วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มันนานมาแล้ว






...ที่คุณผู้ชายเขาเริ่มมีความสนิทสนมกัน








(ภาพจากฝาผนังในพระวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ หมือนอัลบั้มก่อนหน้านี้)


วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว





ภาพชีวิตที่ถูกบันทึกไว้บนฝาผนังพระวิหารลายคำ
วัดพระสิงห์ เชียงใหม่

บุญมีแต่กรรมบัง



งามจับตา





22 ธันวาคม 2552

เหมือนๆ ว่าบุญจะมี แต่กรรมมันบัง
เคยอาศัยเชียงใหม่เป็นบ้านเป็นอู่เป็นสิบปี
จนย้ายจากไปจะครบยี่สิบปีแล้ว กลับมาแอ่วบ้านเพื่อน (เรียกอย่างนี้ถูกต้องมากกว่า "มาเที่ยวเชียงใหม่) ในปีนี้ กรรมที่บังตาอยู่เหมือนจะจางไป เลยได้ก้าวเข้าวัดพระสิงห์เป็นครั้งแรกในชีวิต

สายวันอังคารธรรมดาๆ นั้่น แดดอุ่นของฤดูหนาว จับอยู่ที่วิหารลายคำหลังน้อย
ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่งดงาม
สมกับถูกสร้างโดยศรัทธาของสล่าผู้ช่างชาญฉลาด ประณีตในการตกแต่งภายใน เพียรพยายามในการวาดเรื่องเขียนลาย บันทึกวันเวลาบางเสี้ยวลงไปบนฝาผนัง

ยังมีสิ่งหนึ่งที่จับตาฉัน คืออัจฉริยภาพในการออกแบบแสง

พระพุทธสิหิงค์งามจับตา

ได้กราบแล้วมีความรู้สึกว่ามีผู้คุ้มครอง

ออกจากวิหารลายคำเลยกล้าโทรไปคุยธุระสำคัญที่จดๆ จ้องๆ มานาน
ว่าจะโทรดีไม่โทรดี
โทรเมื่อไหร่ดี แล้วพูดยังไงถึงจะดี
พูดยังไงให้จบดีๆ




กราบพระพุทธสิหิงค์แล้วกล้าหาญอย่างนั้นกระมัง

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

26 ธันวาคม-วันนี้ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว คุณทำอะไร อยู่ที่ไหน?

ข้าวซอยเสมอใจ-ชวนใจเต้น





วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2552

วันสุดท้ายในเชียงใหม่

เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าวซอย เพื่อนๆ จึงพาไปกินข้าวซอยเจ้าดังที่อยู่ไกลถึงวัดฟ้าฮ่าม
จาก มช. ต้องวิ่งซูเปอร์ ข้ามแม่น้ำปิงไปโน่น

ร้านนี้คงดังจริง คนเยอะม้ากกกกกกกกกก
มากจนเขาต้องขายคูปอง แล้วเราก็ต้องไปเข้าคิวสั่งอาหารที่ต้องการเอง
คนก็เยอะจนเบียดเสียด เข้าไปแล้วก็ต้องรีบหาโต๊ะเหมือนตอนลงไปกินข้าวเที่ยงตอนเที่ยงเป๊ะยังไงยังงั้น พอเจอโต๊ะแล้วก็ต้องให้เพื่อนนั่งจองคนนึง ที่เหลือออกไปซื้อของกินมา

แบ่งหน้าที่กันทำ ไม่งั้นจะไม่ได้กินเสียที

ก็ตื่นเต้นดี สนุกดี (นักท่องเที่ยวจะสนุกไหม) แอบเครียดเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะมาเจอแบบนี้ (แบบว่ากะมาวีนเด็กเสิร์ฟเต็มที่)

รสชาติข้าวซอยเขาก็โอเค เลี่ยนน้อยกว่าข้าวซอยอิสลามเจ้าดังที่มากินคราวก่อน (แต่ผักกาดดองไม่อร่อยเท่าเจ้านั้นนะ) แต่ถ้ากินช้าเกินไปมันจะเค็มนิดๆ

ยังสงสัยว่า ถ้ามีเวลานั่งดีๆ สั่งดีๆ กินดีๆ ได้กินทันทีที่มันมาเสิร์ฟ
ข้าวซอยร้านนี้จะอร่อยกว่านี้ไหม

ป.ล. น้ำส้มสายน้ำผึ้งคั้นสด (ขวดละ 10 บาท) แช่เย็นจัด ที่ขายอยู่หน้าร้านอร่อยมาก


วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กุ้งเหลือทำอารายดี




มาม่ากุ้งแม่น้ำสำหรับคนโสด
(เลยต้องกินกุ้ง 2 ตัว)




สายๆ วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๒


ออกแรงเยอะทั้งคุณแม่และผู้ช่วยคุณแม่ จึงเกิดความหิวอย่างมหาศาล
อะไรจะดีไปกว่าต้มมาม่าใส่กุ้งแม่น้ำที่เหลือตกค้างจากปาร์ตี้ย่างกุ้ง รับขวัญตั้งแต่คืนแรกที่ฉันมาถึงเชียงใหม่

Mike's : คนเชียงใหม่ลองหรือยัง






Mike's เบอร์เกอร์บนถนนนิมมาน
ไม่ได้ตั้งใจจะแวะ แต่จะไปหาน้าชาน้าต้นกะแพตตี้ที่ร้านกู เลยแวะจอดรถในซอยนี้
แล้วลุงสอโทรมาบอกบุตรสาวว่าอยากกินเบอร์เกอร์พอดี

ไม่ได้ชิม ไม่รู้อร่อยไหม
ใครชิมแล้วบอกหน่อยสิ

โดมเคียงเดือน






พุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒



เย็นวันที่ท้องฟ้าฝั่งวังหลังสีจ้าจับใจ
เราได้กลับไปในสถานที่ที่คุ้นเคย
พร้อมกับคนที่ค่อยๆ คุ้นกันมากขึ้นทุกวัน



วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : แมวตัวเดียวในเชียงใหม่




พอกดชัตเตอร์เสร็จ มันก็วิ่งจู้ด




อังคารที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๒

มาเชียงใหม่ตั้งหลายวัน เจอแมวตัวเดียว คือตัวนี้
ที่ชั้น ๓ ตึกที่อุ๊แอ น้องสาวเอ๋ทำงาน
(เรียกว่าไรหว่า)

มันเป็นแมวตัวผู้ ที่เปรียว แล้วก็ไม่คุ้นคน

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สีป่าหน้าแล้ง




ธันวาคม 2552

มาเชียงใหม่เป็นครั้งที่สองของปี

หน้าหนาว ป่าแถบภาคเหนือจะเปลี่ยนสีสัน
ใบไม้ที่เคยแข่งกันเขียวชื่นตาในเฉดต่างๆ จะพากันคายน้ำ แห้งเหี่ยว
สุดท้ายก็ทิ้งตัวลงจากก้านกิ่ง

ต้นไม่ลดการคายน้ำในหน้าแล้ง
คนเราเมื่อร้องให้พอแล้วก็ควรรู้จักประหยัดน้ำตาไว้บ้าง

วันรุ่งขึ้นตาจะได้ไม่แห้งจนทำให้เจ้าตัวเจ็บ

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Nasi Jumpru : ของเขาดีจริง



ปอเปี๊ยะแฮมชีส

ช้อบชอบ
หอมทั้งแฮมทั้งชีส



อาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓

มีนัดไปเจอกับรุ่นพี่ที่บิ๊กซีหางดง (ที่เดียวกับที่ไปกินเคเอฟซีก่อนไปเยี่ยมแตงเมื่อวันวาน)
เจอรุ่นพี่แล้วก็พากันไปหาตุ๊ลุงที่วัดวัวลาย
ไปโรงพยาบาลหางดง แล้วก็หาข้าวกินกัน

จดที่อยู่ร้าน นาซิ จำปู๋ ที่อุ๊เคยแนะนำไว้ในบล็อกมา
เอ๋บอก สบาย หาไม่ยาก

ร้านนี้หาไม่ยากจริงๆ ถ้ามาจากในเวียง วิ่งเส้นเชียงใหม่-พร้าวที่จะไป ม.แม่โจ้
จะผ่านตลาดรวมโชค (มีริมปิงบิ๊กเบิ้มมาก) ทางซ้ายมือ จากตลาดรวมโชคนี้ ให้ไปกลับรถที่ยูเทิร์นที่สอง แล้วก็สังเกตซ้ายมือเอาไว้

นาซิ จำปู๋๋ จะเป็นร้านที่เดิ้นๆ เก๋ๆ ตั้งอยู่โดดเด่นในย่านนั้น
ร้านเขาแต่งสวยแบบตั้งใจแต่งให้สวย
แต่สวยแบบไม่มาก ไม่น้อย

ราคาก็ไม่น้อยหรอก สมกับรสชาติของเขาน่ะ

ไปกินกันสักสี่คนกำลังดีนะ ได้ชิมหลายๆ เมนู ในราคาที่หารแล้วไม่แพงเกินไป



สอบถามเส้นทางและรายละเอียดอื่น โทร. 053 345362
nasijumpru@hotmail.com

...อรุณสวัสดิ์






ศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒


สีสันของเช้าวันนั้นทำให้อยากกล่าวอรุณสวัสดิ์กับใครบางคน
ที่ไม่ได้มาด้วยกัน

เรื่องแม่-แม่




ประสบการณ์ของผู้โดยสารนั้นยากจะแบ่่งปัน



ธันวาคม ๒๕๕๒

มาเชียงใหม่คราวนี้เหมือนว่าจะมาเที่ยว
แต่ไปๆ มาๆ เหมือนว่าทริปนี้้ของคนเกลียดเด็กอย่างฉัน กลายเป็นทริปตามติดชีวิตแม่ และ(ว่าที่)แม่ไปซะงั้น



วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปาร์ตี้รียูเนี่ยน กับเนียน๑ และเนียน๒



มาถึงก็โซ้ย

กุ้งแม่น้ำ ๓.๕ กก.
ปลาหมึก ๑ กก.
หอยแครง ๒ กก.
เบคอนประมาณ ๑ กก. ไม่รวมหมูสามชั้นแล่บาง (ทำเนียนว่าเป็นเบคอน)

กินไปได้สักครึ่งนึงเองง่า

เอ๋เก็บค่าเสียหายแค่คนละ ๒๐๐ บาทเองง่า (เดี๋ยวพรุ่งนี้ให้รุ่นพี่เลี้ยงข้าวละกันนะแกร)





ศุกร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒

เดินทางมาถึงเชียงใหม่เป็นครั้งแรกในรอบปี
เพื่อนสาธิตที่รู้กันมา....(กี่ปีแล้ววะ?) เลยจัดปาร์ตี้กุ้งย่างเป็นการรับขวัญ

ไม่คิดว่าจะมีแขกมา surprise ตอนดึกๆ ด้วย

ป.ล. เราไม่เม้าธ์กันในนี้นะ โอเคมะ?


