วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความชัดเจนของความรู้สึก


ช่วงนี้ชีวิตรักสับสน

 

..เออ ที่จริงชีวิตรักของอิฉันก็สับสนมาตลอดแหละ

ถ้ามีสักครั้งที่มันเรียบลื่น ลงตัว ตอนนี้ก็คงมีครบทั้งลูกและผัว

(ไม่งั้นก็อาจจะแอดว้านซ์กว่านั้น คือกลายเป็นแม่ม่ายลูกติดไม่ก็ซิงเกิลมัมไปแล้ว)

 

ตลอดช่วงเวลาที่ดีเปรสชั่นของความสับสนครั้งล่าสุดกำลังครองน่านฟ้า

เพื่อนสาวสนิทก็ได้คอยให้สติ เตือน ให้แรงส่ง และคอยเบรก ตามจังหวะที่เหมาะสม

แต่สุดท้าย เพื่อนฟันธงว่าอย่าไปใส่ใจมันเลย

ประมาณว่าแค่ภัยธรรมชาติ จากโกลบอลวอร์มมิ่ง เดี๋ยวดีเปรสชั่นก็สลายกำลังไปเอง

 

คิดแบบไม่เพ้อฝัน ก็ชักจะเห็นจริงตามเพื่อนว่า

 

เพื่อนคงรู้ว่าเป็นคนอ่อนไหว และใจอ่อน

จึงคอยเตือนอยู่เรื่อยๆ ถึงเหตุผลว่าทำไมไม่ควรเสียเวลากับความสัมพันธ์ครั้งนี้

เมื่อเช้า ตอนเราคุยกัน เพื่อนส่งเนื้อเพลงมาเพลงนึง

"เมื่อเช้าฟังเพลงนี้นะ นึกถึงแกกับ..."

 

บอกให้เธอรู้สักอย่าง เราอยู่ห่างเกินไป
เธอวางตัวกับฉันทีไร เหนื่อยใจไม่อยากทวงถาม

จากที่เคยใช้เวลาเนิ่นนาน ทุกอย่างเท่าเดิม
แล้วทำไมไม่คิดเพิ่มเติม เธอเว้นทางเดินเผื่อใคร

 

อิฉันอ่านแล้วหัวร่อก๊ากกับความอินของเพื่อน ตอบไปว่า

"เมื่อวานชั้นฟังเพลงตอนโหนรถสองแถวนะฮะ นึกถึงตัวเองกะ..."

 

แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว
และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน
กับอะไรที่เป็นไป ก็ยังไม่เคยลืม
เหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ

เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว
ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา
เป็นแค่ความประทับใจ ที่ยังคงแน่นหนา
มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ

 

เพื่อนแย้งว่า ไม่หรอก เพลงของอิฉันมันเหมือนกับว่า อิฉันมีอะไรลึกซึ้งกับเขาแล้ว

 

"อ้าวหรอ (ฮ่าฮ่า) ไมใช่อย่างนั้น

ก็แค่นี้แหละ
แค่ความอ่อนไหวของชั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น"


ดิฉันบอกเพื่อน

จริงๆ แล้วมีเพลงนึง ที่ได้ฟังต่อจากปาล์มมี่

เป็นเพลงที่ฟังทีไร ก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างอิฉันกับเขา

มันชื่อว่า "ชัดเจน"

 

ปิดตา แต่ยังคงได้ยิน ปิดหูก็ยังได้กลิ่น
ปิดไฟก็เห็นด้วยจินตนาการ
อยากอยู่ ดูแลเธอใกล้ ๆ โอบกอดและเอาใจใส่ ไม่ให้ใจว้าเหว่ได้เลย


* ชัดเจน นี่แหละรักที่พร้อมเป็นใจ ที่ไม่ใช่รักที่ว่างเปล่า ที่เหงาเหมือนเงาที่เบลอ ๆ
ชัดเจน นี่แหละรักที่โตเต็มใจ ที่ไม่ใช่เป็นความรักที่แปลก ๆ เหิน ๆ ห่าง ๆ อยากใกล้กัน อยากชิดกัน
อยากพูดทุกวัน ฉันรักเธอ ชัดเจน

คิดถึง อยากดึงเธอมาใกล้ และนี่คือเรื่องใหญ่ ชัดเจน
เรื่องจริง ไม่ต้องอิงนิยาย ไม่ต้องรอเมื่อไหร่ อยากบอกให้เธอเข้าใจ รักเธอ

