วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พ่อให้


พ่อให้ตับลูก 7 เดือน จุฬาฯผ่าตัดสำเร็จ [1 ส.ค. 51 - 04:09]

 
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. โดยที่ชั้น 10 ตึก สก.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการ รพ.จุฬาลงกรณ์ แถลงข่าวความสำเร็จการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ จากผู้บริจาคที่มีชีวิต ซึ่งเป็นพ่อให้แก่ผู้ป่วยเด็ก ซึ่งเป็นลูกและมีอายุเพียง 7 เดือนครึ่ง ว่า รพ.จุฬาฯประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายและผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะมาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะการผ่าตัดเปลี่ยนตับมีการทำมาตั้งแต่ปี 2537 โดยได้ปลูกถ่ายและเปลี่ยนตับ ให้แก่ คนไข้ไปแล้วประมาณ 110 ราย ทั้งจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตและผู้บริจาคที่มีชีวิต ส่วนรายล่าสุดที่ทำการผ่าตัดสำเร็จครั้งนี้ ถือเป็นรายแรกของประเทศไทยที่ผู้รับการปลูกถ่ายมีอายุน้อยที่สุดเพียง 7 เดือนครึ่ง และเป็นรายแรกที่ผู้บริจาคตับเป็นพ่อแท้ๆที่ยังมีชีวิตอยู่

 รศ.นพ.อดิศรกล่าวว่า ผู้ป่วยรายนี้เป็นเด็กชาย อายุ 7 เดือนครึ่ง จากประวัติการตรวจรักษาพบว่า มารดาเป็นพาหะของภาวะการขาด G6PD หรือภาวะพร่องเอนไซม์ของเม็ดโลหิตแดง ทำให้เม็ดโลหิตแดงเปราะ เด็กมารับการตรวจที่ รพ.จุฬาฯ เมื่ออายุประมาณ 2 เดือน ประมาณต้นเดือนมกราคม 2551 ด้วยอาการตัวเหลือง ตาขาวมีสีเหลือง อุจจาระสีซีด แพทย์รับไว้เป็นผู้ป่วยใน โดยทำการฉีดสีดูทางเดินของท่อน้ำดี พบว่าท่อน้ำดีไม่ ตีบตัน แต่มีอาการอักเสบของตับ จึงตัดชิ้นเนื้อไปตรวจและนัดมาฟังผล พบว่าเด็กมีอาการอักเสบของตับตั้งแต่ แรกเกิด โดยไม่ทราบสาเหตุ 

ต่อมาเมื่อเดือน มิ.ย.2551 ผู้ป่วยมีอาการไข้และซึมลง คณะแพทย์ลงความเห็นว่า ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ จึงได้ตรวจเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ ของเลือด ต่อมาวันที่ 22 มิ.ย. 2551 ผู้ป่วยมาพบแพทย์ ด้วยอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมีส่วนกระตุ้นให้ เกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน จึงรับตัวไว้เป็นผู้ป่วยในทำการรักษา แต่ขณะที่รอผู้บริจาคอวัยวะจากผู้ป่วยสมองตาย ผู้ป่วยเริ่มมีเลือดออกง่าย ตัว ตา เหลืองมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตในเวลาอันสั้น จึงได้ปรึกษากับพ่อแม่ของเด็ก และตรวจร่างกายพบว่า ผู้เป็นพ่อสามารถบริจาคตับให้แก่ลูกได้ เมื่อได้ทำความเข้าใจแล้ว พ่อยินดีที่จะบริจาคตับบางส่วนให้แก่ลูก จึงได้นัดผ่าตัดเมื่อวันที่ 7 ก.ค. และการผ่าตัดประสบความสำเร็จด้วยดี

ด้าน รศ.นพ.รื่นเริง ลีลานุกรม อาจารย์ประจำภาควิชาวิสัญญี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การผ่าตัดครั้งนี้ใช้การวางยาสลบ ใช้เวลาผ่าตัดนานประมาณ 10 ชั่วโมง ระหว่างผ่าตัดได้ให้เลือดจากธนาคารเลือดแก่ ผู้ป่วยเด็กที่รับการปลูกถ่ายไป 1 ถุง ส่วนที่เหลือใช้เลือดจากตัวเด็กที่ดูดออกมาแล้วนำมาปั่นใส่กลับเข้าไปใหม่ 

ผศ.นพ.สุภนิติ์ นิวาตวงศ์ ศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายตับครั้งนี้ กล่าวว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนตับของ รพ.จุฬาฯ เป็นผู้ป่วยเด็ก สำหรับรายนี้ใช้ตับข้างซ้ายบางส่วนของพ่อนำไปปลูกถ่ายให้กับลูก โดยตับเป็นอวัยวะที่สามารถงอกกลับมาใหม่ได้ เพราะฉะนั้นตับของพ่อที่ถูกตัดแบ่งออกไปปลูกถ่ายให้กับลูกนั้น จะงอกกลับมาภายใน 1 เดือน สิ่งที่ยากของการผ่าตัดผู้ป่วยรายนี้ คือ เด็กตัวเล็กมาก ระหว่างการผ่าตัดต้องใช้ทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการต่อเส้นเลือดครั้งนี้ได้ศัลยแพทย์ ระบบประสาท คือ ผศ.นพ.สุรชัย เคารพธรรม เป็นผู้ ทำการต่อเส้นเลือดให้ หลังผ่าตัด พ่อซึ่งเป็นผู้บริจาคตับให้กับลูกมีอาการทั่วไปดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน พักฟื้นในห้องไอซียู 1 คืนหลังผ่าตัด และห้องผู้ป่วยธรรมดาอีก 11 วัน ก็กลับบ้านได้ ปัจจุบันสามารถขับรถไปทำงานได้ตามปกติแล้ว ส่วนลูก ภายหลังผ่าตัด การทำงานของตับดีขึ้นเป็นลำดับ ไม่มีไข้ แต่ยังคงต้องได้รับยาปฏิชีวนะและยากดภูมิคุ้มกัน คาดว่าจะสามารถกลับบ้านได้ในเร็วๆนี้

ผศ.นพ.สุภนิติ์ยังได้กล่าวถึงความสำเร็จของการผ่าตัดครั้งนี้ จะช่วยทำให้สังคมเข้าใจถึงการสละอวัยวะของคนที่ยังมีชีวิตนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยได้ แต่กฎหมายไทยกำหนดว่าต้องเป็นคนในครอบครัว หรือสายเลือดเท่านั้น เชื่อว่าวิธีการปลูกถ่ายในลักษณะนี้ จะช่วยให้ผู้ ที่รอการบริจาคอวัยวะมีความหวังมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ เช่น กรณีของยอดรัก สลักใจ จะสามารถใช้การปลูกถ่ายในลักษณะนี้ได้หรือไม่ ผศ.นพ.สุภนิติ์กล่าวว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับหรือผู้ป่วยที่มีภาวะตับอักเสบรุนแรงสามารถใช้วิธีปลูกถ่ายในลักษณะนี้ได้ แต่กรณีของยอดรัก สลัก-ใจ นั้นไม่แน่ใจว่ามีข้อจำกัด หรือข้อห้ามในการผ่าตัด เปลี่ยนตับ หรือปลูกถ่ายตับจากภาวะอื่นหรือไม่ เพราะหากอาการของโรคลุกลามรุนแรงไปมากแล้ว การผ่าตัดอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก  

ด้านนายนิคม ศรีชู อายุ 35 ปี พ่อที่ให้ชีวิตใหม่ แก่ลูกคือ ด.ช.ภพ ศรีชู ครั้งนี้เปิดเผยว่า ครั้งแรกรู้สึก กลัว แต่เมื่อแพทย์ได้ให้ข้อมูลและทำความเข้าใจถึงวิธี การผ่าตัดปลูกถ่ายตับอย่างละเอียด จึงตัดสินใจสละตับบางส่วนของตนให้ลูก เพราะหมอบอกว่าคงไม่สามารถรอตับจากผู้บริจาคได้ เนื่องจากอาการของลูกชายรุนแรงมากขึ้น เมื่อมาถึงวันนี้ต้องบอกว่าดีใจมากและดีใจจนบอกไม่ถูกที่ได้ให้ชีวิตใหม่แก่ลูก ส่วนสุขภาพของตนเอง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีบางช่วงที่มีอาการแน่นท้องบ้าง แต่หมอบอกว่าสักระยะหนึ่งจะดีขึ้น ขณะนี้สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติแล้ว

จากไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=99012

สีสันของความหลากหลาย


น้องเขาบอกว่าแม่ทำให้

เพื่อนเอ๋เพิ่งเล่าเรื่องที่เธอไปเยี่ยมโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
เลยนึกถึงภาพชุดหนึ่งที่ยังหาโอกาสใชว์ไม่ได้สักที
ไม่ใช่เพราะภาพมันไม่สวย ไม่ชัด
เพราะในความรู้สึกของเจ้าของความทรงจำ คือดิฉันเอง
สิ่งที่เห็นคือความสวยงาม
คือความประทับใจจากความพยายามและตั้งอกตั้งใจของเด็กกลุ่มหนึ่ง

แม้เด็กเหล่านี้ไม่โอกาสทัดเทียมกับเด็กไม่น้อย ในวัยเดียวกัน ซึ่งมีพ่อแม่พร้อมหน้า มีข้าวกินอิ่มหนำ มีโรงเรียนดีๆ ไป เด็กๆ ที่เกิดมา แล้วก็โตขึ้นโดยไม่ถูกตั้งคำถาม ว่าเด็กคนนี้มีสิทธิ์เข้าเรียนไหม เรียนจบ ป.๖ แล้วจะได้รับวุฒิบัตรหรือเปล่า

แต่เขาไม่ได้นั่งงอก่องอขิงกับโชคชะตา เพราะเขายังโชคดี ได้เข้าโรงเรียน และมีครูดีๆ ที่พร้อมจะสอนให้เขารู้เท่ากับเด็กในเมือง

เด็กๆ เหล่านี้มาจากโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน จังหวัดเชียงราย
ได้รับเชิญให้มาโชว์การแสดงให้แขกผู้มีเกียรติจากกรุงเทพฯ ทุกคนฝึกซ้อมมาอย่างดี
พวกเขาแต่งตัวสวยงาม โชว์การแสดงอย่างสุดความสามารถ

คืนนั้นแขกผู้มีเกียรติและเจ้าภาพร่วมกันสนับสนุนทุนการศึกษาของพวกเขาไปไม่น้อย

แม้ไม่มีส่วนสนับสนุนในจุดนี้ แต่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ดิฉันรู้สึกประทับใจ และภาคภูมิใจในตัวเด็กๆ เหล่านี้แทนครูของพวกเขาจริงๆ่

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ฺอาหารการกินของคนบางกอก


ปลาร้าจริงๆ ด้วย

พิศดูภาชนะซิ
เป็นวัตถุแบบเดียวกับที่ใช้ทำครกตำส้มตำนั่นเอง

จานนี้ ๓๕

เห็นคนเชียงใหม่อัพอัลบั้มอาหารเช้า-อาหารเที่ยงกันไปเยอะ
อยากรู้ไหมวันๆ คนบางกอกเขากินอะไรกันมั่ง

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ชวนประกวดเขียนจดหมาย

ประกวด เขียนจดหมาย ครั้งที่ ๑



เขียนจดหมายถึงรัฐบาลไทย
.
เพื่อ---เพื่ออะไรก็ตาม เช่น
เพื่อชื่นชมยกย่องสรรเสริญรัฐบาล  หรือเพื่อตำหนิรัฐบาล

เพื่อเสนอความคิดเรื่องแก้ปัญหาต่างๆ
.เพื่อแนะนำความเห็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง
เพื่อบ่นแบบมีเหตุมีผลและเป็นประโยชน์
เพื่อเขียนเรื่องส่วนตัวอันจะโยงใยถึงรัฐบาลได้

เพื่อ---เพื่ออะไรก็ได้ ที่อยากเขียน
เขียนถึงรัฐบาลไทยปัจจุบัน
ไม่จำกัดขอบเขตการเขียน ไม่มีกติกาตายตัว
เขียนด้วยภาษาใดก็ได้  ขอให้เขียน และส่งไปที่ 
.
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
๕/๔ ถนนสุขุมวิท ซอย ๒๔ กรุงเทพฯ 10110
อีเมล bflybook@bflybook.com
ภายในเที่ยงคืน วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๑

มีหนังสือปกแข็งพิมพ์ใหม่ของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ
เป็นของรางวัล ไม่จำกัดจำนวน
ขึ้นอยู่กับสำนวนการเขียนและการเลือกของกรรมการ
ถ้ามีจดหมายดีๆ มากพอ อาจจะรวมพิมพ์เล่ม ชื่อ
'จดหมายถึงรัฐบาลไทย พ.ศ.๒๕๕๑'
.เพื่อมอบแก่ประชาชนฅนไทย และรัฐบาลไทย

จาก http://www.bflybook.net/2008/05/blog-post.html

ERR-OR

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Arts & Photography
Author:Design Book
“จุดเริ่มต้นของ “เออออร์” เกิดจากการที่เราได้เห็นและชื่นชอบกับผลงานการออกแบบในด้านต่างๆ และเกิดความสนใจอยากรู้จักตััวศิลปินผู้ออกแบบ ว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนอย่างไร มีแรงบันดาลใจอะไรในการคิดสร้่างสรรค์งานเหล่านั้นออกมา จากความสนใจและความสงสัยของพวกเรา ก่อให้เกิดเป็นเว็บไซต์ www.err-ordesign.com ที่รวบรวมผลงานของศิืลปินต่างๆ ที่เราชื่นชอบ และท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ “เออออร์” ยินดีที่จะส่งผลงานของพวกเขามาร่วมสนุกกับเรา

“เมื่อได้รู้จักกับศิลปินมากขึ้น ก็เกิดความคิดที่จะนำผลงานของศิลปินเหล่านั้นมาตีพิมพ์ในรูปแบบหนังสือ ที่มีทั้งรูปถ่าย บทสัมภาษณ์ศิลปินต่างๆ ที่มาร่วมเออออร์กับเรา หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในความฝันของพวกเรา ซึ่งถ้าท่านได้อ่านในขณะนี้ก็แสดงว่าเราได้ทำความฝันเล็กๆ ของเราให้ใกล้ความจริงขึ้นมาได้อีกนิด เพราะจุดหมายของเราคือไม่ได้แค่อยากทำหนังสือ แต่อยากทำหนังสือที่เป็นคนบอกเล่าเรื่องราว และนำเสนอผลงานของศิลปินไทยที่มาเออออร์รวมกันอยู่ในเล่มนี้ และไม่ได้กล่าวถึง ให้เป็นที่รู้จักถึงเอกลักษณ์ของผลงานคนไทยว่า ไม่แพ้ชาติใดในโลก..เหมือนที่อยากให้คนกินแฮมเบอร์เกอร์รู้ว่าแกงป่าปลาดุกรสชาติเป็นยังไง (ฮา)”

สองย่อหน้าข้างบนเป็นข้อความจากหน้า Editor’s


ERR-OR Graphic book เป็นหนังสือภาพ รวบรวมงานของ 33 ศิลปินกราฟฟิกไทย ที่มาพร้อมผลงานชิ้นเด่นๆ รวมทั้งบทสัมภาษณ์ถึงแรงบันดาลใจ และแนวทางการสร้างสรรค์ผลงาน ตีพิมพ์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
ใครสนใจงานกราฟฟิกน่าหามาศึกษา
จะใช้เป็นแรงบันดาลใจคงไม่มีว่า
แต่ถ้าจะลอก.. ระวังจะอายในภายหลัง

กระดาษอาร์ตอย่างหนา สี่สีทั้งเล่ม ขายพร้อมโปสเตอร์ สติ๊กเกอร์ และดีวีดี ในราคา 800 บาท หาซื้อได้ตามร้านหนังสือใหญ่ๆ รวมทั้ง ERR-OR ตลาดนัดจตุจักร โซน 4 ซอย 1 โทร. 081 554 7288

ดูรายละเอียดของกลุ่ม ERR-OR ได้ที่ http://www.err-ordesign.com

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ลีโอมาแล้ว!




