วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ความลึกลับของความรู้สึก

เกิดมาเป็นคนจะทุกข์หรือสุขมันก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนี่แหละ

โดยเฉพาะความรู้สึกที่เป็นผลจากความรัก 

 

นึกถึงความรู้สึกตอนเด็กๆ ตอนกรี๊ดรุ่นพี่สุดเท่ห์ (โมเมนท์นี้พี่เขาก็ได้เปลี่ยนไปนิดหน่อยอะนะ)

ตอนนั้นความสุขมันอยู่ที่การแอบกรี๊ดแบบลับๆ การได้เห็นเขาเดินมาไกลๆ ได้ใจเต้นตึก-ตึก-ตึก แค่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวตัวเดียวกัน ในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยแมงวันของวิทยาเขตชานเมือง ได้ลงมือทำของพิลึกพิลั่นอย่างถักหมวก (ที่พี่เขายังใช้เป็นมุกมาอำเราจนกระทั่งบัดนี้-อายชิบ)

จนวันนึงเมื่อเห็นเขาเดินเคียงข้างสาวผมยาว ผอมบาง (แบบที่เราไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้เลย) ใจก็เศร้าแป้วลง


อีตอนมีแฟนคนแรก ความรู้สึกมันไม่ใช่ความรักแรกพบอะไรอย่างนั้นหรอก แต่มันคือความปิ๊ง แค่ความประทับใจสั้นๆ ที่เขาคงไม่ได้ตั้งใจ บวกกับความอยากรู้อยากลอง ว่ามีแฟนแล้วมันจะเป็นยังไง

เราก็ได้มีแฟน

ก็คบกันไป เป็นแฟนกันได้ตั้ง 3 ปี เพื่อจะมีความรู้สึกว่า 'อย่างนี้มันไม่ใช่นี่หว่า'

ในจังหวะเดียวกับที่ไปเจอกับความรักเข้าพอดี


ไม่รู้อะไรที่ดึงดูดเราเข้าหาเขา

สงสัยจะเป็นความรัก

ความรักครั้งแรก ที่ไม่ได้มีให้กับแฟนคนแรก (เอ๊ะ-แปลกไหม)

ช่วงนี้แหละที่ได้เข้าใจว่าการคิดถึงใครคนหนึ่ง 'ทุกลมหายใจเข้าออก' น่ะมันเป็นไง

ได้ประสบกับตัวเองว่าคนประเภทไหนกันที่มันโทรหากันได้วันละหลายๆ ครั้ง

คุยกันนานเป็นชั่วโมงๆ ก็ยังไม่หมดเรื่องจะคุย

แล้วก็ได้พบว่า เมื่อเราเข้าใจว่าเรารัก เรามีความรัก เมื่อนั้น เราจะทำได้ทุกสิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ในสายตาเพื่อน หรือเรื่องที่ทำให้เพื่อนเข้าขั้นเป็นห่วงก็ทำมาแล้วทั้งสิ้น

(นึกถึงในตอนนี้แล้วก็ให้ละอายใจไม่น้อยอยู่)

6 ปีของวัยสาวไม่ใช่เวลาน้อยๆ แต่เราก็ผ่านมันมาแล้ว อย่างมีรสชาติสุดๆ ทั้งสูงสุดและต่ำสุด ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย

ได้รู้ว่าโลกนี้สวยแค่ไหนเมื่อใจมีรัก

รวมทั้งได้รู้ถึงศักยภาพในตัวของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังรักผู้ชาย

แต่แล้วเราก็เลือกที่จะจบช่วงเวลานี้ด้วยตัวเอง เพราะเหตุผลสั้นๆ มีอยู่ว่า แม้เราจะรักเขา โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แต่เราก็ต้องรักตัวเอง และรักคนที่รักเราด้วยเหมือนกัน


ช่วงเวลานั้นเองที่ได้รู้จักผู้ชายอีกคน

จะเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนในสเปค หรือเพราะยังเจ็บปวด ใจยังไม่พร้อมจะรัก หรืออะไรก็ตามแต่ จำได้ว่าได้บอกเขาไปว่าเราไม่ได้ชอบเขา ไม่ได้อยากมีแฟน ไม่ต้องมาดูแล-เรียกว่าปิดประตูใจทุกทาง

แต่เหมือนมีกรรม เพราะเขาชอบเรา เขาต้องการจะมีผู้หญิงของเขาเป็นคนแบบเรา

เขาก็เลยตื๊อ ไม่ยอมไปไหน

จนเราชินกับการมีเขา จนเรางง แยกไม่ออกระหว่างความรู้สึก 'รัก' กับความ 'ชิน' ที่มีเขา

แล้วเราก็ต้องเศร้าอีกครั้ง เมื่อได้ข้อสรุปว่า คนที่น่าจะเป็นคนรู้จักและเข้าใจกันที่สุด กลับกลายเป็นคนไม่(เคย)รู้ใจไปเสียได้

ใช่ เราสองคนไม่เคยเข้าใจกันเลย เมื่อคนหนึ่งพูด อีกคนไม่เคยฟัง แถมไม่มีใครยอมใครอีกต่างหาก

อย่างงี้จะไปรอดได้ไง ไม่มีทาง

เรื่องก็เลยจบเห่อีกหน

(สม-ไม่เชื่อเรื่องดวงชงกันก็ต้องเจออย่างนี้แหละ)


คราวนี้ไม่มีใครมาเป็นตัวช่วย เราก็อยู่ของเรามาได้ อย่าง wiser เสียด้วย เพราะเราคิดว่าเราเข้าใจความลึกลับของความรู้สึกแล้ว  ว่าสุขและทุกข์จากความรักเกิดขึ้นได้อย่างไร

ด้านมืด และด้านสว่างของความรัก ต่างกันแค่ไหน


อยู่เป็นโสดไม่มีใครเป็นเจ้าของหัวใจมาพักใหญ่ มันก็มีความสุขดี

ทั้งตัวและหัวใจเป็นของเรา อยากจะทำอะไร ไปไหน ยังไง กินอะไร ไม่กินอะไร เกลียดหัวหน้าพรรคไหน หรือจะเลือกใคร ก็แล้วแต่เรา

จนเราเกือบเชื่อแล้วว่าชีวิตนี้ที่เหลือคงจะได้อยู่อย่างนี้แหละ

อย่างมีความสุขแบบคนโสด


แต่

ตลกดีนะ ที่สิ่งรู้ใจเราไม่ใช่คน แต่เป็น ไพ่ทาโรต์

4 วันก่อนมีโอกาสเปิดไพ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แม่หมอให้คิดคำถามไว้ในใจ ก็คิดไว้แค่ 2 ข้อ หนึ่งในนั้นคืออยากรู้ว่าจะมีไหม แฟนน่ะ

ปรากฏว่ามีใบหนึ่ง ปรากฏ ณ ตำแหน่งหนึ่งบอกอย่างชัดเจนว่า

อยากมีครอบครัว

(จำได้ว่ายังเถียงแม่หมอเสียงแข็งว่าไม่ได้อยากมีครอบครัวซะหน่อย-แค่อยากมีแฟนเอง)


