วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

เรื่องหมาหมา :...อ้อน



"มีไรให้หนูหม่ำอีกมะ?"

วันจันทร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๑

เห็นเอ๋กะพี่เพ็ญโชว์รูปน่ารักๆ ของน้องหมา เลยนึกถึงความน่าเอ็นดูของนังหมาน้อยที่ดิฉันเพิ่งไปเจอะมา

ปีนี้เป็นปีแรกที่กลับบ้านที่สุราษฎร์ฯ เพื่อไปร่วมไปทำบุญให้ตาที่วัดใต้

หลังจากไหว้ตาเสร็จก็มาจอดรถใต้ต้นไม้ รอพระสวดๆๆๆๆ แล้วก็ฉันเพล
ระหว่างนี้ฆราวาสก็โซ้ยอาหารมื้อ Brunch กันให้อิ่มเอมเปรมใจก็มีหมาน้อยตัวนึง
เลียบๆ เคียงๆ มานั่งส่งตาหวานอยู่ข้างรถ

..น้องเค้ามาขอแจมนั่นเอง

อ้อนกันขนาดนี้ ใครไม่ใจอ่อนก็เกินไปละ

สงสัย-สงสัย (๔)




Flames to dust
Lovers to friends
Why do all good things come to an end?




ท่อนหนึ่งจากเพลง All Good Things (Come To An End) ของ Nelly Furtado
...นั่นซี ทำไมอะไรที่ว่าดี มักอยู่ไม่คงทน
ไฟรักทำไมไม่ลุกโชนอยู่ชั่วกัลปวสาน
เชื้อเพลิงมันไม่แรงพอ หรือว่าลมมันแรงไป?



ป.ล. ถ้ามีใครช่วยอนุเคราะห์เอาเพลงนี้มาแปะก็คงดี
เพราะข้าพเจ้าทำมิเป็น

ข้ามคลอง



ตอนนี้เป็นยามเย็นแล้วแหละ
ลมพัดเย็นสบาย น้ำกำลังไหลลง
ตอนน้ำขึ้นน่ากลัวมาก

เรือที่พายอยู่กลางแม่น้ำ ดิฉันเชื่อว่าเขากำลังลากอวนหาปลา ไม่ก็หากุ้งนี่แหละ


หลังกลับบ้านช่วง ๒๗-๒๘-๒๙ กันยายน ๒๕๕๑
มีเสียงถามถึงรูปคลอง
ดีที่ได้ถ่ายมานิดหน่อย พอแก้กระษัยขัดข้อง

อยากให้ลองทายกันเล่นๆ หนุกๆ
คุณว่าเรือในสองรูปนี้เป็นเรือลำเดียวกันป่าว?


วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

ท้องฟ้าของบ้านนอก (๒)




๒๗-๒๘-๒๙ กันยายน ๒๕๕๑
กลับบ้านเพื่อไปร่วมทำบุญบรรพบุรุษตามประเพณีส่งตายายของคนทางใต้เค้า
ทริปนี้ค่อนข้างขี้เกียจ
เก็บตัวอยู่ในบ้าน ถักผ้าพันคอจนไหมพรมหมดกลุ่ม (คือว่า..ถักมาแล้วครึ่งกลุ่มน่ะ)
ไม่ค่อยได้เดินเตร็ดเตร่ชมอะไรๆ รอบๆ บ้านเหมือนคราวก่อนๆ
แต่ก็พอมีรูปท้องฟ้ามาเก็บไว้อีกตามเคย

เชิญชมตามอัธยาศัย

Photo by Mag



ก่อนจะถ่ายคนให้สััมภาษณ์จริงๆ

ตั้งชื่อเลียนแบบ 'Designed by Mag' ใน Runaway Bride
(ใครจะเก็ตมั่งเนี้ยะ??)

น้องแม็กซ์ถ่ายรูปนี้ให้วันที่ไปทำงานตอนนั้นไง
กว่าจะทวงรูปมันได้ ดูซิ
ถ้าชั้นท้องจริงก็คงใกล้คลอดแล้วล่ะเนี่ย

ยังไงก็ขอบคุณนะแม็กซ์
แม้ว่าเจ้จะดูดำๆ+พีๆ (เกินจริง) ไปหน่อย

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

ติดดิน




อาทิตย์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๑

เมื่อวานแดดแจ๋ ลมแรง
วันนี้ฝนตก
พบว่างอบเป็นอุปกรณ์ที่ดีในการกันแดด-กันฝน
เบาดี แล้วก็ไม่อับหัวด้วย

ความคิดถึง (ของคนญี่ปุ่น)

 

วันก่อน พระจันทร์ถามกระต่าย (เอ๊ย ถามเรา) ว่า คิดถึง ภาษาญี่ปุ่นเขียนไง

เรื่องนี้ไม่แน่ใจ เพราะยังไม่ได้เรียน เลยเขียนอีเมล์ไปถามโดราเอมอนเซนเซ

เซนเซน้องก็แสนใจดี ตอบเมล์มาซะละเอียด แต่ไม่ได้เขียนคำอ่านมาด้วย T T

ไม่เป็นไร เราจะเขียนคำอ่านให้พระจันทร์เอง!

 

...การแสดงความคิดถึงของญี่ปุ่น ค่อนข้างจะซับซ้อนเล็กน้อย เพราะคนญี่ปุ่นจะไม่มีคำว่าคิดถึงตรง ๆ เค้าจะมีคำว่า "โหยหา" ไปเลย และมักจะใช้กับสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ สิ่งของ หรือสถานที่ ที่เราคุ้นเคยเมื่อสมัยก่อนและได้ห่างหายไป และได้กลับมาเจอะเจออีกครั้ง เช่น พี่ม้อยซัง กลับไปธรรมศาสตร์ แล้วรู้สึกคิดถึง (โหยหา) วันเวลาเก่า ๆ ตึกเก่า ๆ ร้านรวงเก่า ๆ เค้าจะใช้คำว่า 懐かしい (なつかしい-na tsu ka shii)
 
แต่ถ้าเราคิดถึงคน คนที่เราจากเค้ามา จะเป็นพ่อ แม่ หรือแฟน หรือใครก็ได้ เช่นไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วคิดถึงพ่อแม่ คนญี่ปุ่นนิยมใช้คำว่าอยากพบ หรืออยากเจอ  あなたに会いたいです。(ซอรี่ อันนี้อ่านคันจิไม่ออก T T ) >> (ในภายหลัง ด้
วยความช่วยเหลือจาก mondaymelody  ก็อ่านออกว่า anata ni aitai desu)
 
ถ้าจะให้หวานซึ้งกับแฟน คนญี่ปุ่นมีอีกทางเลือกคือ "พอไม่มีคุณอยู่ ฉันเลยเหงา"
あなたがいないと、さびしいです。 (anata ga inaito sabishii desu)

หรือ "พอคุณไม่อยู่ ฉันเลยอยากพบคุณ" あなたがいなくて、会いたくなりました。(อันนี้ก้อซอรี่ อ่านคันจิไม่ออก T T ) >> (ด้วยความช่วยเหลือจาก mondaymelody -อีก ก็อ่านออกว่า anata ga inakute aitakunarimashita)
 

มันก็มีอีกหลายหนทางในการจะสื่อถึงว่าเราคิดถึงเค้าอ่ะนะคับ แต่โดยเบสิคก็ประมาณเนี้ยเน้อ...

 

 

สรุป ถ้าพระจันทร์อยากบอกว่าคิดถึงใคร ใช้

あなたがいないと、さびしいです。 (anata ga inaito sabishii desu) นะจ๊า

 

บันทึกเรื่องที่ ๗ : เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

"ม้อย..ได้นิสัยอย่างนี้มาจากธรรมศาสตร์หรือเปล่าลูก?"

แม่ถามลูก ระหว่างสนทนาเรื่องร้อยพันอย่าง

อะไรฟะ-ลูกงง

"นิสัยอะไรอะ?"

"ก็..นิสัยติดดินน่ะ" แม่เฉลย

"อ้าว..ตอนอยู่เชียงใหม่ม้อยไม่ติดดินเรอะ?" ลูกงง

"ไม่รู้สิ ตอนนั้นลูกยังเล็ก ยังดูไม่ออก"

".........ติดดินหรอ? ม้อยว่าม้อยออกจะเป็นคนถือเนื้อถือตัวนะ"

"คนที่ถือเนื้อถือตัวน่ะ เพราะเขาเป็นตัวของตัวเองสูงตะหาก"

เอ๊ะ แม่เรากะลังจะบอกไรเรานะ???

 

บันทึก :

-เราแม่ลูกไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ดิฉันเอ็นท์ติดเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นเราอยู่ที่เชียงใหม่กัน

-พอเอ็นท์ฯ ติดก็ไม่มีเวลาคิดว่าจะเรียนหรือไม่เรียน เพราะต้องเรียนเลย จากนั้นก็ออกจากเชียงใหม่มาแบบแทบจะไม่ได้กลับไปอีกเลย

-การที่แม่เห็นว่าลูกติดดินนี่ ก็คิดไปได้หลายประการ เป็นต้นว่า ขี้เกียด ซกมก ไม่แต่งตัว ไม่แต่งหน้า ไม่ทะเยอทะยาน ฯลฯ แต่เพื่อสันติภาพ... เดี๊ยนขอคิดว่าแม่ชมละกัน (คือว่าแม่เดี๊ยนออกจะชื่นชมมหา'ลัยที่ลูกเอ็นท์ติดเยอะอยู่น่ะ)

 

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

ข้อดีของการมีเพื่อนร่วมทาง



ไม่ต้องเขินเพราะ "แนว" อยู่คนเดียว

คู่นี้เป็นสาวเกาหลี
ปีกหมวกของเธอทั้งสองมีขนาดน่าประทับใจมั่ก


วนกรบอกจะไปเที่ยวเวียดนามคนเดียว

เจ้มานึกดู

ใช่ เจ้ไม่ชอบการเดินทางแบบอึกทึกคึกโครม
ถ้าเลือกได้ก็ไม่โปรดทัวร์เท่าไหร่ ขี้เกียดคอยดูแลหน้าไม่ให้บึ้ง

แต่
เจ้ไม่เคยอยากเดินทางคนเดียวเรย

เวลาคิดถึงทริปเงียบๆ ที่อยากไป เจ้จะนึกถึงใครสักคนที่รู้จักกันดี
เป็นเพื่อนกัน เป็นที่พึ่งของกันและกัน

เจ้นึกไม่ออก ว่าเจ้่จะไปเที่ยวไกลๆ หลายๆ วัน
โดยลำพัง
..ได้ไง

เจ้เหงาอ้ะ...

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

FROZEN


วันพุธที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๑


You only see what your eyes want to see

มาดอนน่าเอื้อนเอ่ยขึ้น พอดีกับจังหวะก้าวออกจากลิฟต์

ออกจากออฟฟิศก็ปาเข้าไปสามทุ่มครึ่ง
อากาศกำลังดี ฟ้าโปร่ง ลมพัดเย็นสบาย
การจบลงด้วยดีของบทสนทนายุ่งขิงนานสามชั่วโมงกว่าทำให้ยิ้มกริ่ม

How can life be what you want it to be
You're frozen
When your heart's not open

จากหน้าตึกโอเชียน เดินไปปากซอย ๑๙ เลี้ยวขวาไปทางอโศกมนตรี
มุ่งหน้าไปสถานีบีทีเอส

You're so consumed with how much you get
You waste your time with hate and regret

เิริ่มจะดึกแล้ว แต่รถราบนถนนอโศกยังจอแจ
'บรรยากาศสวยจัง' ไม่ได้ใส่แว่นก็จะเห็นโลกกลางคืนเบลอๆ สวยๆ แบบนี้เอง
และขณะที่กำลังอิ่มเอมกับอารมณ์อยู่นั้น....

