วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

2554 ยินดีที่ได้พบกัน


ปี 2554 มีอะไรน่าจำเกิดขึ้นเยอะแยะ ทั้งเรื่องดี และเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้

ตั้งแต่ต้นปี
โดนย้ายโต๊ะทำงาน แผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ไปเที่ยวสิงคโปร์ และอากาศหนาวฉับพลันในเดือนมีนา ต่อด้วยแมวพี่เป็นหวัดหลังจากไปรับกลับจากโรงพยาบาลที่ฝากไว้ ต่อมาน้องก็เป็นด้วย น้ำท่วมหลังคาบ้านที่สุราษฎร์ในเดือนเมษา

ต้นเดือนพฤษภาคมแมวพี่ตกตึก ฉันหัวใจแทบวาย ดีที่มันเป็นอะไรไม่มาก และค่าโรงพยาบาลพอจ่ายไหว จากนั้นอีกอาทิตย์เดียวแมวน้องผ่าท้องทำหมัน จากนั้นก็โกรธกับเพื่อนรักจน unfriend กันไปเลย

ปลายเดือนมิถุนาซื้อจักร ต้นเดือนกรกฎาก็เริ่มบ้าเย็บผ้า ดีใจมากที่เปลี่ยนกางเกงยีนเป็นกระโปรงได้ด้วยจักรของตัวเอง และยังใส่อยู่เรื่อยๆ แม้จะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่

สิงหาคมก็เริ่มออกสำรวจสำเพ็ง-พาหุรัด ไปบ่อยกว่าห้างปากซอยเสียอีก และแม้จะยังเก็กซิมกับผลการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม แต่ตลอดมาก็นอยด์กับอาการอึไม่ออกของแมวน้องมาโดยมิได้ว่างเว้น รวมถึงเดือนกันยายนที่เริ่มมีข่าวน้ำท่วมทางเหนือ เห็นน้ำป่าไหลจากเชียงดาวตอนนั้นยังคิดว่า แล้วมันจะไหลไปไหน ..ก็ไหลลงมาข้างล่างสิ ถามได้

ดังนั้นต้นเดือนตุลาคมฉันก็เริ่มมองหาของใช้จำเป็นอย่างรองเท้าบูตยาง เตาอั้งโล่ น้ำดื่ม มาม่า และอาหารแมว คิดวางแผนจะอยู่กับน้ำเต็มที่ แต่พอดูทีท่าแล้ว ถอยดีกว่า

จึงแพ็คแมวไปสถานีรถไฟในเช้าวันพุธที่ 26 ตุลาคม ถึงบ้านค่ำนั้นอย่างสะบักสะบอมทั้งคนและแมว แต่สบายใจมาก เพราะน้องชายต้อนรับด้วยกรงแมวทำมือในวันรุ่งขึ้น ระหว่างอยู่บ้านก็ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ทำงานส่งอีเมล์ไปอย่างไร้สุข เพราะที่สุดก็ต้องทิ้งแมวไว้กับแม่ กลับไปรับชะตากรรมที่ไม่อาจกำหนดเองที่กรุงเทพฯ

ผ่านเดือนพฤศจิกายนมาอย่างไรสุขเพราะคิดถึงแมวตลอดเวลา กลัวมันจะคิดว่าฉันทิ้ง สถานการณ์น้ำก็ทำเครียด มีลุ้นระทึกทุกวันว่าพรุ่งนี้น้ำถึงไหน ตอนมีข่าวลือว่าน้ำจะท่วมถนนพระรามสองยิ่งนอยด์หนัก กลัวกลับบ้านไม่ได้ ถึงกับลงทุนซื้อตั๋วเตรื่องบิน บินกลับบ้านครั้งแรกในชีวิต ระหว่างนี้ที่นอยด์หนัก เพื่อนรักที่ทิ้งไปก็กลับมาหา ฉันยินดี

ดีที่ธันวาคมมีวันหยุดเยอะ ฉันกลับบ้านในเดือนนี้สองหน พร้อมกับมีความสว่างไสวในใจเล็กน้อย กับกำหนดการต่อไปที่จะได้พาแมวกลับกรุงเทพฯ สักพัก เพราะแม่จะไม่อยู่บ้าน แต่ในเวลาเดียวกันก็อดห่วงแม่พร้อมนอยด์กับปฏิบัติการพาแมวกลับไม่ได้

ปี 2554 เป็นปีที่ฉันชง แต่คงไม่ใช่ฉันหรอกที่อ่วมที่สุดในรอบปี เพื่อนและคนรู้จักอีกหลายคนนั้นทั้งพลัดพรากและสูญเสียหนักกว่าฉันนัก

ฉันเชื่อว่าสิ่งที่เราพบเจอมาตลอดปี 2554 ทำให้เราค้นพบศักยภาพของตัวเองในบางเรื่อง เห็นปริมาตรน้ำใจตัวเองและคนอื่น และทำให้เรามองเห็นจุดที่ควรซ่อมแซม ที่จริงสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นแค่การวอร์มอัพร่างกายของเราให้พร้อมก่อนลงสนามจริง ซึ่งถ้าเราไม่แน่ใจว่าเราจะสู้คนเดียวไหวไหม เกาะกลุ่มกันให้เหนียวแน่น และดูแลกันไปอย่างที่ผ่านมา เราน่าจะไปไหวนะ

ฉันยินดีที่ได้มาเจอกับพวกเธอ เป็นเพื่อนกัน ได้รับและตอบกลับความช่วยเหลือของพวกเธอ ชีวิตมันไม่แย่เกินไปเพราะมันมีเสามิตรภาพค้ำอยู่อย่างนี้แหละ

ปีหน้า ถ้ายังรอดมาเจอกันได้อีก หาข้าวอร่อยๆ กินกันสักมื้อนะเพื่อนๆ ;)

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เวลาเป็นของมีค่า


ฉันวางแผนจะใช้เวลาวันหยุดปีใหม่อันมีค่าของตัวเองกับครอบครัวที่ต่างจังหวัดซึ่งตอนนี้ต้องรวมแมวน้อยทั้งสองของฉันเข้าไปด้วย เพราะฉันนำมันมาฝากแม่เลี้ยงไว้ตั้งแต่น้ำทำท่าจะท่วมเมือง

วางแผนเดินทางโดยรถไฟ เพราะนั่นเป็นความสะดวกและเคยชินของเรา ฉันไปขึ้นรถไฟจากที่ทำงานได้สะดวก และคนมารับก็สะดวก สถานีรถอยู่ใกล้บ้านเรา

แต่จะเพราะอุบัติเหตุที่เกิดกับขบวนรถที่ฉันจะโดยสารมาซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันเดินทางของฉันเพียงวันเดียว หรือเพราะความรั่วที่มีในระบบของการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่นานแล้ว หรือจะเป็นทั้งสองอย่างรวมกันก็ตาม ฉันได้ขึ้นรถหลังกำหนดการออกเดินทาง และเริ่มต้นการเดินทางเมื่อเกือบตีหนึ่ง หย่อนไปเพียง 7 นาทีก็จะเป็นการออกเดินทางช้ากว่ากำหนดถึง 2 ชั่วโมงเต็ม

ในเวลา 2 ชั่วโมง คุณทำอะไรได้บ้าง?

นอกจากคุยกับเพื่อนๆ ที่คอยเอาใจช่วยกับการเดินทางของฉันทางเฟซบุ๊ค ฉันอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ค่อนเล่มจบ หนังสือดี สร้างแรงบันดาลใจอิ่มเอิบ แต่ฉันคิดว่าคงดีกว่านี้ถ้าในเวลาที่ใช้นั่งอ่านหนังสือไปทำกิจกรรมที่ควรทำในยามนั้น อย่างการนอน

เช้ารุ่งขึ้นรถไฟของฉันพามาถึงสถานีปลายทางช้ากว่ากำหนด 2 ชั่วโมง 20 นาที

ฉันหิว โชคดีที่มีเสิร์ฟขนมปังกับเครื่องดื่มให้รองท้อง ฉันจัดการกับเวลาที่เพิ่มขึ้นบนรถไฟด้วยการทำงานที่ค้างคามานาน ถักผ้าห่มคลุมถวายพระ งานที่ฉันไม่มีเวลาจะทำในชีวิตปกติ แต่มีเวลาทำบนรถไฟ เพราะรถไฟมีเวลาแถมให้เสมอ

ฉันว่าฉันโอเคกับรถไฟ ซึ่งฉันจะเลือกโดยสารต่อเมื่อไม่มีนัดคอขาดบาดตายรออยู่หลังเวลารถเดินทางถึง เพราะว่าฉันสามารถจะเตรียมกิจกรรมไว้ทำบนรถไฟได้

แต่กับคนอื่นๆ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาที่เสียไปมันมีค่ากับเขาแค่ไหน ทั้งพนักงานขับ พนักงานบริการ ผู้โดยสาร นักท่องเที่ยว พนักงานที่สถานีปลายทาง คนขับรถแท็กซี่ กระทั่งแม่ค้าขายอาหารและไข่เค็ม

กระทั่งสำหรับตัวรถไฟเอง มันยังเสียเวลาที่จะได้จอดพัก หรือซ่อมบำรุงก่อนเดินทางกลับเลย

เครื่องยนต์อายุมาก เดินเครื่องตลอดเวลา เปิดแอร์ตลอดเวลา ออกเดินทางไปเพื่อจะไปเสียเวลากลางทาง และต้องทำ quick turn เดินทางกลับทันทีที่ถึงจุดหมายไม่รู้ตั้งกี่รอบต่อกี่รอบมาแล้ว

เวลาช่างเป็นของมีค่าเหลือเกิน

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หวานปนเท่



มีกระเป๋าย่ามติดกระดุมแม่เหล็ก
ซ้ายสุด-กระเป๋าใส่ไอโฟน
กลาง-กระเป๋าเปลือกหอย
ขวา-กระเป๋ากลม
ล่าง-กระเป๋าใส่ดินสอ




กระเป๋าผ้าคอลเลกชั่นใหม่ สำหรับสาวเท่ที่ขอหวานนิดนึง

พบกันอาทิตย์หน้าที่ https://www.facebook.com/update_security_info.php?wizard=1#!/Momo.Craft.Village

ทั้งหมดทำจากผ้าลูกฟูกและฝ้ายพิมพ์ลายฟอกสี ควิลท์มือ
ติดซิปฟันทองเหลืองและตัวห้อยซิปรูปดอกกุหลาบรับกับลายผ้า ยกเว้นกระเป๋าปากกาค่ะ

เมื่อ 'จิตตก' คุณจะ?