ก็

บางทีมันก็เหงาๆ อยากจะมีเพื่อน(ที่ไม่ใช่เพื่อน)เป็นเพื่อนไปโน่นมานี่ กินข้าวด้วยกันเป็นบางวัน ดั้นด้นไปเที่ยวในที่ที่ไม่มีเพื่อนหญิงอยากจะไปด้วย ช่วยกันดูดาว มองเห็นดอกหญ้าดอกเดียวกัน กินเบียร์กับเราโดยที่เราไม่ต้องกังวลว่าเมาแล้วจะไปลวนลามผู้ชายที่ไหน เอาไว้เป็นคนที่จะโทรหาก่อนพบหมอฟัน หลังจากทำแก้วแตกติดกัน 3 ใบ ไว้ช่วยตัดสินใจตอนเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อคอนเวิร์สสีอะไร  เป็นคนแรกที่จะโทรหาในวันรัฐประหาร คุยกันเรื่องหนังสือที่อ่าน แลกกันฟังเพลงโปรด ถกเถียงกันถึงสารที่ซ่อนอยู่ในละครหลังข่าว และอย่างน้อยหนังอินดี้เรื่องที่เขาอยากดูก็จะไม่ทำให้เราต้องดอย่างขมขื่นใจ
ขอแค่เนี้ย โดยที่ไม่สนใจจะคิดเลยว่า ต่อจากนี้จะเป็นยังไง
สินสอดกี่บาท แหวนกี่กะรัต จะให้ใครทำเว็ดดิ้งออกาไนเซอร์ จัดงานที่ไหน ให้ใครถ่ายรูป ค่าใช้จ่ายในบ้านจะจัดการยังไง ลูกคนแรกจะเป็นชายหรือหญิงดี และจะคลอดเองหรือผ่าคลอด

แต่ว่า

จะมีจริงหรอ คนคนนั้น คนที่จะคุยเรื่องเดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง ยอมฟังกัน แล้วก็ยอมกัน


เฮ่อ...

ถ้าคุณมีตัวตนจริงๆ นะ คุณ Ace of Cups,

ช่วยรีบปรากฏตัวด้วยนะ


ช่วงนี้อากาศมันชักจะหนาวมากขึ้นๆ ทุกวันด้วยซี






Turtle's house

http://lonelyturtle.spaces.live.com/
อีกบ้านนึงของหนูเต่าเหงา
(บ้านเยอะซะจริ๊ง)

The Trouble with Being Myself

http://khunmois.spaces.live.com/
บ้านเก่าเดี๊ยนเอง

A piece of time

http://www.lonely-turtle.blogspot.com/
บล็อกน้อยของน้องเต่าเหงา

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

life as a bangkokian


ดิฉันมีลิ้นอเมริกันนะ
ไม่เชื่อก็ดูสิ

ปฏิบัติการ spy on ชีวิตชาวกรุง

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Introducing mi compañera de dormir

ในที่สุด ก็ได้มาแล้ว

Splint หรือเฝือกสบฟัน สำหรับบรรเทาและเยียวยาอาการนอนกัดฟันเพราะเผลอไผล ความเมามัน ความเครียด หรืออะไรก็ตาม

มันเป็นพลาสติก (เรซิ่น?) ใสๆ ที่หล่อขึ้นเพื่อล็อก-ครอบแถวฟันบนเอาไว้ เราจะสวมเฝือกก่อนนอน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันแถวล่างและบนมันบดเคี้ยวๆ เข้าหากันจนฟันสึกกร่อนๆ และอาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ในวันหน้า

นอกจากเพื่อป้องกันฟันสึกมากกว่าเดิมแล้ว เห็นหมอบอกว่าที่มันช่วยให้คนนอนกัดน้อยลงได้ก็เพราะ เมื่อมีวัตถุมากั้นกลางระหว่างฟันบนและล่าง การกัดก็จะน้อยลงเอง

(เข้าใจถูกหรือป่าวก็ไม่แน่ใจ ใครมีความรู้ทางทันตแพทย์ช่วยสงเคราะห์หน่อยละกัล)

ประหลาดดีเวลาตอนที่หมอเอาเฝือกมาครอบฟันให้ในครั้งแรก

มันอาจจะคล้ายๆ กับเวลาคนเราใส่ถุงน่องแบบซัพพอร์ตแบบเต็มตัวครั้งแรก กล่าวคือมันจะรู้สึกฟิตม้ากกกกก แน่นมาก ตายละ เลือดจะไหลไปเลี้ยงปลายเท้าชั้นได้ไหมเนี่ย??? อารายอย่างนั้น

แต่พอใส่ไปสักแป๊ปก็จะชินๆ แล้วรู้สึกว่า โอว์ สบายดีนะ กระชับขาดี 

ย้อนกลับไปที่ความรู้สึกกับเฝือก เมื่อหมอจัดการครอบใส่เฝือก โดยการกดให้มันลงล็อกกับรูปร่างฟันเราดัง “กรึ๊บ”

ปุ๊บนั้น คนไข้ก็ตัวกระตุกเฮือก เพราะความปอดแหก

คุณหมอค่อนข้างขวัญอ่อน ก็เฮือกตาม ก่อนจะละล่ำละลักบอกว่า ไม่เป็นไรนะคะๆๆๆๆ (กลัวคนไข้โวยวายสุดๆ)

หมอขา มันคับๆๆๆๆ อ่า (เสียงอู้จัดเพราะพูดผ่านเฝือก)

ว่าแล้วหมอก็แกะออกไปดัง “แกร่ก”

แล้วจัดการเจีย (หลักการเดียวกับการใช้กระดาษทรายตะไบเล็บให้เข้าทรงน่ะจ่ะ) ให้สัดส่วนตรงนั้นนี้มันใกล้เคียงฟิตพอดีกับฟันบนและการกัดของฟันล่าง แล้วก็จัดการสวมอีกครั้ง ตรวจจุดเสียดสีสัมผัสด้วยวัสดุคล้ายๆ กระดาษก๊อปปี้ แล้วก็เอาออกมาเจียแก้อีก ใส่อีก ออกมาเจียอีก

ทำซ้ำอย่างนี้เกือบสามสิบรอบ

(เว่อร์น่ะ จริงๆ แค่ประมาณ 12)

ในที่สุดก็ได้เฝือกเฟสแรกที่หมอดูแล้วว่าฟิตพอดี แล้วก็น่าจะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว จึงอธิบายวิธีดูแลเฝือกคู่กาย โดยการแปรง-ใช่เหมือนแปรงฟันเลย ต้องใช้ยาสีฟันด้วย เพื่อทำความสะอาด ทั้งก่อนและหลังใส่ จากนั้นก็แช่มันไว้ในน้ำ เพื่อไม่ให้มันเปราะแตก (เหมือนฟันปลอมเลยอ่า)

(ไม่ต้องรอให้หมอสั่งเลยว่าให้ดูแลดีๆ เพราะคนไข้ตั้งใจจะดูแลดีๆ ให้เท่ากับแปรงฟันดีๆ เชียว ก็คนไข้ไม่อยากพิมพ์ฟันบ่อยๆ เนื่องจากมันสยึ๋มกึ๋ยสุดๆ อีกอย่าง เครื่องมือ ชิ้นนี้-ตามคำเรียกของหมอ-มันแพงจะตาย แพงกว่ามือถืออันที่ดิฉันใช้อยู่อีกนะคะหมอขา)