เสาร์ที่ื ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๑

ตัดผมเสร็จ พี่หมูไม่มีตังค์ทอน ลูกค้าเลยต้องเดินเบียดเสียดออกมาที่ตลาดวังหลัง
ซื้อของสักหน่อย จะได้มีตังค์ไปจ่ายพอดีๆ

ซื้อไรดีล่ะ?
อ้อ นั่นไง มะนาว ๘ ลูก ๑๐ บาท ลูกแป้นๆ อวบๆ ดี
เอาไปฝากแม่แอนดีกว่า พี่แอนเขาช่างทำกับข้าว เดี๋ยวก็มีเรื่องได้ใช้มะนาวเอง

จากนั้นก็ยืนเลือกอย่างบรรจง

"ลีโอมาแล้ว!" เหมือนเสียงผู้ใหญ่ร้องบอกเด็ก
"ลีโอ-ลีโอ" เสียงใสของเด็ก ๓-๔ ขวบร้องรับ
'ลีโอไหนฟะ ลีโอนาร์โด ดิ แคปริโอรึไง?' แค่คิด ไม่ได้หันไปดู เนื่องด้วยกำลังจดจ่อกับการเลือกมะนาว พี่หมูรออยู่ ข้าวเย็นบ้านทะเลด้วย
...แต่พลันนั้น

"บึ้ก!"
ดิฉันเกือบถลาลงไปในกองมะนาว
'ใครฟะ เบียด(ที่จริงคือชน)ซะแีรง' กะจะหันไปทำตาเขียวใส่สักหน่อย ..ก็เลยไ้ด้รู้ว่าเมื่อกี๊ถูกอะไรเบียด
และได้รู้ด้วย ว่าลีโอคือคราย

ขาใหญ่แถวนั้นนั่นเอง

หมายเหตุ:
เห็นลูกค้าถูกช้างเบียด
แม่ค้ามะนาวหัวเราะกิ๊กเชียว

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เด็กหน้าเป็น




เสาร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๑
น้าม้อยตัดผมเสร็จเวลา ๑๗.๓๐ น. ซึ่งเป็นเวลากินข้าวเย็นบ้านทะเล แม่แอนประกาศไว้ว่า "มาไม่ทัน-อด!" ทีแรกน้าก็คิดว่าจะอดจริงๆ ซะแล้ว
โชคดีที่เลเพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน
น้าก็เลยมีบุญปากทันไปกินข้าวแม่แอน

ตกค่ำได้กินเค้กแอปเปิ้ล (แอปเปิ้ลไรนะพี่?) แกล้มคาปูชิโน่หอมกรุ่นของพ่อหนุ่มอีก

มาบ้านทะเลคราวนี้ ถ้าไม่มีเด็กหน้าเป็นมาชวนเล่นนั่นเล่นนี่
น้าคงนึกว่าตัวเองมานั่งเม้าท์ในคอฟฟี่ชอปดีๆ สักแห่งงั้นแหละ

วันที่ฟ้าสวย: เสาร์ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๑


เป็นวันที่สวยงามจริงๆ

วันเดินทางไปตัดผมกับพี่หมู

ด้วยลักษณะเฉพาะของเส้นผมที่มีเคิร์ฟสวย ล้อมรอบใบหน้าทรงเก๋
ทำให้ดิฉันต้องใช้เวลาหลายปีในการคัดสรรช่างซอยผมอย่างพิถีพิถัน
ในที่สุดก็เจอพี่หมู..

แต่การจะไปตัดผมกับพี่หมูนั้น ต้องเดินทางไปถึงวังหลัง แถมต้องเสี่ยงดวงอีกส่วนหนึ่ง
ว่าจะเจอพี่แกไหม
แล้วที่ไปนั้น จะมีคนตัดผมน้อยหรือมาก พี่หมูจะอารมณ์ดีหรือไม่ หิวข้าวหรือเปล่า

หลังจากเล็งแล้วเล็งอีกมา ๓ อาทิตย์ เมื่อวานนี้ก็ได้ฤกษ์นั่งเรือไปตัดผมกับพี่หมู
อัลบั้มนี้ไม่ได้นำผมทรงใหม่มาให้ยล (คราวนี้ตัดทรงปกติเหมือนชาวบ้านเขา-จึงไม่มีอะไรน่าชม) แต่เป็นการเก็บภาพฟ้าแจ่มๆ ของบ่ายวันวานมาฝากกัน

ช่างเป็นวันที่ฟ้าสีสวย แดดใส แล้วลมแรงอะไรอย่างนี้
วันเวลาอย่างนี้ ไม่อยากอยู่ -ไม่อยากชมคนเดียวเลย ให้ตายสิ

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เราทำได้: Iron-on


แต่ยังทำไม่เสร็จหรอกนะ

ศุกร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑

โดยการอนุมัติของคุณหัวหน้า ก็ได้ไปนั่งอยู่ในเวิร์กช็อปงาน Iron-on ของขวัญเรือน
อันงาน Iron-on นี้ เป็นเทคนิคทำงานผ้าแบบหนึ่งที่มีของจำเป็นคือผ้าหลายๆ ชิ้น กระดาษกาวสองหน้า การสร้างสรรค์ และการเย็บ

ตอนที่อ่านกำหนดการว่างานนี้ใช้เวลาตั้งแต่ ๑๐.๓๐-๑๗.๐๐ น. ก็โอ้ว แม่จ้าว! จะทำอะไรกันนานขนาดนั้น พอมาถึงวันจริงก็เลยเข้าใจ
เพราะว่าเราได้ทำงาน ๒ ชิ้น

ชิ้นแรก เป็นผ้าขนาด ๑๒x๑๒ นิ้วที่จะถูกนำไปประกอบกันเป็นผ้าห่มผืนใหญ่
อีกชิ้นเป็นเสื้อยืดเก๋ไก๋ จากการจัดวางของเราเอง
งานนี้ไม่ได้ลงมือเองทั้งกระบวนการ ทีมงานเขาเตรียมอุปกรณ์และขั้นตอน (เป็นขั้นตอนที่ยาก และต้องใช้ทักษะ) ไว้ให้แล้วครึ่งหนึ่ง
พวกเราแค่ลงมือวางผ้าแต่ละชิ้น รีด แล้วก็เย็บ

เอาล่ะ จะพาไปชมคร่าวๆ นะ ว่าเค้าทำกันยังไง

บันทึกเรื่องที่ ๔: เพียงชายคนนี้...ไม่ใช่ฮีโร่


ศุกร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑

ไม่ได้ดูหนังกับป้าอ้อยสอง-ต่อ-สองนานแล้ว
วันนี้สบโอกาสเหมาะ ได้ฤกษ์ไปทำพิธีไว้อาลัยนักแสดงที่เราประทับใจในผลงานผู้ี่้จากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน
โดยการชมภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเขา ซึ่งเราจัดให้เป็น The Must ของเรา
Bat Man-The Dark Knight

ก่อนนอนคืนนี้ จึงขอบันทึกไว้ดังนี้

๑. แบตแมนตอนนี้ยาว อยู่ในโทนนัวร์ แถมเป็นหนังไดอาลอก จึงค่อนข้างดูยาก ต้องอาศัยวุฒิภาวะในการรู้จักกับชีวิตของคนดูพอควร แต่เราสองคนยอมรับโดยดุษณี ว่า่เป็นหนังที่ดี ส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นหนังที่คุ้มค่าตั๋วสุดๆ เพราะสนุกมาก ประทับใจจนอยากกลับไปเก็บรายละเอียดอีกรอบ (ก็รอบนี้แอบหลับไปนิดนึง ตอนต้นๆ เรื่องอะ)

๒. บทหนังดีมาก สารที่หนังนำเสนอก็น่าสนใจ จัดให้เป็นการนำเสนอหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำให้ฮีโร่ดูเป็นอะไรที่ "สัมผัสได้" สร้างสรรค์สุดๆ
คิดว่าหลายคนที่รักแบตแมนตอนนี้รักเพราะหนังแสดงให้เห็นว่าที่แท้แล้วแบตแมนก็ไม่ใช่ฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าหินผา แต่เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ ...โอเค้ อาจจะเป็นผู้ชายธรรมดาที่มีอุดมการณ์ (เงินด้วย) ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายก็จริง แต่ตอนนี้ก็ชักจะเหนื่อยๆ อยากจะพักโดยการมีชีวิตสงบๆ (กับผู้หญิงที่ตัวเองรัก?) เสียที
เราเองก็ดูเหมือนจะรักแบตแมนกว่าทุกภาคอีตรงความเป็นมนุษย์ที่สัมผัสได้ของแบตแมน (ในภาคนี้) นี่แหละ

๓. ชอบที่ได้เห็นความอ่อนไหวในใจของบรูซ เวย์น ชอบที่เขาเขียนบทให้ผู้หญิง (ไม่สวย)
 ไม่เลือกแบตแมน (ดิฉันเป็นมาโซไง) แล้วก็ชอบวิธีีจัดการกับจดหมายฉบับนั้นของอัลเฟรดด้วย

๔. ชอบที่เขาเขียนให้โจ๊กเกอร์เล่นตลกกับใจคนอย่างนั้น สะใจดี (สะใจในความซาดิสม์+โรคจิตของโจ๊กเกอร์)

๕. คิดว่านี่เป็นบทบาทการแสดงที่เยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยได้ดูมาของ ฮีธ เลดเจอร์ เขาเล่นดีรู้สึกสะพรึงกึ่งสแกรี่ทุกครั้งที่โจ๊กเกอร์โผล่ (หันไปถามป้าอ้อยครั้งนึงว่า มันน่ากลัวเพราะเค้าเล่นดี หรือหนังส่งบรรยากาศให้เค้า)

๖. จะว่าอะไรไหมถ้าบอกว่าชอบภาพในซีนที่บรูซขี่มอเตอร์ไซค์ มุมที่มองจากด้านหลัง (...เขินจัง)

๗. มีคนตั้งข้อสังเกตว่า คริสเตียน เบล กะเฟร์นานโด ตอร์เรส หน้าเหมือนกัน ดิฉันขอฟันธงว่า สองคนนี้หล่อทั้งคู่ แต่หล่อไปคนละทาง

๘. แม็กกี้ จิลเลนฮาล พี่สาวของเจค จิลเลนฮาล นักแสดงนำคู่กับฮีธ ในโบรกแบ็คเมาเท่น หนังที่ทุกคนรู้จักดีนั้น แม้จะสวยต่ำกว่ามาตรฐานนางเอกในแบตแมน แต่ขอบอกว่าชีสวยที่สุดในเรื่องแล้ว เพราะตัวแสดงหญิงที่เด่นสุดมีตัวเดียว ก็คือราเชล ที่เจ้แกเล่นนี่แหละ (เล่นดีเสียด้วยสิ)

๙. หากคุณประทับใจในกล้ามของคริสเตียน เบล โปรดทราบว่าเขาเป็นวีแกน (มังสวิรัตที่ไม่กินเนื้ออะไรเลย) เห็นไหม กินมังฯ ใช่ว่าจะผอมแห้งแรงน้อยนะ

๑๐. โรงสยามเอาอีกแล้ว รอบนี้เสียงห่วยมาก

๑๑. สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณฮีธ เลดเจอร์ สำหรับพลังที่เขาได้ปลดปล่อยออกมาในงานแสดงชิ้นสุดท้าย ชีวิตนี้ไม่ว่าจะได้ดูแบตแมนอีกกี่ตอน เชื่อว่าคงลืมฮีธ เลดเจอร์ได้ยาก-ไปดีนะฮีธ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เปิดจดหมายเก่า: มาถึงกันเสียที


น้ำตกวชิรธาร
รูปของพี่สมศักดิ์ ล่ำพงษ์พันธ์

สองอาทิตย์ที่่ผ่านมามีคนถาม ๒ คน ว่าโปสการ์ดที่เขาส่งมาให้น่ะ มาถึงหรือยัง
คนหนึ่งส่งจากดอยอินทนนท์
อีกคนส่งจากเวียดนาม

ดิฉันรู้ตัวแล้วก็รอ ตรวจตู้ไปรษณีย์ทุกวัน
แต่โปสการ์ดสองใบนี้ยังมาไม่ถึงเสียที
จนตัดสินใจว่าพวกมันคงจะพากันหายไปแล้ว โปสการ์ดใบแรกจึงปรากฏตัว

พี่ป้อมโทรถามตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑๔ ถามว่าได้รับโปสการ์ดหรือยัง ส่งมาหลายวันแล้ว
แต่บนโปสการ์ดประทับตราวันที่ ๑๙ ๐๗ ๕๑...โน่น สงสัยมันจะเดินลงดอยมาลงตู้ไปรษณีย์ที่จอมทอง

ส่วนโปสการ์ดจากนาตรังประทับวันที่ ๑๘ ๐๗ ๒๐๐๘ ไม่รู้คนส่งหย่อนลงตู้วันไหน
หรือพี่แกฝากโรงแรมส่ง
ก็โปสการ์ดของแกน่ะ หยิบมาจากห้องในโรงแรมนั้นน่ะสิ

เอาเหอะ ยังไงก็ขอบคุณทั้งสองคนนะ
เดินทางไปไกล แต่ยังอุตส่าห์คิดถึงกัน

วันหลังส่งมาอีกนะ
จะรออ่าน

เรดาร์แมว: แมว(ขี้)เซา




พฤหัสบดีที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑

กลับจากกินข้าวเที่ยง เจอเจ้าเหมียวตัวเดิมนอนขดอยู่ใต้โต๊ะ
ใครๆ ที่คุ้นกับเจ้าเหมียวดี เห็นมันนอนอุตุ มีความสุข รู้สึกหมั่นไส้บ้าง เอ็นดูบ้าง ผลัดกันเข้าไปล้วง ควัก ลูบ ไล้กันใหญ่
แต่เจ้าเหมียวไร้ปฏิกิริยาตอบ
ยังคงนอนต่อไปอย่างนั้น

หรือมันจะป่วย?