หนาวฝน




บางคนทั้งหนาว และเหงา




คืนวันเสาร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒

ฝนหน้าหนาวตกระหว่างทางไปแม่ริม เชียงใหม่
บางคนเปรยว่า พรุ่งนี้จะหนาวขึ้น

ฉันว่าฉันเริ่มหนาวตั้งแต่เห็นละอองฝนแล้ว

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ไหว้พระธาตุวัดสวนดอก






ศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒


รถไฟมาถึงเชียงใหม่เวลา ๑๓.๐๐ น. ช้าไปแค่ ๑๕ นาที

เพื่อนมารับแล้วพาไปกินก๋วยเตี๋ยวโบราณ (ตรงไหน?)
แล้วไปส่งฉันไปวัดสวนดอก


เราทำได้ : หมวกถวายพระ



เสร็จที่ลำพูน

อย่างเฉียดฉิว



พฤหัสบดีที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒

หลังจากรีดอะดรีนาลีนทุกหยดออกมาทำงานส่งจนทัน ก็ลากสังขารไปขึนรถด่วน(สายเหนือ)ขบวนสุดท้าย ไปเชียงใหม่

ไปเชียงใหม่คราวนี้ คุยกับเพื่อนว่าจะถักหมวกไหมพรมไปถวายพระกัน
ก็สามารถทำจนเสร็จบนรถไฟ

ถ้าไม่ได้ไปมีเคืองนะเนี่ย...คุณเพื่อน

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความคิดถึงเดินทางมา : โปสการ์ดเรียกยิ้ม




วาดรูปได้นิดหน่อย
แต่เขียนตัวหนังสือน่ารักดี

การ์ตูนตัวนี้ดูมีจริตจก้านน้อยกว่าตัวตะกี๊้

ลายเส้นเลหนักแน่นมากเลยนะ

แล้วยัยผมหยิกที่อยู่ในการ์ดนี่คือม้าน้อยชิมะ?




อังคารที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒

กลับบ้านดึก วันนี้อย่างเหนื่อย
แต่พอเปิดตู้จดหมายแล้วยิ้มออก

ขอบคุณเด็กหญิงทะเลและลุงป๊อก (ของเด็กหญิงทะเล)


ขอบคุณที่ทำให้ลืมว่าวันนี้เหนื่อยค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

9 ½ Weeks : พิกัดสมดุลในความสัมพันธ์

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

แม้จะเป็นความสัมพันธ์ของคู่รัก แต่นอกจากความรัก ความพิศวาสแล้ว คงต้องมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ประกอบด้วย ความสัมพันธ์จึงจะราบรื่น ลงตัว

ก็เรากับคู่รักไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่แต่บนเตียงนี่นา

ดูอย่างคู่รักใน 9 ½ Weeks (1986) ซิ บทบาทบนเตียงของเอลิซาเบธกับจอห์นออกจะเข้ากันได้ดี๊ดี ฝ่ายหนึ่งให้อีกฝ่ายก็รับ ฝ่ายหนึ่งรุก อีกฝ่ายก็รับ ดูออกจะเติมกันได้เต็มขนาดนั้น แต่แล้วทำไมเรื่องถึงจบได้เหงาแบบนั้นล่ะ?

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนเหมือนจะเข้าใจกันแล้ว (หรือจริงๆ ไม่เข้าใจกัน) เหมือนสองคนจะรักกันมาก (หรือจริงๆ ไม่มากพอจะให้อภัยกัน) เหมือนสองคนจะขาดกันไม่ได้ (หรือที่จริงแล้วมีฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บปวดกับการทนอยู่ร่วมเตียงกัน) และทั้งๆ ที่สามารถหยุดยั้งคนรักที่กำลังจะจากไปได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พยายามจะทำ

ฉันยังไม่เข้าใจอีกว่าทำไม? ทั้งๆ ที่ต่างก็เป็นคนที่ชีวิตนี้จะหาใครที่รู้สึกแบบนี้ด้วยไม่ได้อีกแล้ว แต่ความรักอันดื่มด่ำที่มีต่อกันนั้น ไม่มากพอจะกลบทับความเจ็บปวดในใจได้มิดเมี้ยน เหมือนมันไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้นเลยหรือ?

ช่างเป็นการเล่าเรื่องรักที่ถ่ายทอดความร้อนแรง ยั่วเย้า ทุรนทุราย เป็นความสบสนชนิดที่ยากจะหาจุดพิกัดที่สมดุล เหมาะสมลงตัว สมกับเป็นเรื่องราวของความรักจริงๆ



หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีประเด็นมากนัก แต่เป็นหนังเล่าเรื่องรักที่สวยแบบมีรายละเอียดล้นเหลือ
สมควรแก่การหามาเสพให้ซึ้งถึงอรรถรสกันเอาเอง




หมายเหตุ:
• 9 ½ Weeks (1986) สร้างจากบทประพันธ์ของ Elizabeth McNeil เป็นหนัง Erotic Drama เรื่องดังที่ไม่เมคมันนี่ตอนฉาย แต่ชื่อเสียงของหนังยังกระฉ่อนอยู่อีกนานในรูปของวิดีโอ (ใช่ วิดีโอแบบที่เป็นตลับๆ น่ะ)
• ไม่ได้กระฉ่อนเพราะมันโป๊อล่างฉ่างนะ (ห่างไกลคำนั้นมาก) แต่คงเป็นเพราะมันเป็นหนังอีโรติกที่สวยงามมากกว่า คิดดูสิ ปี 1986 กับการสร้างภาพด้วยแสงอย่างนั้น มุมกล้องอย่างนั้น ไหนจะเพลงอีก
• อีกอย่างที่น่าจะทำให้คนชอบกันมากน่าจะเป็นเพราะฉากรักที่แหวกแนวธรรมเนียมประเพณีน่ะ เหมือนกับว่าไม่ว่าคุณจะเคยมีจินตนาการทางเพศหวือหวา ตื่นเต้นแค่ไหน ตัวละครในหนังเรื่องนี้ทำมันทั้งหมด อย่างนั้นเลย
• เป็นงานที่ล้ำยุคมากๆ
• บางคนเขาจัดให้หนังเรื่องนี้เป็น Erotic Sadomasochistic สำหรับฉัน ฉันว่านี่เป็นหนังซาโด-มาโซ ที่เจ็บปวดได้วิจิตรเหลือเกิน
• นอกจากนี้มันเป็นหนังที่เป็นหลักฐานการมีอยู่จริงของยุค’80s ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม แฟชั่น แสง เงา และดนตรี เห็นแล้วอิ่มในใจ บอกไม่ถูกอะ
• Kim Basinger นักแสดงอดีตนางแบบเล่นหนังเรื่องนี้ตอนอายุ 32-33 สวยจนไม่รู้จะสวยยังไง สวยทั้งหน้า รูปร่างอิ่มเอิบโดยไม่อ้วน สมส่วน เย้ายวน ริ้วรอยยามแย้มยิ้มที่ไปกันได้กับกริยาแห่งวัย ..สาววัยสามสิบกว่าสวยอย่างนี้เอง
• อย่างเดียวในตัว คิม เบซิงเกอร์ (วิกิฯ บอก pronounced /ˈbeɪsɪŋər/ BAY-sing-ər,) ที่ฉันเห็นว่าไม่สวย ก็คือมือ เธอเป็นผู้หญิงสวยที่มือบึกมาก นิ้วใหญ่ เส้นเลือดปูดโปนได้อีก อ้อ อีกส่วนที่(จำขี้ปากคนอื่นมา)ไม่สวยคือ หนังตา มีคนวิจารณ์ว่าคิมมีหนังตาห้อยย้อย มันตก ไม่สวย ไม่รู้สิ ฉันว่าในวัยนั้น บวกกับการเมคอัพเปลือกตาอย่างนั้น เธอดูเซ็กซี่จะตายไป (อีกอย่าง สมัยนี้เค้าทำกันได้สวยเนียนแบบสบายๆแล้วหนิ)
• สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้คือ โหนกแก้ม รูปหน้าคิมสวยมาก จมูก รับกับปาก และฟัน (อาจจะครอบมา ตามฟอร์มดาราฮอลลีวูด แต่ก็โอฯ อะนะ) ขา สะโพก แล้วก็นม เป็นนมที่น่าอิจฉามาก ทำยังไงก็ไม่มีทางสวยเป็นธรรมชาติได้อย่างนั้น
• Mikey Rourke ตอนหนุ่มช่างมีแววตากับรอยยิ้มเย้ายวนเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่า 20 ปีต่อมา เขาจะกลายเป็นอย่างนั้นใน The Wrestler (2008) ไปได้ (http://en.wikipedia.org/wiki/The_Wrestler_(2008_film))
• จอห์นเป็นตัวละครที่เป็นชายในฝันของหลายคน รวย เปย์ ขี้เล่น ชอบเอาใจ ทำกับข้าวเก่ง ร้อนแรง ยั่วยวน แล้วก็สร้างสรรค์ แต่ผู้ชายแบบนี้ไม่มั่นคงอย่างแรงเลย น่ากลัวที่สุด (ฉันขอแค่คนธรรมดาที่ทำกับข้าวเก่งก็พอ)
• ซีนที่อีโรติกมากๆ คือ ฉากปิดตาส่องไฟ (เสื้อเธอบางน่ะ ), ตอนปิดตาป้อน, ฉากเริงรักที่บันได กลางสายฝน ส่วนฉากที่เอลิซาเบธเต้นระบำเปลือยนั่นแสงสวยมาก แล้วก็เป็นฉากที่ดูแล้วได้อารมณ์ที่ไม่ใช่อีโรติก แต่เป็น “ความรักและสนิมสนม” ...รักฟิลลิ่งนี้จัง
• ขอขอบคุณจูเนียร์ มายเวิลด์ สปอนเซอร์หลักที่ให้การสนับสนุนการเปิดหูเปิดตามา ณ ที่นี้ (มีอีกหลายเรื่องที่อยากเขียนถึง ให้เวลาเจ้หน่อยนะคุณน้อง)