พอจะนอน แปรงฟันเรียบร้อยก็แปรงเฝือก แล้วก็ใส่เฝือก คืนแรกหมอบอกจะรู้สึกน้ำลายเยอะหน่อยนะคะ อาจจะรู้สึกปวด ลองทนดู คืนที่สองน่าจะปวดน้อยลงนะคะ แต่ถ้าปวดมากก็ไม่ต้องใส่ เอาแช่น้ำไว้ คืนก่อนวันนัดมาหาหมอเอามาใส่อีกที จะได้รู้ว่าเฝือกทำให้ปวดตรงซี่ไหน หมอจะได้เจีย แก้ไขให้พอดี ใส่ไม่ปวด

จากนั้นหมอก็จะนัดมาดูรอยกัดที่ทิ้งไว้บนเฝือก ว่าอาการน้อยลงไหม (ไม่ควรจะมากขึ้นนะ) ถ้าเฝือกสึก หมอเติมให้กัดใหม่ได้อีกตะหาก


ด้วยเหตุนี้เอง ต่อจากนี้ ไม่ว่าจะมีเพื่อนนอนหรือไม่ ดิฉันก็จะมี Sleeping Companion เป็นเฝือกกัดฟันคู่ชีพอันนี้แหล่ะจ้ะ


ป.ล. ขอโทษถ้ารูปดูฮาร์ดคอร์ไปหน่อย ไม่ได้ปรับเข้าโหมดสีปกติ ลองสังเกตดูนะ ไอ้ใสๆ ที่ครอบฟันบนอยู่น่ะ ครอบแล้วนอนปากเจ่อๆ เหมือนแก้วหน้าม้าหลับเลย-จะบอก

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

รายงานล่าสุด..บางลำพูยังเหมือนเดิม

วันนี้มีความสุขจัง

สัปดาห์แห่งการทำงานใช้กรรมได้ผ่านพ้นไป ดิฉันจึงฉลองด้วยการนอนเที่ยงคืนตื่นเก้าโมงเช้า (ถ้าแดดไม่แจ๋ขนาดนี้ก็คงไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ)
จัดการทำธุระเท่าที่เคี่ยวเข็ญตัวเองเรียบร้อยแล้วก็จรลีออกจากบ้าน ขึ้นบีทีเอสไปสุดสาย แล้วต่อเรือด่วนเจ้าพระยาไปลงที่บางลำพู เพราะวันนี้มีภารกิจชอปปิ้ง
ที่ต้องถ่อมาถึงตั้งฮั่วเส็งบางลำพูก็เพราะว่าตั้งฮั่วเส็งธนบุรีมันไกลไป-อ่ะไม่ช่าย
เพราะว่าที่นี่เป็นศูนย์รวมของอุปกรณ์งานฝีมือ
ไม่ว่าจะเป็นไหมหลากสี เข็มถักครบขนาด ไปจนกระทั่งอุปกรณ์ติดต้งผ้าม่าน เขาก็มีขายครบ แน่นอนว่าในราคามิตรภาพกว่าห้างสรรพสินค้าเก๋ไก๋ชไรเดอร์ทั้งหลาย
ใช่แร้ว กำลังจะถักผ้าพันคอ ได้ไหมสีสวยมาซะด้วย แต่ไม่รู้ว่าแรงบันดาลใจจะค่อยๆ หายไปพร้อมความเย็น (ในกทม.ป่าวอ่ะนะ)

เนื่องด้วยไม่ได้เฉียดมาย่านนี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นถื่นเก่าเสียนาน ก่อนมาถึงยังหวั่นใจว่าพระอาทิตย์จะเป็นไง บางลำพูจะเปลี่ยนไปไหม ข้าวของที่เคยชินตาจะเปลี่ยนเป็นของแบบใหม่ๆ หรือเปล่า
ปรากฏว่าไม่เลย ตั้งฮั่วเส็งยังเหมือนเดิม ของเหมือนเดิม แน่นๆ เหมือนเดิม แม้แต่กลิ่นอวลๆ อาหารที่ขายอยู่แถวนั้นก็ยังเหมือนเดิม ขนมจีนตรงตรอกนั่นก็ยังขายเหมือนเดิม (อย่าไปหวังว่าราคาจะเหมือนเดิม) ดูราวกับว่าตั้งฮั่วเส็งจะเก่าเท่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อมาเหยียบเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ (ฮ่าๆ)

ไหมวูลสีสวยที่ขายราคาแค่กลุ่มละ 60 บาท (ซึ่งเหลืออยู่แค่ 5 กลุ่มเลยเหมามาหมดเลย) เหมือนไม้ขีดจุดคบเพลิงแห่งการชอปให้ลุกโชน เพราะหลังจากนั้นดิฉันก็ชอปกระจาย เดินไปต่อที่สหกรณ์กรุงเทพ  (ซึ่งก็ยังคงบรรยากาศเดิม คือเก่า อึดอัดเพราะวางของเต็มไปหมด แล้วก็ฉุยไปด้วยกลิ่นอาหารตลอดเวลา-บัดนี้เป็นเวลาของไก่ย่าง พร้อมกับคนขายวัยป้าที่คุยกะเราดี๊ดี ให้ความช่วยเหลือแล้วก็เอาใจใส่เราจริงๆ) ที่ที่เคยชอปชุดชั้นใน (ราคาประหยัด) มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เจอะคนขายถูกชะตาก็ซื้อมาได้บานตะไท ซื้อดะเรื่อยไปถึงขนมร้านน้ำพริกนิตยา กิ๊บหนีบผม รองเท้าผ้าใบ ไปจบที่นาฬิกา SEIKO (เซนเซบอกว่าคนญี่ปุ่นอ่านว่า เซอิโกะ)-พระเจ้าช่วย! ผีนักชอปตนใดมาเข้าสิงดิฉันเนี่ย

แต่มีความสุขมากค่ะ

ขากลับเดินมาลงเรือท่าเดิม ผ่านสวนสันติชัยปราการ ก็ยังเหมือนเดิม วันนี้มีกิจกรรมละครเวที ลูกเล็กเด็กแดง พ่อแม่มาดูกันน่าอบอุ่นจริง แม้แต่พระอาทิตย์ตกดินทางฝั่งศิริราชก็เหมือนว่าจะเหมือนเดิม อบอุ่นเหมือนเดิม
ดีใจที่ทุกอย่างยังเปลี่ยนไปน้อยมาก จนดูเหมือนว่ามันยังเหมือนเดิม

วันนี้คงเป็นวันที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่ได้รู้เรื่องน่าตกใจเรื่องนั้น



 

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ไม่-เข้า-จัย

อ่านไทยรัฐออนไลน์เช้านี้ เจอข่าวประหลาด

จะว่าขำก็ขำไม่ออก

รู้สึกแนวๆ อัศจอรอหันการันต์ยอ

โอเค ยอมรับ ว่าจินตนาการทางเพศของคนเรามันแสนจะลึกล้ำและกว้างไกล เซ็กซ์กับนางชี เซ็กซ์บนหลังม้า เซ็กซ์ใต้เตียงแม่พ่อ หรือเซ็กซ์ใน yellow submarine ยังเป็นไรที่พอเข้าใจ

แต่ไอ้การมีไรกับจักรยาน หรือทางเท้านี่ มันยังไงกัน

แสนจะข้องใจ ว่ามันยังไงกัน

 

 