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

นิตยสารสารคดี ฉบับที่ ๒๘๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ปก สบตากับ “กวางผา”

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Other
Author:เรื่องและภาพโดย บารมี เต็มบุญเกียรติ
สารคดีเล่มใหม่ ร้อนฉ่า (แต่ได้รับช้ากว่าแผงตามเคย)
เล่มนี้มีหลายเรื่องน่าประทับใจ ขอยกมาเชิญชวนให้ไปหาซื้อกันมาอ่านมั่ง ดังนี้

****"กวางผา มหัศจรรย์สี่ขาแห่งผาสูง" เรื่องจากปก โดย บารมี เต็มบุญเกียรติ ผู้ใช้ความวิริยะอุตสาหะและอดทนเป็นเวลา ๓ ปี (ของชีวิตวัยหนุ่ม ตอนปลายหรือเปล่าไม่อาจทราบได้-ฮ่าฮ่า) ในการรอคอยเก็บภาพน่าประทับใจของกวางผาตาแป๋ว-ขนปุยมาให้เราชมอย่างเต็มอิ่มและจุใจในเล่ม

ขอบคุณเขา กับ Canon EOS1V, EOS 5D และฟิล์ม Fuji Velvia 100 ของเขา รวมทั้งข้อเขียนของเขาที่นำเราไปสัมผัสชีวิตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่จะเป็นกวางก็ไม่ใช่ เลียงผาก็ไม่เชิงเจ้าของสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ แม้จะมีศัตรูตามธรรมชาติน้อย เนื่องจากหาสัตว์ผู้ล่าได้น้อยชนิดที่จะมีทักษะในการกระโดดโลดเต้นไปตามผาสูงชันน่าหวาดเสียวได้ทัดเทียมพวกมัน

ก็มนุษย์นี่แหละ ที่รุกเรื่อยเข้าไปในพื้นที่ทำกินของกวางผา บีบบังคับให้มันผสมพันธุ์ในพวกเดียวกันเองมากเข้าจนได้ลูกเลือดชิดที่ไม่แข็งแรง ไม่สู้โลก นอกจากนี้อุปนิสัยในการกลับมาหากินในแหล่งเดิมๆ แถมยังอยู่รวมกันเป็นฝูงของพวกมัน เป็นการง่ายต่อแผนดักยิงตัดหัว และเลาะกระดูกกวางผาไปทำยาของพรานผู้สนใจปากท้องของตัวมากกว่าชีวิตสัตว์โลก

อ่านแล้วเหมือนเปิดโลก ได้เห็นชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชีวิตของตัวเองและพวกพ้องบ้าง

แต่ถ้าคิดจะขึ้นดอยเชียงดาวหรือม่อนจองไปส่องดูกวางผาตัวจริง โปรดใช้วิจารณญาณด้วยแล้วกันนะ เอาให้พองาม อย่าไปทำให้พวกมันตกใจ อย่าลืมว่ามันไม่มีหน้าผาให้หนีไปไหนแล้ว

****คอลัมน์โลกใบใหญ่ เล่มนี้รายงานการไขปริศนาการหายตัวไปของผู้ให้กำเนิด “เจ้าชายน้อย” อองตวน เดอ เซงเตกซูเปรี
นี่เป็นเรื่องสะเทือนใจ เพียงใด? ต้องลองนึกถึงบุคคลในอุดมคติของคุณ ซึ่งอาจเป็นคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเลือกอาชีพที่กำลังทำในปัจจุบัน ..ทีนี้ ลองสมมติต่อไปว่า ถ้างานของคุณนี้เอง ทำให้คุณต้องสังหารคนที่เป็นแรงบันดาลใจของคุณเอง โดยคุณมาได้รับทราบความจริงในภายหลัง หัวใจของคุณจะเจ็บปวดแค่ไหน

****คอลัมน์สุขภาพดูแลได้ นำเสนอ "ภัยบีพีเอ" บทความให้ความรู้เกี่ยวกับประเภทของพลาสติก ซึ่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของคนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือบ้านนอก อ่านให้ตาสว่างกันเสียที ว่าทำไมเราจึงไม่ควรนำขวด PET มาใช้ซ้ำ ควรเลือกภาชนะแบบไหนใส่น้ำบริโภค โดยเฉพาะขวดนมลูก ควรเลือกแบบไหน จึงจะปลอดภัย ไร้อันตราย

****คอลัมน์โลกธรรมชาติและวิทยาการ เสนอ "๒๐ แง่มุมที่ควรรู้เกี่ยวกับฟ้าผ่า" ดูให้เข้าใจว่าฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ปลดปล่อยพลังงานออกมาเท่าไหร่ จะหลบอย่างไร และหลบท่าไหนให้ปลอดภัย แหวน กำไล สร้อย โทรศัพท์มือถือ และโครงบราเซียร์ ล่อฟ้าจริงหรือ? คอลัมน์นี้มีคำตอบ

****โลกบันเทิง ภาพยนตร์ เสนอ Teeth: เมื่อ “จิ๋ม” มี “เขี้ยว” เล่าถึงหนังเรื่องเดียวกับที่ดิฉันดูเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว (และเขียนรีวิวไว้ที่ http://mandymois.multiply.com/reviews/item/42 ) ไกรวุฒิ จุลพงศธร รวบรวมตำนานและรายละเอียดน่าสนุกที่เชื่อมโยงกับประเด็นที่หนังนำเสนอไว้น่าสนใจเชียว อ่านแล้วจะยิ่งสนุกกับหนังเรื่องนี้-โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นผู้หญิงนะ
เหอ เหอ

****คอลัมน์โลกสรรพสินค้า ช่วยเปิดหูเปิดตาถึงสาเกตุของการเกิดปะการังฟอกขาว จะตกใจไหม ถ้าสาเหตุไม่ได้มีแค่อุณหภูมิของน้ำทะเลแบบที่เราเข้าใจ แต่ยังเป็นเพราะครีมกันแดดที่เราพอกเข้าไปเพื่อป้องกันไม่ให้ลำแสงยูวีมาทำให้ผิวของเราดำ-กร้าน-เหี่ยว นั่นเอง
รู้แล้วจะอึ้ง อ่านรายละเอียดกันเองละกัน

****คอลัมน์ท้ายครัวเล่มนี้ ชวนทำ "แกงส้มต้มป่า" ที่เมนูนี้มีชื่อออกจะโฮะๆ อย่างนี้ก็เป็นเพราะว่าคุณกฤช เหลือลมัย แกชิมแล้วได้รสผสมผเสระหว่างแกงส้ม-ต้มส้ม-แกงป่า ดิฉันอ่านแล้วเชื่อเลย ว่าน่าจะหอม อร่อย แถมกินแล้วไม่อ้วนเพราะไม่ใช้กะทิ ...ถ้าแม่ทะเลอ่านรีวิวแล้วเกิดเปรี้ยวปากอยากทำให้พ่อทะเลกินก็เชิญไปซื้อสารคดีที่ร้านนายอินทร์นะจ๊ะ
อ้อ.. ทำอร่อยอยู่มือแล้วอย่างลืมเรียกไปชิมนะจ๊ะ


บันทึก
-สารคดีเล่มนี้ไม่มีปราบดา หยุ่น
-เล่มนี้ประเวชเงียบไปนะ
-ดูรูปของบารมี เต็มบุญเกียรติ แล้วอยากรู้จักเขามากขึ้น เลยให้คุณกูเกิลช่วย จึงได้พบว่า บารมีก็เล่นมัลติพลาย!!! เขาอยู่ที่ http://baramee.multiply.com เป็นเครือญาติทางมัลติพลายกับน้องตุ๊กตานี่เอง (โลกกลมออก)
-มีผู้อ่านเขียนจอมอไปหาบอกอสารคดี บอกว่าไม่ชอบกระดาษปกแบบนี้ ดิฉันว่าดิฉันชอบแหละ มันประหยัดดี ย่อยสลายง่าย นุ่มมือดีด้วย ปกอาร์ตการ์ดอาบยูวี ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร คุณค่าของสารคดีมันเกิดขึ้นเมื่อเราเปิดอ่าน ไม่ใช่ที่หน้าปก-สรุปดิฉันไม่มีปัญหากับปก แต่ยังรู้สึกแปร่งกับฟ้อนต์ใหม่ไม่หายสิน่า


วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

If Love, Love Openly

 

ในวัดนิกายเซนอีกเหมือนกัน;

มีภิกษุุอยู่หลายสิบรูป และมีนักบวชผู้หญิงที่เรียกว่า nun อยู่คนหนึ่ง ชื่อ เอฉุ่น รวมอยู่ด้วย. เอฉุ่นเป็นหญิงที่สวยมาก แม้จะเอาผมออกเสียแล้ว แม้จะใช้เครื่องนุ่งห่มของนักบวชที่ปอนมากก็ยังสวยอย่างยิ่งอยู่นั่นเอง และทำความวุ่นวายให้แก่ภิกษุทั้งหมดนั้นมาก แทบว่าจะไม่มีจิตใจที่จะสงบได้. ภิกษุองค์หนึ่งทนอยู่ไม่ได้ ก็เขียนจดหมายส่งไปถึง ขอร้องที่จะมีการพบกันอย่าง private คือเป็นการขอพบเฉพาะตัว. เอฉุ่นก็ไม่ตอบจดหมายนั้นอย่างไร แต่พอวันรุ่งขึ้น กำลังประชุมอบรมสั่งสอนกันอยู่ ซึ่งมีชาวบ้านจำนวนมากรวมอยู่ด้วย;

พอสั่งสอนจบลง เอฉุ่นก็ยืนขึ้นกล่าวถึงภิกษุนั้นว่า ภิกษุที่เขียนจดหมายถึงฉันนั้น ขอให้ก้าวออกมาข้างหน้าจากหมู่ภิกษุเหล่านั้นเถิด; ถ้ารักฉันมากจริงๆ ก็จงมากอดฉันที่ตรงนี้;

 

แล้วนิทานของเขาก็จบ.

 

นี่ท่านลองคิดดูเองว่า นิทานอิสปเรื่องนี้จะสอนว่ากระไร;

ก็หมายความว่า การสอน การอบรมที่ตรงไปตรงมาตามแบบของนิกายเซนนั้น กล้ามาก ทำให้คนเรากล้าหาญมาก และไม่มีความลับที่จะต้องปิดใคร จะว่าอย่างไรก็ได้ไม่ต้องปกปิด คือสามารถที่จะเปิดเผยตนเองได้ มีสัจจะมีความจริง โดยไม่ถือว่าความลับมีในโลก นี้เราจะต้องเป็นผู้ที่ปฏิญญาตัวอย่างไรแล้ว จะต้องทำอย่างนั้น;

ไม่มีความลับที่ปกปิดไว้ จนสะดุ้งสะเทือนแม้ในการที่จะเรียกตัวเองว่า ครูอย่างนี้เป็นต้น. บางคนกระดาก หรือ ร้อนๆ หนาวๆ ที่ว่า จะถูกเรียกว่าครู หรือจะถูกขอร้องให้ยืนยันปฏิญญาความเป็นครู;

นี้แสดงว่าไม่เปิดเผยเพียงพอ ยังไม่กล้าหาญเพียงพอ;

จะกล้าปฏิญญว่าเป็นครูจนตลอดชีวิตหรือไม่ ยิ่งไม่กล้าใหญ่. ใครกำลังจะลงเรือน้อยข้ามฟากไปฟากอื่นซึ่งไม่ใช่นครของพวกครูบ้าง ก็ดูเหมือนไม่กล้าเปิดเผยเพราะเราไม่ชอบความกล้าหาญ และเปิดเผยกันอย่างสูงสุด เหมือนกะคนในเรื่องนิทานนี้

 

 

 

จากนิทานเรื่อง “ถ้าจะรักก็จงรักอย่างเปิดเผย”

จากหนังสือนิทานเซ็น เล่าโดยพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม พิมพ์โดยธรรมสภา

(ไม่ระบุปีที่พิมพ์ แต่ซื้อเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๓ ที่ร้านดอกหญ้า โรบินสัน ราชบุรี)

เข้าใจว่าน่าจะเป็นการถอดความจากการเล่าให้บรรดาครูที่มาสวนโมกข์ฯ ในวันอาทิตย์หนึ่ง (ไม่มีวัน-เดือน-ปี ระบุ)

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

...ไม่ได้อ้วนซะหน่อย


พักนี้ดูมีน้ำมีนวลขึ้น แม้กระทั่งหม่ามี๊ยังสังเกตได้เลย

แต่แกไม่ได้ทักว่าอวบขึ้นหรอกนะ เพราะรู้ว่าทักอย่างนั้นแล้วลูกจะประสาท

พานไม่ยอมกินข้าวปลาที่แกโหมทำให้

เลยทักมาแค่ ใช้ครีมอะไร หน้าตาผ่องใส อิ่มเอิบ

(เหอ-เหอ)

 

ดังนั้น ดิฉันจึงยังไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้เวลาแต่งตัวเตรียมไปชม We Will Rock You รอบสอง เมื่อวานนี้

 

เมื่อ....ติดกระดุมกางเกงยีนส์เอวต่ำ(โคตรๆ)ไม่ได้!!!

หน้าท้องกลายสภาพเป็นพุงไปเรียบร้อย

แขนนั้นไม่ต้องห่วง ตอนนี้น่าจะใหญ่กว่าแขนปกรณ์ไปเรียบร้อย

ท่อนขานั้นเล่า ถ้าบรรยายด้วยภาษาญี่ปุ่น จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก

Dai Kon Achi-กรี๊ดดดดดดดด รับไม่ด้ายยยยยย

 

(ไม่แฟร์เลย ที่ทุกส่วนในร่างกายใหญ่ขึ้น แต่หน้าอกไม่เห็นอึ๋มขึ้นสักนิด)


นี่ตูเป็นอะไรไป???

 

อ้วนกระทันหัน หรืออ้วนมานานแล้ว แต่มิได้นำพา?

หรือนี่มันแค่อาการอวบก่อนเมนส์จะมา (คิดอะไรไม่ออกเดี๊ยนโทษฮอร์โมนก่อนตลอด)

ไม่ได้การละ ต้องรีบไปค้นข้อมูล

 

แล้วจึงได้การว่า

 

เราขึ้นอืดกันได้เมื่อไหร่บ้าง
          โอกาสที่เกิดอาการอืดตัวบวมได้ก็คือ ช่วง 3 - 4 วันก่อนประจำเดือนจะมา เพราะว่าเป็นช่วงที่น้ำหนักตัวขึ้นได้ง่ายมาก และยังมีลักษณะนิสัยเป็นตัวเสริม เช่น นิสัยการกิน จะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเอง "บวม" มากขึ้น

 

เอิ่ม ๓-๔ วันก่อนมีเมนส์หรอ ก็ไม่หนิ เมนส์จะมาน่าจะวันอังคารหน้าโน่น ก็อีก ๘ วัน

งั้น..มีสาเหตุอะไรอีกล่ะ?

 

สภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความอวบ
วิถีชีวิตประจำวันอาจก่อให้เกิดอาการน้ำหนักเพิ่มชั่วคราวได้ ถ้าหากคุณตกอยู่ในช่วงภาวะตัวบวม ถามตัวเองว่า

๐ เมื่อวานฉันออกกำลังกายไปมากแค่ไหนนะ เมื่อเราออกกำลังอย่างหนักและเคร่งครัด จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นในเซลล์กล้ามเนื้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อน้ำหนักตัวคุณได

 

เป็นได้นะ นอกจากเล่นโยคะแก้เมื่อย(เฉลี่ยอาทิตย์ละวัน)แล้ว ไม่ได้ทำอย่างอื่นเรย

 

๐ นี่ฉันนั่งแช่อยู่เฉยๆ (หรือยืนขาแข็ง) มาทั้งวันหรือเปล่า ยิ่งตัวคุณอยู่ในแนวตั้งฉากกับพื้นนานเท่าไร ร่างกายคุณก็จะยิ่งกักเก็บของเหลวไว้มากเท่านั้น เพราะเลือดของเราจะไหวเวียนไปยังไตได้น้อยลง และทำให้ร่างกายรู้สึกว่าการรับของเหลวเข้าสู่ร่างกายอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นจึงต้องมีการเก็บสำรองไว้ วิธีแก้คือ ลองเองลงนอนราบสัก 1-2 ชั่วโมง ไตจะได้เลือดไหลเวียนมามากขึ้น ซึ่งร่างกายคุณจะตีความว่ามีของเหลวส่วนเกินที่ต้องขับทิ้ง

 

อ๊ะ เราเพิ่งนั่งรถไฟมาตั้งคืนนึงนี่ แถมไปนั่งดูมิวสิคัลต่ออีก ๓ ชั่วโมง(เอ่อ แต่อันนั้นมันก็ไม่ได้นั่งดูเฉยๆ นี่หว่า มีขยับแข้งขาตลอด)

 

ไม่รู้ล่ะ นี่ต้องไม่ใช่ความอ้วนแน่ๆ แต่มันคืออาการบวมน้ำ

และต่อไปนี้ เพื่อลดอาการบวมน้ำ เราจักต้องปฏิบัติตามวิธีที่เขาแนะนำมาอย่างเคร่งครัด

 

วิธีลดการกักเก็บของเหลว

๐ ออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยขับของเหลวออกจากเนื้อเยื่อกลับเข้าไปสู่กระแสเลือด แล้วไตจะทำหน้าที่ขับถ่ายออกไปเอง

๐ เพิ่มอาหารที่ช่วยขับปัสสาวะ อาหารบางอย่างมีฤทธิ์ช่วยขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ผักชีฝรั่ง แตงกว่า คึ่นช่าย