นั่นมัน...
ก้อนอะไร ใหญ่ๆ ดำๆ กำลังเคลื่อนที่มา

You're broken
When your heart's not open

ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ

Mmmmmm, if I could melt your heart

เฮ้ย!
นั่นมันช้าง เอ๊ย! ไม่ใช่ ลูกช้างนี่นา

Mmmmmm, we'd never be apart

แล้วมันจะวิ่งไปไหน?
บนทางเท้าริมถนนอโศก?
ตอนสามทุ่มกว่า?
หรือมันตกมัน?

Mmmmmm, give yourself to me

บ้า
ตัวมันยังเล็กอยู่เลย

Mmmmmm, you hold the key

เฮ้ย มันเป็นไรอะ?

Now there's no point in placing the blame
And you should know I suffer the same

หลบ หลบ
ต้องหลบ

If I lose you
My heart will be broken

ตุบ ตุบ ตุบ
ช้างน้อยผ่านไป

บนทางเท้าริมถนนอโศกเวลาสามทุ่มครึ่งที่ยังมีรถวิ่งจอแจ
มันวิ่งข้ามแยกเข้าตึกรัชภาคย์ไป
ยังตรงไปอีก

Love is a bird, she needs to fly
Let all the hurt inside of you die

ดูมันรีบๆ
จะไปไหนล่ะนั่น?
แล้วถ้ามันไปถึงปากซอยเรา มันจะดูรถก่อนข้ามถนนไหม?

You're frozen
When your heart's not open

แล้วเราควรทำไงดี?
เจ้าของมันก็ไม่เห็นวิ่งตามมาสักที
หรือควรตามมันไป

If I could melt your heart
We'd never be apart

...ปลอบให้หายตกใจ ?

บ้าสิ
มันโกรธไร หนีไรมาก็ไม่รู้

Give yourself to me

'แล้วเราควรทำไงเนี่ย?'
ยืนอึ้งอยู่ในแสงเบลอสวย
บนถนน รถรายังขวักไขว่
คิดยังไม่ออก

You hold the key

ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
เท้าทั้งสี่ของมันพาเจ้าของวิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ

แล้วมันจะถูกรถชนไหม?

You only see what your
eyes want to see
How can life be what
you want it to be
You're frozen
When your heart's not open

....อะไรนะ
มาดอนน่าว่าเราป่าวเนี่ย?


น่าคิด : อันเนื่องมาจาก "วรรณกรรมขาดแคลน"


พุธที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๑

อ่านมติชนสุดสัปดาห์ ๑๙-๒๕ กันยายน ๒๕๕๑ แล้ว ติดใจบทความของ คำ ผกา
เจ๊แกร่ายถึงพล็อตวรรณกรรม ลามไปถึงบทละครโทรทัศน์
แกว่า สังคมพัฒนารูปแบบ เปลี่ยนรูปความสัมพันธ์และบทบาทไปมาก แต่ไหงพล็อตวรรณกรรมจึงย่ำอยู่กับที่ ติดอยู่กับพล็อตสำเร็จรูปไม่กี่แบบ

สะใจเจ๊แก เลยขอเอามาจุดกระแสถกเถียงในบล็อก (ตามเคย)

...คู่แต่งงานที่หย่าร้างจะเลี้ยงลูกกันอย่างไร โดยก้าวพ้นวาทกรรมเรื่องเด็กมีปัญหา เด็กขาดความอบอุ่น เด็กที่โตมากับพ่อคนเดียวหรือแม่คนเดียวจะกลายเป็นเด็กมีปมด้อย มีปัญหาทางเพศ ติดยา เบี่ยงเบน และอื่นๆ ร้ายไปกว่านั้น มีพ่อและแม่จำนวนมากที่ใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการเอาชนะคะคานทางอารมณ์ของกันและกัน

ผู้หญิงที่ตั้งท้องแล้วตัดสินใจที่จะเลี้ยงลูกตามลำพัง (อย่างกรณีของ รมต. หญิงฝรั่งเศสที่ปฏิเสธจะบอกนักข่าวว่าพ่อของลูกในท้องของตนเป็นใคร และยืนยันสิทธิของเธอที่จะเป็นแม่ตามลำพัง ฉันคิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่าหากเกิดกับ รมต. หญิงของไทย ป่านนี้คงถูกยำเละตุ้มเป๊ะ)

ชีวิตคู่ของเกย์ เลสเบี้ยน มิติของพ่อแม่ที่ติดยาเสพย์ติด โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเลวช้า ชาติชั่ว หรือเด็กที่ิติดยาด้วยเหตุผลที่ซับซ้อนกว่าเป็นเด็กบ้านแตก พ่อแม่ไม่รัก ฯลฯ

เราไม่มีแม้กระทั่งหนังหรือละครที่พ่อแม่หย่าร้างกันอย่างสวยงาม มีวุฒิภาวะ ตกลงกันได้อย่างผู้ใหญ่ หรืออย่างน้อยตัวละครได้เติบโตไปพร้อมกับปัญหาที่พวกเขาเผชิญโดยไม่ต้องให้ใครมาตบใคร เราน่าจะมีละครที่ช่วยให้เราเข้าใจว่าการมีลูกเป็นเกย์นั้นไม่ใช่อาชญากรรม โลกไม่ล่มสลาย เราไม่มีวรรณกรรม หนัง ละครเกี่ยวกับคนติด HIV ที่มีมิติของความเป็นมนุษย์

ยกเว้นแต่เป็นบทให้ตัวละครได้รับโทษอันเนื่องมาจากความสำส่อน...

จาก มติชนสุดสัปดาห์เล่มที่กล่าว หน้า ๙๒




วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

เรื่องที่ยังไม่อยากให้จบ


อังคารที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๑
หลังสอบสัมภาษณ์กับชิดะเซนเซ (คนไหน..คงจะเดากันได้นะ)

นี่เป็นรูปที่ดีที่สุด
อีกรูปดันหลับตา แขนบึน
แล้วก็หัวฟูสุดๆ

(..คนนี้ไงคุณต่าย)

ป.ล. เพื่อนๆ น่ารักทุกคนนะ ว่าไหม?


อังคารที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๑

และแล้วก็เสร็จสิ้นการสอบสัมภาษณ์ Y2 อันเป็นกระบวนการสุดท้ายของการสอบวัดผลการเรียนคอร์สนี้มาตั้งแต่เดือน ๑๐ มิถุนายน

เฮ้่อ... เวลาผ่านไปเร็วจัง
เพิ่งรู้สึกชัดเจนว่าชอบเรียนภาษาญี่ปุ่น ชอบคนญี่ปุ่น
เริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ในคลาส
แต่รู้สึกมานานแล้วว่าการเดินไปซอยสุขุมวิท ๒๙
เพื่อเรียนทุกเย็นวันอังคาร-พฤหัสคือความเคยชินของชีวิต

เพิ่งจะเริ่มอิน...ก็ถึงวันสอบ แล้วก็ปิดคลาสซะละ

ดีนะ ที่ยังกล้าขอถ่ายรูปกะเซนเซ
(เพราะแค่อีเมล์แอดเดรสยังไม่กล้าขอเลย)


ป.ล. หากยังรักกันอยู่ โปรดอย่าถามว่าทำได้มั๊ย
ได้กี่ข้อ ฯลฯ
เพราะมันทรมานใจเกินไปที่จะตอบ



ชวนน้องชม : คอนเทมโพรารีบัลเลต์

Start:     Sep 25, '08 7:30p
ชวนอุดมกับอุดมพรไปชมคอนเทมโพรารีบัลเลต์จากคณะซูริกบัลเลต์ สวิตเซอร์แลนด์
เล่นที่ศูนย์วัฒนธรรม เวลา 19.30 น.

บัลเลต์เชิงนามธรรม 3 ตอน ไร้ีบทพูด
มีแค่มิวสิค สัญลักษณ์บนเวที ท่าเต้นและแสง แสดงเรื่องราว

ใครจะไปยกมือขึ้น!

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

ฉัน (๖)





คนใจร้าย
ใจร้อน
แต่บางทีก็ใจอ่อนสุดๆ

เรดาร์แมว : แมววังหลัง



อย่างงัวเงียจัด
"อารายอ้ะ เจ้คนนี้?"

อาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๑

ผ่านไปย่านวังหลัง
ผู้คนมากมาย เดินกันขวักไขว่
แต่เรดาร์แมวยังทำงาน

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

ได้อย่าง-เสียอย่าง



จันทร์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๑

อดีตคนรักบุกมาเยี่ยมถึงที่ทำงาน และชวนไปกินข้าวเที่ยง
(แอบโล่งใจที่เขาไม่ไปเยี่ยมที่บ้าน)

บอกว่าจะเอาพระมาให้
(ทำไมต้องเอาพระมาให้?)

ไม่อย่างนั้นคนอื่นเค้าจะว่าได้ ว่าไม่ดูแลกัน
(เมื่อก่อนไม่ดูแล เดี๋ยวนี้ค่อยมาดูแลเรอะ?)
(ให้พระเครื่องเป็นการดูแลอย่างหนึ่ง?-พึ่งรู้)

เขาดูดี ไม่อ้วน ไม่ผอม
(แต่หน้าตาเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้นแหละ)

บุคลิก ท่าทางยังเหมือนเดิม
(อือ ถ้าจะมีอะไรที่ไม่เปลี่ยนเลยก็คือท่าทางนี่แหละ)

พอได้ทีก็ระบายเรื่องอึดอัดในใจอย่างยาวนาน
(ก็ดันไปถามเขาทำไม)

บรรยากาศรอบข้างเอะอะ วุ่นวายจากประชาชนที่กำลังหิว
ไหนจะเพลงลูกกรุงที่เปิดอยู่สนั่น
(รู้สึก panic จนพานคิดถึงคนอื่น)
(แอบใจลอย คิดไปว่าถ้าอยู่กับเขาคนนั้น เราจะรู้สึกอยากไปให้พ้นจากที่นี่เหมือนอย่างนี้ไหม)

เขาไม่รินน้ำให้เรา เหมือนกับที่ไม่เคยรินให้
(นี่หล่อนยังจะไปหวังอะไรจากเขาอีก?)