ศาลสั่งคุมประพฤติหนุ่มวิตถาร ทำมิดีมิร้ายรถจักรยาน [15 พ.ย. 50 - 06:23]

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวานนี้ (14 พ.ย.) ว่า นายโรเบิร์ต สจ๊วร์ต วัย 51 ปี ถูกศาลตัดสินให้ควบคุมความประพฤติเป็นเวลา 3 ปี และถูกขึ้นทะเบียนเป็นผู้ล่วงละเมิดทางเพศ หลังจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมขณะกำลังพยายามมีเซ็กซ์กับรถจักรยาน

นายโรเบิร์ต สจ๊วร์ต ถูกพนักงานหญิงทำความสะอาด 2 คน ของโรงแรมเอเบอร์เลย์ เฮาส์ ในเมืองอายร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสกอตแลนด์ พบเห็นเขาในสภาพเปลือยท่อนล่างอยู่ภายในห้องพัก โดยใช้มือจับรถจักรยาน แล้วขยับสะโพกไปมา พนักงานทั้ง 2 คน รีบบอกผู้จัดการโรงแรม แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับกุมในเวลาต่อมา

               

อย่างไรก็ตาม นายโรเบิร์ต สจ๊วร์ต ไม่ใช่คนแรกที่ถูกจับฐานมีเซ็กซ์กับวัตถุ ก่อนหน้านี้เมื่อปี 1993 นายคาร์ล วอตกินส์ ช่างไฟฟ้า ในเมืองวอร์กส ทางตะวันตกของอังกฤษ ก็เคยต้องโทษจำคุก หลังจากถูกจับได้ว่า มีเพศสัมพันธ์กับทางเท้า

 

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ขอบคุณ เสียใจ และ ผมรักคุณ...

วันนี้ป่วย
เลยได้อยู่บ้าน ดูรายการสี่สาว ผู้หญิงถึงผู้หญิง
เป็นวันที่ทุกคนพูดจาดีมาก ไก่ไม่ได้พูดอะไรผิด ส่วนแมร์ก็พูดดีๆ ถึงสองครั้ง ตอนชวนคนบริจาคให้บ้านเด็กอ่อนเสือใหญ่ และตอนเตือนสติผู้หญิงที่ถูกผู้ชายทำร้าย แต่ก็ยังทนอยู่ด้วยเพราะความรัก

เดือนนี้มันเป็นเดือนอะไรสักอย่างที่สากลโลกเขาใช้รณรงค์ต่อต้านการทำร้ายผู้หญิง
ที่แมร์พูดมันตรงกับใจในบางส่วน แมร์ถาม "ถ้าเขารักคุณจริง จะทำอย่างนี้กับคุณหรือ"
ส่วนดิฉันคิดมาตลอดว่า เรานี้ จะดีจะร้ายก็มีพ่อแม่ที่รัก และเลี้ยงดูมาด้วยความทนุถนอม ไม่ใช่เพื่อจะให้เรามาเจอชีวิตแบบนั้น
ไม่ต้องว่าไปถึงความสะบักสะบอมเพราะโดนผู้ชายคนหนึ่งซ้อมหรอก แค่จะถูกผู้ชายคนหนึ่งโกหกก็ยังไม่สมควรเลย

ฉะนั้น สตรีทั้งหลาย จงฟังเอาไว้ คนทุกคนมีค่าเท่ากัน เกิดมาด้วยความรัก โตมาด้วยความทนุถนองของพ่อแม่เหมือนกัน ฉะนั้น อย่าปล่อยให้ใครมาทำกับเราเยี่ยงนั้น
แหล่งกำเนิดของความรักมันไม่ได้อยู่แค่ที่ผู้ชายใจทรามคนที่คุณรัก แต่ยังอยู่ที่พ่อแม่ เพื่อน ครู และคนอื่นๆ ที่รักคุณด้วย

ชีวิตนี้ที่พ่อแม่ให้มา ควรใช้อย่างมีความสุข และมีประโยชน์กับโลก มากกว่าจะเป็นแค่วัตถุทางเพศที่บางเวลาก็เปลี่ยนโหมดไปเป็นกระสอบทรายให้ผู้ชายคนหนึ่งแตะถีบ

จบ-

ป้าปุ้ยเล่าอีกข่าวนึง เป็นข่าวที่น่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม ว่าด้วย 'สมาคมคนรักเมีย'
เรื่องของเรื่องคือมีกระทาชายชาวญี่ปุ่นนายหนึ่ง อายุอานามราวห้าสิบกว่า สังเกตเห็นชีวิตการหย่าร้างในวัยเกษียณของคู่ผัวเมียญี่ปุ่น ซึ่งแกเชื่อว่ามาจากวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่น ที่พอแต่งงานแล้ว ผู้หญิงก็จะมาอยู่เป็นแม่บ้าน คอยดูแลงานบ้าน ดูแลผัว ดูแลลูกอย่างเดียว ข้างตัวผัวก็ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ขึ้นรถไฟไปทำงานในเมือง กลับบ้านมาก็ดึกดื่น เสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปพักผ่อนตีกอล์ฟตกปลา ว่ากันไป

อยู่กันไปนานๆ เข้า ถ้าเมียไม่มีชู้ ก็คงต้องถึงวันฟ้องหย่า เพราะทนไม่ได้กับปัญหาครอบครัว
นายคนนี้ก็เลยชวนคนมาร่วมสมาคมคนรักเมียที่แกตั้งขึ้น วัตถุประสงค์ของสมาคมคือความพยายามปรับปรุงพฤติกรรมสามี ให้เอาใจภรรเมียมากขึ้น ช่วยแบ่งเบางานบ้านบ้าง เห็นใจกันบ้าง ชีวิตสมรสจะได้ยั่งยืนนาน ไม่ต้องเป็นม่ายเมียทิ้งตอนแก่
เห็นว่ามีอยู่ทั้งหมดถึง 10 ขั้น ของบันใดในการเป็นคนรักเมีย


แกว่าของแกอยู่แค่ขั้นที่ 5 เอง
มันคือ "การเดินจูงมือภรรยาในที่สาธารณะอย่างเปิดเผย"

(ห่า-ผู้ชายชาวญี่ปุ่นไม่ภูมิใจในตัวเมีย หรือเมียชาวญี่ปุ่นทำตัวไม่น่าภูมิใจวะ?)
บทสรปุของบทความนี้ ที่ป้าปุ้ยแกอ่านมาจากเดลินิวส์ (ดิฉันพยายามหาแล้วแต่ไม่เจอ เลยขี้เกียจหา-ใครอยากอ่านต่อก๊อหาเอาเอง) บอกไว้ว่า มีคำอยู่ 3 คำ ที่ภรรยาชาวญี่ปุ่นอยากจะฟัง นั่นคือ

"ขอบคุณ"-ใครๆ ก็อยากฟัง
"เสียใจ"-ทำไมไม่ใช่ "ขอโทษ"
และ
"ผมรักคุณ"-เอิ่ม คงไม่ใช่แค่ภรรยาชาวญี่ปุ่นหรอก แม้กระทั่งภรรยาชาวไทยและเอสกีโมก็คงปลื้มที่ได้ฟัง