(*)

รัก รัก รักอย่างชัดเจน
รัก รัก รักอย่างชัดเจน

 

ตลอดเวลาที่ดีเปรสชั่นพัดเข้ามา จนมันสลายกำลัง กลายเป็นเม็ดฝนสามัญ

คนนึงชัดเจนตลอด

แต่อีกคน....ไม่เคยเลย

 

 

เรื่องหมาหมา : หมาเมือง


เธอยืนรอกินลูกชิ้นที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ริมถนนจะขึ้นพระตำหนักฯ

ไปเชียงใหม่คราวนี้ไม่ได้เจอแต่แมว
แต่ยังเจอน้องหมาเยอะแยะ
เก็บภาพมาฝากคนรักหมาด้วยนะฮะ

เกาะกลุ่มหนุ่มสาวขึ้นภูกระดึง

Start:     Dec 12, '08 8:30p
End:     Dec 15, '08
Location:     ภูกระดึง จ.เลย
จะขึ้นภูกระดึงเป็นครั้งแรก
กับกลุ่มน้องๆ ก๊วนที่่ปีที่แล้วไปอุ้มผางกัน

ทริปนี้มีน้องชายจากมัลติพลายไปด้วยอีกคน
(ท่าทางจะเป็นผู้ชายคนเดียวซะละมัง?)

สาวๆ ตื่นเต้นกันน่าดู

เหอ เหอ

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วัดอุโมงค์วันนี้




วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๑

บ่ายสามเข้าไปแล้ว แต่ยังอยากจะไปวัดอุโมงค์
ดีที่ไม่ต้องไปคนเดียว มีน้าชาไปด้วย
และน้าชาก็ดีมากๆ เค้าก็สนใจเรื่องที่เค้าสนใจไป
ปล่อยให้เราสนใจตรงสิ่งที่เราสนใจ
พอต่างคนต่างสนใจสิ่งที่ตัวเองสนใจเสร็จ
เราก็เดินไปจุดที่เราสนใจเหมือนกัน

ชอบไปกะเพื่อนแบบนี้
เกลียดคนที่อยู่ไหนก็ไม่มีความสุข หาเรื่องสนใจไม่ได้
อยู่ที่ไหนก็ชวนยิกๆ ว่าให้ไปเถอะๆ

(ป่าวว่ากระทบใคร แค่เปรยขึ้นมา)

อย่างที่บอกว่าวัดอุโมงค์เป็นวัดในความทรงจำของเด็กสาธิต ม.ช.
ภาพในความ ทรงจำคือความเขี่ยวชะอุ่ม (เพราะเรามักมากันตอนย่างเข้าหน้าฝน เพื่อถวายเทียนพรรษา) ทางเดินมาวัดตอนนั้นเป็นถนนลูกรัง มักจะมีน้ำขังเป็นหลุมเป็นบ่อเป็นปกติวิสัย

พอมาถึงวัดก็ต้องเดิน ให้มันระวังๆ เพราะพื้นวัดก็จะลื่นไปด้วยพวกตะไคร่ มอสส์ จากความชื้นเป็นเนืองนิตย์ ส่วนที่ไม่ใช่หิน(หรืออิฐ)ปูก็จะแฉะเป็นน้ำชาเย็นข้นคลั่ก
พอเข้าไปในโบสถ์ (โบสถ์ใช่มะ) พื้นปูนมันก็จะเย็นมากๆ แต่พวกเรานั่งอยู่บนเสื่อพลาสติกที่นั่งแล้วขาเป็นแนว เจ็บ แถมเหน็บกินอีก

ระหว่างนั้นยุงตัวโตๆ ก็จะทยอยหมุนเวียนมากัดเรา
ซึ่งเราก็ต้องอดทน เพราะว่าการฆ่ายุงในวัดมันจะบาป
.........