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กระเป๋าจุดใบสุดท้าย






'จุดนี้ช่วยน้ำท่วม'

กระเป๋าและผลิตภัณฑ์จากผ้ากำมะหยี่ชมพูจุดดำใบสุดท้ายค่ะ

กระเป๋าป้านสำหรับใส่แว่นกันแดดอันโต ตัวห้อยซิปรูปดาว
ขนาด 6 1/2x3x1 1/2 นิ้ว
ราคา 500 บาท

รายได้ครึ่งหนึ่งจะโอนไปสมทบกับมูลนิธิเอสซีจีช่วยจัดทำสุขาฉุกเฉินสำหรับผู้ประสบภัย ท่านใดสนใจช่วยแจ้งไว้ก่อนนะคะ
ขอบคุณค่ะ

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ห่วง




ก่อนหม่ามี๊กลับมาจากบ้านยาย





บางทีเราอาจจำเป็นต้องมีห่วง
เพื่อผูกรัดตัวไม่ให้ลอย
หลุดไปตามสภาพไร้แรงโน้มถ่วง

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โปสการ์ดทำขาย





พร้อมๆ กับกระเป๋าผ้า "จุดนี้ขอช่วยน้ำท่วม" ที่เย็บขายในเพจ Momo Craft Village (https://www.facebook.com/Momo.Craft.Village) ในห้อง "ตามใจฉัน"

ก็ได้มีโปสการ์ดทำมือมาเสนอขายด้วยในห้อง "ตามที่เห็น"
พร้อมด้วยของเย็บตามความประสงค์ของเพื่อนๆ ในห้อง "ตามใจท่าน"
ซึ่งจะได้เห็นรายละเอียดกันในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ ที่หน้าเพจด้วย

โปสการ์ดพวกนี้ขายใบละ 15 บาท ซื้อ 10 ใบจะแถมให้ 1 ใบ
กำไรที่ได้จะนำมาเลี้ยงสัตว์ ครึ่งหนึ่งใช้เลี้ยงแมวตัวเอง อีกครึ่งจะรวบรวมไว้ แล้วนำไปเลี้ยงหมาแมวที่คิดว่าขาดทุนในการรักษาตัว ในการกินอยู่ ดำรงชีวิต

เกิดมาร่วมโลกร่วมชาติกันแล้วก็ต้องพึ่งพากันไปนะ

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

จุดนี้ขอช่วยน้ำท่วม



เป็นงานซับซ้อนน้อยกว่าที่เคยทำๆ (แจก) มา แต่ฉันตั้งใจนะ



ในที่สุดก็เริ่มทำของขายผ่านเพจ Momo Craft Village ของเอมโม่แล้ว (https://www.facebook.com/Momo.Craft.Village)

คอลเลกชั่นแรกชื่อ "จุดนี้ขอช่วยน้ำท่วม" รายได้จากการขายขอเก็บไว้เป็นขวัญถุงประเดิมการขาย 100 บาท ที่เหลือจะฝากโม่โอนไปสมทบกับสภากาชาดช่วยน้ำท่วมทั้งหมด

ซึ่ง หลังจากที่บอกข่าวเพื่อนๆ ที่สนิทกันไป
ก็มีเพื่อนผู้ชายที่ยินดีกับฉัน ไม่รู้จะซื้อกระเป๋าชมพูจุดดำไปทำไม แฟนก็ไม่มี แต่อยากจะช่วยค่าของที่ฉันซื้อมาเย็บขายเป็นเงิน 1,000 บาท เลยบังคับให้รับกระเป๋ากลมใบเล็กไปใช้เก็บของเล็กๆ จะได้เป็นการขายประเดิมตามธรรมเนียม

จากนั้นเพื่อนสาวก็มาขอเหมาอีก 3 ใบที่เหลือไปใช้เป็นชุด
(โดยยังไม่รู้เลยว่าฉันจะขายเท่าไหร่ เลยจัดราคาไปให้สมน้ำสมเนื้อกับกระเป๋ากลมใบเล็ก- - -จะได้มีเงินบริจาคเยอะๆ อิอิ)


เลือกช้อปงานทำมือชิ้นที่ชอบได้ที่เพจ Momo Craft Village วันที่ 13 ตุลาคมนี้นะจ๊ะ นอกจากงานของฉันยังมีงานอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมาก

ที่สำคัญ ช่วยประเดิมร้านวันแรกกันจะได้ช่วยสมทบทุนช่วยน้ำท่วมด้วย ติดตามรายละเอียดได้ที่เพจเลยน้าาาาา

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

เย็บไถ่บาป#4 : กระเป๋าสำหรับครอบครัว


จะเห็นได้ว่าบ้านนี้ก็มีน้ำพุเหมือนกัน



ดังที่เล่าไปแล้วถึงความพยายามจะทำกระเป๋าให้สมาชิกในครอบครัวหนึ่งใช้
ครอบครัวนี้ประกอบไปด้วยคุณยาย คุณน้า หลานชายวันมัธยมต้น และหลานสาววัยประถม
ก็เริ่มต้นที่ผ้าจุด ทำกระเป๋็าผู้หญิงเสร็จไป 3 ใบ ชักอึ้งว่าจะทำอะไรให้เด็กชายใช้ดี

จับผ้าพิมพ์สีครามมาทำ ทำไปทำมา มันคล้ายว่าจะไม่ใช่ของเด็กผู้ชายซะแล้ว
(โปรดพิจารณา)

เย็บไถ่บาป#3 : Boy or Girl?


ควิลท์นิดหน่อย เพิ่มรายละเอียด



ประสบปัญหาในการทำกระเป๋าให้เด็กชายวัยมัธยมต้น
ไม่รู้ว่าควรทำแบบไหน อย่างไร เด็กชายถึงจะใช้

ตีโจทย์เป็นกระเป๋าซิปรูดสำหรับใช้ใส่มือถือ (ถ้าไม่ใส่มือถือจะเอาไปใส่อะไรก็ได้ตามใจเขา) ประมาณไซส์ให้รับบีบีประมาณ Curve (ไม่รู้หรอกเขาใช้อะไร แต่เชื่อว่ามีมือถือใช้แน่)

วันก่อนเอาผ้าพิมพ์สีครามมาทำ ทำออกมาแล้วเพื่อนทักว่าหวาน เลยเสียเซลฟ์ไปหน่อย แล้วก็เริ่มทำใหม่ เอาผ้า Canvas ที่เพิ่งได้มามาลองดู แล้วก็ยังคงใช้ผ้ากุ๊นสีเดียวกับงานชิ้นอื่นๆ สำหรับสมาชิกหญิงในครอบครัวนี้ไป เพราะอยากให้งานชุดนี้เป็นชุดเดียวกัน

ดูแล้วช่วยบอกหน่อยได้ไหม ผู้ชายจะไม่ใช้ของชิ้นนี้?

(ชมภาพกระเป๋าอีก 3 ใบสำหรับสมาชิกในครอบครัว กับกระเป๋าเด็กชายใบแรกที่ไม่ผ่านได้ในอัลบั้มต่อไป)

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ในสวนศรี






Sanctuary ทางจิตใจที่สงบ แต่ไม่เงียบเหงา
แห่งใดแห่งหนึ่ง ในอำเภอนครชัยศรี นครปฐม



อาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2554

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

เสน่ห์ปลายจวักและความรักของผู้ชาย




.....จนถึงวันนี้ คุณคงได้เห็นหนังสือมากมายในโลกตะวันตกและตะวันออกเขียนเกี่ยวกับเรื่องของความรัก แต่ไม่มีเลยสักเล่มเดียวใช่ไหมครับที่กล่าวถึงเรื่องนี้ ไม่มีสักเล่มที่พูดถึงชายหนุ่มตกหลุมรักหญิงสาวเพราะฝีมือการทำอาหารของเธอ หรือชายหนุ่มตัดสินใจทิ้งหญิงสาวเพราะเธอดันต้มน้ำซุปเค็มเกินไป โรเมโอรักจูเลียต
โดยไม่สนใจความบาดหมางของสองตระกูล แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะฝีมือการทำจ๋าก๊า (อาหารเวียดนามตำรับหนึ่ง) ของเธอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพราะนักเขียนส่วนใหญ่เขียนเกี่ยวกับความรัก ไม่ได้เขียนเกี่ยวกับการแต่งงาน ผมจึงเห็นว่าความรักของโรเมโอและจูเลียตนั้นงดงามที่สุดแล้ว เพราะพวกเขาตายไปก่อนที่จะได้แต่งงานกัน และก็ดีแล้วที่จูเลียตไม่มีโอกาสได้ทำกับข้าวให้โรเมโอกิน.....