กินเร็วเหมือนเดิม
(แก่แล้วยังไม่รู้จักเคี้ยวก็ปล่อยไปเหอะ)

คราวนี้ไม่ติติงเรื่องรูปร่าง แต่ถามถึงทรงผม ว่าตัดบ้่างป่าว
(ตอบโดยการเหลือกตาขึ้นดูเพดาน)

พี่ชอบตอนม้อยรวบผมตึงๆ มากกว่า
(เหลือกอีกที)

ก็รู้ ก็รู้-เขาพูด-ขอพูดมั่งไม่ได้หรือไง
(หยุดเหลือกตา แต่หันมาเล็มข้าวแกงกะหรี่ต่อไป)

นี่พระอาจารย์มั่นนะ
(ทำไมต้องเป็นพระอาจารย์มั่นล่ะ?-ถามดูเพราะคิดว่ามีความหมายเชิงสัญลักษณ์)

ก้อพระอาจารย์มั่น วัดป่าสุทธาวาส ไม่รู้จักหรอ-เขาเหลือกตามั่ง
(ยิ้ม ส่ายหัวแ่ด่กๆ)

โธ่เอ๊ย
(หัวล้านได้หวีสิ)

ไอ้ไก่ได้พลอยเอ๊ย!
(ด่าอีกจนได้)
(ความจริง ไก่ได้พลอย-หัวล้านได้หวี มันก็เหมือนกันแหละ แต่ต้องขอแย้งไว้ก่อน ไม่งั้นผิดคอนเซ็ปท์)

บันทึก
-เป็นการพบกันที่จัดว่าน่ายินดีพอใช้
-เพราะไม่ได้ทะเลาะกันถึงขั้นขึ้นเสียง ทุบโต๊ะ หรือขว้างปาข้าวของ
-ถ้าคุยกันได้ประมาณนี้ตลอดก็คงดี จะได้ไม่ต้องโกรธกันให้เหนื่อย
-ไม่น่ากินแกงกระหรี่เลย ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับข้าวราดแกงกะหรี่เลวร้ายเปล่าๆ
-แถวออฟฟิศไม่มีที่นั่งคุยเฉยๆ โดยไม่ต้องดมควันบุหรี่เลยนี่หว่า
-รู้สึกว่าเขาเป็นหนึ่งในน้อยคนที่หวังดีโดยแท้จริง และวางใจได้ (แม้ไม่อาจวางใจ ว่าเขาไม่นอกใจ)
-ทำไมจมูกชั้นถึงดีจัง นี่มันยังชินกับกลิ่นโอเดอทอยเล็ตนั่นอยู่เลย
-หรือฉีดน้ำหอมของตัวเองมาไม่มากพอฟะ?
-ทำไมเค้าไม่ถามชั้นมั่งว่าชั้นเป็นไง สบายดีหรอ แฟนใหม่ชั้นเป็นยังไง ดูแลชั้นดีไหม (อยากตอบๆๆๆๆ)
-แล้วทำไมถ้าชั้นไม่ถามเรื่องเค้า เค้าต้องหาว่าชั้นไ่ม่สนใจเค้าทุกที???


เลือกมา..ว่าจะรักใคร




ใกล้เลือกตั้งแล้ว
กรุงเทพฯ เต็มไปด้วยป้ายโฆษณาหาเสียง
แต่ยังไม่มีใครในหัวใจเลย

ทำใจให้เลือกไม่ได้ว่ะ



ปีกนางฟ้า

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:โยชิโมโต บานานา แปลโดย นภสิริ เวชศาสตร์
...แปดปีกับการใช้ชีวิตในฐานะชู้รักตั้งแต่อายุสิบแปดของฉันสิ้นสุดลงแล้ว ฉันยังช็อกไม่หาย ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฉันก็ยังไม่ชินกับการแยกทาง ราวกับวันเวลาเหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิต มันพองตัวใหญ่ขึ้นโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลย ฉันจึงรู้สึกอ่อนล้าอยู่ตลอดเวลา ราวกับคนเป็นโรคปวดไหล่เรื้อรัง ฉันรู้สึกโง่ลงไปถนัดใจเพราะเอาแต่ครุ่นคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ

...พ่อกับแม่รักกันมาโดยตลอด อาจเป็นเพราะทั้งคู่เรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แถมยังตั้งอกตั้งใจจะเป็นนักจิตวิทยาเหมือนกัน จึงทำให้ความรู้สึกยังเหมือนเมื่อสมัยยังเป็นนักศึกษา แต่หลังจากนั้นฉันกลับคิดว่า ความสัมพันธ์อันดีของพ่อกับแม่มีพื้นฐานจากนิสัยที่คล้ายกันมากกว่า ทั้งสองต่างคิดถึงความสุขของตัวเองเป็นหลัก จึงมักไม่คิดหยุมหยิมมากมาย เวลาออกไปไหนต่อไหนก็ดูมีความสุขตลอดเวลา

แต่ชีวิตของฉันกลับตรงกันข้าม ฉันใช้ช่วงชีวิตวัยรุ่นซึ่งร้อนแรงเรื่องความรักที่สุดหมดไปกับการคบคนมีภรรยาแล้ว จึงตกอยู่ในสภาพต้องเป็นฝ่ายรอคอยเขาอยู่ตลอด จนชีวิตมีเวลาว่างเกินไป เอาแต่คิดฟุ้งซ่านจนกลายเป็นคนขี้ระแวง...

...ผู้ชายคนนั้นเป็นช่างภาพมีชื่อเสียงพอประมาณ เขาซื้อคอนโดไว้เพียงเพื่อใช้พบปะกับฉัน โดยทำทีว่าเป็นที่ทำงาน ฉันชีวิตอยู่ที่นั่นมาตลอด มันกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของฉันหลังจากที่เราเลิกกัน ดูเหมือนว่าเขาตัดสินใจยกห้องให้ฉันหลังจากที่ได้ปรึกษากับภรรยาแล้ว สำหรับฉัน มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย เพราะทำให้เกิดความรู้สึกไม่น่าพิสมัยติดค้างในใจว่า ตัวเองได้รับความกรุณาเหลือล้นจากพวกผู้ใหญ่ซึ่งคิดไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว

เขาบอกเลิกฉันทางโทรศัพท์ ด้วยเหตุผลว่าภรรยาผู้อ่อนแอคิดมากจนแทบเป็นโรคประสาท หลังจากรู้ว่าถูกนอกใจมานาน ซ้ำร้ายยังส่งผลให้หล่อนเป็นโรคหัวใจอีกด้วย...

“...ผมทิ้งครอบครัวไปไม่ได้หรอก ผมทำให้เธอทุกข์มามากพอแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะหยุดเสียที เรามีลูกด้วยกัน ไหนจะพ่อแม่ปู่ย่าตายายของพวกเราอีก ทุกคนมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน นานมากแล้วตั้งแต่ตอนเริ่มรู้จักกัน ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าเมื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่แบบนั้น ผมจะรักษาความสัมพันธ์อันดีให้ยืนยาวชั่วชีวิต คงไม่ยุติธรรมแน่ถ้ายังคบกับคุณต่อไปโดยเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ ผมตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกภรรยา อย่าให้ผมพูดมากไปกว่านี้เลย”

“หมายความว่าที่ผ่านมา คุณก็แค่เล่นๆ กับฉันสินะ”
“ถ้าพูดกว้างๆ ก็ใช่…”

…………………..
คุณที่รัก

บางส่วนที่ตัดช่วงมาจาก “ปีกนางฟ้า” คงทำให้คุณพอมองพอเข้าใจ ว่านี่คือเรื่องเล่าของผู้หญิงหัวใจสลายคนหนึ่ง ที่ถูกตัดความสัมพันธ์นาน ๘ ปีฉันชู้รักโดยชายชู้ผู้สูงวัยกว่า และมีภรรยาแล้ว
ก่อนความเศร้าจะกร่อนกินใจจนตายซาก หญิงสาวเลือกกลับไปพักอยู่กับย่าที่บ้านเกิด เมืองริมแม่น้ำ เธอปล่อยให้แม่น้ำ ธรรมชาติ และบรรยากาศอวลความอบอุ่นจากคืนวันในอดีตค่อยๆ เยียวยารักษาความรู้สึก
ระหว่างนั้นก็ได้เจอกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอกันมาก่อน
สิ่งที่ทำให้ดิฉันประทับใจเกี่ยวกับหนังสือเล่มเล็กเล่มนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่องที่เกิดขึ้นกับโฮตารุ ซึ่งทำให้นึกถึงความทรงจำเสี้ยวใหญ่ของตัวเอง แต่ยังเป็นความประทับใจต่อชะตาชีวิตที่ผูกพันกันตั้งแต่ต้นของคนสองคน ชะตาที่ร้อยเรียงคนทั้งคู่ไว้ ไม่ให้พลัดหายไปจากกันด้วย

ขอบคุณที่อ่าน


บันทึก:
-ได้หนังสือเล่มนี้มาอ่านด้วยความอนุเคราะห์ของเพื่อนรัก ผู้ซึ่งเมื่อทราบว่าดิฉันเครซี่โยชิโมโต บานานา หลังจากอ่าน “หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข” ก็จัดการฝากหนังสือเล่มนี้มากับเพื่อนรักอีกคนทันที
-อ่านได้ไม่กี่หน้า ดิฉันก็ฝากเพื่อนคนที่ถือหนังสือมาให้ไปถามคนฝากมาให้ว่า “ที่เลือกเล่มนี้ให้ เพราะว่าเรื่องของนางเอกคล้ายเรื่องของเรางั้นหรอ?”
-อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณทั้งคนฝากมาให้ และคนถือมาให้อ่านนะจ๊ะ
-โยชิโมโต บานานา เขียนเล่าความรู้สึกที่ซับซ้อนของอารมณ์ได้เก่งจริงๆ
-นภสิริ เวชศาสตร์ (เอกญี่ปุ่น ศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์) แปลได้ดีจัง
-…ฉันมีความสุขกับชีวิตที่ได้แต่เฝ้ารอคนรัก เหมือนกับมีความสุขเวลารู้สึกอุ่นตรงปลายจมูกยามลมโชยมาพร้อมกับกลิ่นหอมหวานแห่งฤดูใบไม้ผลิ หรือเวลารู้สึกร้อนตรงหัวเข่าเวลานั่งอยู่หน้าเครื่องทำความร้อนในฤดูหนาว ฉันแช่ตัวเองลงในความรักอันยิ่งใหญ่เหมือนกับแช่ลงในน้ำอุ่น ความรักที่จดจ่ออยู่กับเวลาชั่วขณะโปรยปรายลงมาทับถมกันเบาๆ ไม่มีวันพรุ่งนี้ ไม่มีความเป็นจริงอันหนักอึ้ง ฉันเอาตัวเองไปผูกไว้กับชีวิตแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ…(หน้า ๑๗) คือย่อหน้าที่อ่านแล้วน้ำตาซึม เมื่อคิดถึงตัวเองในวันก่อน
-ดิฉันพบว่ายังรัก คิดถึง และห่วงใย ผู้ชายคนที่ดิฉันใช้เวลาช่วงหนึ่งในชีวิตเพื่อรอคอยจะได้พบกับเขาอยู่เสมอ
-ดิฉันปล่อยกาลเวลาให้ผ่านไปเพื่อแสดงความเคารพต่อการตัดสินใจของเขา แต่กาลเวลาที่ผ่านไปนี้ก็ได้ทำให้ดิฉันเห็นเช่นกัน ว่าความรักที่ได้เกิดขึ้น ยังคงมีชีวิตอยู่ ...แม้มันจะเปลี่ยนสภาพไปบ้างก็ตาม

ดูโทรทัศน์กับทะเล



รายการโปรดของเลคือรายการเด็กสายๆ
ช่องไทยพีบีเอส
นี่เป็นไดโนเสาร์หลงยุคแบบไทยๆ
ชื่อไรไม่รุ
ต้องให้แม่แอนถามให้



อาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๑

เวลาเด็กๆ ดูรายการโทรทัศน์ที่ตัวเองสนใจ
หน้าตาเป็นอย่างไร
โปรดติดตาม

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

ฉัน (๕)




เกลียดคนเห็นแก่ตัวที่สุด
...แต่ดันเป็นเสียเอง

ความดีของการกินข้าวคนเดียว

ศุกร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๑

วันศุกร์ หลายคนมีนัด หลายคนออกเที่ยว
แต่ดิฉันไปหาหมอ
หมอคนนี้เป็นที่ปรึกษาเรื่องผิวพรรณประจำตัว
หากันจนแกเห็นเราเป็นเหมือนน้องสาวไปแล้ว
และคราวนี้ไม่ได้แค่ปรึกษาเรื่องสิว แต่มีเรื่องอื่นที่กำลังกังวลใจด้วย
หมอก็ช่างแสนดี บอกว่าอย่าไปเครียด
ทำชิลๆ รอไป เดี๋ยวถึงเวลาค่อยตรวจ
ว่าแล้วก็จัดยาให้

เพื่อนรักคนนึงถามว่า ได้คุยกับหมอแล้วสบายใจใช่ไหม
บอกเพื่อนไป ไม่เชิงว่าสบายใจหรอก
ตอนมองหน้าหมอ เกือบเล่าต่อไม่จบแน่ะ
เหมือนเอาความอึดอัดในใจไปแบ่งให้หมอ
แต่คนเป็นหมอก็คงชินกะเรื่องแบบนี้อะเนอะ

ออกจากคลินิกหมอสองทุ่มแล้ว ฝนดันตก
แค่จากชายคาฟอร์จูนไปลงรถใต้ดิน ทำเป็นไม่อยากเปียก
เลยหาร้านกินข้าว กะว่าจะรอฝนปรอยหน่อย
เลือกไปเลือกมา มาลงที่ Kobune ตามเคย
ร้านนี้มันไม่อร่อยหรอก
แต่ชอบกินอาหารที่เป็นอาหารไง

ดีใจที่เลือกร้านนี้ แถมมาคนเดียว ได้นั่งโต๊ะที่มองเห็นวิวเหงาๆ ข้างนอกด้วย
นั่งคนเดียว ไม่มีใครให้สนใจ
เลยสนใจข้อความบางอย่างบนโต๊ะ

มันน่ารักดี เลยจดมาฝากกัน

เราเป็นแค่ร้านเล็กๆ ที่ต้องการมีส่วนในการช่วยรณรงค์ให้ผู้คนรับรู้ และช่วยกันแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง
เราหวังว่าสิ่งเล็กๆ ที่เราทำจะช่วยแบ่งเบาและช่วยลดวิกฤตโลกร้อนได้บ้าง และขออภัยลูกค้าในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้

๑. ใช้ "กล่องเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม" แทนกล่องโฟม ข้อดีคือ
๑๐๐% สามารถใช้ได้กับน้ำ ทั้งอาหารร้อนและเย็น
๑๐๐% ปลอดภัยจากสารพิษปนเปื้อน และไม่มีสารคลอรีนตกค้าง และย่อยสลายได้ด้วยการฝังกลบในดิน ภายใน ๔๕ วัน

๒. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงเวลา ๑๖.๐๐-๑๗.๐๐ น. เราจะ
-หยุดวิ่งเรือ (แต่ไม่หยุดให้บริการอาหารบนเรือ)
-ปิดไฟบางจุด (โรแมนติกนิดหน่อย)
-ปิดแอร์ ๑ ตัว (แต่ไม่ร้อนทั้งคุณและโลก)

๓. ปรับเวลาเปิด-ปิดไฟป้าย

๔. ช่วยให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน

แล้วคุณพร้อมจะเริ่มทำสิ่งเล็กๆ เพื่อช่วยกันลดวิกฤตโลกร้อนหรือยัง?



ถ้าไม่ได้มาคนเดียวจะสังเกตเห็นไหม?



เรดาร์แมว : หลับสบาย ท้ายซีรีส์เจ็ด




แมวบำบัด:
วันวาน-๑๘ กันยายน ๒๕๕๑
นับเป็นวันซังกะบ๊วยสุดๆ
อุตส่าห์ลางานไปท่องหนังสือสอบภาษาญี่ปุ่นตอนเย็น
เจ้ากรรมนายเวรยังตามมาป่วนให้สติแตกเสียเอง
ข้อสอบก็ทำไม่ได้
(ขนาดเซนเซใบ้ให้สุดๆ ยังโง่ ตอบผิดเลย คิดดู)
ไม่แข็งแรงพอไปส่งป้าอ้อย
แถมตอนออกจากร้านข้าวฝนยังเทกระหน่ำ

เรียกว่าเป็นวันเซ็งที่้สมบูรณ์แบบ

ดีนะ วันนี้เจอเจ้าอ้วน
ได้ลูบไล้เนื้อตัวมันแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย
(ขอบใจนะเจ้าเหมียว)

ป.ล. ไอติมรัมเรซินและการชอปปิ้งเล็ก น้อยๆ ก็ช่วยได้อีกแรง

ฉัน (๔)




นอกจากหน้าแย่
ยังมีวาจาเป็นอาวุธ
ถนัดนักเรื่องข่มผู้ชาย
ทำลายความมั่นใจเพื่อน

คำคม#๑๒



14. พยายามทำตัวให้ดีและมีคุณค่า 
มากกว่าจะเป็นเพียงผู้หญิงที่ถูกแฟนทิ้งไป 
แล้วคอยคิดว่า สักวันแฟนเราจะกลับมาเอง




อ่านเจอจากบล็อกใหม่ซิงๆ ของอาอิ ที่
http://aii08.multiply.com/journal/item/81 (คลิกไปอ่านเพิ่มเติมได้นะ)
เธอว่าเธออ่านเจอในหนังสือหนังสือ First   เขียนโดย  พันธกร
ช่างเป็นข้อความที่ตรงใจ น่าใช้กระซิบลงไปในหูเพื่อนซ้ำๆ
ก็เลยขโมยเจ้าของเขามาดื้อๆ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

ฉัน (๓)




..แย่
พูดจาแย่
ความคิดแย่ไม่พอ กิริยาแย่กว่า
มนุษยสัมพันธ์ก็แย่

จับจด
ทำอะไรไม่เคยได้ดี
ทำงานฝีมือไม่เคยเสร็จ
อ่านหนังสือไม่เคยจบ
คบใครไม่เคยรอด


ฉัน (๒)




ทำตัวได้น่าเบื่อมาก
สนใจแต่เรื่องฉันสนใจ
ต้องการอะไรดังใจตัวเองต้องการ
ไม่เคยรับฟังคนอื่น อยากจะฟังแต่สิ่งที่ฉันอยากได้ยิน

ฉัน (๑)




คิดถึงแต่ตัวเอง

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

บ๊าย-บายป้าอ้อย

Start:     Sep 18, '08 9:00p

ป้าจะไปลอนดอนวันนี้
ว่าจะไม่ไปส่งแล้วเชียว
แต่รู้สึกใจหาย ถ้าไม่ได้เห็นหน้าป้าก่อนไป
แค่หอมแก้มเมื่อวันจันทร์ยังไม่พอ

ป.ล. ป้าบอกห้ามร้องนำ

คำคม#๑๑




"ผู้ชายยังไงก็ชอบรุก ไม่ชอบรับ"



ได้ยินมาจากการสนทนาของสาวๆ
คิดถึงตัวเอง
สงสัยว่าตัวเอง 'รุก' มากไป
หรือ
จริงๆ แล้วผู้ชายจะไม่ชอบที่จะเป็นฝ่าย 'ตั้งรับ' จริงๆ

ป.ล. พลาดอีกแล้วสินะ หัวใจ
(เน่าชะมัด)

เหนื่อยนักต้องพักร้อน!

Start:     Oct 22, '08 11:00p
End:     Oct 26, '08
: เชียงใหม่

-คอนเสิร์ต ETC+เจ้คิ้ม
-ขนมเส้นน้ำเงี้ยว
-วัดอุโมงค์
-วัดพระธาตุดอยสุเทพ

ถ้ามีเพื่อนเที่ยว(ที่ไม่ใช่เอ๋)ก็ดีดิ

กลับบ้านบ้าง

Start:     Sep 26, '08 6:00p
End:     Sep 29, '08

แม่เรียกกลับบ้าน
บอกว่าวันจันทร์ที่ ๒๙ กันยายน
เค้าจะทำบุญให้บรรพบุรุษกัน
ให้เรากลับไปทำซะมั่ง

ช่วยเพื่อนคิด : กิจกรรมเพลินใจ


เพื่อนยังจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ทำให้เศร้าหมอง
เลยชวนเพื่อนหาอะไร(ที่ไม่เสียเงิน)ทำให้เพลินใจ

* อ่านหนังสือ 
* ดูหนัง
* หัดถักนิ้ตติ้ง
* ออกกำลังกาย
* ตัดต้นไม้ที่มันรกๆ
* เล่นกับหมาแมว
* แซวเด็กแถวบ้าน
* ซักผ้า รีดผ้า
* ปะชุนเสื้อผ้า 
* ปีนขึ้นไปเช็ดบานเกล็ด
* ล้างห้องน้ำ 
* ทำกับข้าวกินเอง
* หัดทำเค้กง่ายๆ ที่ไม่ต้องลงทุนมาก
* เอาจานชามออกมาเรียงแล้วจัดใหม่
* จัดหมวดหมู่หนังสือใหม่ 
* เล่นมัลติพลาย
* อัพรูป
* เขียนบล็อก เขียนบันทึก ไม่ก็เขียนกลอน
* เขียนรีพลายแซวเพื่อน
* ตามอ่านซ้อเจ็ดให้ครบตอนแล้วเขียนบทวิเคราะห์ว่าซ้อเจ็ดเป็นใคร
* ประดิษฐ์เกมอักษรไขว้
* หัดเล่นหมากรุก ซูโดกุ 
* หัดสวดคาถาชินบัญชรแบบยาว
* ล้างรถ ดูดฝุ่น ขัดเงา
* ขนรองเท้าที่มีออกมาขัด
* เล็มผมให้เข้าทรงแล้วทำสี 
* ไม่ก็ดัด
* ทำเล็บ 
* ทำบิกินี่แว็กซ์
* อ่านอีเมล์เก่าๆ แล้วเคลียร์มันซะมั่ง
* จัดโฟลเดอร์ในคอมให้เรียบร้อย
* ดูรูปเก่าๆ 
* โทรหาญาติที่ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว
* ทบทวนภาษาฝรั่งเศส
* ทำ to do list 
* เขียนอีเมล์หาเพื่อน
* หัดแต่งเรื่องตลก ถ้าทำไม่ได้ก็เรื่องอีโรติกมันเลย
* ไปชุมนุมทางการเมือง
* วางแผนเที่ยวตอนปลายปี


อะไรอีกดี? 
อย่าเอาแต่อ่าน ช่วยคิดหน่อยจิ

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

สอบ Y2

Start:     Sep 18, '08 6:30p
วันชี้ชะตา
ฝ่าฝนไปเรียน Y2 มาตั้งแต่เดือนมิถุนา
วัดผลกันวันนี้ครึ่งนึง

ตายไม่ตายไว้รอดูสภาพจิตวันศุกร์

โฮ่ โฮ่ โฮ่

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

รอวันกุหลาบบาน




รอกลิ่นกำจายของกุหลาบ

สบตากับตัวเอง [รำพึง-รำพัน]






ที่รัก..
มันนานแล้ว
ที่ฉันเห็นเธอเสียหลัก เพราะความรัก

ที่รัก..
เห็นเธอเจ็บปวด ฉันพลอยร้าวราน
เห็นเธอร้องไห้ ฉันพลอยสะเทือนใจ
รู้ว่าเธอนอนไม่หลับ ทำให้ฉันรู้สึกผิด

เพราะฉันช่วยเธอไม่ได้

เพราะฉันรูู้้้
ว่าความเศร้าของเธอไม่ได้สูงใหญ่เกินจะก้าวผ่าน
แต่ไม่อาจช่วยเธอให้ก้าวผ่าน
ถ้าเธอไม่ยอมก้าวผ่านมันด้วยตัวเอง

ที่รัก..
เธอเองก็รู้
เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ
มีชีวิตอยู่เพียงชั่วระยะสั้นๆ
แล้วเธอจะพลีเวลาอีกเท่าไหร่ีให้กับการหลั่งน้ำตา?