ได้มาเห็นวัดอุโมงค์ในวันนี้ เกือบจำไม่ได้
เหมือนว่าภาพเดิมๆ เปลี่ยนไปเยอะ แต่คงไม่เปลี่ยนไปหมด
ที่นี่ยังให้ความรู้สึกของความเย็น เย็นสบาย-ใจ

แต่สีสันและบรรยากาศของวัดที่ได้เห็นวันนี้ สว่างไสวสดใสขึ้นเยอะ
(อ๊ะ อ๊ะ โปรดอย่าแซวว่าเพราะมากะน้าชา)
สงสัยเหตุผลจะเป็นทำนองเดียวกับที่รู้สึกว่า บันไดทอดขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพสั้นลง

ก็เพราะเมื่อก่อนเรายังเด็ก
แต่เดี๋ยวนี้..กะลังจะแก่แล้ว

T-T

ป.ล. ขาไป หนูอ้นกะน้าเอ๋ขับไปส่งถึงวัด แต่ขากลับ ตั้งท่าจะเตียว(เดิน)ออกมา
แต่คุณน้องใจดี ขับรถแจ๊ซสีน้ำเงินที่มานั่งสมาธิ แวะถามว่าจะออกไปด้วยกันไหม
(ใจดีจัง) เราเลยติดรถเขาออกมาปากซอย

จิงๆ เขาถามว่าจะไปนิมมานฯ ไหม เกรงใจ เลยขอลงแค่ปากซอยพอ
(คนเชียงใหม่ใจดีจัง ^_^)





ชิมมังสวิรัติร้านคุณเชิญ


ตรงข้ามเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือคุณหมอ
แล้วมีซอยที่เดินไปไอเบอรี่ได้

คนกรุงเทพฯ ที่เป็นมังสวิรัติต้องเคยได้กินอาหารร้านคุณเชิญที่แปลนสาทร
ล่าสุดคุณเชิญจุติ มณเฑียรมณี ซึ่งจิงๆ แล้วเป็นคนเชียงใหม่
(ถ้าจำไม่ผิดเป็นเด็กเรยีนา) ก็ไปเปิดร้านบนถนนนิมมาน
เพื่อนเอ๋บอกว่า ย้ายร้านมาหนนึงแล้ว

อิฉันมาคราวนี้ เพื่อนเอ๋กะพาไปกินไรไม่รุ แต่หนูอ้นขับมาจอดพรืดตรงซอย ๑๗
เจอร้านคุณเชิญพอดี เพื่อนเอ๋ก็พาเข้าร้าน

ร้านนี้สวยดี มีพื้นที่มาก เรามาเลยมื้อเที่ยง (ไม่ทันกินบุปเฟ่ต์อะ) เลยยิ่งสบาย หายใจสะดวก
ในร้านคุณเชิญมีร้านกาแฟโบราณ และร้านน้ำผลไม้ปั่นด้วย

อาหารสะอาดดี รสชาติใช้ได้ อร่อยรสเบาๆ แบบอาหารมังฯ
ส่วนราคาก็ระดับร้านอาหารในร้านอาหาร ไม่ใช่แบบราคาก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวซอย
ถ้าสนใจลองมาชิมกันดูนะฮะ

ร้านคุณเชิญ นิมมานเหมินทร์ ซอย ๑๗ ฮะ

ไหว้พระเลี้ยง




วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๑

หลังจากย้ายที่พัก นอนเขลง เพื่อนเอ๋มารับไปกินข้าวบ่ายแล้ว
ก็ไปวัดอุโมงค์ต่อ
ทำสำออยชวนน้าชามาด้วย น้าชาก็แสนดี เคยมาแล้วก็ยังมาเป็นเพื่อนอิฉันอีก
(ไม่รู้ว่าในใจนึกกลัวอิฉันจะทำร้ายจิงๆ ไหม)

วัดอุโมงค์นี่ เด็กสาธิตรุ่นๆ อิฉันจะรู้จักกันดีมาก
เพราะเมื่อก่อนนี้เราต้องเดินเท้าจากโรงเรียนมาถวายเทียนพรรษากันทุกปี
(ไกลโคตรฮะ ไม่รู้ว่าเดินกันได้ยังไง)

ที่อยากจะมาวัดอุโมงค์เพราะตั้งแต่ออกจากโรงเรียนก็ไม่ได้มาวัดนี้อีกเลย
สมัยก่อนตอนได้มา สติปัญญาก็ยังน้อย ดูอะไรก็คงไม่ซึมเข้าสมอง
จำได้อย่างเดียวว่ายุงวัดนี้ตัวโตมั่ก ตบก็ไม่ได้ด้วย