ประตูที่ปิดตาย

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:กฤษณา อโศกสิน

ระหว่างอ่านนิยายเรื่องนี้ ฉันถามตัวเองว่า เราควรใช้เวลาทำความรู้จักกับคนคนหนึ่งนานสักแค่ไหนกัน จึงจะสามารถตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาได้

ฉัน ผู้เกิดในปีพ.ศ. หลังปีที่นิยายเรื่องนี้เขียน อ่านแล้วให้รู้สึกฉงนแกมดูแคลนยัยจิลลา นางเอกของ “ประตูที่ปิดตาย” พิลึก

ตามเรื่อง กฤษณา อโศกสิน เล่าว่า จิลลา สาว (ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องมีสร้อยต่อว่า “น้อย”) วัย 24 เลือก (จากผู้ชายที่มาติดพันอยู่2-3 คน) นพี หนุ่มใหญ่วัย 36 นักเรียนนอกสุดเพียบพร้อม คือทั้งหน้าตาหล่อ รวย มีนามสกุล แต่งตัวดี สะอาดสะอ้าน หน้าที่การงานเริ่ด ผ่านผู้หญิงมาไม่น้อย แต่ก็ยังรักษาความโสดไว้ได้

คุณสมบัติอีหรอบอย่างข้างบน ถ้าหลุดมาปรากฏในโลกทุกวันนี้ คนเล่าสาธยายยังไม่ทันจบ คงไม่แคล้วโดนคนถามแทรกอย่างรู้ทันว่า “เกย์ล่ะสิ ” แต่ไม่หรอก ยัยจิลลาไม่คิดเลยว่าคนรักที่แสนเพียบพร้อมของตัวเองจะไม่ชอบผู้หญิง หล่อนคิดว่าเขาเป็นผู้ชายเพอร์เฟคท์

ด้วยความใส จิลลาคิดว่านพีรักษาความโสดไว้เพื่อรอหล่อน (อพิโถ่-อพิถังเอ๊ย) ตื่นเต้นกับรูปที่ปรุงมาเสียสวยของ “ผู้ชาย”คนนี้ได้ไม่นานเธอก็ปักใจเชื่อว่า นี่แหละ ใช่แล้ว-แต่งเลย โดยไม่ได้ทำฉุกใจ คิดทำการ test run หาข้อบกพร่องกันเสียก่อน

เริ่มมาจับความเอาว่า เฮ้ย ผัวฉันทำไมแปลกๆ ก็เมื่อผัวไม่ค่อยเต็มใจยอมทำการบ้าน (ไหนเคยคุยว่าผ่านมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ผมไม่อยากยกย่องเชิดชูใคร) ไหนเพื่อนๆ บอกว่าให้เตรียมใจรับศึกหนักช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์ยังหวาน แต่ไม่เห็นมีอะไรเลย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ออกจะสวย ทั้งยังสาวยังแส้ ยังเต่งตึง แต่งชุดนอนบางเบา สวยเซ็กซ์ เอ็กซ์ก็ปานนี้ ผัวยังได้แต่นอนกอด แล้วก็จูบหน้าผากทีนึงก่อนพลิกตัวหันหลังให้

จนในที่สุดก็ต้องยอมรับความจริงว่า ผัวตัวเองไม่ได้ชอบมีอะไรกับผู้หญิงเท่าไหร่ ที่ชอบมากเป็นชีวิตจิตใจชนิดขาดแล้วจะแห้งแล้ง เหี่ยวเป็นบัวแล้งน้ำน่ะ คือการมีอะไรกับผู้ชายตะหาก

มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ดื้อแพ่ง ชอบเอาชนะ แม่จิลลาคนสวยเองก็มีคุณสมบัติข้อนี้ไม่น้อยกว่าคนอื่น หล่อนยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบนของสามีได้ ก็เลยยอมปล่อยตัวมีลูกกับเขาอีก (โง่จริงเธอ)

นิยายเรื่องนี้จะจบยังไง? จิลลาอาจจะสงสัย และแอบมีความหวัง (ว่าประตูยังไม่ถูกปิดตาย)

แต่ฉันเชื่อว่าถ้าจิลลาเกิดช้าเท่าพวกเรา เธอคงรู้ตอนจบโดยไม่ต้องเดา
และหวังว่า ถ้าเธอเป็นสาวยุคเดียวกับพวกเรา คงใช้เวลาทำความรู้จักกับผู้ชายให้ดีกว่านี้ ไม่รีบด่วนมีสามีโดยที่เธอและคนรักยังคงเป็น “คนแปลกหน้า” บนเตียง

(ถ้าเธอรู้ตัวว่าชอบมีอะไรกับผู้ชาย อย่างน้อยที่สุดก็ควรแน่ใจว่าผู้ชายของเธอก็ชอบผู้หญิง ไม่ใช่ “ผู้ชาย” และไม่ใช่ “บางครั้งผู้ชาย บางครั้งผู้หญิง”)

คนเป็นเกย์สมัยนี้แทบจะหลอกผู้หญิงไม่ได้แล้ว และส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมหลอกด้วย เพราะเขายอมรับนับถือตัวเองกันมากขึ้น (สังคมก็เหมือนจะยอมรับเขามากขึ้นด้วย) เปิดเผย และเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ส่วนผู้หญิงสมัยนี้ก็มองได้เก่งขึ้นว่าผู้ชายคนไหน “แท้” คนไหน “ไม่แท้” ผู้หญิงที่ถูกเกย์หลอกให้แต่งงานด้วยเพื่อภาพลักษณ์จึงมีน้อยลง



นอกเสียจากว่าเธอคนนั้นจะเข้าใจ และยอมแต่งด้วย เพราะข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง




หมายเหตุ:
• กฤษณา อโศกสิน เขียนนวนิยายเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2517 นานมากแล้ว ผู้คนยังไม่รู้จักคำว่าเกย์กันเลยมั้ง ตอนนั้น เชื่อว่านอกจากจะมีเกย์ที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง ไม่ยอมรับตัวเองแล้ว ก็คงมีผู้หญิงโดนเกย์หลอกแต่งงานด้วยไม่ใช่น้อย การเขียนถึงหัวข้อนี้จึงเป็นอะไรที่กล้ามาก ฉันรู้สึกนับถือนักเขียนท่านนี้มาก ช่างเป็นประเด็นที่แสนจะล้ำยุค จนปัจจุบันก็ยังทันสมัยอยู่เลย
• ฉันคิดอยากอ่านนิยายเรื่องนี้มาเป็นสิบปีแล้ว แต่เพิ่งมาสอยฉบับพิมพ์โดยประพันธ์สาส์น (ลดราคา) ในงานสัปดาห์หนังสือที่เพิ่งผ่านมานี้เอง
• (ปกเฉิ่มไปหน่อยเนอะ)
• อ่านแล้วไม่ผิดหวังเลยจริงๆ นอกจากไลฟ์สไตล์ของตัวละครและฉากแล้ว การอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ให้อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเชย หรือตกยุคแม้แต่น้อย
• ฉันยังไม่เคยแต่งงาน แต่ฉันไม่ชอบเลย เวลาที่คนพูดว่าการแต่งงานก็เหมือนซื้อหวย ฉันกำลังบอกคุณว่า อย่ายอมรับชะตากรรมหลังแต่งงานเพราะเชื่อว่าการแต่งงานก็คือการซื้อหวย แต่จงเลือกคนที่จะแต่งงานด้วยเหมือนเลือกซื้อรถ ไม่ว่าจะซื้อมือแรกหรือมือสอง ถ้าไม่ลองคุณจะรู้ได้ไงว่ารถคันนี้วิ่งดี
• เซ็กซ์ก่อนแต่งอาจไม่ช่วยการันตี 100% ว่าเขาไม่ใช่เกย์ เพราะเขามีความสุขกับคุณได้ อย่าลืมว่าผู้ชายบางคนนั้นมีความสุขได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย แต่เซ็กซ์ก่อนแต่งจะให้ข้อมูลสุดสำคัญกับคุณหลายอย่าง อย่างเบๆ เลยคือคุณจะรู้อุปนิสัยของฝ่ายตรงข้าม ความอดทน การให้เกียรติ การปรนนิบัติเอาใจ ความอ่อนหวาน สัญชาตญาณ ฯลฯ ซึ่งสิ่งสำคัญที่คุณควรสนใจเป็นพิเศษคือ แรงดึงดูดที่มีต่อกัน และความเข้ากันได้ (หรือไม่ได้)
• การหาความสุขทางเพศของผู้หญิงเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงผู้ชายมากขนาดนั้น (ฉันเปล่าเป็นเฟมินิสต์) ดังนั้น ถ้าโลกนี้ไม่เหลือผู้ชายที่ดีพอจะเป็นสามีของคุณก็อย่าได้แคร์ เกย์เป็นเพื่อนที่ดีของผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้หญิงบางนางเสียอีก อันที่จริง ฉันเชื่อด้วยว่าผู้หญิงกับเกย์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ เพียงแต่คุณต้องออกแบบวิธีการใช้ชีวิตในแบบของคุณเท่านั้น
• สุดท้ายนี้ อยากให้มนุษย์ทุกเพศมีชีวิตอย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียน และไม่แย่งชิงกัน (โอม...จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มาแย่งสามีของฉันไปเลย)