ที่รัก..
ลองมองลึกลงไปในกระจก
บอกฉัน..
เธอเห็นใคร

ในใบหน้าที่แสนเศร้าสร้อย
อิดโรย หม่นหมอง
ดวงตาคู่สอง บัดนี้บอบช้ำ
ล้อมด้วยแผงขนตาที่ไม่เคยแห้ง

...มองลึกลงไป
บอกฉันหน่อย
โครงหน้าี้ เส้นผม ตาี้ จมูก และปากของเธอ
เธอได้มาจากใคร?
ไหนจะอีกใบหน้าที่คล้ายกันกับเธอ

รู้ไหม
ถ้าเธอร้องไห้
พวกเขาทั้งหมดจะร้องไปกับเธอ
ถ้าเธอทุกข์ใจ
พวกเขาก็จะทุกข์ไปด้วย

เพราะอะไรหรือ?
เพราะพวกเขารักเธอไง

ความรักที่ไม่มีข้อแม้จากพวกเขา
ไม่อาจทดแทนรักจากชายผู้นั้น
ที่เธอไม่อาจครอบครอง อย่างนั้นหรือ?

...เชื่อฉัน
ทุกครั้งที่เธอเริ่มรู้สึกแย่กับตัวเอง
สบตากับตัวเองให้นาน-นาน
มองลงไปให้ลึก-ลึก


แล้วเธอจะพบคำตอบของเธอ




จาก ฉัน-อีกคนที่รักเธอ

รูปคู่



หนูนาถ่ายให้

อาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๑

อยู่บ้าน เข้าเน็ตไม่ได้
เซ็งๆ เลยเอารูปคู่มาดัดแปลง

คิดถึงนะ เอ๋ และ ป้าอ้อย

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

บางเรื่องที่ไม่รู้เหตุผล ตอนที่ ๕ โปรดบอกฉัน ว่าคุณมีอยู่จริง



“ขอบคุณนะ” 

...ภารดีนึกถึงคืนนั้น 
คืนอันยาวนานของความตื่นเต้นที่ได้พบ ปิติที่ได้พูดกับคนที่ฟังอย่างใส่ใจ 
คืนแสนแปลกที่คนเก็บตัวสองคน ซึ่งเพิ่งได้รู้จัก ระบายเรื่องราวในใจต่อกันและกันอย่างเปิดอก  

คืนที่เธอหลับไปตอนรุ่งสาง พร้อมรอยยิ้มบางเบาบนริมฝีปาก 

กาลเวลาเปิดโอกาสให้คนแปลกหน้าเริ่มพัฒนาความคุ้นเคยต่อกัน 
ภารดียอมรับกับตัวเอง เธอชอบเขาหมดใจ

ยากนัก หากให้บอกว่าทำไม
อาจเป็นเพราะความเปิดเผย และจริงใจที่เธอสัมผัสได้
อาจเป็นเพราะความถูกคอ 
อาจเป็นแค่น้ำเสียงของเขา
หรืออาจจะเป็นอะไรสักอย่างที่เธอไม่แน่ใจ 

‘แรงดึงดูด’ ระหว่างกันงั้นหรือ?
...คงไม่ผิด
แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้นแน่นอน

ไม่ใช่เพียงเพราะเขาทำให้เธอร้อนรุ่มได้ทั้งเนื้อทั้งตัว
ทั้งยังไม่ใช่เพราะเขาสามารถทำให้เธอรู้สึกเสมือนสิ่งมีชีวิตไร้น้ำหนัก อาบอิ่มไปด้วยความสุขสมขณะลอยล่องอยู่ท่ามกลางนภากาศ ในยามที่ดาวทอแสง

เพราะเขาคนเดียวกันนี้ บางครั้งยังเป็นราวกับสายลมเย็นชื่นพัดผ่านในยามอบอ้าว
บางครั้งยังทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นดังอ้อมแขนเขากระหวัดรอบกาย

ภารดีรู้สึก นับจากวันที่ได้รู้จัก เขาคือสิ่งดีงาม 
คือคนที่ทำให้เธอรักการมีชีวิต
รู้สึกอยากขอบคุณที่เขาทำให้รู้สึกดี เพียงเพราะรู้สึกได้ในทุกๆ วัน ว่ามีเขา 
เธอฟังเพลง Thank You เหมือนเป็นเพลงของตัวเอง 
แม้ในขณะเดียวกัน เธอจะตกอยู่ในภาวะเดียวกับหญิงสาวผู้อยู่ในห้วงรักของเพลง Misty 
ใช่..เธอรู้สึก ‘ช่วยตัวเองไม่ได้’ เหมือนลูกแมวตัวนั้น

นานมาแล้วที่ไม่ได้รู้สึกถึงการมีใครคนหนึ่งครอบงำอยู่ในทุกขณะความนึกคิด 
ทำไมหนอ
ชายผู้ยังไม่เคยพบหน้าจึงทำให้เป็นไปได้ถึงเพียงนี้

..เป็นไปได้มากมาย อย่างที่หลายชายรอบกาย ไม่อาจทำ

ภารดีไม่แน่ใจนักว่าเธอเริ่มถามถึงการพบเจอกันในโลกแห่งความเป็นจริงตั้งแต่เมื่อไหร่
เธอบอกเขา เขาเหมือนภาพในความฝัน 
เธอพร่ำขอให้เขาช่วยทำให้ตัวเองมีตัวตนจริงในโลกของเธอ

ไม่แจ้งด้วยเหตุผล เขาไม่เคยรับปาก
อ้อนวอนอยู่เป็นหลายครั้ง เขาจึงติติงการเร่งเร้าของเธอด้วยคำถาม
“คุณจะบังคับให้กุหลาบบานได้อย่างไร?”

แม้จะปวดใจ แต่ภารดียอมรับ และเข้าใจ
..เธอยินดี ‘รอ’ วันกุหลาบบาน 

แต่แอบหวังลึกๆ ว่า  
...กุหลาบเองก็รอวันบานอยู่เหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

ติดฝน



ถึงจะเปียกฝน
แต่ก็ยังอุ่นใจ



เสาร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๑

ชวนเพื่อนสาวไปเดินสวน (จตุจักร)
อาจเป็นที่ช่วงนี้ฝนตกบ่อย จตุจักรเลยคนน้อย (กว่าทุกครั้ง)
เราสองไม่รู้จะซื้ออะไร
แต่ดิฉันพอใจที่ได้ชวนเพื่อนมาเปิดหูเปิดตา
เผื่อจะร่าเริงขึ้นบ้าง

ไม่รู้จะเป็นอย่างนั้นไหม
ก่อนฝนจะเทลงมาจนร่มคันเดียวช่วยอะไรเราไม่ได้
ต้องมาติดฝนใต้กันสาดร้านริมทาง

ดิฉันแอบเห็นหยาดน้ำหยดเล็ดรอดโอเวอร์ไซส์ซันกลาสเซสบนใบหน้าเพื่อน

...โอ้เอ๋ย ความคิดถึง
ขนาดหนีมาเดินในที่คึกครื้นอย่างตลาดนัดจตุจักรก็ยังตามมาหลอกหลอนกันได้

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

ชีวิตสัตว์โลก ตอน วิบากกรรม


ศุกร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๑

หลังวันครบรอบ 911 หนึ่งวัน
ชีวิตควรจะ 'สุข' เหมือนเสียง 'ศุกร์'

แต่มันเริ่มต้นด้วยการตื่นสาย
ที่ว่าจะตื่นแต่ตีห้า มาทำงานฝิ่นที่ค้างไว้เพราะทำให้เสร็จไม่ไหว
กลายเป็นหกโมงครึ่ง
เปิดคอมแล้วก็เล่นเน็ต เขียนรีพลายในมัลติพลายไปเกือบชั่วโมง
กว่าจะตั้งตัว ทำงานที่ค้างไว้เสร็จก็เกือบเก้าโมง

ที่บอกหัวหน้าไว้ว่าขอไปดูกล้องโอลิมปัสก่อนมาทำงาน
ก็เลยไม่ได้ไปแล้ว เพราะถ้าไปอีกจะสายกว่านี้ หัวหน้าคงเสียใจ
เลยต้องทาร์เก็ตเป้าหมายกันใหม่
ไปอโศก ไปทำงาน

แวะซื้อพายทูน่ายามาซากิ
ความพะรุงพะรัง (มี ๓ กระเป๋า จากการเตรียมตัวไปวิ่งตอนเย็น) ไม่พอ
ยังเก็บเงินทอนอย่างงกๆ เงิ่นๆ
ในที่สุด
ก๊อเลยทำกระเป๋าตังค์ตกตอนอยู่บนบันไดเลื่อน
(จริงๆ เกือบตกลงมาด้วย เพราะดันยืนผิดที่-โชคดีของคนข้างหลังนะ ที่ไม่หงายลงไป)
บัตรบีทีเอสกระเด็นลงหลีบข้่างบันไดเลื่อนอย่างพอดิบพอดี

นี่มันเวร หรือว่ากรรม กันแน่
พยายามคิดว่า
ดีนะ เหลือแค่ ๒ เที่ยว (=๔๐ บาท)
ถ้ามันตกไปตอนยังเหลือ 30 เที่ยว (๖๐๐ บาท) ชั้นคงเป็นลม
เดินไปจัดการแจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อที่จะได้นั่งเที่ยวนี้ไปลงอโศกได้โดยไม่มีปัญาหา

แล้วก็ขึ้นไปโดยสารรถอย่างเซ็งๆ
ระหว่างนั้น คุณมาโนชก็สั่น บรื๊ดดดดดดดดด บรื๊ดดดดดดดดดดดด
สายเข้า

เปล่า
ไม่ใช่ผู้ชาย
คุณเพื่อนสาวนั่นเอง
"แก ทำไรอยู่ คุยได้ไหม" เสียงหม่นๆ ชนิดที่ทำให้เสียงตอบนุ่มนวลขึ้น
"ได้ ชั้นอยู่บนรถไฟฟ้า"
"แกไปไหนอ่ะ"
"ไปทำงานสิวะ"
"สิบโมงกว่าแล้วเนี่ยนะ" แหม๋ นังนี่...
"เออ แกมีไรหรอ ว่ามา" ชักรำคาญ
"................"
"เฮ่ย..แกได้ยินชั้นป่าว"
"..............." มันร้องไห้