อีกอย่างที่ทำให้นึกอยากมาคือ มีพระน้องมาบวชอยู่พอดี

น้องคนนี้เป็นน้องในมัลติพลาย ชื่อว่า kittiimage ฮะ
ตอนคุยกันใหม่ๆ น้องเปรี๊ยว-เปรี้ยว ต่อปากต่อคำกันสนุกมาก
เลยประทับใจมาก
แต่หลังๆ น้องเค้าก็หายไป คงติดภารกิจเรื่องงาน

คุยไปคุยมาถึงรู้ว่าน้องเลี้ยงนี่ รู้จักกะพี่อ้วน แต่ว่า ดันมาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกะหนูนาที่ปริ๊นสรอย
โลกมันแสนจะกลม

ขอสารภาพว่า ไม่คาดหวังว่าจะได้เจอพระหรอกนะฮะ
เพราะว่ายังไม่เคยเจอหน้ากันเป็นๆ เลย เคยเห็นแต่ HS เล็กๆ พอมาเจอแบบไม่มีผมจะจำได้เรอะ

เรื่องของเรื่องคือโชคดีน่ะฮะ
มาพอดีเวลาที่จะทำวัดเย็น
ออกจากอุโมงค์มาพอดีพระใหม่เดินกลับกุฏิ
เห็นพระรูปนึง ท่าทาง.... ใส่แตะสีแดง และโหนกแก้มแบบนั้น
ก็ลังเลฮะ เป็นสตรีจะวิ่งไปถามพระก็ใช่ที่
เลยถามหลวงพี่ที่เดินอยู่ท้ายแถว ว่าพระเลี้ยงอยู่ไหมคะท่าน (น้าชาก็ช่วยถามด้วย)
เลยได้เจอกัน

พอพระเห็นพี่ก็จำได้นะฮะ
แต่ดันทักว่า "พี่นี่ดูอ้วนกว่าในรูปนะครับ"

พูดจาแบบนี้ เชื่อเลยนะฮะว่าพระรูปนี้...ใช่พระเลี้ยงจริงๆ ด้วย

ยืนคุยกันเรื่องชีวิตและสุขภาพสักครึ่งชั่วโมงได้
นานเหมือนกันนะฮะ



ขอบ่น

ไปบ่นที่บ้านเพื่อน
เพื่อนแซวว่าเรื่องบ่นยาวขอให้บอก
เลยย้ายมาบ่นบ้านตัวเอง

เราน่ะ

คนไม่รู้จักอาจคิดว่าเป็นคนเปิดเผย
แต่ที่จริงแล้วทั้งนอยทั้งหวงความเป็นส่วนตัว

มีคนตั้งเยอะ ที่เราไม่รับแอด เพียงเพราะ
-เค้าไม่ได้เขียนข้อความขอแอด (เราถือว่ะ เรื่องนี้)
-เค้าเป็นใครไม่รู้
-เค้าไม่เคยคุยกะเรามาก่อน (ควรทำความรู้จักกันก่อนนะ)
-เค้ามีคอนแทกเป็นร้อยๆ

แต่เราไม่เคยบอกเค้าเลยว่าทำไมเราไม่รับแอด
แค่ดอง invitation ไว้งั้นแหละ จนมันเน่า แล้วแอบลบทิ้ง
บางคนยังตามมาขอแอดอีกรอบด้วย
แถมจำไม่ได้อีก ว่าเคยขอแอดแล้วครั้งนึง เมื่อ....ก่อน

เอากับเขาสิ

ตอนนี้เรามีคอนแทกใกล้ร้อย และแอบดีลีทคนที่หายไปออกอยู่เรื่อยๆ (ไม่อยากให้มันเกินร้อย)
แต่ครึ่งนึงในนั้นเป็นเพื่อนในโลกจริง ที่แม้ไม่ค่อยเล่นมัลติพลาย แต่เรายังไม่อยากลบคนพวกนี้ออก
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเค้าคงรำคาญอีเมล์แจ้งเตือนว่าอีนี่อัพอีกแล้วๆ ทุกวี่วัน
เพราะว่าเราอยากให้เค้ามาอ่านเรื่องของเราไง

ป.ล. เราไม่ขอแอดใครพร่ำเพรื่อด้วย
ไม่มั่นใจ กลัวเขาไม่รับ

โดยมากจะรอจนเขาขอแอดเองอะ


ป.ล. มันก็ยาวจิงๆ แหละ


ฮักยืนยง




ตอนทราบว่าเพื่อนเอ๋มีแฟนเป็นรุ่นน้องนั้น
อิฉันก็ไม่ได้สนใจไรมาก ไม่คิดว่าเพื่อนจะมีแฟนเป็นเด็กได้นาน
(ประมวลผลจากการที่ตัวเองไม่ค่อยนิยมเด็ก)

ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนและเด็กของเพื่อนคบกันยาวนาน มาสิบปีกว่า
แล้วก็แต่งงานกันสำเร็จ จนจะครบ ๒ ปีมะรอมมะร่อ
(ในขณะที่อิฉันยังโสดสนิท แถมมีผู้ชายหลายคนส่ายหน้าใส่)

จากรุ่นน้อง อ้นพิสูจน์ตัวเองกับทุกคน แล้วยกระดับตัวเองมาเป็นสามี
และต่อไปสองคนนี้คงกลายเป็นพ่อเป็นแม่
(ถ้าไม่มีใครเป็นหมัน)

อ้อ ถึงเวลานั้นขอเป็นน้านะยะ

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ของฝาก




มีของฝากจากดอยสุเทพฮะ

เป็นข้อความดีๆ จากป้ายจากต้นไม้พูดได้ สองข้างทางบันไดขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ และบนวัดฮะ

ดอยสุเทพเป็นศรี




วันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑

นั่งรถแดงไปหน้าสวนสัตว์ เพื่อขึ้นรถแดงประจำทางขึ้นดอยสุเทพ-ปุย-พรตำหนักภูพิงค์
สนนราคาค่ารถถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพวันนี้ อยู่ที่ ๔๐ บาท (เที่ยวเดียวนะ ขาลงก๊อต้องจ่ายอีก ๔๐) แพงขึ้นกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่นับว่าไม่แพงเกินไปหรอก

ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยขึ้นรถแดงขึ้นวัดพระธาตุเสียที
ที่เคยไปมาก็ไปกับที่บ้าน ไปกับเพื่อน
มานั่งคราวนี้รู้สึกดีจัง
มันอิสระมากๆ
อากาศก็ดีเชียว ก็ตอนนี้ยังไม่สิ้นฝน ต้นไม้ยังเขียว ป่าหอม
ต้นขี้เหล็กฝรั่งยังออกดอก ป่าบนที่สูงก็ย่อมทำให้เรารู้สึกเย็นสบายเป็นธรรมดา

บนนั้นมีบางสิ่งเปลี่ยนไป แต่ฟีลลิ่งโดยรวมยังคงเดิม
สิ่งที่เปลี่ยนไปเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น
-ของที่ระลึก และของขาย เดี๋ยวนี้หันมาขายผ้าคลุมไหล่ราคาซื้อง่าย คงเผื่อสาวๆ ที่อยู่ๆ ก็หนาวสะท้านขึ้นมา จากฟิล์มกลายเป็นขายเมโมรีการ์ด อีกอย่างที่ฮิตคือภาพ แนวเศียรพระพุทธรูป
-ไม่มีคนมาชวนปล่อยนก
-ไม่มีเด็กแม้วมาชวนถ่ายรูป
-ไม่มีเด็กแม้วมาขายดอก
-เค้าปูกระเบื้องบันไดใหม่ เมื่อก่อนเป็นปูนๆ จะลื่นน้อยกว่านี้นะ
-องค์พระธาตุกำลังซ่อมอยู่


ป.ล. รู้สึกบันไดขึ้นวัดสั้นลง เดินแป๊บเดียวก็ถึง
(หรือมีใครเอาไปซ่อน??)


Afternoon Delight




บ่ายวันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑

เดินสิ้นหวังอยู่ในสวนสัตว์
พยายามจะสำรวจให้ทั่วๆ ว่ามีสิ่งน่าพิสมัยอันใดในที่แห่งนั้นบ้าง
แล้วสายตาก็ประสบกับเงายามบ่าย

อือ ใช่ อย่างน้อยสวนสัตว์เชียงใหม่ก็มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น
ชื่นใจเหมือนกัน

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

จะหัดหื้อมันเตียว



น่ารักโคดๆๆ

เห็นอะไรอ้วนๆ กลมๆ อย่างนี้แล้วอยากเตะ





ศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑

ระหว่างเดินมึนส์อยู่ในสวนสัตว์
มองไปเห็นสัตว์สี่ขา ตัวดำ
ก้อกะลังจะด่าว่า ห่า เอาหมาเข้ามามาดูสัตว์ด้วย
(สายตาสั้นแต่ไม่เคยใส่แว่นเลยฮะ)

ปรากฏว่า...