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เราทำได้ : หมวกเด็กผู้ชาย




หมวกใบแรกใบเล็ก ต้องให้น้องอิ่ม

ทารกที่เพิ่งคลอด
(พอดีเชียว)




ปีที่แล้วๆ มาถักแต่ของตรงๆ ผ้าพันคอเป็นส่วนใหญ่
ปีนี้ชักกำเริบ เลยเริ่มลองถักของกลมบ้าง
แต่ก็เป็นของกลมที่ทำมาจากของตรง เริ่มลองถัดหมวกจากไม้นิตตรงดูมั่ง

(เพราะว่าไม้นิตแบบนั้นมันแพง ลงทุนซื้อมาแล้วกลัวไม่มีปัญญาถักให้เสร็จน่ะสิ)

ลองถามหาแพทเทิร์นหมวกแบบง่ายๆ จากเอจัง
เอจังก็แสนดี ก๊อปปี้มาให้ เป็นแบบถักหมวกถวายพระน่ะจ่ะ

ด้วยความมั่วของฉัน ฉันก็จับมา adaptation ทำเป็นหมวกใบเล็กๆในแบบที่สัญญาไว้เสียก่อน




วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : แมวหัวเน่า






พุธที่ 9 ธันวาคม 2552



เจ้าอ้วนเป็นแมวเจ้าถิ่นแถบนี้
ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ออกจะคิดถึง แล้วก็นึกไปว่าคงเศร้าไม่น้อยถ้ารู้ว่ามันไม่อยู่แถวนี้แล้ว

วันนี้เห็นมันนอนแผ่ที่ทางเดินตามเคย เลยเข้าไปทัก

ฉันมองเห็นแต่ไกล ว่าหัวมันเยินมาก เต็มไปด้วยแผลเหมือนว่าไปสู้รบกะใครมา
มันอาจจะไปแย่งผู้สาวกับแมวอื่นมามั้ง เพราะถ้ามันไปรบกับหมา แผลคงไม่จุ๋มจิ๋มแค่นี้หรอก

จากการลูบๆ คลำๆ ไล้ๆ ไล่ไปทั่วแบบเดียวกับที่พวกแมวพอใจ(ให้ทำ)
รู้สึกเจ้าอ้วนจะผอมลง มันดูเหมือนมีก้อนอะไรที่ใต้คางข้างขวาด้วย
ที่พุงก็มีก้อน เฉพาะที่พุงของมันนี่ มันไม่อยากให้จับ ไปโดนที่ไรมันใช้ขาหลังถีบมือออกทุกที

มีหนนึง มันอาจจะเจ็บ เลยออกฤทธิ์
กางเล็บตบใส่หลังมือฉันมาทีนึง
เลือดออกซิบๆ



ยังร้ายเหมือนเดิมนะ
เจ้าแมวหัวเน่า

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เ รื่ อ ง น่ า คิ ด : สอนเด็กอย่างไรดี?





เหตุผลที่จำเป็นจริงๆที่เราต้องสั่งสอนเด็กนั้น..
เพื่อให้เค้าได้เติบโตเป็นเด็กที่รู้ถึงกฎของสังคม อยู่ร่วมกับชาวบ้านเค้าได้


ไม่ใช่มีไว้ให้เราเอาทัศนคติและคุณค่าการมองโลกของเราซึ่งเป็นพ่อแม่ยัดเยียดให้กับเด็ก










จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=warabimochi&month=09-2008&date=20&group=22&gblog=3
(ชอบอ่านบล็อกนี้จัง)

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันวานยังหวานอยู่






วันอาทิตย์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๒

กลับไปธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตเป็นครั้งแรกใน..*@x~..ปี (ฮา)
เพื่อไปสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น

สอบนี่เขาจัดพร้อมกันทั่วโลก เพื่อวัดระดับความรู้ภาษาญี่ปุ่นซึ่งได้จัดเป็น ๔ ระดับ จากต่ำไปสูง คือ ๔-๓-๒-๑

หลายคนมาสอบเพื่อจะไปเรียนต่อ หลายคนมาสอบเพื่อความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน
ฉันเองไม่แน่ใจว่าตัวเองมาสอบกะเขาทำไม (เหอ เหอ)

เขาจัดสอบ ๒ รอบ รอบเช้าเป็นการสอบระดับ ๒ กับ ๓ เพราะงั้น คนคงไม่เยอะเท่ารอบบ่าย ซึ่งเป็นการจัดสอบระดับ ๑ (คงมีคนสอบไม่เท่าไหร่) กับ ๔ (ระดับนี้สอบกันบานเลย เพราะเป็นระดับเตี้ยสุด คนเริ่มเรียนไม่นานมักจะสอบระดับนี้กัน)

แน่นอนว่าฉันไปสอบรอบบ่าย ไม่ใช่ระดับ ๑ แต่เป็น ๔ และแม้ว่าจะเสียประสาทกับเสียงเซ็งแซ่ของบรรดาเด็กมัธยมปลายหญิง (ทั้งที่แท้และไม่แท้) นับเป็นพันๆ ที่มาสอบระดับเดียวกัน (คงไม่ใช่ระดับ ๑ แน่ๆ) มึนกับข้อสอบ แต่ฉันก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่ภายในเวลาไม่กี่ทศวรรษ ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตในความทรงจำก็เปลี่ยนไปมากอย่างนี้


ถ่ายรูปมาเล็กน้อย เท่าที่เรี่ยวแรงหลังการสอบยังพออำนวย
(รีบกลับด้วยแหละ)


คิดถึงชีวิตเด็กบ้านนอกเมื่อวันวานจังเนอะ

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เตือนใจ





明日は明日の風が吹く

คำอ่าน : ashita wa ashita no kaze ga fuku
คำแปล : พรุ่งนี้ก็จะมีลมของวันพรุ่งนี้พัด

ความหมาย : วันพรุ่งนี้จะมีลมที่ไม่เหมือนกับในวันนี้พัด
เป็นคำสอนว่าการกลุ้มอกกลุ้มใจกับเรื่องของวันพรุ่งนี้ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ต้องปล่อยให้เป็นไปตามที่จะเป็น




วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เราทำได้ : ฟุโรชิกิห่อสองขวด



ชิลๆ



ห่อขวดเดียวน่ะจิ๊บๆ
คราวนี้มาเล่นทีละสองกันดีกว่า

ประเด็นสำคัญยังคงอยู่ที่ขนาดของผ้าสี่เหลี่ยมจตุรัสที่ต้องยาวมากกว่าความสูงของขวดสองใบต่อกันพอควร ถึงจะมีหูหิ้วขนาดกำลังดี

เราทำได้ : มาห่อขวดด้วยผ้าฟุโรชิกิกันบ้าง



ห่อของขวัญ
ทีนี้จะหิ้วเหล้าหิ้วไวน์
พรางได้สบาย
(ง่าย+ชิลล์)

ไม่มีใครรู้ว่าข้างในคืออะไร




เริ่มจากห่อขวดเดียวก่อนละกัน
คราวนี้ใช้ผ้าเช็ดหน้าเก๋าโจ๋ (โสนิดๆ) ที่เอาไว้คลุมแลปทอปมาห่อ

เราทำได้ : ห่อของทรงกลมด้วยผ้าฟุโรชิกิ




ลองทำดูโลด




ฟุโรชิกิ เป็นผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่คนญี่ปุ่นใช้งานสารพัดประโยชน์
เขามีวิธีใช้ห่อนั่นห่อนี่ได้พิสดารพันลึก-โดยไม่จำกัดว่าของที่ห่อต้องมีรูปทรงยังไง

คราวนี้ขอสาธิตการห่อ+หิ้วของ "กลม"
มีผ้าพันคอสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่บ้านลองเอามาใช้ห่อกันมั่ง
ทีนี้ก็ไม่ต้องง้อถุงพลาสติกแล้ว

ป.ล. จริงๆ รูปพวกนี้ถ่ายไว้ทำงาน (ขอบคุณพี่หมี)
แต่ไม่เป็นไร หนังสือมันออกไปแล้ว
เอามาเล่าต่อให้บางคนได้ใช้ประโยชน์ดีกว่า