๐ ลดอาหารที่มีโซเดียม เพราะโซเดียมทำให้ร่างกายกักน้ำไว้มากขึ้น ให้เปลี่ยนไปกินอาหารที่มีโปแตสเซียมมากขึ้น เช่น กล้วย นม น้ำส้มคั้น ผักบร็อกโคลี โซเดียมกับโปแตสเซียมนั้นให้ผลตรงกันข้าม โซเดียมจะทำให้ของเหลวนอกเซลล์เพิ่มขึ้น ส่วนโปแตสเซียมจะดึงน้ำกลับเข้าไปอยู่ในเซลล์ ซึ่งจะทำให้คุณไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวบวมเท่าไหร่นัก

๐ ตรวจระดับแคลเซียมตัวเอง มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่รับแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายในระดับต่ำ จะมีผลทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำมากขึ้นในช่วงระยะ 7 วันก่อนจะมีประจำเดือน

 

ต้องรีบลดแล้ว ไม่งั้นจะกลายเป็นตึกก่อนจะถึงเวลา บวมเพราะฮอร์โมนก่อนเมนส์มา



หมายเหตุ: ขอขอบคุณข้อมูลจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ดิฉันก็จำไม่ได้เหมือนกัน ว่าไปเอามาจากที่ไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ดอกไม้บ้านนอก (๒)


มาแอบอยู่ตรงนี้เอง

ต่อจากตอนที่แล้วไง

ดอกไม้บ้านนอก (๑)


โทษที ตอนนี้สี่โมงเย็น
แดดกำลังแรง

พฤหัสบดีที่ ๑๗-เสาร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑

กลับบ้านเกิดคราวนี้นอกจากไปวัดแล้วไม่ได้ไปไหนเลย
(ชอบ-ชอบอยู่บ้าน)
ว่างๆ เลยออกเตร็ดเตร่ตรวจสวนแถวๆ บ้านอันประกอบด้วยบ้านน้า และบ้านแม่
พบว่า มีต้นไม้่ ดอกไม้ที่ปลูกเหมือนไม่ตั้งใจ
แต่เค้าโตอย่างตั้งใจ๊ ตั้งใจ (น่าประทับใจมากๆ) เพียบเลยแหละ

วัดบ้านนอก: เวียนเทียนวันอาสาฬหะฯ


เผื่อจะมีคู่ในเร็วๆ นี้

คืนวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑

วันอาสาฬหบูชาปีนี้ ดิฉันหาตั๋วกลับบ้านพร้อมประกาศเชิงหักคอคนในครอบครัวให้เตรียมตัวไปเวียนเทียนด้วยกัน
ที่ต้องทำแบบบนี้เพราะไม่รู้วันพระต่อๆๆๆๆ ไปคนในครอบครัวจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้อีกไหม
คือบางคนอาจแต่งงานไปอะนะ (แบบว่าบางคนก็ยังมีความหวังอยู่อะนะ?)

การมารวมตัวกันเวียนเทียนครั้งนี้คือวาระของการทำกิจกรรมพร้อมหน้าในครอบครัว

เป็นกิจกรรมที่สุดจะโรแมนติกเลยด้วย
คืนนั้นพระจันทร์สวย หัวค่ำมีฝนตกลงมา ลมเลยรำเพยแผ่ว เย็นผิว พัดกลิ่นดอกไม้บานกลางคืนมาให้คนรอเวียนเทียนชื่นใจ

ว่ากันว่าวันอาสาฬหบูชาคือวันที่พระรัตนตรัยครบองค์ ๓
คือมีพระพุทธ (เจ้า) พระธรรม และพระสงค์ (องค์แรก)
ดังนั้นเมื่อวันเพ็ญเดือน ๘ มาถึง เราจะทำการเวียนเทียนประทักษิณ ๓ รอบ เพื่อระลึกถึงวันหนึ่งวันนั้น เมื่อสองพันกว่าปีก่อน

ดิฉันนั่งฟังพระเทศน์ สลับกับแอบถ่ายรูปคนโน้นคนนี้ (ตามเคย) แล้วก็คิดว่า กุศโลบายของพิธีีกรรมการเวียนเทียนในวันพระใหญ่นี่ บางทีจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำให้พุทธศาสนิกชนได้ระลึกถึงว่า ศาสนาของเราเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีความพิสุทธิ์สะอาดเพียงไร เพื่อให้เราและรุ่นที่เด็กกว่าเราได้พึงระลึกว่าศาสนายืนยาวมาได้ตั้งนานเท่านี้แล้ว ควรหรือที่จะให้จบสิ้นในช่วงอายุของเรา
ควรไหมที่เราจะช่วยกันสืบสานประเพณี พิธีกรรมและการปฏิบัติอันเป็นการค้ำชูศาสนาต่อเนื่องสู่คนรุ่นถัดไป

หวังว่าคนในครอบครัว ถ้าแตกแยกไปมีครอบครัวใหม่แล้ว จะพาครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองมารวมกับครอบครัวใหญ่บ้าง ในบางวาระนะ

ความทรงจำเกี่ยวกับตา


นายถาวร สร้อยจำปา

ตาถาวร สร้อยจำปา ตายไปตั้งแต่อายุดิฉันขึ้นต้นด้วยเลข ๑
ความทรงจำเกี่ยวกับตาจึงค่อนข้างจะลางเลือน
จำได้แม่นเฉพาะรูปที่ติดอยู่กับฝาบ้านยาย
แล้วก็คลับคล้ายคลับคลากับบุคลิกที่น้าผู้ชายคนเดียวที่มีถอดมาเป๊ะ
(น้องชายเราดันไปเหมือนน้าได้เฉยเลย)

ตาเป็นมอญ เป็นคนเขียนหนังสือสวย เป็นคนถี่ถ้วน และเป็น wind beneath ยาย's wings
กลับบ้านคราวนี้ไปเที่ยวบ้านน้า ซึ่งเป็นหลังเดียวกับบ้านยายน่ะแหละ
น้าค้นลิ้นชักโต๊ะไม้เก่าคร่ำคร่าตัวนึง แล้วส่งของสองสิ่งให้ดู
หนึ่งในนั้นเป็นบัตรประจำตัวประชาชนของตา
อีกสิ่งเป็นสมุดบันทึกประจำวัน ช่วงปี ๒๕๒๗ ของตา

เปิดอ่านไปหลายหน้า
พบอุปนิสัยละเอียด ประหยัด และโอบอ้อมอารีของตา
บังเอิญเจอหน้าที่ตาเขียนถึงเราด้วย เลยบันทึกรูปไว้เป็นที่ระลึก

คุณนายลาย




ตั้งแต่แม่เมี๊ยวจากไป (ตายน่ะ) หม่ามี๊ดิฉันก็ได้ที นำนังแมวลายที่ตลาดซึ่งเธออ้างว่าถูกชะตานักหนามาเลี้ยงประดุจลูก แทนที่แมวเก่าซึ่งจากไป

นังลายก็เป็นแมวตัวเมีย
(เลี้ยงแมวตัวผู้มันไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน หม่ามี๊คงไม่ปลื้มนัก)
ก่อนจะเข้ามาอยู่ที่บ้านเป็นเรื่องเป็นราว เลยต้องเข้าคลินิก ทำหมันให้เรียบร้อยเสียก่อน
จะได้ไม่ต้องฉีดยาคุมเป็นครั้งคราว จนเป็นสาเหตุของเนื้องอกในมดลูกเหมือนในคุณเมี๊ยว

ดิฉันกลับบ้านคราวนี้ เลยเจอนังคุณนายลายอ้วนท้วนอย่างในรูป

คุณนายลายเป็นแมวสาว เปรียว รักการออกนอกบ้านเป็นชีวิตจิตใจ เปิดประตูเมื่อไหร่ เป็นย้ายก้น นวยนวดเดินออกไปเดินเล่นตลอด
ทั้งยังเป็นแมวที่แปลก คือไม่ชอบกินปลา จะกินแต่วิสกัส (เชอะ)

นอกจากนี้ แค่เอาตัวมาถูไถกับขาคน (เพื่อฝากกลิ่นไว้) ยังไม่พอ
ใกล้ชิดกันเมื่อไหร่เป็นมาดมๆๆๆๆ เสร็จแล้วก็เลียๆๆๆ ซะงั้น

บรึ๋ย!
ลิ้นแมวเหมือนลิ้นหมาที่ไหน


วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ระบำแม่ไก่ หัวใจกุ๊กกุ๊ก: ความสุขของซิงเกิลมัม

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:Raffaella Barker แปลโดยมณฑารัตน์ ทรงเผ่า
หนังสืออ่านเล่นที่ไปเจอะในที่เก็บหนังสือซึ่งบรรดากองบรรณาธิการใช้ทำงานเสร็จแล้ว เปิดๆ ดูเห็นว่าน่าจะเบาสมองดี เลยยืมเขามาอ่าน

มีคนบอกว่าหนังสือเล่มนี้เหมือนไดอารี่ของบริดเจ็ต โจนส์ เวอร์ชั่นที่โตขึ้น หาสามีได้ มีลูกสามคน ย้ายไปอยู่แถบชนบทของอังกฤษ แล้ววันดีคืนดีก็โดนสามีก็ทิ้ง

ดิฉันว่าจริง
แต่จากการที่เคยอ่านไดอารี่ของยัยบริดเจ็ตมาแล้ว ดิฉันว่าอ่านเล่มนี้มันคุ้มกับเวลามากกว่านะ
(อาจจะเป็นด้วยวัยของเราที่โตขึ้นด้วยกระมัง?)

นี่เป็นบันทึกของซิงเกิลมัม (แน่นอน-ซิงเกิลมัมชาวบริติช) อาศัยอยู่นอกลอนดอน ในบ้านหลังไม่เล็ก มีสวนน่ารักๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่เธอชอบ มีสัตว์เลี้ยงเป็นหมาหนึ่งแมวหนึ่ง และลูกอีก ๓ ในวัยที่กำลังชวนปวดหัวทั้งสิ้น

ว่ามาตั้งแต่ลูกชายคนโตวัย ๙ ขวบ ผู้กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น ลูกชายคนรองวัย ๗ ขวบ ที่ยังไม่พ้นจากความเป็นเด็ก และ "แม่คนสวย" ลูกสาววัยประมาณขวบ
กำลังน่ารัก สดใส เป็นเหมือนแสงประทีปของแม่ แต่ก็วุ่นน่าดู

สามีทิ้งชีไปตอนไหนหรอ เข้าใจว่าหลังจากคลอดแม่คนสวยได้ไม่เท่าไหร่อะนะ
(เยี่ยมเลยเนอะ)
โชคดีนิดเดียวที่พ่อชาวอังกฤษที่ขอหย่าไปแล้วยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายลูกเมียด้วย คุณเวเนเทีย นางเอกซิงเกิลมัมของเราเลยไม่ลำบากเกินไปนัก มีแค่บางช่วงที่บัญชีเกือบติดลบ

ชะตากรรมอย่างเวเนเทียถ้าเกิดขึ้นกับแม่คนไหน คงต้องแล้วแต่ภูมิต้านทานของแม่คนนั้นจะรับได้ไหม
นี่ดี ที่นางเอกของเราเป็นคนมองโลกในแง่ดี ผัวทิ้งก็ไม่ได้เอาแต่ฟูมฟาย ตีอกชกหัว ใช้้เหล้าช่วยบรรเทาความเสียใจ แล้วสุดท้ายก็มาพาลเอากับลูก

เสียใจชีก็มี น้อยใจอดีตสามี (ที่ทิ้งเธอไปมีชีวิตดีๆ แถมมีลูกกับเมียใหม่อีก) มันก็ต้องมี ช่วงที่ประสาทเพราะลูกก็ต้องมี แต่ชีก็รอดมาได้ เพราะความมองโลกในแง่ดี (ที่จริงชีเป็นคนโก๊ะ+ขำมากๆ เลยแหละ) แล้วก็รักลูกเป็นที่ตั้ง อีกอย่าง ชีมีซัพพอร์ตเตอร์ดีๆ เป็นแม่ ซึ่งแม้คนอ่านจะสัมผัสได้ถึงความเซอร์-ขำ และเพี้ยน แต่ก็นับว่าเป็นแม่ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีน้ำใจในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง (น่านับถือนะ-เชื่อว่าแม่ในลอนดอนคงไม่ตามมาช่วยเลี้ยงหลานอย่างนี้หรอก)

เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่น่ารัก
แล้วก็น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ให้กับซิงเกิลมัมทั้งหลายหันมามองโลกในแง่ดี มองลูกในแง่ดี แล้วก็สู้ชีวิตกันต่อไป
...แม้ว่าในชีวิตจริง เราจะไม่มีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยอย่างในเรื่องก็ตามอะนะ


อ้อ ใครชอบสวน ชอบชนบทของอังกฤษ ลองหามาอ่านดูน่าจะอิ่มเอมใจดี คนเขียนเรื่องนี้ีเป็นคอลัมนิสต์ให้นิตยสาร Country Life ชีเลยเขียนเล่าถึงฉาก ๔ ฤดูในชนบทอังกฤษ (นอร์ฟอล์ก) ได้ง๊ามงาม

บันทึก
-ชีวิตที่มีพ่อ ใช่จะเป็นชีวิตที่เพอร์เฟคท์นะ
-ดีใจจังที่พระเอกมีอาชีพเป็นช่างไม้
-เป็นโสดก็ดีอย่าง ความรับผิดชอบน้อยดี แค่เอาตัวเองให้รอดก็พอ
-ใครๆ ก็อยากเี้ลี้ยงลูกให้เป็นคนมีระเบียบ แต่ดิฉันเข้าใจแล้ว ว่าชีวิตจริง (ของแม่ที่ต้องเลี้ยงลูก ๓ คนโดยลำพัง) มันยากแค่ไหน
-ชีวิตก็แค่นั้น ไม่รู้จะไปขึ้งเครียดอาฆาตผัวเก่าทำไม ยังไงเค้าก็คนเหมือนกัน ถึงจะมีครอบครัวใหม่ ก็ต้องเจอกับความทุกข์รูปแบบเดิมๆ ที่ตัวเองหนีไปนั่นแหละ
-อ่านจบพบว่านี่เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ดิฉันคร่ำครวญด้วยเพลง never been to me ก็ชาตินี้คงไม่ได้รู้ว่าความสุขของการมีลูกมีผัวมันเป็นยังไง

วัดบ้านนอก: งานศพที่เคียนซา




พฤหัสบดีืั้ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑

ถึงบ้านพอดีวันเผาศพของญาติ
คนนี้แกมีศักดิ์เป็นน้า
พ่อของแกคือตารูญ เป็นน้องชายของยายเขียน ยายแท้ๆ ของดิฉัน แกจึงมีศักดิ์เป็นน้อง (ลูกพี่ลูกน้อง) ของแม่และน้า
เราพากันไปถึงวัดเพ็งประดิษฐาราม อำเภอเคียนซา สุราษฎร์ธานี

จริงๆ แล้วตอนทวดอพยพมาจากนครปฐมก็มาตั้งรกรากที่ตำบลท่าสะท้อน อำเภอพุนพิน (เจริญกว่าเพราะมีสถานีรถไฟ) แต่ตารูญเป็นครู ดูเหมือนจะมาได้ภรรเมีย และ ย้ายมาสอนที่นี่ ซึ่งเป็นอำเภอที่กันดารและห่างไกลที่สุดอำเภอหนึ่งของสุราษฎร์ฯ นี้ตั้งแต่คอมมะนิดยังไม่บุก พื้นที่ยังไม่ถูกจัดเป็นสีแดง
(ที่ว่ากันดาร เพราะเมื่อก่อนเวลาเขาจะมาที่นี่ ต้องมาเรือ ทางแม่น้ำตาปี เพิ่งจะมีถนนดีๆ มาอำเภอนี้เมื่อไม่กี่สิบปีนี้เอง ส่วนตอนนี้น่ะหรอ มาสะดวกด้วยถนนสายเซาเทิร์นซีบอร์ดไงล่ะ)

ครอบครัวของตาก็เลยกลายเป็นคนเคียนซาด้วยเหตุนี้
ไม่เคยมีเหตุจำเป็นให้มาเยือนอำเภอนี้มาก่อน

ได้มาเห็นครั้งแรกจึงให้รู้สึกว่าบ้านนอกมาก แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย
ดังจะเล่าด้วยภาพต่อไปนี้

ท้องฟ้าของบ้านนอก


ตอนประมาณบ่ายแก่ๆ

ไม่รู้เป็นไง
กลับบ้านที่สุราษฎร์ฯ ทีไรจะได้เห็นท้องฟ้าสวยๆ เสมอ
ทั้งกลางวันและกลางคืน

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

รสชาติใหม่ของการเดินทาง


แค่เห็นป้ายก็สัมผัสได้ถึงความประหลาด

สงสัยขบวนพืชสวนโลกเลยจอดชานชาลานี้
แล้วโบกี้รถนอนพวกนี้ก็เอามารับรองนิฮงจินโดยเฉพาะ

พุธที่ ๑๖-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑

เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด (แต่ไม่ยักเกิดตรงนี้หรอกนะ) อีกครั้ง
ไม่อยากจะโทษความละล้าละลังตัดสินใจไม่ได้เสียทีว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนไหม
เอาเป็นโทษความเอื่อยเฉื่อยของตัวเองละกัน ที่ไปซื้อตั๋วสาย ผลสุดท้ายเลยต้องรีบเผ่นกลับก่อนวันหยุด แถมต้องซื้อตั๋วขบวนรถไฟประหลาด ออกจากกรุงเทพฯห้าโมงเย็น ถึงบ้านตีสี่-เป็นภาระให้คนมารับซะงั้น

และเป็นครั้งแรกที่เสียเงินซื้อตั๋วตู้นอนปรับอากาศรถด่วน ปกติไม่จำเป็นต้องกลับรถด่วน และไม่เคยจ่ายแพงขนาดนี้ (ปกติซื้อตั๋วนอนชั้นสองพัดลมน่ะ ห้าร้อยกว่าบาทก็ถึงบ้านแล้ว รถไฟแถมให้ด้วย ฮ่า ฮ่า แต่ตั๋วตู้นอนแอร์รถด่วนนี่ ปาเข้าไปตั้งเจ็ดร้อยกว่าๆ)
เอาวะ ดีกว่านั่งชั้นสาม (ตอนนี้สองร้อยกว่าบาทแล้วมั๊ง?)