ส่วนฮาๆ จาก "ขอตั๋วหนึ่งใบกลับไปสู่วัยเด็ก"
โดย เหงวียน เหญิต อั๋นห์
แปลโดย มนธิรา ราโท




วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ที่รัก : ช่วงเวลาสามัญของคู่รัก

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


คนยิ่งอยู่นาน ยิ่งมีความหลังมาก

ฉันได้ไปชมภาพส่วนหนึ่งในคลัง “ความหลัง” ส่วนหนึ่งความทรงจำของคนคู่หนึ่ง ผ่านหนัง “คู่รัก”

ว่ากันว่าเป็นความทรงจำของผู้เป็นพ่อและแม่ของผู้กำกับหนัง นาม ศิวโรจณ์ คงสกุล

คู่หนุ่มสาวธรรมดา ในยุคสมัยที่หนึ่งวันยังมี 24 ชั่วโมงเต็ม ผู้คนใช้ชีวิตกันเรียบง่าย ตื่นแต่เช้า เข้านอนหัวค่ำ รักกันเงียบๆ เดตกันเรียบๆ ไม่เปรี้ยวปรู้ดปร้าด ไวไฟเหมือนคนยุคนี้สมัยนี้

เรื่องเรียบๆ ของคนเรียบๆ แต่มันดูจริง จริงตรงที่ชีวิตจริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรสวยหรูไปกว่านี้ ไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเจ้าชาย ไม่มีรถโรลส์-รอยซ์ คฤหาสถ์ใหญ่โต แค่รักกัน คนสองคนก็หาทางอยู่ด้วยกันได้ตามประสา และแม้จะไม่ได้ร่วมเดินด้วยกันจนสุดทาง ต่างคนก็ยังอยู่ในความทรงจำของอีกคนเสมอ

ชีวิตที่อยู่มานานประมาณหนึ่งของฉันเองก็มีความทรงจำธรรมดาๆ ถึงใครบาง(หลาย)คน
..เพียงแต่มันไม่เห็นจะละเมียดแบบนี้เลย


หมายเหตุ:
• ภาพยนตร์ เรื่อง “ที่รัก” (Eternity) ของ "ศิวโรจณ์ คงสกุล" ได้รับรางวัล "Tiger Awards" ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติรอตเตอร์ดาม ครั้งที่ 40 ที่เมืองรอตเตอร์ดาม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา
• คิดไปประสาชาวบ้านที่บังเอิญได้ดูหนังไทยได้รางวัลฝรั่งมาบ้าง ว่า ดูฝรั่งช่างหลงใหลวิถีชีวิตบ้านนอกของบ้านเมืองแถบตะวันออกเสียจริง
• หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงลุงบุญมีระลึกชาติในช่วงแรกๆ (ฮา) จังหวะที่เนิบช้าและความเงียบของหนังยังทำเอาเกือบหลับไปหลายรอบ แต่ก็ไม่ยักหลับ แถมมีฉากที่ทำเกือบน้ำตาไหลได้อีกตั้งฉากนึง
• ดูจบหลายวันแล้วก็เพิ่งจะคิดได้ว่า การที่ฉันไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งแบบในหนัง มันเหมือนชีวิตฉันยังขาดอะไรบางอย่างไป (หรือเปล่านะ?)
• (สมบูรณ์ ไม่เหมือน สมบูรณ์แบบ นะจ๊ะ)
• หลังหนังจบมีโอกาสถามผู้กำกับ (วัย 31 เอง แม่จ้าว!) ว่าแม่เขาได้ดูหรือยัง เขาบอกว่าได้ดูแล้ว (จับใจความเหมือนได้ดูในรอบที่ฉายในเทศกาลหนังรอตเตอร์ดาม) ก็ถามต่อว่า แล้วแม่ว่ายังไงบ้าง ..ผู้กำกับตอบสั้นมาว่า ก็ยิ้มๆ ...เท่าเนียะ
• อยากรู้ว่าถ้าคนที่อยู่มานานกว่าได้ดู จะรู้สึกอย่างไร ...ฉันว่าถ้าฉันทำหนังเรื่องของแม่กับพ่อออกมาแบบนี้บ้าง แม่ฉันไม่แค่ ‘ยิ้มๆ’ แน่นอน



วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ความเห็นแ่ก่ตัว : ว่าด้วยการใช้ทางเท้า




ก. ใช้ทางเท้าเป็นทางรถจักรยานยนต์ (ทำไมล่ะ ทีจักรยานยังให้ขี่บนทางเท้าได้เลย)

ข. จอดมอเตอร์ไซค์วินและจอดมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า (อ้าวไม่ดีหรอ ผู้โดยสารไม่ต้องเดินไกลไง ที่จอดรถมันไกล+ต้องแลกบัตร ฯลฯ ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ไม่เข้าใจหรอก)

ฃ. นั่งขอทาน นอนขอทานบนทางเท้า (ก็กลุ่มเป้าหมายเดินบนทางเท้า ถ้าไม่ให้นั่งทางเท้าจะให้ไปนั่งไหน)

ค. ขายอาหารบนทางเท้า (สงสารคนรีบไปทำงาน ไม่มีเวลาแวะหาอาหารเช้า)

ฅ. ย่างไก่ สะเต๊ะ และหมู ทอดลูกชิ้น ทอดมัน และปาท่องโก๋ริมทางเท้า(เพื่อความใหม่สด น่ากินสำหรับผู้บริโภค)

ฆ. เทเศษอาหาร และน้ำล้างจานลงท่อระบายน้ำ (จะให้ขนไปทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่ไหวนะคะพี่)

ง. ขายเสื้อผ้า สายชาร์ตโทรศัพท์ ตุ๊กตา รองเท้า และกางเกงบ็อกเซอร์ เติมเงินมือถือ ฯลฯ บนทางเท้า (อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าค่ะ จะได้ไม่ต้องเดินไปตลาดไงคะ)

จ. ยืนประชาสัมพันธ์รับบริจาคสร้างค่ายพัฒนาชนบท ชวนซื้อโลงศพ (ให้ใคร?) ชวนบริจาคเพื่อสิ่งแวดล้อมและเด็ดด้อยโอกาส ฯลฯ (ผู้มีจิตศรัทธาจะได้ทำบุญร่วมกันระหว่างทางไงคะ)

ฉ. ก่อสร้างรุกล้ำทางเท้า (แป๊บเดียวฮะ เดี๋ยวก็คืนให้แล้วนะ)

ช. ขับรถลุยลงไปในแอ่งน้ำอย่างเร็วรี่ (ไม่ได้เบียดเบียนใครนะฮะ ขับรถก็ขับอยู่บนถนน)

ซ. ต่อท่อระบายน้ำจากดาดฟ้าลงมาที่หน้าบ้านเลย (น้ำจะได้ล้างทางเท้าหน้าบ้านให้สะอาดเอี่ยมไม่ต้องเปลืองน้ำประปาไง)


 

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

เย็บไถ่บาป#2



เพราะมันไม่ใช่ผ้าฝ้าย ควิลท์ยาก
ไหมซัมเมอร์ไม่มี ใช้ไหมพรมร้อยเข็มปักควิลท์ก็ยากอีก เพราะมันปักไม่ค่อยลง ยิ่งมาเจอใยสังเคราะ์ห์รุ่นตลาดปากซอยอ่อนนุช ซึ่งฟูฟ่องสุดๆ

รวมกันแล้ว กว่าจะควิลท์เสร็จก็เล่นเอาระบมนิ้ว



ศุกร์ 2 กันยายน 2554
กินข้าวกับน้อง เสร็จแล้วไปเดินนารายา
เดินอยู่เกือบชั่วโมง ได้กระเป๋าออกมา 2 ใบ
วันรุ่งขึ้นน้องมาเม้นท์ใน "เย็บไถ่บาป" ว่าทำเองได้เยอะแยะ ทำไมยังต้องซื้อ

รู้สึกผิดไหม ไม่
แต่ไอ้ที่เคยคิดว่า "กระเป๋าประมาณนารายา ช้านก็ทำได้" ..เห็นทีต้องพิสูจน์กันหน่อย

ผลการพิสูจน์บอกได้คำเดียวว่า "เจ็บ"

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว : ว่าด้วยการใช้บริการขนส่งสาธารณะ



ก. เดินเข้ารถไฟฟ้าทันทีที่ประตูเปิด (รีบค่ะ)

ข. เดินเข้ารถไฟฟ้าโดยไม่ต่อคิว (ก็คนเข้าแถวคนแรกชักช้า มัวแต่รอคนข้างในเดินออกมาให้หมดก่อน)

ฃ. เข้าแถวรอรถไฟฟ้าตรงช่องให้คนเดินออก (ก็เดี๋ยวประตูมันจะเปิดตรงนี้จะให้ไปรอตรงไหนเล่าคะ)

ค. เข้ารถไฟฟ้าไม่ชิดใน (เพราะอีก 5 สถานีก็จะลงแล้ว)

ฅ. ปล่อยเด็กให้วิ่งเล่น ห้อยโหย ป่ายปีนไปทั่วห้องโดยสารรถ (เด็กกำลังเรียนรู้นะคะ)

ฆ. พูดโทรศัพท์เสียงดัง (คุยเรื่องส่วนตัวนะคะ ไม่ได้ด่ามารดาใคร)

ง. นั่งแหกขาทำมุม 90องศากับเป้ากางเกง (ท่าทางจะหุบไม่ลงน่ะค่ะ)

จ. นั่งเหยียดขาไปข้างหน้า (ก็คนมันขายาวอะค่ะ)

ฉ. นั่งแชตไม่สนใจเฒ่าชแรแก่ชรา หญิงมีครรภ์ใดๆ (ทุกคนดูแลตัวเองได้ค่ะ)

ช. จับก้นกันบ้างจับนมกันบ้างแล้วแต่ความปรารถนาและโอกาส (ก็เจ้าของเขาไม่ว่าอะไรนี่ฮะ)

ซ. กินขนมและดูดกาแฟเย็นบนรถไฟฟ้า (ซื้อเองนะคะ ไม่ได้ขอใครกิน)

ฌ. ขึ้นบันไดเลื่อนไม่ชิดข้าง (ทรงตัวได้ค่ะ ไม่ต้องจับราว)

ด. ชิ่งไปช่องแปะบัตรข้างๆ ทันทีที่คิวแรกของช่องนั้นช้า (ก็คนมันรีบนี่นา)



วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

ไม่บอกไม่รู้ว่ามาจากบาหลี






เดี๋ยวนี้ไปรษณีย์ไทยมีบริการห่อพลาสติกให้ไปรษณียบัตรด้วยหรือคะ?