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : แวะเล่นกันก่อน



เจ้ไม่ใช่ต้นมะม่วงนะยะ

ถ้านั่งเล่นด้วยเธอจะโดดขึ้นตัก





อาทิตย์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

ฤกษ์งามยามดี ย่างออกจากบ้านจะไปเยี่ยมหลานน้อย
แต่ก่อนอื่น ต้องไปกินเอ็มเคที่คาร์ฟูร์ปากซอยกับเพื่อนก่อน

เพื่อนโทรมาบอกว่าจะมาช้าหน่อยเพราะถูกคู่รักขัดขวาง
ทำให้พลาดรถบีทีเอสเที่ยวสายวันอาทิตย์ไปหนึ่งขบวน

ดีนะ ที่เรียกเจ้าเหมียวมาเล่นกันตั้งพักใหญ่
ไม่ต้องไปแกร่วรอเพื่อนนานเกินไป

เลยไม่ค่อยมีน้ำโหนัก

อิ อิ





วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันดีดีที่บางกอก




แค่เปิดตามองอะนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

วันอาิทิตย์อากาศดี (ที่จริงต้องเรียกว่าหนาว)
ฉันมีนัดกับเพื่อน วันนี้เราไปเดินเล่นที่สวนสมเด็จพระนางเจ้าฯ กัน

ตอนแรกท้องฟ้าหม่นมัว ลมหนาวพัดอยู่ตึงๆ ชวนให้ขดตัวกลม หลับฝันหวาน
แต่ทำไงได้ สวนนี้เขาไม่ให้นอน
เราเลยเดินเล่นไปเรื่อยๆ พักใต้หางนกยูงที่ยังไม่ได้เวลาออกดอกบ้าง
ใต้ซุ้มไม้ใบอ่อนบ้าง

แล้วก็ไปหยุดที่สวนกล้วย
ดีใจจัง ตอนนี้สวนสมเด็จพระนางเจ้าฯ รวบรวมกล้วยสวยๆ ไว้เยอะแยะเลย

ตอนนี้กำลังออกปลีมีเครือกันให้วุ่นวาย
ตกเย็นแดดออก อากาศก็หนาว
สำหรับฉัน วันนี้ต้องจัดเป็นวันที่ดีที่สุดวันนึงของปีในบางกอกเลยล่ะ


ป.ล. ไม่รู้บรรยากาศจะดีอย่างนี้ไปอีกกี่วันนะ

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รูปที่เพื่อนถ่ายให้#2







ฉันเคยแต่กับการถ่ายรูปให้คนอื่น
ไม่ค่อยชินกับการมีคนถ่ายรูปให้เท่าไหร่

รูปแรกๆ หน้ายังมึน
แต่เอาเป็นว่า ต่อไปจะทำตัวให้ชินกับการโพส

แล้วจะยิ้มให้หวานที่สุดเลย

คอยดู







หมายเหตุ: เสาร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
หอศิลป์กรุงเทพ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Travel + Leisure Southeast Asia

http://www.TravelandLeisureAsia.com

(ข่าวฝาก)

สิ้นปีนี้ ถ้าคิดจะเที่ยวทั้งในประเทศและประเทศอื่นๆใน Southeast Asia รวมทั้งฮ่องกง มาเก๊า คลิ๊กเข้ามาดูข้อมูลโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ สปาและช้อปปิ้ง รวมทั้งค้นหาและจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรมและแพคแกจท่องเที่ยวได้ด้วยนะคะ หรือใครไปเที่ยวมาแล้ว อยากจะแชร์ประสบการณ์ก็เข้ามาเขียนบล็อกท่องเที่ยวได้ (ภาษาอังกฤษนะคะ) ที่ http://blog.travelandleisureasia.com ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรก็เข้ามาคอมเมนท์และคุยกับคนอื่นๆในบล็อกได้นะคะ


อ้อ... ถ้าหากสมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ตอนนี้ก็จะมีโอกาสได้ลุ้นรางวัลเป็นตัวเครื่องบินชั้นธุรกิจและที่พักระดับ 5 ดาวฟรี ซึ่งสามารถดูรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ค่ะ

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

New York, I Love You : เรื่องของความรัก และการเรียนรู้ที่จะอยู่กับรัก

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Romantic Comedy


ว่าไหมว่าขณะที่เราดูหนังแต่ละเรื่อง หรือแต่ละรอบของหนังเรื่องเดิมๆ พื้นอารมณ์ความรู้สึกที่เรามีขณะนั้น มีส่วนมากๆ กับความรู้สึกที่จะเกิดจากการดูหนังเรื่องนั้น หรือรอบนั้น

ฉันไปดู New York, I love you ประสาสาวโสด เมื่อเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๒

ก็รู้มาก่อนว่าจากหนังเรื่องนี้เราจะได้ฟิลลิ่งคล้ายๆ Paris, Je t’aim (Paris, I love you) ซึ่งฉันก็มาดูในโรงเครือเอเพ็กซ์นี่แหละ จำได้เลือนๆ ว่าก็เป็นการเล่าเรื่องความรัก ดีๆ บ้าง สะเทือนใจบ้าง (ก็ความรักมันออกจะมีมิติรอบตัว) แต่ไม่รู้ว่าเพราะดูเรื่องนั้นมานาน จนความจำชักเลือน หรือเพราะความรู้สึกอบอุ่นที่เริ่มก่อตัวในใจ ฉันถึงรู้สึกว่าเรื่องรักในนิวยอร์กมันน่ารัก สดใส จับใจ มากกว่าหนังรักของปารีสไปซะได้

ความรักในหนังทั้งสองเรื่องเกิดในเมืองใหญ่อันแสนจะสับสน เพราะเป็นที่ที่ผู้คนจากทั่วโลกมุ่งตรงมาเพื่อหาที่ทาง หาโอกาส และความสำเร็จของตัวเอง ความพยายามแก่งแย่งและเอาเปรียบกันนี้แหละที่ทำให้เกิดภาวะแล้งรัง จะรักใครก็ไม่กล้า จะพูดกับใครก่อนก็กลัว เพราะต่างก็เป็นคนแปลกหน้า ไม่รู้จักกัน ไม่วางใจกัน ไม่เชื่อในตัวกันและกัน

จะว่าไปแล้ว ถ้าเราก้าวพ้นความรู้สึกระแวงที่เว่อร์กว่าสัญชาตญาณระแวงภัยนี้ไปเสีย บางที แม้ไม่ใช่ความรักดีๆ ที่เราได้พบ แต่สิ่งที่ได้เจออาจจะเป็นมิตรภาพที่ดี มีค่ามากกว่าความรักห่วยๆ ที่เคยไขว่คว้ามาเพราะความหน้ามืดเสียอีก

หนังเรื่องนี้ไม่ได้แค่เตือนฉันให้เปิดประตูต้อนรับคนแปลกหน้า แต่ยังบอกอีกว่าเมื่อเขาก้าวเข้ามา มอบความรู้สึกดีๆ และความปรารถนาดีให้กับฉันถึงในบ้านแล้ว ฉันก็ควรบำรุงถนอมรักษาน้ำใจไมตรี และความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่อฉัน (และฉันมีต่อเขา)เอาไว้ให้เป็นอย่างนั้นอีกนานๆ

ในความรู้สึกของฉัน ไม่ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในปารีส นิวยอร์ก บางกอก หรือเชียงใหม่ ความรัก แม้จะมีอยู่รายรอบตัวเรา แต่รักดีๆ (และสำหรับเราเท่านั้น) ไม่ใช่ของหาง่าย ไม่สะดวกซื้อสะดวกหา เหมือนของกินใน(หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา ที่)เซเว่นอีเลเว่น

และถึงแม้ความรักจะแข็งแรง แต่ก็เป็นสิ่งเปราะบาง แตกหักง่าย ซ่อมดียังไงก็ไม่มีทางเนียนสวยเหมือนเดิม


เพราะอย่างนั้น ถ้าไม่อยากอยู่โดยไม่มีความรัก ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความรัก..อย่างมีความสุขด้วย (เรื่องนี้สำคัญมาก)





บันทึก:
• หนัง New York, I love you เล่าเรื่องรัก ๑๑ เรื่อง แต่....ทำไมไม่มีรักของเกย์เลยละค๊า????
• เรื่องที่ประทับใจคือเรื่องของหนุ่มเชน กับสาวยิว ความสับสนในดวงตาของนาตาลี พอร์ตแมน ทำให้เรา lost ได้อีกแล้ว และเธอคนนี้คือสาวไม่มีผมที่สวยที่สุดจริงๆ
• เรื่องของออร์แลนโด บลูม กับ crime and punishment ก็น่ารักดี (เอามากๆ) ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่คิดจะอ่านนิยายเรื่องนี้ให้จบเหมือนกัน (ดูตอนนี้แล้วอยากใช้ไอโฟนขึ้นมามั่ง อย่างตะหงิดๆ)
• ตอนอีธาน ฮอว์ก จีบสาวไม่ติดใจ แต่ชอบท่าสูบบุหรี่ของแม็กกี้คิวเอามากๆ ยิ่งตอนเธอพูดจีนในอีกตอน ยิ่งเซ็กซี่
• ตอนหนุ่มน้อยควงสาววีลแชร์ไปงานพรอม ข้ามไปได้เลย
• ตอนของจูลี่ คริสตี้ มีเสน่ห์ที่สุดในความรู้สึก ทั้งแอคติ้ง ฉาก แสง มุมกล้อง แล้วก็ความหลอน อู้ยยย อยากดูเต็มๆ (ชอบตัวละครตัวนั้นมากๆ เลย)
• ตอนที่พอร์ตแมนเขียนบทให้เด็กผิวขาวมีพ่อเป็นหนุ่มนักเต้นผิวดำก็ดี อบอุ่นจังเลย
• ตอนศิลปินโทรมๆ กับซูฉี เป็นตอนที่สะเทือนใจมาก เห็นไหม ความรักไม่ให้เวลาเรานานหรอกนะ
• ตอนคุณปู่คุณย่าเป็นตอนที่น้ำตาเกือบไหล เป็นตอนที่อยากให้เพื่อนคนหนึ่งมาดูด้วยกัน คิดว่าเขาคงชอบมากเหมือนกัน
• อีกตอนที่ชอบคือ ซีเคว้นซ์ที่ผู้ชายกับผู้หญิงออกมายืนสูบบุหรี่นอกร้านอาหารแล้วคุยกัน ใช่อะ คิดว่าใช่ อยู่กันไปนานๆ แล้วผู้ชายจะลืมอะไรบางอย่างไปแบบอีตาคนนี้แหละ (รู้ตัวแล้วอย่าลืมอีกให้มันบ่อยนักนะคะทูนหัว)
• อยากถ่ายหนังแบบยายคนนั้นบ้างจัง
• ดีใจที่ได้ไปดู
• จะดีใจกว่านี้ไหม ถ้าไม่ได้ดูคนเดียว?