เพื่อนร้องไห้
เพื่อนบอกว่าเพื่อนรับไม่ได้ ที่แฟนเก่ามีแฟนใหม่แล้ว
เพื่อนยอมรับว่าเพื่อนงี่เง่า ที่ดันคิดว่าแฟนเก่าจะรอตัวเอง
เพื่อนเล่าเรื่องความผิดหวังในการหางาน
เพื่อนบอกว่าเพื่อนเข้าใจคนฆ่าตัวตาย
เพื่อนบอกเพื่อนเคยรู้สึกไม่อยากตื่นนอน

เกือบปีนึงแล้ว ที่เห็นเพื่อนเป็นแบบนี้
จมทุกข์ ไร้สุข
หมดความนับถือตัวเองลงทุกวันๆ

อยากบอก.. และบอกเืพื่อนไปแล้วว่า

รักตัวเองด้วย

อดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อนาคตก็ไม่อาจคาดเดา
อย่าเสียเวลาคร่ำครวญกับอดีต
อย่าเสียเวลาวาดฝันสวยหรูของอนาคต
ทั้งๆ ที่เรากำลังหายใจอยู่ในปัจจุบัน

รักตัวเองด้วย

อยากบอกเพื่อนว่า สิ่งทีเ่กิดกับเพื่อนตอนนี้มันอาจเป็นแค่วิบากกรรมเล็กๆ ในชีวิตเล็กๆ ของเพื่อน
สิ่งที่ตามมามันอาจจะเป็นเรื่องดีๆ
...แต่ก็ไม่กล้าบอก

คงต้องให้เพื่อนคิดเอง





ป.ล. สิ่งที่แคร์มากคือ หวังว่าเพื่อนจะรู้ ว่า

ชั้นรักแกจริงๆ
และ
ชั้นไม่อยากเห็นแกแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
ฉะนั้น...โปรดดูแลตัวเอง

รักตัวเองด้วย


จดหมายส่วนตัว : ดอกไม้บาน..นานกว่าความรู้สึก



เขาบอกว่า เขาไม่เข้าใจฉัน
เมื่อคืนเราจึงคุยกัน

ฉันถาม, คิดอย่างไรกับฉัน
อยากคบ, เขาตอบ
น้องดูเก่งดี มีความสามารถเยอะ แต่
เป็นตัวของตัวเองมากไป

อ้าว, ฉันร้อง
ช่วยไม่ได้นี่นะพี่

บอกตรงๆ ว่าพี่ดูน้ำขึ้นน้ำลงนะ, ฉันบอกมั่ง
หลังจากกินข้าวกันวันนั้นก็หายไปเลย
เหมือนว่าเราเดตกันแล้วไม่เวิร์ก พี่เลยไปเดตกะคนอื่น

ก็ไม่ว่าง, เขาอธิบาย
เหมือนที่เคยบอก
ไม่โรแมนติกด้วย

ไม่มีเวลาแม้แต่นาทีเดียว สำหรับโทรหากัน?, ฉันถาม
ถ้าคบกันไปจริงๆ คงสับสนน่าดู, ฉันตั้งข้อสังเกต, ว่าจริงๆ เรายังคบกันอยู่หรือเปล่า

เหรอ?

ใช่สิคะ

ก็ พี่ยังไม่ได้บอกเป็นอย่างอื่นนี่
(เขาเคยบอกฉันแล้ว ถ้ายังแจ้งการเปลี่ยนแปลง แปลว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม)

เรื่องมันอาจจะเป็นเพราะเราพูดกันคนละภาษาน่ะ, ฉันถอนหายใจ

ทำไม?, เขาถาม, ต้องให้บอกทุกวันหรอ

ไม่ใช่อย่างนั้น, ฉันแก้
แต่น้องไม่ควรต้องสงสัย ว่าพี่หายไปไหน
(เพราะถ้าไม่มีคำตอบ น้องจะคิดต่อไปเอง ว่าพี่ไปไหน ทำอะไร กับใคร-อันนี้คิดในใจ ไม่ได้บอกให้เขารู้)

งั้นออกมากินข้าวกันอีกเหอะ, เขาเข้าประเด็น, นะครับ

..อย่าดีกว่า, ฉันตอบ
น้องเป็นของน้องแบบนี้
จะกินข้าวกันสักกี่ครั้ง
นิสัยแย่ๆ ของน้องก็ไม่เปลี่ยนหรอก

งั้น, เขาเสนอทางเลือกใหม่, เรามาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมดีกว่า
พี่ไม่คิดเรื่องนี้แล้ว

ไม่ต้องเป็นอะไรกันก็ได้พี่
ไม่ต้องคิดมาก, ฉันตอบ

พูดแบบนี้..ไม่มีเยื่อใยกันเลยนะ, เขาพ้อ

ไม่ใช่อย่างนั้น, ฉันเริ่มอธิบาย
ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักกัน เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่
จริงไหม?

เอาล่ะ เอาล่ะ, เขารวบรัด
สรุปกันก่อน ก่อนจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่

สรุปว่าเราต่างคนต่างกลับไปจุดเดิม, ฉันสรุปให้เอง
จุดที่เราไม่รู้จักกัน
จะได้ไม่ต้องคิดมาก
ไม่ต้องกังวลใจ

..ขอบคุณสำหรับวันนั้นค่ะพี่
ไปก่อนนะ
ง่วงแล้ว



หมายเหตุ: ไม่ใช่เรื่องจริง
แค่ Base on true story เห็นเบื่อๆ เลยเขียนให้อ่านกันขำๆ
อย่าคิดมากไปนะจ๊ะ

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

Somewhere Along the Way



กับการข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยการเดินข้ามสะพานสาทร

พุธที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๑

ริอ่านทำเปรี้ยว
ไปสังสรรค์กับเพื่อนมัลติพลายที่ส้มตำแบตเตอรี่
ไกลโพ้นจากบ้านตัวเอง...อีกแล้ว

อาหารอร่อย บทสนทนาออกรส
เพลิดเพลินเจริญใจ
เหลือบดูเวลที่คุณมาโนช... ใกล้ห้าทุ่ม
กลับกันเหอะ
เรือข้ามฟากหมดเที่ยงคืน
(ใครคนหนึ่งบอกอย่างมั่นใจ)

มาถึงท่าเรือเป๊บซี่ตอนห้าทุ่ม กะ ๕ นาที
"เรือหมดแล้วครับ...ต้องเดินข้ามสะพานสาทรไป"

....
โอวว์ สาวโสด
เดินดุ่มข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเวลาห้าทุ่มกว่าๆ




แต่ก็ดีนะ...
โอกาสจะได้เห็นบันไดในแสงสีที่สวยอย่างนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ละมั๊ง


ป.ล. ดิฉันชอบบันได (เผื่อคุณยังไม่ทราบกัน)

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

ยินดีที่ได้สัมผัส





พุธที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๑

เดินกลับจากเล่นโยคะรอบเช้า
อากาศแจ่มใส
ผ่านสยามสมาคม
ทักทายลีลาวดีสีโปรด
บังเอิญเห็นมีดอกนึงร่วงลงมา
สงสัยด้วยแรงฝนกระหน่ำเมื่อคืน
เลยเก็บติดมือมาด้วย

ก้านแดง กลีบชมพูไล่โทน ใจกลางเป็นเหลือง
กลิ่นหอมเอียนๆ ฉุนๆ

ยินดีที่ได้ดมเป็นครั้งแรกนะจ๊ะ คนสวย

จดหมายส่วนตัว : จากชายหนุ่ม




หัวข้อ : ...........

ถาม : ไม่เข้าใจม้อยจริงๆ เลย
เดาใจยาก เป็นตัวของตัวเองสูง อารมณ์ไม่คงที่

ตอบ : just because I always change my headshot pictures?

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

บันทึกเรื่องที่ ๖ : คนที่ควรไว้วางใจ

 

 
ฉัน: ดิฉันไม่เคยไว้ใจใคร!

เขา: ในแง่คนรัก หรือ ในแง่อื่นๆ เช่นเพื่อน

ฉัน: โทษที หมายถึงไม่เคยไว้ใจผู้ชาย

กับเพื่อน ไม่เคยมีปัญหาเรื่องความไว้วางใจ

 

....คือส่วนหนึ่งของการตอบโต้ในบล็อกอันหนึ่งที่เขียนถามความเห็นเกี่ยวกับความไว้วางใจคนรัก

ตอนที่ตอบเขาไปว่า "กับเพื่อน ไม่เคยมีปัญหาเรื่องความไว้วางใจ" นั่น คิดในใจ แต่ไม่ได้เขียนลงไป ว่า

 

เพราะถ้าคนคนนั้นไม่น่าไว้วางใจแล้ว เราก็คงไม่คบเป็นเพื่อนหรอก

 

ก็เราน่ะหยิ่งจะตายไป เพื่อนเนี่ย เลือกคบหยั่งกะอะไรดี

ทุกวันนี้ก็เลยมีเพื่อนจริงๆ น้อย นับหัวถ้วน แต่ทุกคนที่เรียกว่า "เพื่อน" เป็นคนที่วางใจได้ พูดกันได้อย่างเปิดอก

รู้สึกว่าแบบนี้ดีกว่ามีเพื่อนมาก แต่วางใจไม่ได้ เข้าไม่ถึง

 

 

...วันนี้ หลัง Mamma Mia ที่สกาล่า ขณะโซ้ยส้มตำปูปลาร้า (หวาน) ในร้านมารีน่ากับป้าอ้อย เพื่อนรุ่นพี่ที่ทั้งรักทั้งงอน ถูลู่ถูกังกันมานาน และี่กำลังจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กันอีกพักใหญ่

(อันนี้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผลักดันให้ต้องมองหาคู่หู คู่หาง หรือถ้าเป็นไปได้คือคู่รัก สำหรับเป็นเพื่อนทำกิจกรรมสัพเพเหระที่เคยทำกับป้ามัน)

ขณะพูดถึงวันเดินทางของชี ก็ดันนึกถึงความวางใจ-ไม่วางใจอะไรนี่ขึ้นมาอีกหน

ด้วยความเป็นคนไม่เก็บกักอะไรอยู่ในใจ แล้วก็ไม่สนใจว่าเพื่อนจะทำไง ลำบากใจไหมกับเรื่องที่ได้รู้

จึงได้ทำการสารภาพให้ป้าอ้อยฟังไป

 

..ว่า เราเพิ่งจะเสียเวลา ๑๐ ชั่วโมง (ของวัยสาวตอนปลาย) ในการลงทุนทำความรู้จักกะคนคนหนึ่ง โดยการพบกันสองวาระ

 

บ้าแท้ๆ

นั่งคุยกันครั้งละ ๕ ชั่วโมง (๕ ชั่วโมงเชียว!)