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เย็บไถ่บาป


ดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาเชียว



อยู่มานาน รู้สึกว่าบาปที่อยู่ไปเฉยๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านไป ผ่านไป
รู้สึกผิดที่เวลาเหลือน้อยลง แต่ยังไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นอัน
พักนี้เลยทำอะไรๆ ไปพร้อมกันเยอะมาก

การก้มหน้าตาเย็บ ประดิษฐ์ของใช้เป็นแค่กิจกรรมหนึ่งหลังรู้ตัวว่าบาป

รูปในอัลบั้ม แค่อยากรวบรวมของที่ทำขึ้นเพื่อจะดูพัฒนาการของตัวเอง
ป่าวโชว์ของ และขายของ อยากจะดูก็ดูไป อยากติได้ แต่ถ้าจะชม ขอนิดเดียวพอ เดี๋ยวลอย

(ถ้าใครอยากทำบ้างก็ทำเลย มันไม่ยากหรอก :)

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Sewing Masochism#2


เวลาควิลท์น่าจะสะกิดเข็มมากกว่านี้หน่อย

ไม่งั้นจะใช้ไหมปักไปทำมายยย

ตอน กางเกงยีนส์หนึ่งตัวใช้ผ้าเยอะจัง!

หลังจากเย็บกระเป๋าเหมียวหน้าเปรี้ยวฯ ไปก็ยังไม่กล้าเริ่มงานคิตชิ้นใหม่
แต่วันก่อน ได้อาสาเย็บกระเป๋าใส่ปากกาเป็นของขวัญวันเกิดให้รุ่นพี่คนสนิทไป สำเร็จแล้วถ่ายรูปออกมาดูทีเดียว

ล่าสุดมีเรื่องต้องรบกวนคอมพิวเตอร์กายที่ออฟฟิศแบบว่า เยอะ เหมือนกัน แถมต่อไปยังมีแววต้องรบกวนเพิ่มอีก เช้าวันเสาร์เลยกลับมาค้นสมบัติ จะทำของขอบคุณเขาสักชิ้น

เขาเป็นผู้ชายก็อย่าอะไรมาก จัดให้จากขากางเกงยีนส์ที่ตัดออกมาเตรียมเย็บเป็นกระโปรงนี่ล่ะ (ผ้าขากางเกงยังเหลือทำได้งานได้อีกหลายชิ้นเรย)


ปล. งานนี้ไม่ค่อยเจ็บมือ แต่เจ็บใจที่ติดซิปไม่สวยเหมือนใบก่อน



วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มานี่ แมวกะละมัง






อยากรู้ว่าแมวอ้วนมีความสุขอย่างไรขณะขดตัวกลมในกะละมังที่เล็กกว่าตัวมันลงเรื่อยๆ


กล้วย






ปลูกกล้วย
มีกิน
มีใช้



ตลาดต้นไม้จตุจักร วันพุธ 20 กรกฎาคม 2554

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Sewing Masochism#1






กระเป๋าเหมียวเปรี้ยวฯ

เป็นงานคิตขั้นต้นชิ้นที่ทำเสร็จเป็นชิ้นที่สอง
เริ่มเข้าใจเทคนิคและลำดับในการ applique และ quilt ระดับเริ่มต้น ฝีเข็มก็เลยมีพัฒนาจากงานใบแรกบ้าง แต่ไม่แน่ใจเรื่องติดซิปเลย เพราะงานนี้โซโล่เอง
(ขี้เกียจเอาไปให้ครูช่วยจับวาง)

งานแบบนี้ถ้าอยากเย็บให้สวย ก็ต้องตั้งใจเย็บให้ดีๆ ละเอียด ใจเย็น และต้องพร้อมจะเจ็บมือ (เพราะฉันยังไม่มีปลอกนิ้วดีๆ ใช้ ไอ้ที่มีอยู่ก็ใช้ไม่เป็น)
ฉันเอง ด้วยความบ้า ก็อยากจะเห็นว่าถ้าเย็บดีๆ ถี่ๆ แน่นๆ มันจะออกมาเป็นยังไง
ก็เลยยอมเจ็บมือ เมื่อยหลัง ก้มหน้าก้มตาเย็บอยู่สามวันเพื่อให้ได้งานเสร็จดังใจ ไม่หมักหมม

ได้งานออกมาก็สะใจมาโซคิสล่ะค่ะ!


วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ถนน







หลายคน
สร้างถนน
ให้คนอื่นเดิน



(ถนน, ทางเดิน, ลาน หน้าห้าง Terminal 21, 4 สิงหาคม 2554: 2 เดือน ก่อนห้างเปิด)

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วม







น้ำท่วม
ดีกว่า
ฝนแล้ง?



(ตลาดนัดมิตรภาพจมน้ำก่อนวันเลือกตั้ง)

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เฝ้า







ผู้ใหญ่เฝ้า
เด็กนั่ง
ขอ




(สะพานลอยขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสอโศกจากหน้าโรงแรม Westin, 19.18 น. พฤหัสบดี 14 กรกฎาคม 2554)

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พร่า







อ้อยอิ่ง
งดงาม
ในความพร่า



(reshoot portrait จากมอนิเตอร์ ด้วย application 'camera 360')

ช้อปปิ้งที่ท่าช้าง









ผ่านไปกี่ปีๆ ท่าช้างยังมีสีสันเสมอ




(เดินจากท่าราชฯ ไปท่าช้าง, จันทร์ 25 กรกฎาคม 2554)

เดี่ยว







เดินเดี่ยว
บ้าง
ก็ดี



(นั่งรถไฟคนเดียวจากสุราษฎร์, อาทิตย์ 24 กรกฎาคม 2554 )

. . .


เนื้อนุ่มเพราะยัดใยสังเคราะห์
ควิทล์รูปปลาโลมา
ไม่ติดซิป ใช้ระบบดึงสายคล้องมือถือเอา

ถ้าไม่ใส่มือถือ จะเอาไปใส่แว่นก็ได้ ลองแล้ว





เย็บซองใส่มือถือเสร็จหนึ่งใบ
ถ้าอยากได้ก็จะให้

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทรงกลด






พระอาทิตย์
ทรงกลด
ตอนสาย



(นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เงยหน้ามองฟ้า เห็นพระอาทิตย์ทรงกลด, 9.49 น. 19 กรกฎาคม 2554)

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เพื่อน








สองชีวิต
คน
กับหมา






(เด็กหญิงขอทานนั่งกอดลูกหมาอยู่บนบันไดขึ้นรถไฟฟ้า สถานีอโศก
หน้าโรงแรมเวสติน ปากซอยสุขุมวิท 19, 14 กรกฎาคม 2554)

Last Friends: เพื่อนกันจนวันสุดท้าย


Rating:★★★★
Category:Other


เรื่องราวดราม่าทั้งหมดเกิดจากผู้หญิงคนเดียว ...มิจิรุ เด็กสาวบ้านแตก อาศัยอยู่กับแม่ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จนักในการเป็นแม่ ส่วนพ่อนั้นไม่ปรากฏ รู้แต่ว่าเพราะธุระของพ่อ ทำให้แม่ต้องหอบลูกหนีหนี้ไปก่อนวันสำเร็จการศึกษามัธยมปลาย ทิ้งให้ รุกะ เพื่อนสนิทที่รักมิจิรุเป็นพิเศษใจหาย เพราะไม่ได้ข่าวจากเธออีกเลย

4 ปีให้หลัง มิจิรุกับแม่กลับมาโตเกียว ขณะที่กำลังตั้งอกตั้งใจฝึกงานเสริมสวย เธอก็เริ่มหวั่นไหวไปกับคำชวนไป ‘อยู่ด้วยกัน’ ของ โซสุเกะ แฟนหนุ่ม

ลูกสาวดีใจที่ในที่สุดก็ได้จังหวะปลีกตัวออกไปอยู่ข้างนอกเพราะอึดอัดกับการที่แม่มีแฟนมาหามาสู่แบบนี้มานาน และเมื่อลูกไปขอ แม่ก็ให้ ‘ออกไปอยู่กับผู้ชาย’ แต่โดยดี มีข้อแม้นิดเดียวว่ายังคงช่วยจ่ายค่าเช่าอพาร์ทเมนต์เล็กๆ ที่แม่ลูกอยู่ด้วยกันนั้นต่อไป

มิจิรุออกมาอยู่แมนชั่นอันสวยหรูของแฟน มีช่วงเวลาโรแมนติกแสนหวานเหมือนฝันได้คืนเดียวก็ตื่นขึ้นมาพบความจริงในเช้ารุ่งขึ้น แฟนของเธอตื่นเช้ากว่า และกิจกรรมแรกของเขาคือการเช็กข้อมูลต่างๆ ในโทรศัพท์ของเธอ ก่อนจะหันมาถามอย่างเคร่งเครียดว่า รุกะเป็นใคร

มิจิรุถูกตบตีครั้งแรกในเช้าวันนั้น เมื่อถึงคืนนั้น เธอยังหาหลักฐานอันได้แก่หนังสือรุ่นไปยืนยันกับแฟนหนุ่มไม่ได้ ว่ารุกะเป็นแค่เพื่อนสาวสมัยมัธยมจริงๆ มิจิรุจึงไม่กล้ากลับบ้าน ไปนั่งตากฝนฤดูใบไม้ผลิอยู่ในสวนสาธารณะ ตรงที่เดิมที่เธอและรุกะเคยมานั่งบ่อยๆ สมัยยังใส่ชุดนักเรียน

รุกะมาพร้อมกับร่ม และพามิจิรุกลับแชร์เฮ้าส์ บ้านที่แชร์ค่าเช่ากับ เอริ แอร์โฮสเตสสาว เอริพารุกะไปรู้จักกับทาเครุ หนุ่มบาร์เทนเดอร์ผู้มีอาชีพในตอนกลางวันเป็นช่างผม-หน้า ในกองถ่ายภาพแฟชั่น

เหมือนเป็นโชคชะตาที่นำพาให้รุกะและทาเครุกลับมาพบกัน และทำความรู้จักกันอีกครั้ง หลังการพบกันครั้งแรกในตอนที่รุกะหุนหันไล่ตามมิจิรุจนชนทาเครุล้ม