มาถึงหัวลำโพง ถึงได้รู้ว่า รถด่วนกรุงเทพฯ-ตรัง ชั้นสองปรับอากาศตู้ที่มีตั๋วโดยสารนั้น ช่างเป็นตู้นอนที่ไฮโซจริงๆ

ไถ่ถามเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบจึงได้ความว่า นี่เป็นรถที่ญี่ปุ่นส่งมาช่วยตอนพืชสวนโลก
พอเสร็จงานก็ไม่ได้ส่งกลับหรอก แต่เอามาวิ่งในขบวนด่วน กรุงเทพฯ-ตรัง

ถ้าใครอยากนั่ง (นอน) ต้องแจ้งตอนจองตั๋วด้วย เพราะทั้งขบวน มีแบบนี้อยู่แค่ ๓ ตู้เท่านั้น ถ้าไม่บอกเจ้าหน้าที่ขายตั๋วก็อาจได้โดยสารรถตู้นอนแอร์ปกติ

บังเอิ๊ญ-บังเอิญว่ะ

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เห็นด้วย!

สาวพอใจจีบทางส่งข้อความสั้น ยิ่งกว่าชิงจู่โจมถึง ตัวด้วยโทรศัพท์
[16 ก.ค. 51 - 00:16]

นักวิจัยพบว่า หนุ่มที่คิดจะจีบสาวทางโทรศัพท์ มือถือ ควรจะใช้การส่งข้อความสั้นๆดีกว่าการพูดจา หากไม่เชื่อ ก็ควรจะทราบผลจากการสำรวจความเห็น พบว่าสาวมากถึง 3 ใน 4 คน จะตัดสินบุคลิกภาพผู้นั้น เอาจากวิธีการเขียนข้อความ

หนังสือพิมพ์รายวัน “เดลี่ สตาร์” ชื่อดังของอังกฤษ ยังเปิดเผยให้ทราบด้วยว่า ผู้หญิงเกือบถึง 9 ใน 10 คน ชอบที่จะแลกเปลี่ยนส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์ เมื่อยอมให้เบอร์กับหนุ่มที่รู้สึกสนใจไปแล้ว มากกว่าที่จะใช้การพูดด้วย

แบบของข้อความที่ผู้ชายจะใช้ส่งกันมากถึงร้อยละ 34 จะมีสไตล์เกี้ยวพาราศีแกมเหน็บแนม ในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 68 มากถึงสองในสาม ก็จะพึงพอใจกับข้อความแบบนี้ ตราบเท่าที่เป็นเรื่องก้อร่อก้อติก แต่ต้องไม่ถึงกับหยาบคาย

โฆษกของสำนักงานบริการสอบถาม นายวิลเลียม ออสตรอม ซึ่งทำการสำรวจ กล่าวเปิดเผยว่า “หนุ่มโสดจะให้ ความสำคัญกับข้อความ เพราะสาวจะให้ความสำคัญกับมันมาก” เนื่องด้วยการส่งข้อความ ไม่กดดันมากเหมือนกับการโทรศัพท์ ปล่อยให้มีเวลาตรึกตรองดูก่อนที่จะบอกอะไรไป เขาแจ้งว่า ในอังกฤษมีการส่งข้อความสั้นกันมากถึงวันละ 15 ล้านครั้ง.

จากไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=97139

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เพลงเรียกน้ำตา


จันทร์ที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑

ได้คุยกับสองพี่สาวที่ได้ดูละครเวสต์เอนด์ We Will Rock You ที่กำลังโชว์ที่เมืองไทยรัชดาลัยฯ แล้ว

พี่สาวคนแรกบอกว่า พอได้ยิน Bohemian Rhapsody (freddie mercury แต่งเพลงนี้ตั้งแต่ 1975-พวกเรายังไม่เกิดเลย) บนเวที ก็เข้าใจในที่สุด ว่า freddie บอกอะไร
ตอนเด็กๆ ชีได้ยินเพลงนี้ก็แค่รู้สึกว่าเจ๋งจัง ทำได้ไง แต่ยังไม่เข้าใจหรอก

พี่สาวคนที่สองบอกว่า ได้ยินเพลงนี้บนเวทีแล้วน้ำตาไหลพราก
พรากออกมาได้ยังไงไม่รู้เหมือนกัน

ป.ล. ไม่รู้บล็อกนี้จะมีคนใจดีหา
Bohemian Rhapsody มาให้ฟังกันถึงที่อีกไหม
(แอบหวังอยู่ในใจ...)



Bohemian Rhapsody

words and music by freddie mercury

Is this the real life-
Is this just fantasy-
Caught in a landslide-
No escape from reality-
Open your eyes
Look up to the skies and see-
I’m just a poor boy,i need no sympathy-
Because I’m easy come,easy go,
A little high,little low,
Anyway the wind blows,doesn’t really matter to me,
To me

Mama,just killed a man,
Put a gun against his head,
Pulled my trigger,now he’s dead,
Mama,life had just begun,
But now I’ve gone and thrown it all away-
Mama ooo,
Didn’t mean to make you cry-
If I’m not back again this time tomorrow-
Carry on,carry on,as if nothing really matters-

Too late,my time has come,
Sends shivers down my spine-
Body’s aching all the time,
Goodbye everybody-I’ve got to go-
Gotta leave you all behind and face the truth-
Mama ooo- (any way the wind blows)
I don’t want to die,
I sometimes wish I’d never been born at all-

I see a little silhouetto of a man,
Scaramouche,scaramouche will you do the fandango-
Thunderbolt and lightning-very very frightening me-
Galileo,galileo,
Galileo galileo
Galileo figaro-magnifico-
But I’m just a poor boy and nobody loves me-
He’s just a poor boy from a poor family-
Spare him his life from this monstrosity-
Easy come easy go-,will you let me go-
Bismillah! no-,we will not let you go-let him go-
Bismillah! we will not let you go-let him go
Bismillah! we will not let you go-let me go
Will not let you go-let me go
Will not let you go let me go
No,no,no,no,no,no,no-
Mama mia,mama mia,mama mia let me go-
Beelzebub has a devil put aside for me,for me,for me-

So you think you can stone me and spit in my eye-
So you think you can love me and leave me to die-
Oh baby-can’t do this to me baby-
Just gotta get out-just gotta get right outta here-

Nothing really matters,
Anyone can see,
Nothing really matters-,nothing really matters to me,

Any way the wind blows....

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Teeth: ถึงคราวสาวสาวโต้กลับด้วยการ...กัด!

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Horror
หนังสยองขวัญปนคอมเมดี้ที่...ผู้ชายคงขำไม่ออก

เพราะนี่คือเรื่องราวของสาวน้อยน่ารัก (และน่า fcuk) ผู้มีอาวุธประจำกายเป็นซี่ฟันที่ vagina (แปลเป็นไทยว่า ‘ช่องสังวาส’…คงไม่ต้องให้บอกใช่ไหม ว่า ‘สังวาส’ หมายถึงอะไร)

สะใจกับอารมณ์ขันปนแดกดันของผู้กำกับ Mitchell Lightenstein ที่ลงมือเขียนบทเองด้วย คิดดูสิ เล่นเขียนให้ น้อง Dawn (Jess Weixler) เด็กผู้หญิงอเมริกันวัยน่ารักผู้มาจากครอบครัวพิลึกพิลั่น มีพี่ชายคนละแม่นิสัยไม่ดีที่ลวนลามรังแกเธอมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังโตมาได้อย่างคล้ายว่าจะปกติ เลือกไปทำกิจกรรมกับกลุ่มศาสนาที่รณรงค์ให้วัยรุ่นรักษา Purity หรือพรหมจรรย์ได้จนกระทั่งแต่งงาน (ผู้กำกับเริ่ม ‘กัด’ แล้ว)

แม้น้องดอว์นจะรักษาตัวได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน ว่าวัยรุ่นเป็นวัยคุกรุ่น ฮอร์มงฮอร์โมนก็กำลังพลุ่งพล่าน ออกจะน่ารักกันขนาดนี้ ใกล้ชิดกันก็ขนาดนั้น จะให้นั่งหนีบขาไว้ให้มั่น หรือเก็บความหวิวใส่ลิ้นชักล็อกกุญแจลืมนั้นคงเป็นเรื่องที่...ลืมไปได้เลย

สาวน้อยน่ารักของเราจึงต้องแทบเสียสติเมื่อพบว่า เธอทำให้จุ๊ดจู๋ของเพื่อนชายขาดไปต่อหน้าต่อตา
(คุณผู้กำกับขา ฉากนี้คุณทำได้สยองเหลือเกิน แต่ไหงดิฉันถึงได้นั่งขำจนน้ำตาเล็ดได้ละคะ?)
เมื่อเว็บ search engine ทำให้เธอได้ทราบว่าไอ้ที่เป็นอยู่กับตัวเองน่ะ เรียกว่า Vagina Dentata ซึ่งเป็นตำนานเรื่องเล่าอยู่ในหลายวัฒนธรรม (...ไปหาอ่านต่อกันเองเหอะนะ)

และเมื่อเธอนำน้องหนูของเธอไปตรวจภายในให้รู้แจ้งว่าควรจะพาน้องไปตรวจกับคุณหมอสูติฯ หรือหมอฟันดี เธอก็ให้บังเอิญกัดนิ้วคุณหมอสูติฯ ขาดไปอีกถึง ๔ นิ้ว (โอ้วแม่จ้าว...ดิฉันเลยรู้เลยว่า หมอสูติฯ ต้องล้วงมือเข้าไปเยอะขนาดนั้น!!!)

ฉากที่หมอพยายามจะดึงมือออกมาจากซี่ฟันมันทั้งขำและน่าสมเพชไปพร้อมๆ กัน (เล่นเก่งทั้งคู่ เจ้ขอชู ๒ โป้ง)

ดูมาถึงตอนนี้แล้วชักสงสารน้องดอว์น ยังงี้เธอจะได้มีความสุขทางโลกย์กับเขามั่งไหม แล้วถ้าเธอทำใจกล้า กระทำความพึงพอใจให้ตัวเองด้วยมือน้อยๆ ของเธอ เจ้าฟันที่ตรงนั้นจะไม่กัดนิ้วน้อยๆ ของเธอขาดไปด้วยหรือ (ดีที่หนูดอว์นยังไม่เคยกล้าใช้มือกับน้องสาวสักที)

คำถาม และความเป็นห่วงของพี่คลี่คลายลงในเวลาต่อมา เมื่อทราบว่า น้องดอว์นเองสามารถสมสุขกับคนรักได้เยี่ยงหญิงปกติ แต่มีข้อแม้คือ เธอต้องมีความพึงพอใจ มีอารมณ์คล้อยตาม ไม่ได้ถูกบังคับขืนใจเหมือนในเพื่อนชายคนแรก หรืออยู่ในอารมณ์ตื่นตระหนกเหมือนตอนนอนบนเตียงขาหยั่ง

แต่เมื่อทราบว่าหนุ่มคนที่ทำให้เธอสุขหยามน้ำใจเธอด้วยการฟันเธอ เพียงเพราะพนันกับเพื่อนไว้ ซี่ฟันคมกริบของน้องดอว์นก็ลงโทษเจ้าหนุ่มทุเรศนั่นทันที (จึ๋ย! กี่คนแล้วล่ะ ที่จู๋ขาด)

โดนผู้ชายกระทำย่ำยีมามาก เจ็บแค้นถึงขีดสุด เด็กดีอย่างน้องดอว์นจึงลุกขึ้นใช้น้องสาวเป็นอาวุธ ออกจัดการกับบรรดาผู้ชายเลวๆ ที่ทำร้ายผู้หญิง ได้แก่ไอ้พี่ชายไม่แท้ที่ลืมไปแล้วว่าโดนกัดไปครั้งนึงเมื่อยังเป็นเบบี๋ ก็พิดันเรนล้วงมือเข้าไปจับน้องเค้าก่อนนี่นะ อีกคนก็ลุงหนังเหี่ยมฟันไม่มีที่รับน้องดอว์นขึ้นรถมาด้วย แล้วคิดจะรวบรัดลวนลามเธอ (แหวะ ตานี่อุบาทว์มาก สมควรโดน)

เหอ เหอ เจอซะมั่งก็ดี
แค่มีจู๋ไม่ได้แปลว่าคุณคือ ‘จ้าวโลก’ นะเฟ้ย



บันทึก:
-เป็นหนังเฟมินิสต์ที่ขำและสะใจมั่ก
-น้อง Jess ตาสวยจริงๆ
-จุ๊ดจู๋ที่ถูกกัดขาดน่ะ ดูไม่จืดเลย
-ขอบคุณหนูจูเนียร์ที่เอื้อเฟื้อ ให้พี่ยืมหนังเรื่องนี้มาดูก่อน (ชั้นเขียนรีวิวได้สมใจแกไหม?)
-ตอบคำถามคนที่เคยเอาลิงค์หนังเรื่องนี้ให้ดู แล้วถามว่าดิฉันมีเหมือนอย่างน้องดอว์นไหม...ชั้นปกติดี มีฟันอยู่ในปากเว้ย

แผลเก่า

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:ไม้ เมืองเดิม
พอเจ้าขวัญมุ่งเข้าใส่เจ้าเริญ สมชายก็เข้าใจว่ามันจะเข้าทำร้ายเรียม ทั้งเห็นว่าเจ้าวัวเปลี่ยวแทงพวกมันล้มลงไปแล้วถึงสองคน จะเอาไว้อีกต่อไปไม่ได้ จึงวิ่งออกสกัดหน้า พอเจ้าขวัญกวดเจ้าเริญผ่านมา สมชายก็ยิงสวนขึ้น ๒-๓ นัด ติดๆ กัน
....