เฮ้ย!!! นั่นมันลูกหมูนี่หว่า

ปรี่เข้าไปถาม พี่ที่มะรุมมะตุ้มกะนังหมูน้อยนี่อยู่ (หน้ามึนกว่าอิฉันอีก) ตอบสั้นๆ
"จะหื้อมันหัดเตียว" (แปลว่า-จะใหมันหัดเดิน น่ะ)

ประมาณว่า เหมือนว่าเค้าจะเอามันออกโชว์ แต่มันไม่ยอมเดิน
เลยเอามันมาหัดให้เดิน
แต่มันก็ยังไม่ยอมเดิน
ไม่แม้แต่จะยอมใส่บังเหียนสีแดงนั่น

เอาแต่ร้องกรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆ ตลอดเวลา

ฟังแล้วจะขาดใจ



ไม่ชอบสวนสัตว์




วันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑
เป็นวันทำเก๋ ออกเที่ยวคนเดียว
เช้านั่งรถแดงขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ
ลงมาก็เข้าสวนสัตว์ กะจะไปดูแพนด้า
เพราะว่าตั้งแต่เกิดจนจนเหี่ยวยังไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ
เจอค่าตั๋ว ๕๐ บาท ค่าดูแพนด้าอีก ๕๐ บาท จะนั่งรถขนส่งมวลชนร่อนรอบสวนสัตว์ (จะได้ไม่เมื่อยทีน) อีก ๒๐ บาท

...โกรธมากกกกกกก

ไม่ดงดูแม่งแล้ว

แค่จะเข้าไปดูสัตว์ถูกจับมาขังในที่ที่มันไม่ควรจะอยู่
จะรีดเงินค่าดูกันไปถึงไหนฟระ
(ควรด่ารัฐบาลหรือองค์การสวนสัตว์ดีเนี่ย)
(หรือควรด่าตัวเองที่เสือกอยากดูแพนด้า)
(????)


เรดาร์แมว : ตัวเล็กแสนซน




ประมวลภาพลูกๆ (=หลานๆ) ของคุณนายทีโบนฮะ

เรดาร์แมว : แม่กาเหว่าเอ๋ย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก




แม่กาเหว่าเอ๋ย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก
แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร

วันพฤหัสบดีที่ ๒๓-ศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคมที่ผ่านมา
อิฉันไปพักที่ "บ้านอ้ายหล้า" ถนนสันติธรรม เชียงใหม่ มาฮะ
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าที่นี่เลี้ยงปลา(คาร์พ)ปลาก็อ้วน
เลี้ยงแมว แมวก็อ้วน
ไม่เชื่อก็มาดูกันเถอะฮะ

เจ้อ้วนเนี่ย เค้าชื่อคุณนายทีโบน
คุณนายทีโบนเนี่ย ไม่ได้อ้วนเพราะว่ากินดีแต่อย่างเดียว
แต่ยังเพราะชีทำหมันแล้วด้วย ก็เลยอ้วน
เพราะทำหมันแล้ว ชีก็เลยมีบุตรไม่ได้
เอ๊ะ..แล้วไฉนลูกแมวตัวเล็กตัวน้อย สามสี่ตัวถึงได้รุมอ้อน รุมซุก รุมดูดนมคุณนายทีโบนเยี่ยงนี้่เล่า????

ก็เพราะว่านังแม่ตัวจริงมันแฮ่นน่ะสิฮะ
สืบได้ความมาว่า มันเป็นแมวสาว ออกลูกเสร็จ หุ่นกระชับเข้าที่ หล่อนก็ออกเที่ยวทันที
ทิ้งบุตรน้อยทั้งสี่ไว้กับคุณป้าทีโบน ผู้เป็นพี่สาวด้วยเหตุนี้เอง

โถโถโถโถ
ไม่ใช่แต่นกกาเหว่าดอก ที่ไม่ยอมเลี้ยงลูก

คำคม#๑๓



"หน้าใส ใจกว้าง รักผัว ไม่เอาแต่ใจตัว ผัวเจริญ"


(แอบยินคุณภรรยาหน้าใสรุ่นใหญ่ให้โอวาทคุณภรรยาหน้าใสรุ่นเล็กมาฮะ)