ต่อจากนั้นไม่นาน ทาเครุก็ย้ายเข้ามาอยู่ในแชร์เฮ้าส์ ไล่เลี่ยกับโองุริน ชายหนุ่มจากสายการบินผู้มีปัญหากับภรรยา และติดตามเอริมาที่บ้าน ตามมาด้วยมิจิรุ ซึ่งถูกตบตีเพราะความหึงหวงจนชีวิตมีปัญหา งานก็เสียหาย แถมยังต้องอยู่แบบหวาดผวาว่าเมื่อไหร่จะโดนอีก

เรื่องราวที่ซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่องนี้นำเสนอดูจริงจนน่ากลัว ปมของเด็กถูกทิ้งที่ทำให้คนบางคนหวงคนบางคนไว้ให้อยู่แต่กับตัวเอง ในโลกที่มีแค่เธอกับฉัน โลกที่ฉันคือโลกของเธอ และเธอคือโลกของฉัน ปมของเด็กที่ไม่ชอบเพศสภาพของตัวเอง แต่ดันมาถูกตอดเล็กตอดน้อยเพราะเพศสภาพที่ไม่พึงประสงค์ของตัวเองนี่อีก แต่ด้วยแรงขับของการปรารถนาจะเป็นที่ยอมรับจึงทำให้เกิดความมุ่งมั่นทำฝันของตัวเองให้เป็นจริง แล้วก็ยังมีปมของเด็กที่ถูกกระทำทางเพศในวัยเด็ก ส่งผลให้โตขึ้นมากลายเป็นคนรังเกียจ ไร้อารมณ์กับเพศตรงข้ามไป

แต่ท่ามกลางปมที่ทำให้ปวดหัวพวกนี้ ก็ยังมีความรักอันบริสุทธิ์เกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับเพศสภาพตามสูตรเก่าๆ รุกะรักมิจิรุมาตั้งแต่แรกพบจึงออกโรงปกป้องมิจิรุทุกอย่าง ทาเครุก็รักรุกะตั้งแต่แรกพบ เมื่อรู้ว่ารุกะถึงกับปกป้องมิจิรุด้วยชีวิตขนาดนั้น จึงปวารณาตัวจะปกป้องรุกะ และช่วยรุกะดูแลมิจิรุอีกแรง ส่วนมิจิรุเมื่อได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนและใจดีจากทาเครุก็หลงรักทาเครุประสาหญิงสาวพร่องรัก ย้อนกลับมาที่รุกะ เมื่อพบว่าทาเครุเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง แถมยังรักตัวเองในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่ง ก็พบกับความอบอุ่นใจมาก มีรักตอบเหมือนกัน

แต่ในเมื่อความสัมพันธ์ของคน 3 คนนี้เป็นไปตามขนบของการเป็นผัว-เมียไม่ได้ สุดท้ายทั้ง 3 จึงกลับมาใช้ชีวิตด้วยกันอย่างเพื่อน ต่างแบ่งปัน ช่วยเหลือ ดูแลความรู้สึกของกันและกัน ในแชร์เฮ้าส์หลังเดิม


อาจจะเป็นการจบที่ค่อนข้างเน่า แต่ฉันว่าความรักแบบนี้มีจริง เชื่อถือได้ และอบอุ่นใจจัง




บันทึก:
• รู้เรื่องและไปหาซีรีส์เรื่องนี้มาดูเพราะได้อ่านบทความของคำ ผกา ผู้หญิงปากกล้าคนนั้นที่แม้ไม่ได้เป็น idol แต่ทำให้ฉันหยุดอยู่กับงานเขียนของเธอได้เสมอ
• ความรักจากเพศเดียวกันในความรู้สึกของฉันไม่ใช่เรื่องน่าอิหลักอิเหลื่อใจ ถ้าอีกฝ่ายไม่มาดหมายว่าฉันจะรักตอบในแบบเดียวกัน แต่สำหรับเรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัวนี่ไม่ได้เลย ขัดใจมาก
• ในการดูรอบแรก ในฐานะคนดู ซึ่งเป็นคนนอก เป็นผู้สังเกตการณ์ เห็นว่าปัญหาแบบนี้ไม่น่าจะแก้ยากนี่หว่า ตบมาก็ตบกลับสิ แจ้งความสิ ย้ายออกมาสิ ฯลฯ แต่พอดูหลายรอบเข้าก็อินมากขึ้น และพบว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขกันง่ายๆ อย่างที่คิด ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเหมือนส่วนเติมเต็มให้กับส่วนที่ขาดหายไปของเราเสียขนาดนั้น แถมโลกนี้จะมีใครมาเติมเราได้เต็มแบบนี้อีกไหมก็ไม่รู้
• ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าฉันไปเจอคนที่ให้ความรู้สึกแบบนี้เข้า จะยอมทนโดนตบจนกลายเป็นมาโซคิสไปเลยไหม
• ไดอาล็อกในซีรีส์เรื่องนี้หลายตอนช่างกรีดลึก โดยเฉพาะใจความในจดหมายฉบับสุดท้ายของโซสุเกะ (มีซับญี่ปุ่นด้วยนะ ขอบอก)
• เพลงประกอบชื่อ Prisoner of Love ฟังแล้วโคตรรปวดใจ (แปลไม่ยากเพราอุทาดะ ฮิคารุ ร้องเป็นภาษาอังกฤษครึ่งนึงตามธรรมเนียมของเธอ) ฟังไปประมาณสามสิบรอบ พบว่าเป็นเพลงที่เพราะจริงๆ ฮิคารุร้องออกมาเหมือนตัวเองเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องก็ไม่ปาน
• ขอบคุณคำ ผกา แม้ว่าดูไป 2 แผ่นแรกแล้วจะนึกถามตัวเองว่า “ทำไมฉันต้องมาดูเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย”


วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Larry Crowne : ชีวิตคือการเรียนรู้

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Romantic Comedy


เพื่อนชวนไปดู Larry Crowne รอบพิเศษ หนึ่งวันก่อนหนังฉาย ฉันรีบ search หาข้อมูลแล้วตอบตกลง เพราะอยากหัวเราะ

ไม่ได้ดูหนังที่ทำให้หัวเราะมานานแล้ว

ก็ได้หัวเราะกันจริงๆ ไม่มากหรอก แค่พองาม เพราะนอกจากความขำ หนังเรื่องนี้ทำให้เราเกิดอีกหลายอารมณ์ เพราะจะว่าไปมันเป็นเรื่องค่อนข้างจริง เศรษฐกิจแย่ ถูกเลือกให้เป็นคนไปเพราะเรียนไม่จบปริญญา ตกงานโดยไม่ตั้งตัว บ้าน (หลังใหญ่) ต้องผ่อน รถต้องผ่อน แบงค์ไม่ประนีประนอม และหางานใหม่ไม่ได้

หลายคนที่เจอชะตากรรมเทวดาตกสวรรค์แบบนี้อาจถึงขั้นรับไม่ได้ แต่ดีที่ แลรี่ คราวน์ (ทอม แฮงก์) ผู้มีประสบการณ์บนเรือรบที่ตระเวนไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านมหาสมุทรนานถึงยี่สิบปี ในฐานะพ่อครัว เป็นคนมองโลกในแง่ดี รถเอสยูวีคันใหญ่บริโภคน้ำมันมากนัก เขาเลยยกแอลซีดีทีวีจอใหญ่ไปให้เพื่อนบ้าน แลกเอาสกูตเตอร์ยามาฮ่ายุค’ 70 เติม 2 ลิตรกว่าๆ ก็เต็มถังมาใช้ และในเมื่อต้องจบอนาคตทางการงานเพราะการศึกษาไม่มี เขาก็สมัครเรียนในวิทยาลัยชุมชน เลือกเรียนการพูดเพราะอธิการบดีบอกว่าวิชานี้จะเปลี่ยนชีวิตเขา และเศรษฐศาสตร์ ที่เขาอยากเรียน

หลังจากนั้น ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปจริงๆ ในห้องเรียนการพูด 217 เขาพบศาสตราจารย์สาวสวยขี้เมา (จูเลีย โรเบิร์ตส) และเพื่อนร่วมชั้นอีก 9 คน ที่ดูไม่มีแววพอๆ กัน ในห้องเรียนเศรษฐศาสตร์ เขาพบศาสตราจารย์ญี่ปุ่นผู้เคร่งครัด กับทฤษฎีที่ทำให้เขายินดีที่ได้รู้(จัก) แม้จะเป็นชั่วโมงนี้ของชีวิต นอกห้องเรียนเขาพบเพื่อนสาวน้อยที่ชวนเขาเข้าแก๊งค์สกูตเตอร์ ชวนกันออกท่องเที่ยวร่วมกับเพื่อนๆ อื่นๆ ที่ต่างคนต่างช่วยปรับเปลี่ยนชีวิตไร้ชีวาของเขาให้สดชื่น กระฉับกระเฉงขึ้น

คนเรานั้นที่จริงแล้วพึ่งพากัน หนังเรื่องนี้บอกกับฉันแบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะเป็นฝ่ายให้อยู่คนเดียว หรือเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว ชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบ เราเรียนตลอดเวลาที่มีชีวิต การเรียนทำให้เรารู้ว่าชีวิตแบบที่เป็นอยู่นี้มันใช่ หรือไม่ใช่ ถ้ามันใช่ก็ไปต่อ ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่เห็นเป็นไร หยุดแบบเดิมแล้วไปเริ่มแบบใหม่ ถ้าใช่ก็ไปต่อ ไม่ใช่ก็หยุด แล้วเริ่มใหม่ เรื่องมันมีแค่นี้

ฉันเองก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากหนังเรื่องนี้ ว่าความสุขจากการดูหนัง บางทีก็มาจากความรู้สึกผ่อนคลาย และรื่นรมย์ต่อเรื่องเบาๆ เรียบๆ ง่ายๆ ได้เหมือนกัน



