี้ไหม

หมาน่อย : สิ่งนุ่มนวลและอบอุ่นในยามเช้า





ศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553

พักนี้ฉันไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก เพราะมีแมวปลุก

ทุกเช้า หมาน่อยซึ่งจะร้องวิงวอนขอออกจากตะกร้าตั้งแต่เวลาราวตีสี่เพื่อออกมาอึฉี่
กระโดดไปมา นั่งนิ่งฟังเสียงนก และดมกลิ่นหอมของยามเช้า มีความสุขบริสุทธิ์ๆ อินโนเซ้นส์ประสาแมวเด็ก แต่พอใกล้จะหกโมงเข้ามันจะเดินมาปลุกฉันให้ตื่น

แรกเลยด้วยการเอาตัวอุ่นๆ ที่ปกคลุมด้วยขนนุ่มนิ่มของมันมาไล้ไปมาตามเนื้อตัวฉัน ตามด้วยส่งเสียงปลุกดังเงี้ยวง้าว บางทีที่ฉันตืนแล้วและแอบมองมัน ก็จะเห็นว่ามันปลุกขั้นต่อไปด้วยการแปะอุ้งนิ่มๆ มาบนใบหน้า แต่ถ้ายังไม่ลุก คราวนี้มันจะเลียหน้าด้วยลิ้นที่ยังสากน้อยๆ

ถ้าฉันแกล้งเอาหมอนปิดหน้า นอนต่อ
หมาน่อยจะปลุกขั้นต่อไป ด้วยการกระโดดขึ้นพุง สลับขาทิ้งน้ำหนักลงนวดบนเนื้อหนาๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาขุดสลับกับไซ้จมูกปากที่ล้อมรอบด้วยหนวดแข็งที่โพรงสะดือ

ถึงขั้นนี้แล้วต้องลุกล่ะ ก่อนที่จะถึงขึ้นลงฟันซี่เล็กๆ

เป็นทุกๆ เช้าที่อยากตื่น เพราะไม่ได้นอนต่อ(หลังนาฬิกาปลุก)จนสาย แล้วตื่นขึ้นมาเพื่อจะรู้สึกหดหู่กับความสายจนพานงอแง ไม่อยากไปทำงานเหมือนเคย

ฉันขอบคุณหมาน่อยทุกเช้าที่มาอยู่เป็นเพื่อนกัน
รอคอยการกลับบ้าน เข้านอนด้วยกัน และปลุกฉันให้ตื่นขึ้นทุกเช้า

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

The Final Cut : Remember for Yourself

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


คนเรายิ่งอายุมากก็ยิ่งผ่านโลกมามาก จึงมักจะเจอมาหมดทั้งเรื่องที่ทำให้สุขสม ทุกข์ตรม หลายครั้งที่ได้รับ โอกาสที่ได้ให้ หลายครั้งที่ลงมือแย่งชิง มีเรื่องที่ผิดพลาด การสัมผัสกับความสำเร็จ รูปแบบต่างๆ นานาของการถูกทำร้าย เทคนิคเหนือชั้นของการทำร้ายและหักหลังคนอื่น กระทั่งความประณีตบรรจงในการทำร้ายตัวเอง

ยิ่งอยู่นาน ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นยิ่งมีเยอะจนเลือกจำ เลือกลืมกันไม่ถูก รู้ตัวอีกที ทั้งเรื่องที่ตั้งใจจำ หรือไม่อยากลืม ก็ล้วนลืมไปตั้งนานแล้ว

ลืม โดยที่ไม่รู้ตัวว่ายังจำ

The Final Cut (2004) อยู่ในกระบะหนังเก่าที่หยิบมาดูใหม่ได้เรื่อยๆ อย่างที่ยังไม่นึกเบื่อ ค่าที่ดูเปิดดูเมื่อไหร่ก็โดนทิ่มแทงใจเสมอมา และเพราะว่าฉันเป็นมาโซคิส ฉันจึงชอบที่นานๆ จะหยิบหนังเรื่องนี้มาดูอีกสักที เพื่อกระตุ้นเตือนตัวเองไม่ให้ลืมความเจ็บปวดจากความทรงจำ

หนังเรื่องนี้เล่าถึงโลกที่มนุษย์ถูกฝังอุปกรณ์ช่วยเก็บความทรงจำของสิ่งที่มองเห็น ได้ยิน แม้กระทั่งภาพในฝันเอาไว้เป็นข้อมูลในชิพขนาดเล็ก เพื่อที่เมื่อคนคนนั้นตายแล้ว ผู้ที่ยังอยู่จะได้นำข้อมูลที่เก็บไว้มาจัดการ ซึ่งหนึ่งการจัดการกับข้อมูลพวกนั้นก็คือ การนำมาตัดต่อใหม่ แล้วฉายเล่าในรูปของภาพยนตร์สารคดีที่ถ่ายทำด้วยเลน์สายตาและบันทึกภาพโดยหูของคนคนนั้นนั่นเอง

คงไม่มีใครบ้าพอ และมีเวลามากพอที่จะนั่งพินิจโลกทั้งใบของผู้จากไป สิ่งที่นักตัดต่อยอมให้ผู้มาร่วมอาลัยผู้จากไปเห็นจึงเป็นเพียง “โลกบางส่วน” ของเขาจากความทรงจำของเขาที่ถูกช่างตัดต่อคัดเป็นช่วงๆ แล้วนำมาเชื่อมต่อกันยาวในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง และแน่นอนว่าภาพยนตร์เพื่อการระลึกถึงผู้จากไปนี้ย่อมฉายเฉพาะแง่มุมที่ดีงาม อ่อนโยน ยิ่งใหญ่ เสียสละ อันน่าระลึกถึงเท่านั้น