คืนหนึ่งบนถนนนิมมานฯ


ผ้าคลุมเตียงค่อนข้างเก่า+ซีด
แต่ผ้าปูเตียงสะอาด รีดเรียบ
หมอนก็ใหม่

ไปถึงก็งีบเลยละฮะ

เสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๑

ห้องพักที่บ้านอ้ายหล้าไม่ว่าง กอปรกับสลิดอยากไปพักบนถนนนิมมานเหมินทร์กะเขามั่ง
เพื่อนเอ๋เสนอ เอส.ที. อพาร์ทเม้นท์ ซึ่งเธอเคยจัดให้แขกจากกรุงเทพฯ มาพักเป็นบางครั้งบางคืน เพื่อนบอกสนนราคาคืนละ ๔๕๐ บาท ห้องแอร์ จึงฝากเพื่อนจองให้

เที่ยงวันเสาร์ หลังจากอ้อยอิ่งอยู่ที่บ้านอ้ายหล้านานที่สุดแล้วก็บอกลาทุกคน
แบกเป้ออกมาโบกรถแดงมานิมมานฯ ซอย ๑๓

ที่นี่เป็นอพาร์ทเม้นท์บรรยากาศบ้านๆ คือไม่มีอารมณ์ hospitality ใดๆ
ผิดกะที่ที่จากมา
แต่ก็สะอาดสะอ้าน น่าพัก

ในห้องมียูบีซี มีตู้เย็น (เบียร์ไม่แพง สิงห์ขวดใหญ่ ๕๕ บาทเองฮะ ไม่งั้นจะซื้อจากเซเว่นปากซอยมาแช่เองก็ได้นี่ฮะ) แล้วก็มีแอร์ (แต่ไม่ได้เปิด เท่าที่เป็นอยู่นี่ก็เย็นสบายดีแล้ว)

แต่ว่าเตียงมันค่อนข้างใหญ่ รู้สึกจะ ๕ ฟุต

...เหงาฮะ

จะเอาเบอร์ถามจากเพื่อนเอ๋้นะฮะ




วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แอ่วบ้านอ้ายหล้า


อยู่หลังโรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทรฮะ

(เอ๊ะ จำชื่อผิดหรือป่าวหนอ?)


พฤหัสบดีที่ ๒๓ และ ศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑

ไปพักที่ "บ้านอ้ายหล้า" เกสต์เฮ้าส์ขนาด ๒๕ ห้อง
บนถนนโสตศึกษา ย่านสันติธรรม (จากระเบียงห้องที่พักคืนแรกน่ะ มองเห็นปล่องไฟบ้านตรงข้ามร้านส้มตำที่ไปกินกันด้วยฮะ)

อิฉันรู้จักเมื่อ ๒-๓ เดือนก่อน จากการอ่านเล่มแทรกในบางกอกโพสต์
ก้อไม่ได้อ่านออกอะไรหรอกฮะ เผอิญเห็นรูปสวย เลยสนใจ
ปรากฏว่าเข้าเว็บแล้วทราบว่าราคาไม่แพง เลยบอกเพื่อนเอ๋ไปตั้งแต่วันนั้น
แต่ท่าทางเพื่อนจะยุ่ง เลยไม่ได้สนใจ

พอจะมาเชียงใหม่ ตอนแรกไม่อยากไปนิมมาน ก็แต่ละแห่งแพงๆ ทั้งนั้น
(ก้อรู้จักแต่ที่เริ่ดๆ อย่าง แอดนิมมาน, เยสเตอร์เดย์ นี่ฮะ) เลยนึกถึงที่นี่ ให้เพื่อนจองให้
แล้วก็ได้มาพัก

ถ้าใครอยากมาเที่ยวเชียงใหม่ แต่เบื่อโรงแรม อยากแนะนำบ้านอ้ายหล้านะฮะ
เค้ามีห้องหลายแบบ มีกาแฟอร่อยๆ ที่ไม่แพง มีเน็ตให้เล่นฟรีด้วย
(ใกล้ๆ ก้อมีร้านเน็ต ชั่วโมงละ ๑๐ บาทอีกตะหาก)

ที่ถูกใจคงเป็นที่เขาเป็นเกสต์เฮ้าส์สวย ราคาไม่แพง (๓๐๐-๖๐๐ บาท-ราคาเดียวทั้งไฮ และโลว์ซีซัน) ที่มีห้องน้ำส่วนตัวทุกห้อง
อ้อ คนที่นี่เค้าน่ารัก มีน้ำใจมากๆ ด้วยฮะ