บันทึก:
• โชคดีที่ฉันไม่คาดหวังอะไรใหญ่โตจากหนังที่ทอม แฮงก์ โปรดิวซ์เอง กำกับเอง นอกจากนี้ ถึงทอมจะแก่ไปเยอะ แต่ยังคงเป็นผู้ชายมีเสน่ห์ในความรู้สึกของฉัน ส่วนจูเลีย โรเบิร์ตส นักแสดงที่เล่นบทไหนก็เป็นจูเลีย โรเบิร์ตส ก็ยังทำให้ฉันรักเธอได้อีกตามเคย
• หนังเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้อยากอยู่ 2 เรื่อง คือ ทำให้ฉันอยากเข้าชั้นเรียนอะไรสักอย่าง แล้วก็เรียนวิชานั้นร่วมกับเพื่อนให้สนุกไปเลย (บอกตรงๆ ว่าคิดถึงชั้นเรียนภาษาญี่ปุ่นกับเด็กๆ มาก) แล้วก็อยากไปถอยขี่เวสป้าออกมาขี่จริงๆ ...แต่แถวๆ นี้ คงทำไม่ได้มั้ง


วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เมตตา





แมวมาหา
ให้อาหาร
ฉีดยา ทำหมัน



(แมวอิสระตลาดพระโขนง และเจ้าของผู้เปี่ยมเมตตา, 4 มิถุนายน 2554)

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เผื่อจะเป็นแก้วตาดวงใจของใครบางคน




ฉันเคยรู้สึกขมขื่นใจเมื่อเห็น แต่ช่วยอะไรไม่ได้
วันนี้พบข้อมูลน่าสนใจใน facebook จึงถือวิสาสะนำมาบอกต่อใน multiply
ช่วยกันเถอะ ช่วยกัน
เพราะเด็กที่เห็นนั่งอยู่ริมถนนนั้นคู่ควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ มีความสุข และมีอนาคตที่ดีกว่านี้
ที่สำคัญคือ เขาอาจจะเป็นแก้วตาดวงใจของใครบางคนที่คุณรู้จักก็ได้


---------------------------------------------------------------------------------------------------------
โครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน ขอแนะนำวิธีการแจ้งเบาะแสการพบเห็นเด็กขอทานอย่างง่ายๆ ดังนี้
- พบเด็กขอทานจำนวนกี่คน / อายุประมาณเท่าไหร่ / มีบาดแผลหรือตำหนิตามร่างกายหรือไม่ พบเด็กขอทานอยู่บริเวณใด
- มีผู้ใหญ่นั่งอยู่กับเด็กด้วยหรือเด็กนั่งขอคนเดียว
- ความถี่ในการพบ เช่น ทุกวัน / นานๆครั้ง หรือพบครั้งแรก
- หากสะดวกถ่ายภาพให้ถ่ายเก็บไว้ เพราะจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือเด็กคนดังกล่าว
- สุดท้ายให้แจ้งชื่อและเบอร์ติดต่อกลับไว้ เพื่อสะดวกในการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
<<<<< ทุกข้อมูลของคุณสามารถช่วยเหลือเด็กขอทานได้ พบเด็กขอทานโทร.02-941-4194 หรือศูนย์ประชาบดีโทร.1300

(ข้อมูลจาก http://www.facebook.com/photo.php?fbid=10150251891755009&set=a.142611775008.113754.135097415008&type=1&theater )

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พร






บางคน
ขอพร
ให้ใครบางคน



(เทศกาลทานาบาตะจำลอง หน้าคัสตาร์ด นากามูระ, 5 กรกฎาคม 2554)

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สองคืนบนพิมาลัย



เขาทำตรงนี้ไว้สำหรับการถ่ายรูป
ไกลๆ เป็นเวิ้งอ่าวบากันเตียง บนผามีต้นไทรใหญ่ทางขวา ซ้ายมือถ่วงให้สมดุลด้วยสถาปัตยกรรมหอระฆังกลางสระ สร้างความต่อเนื่องของสีและมู้ดไปยังทะเลอันดามันเบื้องหน้า



จันทร์ที่ 20 และอังคารที่ 21 มิถุนายน 2554

ไปค้างคืนในพูลวิลล่า พิมาลัยรีสอร์ต แอนด์ สปา เกาะลันตา กระบี่
ที่ที่ทำให้สงสัยว่า "เจ้าของสถานที่กับสถาปนิก อีโก้ใครใหญ่กว่ากัน"


ตั้งชื่อว่าสองคืน'บน'พิมาลัย เพราะพิมาลัยตั้งเรียงรายอยู่ริมผา สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 50 เมตรได้ (หายกลัวสึนามิไปเลยทีเดียว)

หลงเงา






จันทร์ที่ 20- อังคารที่ 21 มิถุนายน 2554

กลางฤดูฝน แต่บางทีมีแดดจัด
ถ้ามัวแต่หยีตาก็จะมองไม่เห็นเงางามๆ ของกิ่งไม้ใบหญ้า

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สีของท้องฟ้าไม่เคยเหมือนเดิม







ท้องฟ้าด้านทิศตะวันตก เวลาเย็นๆ
ริมหาดบากันเตียง เกาะลันตา ทะเลอันดามัน

ตามหามรกตนคร



(คาดว่าใกล้ถึงกระบี่แล้ว)





จันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2554

บินไปตามหามรกตนคร



วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รักนะ..เจ้าโง่






อาทิตย์ที่ 12 มิุถุนายน 2554

สองปีก่อนหน้านี้หม่ามี๊ไม่เคยคิดถึงวันที่มีชีวิตร่วมกับแมว
แต่แล้วเดือนมีนาคม 2553 หม่ามี๊ก็หาญกล้า รับหมาน่อยมาเลี้ยงก่อน
ตัวเดียวไม่พอ-ขอสอง ปลายเดือนพฤศจิกายน 2553 ก็เลยไปขอรับมานี่มาเลี้ยงอีกตัว อ้างว่ามาเป็นเพื่อนกัน

แมวเป็นสิ่งมีชีวิต มีรายละเอียดอันซับซ้อนน่าสนใจไม่น้อย
จะเลี้ยงแมวให้อิ่มหมีพีมัน มีความสุขทั้งกายและใจไม่ใช่เรื่องหยาบๆ
เราคงต้องค่อยๆ ศึกษาและเรียนรู้กันต่อไปนะ-เจ้าโง่


ปล. วันนี้ครบรอบเดือนกับ 1 วันหลังจากหมาน่อยตกตึก อาการดีขึ้นเยอะ แม้เจ้าตัวยังไม่กล้าโดดขึ้นที่สูงในจังหวะเดียว แต่เริ่มซนจนหม่ามี๊เครียดแล้ว

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การตายและงานศพของฉัน

ประทุมพร วัชรเสถียร**


เมื่อชีวิตของฉันเดินทางมาถึงวันนี้ ฉันไม่มีความกลัวเรื่องความตายของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่สนใจว่าฉันจะตายเมื่อไร เหตุใดจึงตาย ตายแล้วจะไปไหน ฉันไม่สนใจใคร่รู้ทั้งนั้น รู้อยู่แต่ว่าฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ (อีกนานเท่าไรไม่ทราบ) ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และอย่างมีความสุขที่สุด

การทำชีวิตให้เป็นประโยชน์ที่สุด และมีความสุขที่สุดในทัศนะของฉัน น่าจะเป็นดังนี้คือ

๑.ปฏิบัติภารกิจในหน้าที่ให้ดีที่สุด สมบูรณ์ครบถ้วนที่สุด อย่างเต็มใจและอย่างสนุกที่สุด ภารกิจใดถ้าคิดว่าต้องฝืนใจทำ ทำแล้วไม่สนุก ทำแล้วเกิดความทุกข์ เกิดความกดดัน ทำให้เคร่งเครียด ฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุด

ฉันมีวิธีเลือกภารกิจของฉันดังนี้คือ

๑.๑ ทำงานชนิดที่ชอบ ทำด้วยใจรัก ทำแล้วสนุก ทำแล้วมีความสุข

๑.๒ ทำงานที่ให้ประโยชน์แก่เพื่อนร่วมโลก

๑.๓ ทำงานที่ให้ค่าตอบแทนเป็นเงินตรา หากฉันยังคงมีความต้องการด้านนี้

๑.๔ ทำงานที่ให้ความสุขแก่ผู้อื่น แม้จะไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ก็ตาม (แต่ต้องไม่ผิดกฎหมาย และผิดศีลธรรม)

๒. คบคนที่คบแล้วทำให้จิตใจสบาย ร่าเริง เบิกบาน เปิดสมองและโลกทัศน์ ฉันไม่กลัวว่าจะมีเพื่อนน้อย หากเพื่อนเพียง ๒ – ๓ คน ที่ฉันคบสนิทด้วยทำให้ฉันสบายใจ ผู้ใดที่ทำให้ฉันรกตาด้วยภาพ รกหูด้วยคำพูด รกใจด้วยเรื่องร้าย ฉันขออยู่ห่างที่สุด

๓. สิ่งใดที่ฉันคิดว่าเป็นสิ่งดีที่ควรทำ ฉันจะไม่ผลัดวันประกันพรุ่งอีกต่อไป เช่น

๓.๑ เขียนจดหมายถึงเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานาน หรือติดต่อนัดพบกับเขา หากทำได้

๓.๒ ไปเยี่ยมผู้ใหญ่อันเป็นที่รักและเคารพ ซึ่งมิได้เยี่ยมเยือนมานาน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่มีใครเหลียวแล

๓.๓ อ่านหนังสือที่เคยคิดอยากอ่าน หรือหยิบมาเตรียมไว้ แต่ยังไม่เคยมีเวลาเปิดอ่าน

๓.๔ ตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อออกไปเดินเล่นท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ในสถานที่เหมาะสม เช่น สวนสาธารณะ หรือเดินชมกรุงเทพฯ ย่านที่ฉันเคยรู้จักและอยากกลับไปฟื้นความหลังอีก หรือย่านที่ไม่รู้จัก แต่อยากทำความรู้จัก ในฐานะที่ฉันเป็นชาวกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เกิด