ถ้าคนอ่านจะสงสัยว่าทำไมหนอ กะอีแค่คำง่ายๆ 3 คำ ที่ผู้ชายเจ้าชู้ชาวไทยท่องได้เป็นไฟ ถึงได้เป็นยาดำของชายชาวอาทิตย์อุทัยเสียขนาดนี้
คำตอบอาจจะอยู่ในนานะฉบับการ์ตูนเล่มที่ 1 ตอนที่นานะถามโชจิว่ารักหรือเปล่า
อีตาโชจิเคร่งเครียดมาก เพราะชายญี่ปุ่นเค้าไม่พูดคำรักกัน

เออ ทำไมหรอ ทำไม
ไม่เข้าใจ
ทำไมไม่พูด



ป.ล. สองหนุ่มสาวในรูปนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนเท่าไหร่
เอ จะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่ได้ เพราะพี่อ้นใหญ่นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการพูดคำสามคำต่อเมียของเขาในจังหวะที่เหมาะสม...
จริงไหมจ๊ะเอ๋น้อย (รูปนี้สวยดี ขอจิ๊กมาสร้างบรรยากาศสักน่อยเน่อ)

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เปิดฤดูหนาวที่เขาใหญ่


ขึ้นตรงนี้
แต่ลงตรงไหนไม่รู้
ตามเก็บเค้าด้วยนะตัวเอง

ของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากปากช่อง-เขาใหญ่ 9-10 พฤศจิกายน 07 จ้า

รู้อะไรจากดาว?

ใช่แล้ว เพิ่งกลับจากเขาใหญ่

ไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปกับ True Sphere งานนี้เขาเชิญแขกไปเที่ยวเขาใหญ่ ชมดาวและขึ้นบอลลูนในเทศกาลบอลลูนนานาชาติประจำปี

โชคดีจังเนอะ อยู่ดีๆ ก็ได้ไปนอน KIRIMAYA รีสอร์ตที่ใครๆ ก็ว่าหรู ใครรู้ก็อิจฉา (แต่อย่าอิจฉากันเลยนะ ก็ไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว)

ถึงปากช่องก็รู้เลยว่าอากาศเย็นกว่าเมืองกรุง ซึ่งตอนนี้ก็เย็นลงเยอะแล้ว พอถึงคีรามายาเมื่อเวลาเที่ยงครึ่ง โอ้โห ลมเย็นพัดโชย พนักงานโรงแรมบางคนยังสวมเสื้อกันหนาวยูนิฟอร์มอยู่เลย สี่โมงก็เริ่มหนาวแล้ว พอสองทุ่มอุณหภูมิเหลือ 15 องศา-กรี๊ดดดดดด ใส่รองเท้าบู๊ตยังหนาวหน้าเท้าเลยอ่ะ

ตัวรีสอร์ตนั้นสมควรจะขายราคาประมาณนี้อยู่แหละนะ ก็ที่เขาสวยมาก (รีสอร์ต+สนามกอล์ฟ 18 หลุมอยู่เชิงป่าเขาใหญ่) งานภูมิสถาปปัตย์สวย ทั้งไม้น้ำและไม้ใหญ่ ออกแบบตึกเอย ห้องเอย ล้วนสวยไปทั้งสิ้น

สิ่งที่อยากจะชมเป็นพิเศษคืองานรับเหมา เพราะเท่าที่ตรวจดูรายละเอียดงานเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีหลุดเลย ช่างทำงานเรียบร้อยดีมาก แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ก็เรียบร้อย แม่บ้านก็ทำความสะอาดดี อายุรีสอร์ต 2-3 ปี แต่ใหม่+สะอาด เหมือนเพิ่งเปิดเมื่อต้นปี

เสียดายไม่มีโอกาสชมวิลล่าที่ทำเป็นเต็นท์สีขาวหลังใหญ่ ไฮไลท์ของเขา
ไม่เป็นไร อาจได้กลับมาใหม่ในโอกาสหน้า

ตามกำหนดการแล้ว True มีกิจกรรม Art Therapy, ดูดาว แล้วก็ขึ้นบอลลูนชมป่าเขาใหญ่ ซึ่งก็ได้แจมแต่ละกิจกรรมไปอย่างกระพร่องกระแพร่ง จากกิจกรรมศิลปะทำให้ได้เสื้อยืดลายประหลาดที่เราวาดเองกลับมาตัวนึง ส่วนการขึ้นบอลลูนนั้น ทั้งที่วาดหวังไว้ว่าจะมาถ่ายรูปมุมจากบอลลูนตอนอยู่เหนือน่านฟ้ากลับไป แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ขึ้น เพราะ หนึ่ง ชาวคณะเรามาถึง(กองพันทหารสุนัข-ที่ไม่เจอะสุนัขทหารซั๊กตัว-เจอะแต่คนๆๆๆ)สาย บอลลูนขึ้นไปเกือบหมดแล้ว (ขนาดตื่นกันตีห้านะเนี่ย) สอง เห็นใจพีอาร์ทรูเขา เพราะการขึ้นบอลลูนนั้นไซร้ มันเป็นการผจญภัยที่ไม่รู้อนาคต ถ้าเกิดลมพัดไปลงในป่าเขาใหญ่ จะลำบากคนตามเก็บแค่ไหน ด้วยเหตุนี้ ก็เลยยืนดูแต่ข้างล่าง วิ่งๆๆๆ เก็บภาพอีตอนเค้าเป่าลมเข้าไปในบอลลูนซะก่อน แล้วก็จุดแก๊สฟู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ร้อนดีมาก) เพื่อให้มันเริ่มพอง พอง พอง พร้อมจะลอยขึ้น

ยังดีที่พอมีรูปตอนมันลอยขึ้นไปนิดหน่อยมาให้ดู

กิจกรรมที่สะดุดใจคือการดูดาว อาจารย์ชัยพงษ์ รังสุวรรณ จากภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.ขอนแก่น มาบรรยาย (สนุกนะคะอาจารย์) วิธีการดูดาวเบื้องต้น ประกอบวิธีใช้เข็มทิศ แผนที่ดาว และไฟฉาย มีอยู่ตอนนึง อาจารย์เล่าเกร็ดว่า แสงดาวบางดวงที่เราเห็นน่ะ มันต้องเดินทางมากี่แสนแสงปีไม่รุ ดาวดวงนั้นในเวลาเดียวกันนี้จะเป็นอย่างไร ยังสว่างอยู่หรือว่ามืดดับไปแล้ว ต้องรอดูใหม่ในอีกหลายๆ ปีแสงข้างหน้า
ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังมองกันอยู่ก๊อคือภาพประวัติศาสตร์เมื่อหลายแสนปีแสงของดาวดวงนั้น
อาจารย์ยังให้ดูรูปอันใหญ่โตของจักรภาพ ระบบสุริยะ และขนาดของดาวต่างๆ ในระบบสุริยะที่เอามาเปรียบเทียบกันด้วย

....
ดูแล้วก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจนะ ว่า
มนุษย์เรานี้ช่าง 'เล็ก' จัง อายุก็แสนสั้น
ตลอดชั่วอายุของเราจะใช้เรียนวิธีการคำนวณวงโคจรของดาวหาง xxx ติดตามศึกษาพฤติกรรมของดาวดวงนึง ทางช้างเผือก หรือดักฟังคลื่นวิทยุที่ส่งมาจากดาวอะไรสักดวงได้สักกี่มากน้อย?
ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะเรียนเรื่องดวงดาว จักรวาล และอวกาศไปทำไมกันนะ?