ฤดูร้อนไม่เคยจากเราไปไหน





พฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

อากาศร้อน-แดดแรงมาก







ดอลลาร์จัง หลังพายุฝน



ใต้ตาเธอมีคราบ เหมือนคราบน้ำตา
แต่ใต้ขาเธอมีหยดน้ำเกาะพราว

เซ็กซี่ อีโรติกสุดๆ ไปเลยนะ โลเล



เสาร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒


หน้าหนาว แต่อากาศร้อนอบอ้าวมาหลายวัน
แล้วฝนก็ถล่มลงมาบ่ายวันนี้

ฟ้าร้องครืนครืนตอนเราดู Kafoo
ข้างนอกฝนตก แต่ข้างในไม่หนาว

ออกจากลิโด้ ก็เดินไปหาดอลลาร์


"Hajimemashite -ยินดีที่ได้พบกันนะ ดอลลาร์จัง"

ฝนตกเมื่อกี๊ทำเธอหนาวไหม?

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นิราศบางลำพู




เหมือนเพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นาน

อิ อิ




อาทิตย์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

ทั้งที่เข้าหน้าหนาวแล้ว แต่อากาศร้อนมาก
จนฉัน ซึ่งตั้งอกตั้งใจจะไปบางลำพูต้องผัดผ่อนตัวเองว่า
เย็นๆ แล้วค่อยออกไปดีไหม

กลายเป็นพอก้าวเท้าออกจากบ้าน ฝนก็ปรอย
อ้อ ร้อนฝนจะตกนี่เอง

ลงจากบีทีเอส ฉันพบว่าท้องฟ้าตรงนี้ครึ้มหม่น
แต่เมฆแหวกให้แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องมาจากทางฝั่งธนฯ
แสงสีช่างสวยงาม

ฉันชื่นชมกับช่วงเวลาน่าแปลกประหลาดนี้เพียงคนเดียว


เสียมเรียบที่ได้เห็น






๒๓-๒๖ ตุลาคมที่ผ่านมา ไปเสียมเรียบ
ยังเหลือภาพบรรยากาศเมืองเสียมเรียบที่ยังไม่ได้โชว์
ก็เลยนำมาโชว์ ประสาคนชอบโชว์


โรงแรมในเสียมเรียบหน้าตาประหลาด
คือเหมือนว่าจะทำให้เหมือนวิมานบนสวรรค์มากกว่าโรงแรม
(เท่าที่เห็นโซฟิเทลดูดีที่สุด)

คนเขมรดูไปละม้ายคล้ายไทยและลาว
แต่รู้สึกลาว (หลวงพระบาง) จะดูอ่อนหวานเรียบร้อยอย่างชัดเจน
สาวไทยไม่ต้องพูดถึง เพราะหล่อนก้าวไปไกลกว่าเพื่อน

พล่ามมากน่าเบื่อ
ดูรูปเอาละกัน


วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

my signature



เขาตั้งชื่อรูปนี้ว่างั้น


ฉันบอกว่าไม่ได้สิ ต้องเปลือยหลัง
แล้วมีเด็กหนุ่มคอยไล้น้ำแข็ง

เขาบอก เด็กหนุ่มไล้น้ำแข็ง
นั่นแหละ-หายาก





ใครบางคนบอกว่ารูปพวกนี้
เป็น signature ของฉัน



shadow of your smile







The shadow of your smile
When you have gone.
Will colour all my dreams
And light the dawn.

Look into my eyes, my love, and see
All the lovely things you are to me.

Our wistful little star
Was far too high.
A teardrop kissed your lips,
And so did I.

Now when I remember spring,
And every lovely thing,
I will be remembering
The shadow of your smile.
Your lovely smile.






ป.ล. เธอก็รู้ว่าฉันหลงใหล "เงา" แค่ไหน

คือช่วงเวลาอันงดงาม




ฉัน กับ กก




ช่วงเวลาอันงดงามระหว่างความห่างไกล


(แต่ไม่ห่างกัน)

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มีตั๋วไปเชียงใหม่วันนี้

Start:     Dec 17, '09
Location:     หัวลำโพง-เชียงใหม่

ยังไม่ได้แพลนว่าจะไปกี่วัน
กลับวันไหน
ไปไหนบ้าง
จะไปคนเดียวหรือมีคนไปด้วย

แต่คิดว่าจะไปแน่ๆ
(คิดถึงเชียงใหม่ ปีนี้ยังไม่ได้ไปเรย-เปนปายด้ายยางงาย?)


หมายเหตุ ตั๋วมันเลื่อนมาจากช่วงวันหยุด 23 ตุลาน่ะนะ
(ตื่นเต้นว่ะ)

มากหน้า-หลายตา






เสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

อันเนื่องมาจากขากลับ ไม่มีใครนั่งแถวหลังด้วย

ยุ้ยไปเที่ยวเพลินวานต่อกับญาติ (จะเห็นได้ว่าใครๆ ก็มาหัวหินวันสุดสัปดาห์)
น้องเอิ้นย้ายไปนั่งกับเพื่อนเด็กสาว

ทิ้งฉันให้นั่งพูดโทรศัพท์จนตัวเองยังปวดหัว
ยังดีมีกิจกรรมแก้เบื่อตอนรถติด (แปลว่าถึงกรุงเทพแล้ว)

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันเดียว ที่วีรันดาหัวหิน






ศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

ขึ้นรถไปวีรันดาหัวหิน
เขาเปิดมา ๕ ปีแล้ว ก็เพิ่งได้เห็น ได้ไปพัก ได้ไปกินข้าวนี่แหละ
(แต่วีรันดาเชียงใหม่ไปมา ๒ หนนะเออ)

แต่เท่าที่ได้เห็น ก็เห็นไม่หมด
เขาไม่ได้พา Inspect รีสอร์ต เลยไม่เห็นสปา และไม่ได้ชมพูลวิลล่า
ก็ทริปนี้เขาจะอวดร้านอาหาร ไม่ใช่สปา หรือพูลวิลล่า

ร้านอาหารเขาสวยจริง
อาหารก็ดีทั้งสองห้อง
ทั้งห้อง Dining room ที่ได้กินบุฟเฟ่ต์ตอนเที่ยงวันศุกร์
และบุฟเฟ่ต์เช้าในวันต่อมา

ห้องที่ได้พักน่ะเป็นห้องเบฯๆ แต่ได้วิวทะเล (โอ้วแม่จ้าว ใกล้ห้องอาหารมากไปไหม)
โดยรวมน่ะโอ เล็กแต่โอ ห้องน้ำกระทัดรัด แต่แบ่งสัดส่วนพื้นที่ได้ดี ออกแบบแสงไว้ดี

ส่วนเรื่องราคา ...ถ้ามาหัวหินคงไม่ได้มาพักที่นี่หรอก
จริงๆ โรงแรม-รีสอร์ตที่เคยไป ราคาระดับมาพักเองไม่ได้ทั้งน้านน

ต่อให้ได้ gift voucher ที่พัก+อาหารเช้ามายังต้องคิดเลย
ว่าจะจ่ายตังค์ค่าข้าวมื้ออื่นไหวไหม

เหอ เหอ

(ชีวิตก็งี้แหละ)

อุ่น อรุณสวัสดิ์บนหาดชะอำ



ดูที่ผิวน้ำสิคะ





วันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒


เพราะว่าใจจดจ่อจะมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่หาดชะอำ
จึงตื่นแต่เช้าตรู่ ก่อน wake up call ซะอีก

เข้าห้องน้ำแล้วก็เดินหัวฟู ลากแตะตรงไปริมหาด
แล้วเลยรับสาย wake up call รอพระอาทิตย์ขึ้น ตอนที่เท้าสัมผัสฟองคลื่นอยู่นั่นเอง


อากาศเช้านี้เย็น ยิ่งตรงริมหาด ลมยิ่งแรง
เรียกว่าหนาวได้เต็มปาก

แต่หนาวอยู่้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็ขึ้น


แสงสีส้ม กลมดิก ลอยขึ้นช้าๆ จากผืนน้ำ

ร่างกายได้อาบแสงอ่อนๆ
ก็เริ่มอุ่นขึ้นทีละน้อย
...ทีละน้อย


อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่พระอาทิตย์
(หน้าหนาว นอนตื่นสายนะคะ)




คำถามที่มีคำตอบ






คำถาม : ดูเหมือนพวกผู้ชายชอบความท้าทาย

ถ้าวันนึงหมดความท้าทาย
เรื่องมันจะเป็นไงนะ?