๓.๕ ส่งเงินหรือสิ่งของไปช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน โดยผ่านตัวแทนที่เชื่อใจได้ว่าจะนำความช่วยเหลือของฉันไปถึงตัวบุคคลที่ต้อง การ (หากให้โดยตรงไม่ได้)

๓.๖ อ่านหนังสือธรรมะ หรือฟังข้อคิดทางธรรมะเป็นประจำ และปฏิบัติตามนั้น จะเป็นธรรมะของศาสนาใดก็ได้ ธรรมะที่ช่วยแก้ปัญหา อ่าน/ฟัง แล้วใจสบายนั้นคือธรรมะที่ถูกต้อง ธรรมะใดที่อ่าน/ฟังแล้วหนักใจ ทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยโมหะ สร้างความแตกแยก นั่นมิใช่ธรรมะ

๔. หากร่างกายและจิตใจของฉันอำนวย ฉันอยากมีอาชีพเป็นนักเขียนจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตของฉัน ฉันอยากเขียนเรื่องทุกชนิดที่มีสื่อเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย บทความ เรื่องท่องเที่ยวจากประสบการณ์ คอลัมน์ประจำ บทวิจารณ์ หรือการตอบจดหมายแนะแนวทางแก้ไขปัญหาชีวิต รวมทั้งเรื่องธรรมะและการอบรมกล่อมเกลาจิตใจ และพฤติกรรมของมนุษย์

๕. ฉันจะรู้จักมี “มุมชีวิต” ของตัวเอง หมายความว่า ฉันจะต้องรู้ข้อจำกัดของบทบาทของฉันว่าควรยุ่งเกี่ยวกับชีวิตคนอื่นมากน้อย เพียงใด และควรพอใจบทบาทความเป็น “คนนอก”ของตัวเองเพียงใด ฉันจะต้องรู้ว่า ไม่ว่าฉันจะเป็นภรรยา หรือแม่ หรือพี่ หรือย่า หรือยายของผู้ใด ฉันย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต ของคนเหล่านั้น หากฉันถูกขอคำปรึกษาหารือ ฉันจะให้คำปรึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉันจะไม่โกรธเคือง หรือเก็บเอามาเป็นอารมณ์ หากบุคคลเหล่านั้นไม่ปฏิบัติตามข้อแนะนำของฉัน ฉันจะมีแค่ หูเปิด ตายิ้ม ปากปิด ต่อพวกเขาเหล่านั้น

๖. ฉันจะไม่ “แบกโลก” ฉันจะไม่เป็นคนเจ้าทุกข์ ฉันจะไม่ทุกข์เกินขนาดที่ควรทุกข์ ฉันจะต้องเตือนใจตัวเองว่า

- ฉันจะไม่ทุกข์ต่อเรื่องที่แก้ไขได้ เพราะหากฉันสามารถแก้ไขได้ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมีความทุกข์

- ฉันจะไม่ทุกข์ต่อเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เพราะต่อให้ฉันทุกข์จนหน้าไหม้ใจขมไปหมด ฉันก็ยังแก้ปัญหานั้นไม่ได้ แล้วฉันจะปล่อยให้ความทุกข์มาครองใจฉันจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตของฉันด้วย ประโยชน์อันใด

๗. ฉันจะไม่โกรธ ฉันจะไม่โมโห เพราะความโกรธคือความโง่ ความโมโหคือความบ้า ฉันจะไม่เตรียมตัวตายอย่างคนโง่และคนบ้า

 

ก่อนฉันจะตาย

  1. หากฉันตายโดยกะทันหัน เช่น อุบัติเหตุใหญ่ หรือหัวใจวายเฉียบพลันก็แล้วไป โปรดจัดงานศพของฉันดังที่ฉันจะได้เขียนต่อไป
  2. หากฉันเจ็บไข้ด้วยโรคที่รักษาไม่ได้ ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียง หรือไม่รู้สึกตัว ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยสายระโยงระยาง และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ฉันขอร้องว่าอย่าเสียเวลาและเสียเงินเพื่อฉันมากมายอย่างนั้น ขอให้ใช้เวลาดูอาการของฉันไม่เกิน ๑ เดือน ต่อจากนั้นขอให้ยุติการต่อชีวิตฉันด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โปรดอนุญาตให้ฉันจากไปด้วยวิธีธรรมชาติที่สงบที่สุดเถิด
  3. หากฉันมีโรคภัยชนิดที่ทำให้ต้องเจ็บปวดทุรนทุราย และร้องครวญคราง ขอให้บอกแพทย์ให้ใช้ระงับความเจ็บปวดแก่ฉัน ในอัตราที่ฉันจะสงบทั้งความเจ็บปวดและเสียงครวญครางของฉันได้อย่างราบคาบ แม้ว่าวิธีนั้นจะทำให้ฉันตายเร็วขึ้น ก็ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าชีวิตของฉันที่ผ่านมา ฉันใช้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมและชีวิตมนุษย์รอบตัวฉันมากพอที่ฉันไม่ควรจะ ต้องได้รับความทรมานในบั้นปลายของชีวิตเช่นนั้น
  4. ก่อนฉันตาย ฉันอยากเห็นหน้าญาติมิตรและเพื่อนรักของฉัน และเพื่อนที่รักฉัน แต่ถ้าการมาหาฉัน ทำให้พวกเขาเสียเวลา หรือไม่สบายใจที่ต้องมาเห็นฉันในสภาพที่ผิดไปจากคนเดิมที่พวกเขาเคยเห็น เขาจึงไม่มาหาฉัน ฉันก็จะไม่โกรธ ไม่น้อยใจ จะไม่บ่นว่าอย่างใดเลย ในสภาพและวาระสุดท้ายเช่นนั้น ฉันควรจะต้องรู้จักให้อภัย และมีความเข้าใจต่อทุกสิ่งที่ว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมเกิดมาจาก “เหตุ”อันมี “ตรรกะที่เข้าใจได้” ทั้งสิ้น

 

งานศพของฉัน

          ฉันได้อุทิศร่างกายและดวงตาให้แก่โรงพยาบาลที่มีวิทยาลัยแพทย์เรียบร้อยแล้ว

          ฉันไม่อยากรบกวนญาติมิตร เพื่อนฝูงให้ต้องมาลำบาก เพราะความตายของฉัน เช่น ลำบากเดินทางมางานของฉัน ลำบากเสียเงินซื้อพวงหรีด หรือดอกไม้ หรือเสียเงินใส่ซอง

          อย่างไรก็ตาม ฉันก็ไม่อยากจะหายไปจากโลกนี้อย่างเงียบเชียบจนเกินไป มันดูเหงาพิลึก!

          ฉันอยากขอร้องผู้ที่อยู่ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิท หรือมิตรสหายที่รักชอบฉัน ให้ช่วยระลึกถึงการตายของฉัน ดังนี้

          ๑. ช่วยแจ้งแก่วิทยุที่มีบริการประกาศข่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายถึงข่าวตายของ ฉัน เพื่อคนรู้จัก เพื่อนฝูง ญาติที่ไม่เจอกันนานๆ จะได้ทราบว่าฉันไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว

          ๒. หากญาติมิตรคิดจะจัดงานระลึกถึงฉัน อยากให้หาสถานที่มารวมกันสักครั้งหนึ่ง เพื่อพูดคุยถึงฉันและผลงานของฉัน ไม่ต้องแต่งดำ ฉันอยากให้คนเหล่านั้นใส่เสื้อผ้าสีสวยๆ และนึกถึงฉันอย่างมีความสุขที่สุด ไม่ต้องชมเชยฉัน (และผลงานของฉัน) หรอก ตำหนิก็ได้ แต่อยากให้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างผู้ที่เคยรู้จักฉันสักครั้งหนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้นเป็นพอ อย่าลืมว่าเมื่อฉันมีชีวิตอยู่ เราเคยมีความสุข สนุกรื่นเริงด้วยกัน ขอโอกาสอย่างนั้นให้แก่ฉันเป็นครั้งสุดท้ายเถิด

          และถ้าไม่ “เวอร์” จนเกินไป ฉันอยากให้มีเพลง In The Monastery Garden ของ A. Ketelbeyเปิดคลอไปด้วย เพราะฉันชอบเพลงนี้มาก ทำนองเพลงนี้มีบรรยากาศเหมาะแก่การส่งดวงวิญญาณไปสู่สถานที่แห่งใหม่ (ซึ่งน่าจะสวยสดและเย็นฉ่ำ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร)

          ๓. ฉันคิดว่า เมื่อฉันตายไปแล้ว ผู้ที่อยู่ข้างหลังคงไม่เดือดร้อน เพราะฉันไม่มีหนี้สินอะไร และพินัยกรรมฉันก็ทำไว้แล้ว ผู้ที่ได้รับสิ่งของจากฉันตามพินัยกรรมนั้น หากไม่พอใจ (เพราะน้อยเกินไป) ฉันต้องขอโทษด้วย เพราะฉันไม่ใช่คนรวย ฉันรับราชการด้วยความสุจริต รับแต่เงินเดือนมาตลอดชีวิต รายได้พิเศษของฉันก็มีเพียงจำกัดจากการเขียนหนังสือเท่านั้น หวังว่าผู้ที่ได้รับมรดกจากฉันคงเข้าใจ