ก็แอบเก็บคำถามนี้ไว้ กะว่าถ้าเจออาจารย์แบบเป็นส่วนตัวตอนดูดาว จะถามดูสักที แต่ก็ยังหวั่นๆ เกรงว่าจะเป็นคำถามที่ดูหยาบคาย ไม่เหมาะสมจะหลุดจากปากสตรีหน้าหวานที่อาจารย์เพิ่งได้รู้จักเป็นครั้งแรก
ก็เลยแอบไปถามเอากับน้องนักศึกษาที่มาช่วยอาจารย์

น้องเค้าบอกเป็นแนวๆ ว่า เราเรียนเรื่องดง
ดาวเพื่อจะได้ศึกษาหาเพื่อน (หมายถึง alien น่ะค่ะ) ทว่า น้องเขาก็ยังมีข้อสังเกตว่า "ซึ่งถ้าเพื่อนของเรามีความเจริญทางเทคโนโลยีเท่ากับเรา เราก็คงไม่ได้เจอกัน" ดิฉันขอขยายความต่อว่า น้องเขาหมายถึงว่า ต้องให้เค้าเจริญกว่ามากๆๆๆๆๆๆ หลายๆ ขุมโน่นแหละ ถึงจะได้ปรากฏตัวให้เราเห็นได้ หรือสามารถเดินทางมาหาเราได้เร็วกว่าการเดินทางของแสง


ว่าแล้วดิฉันก็ถามต่อ แล้วน้องเชื่อไหมคะ ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง
คุณน้องให้คำตอบได้เป็นผู้ใหญ้-ผู้ใหญ่ค่ะ (คือไม่ฟันธง) แกตอบว่า "จากข้อมูลก็เป็นได้ครับพี่"

(โธ่ น้องคะ พี่ถามว่า 'น้องเชื่อไหมว่ามีจริง' ไม่ได้ถามว่า 'มันมีจริงไหม' ซะหน่อย)






ป.ล. แม้เขาใหญ่จะอากาศดี แต่ท้องฟ้าแจ่มไม่ได้ถึงครึ่งของฟ้านอกเมืองสุราษฎร์ธานี ที่ได้เห็นบ่อยๆ นอกจากนี้ คงไม่มีท้องฟ้าไหนจะมีดาวมากมายกว่าฟ้าเหนือป่าแก่งกรุงที่เคยเห็นตอนไปค่ายกับพี่อนุรักษ์เมื่อตอนปี 1 ซึ่งยังเป็นภาพที่จับอยู่ในใจจนทุกวันนี้
คืนนั้นดาวดวงใหญ่ ส่งแสงอย่างกับแข่งกัน แสงดาวพร่างพราวตาจนทำให้นอนไม่หลับ ต้องออกมานั่งนับดาวผิงไฟแก้หนาวกันจนค่อนคืน

นอกจากนี้ อากาศหนาวเย็นและน้ำค้างที่ตกลงมาอย่างโหดไม่เอื้อให้ประชาชีมีฟีลลิ่งอยากจะค้นหาดวงดาวกันสักเท่าไหร่ เหมือนจะเห็นช้าดดดดดเจนอยู่กลุ่มเดียวคือ cassiopea ซึ่งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางฟ้าในเวลานั้นพอดี
เอาไว้ไปแก้ตัวใหม่กับดาวเหนือฟ้าป่าทีลอซูต้นเดือนหน้าละกาน




วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ว่าด้วยข้อดี

อะไรๆ ก็มีข้อดี

 

ตัวดำก็มีข้อดี: ไม่เป็นฝ้าง่าย แถมถ่ายรูปขึ้น

ตัวขาวก็มีข้อดี: ขาวใส ใครๆ ก็รัก

อ้วนก็มีข้อดี: ขึ้นบีทีเอสก็มีคนลุกให้นั่ง ป้าขายข้าวแกงก็ให้ข้าวเยอะเพราะคิดว่าท้อง

ผอมก็มีข้อดี: ดูบอบบาง เลยไม่มีใครใช้ทำงานหนัก

แก่ก็มีข้อดี: ใครๆ พร้อมใจกันเรียกป้า ไม่กล้าเล่นหัว

สาวก็มีข้อดี: ป๋าๆ ให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษ

สวยก็มีข้อ: เลือกได้

คัพดีก็ดี: ไม่เคยอยู่นอกสายตาของใคร

คัพเอก็ดี: แต่งตัวง่าย ไม่ใส่บราก็ได้ ไม่มีใครรู้

ขี้เหร่ก็มีข้อดี: คนที่เข้ามาถึงตัวคือคนไม่สนใจเปลือก

ผมสั้นก็ดี: เบาสบายหัว ไม่ต้องหวี หรือคิดว่าวันนี้จะทำทรงอะไร

ผมยาวก็ดี: เป็นที่หลงใหลของชายส่วนใหญ่

ทำศัลยกรรมก็ดี: สวยได้ดังใจ

ไม่ทำศัลยกรรมก็ดี: สวยธรรมชาติ

พูดมากก็ดี: เพื่อนไม่ต้องเหนื่อยหาเรื่องพูด

พูดน้อยก็ดี: เพื่อนจะได้พูดให้ฟัง

เครียดก็ดี: เป็น Drive ให้ชีวิต

ไม่เครียดก็ดี: ชีวีหรรษา

ตื่นเช้าก็ดี: เหมือนวันนี้มีเวลามากขึ้น

ตื่นสายก็ดี: ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าเช้านี้จะกินอะไร

ออกกำลังกายก็ดี: ร่างกายฟิต เฟิร์ม แข็งแรง

ไม่ออกกำลังกายก็ดี: ไม่เหนื่อย

มี iPod ก็ดี: มีเพลงเพราะฟังทุกที่ ทุกเวลา

ไม่มี iPod ก็ดี: ได้อยู่กับตัวเองซะบ้าง

มีมือถือก็ดี: คิดถึงเมื่อไหร่ บอกได้ทันที

ไม่มีมือถือก็ดี: จะได้เขียนจดหมายหวานๆ

ใส่ยีนส์ก็ดี: simple chic

ใส่กระโปรงก็ดี: เซ็กซี่ น่าถอด

ใส่ส้นสูงก็ดี: ใส่แล้วอกผึ่ง ก้นตึง หลังตรง

ใส่ผ้าใบก็ดี: สบายทีน เดินได้ไม่มียั่น

มีรถก็ดี: ไปไหนไปได้ เท่าที่มีตังค์จ่ายค่าน้ำมัน

ไม่มีรถก็ดี: ไม่ต้องเสียตังค์จ่ายค่าที่จอดรถ

ขึ้นบีทีเอสก็ดี: ไว+ผู้โดยสารหน้าตาดี

ขึ้นรถเมล์ก็ดี: ถูก และบางสายก็ขับไวน้องๆ รถไฟฟ้า

ขี่มอไซค์ก็ดี: ซอกแซกได้ทุกที่ ไม่มีติดแหง็ก

ขับรถคันเล็กก็ดี: จะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

ขับรถคันใหญ่ก็ดี: ทุกคนในรถนั่งสบาย

ใช้กล้อง SLR ก็ดี: ได้คิดอย่างลึกซึ้งก่อนถ่าย แถมได้มีความสุขกับการรอคอย และลุ้น

ใช้กล้อง DSLR ก็ดี: ถ่ายได้เท่าที่อยากจะถ่าย ได้ความสุขเชิงปริมาณ แถมเห็นรูปเลย ไม่ต้องลุ้น