 

๑๐ ชั่วโมง ของวันเสาร์อาิทิตย์

 

แทนที่จะเอาไปนอนกลางวันให้หน้าตาเอิบอิ่ม

แทนที่จะเอาไปดูหนัง X กองเป็นตั้งที่รอฤกษ์อยู่ ว่าเมื่อไหร่มึงจะดูกูเสียที

แทนที่จะเอาไปท่องศัพท์ ทบทวนแกรมม่าภาษาญี่ปุ่น (ใกล้สอบแล้วนะแก)

แทนที่จะเอาไปฝึกโยคะให้เก่งๆ จะได้กลายเป็นป้าจิ๊ไวๆ

แทนที่จะเอาไปนั่งเล่นทอดหุ่ยในสวนสาธารณะ ดูพ่อแม่ลูกเค้าจูงมือกันเดินเล่น มีความสุข

แทนที่จะเอาไปเยี่ยมเพื่อนที่ไม่สบาย

แทนที่จะเอาไปนั่งเขียนบล็อก จีบผู้ชายทางเอ็มเอสเอ็น แม้กระทั่งเซ็กซ์โฟนกะใครสักคน

 

ดันเป็น ๑๐ ชั่วโมงที่

 

..ต้องรับอนุมูลอิสระจากควันบุหรี่โดยไม่จำเป็นเล้ย-ปกติโคตรจะรังเกียจ (วิตามินซีวันละพันมิลลิกรัมจะช่วยให้กูไม่ให้แก่กะไอ้ควันนี้ได้ไหมเนี่ย?)

..ต้องนั่งฟังเรื่องของเขาเป็นส่วนใหญ่ เรื่องตัวเองไม่ค่อยมีจังหวะพูด (หรือเขาไม่อยากรู้วะ?)

..ต้องปั้นหน้าระรื่น แสร้งว่า ดิฉันนั้น ที่แท้แล้วเป็นผู้หญิงใจกว้าง ฉลาด เข้าใจอะไรง่ายๆ และเป็นมิตรกับคุณเสมอ (อ้วก!)

..ก่อนจะเสียเวลา ๑๐ ชั่วโมง ต้องถ่อไปที่นัดที่แม่ง ไกลบ้านกูเจงๆ อีก

..แถม ไอ้ ๑๐ ชั่วโมงนรกที่ควันบุหรี่เข้าตานี่ ยังทำให้สมองเบลอ ประมวลผลพลาด

 

ตัดสินใจไว้วางใจเขาไปซะงั้น

 

เฮ้่อ.... แย่ว่ะ

เสียความรู้สึกไม่น้อย แต่คงไม่บ่นมากแล้ว

เท่าที่บ่นไปก็มีกระแสเสียง ทับถม+สมน้ำหน้า จนกูจะบ้าอยู่แล้ว

 

เอาเป็นว่า ขอบันทึกไว้ ณ ที่นี้ละกัน

ว่าต่อไปให้จำไว้

 

..ในเมื่อคิดว่า เพื่อน คือคนที่แกไว้ใจได้เสมอ

ก่อนจะคิดไว้ใจผู้ชาย ก็ควรคบให้ชัวร์ก่อน

ว่ามันเป็นเพื่อนกะแกได้

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

สงสัย-สงสัย (๔)


เห็นด้วยไหมกับ...

โลกมนุษย์คือโลกที่ต้องมีมนุษย์อยู่
ธรรมชาติจึงจัดสรรให้มนุษย์มีขบวนการสืบเผ่าพันธุ์
ความต้องการทางเพศจึงเป็นสัญชาติญาณที่รุนแรงมาก
แรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของหญิงที่อยากเป็นแม่คน
และแรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของแม่ที่ต้องการปกป้องลูกของตน เรื่องสัญชาติญาณนี่เป็นเรื่องลึกซึ้งและลึกลับของธรรมชาติ สัญชาติญาณที่รุนแรงเหล่านั้นล้วนเป็นแผนการณ์ให้มนุษย์จำเป็นต้องทิ้งเผ่าพันธุ์ไว้ในโลกมนุษย์ การฝืนธรรมชาติเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องยากมาก



ได้มาจาก http://www.dhammajak.net/book-other/23.html (คลิกไปอ่านต่อได้นะค๊า)
ขอขอบคุณพี่เพ็ญใจดี (http://pensij.multiply.com/) ที่นำเรื่องนี้มาฝากน้องม้อย(สาวโสดซึ่งกำลังสับสนใจกับการมีคู่)ค่า

หรือเราไม่ได้โดดเดี่ยวในจักรวาล?



ฤดูหนาวที่กรุงนิวยอร์ก ซิตี้ ในปีนั้นยาวนานมาจนถึงปลายเดือนเมษายน

เพราะอยู่คนเดียวและตาพิการ ฉันจึงต้องขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านเกือบตลอดเวลา

 

ในที่สุดความหนาวเหน็บก็จากไป ฤดูใบไม้ผลิเข้ามาแทนที่ อากาศพลันสดชื่นแจ่มใส นอกหน้าต่างหลังบ้านมีนกเมอร์รี่ตัวเล็กตัวน้อยมาส่งเสียงร้องกันอย่างจ้อกแจ้ก ราวกับว่ามันกำลังผงกหัวเรียกฉันให้ออกมานอกบ้าน

 

เพราะอากาศเดือนเมษายนยังเอาแน่ไม่ได้ ฉันจึงยังสวมเสื้อหนาว แต่ก็ยอมถอดผ้าพันคอยาวที่ทำจากขนสัตว์ หมวก และถุงมือ ฉันกำลังกำไม้สามง่ามนำทางไว้ พลางเดินก้าวออกมาตรงระเบียงหน้าบ้านอย่างสดชื่น เพื่อมุ่งตรงไปที่ทางเดิน ฉันแหงนหน้ารับแสงอาทิตย์ พร้อมยิ้มรับความอบอุ่นของมัน

 

ขณะเดินไปตามถนนที่เป็นทางตันและเงียบสงบ เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันก็ส่งเสียงทักทายเป็นทำนองเพลง ฮัลโหลและถามฉันว่า จะติดรถไปด้วยกันไหม

ไม่ละค่ะ ขอบคุณมาก ฉันตอบ

ขาของฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดหน้าหนาว ข้อต่อข้อพับดูจะอ่อนเปลี้ยไปหมด เลยต้องออกกำลังเสียหน่อย

 

เมื่อเดินมาถึงหัวมุมถนน ฉันก็หยุดตามปกติวิสัยเพื่อรอให้คนอื่นมาพาข้ามถนนเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะรอนานกว่าปกติ

ขณะกำลังยืนรออย่างอดทน ฉันก็ฮัมเพลงขึ้นมา เป็นเพลงต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่ร้องได้ตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนตอนเด็กๆ

 

ฉับพลัน เสียงของชายฟังดูท่าทางกำยำก็ดังขึ้น เสียงเพลงของคุณฟังดูมีความสุขมากเลยนะครับ เขาพูด ช่วยพาผมเดินข้ามถนนได้ไหมครับ

 

ฉันพยักหน้าด้วยความภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ยิ้ม และพูดเบาๆ ว่า ได้ค่ะ

 

มือของเขาซุกเข้ามาในท่อนแขนบนของฉันเบาๆ แล้วเราก็ก้าวลงถนนไปด้วยกัน ระหว่างที่เดินข้ามถนนช้าๆ เราคุยกันเรื่องทั่วไปอย่างเช่น เรื่องอากาศ และพูดว่าช่างดีอะไรอย่างนี้ที่มีชีวิตท่ามกลางอากาศดีๆ อย่างวันนี้ ขณะที่เราย่ำเท้าไปด้วยกัน เป็นเรื่องยากมากที่จะบอกว่าใครเป็นผู้นำทาง และใครเป็นผู้ตาม

 

เราเดินเกือบถึงอีกฝั่งของถนน พลันเสียงแตรรถก็ดังเซ็งแซ่อย่างเหลืออดอีกครั้ง บ่งบอกว่าสัญญาณไฟเปลี่ยนแล้ว เราเดินอีกไม่กี่ก้าวก็ขึ้นมาบนทางเท้าของอีกฝั่งได้สำเร็จ ฉันหันไปที่เขา ขยับปากจะเอ่ยขอบคุณที่ช่วยนำทางให้ แต่ก่อนคำพูดจะหลุดออกจากปาก เขาก็ชิงพูดก่อน

 

ผมไม่รู้ว่าคุณจะรู้ไหมว่า เขาพูด คุณช่างมีน้ำใจเหลือเกินที่ช่วยพาคนตาบอดอย่างผมเดินข้ามถนน

 

วันนั้นในฤดูใบไม้ผลิยังคงอยู่กับฉันตลอดกาล




จากหนังสืออัศจรรย์แห่งชีวิต ฉบับคัดสรร

สำนักพิมพ์ Pet & Home


In Bruges : สิทธิ์ที่จะฆ่า

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Other
เช็คโปรแกรมหนังเครือเอเพ็กซ์ตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ ก็เห็น In Bruges เข้าที่สยาม
คิดว่าคงเป็นหนังที่น่าสนใจ ถึงได้ฉายโรงหนังสยาม
ชื่อ Colin Farrell กับ Ralph Fiennes ยิ่งช่วยยืนยัน ว่าหนังเรื่องนี้ต้องน่าดูแน่ (แม้จะไม่รู้จัก Martin McDonagh ผู้กำกับก็ตาม)

แต่เนื่องจากไม่มีใครพร้อมจะไปดูด้วย และก็ไม่คิดจะรอให้ใครพร้อม ก็เลยไปดูคนเดียว รอบเช้าวันเสาร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๑ (๘๐ บาททุกที่นั่ง) หลังเล่นโยคะรอบเช้า

นึกว่าจะแอบหลับป๊อกไปตามธรรมเนียมการดูหนังในโรงในระยะหลังๆ นี้ (แถมเพิ่งเล่นโยคะมา อาจจะเพลียเป็นพิเศษ) แต่ก็ไม่ยักหลับ
ไม่รู้เพราะจริงๆ แล้วหนังสนุกมาก หรือเพราะอิทธิฤทธิ์ของกาแฟเย็นดังกินโดนัท (HaHa)

Bruges เป็นชื่อเมืองเก่ายุคศตวรรษที่ ๑๖ ในเบลเยี่ยม เรื่องราวในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นที่นี่
หลัง assignment ที่ไม่ค่อยได้ดังใจคนจ้าง มือสังหารสองวัยก็ได้รับคำสั่งให้ไปกบดานที่เมืองเมืองเล็กๆ นี้ Ken (Brendan Gleeson-ชื่อไอริชเชียว) มือสังหารมากประสบการณ์พบว่า เมืองนี้ช่างสวยงาม น่าได้มาเห็นก่อนตาย แต่สำหรับ Ray (Colin Farrell) มือปืนหนุ่มหัวใจสะออนแล้ว เมืองนี้เป็นที่ที่ทั้งหลอน น่าเบื่อ มันทำให้เขาอยากไปให้พ้นๆ

หนังเล่าให้รู้ว่า ที่เรย์รู้สึกหลอนเพราะว่าสิ่งที่เขาหนีมา มันตามมาด้วย
เรย์เพิ่งฆ่าพระ ฆ่าระหว่างที่พระกำลังรับสารภาพบาป
แค่นั้นยังไม่พอ
เขาพลาดไประเบิดหัวสมองเด็กชายตัวน้อยที่นั่งสวดมนต์อยู่ในโบสถ์

และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ Harry (Ralph Fiennes) คนให้งานรับไม่ได้ ออกอุบายให้เคนมาสังหารเรย์ที่ Bruges

พล็อตมีประมาณนี้ แต่ Martin McDonagh ซึ่งเป็นทั้งผู้กำกับและคนเขียนเรื่องใส่ประเด็นที่เป็นคำถามลงไปมากมาย ล้วนแล้วแต่ทำให้คนดูอ่อนโลกอย่างดิฉันรู้สึกทึ่ง

เขาเขียนให้คนเป็นมือปืนรู้สึกผิดกับการฆ่า และซึมเศร้าจนไม่อยากมีชีวิตต่อไป แต่ก่อนจะได้ยิงกรอกปากตัวเองให้ตายพ้นๆ ไป ก็ถูกห้ามโดยคู่หูที่มาพร้อมปืนเก็บเสียง ซึ่งกำลังจะมาเก็บเขาตามคำสั่งคนจ้างงานอยู่พอดี

ขำไหมล่ะ?