          ๔. ฉันเตรียมบทความที่เขียนเอง (และเคยตีพิมพ์มาแล้ว) ไว้จำนวนหนึ่ง ถ้านำมารวมกันในเล่มเดียวจะเป็นการเล่าประวัติของฉัน และวาดภาพสังคมไทย (ในวงที่จำกัด) ช่วงหนึ่ง ฉันหวังว่าคนที่อ่านคงจะสนุกเพลิดเพลินและได้รับประโยชน์บ้าง หากเงินสวัสดิการต่างๆ ที่เป็นสิทธิ์ของฉันยังมีเหลืออยู่บ้าง ฉันอยากให้ญาติมิตรคนใดก็ตามช่วยจัดพิมพ์หนังสือนั้นให้ฉันด้วย ภายใต้ชื่อว่า “พาดผ่านกาลเวลา” คิดว่าพิมพ์เพียง ๒,๐๐๐ เล่มก็เกินพอแจกญาติมิตรและคนรู้จักที่ต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้ ขอให้จัดส่งไปยังห้องสมุดต่างๆ สักจำนวนหนึ่งด้วย

          ทั้งหมดที่ได้เขียนมา คงจะเพียงพอแล้วสำหรับที่ฉันจะบอกแก่คนใกล้ชิดว่า ฉันอยากให้วาระสุดท้ายของฉันมีการเตรียมการอย่างไรบ้าง ความจริงวิธีที่ดีสุดก็คือ ฉันไม่ควรกระทำการคล้ายกับ “เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง”เช่นนี้เลย แต่ฉันเกรงว่า หากไม่บอกแจ้งไว้เช่นนี้แล้ว ผู้ที่หวังดีต่อฉัน อาจต้องเสียแรง เสียเวลา และเสียเงินทองเพื่อฉัน โดยที่มิได้เป็นความปรารถนาของฉันเลย ฉันจึงควรบอกไว้เช่นนี้จะดีกว่า

          ท้ายที่สุดนี้ ฉันขอให้ทุกคนที่เคยโกรธฉัน หรือไม่พอใจฉันด้วยเรื่องอะไรก็ตาม จงอโหสิให้แก่ฉัน และขอให้เข้าใจว่าฉันไม่เคยตั้งใจหรือวางแผน ทำให้ผู้ใดโกรธ หรือเสียใจ หรือน้อยใจเลย หากสิ่งนั้นเกิดแก่ผู้ใดอันเนื่องมาจากฉัน ขอได้โปรดรับทราบว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดจากความโง่เขลาของฉันโดยแท้จริง ที่ทำให้ฉันตาบอด และใจบอด จนไม่สามารถมองเห็นและหยั่งไม่ถึงความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น ขออโหสิแก่ฉันด้วยเถิด...

          คำสุดท้ายที่ฉันอยากจะบอกแก่ใครๆ ก็คือ ขอให้ทุกท่านจงมีชีวิตที่ตั้งอยู่ใน “ธรรมะ” ไม่ว่าจะเป็นธรรมะของศาสนาใด หรือธรรมะจากธรรมชาติของโลก การเข้าถึงธรรมะได้อย่างแท้จริง คือการปฏิบัติตามธรรมะ จนธรรมะนั้นเกิดผลตรงตามเจตนารมย์ของธรรมะนั้นๆ ธรรมะทำให้จิตเป็นกุศล เมื่อจิตเป็นกุศลแล้ว เราจะมีความสุข และจะรู้จักแผ่สุขให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย

          ฉันดีใจที่ได้เกิดมา และได้รู้จักท่านทุกคน

            ขอขอบใจทุกท่านที่ยินดีเป็นเพื่อนของฉัน และช่วยเหลือเกื้อกูลฉัน

            ขอขอบพระคุณท่านที่เคยมีบุญคุณแก่ฉัน

            ขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับท่านที่คิดว่าเป็นเพื่อนกับฉันแล้วท่านสนุกและได้ รับประโยชน์จากการพบปะ พูดคุย หรือปรึกษาหารือกับฉัน

ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านทุกคน

 

**ประทุมพร วัชรเสถียร เป็นอดีตรองอธิการบดี และรองศาสตราจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนอกจากเป็นอาจารย์แล้ว ยังเป็นนักเขียนเจ้าของนามปากกา“ดวงใจ” รวมถึงคอลัมนิสต์ พิธีกร นักจัดรายการวิทยุ และในปี พ.ศ.๒๕๔๙ หลังการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน รศ.ประทุมพรได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้วย ทั้งนี้ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งปากมดลูกเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ที่ผ่านมา

**คัดข้อความจาก http://www.teenpath.net/content.asp?ID=13220

**ภาพพอร์เทรตอันสวยงามจาก http://people-space.blogspot.com/2010/12/in-memory.html

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เล่นคนเดียว





เช้าวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2554

ระหว่างที่ หมาน่อย แมวช่างคิด งีบหลังไปอาหารเช้า
มานี่ แมวมีจินตนาการ เล่นคนเดียว กับดอกกก ของเล่นโปรดของหนุ

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยินดีที่ได้พบกัน






อายุ
ไม่ใช่้อุปสรรค
ของความฝัน



ยินดีที่ได้พบกัน "กรรมกรกวี" วัยหลังเกษียณ ผู้ไม่ย่อท้อต่อความฝันที่จะคิด และเขียน

แมวสอนว่า : แมวก็มีจินตนาการ

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Code Blue : คุณค่าของเวลาที่เหลืออยู่

Rating:★★★★
Category:Other

หมอนักเรียนทุน 4 คน มาถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อฝึกงานเป็นหมอกู้ชีพที่จะเดินทางไปกับเฮลิคอปเตอร์เมื่อมีการร้องขอ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ขึ้น ฮ. แต่ต้องเป็นคนเก่ง ตัดสินใจได้เฉียบขาด และมีฝีมือ ทั้งสี่จึงแสดงแสนยานุภาพประชันกันเต็มที่

ฉันเกือบจะเอือมอีโก้และการชิงดีชิงเด่นของหมอหนุ่มสาวพวกนี้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ถ้าไม่ไปเจอประเด็นน่าสนใจมากๆ เข้า


จริงๆ จะเรียกว่าเป็นการค้นพบพร้อมๆ กับตัวละครก็ได้ ว่าสาระสำคัญของการที่อาจารย์หมอกดดันลงมาให้หมอฝึกหัดแต่ละคนเข้มงวดเคี่ยวเข็ญกับตัวเอง ฝึกฝนทักษะ เรียนรู้ที่จะก้าวข้ามความเจ็บปวดจากความผิดพลาดใหญ่โตไปให้ได้โดยยังมีหัวใจอันเข้มแข็งนั้น แม้ส่วนหนึ่งจะเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเก่งจริง ควรค่าแก่การยอมรับจากคนอื่นจริงๆ แต่ก็ยังจำเป็นต้องเก่ง เพื่อที่จะได้ช่วยชีวิตคนอื่นด้วย

มันน่าคิดดี

ในขณะที่คนบางคนพยายามสุดแรงเกิดที่จะยื้ออีกชีวิตไว้ จะได้มาอีกสัก 3 ปี ครึ่งชั่วโมง หรือเพียงแค่ 10 นาที ก็ยังเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ใช้ร่วมกับคนที่รัก ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก หรือได้สะสางสิ่งที่ยังค้างคาให้สมบูรณ์ ..เราเสียอีกที่หายใจทิ้งไปวันๆ ชินกับการมีชีวิตจนลืมคุณค่าของเวลาที่ยังเหลืออยู่ไปเสียอย่างนั้น


บันทึก :
• ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่คนหน้าตาดี นำเสนอเรื่องราวสนุก เร้าใจ ใช้ศิลปะในการนำเสนอภาพสมจริงบนเตียงผ่าตัดโดยไม่โหดร้ายเกินไปต่อสายตา แต่ยังมีแง่มุมชวนคิดเกี่ยวกับความภาคภูมิใจที่ได้ทุ่มเททำงานและเสียสละเพื่อคนอื่นด้วย (มีสาระตลอดเลยหรอนี่?)
• เพื่อนเลิฟที่ให้แผ่นซีรีส์ Code Blue มา คงเข้าใจว่าฉันชอบยามะพี (Yamashita Tomohisa) นะ...ก็ไม่ได้เกลียดหรอก แต่ Operation Love ซีรีส์เรื่องเดียวที่เคยดูยามะพีเล่นก็ไม่ถึงกับทำให้รัก
• ที่ไหนได้ หลังจากเริ่มดู Code Blue ก็เริ่มรักยามะพีขึ้นเรื่อยๆ นึกนับถือว่านักแสดงญี่ปุ่นนี่มันช่างทุ่มเทจริง เป็นหมอเหมือนหมอ เป็นพยาบาลเหมือนพยาบาล ไม่มีใครมีท่าทางเก้งก้างเกะกะขวางตาน่ารำคาญเลย
• ซีรีส์เรื่องนี้สร้างขึ้นมาจากมังงะอีกไหม ทำไมบทที่ยามะพีเล่นถึงได้เหมือนกับถูกเขียนขึ้นมาให้เขาเล่นขนาดนี้
• ไม่รู้ขาประจำซีรีส์ญี่ปุ่นเคยสังเกตเหมือนกันไหมว่าผู้กำกับเขาชอบให้ตัวละครวิ่งกันจังเลย
• การวิ่งมันเป็นสัญลักษณ์อะไรสำหรับคนญี่ปุ่นนะ หรือเพราะมันแค่สวย และดูมี dynamic ?

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ถ้าไม่มาตามนัดแล้วเราจะนัดกันไปทำไมคะ?

ลาภปาก!


(ขอบคุณค่ะพี่บุ๋ม เพื่อนๆ ชอบมากเลย)



พฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2554

ได้รับของกินจากเชียงใหม่ตั้งแต่วันวาน
เปิดกล่องดู มีหมีพูห์อยู่ในนั้นด้วย!


ปล.ขอบคุณค่ะพี่บุ๋ม :)

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ดอกไม้ริมทาง





อังคารที่ 24 พฤษภาคม 2554

พอจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง
เลยหยิบโทรศัพท์ออกมาเก็บภาพดอกไม้ริมทางระหว่างไปทำงาน

อย่าเพิ่งติว่ารูปไม่สวย แต่โปรดมองให้ลึกถึงจิตวิญญาณในการสู้ชีวิตอันแสนพิสุทธิ์ของพืชบนดาวเคราะห์โลกเหล่านี้