มันล้มฮวบใหญ่ พยายามจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ล้มลงอีก เลือดไหลปรี่ที่ชายโครงและเหนือทรวงอก

"เรียม-เรียมของพี่เอ๋ย" มันกุมแผลร้องเรียกเจ้าเรียมซึ่งกำลังตกตะลึง "พี่คงตายแน่ ตาย-ตาย พี่ต้องตายเพราะรักเจ้าคนเดียว มานี่เถิด, มาจำหน้าพี่ไว้" มันทิ้งมีดลงข้างตัว กวักมือไปทางเรียม เธอผวาเข้าหามันหวังจะช้อนศีรษะมัน แต่เจ้าขวัญยกมือห้าม "อย่าต้องตัวพี่เลยเรียม พี่กำลังจะสั่งเจ้าไปถึงพ่อแก บอกพ่อแกว่าพี่จะลาไปก่อน ยัง พี่ยังไม่ตาย, ที่นี่ไม่ใช่ที่ตายของเรา...

"โอ๋เรียม เจ้าฆ่าพี่แท้ เจ้าฆ่าผัว เรียมเอ๋ย เจ้าฆ่าผัวของเจ้าด้วยมือคนอื่น พี่รักเจ้าด้วยใจซื่อ แผลเก่าของพี่เป็นแผลรัก แผลรอ เรียมเอ๋ย อีเรียม อีเรียม แผลใหม่นี้เป็นแผลจากของกู เพราะมึงชัง" มันหยุดพูด ฝีนมานะด้วยใจทรหดอดทน ลุกขึ้นชันเข่า หยิบมีด เดินโซซัดโซเซ

เรียมตกใจถึงที่สุด เธอร้องไห้พร่ำเรียกชื่อมันไม่ขาดปาก "พี่ขวัญ พี่ขวัญตายแล้ว ผัวฉันตายแล้ว โอ้ผัวฉัน"

อ้ายขวัญคลานอย่างกระปลกกระเปลี้ยจนถึงฝั่งคลอง มันฝืนความเจ็บปวดด้วยความบึกบึนของหัวใจ กว่าจะทรงตัวได้ก็เซไปหลายก้าว

"เรียมเอ๋ย ท้องน้ำนี้ ลำน้ำนี้ของเรา ลำน้ำรักหนาเจ้าเรียม แต่มันจะเป็นเรือนตายของพี่ เจ้าอยู่ดีเถิด"





บันทึก:
-รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ (ความรักเช่นนั้นให้โทษ จะไปโกรธโทษรักไม่ได้)
-วรรณกรรมเรื่องนี้ช่างเป็นอะไรที่ประโลมโลกย์ แต่อ่านแล้วทุ่งบางกะปิกับลำน้ำแสนแสบลอยมาเป็นฉากๆ
-การแสดงออกซึ่งความรัก และชีวิตคู่ของคนยุคนั้นช่าง 'ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก' ดีจริง
-อยากดูหนังแผลเก่าของเชิด ทรงศรี เวอร์ชั่นสรพงษ์ ชาตรี กับนันทนา เงากระจ่างจัง
-พี่แมนนี่ สไตลิสต์แพรว เคยบอกว่าดิฉันหน้าเหมือนนันทนา เงากระจ่าง

ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง

เรื่องรักนั้นยากจะเข้าใจ
สิ่งที่ทำได้แค่ "รัก"
และถ้าวันใดที่รักเปลี่ยนไป
สิ่งที่ทำได้ ก็แค่ "คร่ำครวญ"

มีแต่เนื้อ ไม่มีเสียงให้ฟัง
ใครอยากฟังโปรดช่วยตัวเอง

คำเตือน: การฟังติดต่อกันเกิน ๕ รอบอาจทำให้เกิดอาการหม่นหมองเกินเหตุได้


B.B. King Darlin' What Happened


Oh darling, what happened to that beautiful smile?
The ones you gave me any time we were face to face
Oh is it someone else taking my place
Oh baby, what happened

Oh what happened to those fast heartbeats?
The ones that excited me so
Oh tell me, don't you love me
Oh, baby, don't you care any more?
Darling, what happened

Oh it's so sad what a little time can do
Oh when you're hanging out with another
Losing a love with you
All those good times we had
Baby, just me and you

Oh darling, before I go
There's one thing I'd like to know
Don't you love me?
Don't you care any more?
Darling, what happened

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เวียนเทียนกับครอบครัว

Start:     Jul 17, '08 8:00p
ไม่ได้กลับบ้านตั้งนาน
คิดถึงนะเนี่ย
วันอาสาฬหฯ-เข้าพรรษาเลยขอหัวหน้าลา ๑ วัน
นอนไปกับรถไฟ อ่านหนังสือที่อยากอ่าน
กลับบ้านไปกินกับข้าวบ้าน
ฟังเรื่องปัญหาใจ ถ้าน้องชายอยากเล่า
แล้วก็เวียนเทียนกับครอบครัว
แล้วก็ซื้อขนมที่ชอบๆๆๆๆๆๆ แต่หากินที่บางกอกไม่ได้ กลับมากินให้สมอยาก

นับวันรอแล้วเนี่ย

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ได้ใจ


หยิบคาสเซ็ต B.B King's  Blues on the Bayou มาจากไหนจำไม่แม่น
อาจจะเป็นจากแผงใน Zen หรือ Isetan ตอนที่เซ็็นทรัลเวิลด์ยังเป็นเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์
จำไม่ได้ว่าปี ๑๙๙๘ อายุเท่าไหร่ แต่รู้ว่า Blues เป็นของใหม่
(มาม่าบลูส์ไม่นับ)
โลกของการฟังเพลงถูกเปิดโดยเขาคนนั้น ผู้ซึ่งทำให้เราจับใจกับสำเนียงเพลงคันทรี จำกังวานแห่งเสียงกีตาร์ และกลายเป็นคนฟัง "เสียง" คน

เขาคนนั้นไม่ได้สอนให้ฟังบลูส์ เขาไม่ชอบคนดำ แต่เขาเปิดประตูให้
เราจึงได้มาเจอกับ B.B.King และก็ได้พบรักกับกีตาร์บลูส์ หลงรักเสียงร้องในเพลงบลูส์ และจมดิ่งไปกับเนื้อเหาเจ็บปวดขยี้ใจ

ก็ฟังคาสเซ็ตอัลบั้มนี้มาตั้งแต่นั้น และยังฟังมาจนทุกวันนี้
(ใช่.. ดิฉันยังเล่นคาสเซ็ตอยู่)
โดยที่ก็พยายามหาซีดี มีไหม อยากอิมพอร์ตไฟล์ไว้ในไอพอด
หามานาน หาไม่เจอ
่ในที่สุด ก็ตัดสินใจไปถามคุณพี่คนขายซีดีเบิร์นเจ้าประจำ พี่คนนี้รู้จัก และเกือบรู้ใจเราไปแล้วว่าชอบฟังเพลงแนวไหน เห็นหน้างี้บอกได้เลยว่ามีอะไรใหม่ อะไรแบบที่เราจะฟัง

วันแรกที่ถาม พี่ยังงง ขายเพลง B.B. King ก็เยอะ แต่ไม่คุ้นชื่ออัลบั้มนี้
หลายสัปดาห์ผ่านไป ผ่านไปที่แผงพี่เขาก็พบรอยยิ้มกว้าง (ประดับด้วยตีนกาที่คุ้นเคย) พี่หยิบแผ่นนี้ส่งให้ทันที
บอกว่า "มาแล้ว เพลงดีมากเลยนะ"
"ฟังแล้วหรอพี่?"
"ฟังแล้ว คนหาเพลงให้เขาไม่เคยเห็น แต่เขาชมมาว่าเพลงดี"

โอ....กรี๊ดเล็กๆ
ในที่สุด...
ก็ได้แผ่นมาเล่นกับเครื่องเล่นซีดี (ที่บ้าน) เสียที

ยินดีต้อนรับสู่อ้อมใจจ้ะ

คุณมาโนช กับ คุณลีลาวดี




รวมภาพคุณลีลาวดี ผ่านสายตาคุณมาโนช
รวมทั้งภาพคุณลีลาวดีบนรองเท้าคู่ใหม่
เพิ่งได้ัรับวันนี้ จากน้องวาด
นอกจากรองเท้า น้องวาดเพ้นท์กระเป๋าด้วย
ชมภาพกระเป๋าคุณลีลาวดีฝีมือน้องวาดได้ที่ http://mandymois.multiply.com/photos/album/118

หมายเหตุ คุณมาโนชเป็นชื่อมือถือ
ส่วนถ้าใครอยากได้งานแฮนด์เมดแบบนี้บ้าง
สั่งผ่านเว็บของน้องวาดได้ที่ http://www.be2hand.com/scripts/shop.php?user=wadsoda&do=list&cat_id=7913

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ช่วยปลาหน่อยได้ไหม?


ปลาคาร์ปผู้น่าสงสารตัวนี้อยู่ในบ่อหน้าโรงเรียนภาษา สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)
ที่ซึ่งดิฉันไปเรียนภาษาญี่ปุ่นอาทิตย์ละ ๒ วัน

เนื่องจากเพิ่งผ่านการอ่านข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของปลาคาร์ปมาได้ไม่นาน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ดิฉันจะมองเห็นว่ามันป่วย

วันพฤหัสบดีที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑ คือวันแรกที่สังเกตเห็นปลาตัวนี้
ดิฉันพบว่าแนวเส้นสันหลังของมันไม่ตรง (ปลาคือสัตว์เลือดเย็น แต่จัดเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังใช่ไหม?) ทว่าหักงอเหมือนกับรอยแผลเป็นบนหน้าผากของแฮรี่ พอตเตอร์ ส่วนเกล็ดที่ลำตัวนั่นก็ดูพะเยิบๆ ไม่เรียบลื่นเหมือนลักษณะปกติที่ควรจะเป็น
ลักษณะที่เด่นชัดอีกประการคือ ปลาตัวนี้ว่ายน้ำแยกจากฝูง มันลอยตัวอยู่นิ่งๆ ไม่ว่ายสวี้ดสว้าดปราดเปรียวเหมือนปลาตัวอื่นๆ ในบ่อ

ดิฉันยืนเล็งอยู่ ๒-๓ นาทีแล้วก็ตัดสินใจว่า ที่เกล็ดมันพะเยิบนั้นมันอาจจะเป็นพยาธิภายนอก ซึ่งมันติดกันได้ ไม่สมควรจะเลี้ยงไว้ในบ่อเดียวกับปลาปกติ จึงเดินไปบอกยามให้แยกปลาตัวนี้ออกจากบ่อดีกว่า
(คือว่าช่วงเวลาที่จะไปโรงเรียนมันหกโมงกว่าแล้ว พนักงานประจำเขาเลิกงานกันแล้ว จึงตัดสินใจให้ยามช่วย)

ปรากฏว่าลุงยามมาจริง (แหม๋เกรงใจจัีง แกกำลังกินข้าวเย็นอยู่ทีเดียว) แกเห็นด้วยว่าปลาตัวนี้หลังคด ว่าแล้วก็จัดการช้อนปลาไปไว้อีกบ่อที่ว่าง ไม่มีปลาว่าย
ระหว่างนั้นมียามหนุ่มมาสังเกตการณ์ หูดิฉันได้ยินเขาพูด
"โอ๊ย ตัวนี้มันหลังคดมานานแล้ว" พอไม่มีใครตอบอะไร ก็รีพีทเป็นครั้งที่ ๒

ก่อนลุงยามจะปล่อยปลาลงน้ำ แกคิดไงไม่ทราบ จับตัวปลาดัดในทิศตรงกันข้ามกับกระดูกหลังคดๆ ดิฉันตกใจมาก เกือบร้องกรี๊ด กลัวปลาจะตาย แต่มันไม่ยักตาย (อึดแท้) พอลงน้ำมันก็ว่ายกระแด๊กๆ ในท่าปลาหลังคด หนีลุงยามไปให้สุดบ่อ

เมื่อหูได้ยินเสียงยามหนุ่มพร่ำว่าปลาตัวนี้เป็นอย่างนี้มานานแล้วเป็นครั้งที่สาม ดิฉันก็สติแตก-ไอ้บ้า เห็นมาตั้งนานแล้วแกก็ปล่อยมันว่ายหลังคดๆ มาอย่างนี้หรอวะ-ดิฉันอยากด่า (ดีที่เห็นลุงยามคนนี้มาหลายปีแล้ว-เมื่อก่อนดิฉันเคยทำงานที่นี่ด้วย เลยไม่ปี๊ด วี๊ดใส่แกไป แค่พูดเสียงห้วนๆ ว่า...) "ที่หลังปลามันคดแบบนี้แปลว่ามันป่วย แล้วเห็นไหมคะ ที่เกล็ดมันนั่นน่ะ มันเป็นแผล มันมีเลือดซึม ลุงเรียกหมอมาดูนะ เพราะว่าตัวที่เหลือในบ่อนั่นอาจจะติดโรคตัวนี้แล้วก็ได้"

เงียบ ลุงไม่ว่าอะไร แต่กับยามหนุ่มนั่น ดิฉันไม่รอฟังเขาพูดซ้ำเป็นครั้งที่ ๔ แต่เดินหนีไปขึ้นลิฟต์ไปห้องเรียนในพลัน

ไม่คิดว่าอังคารที่ ๘ กรกฎาคม ยังพบปลาหลังคดตัวนี้ว่ายอยู่ในมุมเดิม บ่อเดิม
แต่คราวนี้มันนิ่งมาก นิ่งจนเห็นแล้วอดคิดไม่ได้ว่ามันตายแล้วแต่ลอยอยู่หรือเปล่า ไม่เห็นแม้แต่ครีบขยับ
แต่โอ...แม่เจ้า เกล็ดที่เคยพะเยิบ มีเลือดซึม ตอนนี้หลุดออกไปเป็นแถบ ลักษณะเหมือนปลานิลย่างเกลือ เวลาเราลอกเกล็ดของมันออกเพื่อจะชิมเนื้อหวานๆ ข้างใน

อะไรวะ เค้าไม่ได้พามันไปหาหมอหรือทำอะไรให้มันดีขึ้นเลยหรอ ?