“แกไม่มีสิทธิ์จะฆ่าตัวตาย”
“แล้วแกมีสิทธิ์จะฆ่าฉันเหรอ?”

ไดอาล็อกมันเป็นประมาณนี้
ตอนที่ได้ยิน พร้อมเห็นหน้าตา Colin Farrell กะลุง Brendan Gleeson ตอนนั้นแล้ว อยากจะให้ใจคนเขียนเรื่องไปหมดดวงเลย
(คิดได้ไงฟะ?)

ดีที่ไม่ได้ให้ใจไปหมดดวง ไม่งั้นมันคงหมด ไม่มีเหลือจะให้กับเรื่องกินใจเกิดขึ้นอีกประปราย แต่ในสัดส่วนที่สวยงาม กลมกล่อม ตั้งแต่เรื่องการใช้สัญลักษณ์ของเด็กผู้ชาย ในร่างของคนแคระอเมริกัน ผู้ซึ่งในจิตใต้สำนึกแล้วมีสงครามฆ่าล้างโคตรระหว่างคนดำ-คนขาว ประเด็นความเสื่อมของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างภาษาใน Bruges ยาเสพย์ติด ความตายอันสวยงามของเคน และ Principle ของมือสังหารตัวพ่อ อย่างแฮร์รี่

ยังมีผู้หญิงแปลกๆ ร้ายๆ ที่ปรากฏตัวเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าคนนั้นอีก
คนที่ทำให้เรย์รู้สึกถึงแสงสว่างในชีวิต

ใช่แล้ว หนังเรื่องนี้พูดถึงการมีชีวิต
การถือกำเนิด
การจบชีวิต
การเคารพเกียรติและศักดิ์ศรีของชีวิตอื่น
(..จุ๊จุ๊ ความรักด้วย)


คนดูอยากบอกผู้กำกับว่าอิ่มใจที่ได้รู้ว่า...
ไม่กี่วันในเมืองเส็งเคร็ง (เฉพาะในความคิดของมัน) อย่าง Bruges ที่เรย์ใช้ขบคิด ว่าจะมีทนมีชีวิตที่รู้สึกผิดนี้ต่อไป หรือจะตายไปให้พ้นๆ ดี ในที่สุด เขาก็ได้คำตอบแล้ว ว่าชีวิตเป็นสิ่งสวยงาม และนั่น
มันอยากทำให้เขาอยู่ต่อไป




บันทึก
• บางฉากในหนังเรื่องนี้โหดร้ายน่าดู (ดีใจที่เอเพ็กซ์ไม่เซ็นเซอร์-หรือมันเซ็นเซอร์ไปแล้วหว่า?) แต่มันมีเหตุผลของมัน อันนี้รับได้ (แอบนึกถึง Sweeney Todd ของทิม เบอร์ตัน กับ Eastern Promises นิดนึง แต่เข้าใจแล้วว่าเอาไปเทียบกันไม่ได้)
• ในเรื่องมีทั้งความเครียด นาทีต่อมาก็ตลกพรวดออกมาจนเกือบสำลัก เกือบจะจบอย่างเศร้า แต่ก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง
• ยอมรับ Colin Farrell แล้ว หมอนี่ไม่ได้มีแต่หน้าตาดีๆ ของมัน
• หนังเรื่องนี้เป็นการสร้างร่วมกัน ระหว่างอังกฤษกะเบลเยี่ยม
• หนังเรื่องนี้เป็นหนังผู้ใหญ่ และเป็นหนังผู้ชาย ที่ทำได้เท่มากๆ ผู้ชายควรมาดู
• คนที่กำลังขบคิดถึงการมีอยู่ของชีวิต ก็ควรมาดู
• ดีใจที่ได้ดู ^__^







วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

เรดาร์แมว : แมวร้านข้าวแกง




วันศุกร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๑

ตื่นตีห้า ไปคลับ เล่นโยคะรอบ ๗.๐๐ น.
ไหนว่า Gentle Yoga
ไม่เห็นจะ Gentle ตรงไหน
ท่าง่ายๆ แต่โหดชะมัด
เหงื่อแตกไปสามตุ่ม
จบคลาส อาบน้ำแล้วหิวมาก
คิดว่าสามารถกินควายได้ทั้งตัว
เลยซมซานไปหาร้านข้าวแกง เนื่องจากต้องกินข้าวด่วน
ไม่งั้นอาจะเป็นลมได้

...ร้านนี้เป็นร้านใกล้ๆ คลับ อยู่ตรงปากซอยโนโวเทลโลตัส
รสชาติอาหารบอกว่าวันหลังไม่ควรมากินอีก
(คนขายดุอีกตะหาก)

แต่เจ้าเหมียวสองตัวนี่สิ
มันช่างน่ารักน่าเอ็นดูแท้ๆ

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

บางเรื่องที่ไม่รู้เหตุผล ตอนที่ ๔ คนที่ไม่เคยลืม




“ขอบคุณนะ”

คำพูดที่ตัวเองกล่าวแสดงความซึ้งน้ำใจ 'คนแปลกหน้า' ทำให้ภารดีอดสะดุ้งไม่ได้

 

มันคือคำพูดเดียวกับที่คนคนหนึ่งเคยใช้ตอบรับทุกครั้ง หลังเธอเอ่ยคำรัก

 

คำพูดที่แรกได้ฟัง ก็ทำให้ซึ้ง ด้วยอิ่มใจไปกับน้ำเสียงอบอุ่นของเขา

แต่เมื่อมันกลายเป็นคำตอบมาตรฐานเหมือนๆ กันทุกครั้ง เธอจึงเริ่มสงสัย

 

ทำไมเขาต้องขอบคุณที่เรารักเขา?

 

ทำไมเมื่อเราพูด รักพี่นะ

เขาไม่ตอบ ฉันก็รักเธอ

 

ทำไมไม่ใช่การแสดงความรักตอบ แต่กลายเป็นการกล่าวขอบคุณ?

 

..เขาไม่ได้รักเราภารดีให้คำตอบแสนขมขื่นกับตัวเอง

 

เขาคนนี้คือคนที่ทำให้เธอรู้จักความรัก

ความรู้สึกซับซ้อน ที่อยู่ดีๆ ก็ระเบิดตัวขึ้นตรงจุดลึกสุด กลางใจ

เสียงระเบิดทำให้เกิดความมึนงง สับสน

แต่หลังใช้เวลาและความพยายามคลี่ปม ทำความเข้าใจกับความซับซ้อนนั้น เธอก็เข้าใจมันได้ในที่สุด

ว่านั่นคือ รัก

 

..ความรู้สึกที่ผลักดันให้คนเราทำอะไรได้หลายอย่าง เป็นหลายอย่างที่คนคนนั้นไม่เคยคิดจะทำเพื่อใคร

 

เขาเป็นคนขีดไม้ขีดจุดเทียนเล่มนี้ในตัวเธอ

เขาทำให้เปลวเพลิงแห่งอารมณ์และความรู้สึกของผู้หญิงที่รักเขาลุกโชนขึ้น

เขาทำให้เธอค้นพบ และรักร่างกายของตัวเอง

...อาจจะโดยไม่ได้ตั้งใจ

เขาทำให้เธอฝันถึงชีวิตที่มีเขาอยู่เคียงข้าง และอีกร่างกายที่จะถือกำเนิดขึ้นจากตัวเธอ 

 

...เขาจะเคยรู้ไหมว่าเขาคือสิ่งที่เธอคิดถึงทุกขณะจิต

คือจุดศูนย์กลาง แรงดึงดูด คือพลัง ชีวิตชีวา และความเร่าร้อนของชีวิตเธอ

คือสิ่งสำคัญที่สุด ที่ผู้หญิงคนหนึ่งแคร์มากที่สุด

บางทีอาจมากกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก

 

ยังมีหลายสิ่งที่เขายังไม่รู้

แต่ในวันนี้ คงไม่มีประโยชน์ที่จะบอกให้เขารู้

ภารดีบรรจงเก็บซ่อนหลายสิ่งนี้ไว้ในมุมหนึ่งของหัวใจตัวเอง

 

ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าเธอจะรักใครอีกกี่ครั้ง

ภารดีรู้ว่าจะไม่เหมือนกับความรักที่เคยมีให้เขา

คนที่เธอจะไม่มีวันลืม

 

 

 

 


วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

ชีวิตสัตว์โลก ตอน ครั้งหนึ่ง...เคยมีชีวิต





.....ไร้คำบรรยาย

ชีวิตสัตว์โลก ตอน ทายซิ..อะไรเอ่ย





เซ็งนัก
ลองทายกันเล่นๆ ดีกว่า
ว่าในรูปนี่มันอะไร

หุหุ

เรดาร์แมว : โยคะแมว




วันอังคารที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑

เพลียๆ
เพราะเมื่อคืนนอนหลับๆ ตื่นๆ สลับกับฝันร้ายว่าได้รับโทรศัพท์เล่าเรื่องว่ามีการยิงกันที่ม็อบ
ตื่นขึ้นมาพบว่ามีแมสเซจข่าวเพียบ
เฮ้ย! เรื่องจริงนี่หว่า

เปิดโทรทัศน์แล้วจิตตกเลย นี่มันเรื่องจริงไม่ใช่หนังแอ็คชั่น
ทำไมเค้าถึงทำกับคนด้วยกันได้ลงคออย่างนี้นะ

ก็อยู่ในอาการเซ็งเป็ดมาเรื่อยๆ
จนตอนเที่ยง ก็เจอเจ้าอ้วนใต้ตึกโอเชี่ยน เหยื่อเก่า

เลยไม่ลังเลที่จะตรงเข้าไปเก็บภาพมันมาเบี่ยงเบนความหดเหี่ยวในจิตใจ

มันเองก็เหมือนจะชอบถ่ายรูป
โชว์ลีลาโยคะแมวใหญ่เลย

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

สงสัย-สงสัย (๓)





คนเี่ราควรไว้วางใจคนรักเพราะสิ่งใดมากกว่ากัน?
ระหว่าง
เพราะเขาเป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา
(ไปยุ่งกับใคร มีปัญหาอะไรก็เล่าให้เราฟังหมด)
กับ
เพราะเขาดูเป็นคนเรียบร้อย ซื่อสัตย์ ภักดี-ในสายตาเรา
 (ซื่อจริงไหมเป็นอีกประเด็นนะ)