คำตอบ : พี่ว่าผู้ชายก็เหมือนผู้หญิง คือคนเหมือนกัน
 
ทุกคนมีวันหมดความท้าทาย หรือเบื่อ ซึ่งถึงวันนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับความผูกพัน การควบคุมตัวเอง (หิริโอตัปปะ) เพื่อที่จะทำให้เรารักษาความรู้สึกที่ดี (ที่ไม่ใช่ความหวือหวา) ต่อกันได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้แต่เราไม่ทำผิดต่อกัน เราก็จะจากกันด้วยความรู้สึกที่ดี ที่ยังมีมิตรภาพที่ไม่จางจากไป
 
ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไป...แต่จะเปลี่ยนอย่างไรขึ้นอยู่กับ (ความดีของ) เรา
 
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าคิด แต่ไม่ใช่คิดเพื่อทำให้วันนี้เราไม่มีความสุข เพียงต้องคิดว่าทำอย่างไรให้ดีที่สุดระหว่างเรา (คำว่าดีที่สุด อาจรวมถึงความถูกต้องด้วย)



มีเพื่อนดีเป็นศรีแก่ปาก : คุกกี้ป่นมาถึงแล้ว



ตอนเอาออกจากบับเบิลน่ะ มันหลุดทะลุฝาครอบที่ติดสก็อตเทปมาเชียว

ดีนะ ที่มดไม่ขึ้น
ไม่งั้นตรูโดนประจานแน่




เสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

ไปนอนหัวหิน ๑ คืนก็กลับ
กลับมาถึงบ้านไม่เย็นมาก ห้องนิติบุคคลยังไม่ปิด
เลยได้รับพัสดุห่อคุกกี้มาจากเชียงใหม่

ต่อไปขอให้ส่งไปที่ออฟฟิศ
และขอให้แพ็คกว่านี้
ถ้าไม่มีอุปกรณ์บรรจุที่จะรักษาคุณภาพขนมได้ดีกว่านี้ ก็อย่าส่งมาเลย
เสียดาย


สุดท้ายนี้ขอขอบคุณคนทำ ที่อุตส่าห์นึกถึง และแบ่งส่งมาให้ชิม


วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฝากดูสเปคหน่อยจิ





มะเช้าเพิ่งได้แจกใบปลิวมา
งานคอมมาร์ตมันจะมีวันที่ 5 นี้

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อัปสราแห่งนครวัด





ขอรวมรูปเหล่าอัปสราผู้น่ารักไว้สักอัลบั้ม

อัปสราเป็นนางฟ้าที่ถือกำเนิดขึ้นจากกวนเกษียรสมุทร (กวนเสร็จแล้วมีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นทั้งหมด ๗ อย่าง อัปสราเป็นหนึ่งในนั้น)

พวกเธอแต่ละนาง (องค์? ตน? คน?) ที่ประดับฝาผนังปราสาทนครวัดอยู่มีคาแรกเตอร์ต่างกันไป
มีเสน่ห์น่าทำความรู้จัก สนใจและหลงใหลต่างกันไปตามจินตนาการของช่างผู้แกะสลักหิน

น่ามีเวลานานๆ ค่อยเดินพินิจเสน่ห์ฺของพวกนางไป

ไปเสียมเรียบคราวนี้ สนุก และมีความสุข
ส่วนหนึ่งก็เพราะได้ไปเห็นอัปสราใกล้ๆ นี่แหละ

Just to see Angkor (not ready to die-single!)



เอจังฝากเยี่ยมต้นหมาก





บ่ายวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๒

ในที่สุดก็ได้เห็น Angkor Wat กับตา

นี่คือ ๑ ใน ๗ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่สร้างขึ้นหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๗ โดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๖๕๖-๑๖๙๓) เพื่ออุทิศถวายแด่พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เพราะตะแกนับถือลัทธิไวษณพนิกาย (แถมเชื่อว่าตัวเองเป็นอวตารของพระวิษณุอีก)

นามแท้จริงของปราสาทจารึกไว้ว่า "พระพิษณุโลก" หรือ "วิษณุโลก" ส่วนชื่อ นครวัด นี่ เขามาติ๊ต่างเรียกกันภายหลัง

เรื่องวัตถุประสงค์ในการสร้างปราสาทหลังนี้ยังเป็นที่คลุมเครือ คือบางหลายคนก็เชื่อว่านี่เป็นการสร้างสุสานของพระองค์เอง (เหตุหนึ่งเพราะปราสาทหันหน้าไปทางตะวันตก อีกเหตุตรงกลางของปรางค์องค์กลางที่สูงที่สุด มันเหมือนมีแท่สำหรับตั้งศพ ใต้นั้นบรรจุทราย มีการคาดเดาว่าทรายมีไว้สำหรับรับน้ำเหลืองจากศพ ไม่ให้ไหลเลอะเทอะนั่นเอง-แต่อันนี้ก็ไม่ได้เข้าไปเห็นกะสองตาหรอกนะ แค่เดินรอบๆ ก็มืดแล้ว)

คือเมื่อตาย ก็เอาศพมาไว้ที่นี่ แล้วก็จะได้กลายเป็นพระวิษณุไปจริงๆ อะไรอย่างนั้น

(ในช่วงชีวิตของสุริยวรมันที่ ๒ พระองค์ยังคลั่งสร้างอีกหลายปราสาท-สมัยนั้นอาจดูบ้าและโหด กับการเกณฑ์แรงงานคนมาขนหิน มายกหิน มาแกะสลักหิน แต่คิดๆ ดูก็เหมือนท่านลงทุนทำไว้ให้รุ่นหลังๆ-ไม่รู้เป็นลูกหลานหรือเปล่าหรอก-ได้เก็บดอกเก็บผลกิน ต่างชาติอย่างเราจะเข้าไปดูเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่ได้หรอก ต้องจ่ายคนละ ๒๐ ดอลลาร์ต่อวันเสียก่อน)


เป็นอะไรที่ใหญ่โตมโหฬารมากมาย ลองคิดดู ปราสาทหลังนี้ (โปรดหาลิงค์ใน Google Earth ดูเอานะ) สร้างขึ้นในสมัยที่ยังไม่มีรถแบ็คโฮ ไม่มีแม้แต่รถอีแต๋นสำหรับขนหิน ไม่มีเครนยกหิน อะไรทำให้มนุษย์เป็นพัน ใช้เวลาจำนวนมากในชีวิตมาขนหิน จากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง นั่งตอกแซะหินทุกวันให้กลายป็นลวดลายละเอียดลออ เป็นนางอัปสรายิ้มพริ้มพราย

แค่แรงศรัทธาในเทพเท่านั้นหรือ?

ตามรอย Angelina Jolie ที่ปราสาทตาพรม



น่ารัก-น่าเอ็นดู

ถ้าหาเงินได้เท่าโจลี่ ก็จะชวนมาอยู่ด้วยหรอก






ก่อนเที่ยงวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๒

จากปราสาทบายอน เราขึ้นรถตรงมายังปราสาทตาพรม
Location หนัง Tomb Raider (2001) ที่ Angelina Jolie เล่นเป็น Lara Croft

(แบร่บว่าไม่เคยดูกะเค้า เลยไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นตรงไหน)

ปราสาทตาพรม (ชื่อจริงๆ ตามจารึกว่า "ราชวิเหียร" (ราชวิหาร) แต่เรียกกันอย่างนี้ี้ตามชื่อของตาพรม คนเฝ้าปราสาทสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาสำรวจ เป็นปราสาทที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ คนสร้างปราสาทบายอนสร้างอุทิศถวายให้พระนางชัยราชจุฑามณี (แล้วสร้างปราสาทพระขรรค์ให้พ่อ) ในปี พ.ศ. ๑๗๒๙ ที่นี่เคยมีเทวรูปรูปนางปรัชญาปารมิตา ซึ่งตามคติทางมหายานแล้วถือเป็นเทพีแห่งสติปัญญาประดิษฐานอยู่ใจกลางปราสาทด้วย

แล้วตอนนี้เทวรูปนี่อยู่ไหนหรอ
...ก็ฝรั่งเศสไงจ๊ะ



วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รอยยิ้มแห่งบายอน






วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๒

เพิ่งได้ฤกษ์ไปเที่ยวปราสาทหิน หลังจากที่มาถึงเสียมเรียบได้สองวันกว่า
เช้านี้จะได้ไปบายอนก่อน ไกด์(=ที) บอกให้ทำเวลา จะได้ไปตาพรมอีกที่ก่อนกลับไปกินเที่ยงที่โรงแรม พักหน่อยนึง แล้วพอบ่ายก็ค่อยออกมาชมปรา่สาทนครวัดกัน

เขาจัดเวลาอย่างนี้ เพราะว่าปราสาทนครวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันตก (ก็มันถูกสร้างเป็นที่ตั้งศพ)
ต้องไปชมตอนเย็น ตอนที่แสงสุดท้ายของวันจับส่องปราสาท มีท้องฟ้าสีครามบนส้มเป็นฉากหลังจึงจะงาม (แต่ฉันได้ไปหลังปราสาททางทิศตะวันออกในอีกวันรุ่งขึ้นด้วยนะเออ)

ปราสาทบายอน สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ผู้นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งสร้างปราสาทนี้ขึ้นในนครธม หรือนครหลวง ที่ท่านปกครองอยู่ หลังจากที่ขับไล่พวกจามที่มายึดครองนครออกไปได้ ในปี พ.ศ. ๑๗๒๔ (๘๒๘ ปีก่อน)