แต่ใช่ว่าชีวิตบางส่วนที่คนส่วนใหญ่ “รับไม่ได้” จะหายไปตลอดกาล เพราะคนที่ได้เห็นมันโดยตลอด และอย่างละเอียดก็คือช่างตัดต่อนั่นเอง (แล้วถ้านักตัดต่อคนนั้นถูกฝังอุปกรณ์บันทึกภาพที่ได้เห็นและเสียงที่ได้ยินเช่นกัน เขาไม่เท่ากับกลายเป็นอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงตัวพ่อเลยหรือ?)

ช่างตัดต่อจึงเป็นอาชีพที่ต้องมีจรรยาบรรณ หรือ Codes ที่สำคัญบางประการ เพื่อเป็นการเคารพต่อเจ้าของความทรงจำ ซึ่งช่างตัดต่อแต่ละคนก็มีได้บ้างไม่ได้บ้าง เช่นเดียวกับสื่อมวลชนในโลกของเรา

ขณะที่ในพื้นที่ข่าวบนโลกของเรากำลังพล่ามกันถึงสิทธิ สิทธิในการรับรู้ข่าวสาร สิทธิในการแสดงความคิดเห็น สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สิทธิที่จะนั่น ที่จะนี่ โลกใน The Final Cut ก็มีคนกลุ่มหนึ่งถามถึงสิทธิส่วนบุคคลที่จะสงวนความทรงจำของปัจเจกบุคคลไว้กับตัวเอง พวกเขาพากันต่อต้านการฝังอุปกรณ์บันทึก ซึ่งเท่ากับเป็นการถูกจับตาดูตลอดชีวิต โดยการสักบนใบหน้าและศีรษะเพื่อรบกวนวงจรการทำงานของอุปกรณ์ที่ถูกฝังอยู่ในหัว แล้วรวมตัวกันประท้วง หนึ่งในป้ายที่พวกเขาถือเพื่อแสดงความคิดเห็นมีวลีสั้นๆ ที่กินใจฉันว่า “Remember for yourself”

ที่มันกินใจฉันก็เพราะฉันก็คิดเหมือนกันว่าความทรงจำของเรา ไม่ว่าดีหรือร้าย มันควรจะเป็นของเรา ไม่ใช่เรื่องที่ถูกนำ Entertain ใคร ไม่ใช่คำเยินยอ ด่าทอ อีกทั้งไม่ใช่อาวุธทำร้ายใครอื่นอีกด้วย

ถึงจะเจ็บปวดแค่ไหน โหดร้ายปางตายยังไง มันก็เป็นของเรา ของเราเท่านั้น ไม่ควรมีใครมีสิทธิหยิบฉวย หรือนำไปปู้ยี่ปู้ยำ ขยำให้เป็นเรื่องเล่าเรื่องใหม่ นอกจากเราจะทำมันเสียเอง

หึ หึ


บันทึก:
• ฉันชอบเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ตัวกินบาป” เสียจริง
• โรบิน วิลเลี่ยมส์ เป็นอีกคนที่ “เกิดมาเพื่อสิ่งนี้” ในหนังต่างเรื่อง ต่างอารมณ์ที่เขาเล่น เราจะพบตัวตนที่ต่างไปของตัวละครเสมอ ไม่ใช่เปลี่ยนเรื่องไปแต่ยังเจอโรบิน วิลเลี่ยมส์ คนเดิม เหมือนนักแสดงอีกหลายคน
• ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่ควรดูติดต่อ(ทันที)กันเกิน 3 รอบ เพราะมันอาจจะทำให้หดหู่จนแม้แต่แมวก็ช่วยไม่ได้


วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คำสารภาพ ฉบับที่ ๗ : ฉันเปล่าซ่อน



เช้านี้ เพื่อนที่เริ่มจะสนิท เพราะคุยกันแทบทุกวัน ถามลอยลมมา

นี่ๆ ถามหน่อย
คุณม้อยส์ ชอบเป็นคน ห้วนๆ ดุๆ ตรงๆ แข็งๆ กระด้างๆ
เพื่อซ่อนความอ่อนไหว ข้างในเหรอ.....


ฉันตอบไปได้ในทันที

ไม่ได้ซ่อนเลยหนิ
ก็ทั้งหยาบคายและอ่อนไหวอย่างเปิดเผย

หาว่าฉันเป็นคนตอแหลหรอ?



มันน่าสนใจนะ
ทำไมเพื่อนถึงได้คิดว่าคนอย่างฉันต้อง "ซ่อน" อะไรด้วย

ฉันดูเฟคงั้นหรอ?


หมาน่อย : แมวจอมโหด




ต้นเดือนมิถุนายน 2553

หมาน่อยอายุ 4 เดือนกว่าแล้ว
(ตามการคาดการของหมอ)

วันพฤหัสที่ 3 มิถุนายนพาไปตรวจอาการผิวหนังตามหมอนัด
ชั่งน้ำหนักได้ 1.8 กิโลกรัม

อีกหน่อยคงอุ้มไกลๆ ไม่ไหว
คงต้องหัดให้แมวยอมเดินกับสายจูงให้ได้ซะที