โกรธ โกรธ โกรธ โกรธ

เช้ารุ่งขึ้น ดิฉันโทรไปที่โรงเรียน อ้างตัวเต็มที่ว่าเป็นนักเรียน เห็นว่าปลาตัวนี้ป่วย ควรจะพาไปหาหมอนะ
พูดสั้นๆ แต่เด็ดขาด และเข้าประเด็น น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่ที่รับสายก็ดูจะมีความละอาย และรับเป็นธุระให้อยู่ (แน่ละ โรงเรียนภาษาเกรงใจนักเรียนยังกะอะไร)

แต่วันนี้ พฤหัสบดีที่ ๑๐ กรกฎาคมแล้ว ดิฉันยังพบว่าปลาหลังคดยังคงโบกครีบเปื่อยๆ ของมันอยู่ในมุมเดิม ในสภาพเปื่อยๆ เพราะไม่มีเกล็ดหุ้มเนื้อเหมือนเดิม และเมื่อลองเดินไปดูบ่อใหญ่ ดิฉันว่ามีปลาอีกตัวที่กำลังป่วยนะ มันว่ายแยกตัว แล้วดูเหมือนเกล็ดของมันจะไม่เรียบสวย เป็นมัน ดังที่ปลาคาร์ปสุขภาพดีควรเป็น

เหมือนจะมีรอยช้ำแดงๆ

.. เจ้านี่ติดพยาธิเจ้าหลังคดนั่นแล้วแหง๋

ไม่รู้จะทำยังไงดี จะให้แจ้งสมาคมพิทักษ์สิทธิปลาคาร์ปหรอ (มีมะ?) คงจะแรงไปหน่อย
เอางี้ละกัน ขอแรงเพื่อนชาวมัลติพลายช่วยกันหน่อย
โทรไปโรงเรียนภาษาหน่อยได้ไหม บอกเขาว่ามีเพื่อนเล่าว่าที่นี่มีปลาป่วย แล้วปล่อยให้มันป่วยจนเกล็ดหลุดหมดเลย น่าสงสารมาก ช่วยพามันไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทย์จุฬาฯ ที ไม่งั้นจะประจานลงพันทิป เอาให้รู้กันไปทั่วเลย
หรือถ้าไม่มีใครจะพาปลาไปหาหมอให้ก็็โทรปรึกษาสัตวแพทย์ที่ 0 2251 8887 ละกัน

โทรกันสักสองสามสาย แค่นี้เค้าคงไม่นิ่งนอนใจแล้ว
ปลาทั้งสองตัวนั่นก็อาจจะรอด
หรือถ้ามันทั้งสองจะไม่ต้องทนใช้กรรมบนโลกเฮงซวยใบนี้นานนัก การสละชีวิตของมันก็จะเป็นการช่วยเหลือปลาตัวอื่นๆ ในบ่อให้รอดต่อไป

ไม่รู้ล่ะ
ถ้าใครมาอ่านบล็อกนี้แล้วไม่ยอมช่วยกันกดดันเจ้าของปลา ก็แปลว่าคุณเป็นคนใจร้ายคนนึงนี่เอง

ป.ล. เบอร์โทรของ โรงเรียนภาษา สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)
-ที่ที่คุณต้องโทรไป คือ 0 2259 9160

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:โยชิโมโต บานานา
“จะเจอกันอีกได้ไหมครับ”

ฉันพูดพร้อมจับมือของเธอ

ฉันอยากจับมือของเธอเหลือเกิน ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไปแล้ว โอ้พระเจ้า! ฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้จับมือของเธอ

ฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันรู้สึกอย่างนั้นเข้าจนได้ ไม่ใช่เรื่องของความเป็นธรรมชาติหรือไม่เป็นธรรมชาติ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ ใช่ มันเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง ฉันเข้าใจแล้ว

สองคนที่เหมือนจะมีใจให้กัน นัดเจอกันแบบไม่คิดอะไรมาก ตกกลางคืน ต่างคนต่างก็ถามว่าจะทำอะไรต่อดี ต่างคนต่างรู้สึกลึกๆ ว่าอาจไปมีอะไรต่อกันได้ เป็นการรับรู้ตกลงแบบไม่ต้องพูดออกมา...เรื่องแบบนี้มันไม่มีอยู่จริง การมีช่องว่างแบบนี้ก็ทำให้ไม่มีทางเป็นจริงได้อยู่แล้ว! ฉันอยากตะโกนออกมา

ความเป็นจริงคือแค่เพียงอยากกอด อยากสัมผัส และอยากจูบ อยากเหลือเกินที่จะเข้าใกล้อีกแม้เพียงสักนิด แม้ทุกอย่างจะเป็นความรู้สึกฝ่ายเดียว แต่เป็นความรู้สึกที่แทบทำให้น้ำตาไหล ต้องเป็นตอนนี้ กับคนคนนี้เท่านั้น ไม่ใช่คนนี้ไม่ได้แล้ว ฉันรู้แล้ว มันคือความรักนั่นเอง

“อือ ได้สิ”
“จริงหรือ”
ฉันถาม
“ค่ะ ฉันว่าเจอกันอีกก็ได้นะ”



บันทึก: โอ...ดิฉันรัก Passion ในเรื่องนี้เหลือเกิน

แต่งสวยมาเที่ยว Veranda




พุธที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑

เมื่อคืนอัพรูปน้องเวอร์ชั่นหวิว-หวิวไป
(เห็นบางคนบอกน่ากลัว)
วันนี้มาดูแบบสวมเสื้อผ้าน่ารักๆ กันมั่ง

น้องชุดฟ้า, ผมบลอนด์-Hollywood
น้องชุดชมพู, ผมเปีย-Merry Skier
น้องทั้งสองเป็น ๒ ใน ๔๐ ตุ๊กตา Blythe ของพี่ตุ๊ย

ดิฉันได้สัมผัสใกล้ชิดกับน้อง Blythe เป็นครั้งแรก
รู้สึกสนุกกับการพาน้องไปเที่ยวและถ่ายรูป
แต่ไม่ถึงขนาดอยากมีน้องเป็นของตัวเองเหมือนหลินกับวิธนีย์
และ
..ชักอยากเห็นคอลเลกชั่นของพี่ตุ๊ยกับตาซะแล้วซี

Shall We Rock?

Rating:★★★★
Category:Other
We Will Rock You คือละครเพลงเรื่องดังจากเวสต์เอนด์ ลอนดอน (ถ้ามาจากนิวยอร์กถึงจะเรียกบรอดเวย์) เปิดการแสดงมาตั้งแต่ปี ๒๐๐๒ ณ โรงละครโดมิเนียน หนึ่งในโรงละครที่ใหญ่ที่สุดในย่านเวสต์เอนด์ ได้รับความนิยมจากผู้ดีอังกฤษมากจนตั๋วจำหน่ายหมดทุกรอบ และได้กลายเป็นละครเพลงที่เปิดการแสดงต่อเนื่องยาวนานที่สุดของโรงละครแห่งนี้ ทั้งยังเดินทางไปเปิดการแสดงในหลายประเทศ ทั้งลาสเวกัส ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ เยอรมัน (ครองแชมป์ละครเพลงที่ทำรายได้สูงสุดในเยอรมัน) สเปน (ในสเปนเป็นเวอร์ชั่นภาษาสเปนเสียด้วย!) แคนาดา (ที่นี่ ละครเพลงเรื่องนี้ทำสถิติการจองบัตรล่วงหน้า) ฮ่องกง

..และ ๑๒-๒๗ กรกฎาคมนี้ ที่รัชดาลัยเธียเตอร์ บางกอก ประเทศไทย

We Will Rock You เป็นชื่อเพลงเพลงหนึ่งของ Queen วงร็อกจากอังกฤษที่มีแนวเพลงหลากหลายและสไตล์ที่กินใจใครหลายๆ คน แต่นี่ไม่ใช่การจำลองคอนเสิร์ตของควีน หากเป็นละครเพลงที่แต่งเรื่องราวขึ้นใหม่ โดยร้่อยเรียงเพลงของควีนเข้าไปถึง ๒๖ เพลง อาทิ Bohemian Rhapsody, We Are the Champions, Killer Queen, Another One Bites the Dust และ Crazy Little Thing Calles Love

การแสดงที่เราจะได้ชมคือผลงานของนักแสดงร่วม ๓๐ ชีวิต และวงดนตรีแสดงสด โดยได้เบน เอลตัน หนึ่งในนักเขียนบทละครตลกที่ประสพความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของอังกฤษมาเรียบเรียง ร้อยเรื่องราวให้เต็มไปด้วยความสนุกสนานชวนหัว ทีมงานสร้างสรรค์ทั้งหมดยังได้ร่วมงานใกล้ชิดกับไบรอัน เมย์ และโรเจอร์ เทย์เลอร์ สมาชิกผู้ก่อตั้งวงควีน เพื่อให้โชว์ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดด้วย

เรื่องราวใน We Will Rock You เป็นเหตุการณ์ในโลกอนาคต เมื่อ Live Music กลายเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะองค์กรทรงอำนาจได้เข้าควบคุม “ครอบ” เด็กๆ ด้วยดนตรีป็อปสังเคราะห์ แต่เด็กๆ ก็รวมตัวกันต่อต้าน และเรียกร้องหาฮีโร่ที่จะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขาออกจากพันธนาการนี้ และกลับสู่โลกของ Live Music

We Will Rock You เปิดการแสดงทั้งหมด ๒๐ รอบ ตั้งแต่ ๑๒-๒๗ กรกฎาคมนี้
ที่เมืองไทยรัชดาลัย เธียร์เตอร์
ชั้น ๔ ศูนย์การค้าดิ เอสพละนาด ถนนรัชดาภิเษก
บัตรราคา ๔,๐๐๐ ๓,๐๐๐ ๒,๐๐๐ และ ๑,๐๐๐ บาท
อ่านรายละเอียดเิพิ่มเติมและซื้อตั๋วได้ที่ www.thaiticketmajor.com หรือโทร. 0 2262 3456

หมายเหตุ มีส่วนลดสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ


วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

รูปที่ยังเหลือ




ควันหลงจากทริป Veranda Chiangmai the High Resort
เป็นรูปที่เล็ดรอดออกมาจากกล้องของพี่ตุ๊ย และวิธนีย์
มุมก็คล้ายๆ กล้องเรา
แต่บางรูปดูดี๊-ดูดีเชียว
เอามาให้ดูกัน

หวิว-หวิว


ตาโตๆ ฉายแววซื่อใส
เจอเข้าไปมีหวังใจอ่อน

ยิ่งอยู่ในชุดชั้นในบางเบาสุดเซ็กซี่อย่างนี้
....

๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑

เห็นโอ๋เอ๋น้อยอัพอัลบั้มกระต่ายไร้ทางสู้แล้วเห็นทีต้องขุดรูปของสองน้องมาโชว์มั่ง
น้องสองคนนี้เป็นตุ๊กตา Blythe
คนผมบลอนด์ ชื่อ Hollywood
ส่วนคนผมเปีย ชื่อ Merry Skier
ทั้งสองถูกพาไปเที่ยว Veranda Chiangmai ด้วย
ก่อนจะได้ชมโฉมในเวอร์ชั่นสวมเสื้อผ้าสวยงาม
เรามาเรียกน้ำย่อยกับรูปหวิว-หวิวของสองน้องก่อนดีกว่า

ป.ล. รูปเซ็ทนี้ถ่ายไม่ชัด เพราะใช้งานคุณมาโนช
ขอให้อดใจรออัลบั้มต่อไป จะชัดและได้ใจกว่านี้

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

คุณพ่อ-คุณแม่พร้อมหรือยัง?

ให้สอนเพศศึกษาตั้งแต่เด็ก 4 ขวบ สกัดกั้นเด็กวัย รุ่นทำแท้งเถื่อน [8 ก.ค. 51 - 00:24]

 

องค์การกุศลอนามัยทางเพศชั้นนำเมืองผู้ดีอังกฤษ พากันเรียกร้องให้มีการสอนเพศศึกษา ให้กับเด็กตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ เป็นต้นไป เพื่อที่จะให้สถิติการทำแท้งและกามโรคในหมู่ เด็กวัยรุ่น ให้ลดต่ำลง

โดยอ้างว่าการให้เพศศึกษาแก่เด็กตั้งแต่ระดับนั้น จะช่วยป้องกันไม่ให้เด็กรีบเร่งเข้าหากามารมณ์เมื่อโตขึ้นเร็วเกินไป ควรจะเริ่มสอนเด็กตั้งแต่วัย 4 ขวบ ให้รู้จักชื่อของส่วนต่างๆ ของร่างกาย และความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างเพศ

ผู้นำขององค์การกุศลแห่งหนึ่ง แสดงความเห็นว่า เด็กวัยรุ่นหลายราย ได้ลองลิ้มรสชาติคาวโลกีย์ เพราะอยากจะรู้ว่าเป็นอย่างไรเพราะความเมาของตนเองหรือไม่ก็คู่ควง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรสำหรับเด็กหนุ่มสาว เราควรจะให้พวกเขา ได้มีความคิดความอ่านที่สูงกว่านั้น

เขาอ้างว่า จากหลักฐานต่างๆ แสดงว่า หากว่าเราเริ่มให้มีเพศศึกษาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่เด็กจะแตกเนื้อเป็นหนุ่มสาว ก่อนหน้าจะได้พบกับความเย้ายวนของกามารมณ์ ก็จะเริ่มมีเซ็กซ์ช้าลง จะรู้จักใช้ยาคุมกำเนิด และการมีเซ็กซ์อย่างปลอดภัยมากขึ้น

ตัวอย่างของความอ่อนต่อเรื่องกามารมณ์ เมื่อปรากฏมีเด็กสาวอายุ 16 ปีคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ กับสำนักข่าวบีบีซีว่า เคยเสียสาวตั้งแต่อายุ 11 ขวบโดยที่ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวของกามารมณ์มาก่อนเลย หนูไม่เคยรู้ว่าจะมีท้อง ถ้าหากสอนเรื่องเพศศึกษาให้พวกเราเร็วขึ้นสักหน่อย ก็จะช่วยให้เราเข้าใจ และจะช่วยเราได้มากกว่านี้เธอครวญ.

จากไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=96219

ไม่รู้จะทำอย่างไรกับความรู้สึก-เบื่อ

จันทร์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑

เมื่อวันเสาร์เพิ่งเล่าว่ามีพี่มาบ่นเรื่องพี่อีกคน
แสดงให้เห็นถึงความเบื่อที่ทำงานของแกให้ดิฉันฟัง
เย็นวันนี้  โดยไม่ทันตั้งตัว  ดิฉันก็ได้ประจักษ์ถึงความเบื่อเสียเอง

ช่วงนี้กำลังปิดเล่ม
วันนี้วันจันทร์ พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็็โหมทำงานจนเปลี้ยไปหมด ไม่รู้ทำไปได้ไง เขียนคอลัมน์ปฏิทินข่าวรายงานอีเวนท์ชวนใช้เงินในการเที่ยว กิน ดื่ม เสร็จไปประมาณ ๑๕ ข่าวได้ (น่าเบื่อมาก) ระหว่างนั้นก็จะเข้ามาตอบรีพลายในมัลติพลายตอบอีเมล์เพื่อนไปด้วยอะนะ (อดไม่ไ่ด้)
สำหรับตัวเองซึ่งเป็นคนสมาธิสั้น ถึงสั้นที่สุด ต้องบอกว่าการทำงานวันนี้ี่เป็นสปีดสุดยอดชนิดที่ตัวเองยังภูมิใจเลย

แต่ทว่า..
เมื่อส่งงานชิ้นนี้ ซึ่งเป็นชิ้นสุดท้ายในความรับผิดชอบ สำหรับแมกกาซีนปักษ์นี้
หัวหน้าก็ตำหนิว่าดิฉัน 'รู้ไหมว่าเล่นมากไปแล้ว'
'เล่มนี้ทำงานช้านะ'
หัวหน้าพูดสองประโยคนี้เบาๆ ประสาคนไม่ค่อยกล้าว่าลูกน้อง ดิฉันนึกว่าหูแว่ว เลยหันไปฟัง (หัวหน้านั่งข้างหลัง ลูกน้องนั่งข้่างหน้าไง)
'เล่มนี้งานน้อยกว่าเล่มที่พึ่งปิดไปตั้งเยอะ ม้อยยังเขียนช้ามาก'
....

ฟังแล้วรู้สึกร้อน ก็หันหน้ากลับมา พิมพ์รีพลายที่พิมพ์ค้างไว้จนเสร็จ เก็บข้าวของ ปิดเครื่อง กลับบ้านตอนทุ่มกว่าๆ

อีตอนที่รู้สึกร้อน ก็บอกไม่ถูกนะว่ารู้สึกอย่างไร
โกรธไหม? หรืออาย(ที่ถูกด่า)?

ตอนเดินออกจากออฟฟิศมาแล้วคิดได้ว่า
เบื่อจังเลย
มันเหนื่อยนะ หัวหน้าจะรู้ไหม?
เล่มที่ปิดไปก่อนหน้านี้ ดิฉันลงมือเขียนเองไปประมาณ ๑ ใน ๓ ของเล่ม กว่าจะได้เขียนต้องไปสัมภาษณ์ ไปถ่ายรูป ฯลฯ ก็ว่าโคตรเหนื่อยแล้ว (เล่มนี้เป็นเล่มที่ออฟฟิศไม่ขาดทุน เพราะว่าเราไม่ได้ลงทุนอะไร เนื่องจากเราสองคนหัวหน้าลูกน้องเล่นเหมาเองกันเกือบหมดเล่มไง-เหอ เหอ แมกกาซีน ๑ เล่มเชียวนะ)

พอปิดเล่มนั้นเสร็จ ก็มาต่อเล่มนี้ทันที ไม่ได้หยุดสมองเลย
ต้องไปต่างจังหวัด เสร็จแล้วก็มาทำงานต่อทันทีเลย
แล้วก็ต้องทำงานท่ามกลางเรื่องน่ารำคาญใจจิปาถะ
ไม่รู้สิ แต่มันน่าเบื่อนะ

แต่นี่ดิฉันกำลังโยเย งอแง เพราะถูกหัวหน้าว่าหรือเปล่า? หรือจะอ้างว่าอยู่ในระยะฮอร์โมนกับลังแปรปรวนดี?
...ก็ไม่นะ
มันเหนื่อยจริงๆ
แล้วก็เบื่อจริงๆ
ยอมรับ ว่าเราไม่ควรเล่นระหว่างทำงาน
แต่ว่า
ใจคอจะให้มาถึงที่ทำงานแล้วก็นั่งประจำที่ เปิดคอม แล้วก็พิมพ์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จนเลิกงาน
งั้นหรอ?
แล้วถ้าทำเสร็จหมดแล้วจะให้ทำไร
ให้กลับบ้านไหม?
หรือให้นั่งเฉยๆ?
หรือให้แอ๊บว่าทำงานต่อไป?
เอ็มเอสเอ็นก็ไม่ให้เล่นแล้ว การตอบอีเมล์ เปิดมัลติพลายก็ไม่ควรจะทำด้วยใช่ไหม
แล้ววันๆ จะให้ดิฉันทำไรวะ?
ให้ไปจับกลุ่มเม้าท์กับสาวๆ ในที่ทำงานเรอะ?