มองเห็นก็ดี: โลกนี้มีแต่ภาพมหัศจรรย์

ตาบอดก็ดี: จะได้ใช้ใจมอง

หูดีก็ดี: ได้ยินเสียงหัวใจเต้น

หูหนวกก็ดี: สัมผัสถึงหัวใจเต้น

ทะเลก็ดี: ทะเลจะสวมกอด บอกลมให้พัดพา หาทางออก

ภูเขาก็ดี: มีทะเลหมอก

หนาวก็ดี: จะได้กอดกันแก้หนาว

ร้อนก็ดี: สาวๆ ใส่เสื้อสายเดี่ยว

ฝนตกก็ดี: เผื่อได้เห็นรุ้ง

มีแฟนสวยก็มีข้อดี: มองไปทีไร เห็นแต่ภาพจำเริญหู จำเริญตา

มีแฟนขี้เหร่ก็มีข้อดี: ไม่ต้องมีหนุ่มส่งสายตามากะลิ้มกะเหลี่ยแฟนเรา

มีแฟนฉลาดก็มีข้อดี: ชี้แนะเราได้

มีแฟนโง่ก็ดี: เราจะได้ชี้แนะบ้าง

มีแฟนรวยก็ดี: ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องเงิน

มีแฟนจนก็ดี: ไม่ต้องเก๊กซิมกับกองมรดกอันไพศาล

มีแฟนสาวก็ดี: สดใส ดึ๋งดั๋ง

มีแฟนแก่ก็ดี: มีประสบการณ์ เข้าใจโลก

มีแฟนก็ดี: มีคนคนหนึ่งให้เปิดเผยทุกสิ่งอย่างในชีวิต

ไม่มีแฟนก็ดี: ชีวิตอิสระเต็มร้อย จะถักผ้าพันคอให้ใครก็ได้ ใครกล้าว่า?

ซื่อสัตย์ก็ดี: ภูมิใจในตัวเอง

ไม่ซื่อสัตย์ก็ดี: มีโอกาสไปทัวร์นรก

เป็นเกย์ก็ดี: ที่ได้ซื่อสัตย์กับตัวเอง

เป็นไบก็ดี: ชีวิตนี้มีแต่กำไร

 ถึง ก็ดี: ได้เห็นดวงดาว

ไม่ถึงก็ดี: จะได้รู้ว่าที่ตรงนี้ไม่มีดาว

ขอก่อนจูบก็ดี: “ผู้ชายคนนี้น่ารักจัง

ขโมยจูบก็ดี: ตื่นเต้นมั่กๆ

บอกรักก่อนก็ดี: แสดงความจริงใจ

เก็บความรู้สึกไว้ก็ดี: ถ้าบอกไปแล้วใจต้องช้ำ

รู้มากก็ดี: ดีกว่าระเริงกับชีวิตโดยไม่รู้อะไรเลย

ไม่รู้อะไรก็ดี: ไม่รู้ก็ไม่ต้องช้ำ

คิดมากก็ดี: ดีกว่าไม่รู้จักคิด

ไม่คิดมากก็ดี: ไม่ต้องเจ็บปวด

จำไว้ก็ดี: จะได้ไม่ลืมง่ายๆ

ลืมได้ก็ดี: ใจโปร่ง โล่งสบาย

ทิ้งเขาก็ดี: ไม่ปล่อยให้ปัญหาคาราคาซัง

ถูกทิ้งก็ดี: มีแต่คนสงสาร

 

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ナナกับ はち

ดิฉันมักเป็นคนเดินตามฝุ่นชาวบ้านเขาเสมอ


คือถ้าในโมเมนท์นั้นมีประเด็นอะไรที่ชาวบ้านเขากำลังฮิตหรือสนใจ ดิฉันก็จะแอนไท หันหลังให้ แล้วก็ไม่สนใจ แต่พอเวลาผ่านไป ชาวบ้านหันไปฮิตเรื่องใหม่ ดิฉันก็จะแอบย่องเข้าไปดูอย่างเงียบๆ


ด้วยเหตุนี้ ก็เลยได้ดูหนังเพื่อนสนิท กับแฟนฉัน และไททานิกช้าไปประมาณ ปีสองปี
(เฉพาะเรื่องหลังนี้รอดูทางบิ๊กซินิม่า แฟนฉันกับเพื่อนสนิทดูเป็นแผ่น ด้วยความอนุเคราะห์จากเพื่อนไม่สนิทมากเท่าดากานดากับไข่ย้อย)

ล่าสุดนี่ก็ได้เพิ่งได้รับความอนุเคราะห์จากเสริม (ผู้จำเป็นต้องเรียกตัวเองว่า ซังชิริจัง (Sanshiri) ในภาษาญี่ปุ่น เนื่องจากในภาษาญี่ปุ่นไม่มีตัวหนังสือที่จะผสมกันแล้วอ่านออกมาว่า เ-สิ-ม) เพื่อนสนิทเพศเดียวกัน ที่มาเจอะกันเอาเมื่อโตแล้ว คือในรั้วมหา'ลัย


จับคู่ไปเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยกัน ทั้งๆ ที่เพื่อนเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ และแสนขยัน แต่ดิฉันก็เป็นอย่างที่คนรู้จักรู้กันดีมักจะย้อนถามเสมอหลังจากดิฉันเล่าถึงความลำบากยากแค้นในการเรียนภาษาใหม่ภาษานี้ว่า

"แล้วแกไปเรียนทำไมวะ?"

by the way เพื่อนเสริมก็พยายามสร้างกำลังใจและแรงจูงใจ ตลอดจนแรงบันดาลใจให้ดิฉันเสมอ ล่าสุดชีก็เอาดีวีดีนานะมาให้ดู

อันว่านานะนี่มันเป็นหนังกระแสฮิตตั้งแต่ปีก่อนหรือไงไม่แน่ใจ แต่ตอนที่มันฮิตนั้น ดิฉันเซ็ง ก็เลยไม่สนใจจะไปดู ทุกวันนี้ก็เลยเป็นพวกขาประจำลิโด้ พึงพอใจอย่างยิ่งที่จะได้ดูหนังที่ไม่ค่อยมีชาวบ้านไปดูกันนัก
สรุปคือได้ดูนานะช้ากว่าชาวบ้านชาวเมืองตามเคย

ทว่า

ดูแล้วก็ชอบอยู่ไม่น้อย ว่าจะดูซ้ำอีกซักรอบสองรอบให้มันคุ้ม (พอดีดีวีดีเรื่องนี้เขาทำดี ทำ subtitle เป็นภาษาญี่ปุ่นมาซะด้วย-เริ่ศซะไม่มี) ชอบใจตรงที่มันเล่าเรื่องแบบ "เพื่อนๆ" ที่เป็น "ผู้หญิงๆ" ได้กินใจดี
หนังแนวนี้ฝรั่งก็ทำมาเยอะอยู่ แต่ออกจะไม่หนังฝรั่งสตรีผู้ใหญ่ (แบบเต็มไปด้วยปัญหาลูกผัวและยาเสพติดรุงรัง) ก็จะเป็นฝรั่งสตรีทีนเอจ (แบบแย่งผู้ชายหรือแย่งกันเด่นดังในไฮสคูล) แต่หนังเพื่อนผู้หญิงยังไม่ค่อยมีกินใจและมีมากเท่าหนังมิตรภาพระหว่างเพื่อนผู้ชาย