บายอนถูกสร้างให้เป็นเสมือนภูเขาศูนย์กลางจักรวาล หรือเขาพระสุเมรุ เป็นปราสาทแห่งเดียวที่ไม่มีกำแพง แต่ใช้กำแพงร่วมกับกำแพงเมืองนครธม (เท่ากับมีพื้นที่ใหญ่ม้ากกก-ก็เมืองนครธมมีพื้นที่ตั้ง ๙ ตารางกิโลเมตร )

พรมพักตร์แห่งบายอน หรือที่เราเห็นเป็นหินสลักรูปใบหน้ามนุษย์ทั้ง ๔ ทิศรอบองค์ปรางค์ ซึ่งเชื่อว่า แต่เดิมมีอยู่ทั้งสิ้น ๕๔ ปรางค์นั้น (คนไทย)สัญนิษฐานกันว่าเป็นรูปใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในรูปของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (แบบว่าพระองค์ทรงถือว่าตัวเองเป็น "พุทธราชา" หรือเป็นเสมือนปางอวตารปางหนึ่งของพระโพธิสัตว์ในความเชื่อของทางมหายานนั่นเอง)

และที่ต้องให้มีใบหน้าถึง (๕๔ ยอด x ๔ด้าน=) ๒๑๖ พระพักตร์ (!!!) มองไปทั่วทิศในนครธมนั้น ก็เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจ ประมาณว่าท่านคอยดูอยู่ ท่านจะช่วยคุ้มครองดูแล ปัดเป่าทุกข์ภัยให้นั่นเอง

ฉันว่ายิ้มของพระโพธิสัตว์นั้น เย็นชื่นใจดีทีเดียว
สบตากับท่านคราใด อดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆ ตอบไปบ้าง

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวตลาดซาจ๊ะ



มันไม่ใช่ของจริงอะ



เสาร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๒

หลังจากเที่ยวโตนเลสาบ ไกด์พามาเปล่อยให้เดินที่ตลาดซาจ๊ะ
ตลาดเก่าริมแม่น้ำเสียมเรียบ
มีขายของที่ระลึก และอื่นๆ

ใครใคร่ช็อปปิ้งของที่ระลึก ช็อป
ใครใคร่เดินสอดแนวชีวิตความเป็นอยู่คนแถวนี้ เดิน

ฉันช็อปนิดหน่อย เพราะคิดว่าของหลายอย่างมาจากเมืองไทย
(ฮา)

ส่วนใหญ่เลยเดินเตร่ดูอะไรๆ
และ...ถ่ายรูปให้ป๊อป

มังสวิรัิติ "คุณเชิญ"




เท่าที่ชิมวันนั้น ยกให้จานนี้เป็นที่ 1 ตะวันนา

รสชาติกลมกล่อมมาก พี่เอบอกไม่ได้ใช้กะทิจริง เป็นกะทิจากธัญพืช จากน้ำมันดอกทานตะวัน
จะไม่มีไขมันอิ่มตัวสูงเหมือนกะทิจริง

เนื้อเห็ดโคนญี่ปุ่น (เพาะในเมืองไทยนี่แหละ) กรุบๆ ให้อารมณ์เดียวกับเวลาเรากินแกงคั่วหอยแครงใบชะพลู


ส่วนกลิ่นนั้น หอมมาก หอมใบชะพลูและชะอม

ชามนี้ราคา 120 บาท




พฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2552



โอกาสดี นอกจากได้ไปชิมอาหารมังสวิรัติร้านคุณเชิญแล้ว ยังได้เจอพี่เอ - เชิญจุติ มณเฑียรมณี ตัวเป็นๆ อีกด้วย

(ตอนนี้พี่เค้าเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามีแล้ว-แต่จำไม่ได้ มีลูกแล้ว 2 คน แต่ยังเท่เหมือนเดิม)

ทึ่งมากเมื่อรู้ว่าพี่เอไม่ได้บริหารร้านอย่างเดียว แต่ลงมือเองทั้งหมด ตั้งแต่จ่ายตลาด ปรุงอาหาร คิดเมนู ฯลฯ

สิบกว่าปีก่อน บ้านพี่เอทำโรงแรม ชื่อ "นิวเศรษฐกิจ" อยู่แถวๆ สถานีรถไฟเชียงใหม่ ร้านอาหารมังสวิรัติร้านแรกของครอบครัว เริ่มเมื่อ 15 ปีก่อน โดยคุณแม่ พี่เอ แล้วก็น้องๆ พี่เอบอก แรกๆ ขายได้วันละ 200 แต่ไม่เป็นไร ช่วยๆ กันล้างจาน

จนกระแสชีวจิตมา จนคนชิมกันแล้วชอบ ครัวคุณเชิญเลยมีโอกาสมาแนะนำตัวกับคนกรุงเทพฯ
แต่ก่อนมีสาขานึงอยู่แถวแปลนสาทรไง ใครเคยกินมั่ง?

พี่เอบอกว่า อยากทำอาหารมังสวิรัติที่อร่อยเหมือนอาหารปกติทั่วไป และอยากจะทำให้เป็นอาหารที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
คือไม่ใช่แึค่ไม่กินเนื้อสัตว์แต่ยังเป็นอาหารที่ปรุงจากส่วนผสมที่ดี ไม่มีสี ผงชูรส และสารกันบูด

พี่เอบอกอยากให้แต่ละบ้านลองริเร่ิมทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพแบบง่ายๆ
เพื่อที่อย่างน้อยที่สุด เมื่อเด็กๆ กลับมาถึงบ้าน จะได้กินอาหารที่ดี สะอาด และมีคุณค่าสักมื้อ



ร้านอาหารมังสวิรัติ "คุณเชิญ" สาขาที่ไปนี้ อยู่ที่ชั้น G บางกอกเมดิเพล็กซ์ ปากซอยสุขุมวิท 42 ตึกนี้มีทางเชื่อมกับสถานีบีทีเอสเอกมัย

อาหารมังสวิรัติที่นี่อร่อยจริง
ถ้ามีโอกาส น่าจะลองไปชิมกันบ้าง
ถ้าเห็นราคาแล้วติว่าแพง วิธีแก้ง่ายๆ คือชวนกันไปกินหลายๆ คน หารแล้วจะไม่แพง
ละก้อ อย่าลืมสั่งชามะลิบ๊วยมาชิมนะ
แปลกดี ขมชา หอมมะลิ และเค็มบ๊วย มีหวานนิดหน่อยพอชื่นใจ

สอบถามอะไรๆ โทร 0 2713 6599 ได้
ใครอยู่แถวกาญจนาภิเษก ตรงนั้นมีอีกสาขานึง
พี่เอบอกร้านจะเป็นบ้านๆ สวนๆ แต่งแบบเมืองๆ หน่อย (ก็พี่เอเขาคนเชียงใหม่)
มีอาหารแมคโครไบโอติกตามสูตรด้วย (แต่ไม่มีปลานะ)

เดือนหน้าจะเปิดอีกสาขาที่งามวงศ์วาน สาขานี้จะมีบุฟเฟ่ต์มื้อเที่ยงเหมือนที่เชียงใหม่

สาขาเชียงใหม่อยู่ย่านนิมมาน (ร้านนี้น้องชายชื่อ ดี๋ ดูแล)
อยู่นิมมานซอยอะไร ลืมแล้ว
วานคนเชียงใหม่ช่วยสงเคราะห์ด้วย



เทศกาลภาพยนตร์อังกฤษ 2009

Rating:★★★
Category:Other

เทศกาลภาพยนตร์อังกฤษ 2009

3-11 ธันวาคม 2552 โรงภาพยนตร์เอสเอฟเวิลด์ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์



เทศกาลที่คนรักหนังไม่ควรพลาด บริติช เคานซิลร่วมกับสถานทูตอังกฤษ TK Park และเอสเอฟเวิลด์ ซีเนม่า คัดภาพยนตร์คุณภาพจากสหราชอาณาจักรที่นักวิจารณ์และสมาพันธ์ภาพยนตร์ทั่วโลกรับรองแล้วว่าเยี่ยมมาให้แฟนๆชาวไทยได้ชมกันทั้งสิ้น 5 เรื่อง อาทิ The Age of Stupid ภาพยนตร์กึ่งสารคดีกึ่งแอนนิเมชั่นกับคำถามสำคัญที่ว่า “เหตุใดเราจึงไม่ร่วมมือกันหยุดภาวะโลกร้อนในเมื่อเรายังมีโอกาส” It’s a Free World ภาพยนตร์รางวัลโดยผู้กำกับชื่อดังจากสหราชอาณาจักร Ken Loach ซึ่งกำกับภาพยนตร์เรื่อง Looking for Eric ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องราวของสาวกผีแดง โดยมี เอริค คันโตน่า อดีตดาวยิงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชื่อก้องร่วมแสดงด้วย และ Is anybody there?นำแสดงโดยนักแสดงคุณภาพชาวอังกฤษ Michael Caine ในบทนักแสดงมายากลวัยเกษียณที่ต้องเผชิญชีวิตร่วมกับเด็กชายคนหนึ่งในบ้านพักคนชรา โดยผู้สร้าง Harry Potter และการฉายภาพยนต์อนิเมชั่นเอาใจคุณหนูเรื่อง Thomas&Friends ณ TK Park



นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆที่น่าสนใจในเทศกาลเทศกาลได้แก่ การนำเสนอโครงงานผู้ได้รับรางวัลเงินทุนสนับสนุนจากบริติช เคานซิลเกี่ยวกับเรื่องการรับมือภาวะโลกร้อนในชุมชน และเวิร์กช้อปหนังสือทำมือจากวัสดุรีไซเคิล