ก่อนหน้านี้็เล่นเอ็มไปทำงานไป อ่านแมเนเจอร์ไปทำงานไป ก็ยังทำงานได้
ทำไมตอนนี้จะตอบมัลติพลายไปทำงานไปไม่ได้
หรือว่าแก่แล้ว สปีดตก เลยทำงานช้า?

by the way,
งานที่นี่น่ะ เริ่มรู้สึกเบื่อมาพักใหญ่แล้ว แต่เคยคิดว่าคงอีกนานกว่าจะถึงขีดสุด
ไหงจู่ๆ ขีดสุดมันเหมือนลอยมาอยู่ตรงหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ล่ะ






หมายเหตุ เนื่องจากไม่บ่อยนักที่จะถูกหัวหน้าตำหนิ พอเกิดเรื่องอย่างนี้ก็ใจเสาะขึ้นมาทันที อยากฟ้องใครสักคน (ที่จะไม่สมน้ำหน้่าตั้งแต่ตอนแรก แต่ฟังจนจบเรื่องก่อน พอเราอารมณ์สงบแล้วค่อยด่าก็ได้) บางทีอาจจะซบอกร้องไห้ด้วย
ใครดีล่ะ?
เอาวะ ถ้าไม่ได้เจอกันตัวๆ ได้โทรเล่าให้ฟังก็ยังดี
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็พอจะมี แต่ตอนนี้...ไม่มีแล้ว

ทำไมชีวิตชั้นมันอัตคัตงี้วะ?

เบื่อว้อยยยยยยยยยย


ป.ล. เสียใจจัง ที่ดันไปยึดมั่นถือมั่นกับ 'อิสระในการสื่อสาร' ผ่านอินเทอร์เน็ตมากไป
การยึดมั่นถือมั่นแบบนี้ทำให้ปวดใจมากๆ มาครั้งนึงแล้ว ตอนโดนบล็อกเอ็มเอสเอ็น
พอทำใจได้ ดันมาติดมัลติพลายเสียอีก
แล้วจะต้องโดนปล้นอิสรภาพกันอีกกี่ครั้งละเนี่ย?

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

น้าม้อยพร้อมหรือยัง???


เท่ซะไม่มี

เลว่าแล้วก็โพสท่าโดยพลัน
น้าม้อยเกือบถ่ายรูปไม่ทันแน่ะ

จับเลใส่กระด้ง


อะไรหรอเล
น้าเบลอ
จำไม่ได้แล้วอะ

อาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ติดลมอยู่ที่บ้านทะเลตั้งแต่เย็นวาน
เช้านี้ยังจะติดสอยห้อยตามทะเลไปเรียนเทควันโด้ ก่อนจะตามไปดูหนังกังฟูแพนด้าด้วย
เลยได้เห็นว่ากว่าแม่แอนจะจับเลมัดผมได้นั้น
มันยุ่งยากลำบากเพียงไร

หนึ่งวันที่บ้านทะเล


ห้าขวบแล้วจ้า

อาทิตย์ที่ ๖ กรกฎคม ๒๕๕๑
เมื่อวานนี้ว่าจะไปตัดผมกับพี่หมูแถวๆ วังหลัง (ผมยาวไม่เป็นทรง หน้าม้าไร้ร่องรอยแล้ว)
กอปรกับทราบว่าวันที่ ๕ กรกฎาคมเป็นวันเกิดทะเล แล้วก็บังเอิญหาเมื่อดอกซากุระบานเจอ เลยว่าจะแวะไปบ้านทะเลซะหน่อย

ไปกินเค้กวันเกิดเลว่างั้น
บังเอิญที่ย้วยอยู่บ้าน (ที่จริงก็มัวเล่นมัลติพลายแหละ) นานไปหน่อย
กว่าจะเหยียบท่าวังหลังก็ปาเข้าไปจะหกโมงเย็น
ถ้าอยากไป(ทันกินข้าว)บ้านเลคงต้องเลื่อนไปตัดผมอาทิตย์หน้า

ว่าแล้วก็บุกบ้านทะเล แล้วก็ย้วยอยู่จนได้ค้างกับทะเลเป็นเวลา ๑ คืน ดังจะรายงานต่อไป

ฮิฮิ

เปิดจดหมายเก่า : โปสการ์ดจากปักกิ่ง


main entrance of Yonghegong

ศุกร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ในกล่องจดหมายมีโปสการ์ดจากปักกิ่งนอนรออยู่
ป้านุชน่ะเอง
เธอเดินทางไปทำสกูปเตรียมรับโอลิมปิกที่ปักกิ่ง แล้วไม่ลืมร่อนโปสการ์ดมาหาดิฉัน
โปสการ์ดออกเดินทางวันที่ 2008-06-30 มาถึงอ่อนนุชวันที่ 4-7-51
ไปรษณีย์จีนเร็วน้องๆ ญี่ปุ่นเลยนิ


...หนีห่าวม้อย/ปักกิ่งปลายมิถุนาฟ้าหลัว มาทีไรไม่เคยเจอฟ้าแจ่มสักครั้ง ใกล้โอลิมปิก แต่การก่อสร้างอลังการยังไม่เสร็จสิ้น ทำไมเหมือนบ้านเราเลย เสร็จก่อนแข่ง 3 วันแน่
ช่วงนี้มองไปทางไหนก็มีแต่สัญลักษณ์โอลิมปิก ของที่ระลึกละลานตา คนจีนก็ชอบซื้อ รู้สึกว่าเขาเห่อกันดี แค่คนในประเทศฉันว่าก็ไม่ต้องขายตั๋วให้ชาติอื่นแล้ว อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อถึงวันที่ 8/8/08 จะมโหฬารแค่ไหน...

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วิธีอยู่กับคนที่เกลียด

เมื่อคืน, จริงๆ คือเมื่อเย็นวาน ตั้งใจจะอยู่ทำงานให้เสร็จเพราะทราบว่าคุณหัวหน้าจะเข้ามาทำงานในวันเสาร์
(เหอ เหอ หัวหน้าดิฉันเป็นคนขยันน่ะ) ก็เลยอยู่เย็น เขียนเรื่องไป สลับกับแว้บๆ มาต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนสาวทาง multiply พอให้หายกลัวผี

แล้วฝนก็เทลงมา..อย่างหนัก
หลายคนที่กะจะทำงานให้เสร็จ (ผู้หญิงทั้งนั้นเลยท่าน) ก็เลยกลายเป็นคนติดฝนกันไป
แล้วรุ่นพี่คนหนึ่งก็เดินมาคุยด้วย-ขอเรียกว่าพี่เอละกัน
เธอปรับทุกข์ (ก็น่าจะเรียกอย่างนั้นได้แหละ) ถึงเหตุการณ์ที่พี่อีกคน ที่ทำกับเธอไม่ดีเลย-คนนี้ขอเรียกพี่บี
สองคนนี้ทำงานด้วยกัน พี่เออาวุโสกว่าพี่บี แต่พี่บีเป็นสาวเก่ง ชีจึงมั่น พลอยให้กลายเป็นคนปากคอแรงไปด้วย
พี่เอสรุปว่า พี่บีก้าวร้าว

ดิฉัน ซึ่งที่จริงก็อาวุโสน้อยที่สุด แต่ดันเจ๋อไปอยู่ในซีนที่พี่สองคนนี้กระแทกใส่กัน (ก็ซีนนี้แหละที่พี่เอปรารภถึง) ซึ่งพี่เอไม่ทันสังเกตหรอกว่าดิฉันรู้เรื่อง
ดิฉันก็ได้บอกพี่เอว่าเห็นเหมือนกัน รู้สึกด้วยว่าคำพูดที่ออกมาจากปากอีกฝ่ายนั่นมันบาดหู บาดใจมากๆ
 
แต่ดิฉันว่าดิฉันเข้าใจทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งก็เป็นคนปากเสีย เจ้าอารมณ์ แล้วก็ไม่ค่อยจะมองเห็นใจคนอื่น ว่าเค้าก็เหนื่อย ก็พยายามทำงานเหมือนตัวเอง แถมยังชอบคิดว่าตัวเองทำงานของคนอื่นเก่งกว่าเจ้าของงาน แล้วก็ชอบไปว่าคนอื่นว่าทำงานไม่เป็นอยู่บ่อยๆ (เนื่องจากเป็นคนเก่งไง เลยทำงานเป็นซะหมด)
อีกฝ่ายก็มีข้อจำกัดในการทำงาน แต่อธิบายให้ฝ่ายแรกฟังหรือยังไม่ทราบนะ

ในฐานะคนนอก รู้จักทั้งสองฝ่าย รักทั้งสองฝ่าย และไม่ได้เข้าข้างใคร จึงมองเหตุการณ์นี้ได้ทะลุึปรุโปร่ง

(ดิฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำงานด้วยกัน เหนื่อยเหมือนกันแล้วพี่จะพูดดีๆ กันไม่ได้หรอ จะเห็นใจกันกว่านี้ไม่ได้หรอ..มาได้คำตอบในภายหลังว่าคงจะยาก เพราะดูเหมือนพี่บีเค้าทำให้พี่เอรักเค้า 'ลง' ได้ยาก ส่วนพี่บีเองก็ไม่เคย respect พี่เออยู่แล้ว ...ดิฉันสรุปเอาเองว่าสองคนนี้ไม่พยายามมากพอที่จะเข้าใจกันและกันน่ะ)

พี่เอ ซึ่งเค้าก็เป็นผู้ใหญ่ เข้าใจโลก และเป็นคนที่ถ้าไม่กลั้นโมโม จะโมโหได้อย่างปรี๊ดแตกแหลกราญสุดๆ คนนึง (ดิฉันเคยเห็นตอนพี่เขาเมาค่าคุณขา-เป็นอะไรที่สยองเกล้าสุดๆ) บอกว่าต้องให้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่สวนกลับทุกครั้งที่พี่บีใส่มา
แต่ดูเหมือนพี่บีจะทำกับพี่เอไว้มาก..เกินไป
ไหนจะกลุ่มเพื่อนสาวของพี่บีอีก สาวๆ กลุ่มนี้เป็นอะไรที่ 'สุดๆ' พวกชีจะคอยยุยงให้พี่บีก้าวร้าวกับคนอื่นๆ  จับกลุ่มนินทาคนอื่น และขยันสร้างสรรค์ทัศนคติในทางที่แย่กับเพื่อนร่วมงานอื่นๆ เสมอ
ล่าสุึดนี่พี่เอเชื่อว่า ลูกน้องคนหนึ่งของเธอลาออกไปเพราะทนทำงานกับพี่บีไม่ได้ และลูกน้องที่เหลือๆ ก็ไม่มีใครอยากทำด้วยเลย เพราะกลัว (ขอบอกว่าดิฉันก็เชื่ออย่างเดียวกัน)

พี่เอบอกว่าวันนั้นเขาก็กลั้นไว้ ไม่อยากมีเรื่องกับเด็กให้เสียคน
เขาว่าเขาไม่อยากทำงานที่นี่แล้ว
เขาเกลียดสังคมที่เป็นคนแบบนี้กัน
....โอ ฟังแล้วจุกใจ
ดิฉันก็อยู่ในสังคมนี้เหมือนกันนี่หน่า

โชคดีที่พี่เอเขาเป็นผู้ใหญ่ เห็นว่าดิฉันมีสีหน้าซีดเซียว (ทั้งที่ไม่ขาว) ลงทุกที เลยบอกว่า
..พี่ขอบใจเพื่อนพี่นะ ที่มันส่งอีเมล์อันหนึ่งมา เป็นคำสอนของ ว.วชิรเมธี ว่าด้วยเรื่องวิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด
ทุกวันนี้พี่ก็อยู่ได้เพราะคิดอย่างที่ท่านสอน ดีนะม้อย เดี๋ยวพี่ปรินท์มาให้.. แล้วชีก็ปรินท์มาให้จริงๆ (น่าจะฟอร์เวิร์ดมานะคะพี่ หนูจะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่)
ดิฉันเห็นว่าดี จึงนำมาบอกต่อ
ท่านว่า..

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่่งตามกิเลส กิเลสก็จะำพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในที่ดีที่สุกที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมาทองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

อีกตอนว่า

บางทีคนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคือง และอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาเลย
ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกใหม่เสียดีกว่า
คิดเสียว่า
คนเราไม่มีใครดีพร้อม หรือเลวไม่มีีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม


ดิฉันว่า สิ่งที่หายไประหว่างเรากับคนที่เราคิดว่าเราเกลียดเขา คือความเมตตานะ
ว่าอย่างนั้นไหม? 

ที่มาของอาการทางสมอง


...สวยดีเหมือนกัน

ยังไม่รู้กันใช่ไหม ว่าไป Veranda คราวนี้ดิฉันประสบอุบัติเหตุ
ทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนครั้งสำคัญ
จะเล่าด้วยภาพแ้ล้วกันนะ


ป.ล. ๑ เข้าใจแล้วซินะว่าจริงๆ ไม่ใช่คนบ้า เจ้าอารมณ์ อีกทั้งไม่ใช่คนประสาทอ่อน
แต่ที่เป็นอย่างนี้เพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือน
ป.ล. ๒ โปรดอย่าซ้ำเติมให้ช้ำชอกใจด้วยคำถามว่า "มองไม่เห็นเหรอ?"
เพราะถ้าเห็น ก็คงไม่ชน.. จริงไหม?

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ฉันจะฝันถึงเธอ [รำพึง-รำพัน]


เมื่อตะวันลับลาฟ้าก็หมองมืดหม่น

ทนเงียบเหงาอ้างว้าง

เมื่อเธอลาลับไกลกลับอุ่นไอไม่สร่าง

ใจฉันค้างเคียงเธอ

 

รู้หรือไม่

ว่าภายในดวงตาสองนั่น

ฉันได้พบความอบอุ่นใจ

รู้หรือเปล่า

ว่าข้างในรอยยิ้มของเธอ

ฉันแอบเพ้อละเมอคร่ำครวญ

 

อิ่มอกอวลไอ

 

อยากจะบอกสักคำ

ฉันได้ถลำหัวใจ

ตกอยู่ในความรัก

 

เมื่อตะวันนิทรา

ฟ้าจะรอพบจันทร์

ฉันจะฝันถึงเธอ

 

Face/Off




เหนื่อยไหมกับการใส่หน้ากากหลอกลวงกัน?
ถ้าเหนื่อย
ก็ถอดเสียเถิด หน้ากากจอมปลอม
พักการตอแหลกันเสียบ้าง
เปิดใจต่อกัน เปิดใบหน้าที่แท้
ต่อไปจะได้ไม่ต้องสวมหน้ากากให้หนักหน้า


หมายเหตุ ขอบคุณใบหน้าสวยๆ บนกำแพงด้านหนึ่งของ Veranda เชียงใหม่
(ชอบมากๆ ขอบอก)