ชอบนานะตรงที่มันพูดถึงชีวิตผู้หญิงตอนที่ก้ำกึ่งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่

มีสังหรณ์ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังที่ดูได้หลายๆ รอบ และแต่ละรอบจะเก็ตบางสิ่งบางอย่างต่างกันไป
ไว้จะลองกลับมาเล่าให้ฟัง

เพิ่งเล่าให้เสริมฟังว่า ดูหนังเรื่องนี้แล้วร้องไห้ 1 ที ให้เสริมเดาว่าตอนไหน เสริมไม่เดา แต่เล่าว่าตัวเองร้องตอนไหม ปรากฏว่าเป็นตอนเดียวกัน

เลยยิ่งรู้สึกดี

กลับมาคุยกันว่าใครจะเป็นนานะ ใครจะเป็นฮาจิ

(คนเคยดูแล้วไม่งงใช่ไหมว่าตอนแรกนางเอก 2 คน ชื่อนานะเหมือนกัน แต่ไปๆ มาๆ อีกคนถูกเรียกเป็นฮาจิ ก็นานะ ナナ มันหมายถึง 7 (และคงมีความหมายอื่นด้วย) นานะพังก์ก็เลยเรียกนานะแบ๊วว่า はち-ฮาจิ ซึ่งแปลว่า 8 ไง)

เนื่องจากเสริมเห็นว่าไหนๆ ดิฉันก็เพิ่งซื้อรองเท้าส้นสูงมากๆ (ซึ่งเสริมเห็นว่าเป็นสัญลักษณ์ของสาวแหวว) จึงเห็นว่าควรเป็น はち

ดิฉันก็เห็นว่าไหนๆ เสริมชอบเรน (แฟนของนานะพังก์) นัก เลยยกให้เสริมเป็น ナナ

เรื่องก็เลยลงตัวด้วยเหตุนี้

เดี๋ยวนึกได้ว่ามีหนังมิตรภาพผู้ชายเรื่องไหนที่เคยดูแล้วรู้สึกกินใจแล้วจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะ อ่อ เสริมบอกจะเอาการ์ตูนนานะมาให้ดูด้วย ดีจัง






ป.ล.1 ナナ เป็นหนังที่ใส ดูแล้วหัวใจผ่องแผ้ว นอกจากนั้นภาพก็สวยมาก ฉากที่ชอบที่สุดคือที่ capture มาฝากนี่แหละ ช่วงเวลาในอ่างน้ำ 
สวย หวาน และอบอุ่นมากในความรู้สึก

ป.ล. 2 ชื่อ はち -ฮาจิจัง (แปลว่าผึ้งก็ได้) นั้น พบว่ามักถูกนำไปตั้งเป็นชื่อสุนัข-น่ารักโนะ

 


วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Blood Diamond, Millionaire’s Stuff, The Kingdom และความเจ็บปวดของมนุษยชาติ

ใครคืนคนแรกที่ค้นพบเพชร

ใครเป็นคนคิดค้นวิธีเจียระไนเพชรให้ส่องประกายจับตาผู้หญิง

ใครบอกโลกว่าต้องหมั้นผู้หญิงด้วยเพชร

ใครเป็นคนเริ่มต้นปั่นราคาเพชร

ซึ่งเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนในหลายภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะแอฟริกา

ใครกันที่หาญกล้า ริเริ่มนำเพชรมาประดับของเล่นต่างๆ

ใครบอกว่า iPod ที่ประดับเพชรจนพราวไปหมดนั้น คูลสุด

ใครอุตริเอาเพชรไปใส่ไว้ในแป้นกดของแซกโซโฟน

(ให้ตายเหอะ แซกโซโฟนฝังเพชรจะเปลี่ยนคนเป่ากลายเป็นจอห์น โคลเทรนได้อย่างนั้นหรือ?)

ใครกันที่สวมนาฬิกาซึ่งทุกตารางเซนติเมตรของหน้าปัดประดับด้วยเพชร

(เพชรทำให้กลไกนาฬิกาเที่ยงตรงขึ้น หรือว่าช่วยประหยัดพลังงานอย่างนั้นหรือ?)

 

หนัง  Blood Diamond บอกเล่าความเจ็บปวดของผู้คนไม่น้อย ที่เกิดจากความทารุณโหดร้าย ยาเสพติด ความโลภ การแย่งชิง ฯลฯ หลายสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับหัวใจเจ้าของเรื่อง และคนรู้เรื่อง

หลายสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นจากภาพเพียงภาพเดียว

ประกายตาของหญิงสาวซึ่งจับอยู่ที่แหวนเพชรในนิ้วนางข้างซ้าย มีชายหนุ่มที่รักเธอยืนเคียงข้างในร้านทิฟฟานี

Blood Diamond บอกว่าโศกนาฏกรรมในแหล่งเพชรที่แอฟริกาใต้จะไม่มีวันจบสิ้น

ถ้าผู้หญิงยังไม่เลิกบ้าเพชร

 

ในเวลาเดียวกับที่ผู้หญิงจำนวนหนึ่งในโลกบ้าเพชร

ผู้คนบางกลุ่มในโลกก็กำลังบ้าอุดมการณ์บางอย่าง

เขาหว่านล้อม ปลุกระดมให้คนอื่นๆ เชื่อเช่นเดียวกัน

จนสามารถทำทุกอย่างเพื่อที่จะบรรลุถึงจุดหมายนั้น

ทุกอย่าง แม้การประหัตประหาร คน ที่มีความเป็นคนเหมือนตัวเอง

เป็นลูกมีพ่อมีแม่ เป็นคนที่มีคนรัก มีความฝัน และมีภาระหน้าที่ เหมือนตัวเอง

หนัง The Kingdom ทำให้คนดูเศร้า

เศร้าที่ได้เห็นภาพจำลองของแผนการลงโทษคนบางคน เรื่องบางเรื่อง ด้วยชีวิตคนบริสุทธิ์

เรื่องราวจากสามจังหวัดชายแดนใต้ทำให้คนไทยน้ำตาไหล

เพราะรู้สึกเจ็บปวด

การลอบฆ่า รุม และทำร้ายคนบริสุทธิ์ 

การทำให้เด็กเป็นกำพร้า ผู้หญิงเป็นม่าย พ่อแม่ต้องจัดงานศพให้ลูก

การทำให้เหย้าเรือนถูกทิ้งร้างเพราะความกลัว

อย่างนั้นคือชัยชนะหรือ

 

งานแสดงสินค้าสำหรับมหาเศรษฐีมีสาระอันใดบ้าง?

สิ่งของเหล่านี้สร้างสันติภาพให้โลก?

สิ่งของเหล่านี้ทำให้ทุกภูมิภาคมีกินอุดมสมบูรณ์?

หรือมันช่วยยกระดับศีลธรรมในจิตใจมนุษย์?

สิ่งของเหล่านี้จุดประกายความตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในโลก?

หรือว่ามันทำให้มนุษย์รู้จักให้เกียรติคนอื่น เช่นเดียวกับที่เขาให้เกียรติตนเอง?

 

??

 

นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่????