ลองอ่านรายละเอียดดูนะฮะ www.banilah.com ฮะ

ป.ล. บ้านอ้ายหล้ามีแมวโคตรน่ารักเลยด้วย
จะโชว์ให้ชมในโอกาสต่อไปนะฮะ ^_^

ตัวจริงฮะ



จานนี้เพื่อหนูอ้น



พฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๑

รถไฟขบวนด่วนนครพิงค์ไม่ได้แถมให้ จึงมาถึงเชียงใหม่ตรงเวลา
กระนั้นก็ยังไม่ทันกินข้าวมันไก่ไหหลำ
เพื่อนเอ๋กับหนูอ้นจึงพาดิฉันไปรับส้มตำปู(ม้าน้อย)+ปลาร้าเจ้าเก่า
ย่านถนนสันติธรรม

และแล้วเราก็ได้รู้ว่าใครเป็นตัวจริงในการแทะไก่ฮะ

งานนี้ขอยกนิ้วให้เลยฮะ หนูอ้น

ของฝากคุณภรรยา





สาธุ๊!!!!
ถ้าชาตินี้ลูกช้างจะมีผัว
ขอให้ลูกช้างได้ผัวที่ดีพอจะเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกช้าง 'สงเคราะห์' เอ๊ย 'อนุเคราะห์' เขาได้โดยไม่รู้สึกสมเพชด้วยเถ้อะะะะะ

ที่มา: ป้ายเตือนใจที่ติดอยู่บริเวณวัดพระธาตุดอยสุเทพ

คันปาก-อยากบอกต่อ ตอน คุณจะบอกรักกับใครสักคนได้อย่างไรในเมื่อ...






"ฉันควรตัดสินใจก่อน ฉันยังกังวลใจอยู่นะ"

"อย่าคร่ำครึนักสิ เรื่องวิตกกังวลมันมีอยู่แล้วล่ะ ถ้าคุณเห็นใจใครเป็นระยะเวลานาน กว่าคุณจะรู้ตัวมันก็เปลี่ยนเป็นความรัก"

"โอเค แล้วรักมันผิดตรงไหน? โทนี่"

"รักคือรูปแบบของอคติ คุณจะรักในสิ่งที่คุณต้องการ คุณรักเพราะสิ่งนั้นทำให้คุณรู้สึกดี คุณรักเพราะว่ามันทำให้สบาย คุณจะบอกรักกับใครสักคนได้ยังไงในเมื่อคุณยังไม่เคยพบกับคนอื่นอีกเป็นพันคนที่คุณอาจจะรักมากกว่าก็ได้"


จากเรื่องสั้น 'หายตัว'
'ดื่มเบียร์ที่มุึมบาร์'
รวมเรื่องสั้นโดย ชาร์ลส์ บูคาวสกี้
แปลโดย อาณัติ มาตรคำจันทร์
สำนักพิมพ์ฃอฃวด

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ฮิปโปโปน้อยเล่นน้ำ



ฮิปโปโปเล่นน้ำ


วันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑

อลิซหลงเข้าไปในวั้นเด้อแล่นด์
เจอฝูงฮิปโปโปกำลังระเริงชลกันกลางแจ้ง
ไม่อายผีสางเทวดา


เจ็บนี้..อีกนาน




อาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม

ขอโทษที
โหมดนี้ไม่ยิ้มแล้วฮะ

ป.ล. หน้าวีนเป็นปกติ นี่ไม่ได้ปั้นเลยนะฮะ

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ข้าวมันไก่อะไร หมดตั้งแต่ยังไม่ ๑๐ โมง


ที่นั่งกินก็กินกันไป
ที่ยืนรอก็ลุ้น ว่าของตัวเองจะได้ไหม

พฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๑

ลงรถไฟที่สถานีเชียงใหม่ เพื่อนยังไม่มารับ เลยเดินไปหาร้านข้าวมันไก่ไหหลำที่นุซังบอก
นุซังบอกงงๆ เอาเป็นดิฉันบอกใหม่ให้นะ
ข้างสถานีรถไฟเชียงใหม่ (หันหน้าออกถนนใหญ่นะ) ซ้ายมือจะมีซอย
ใกล้ๆ ปากซอยมีร้านข้าวมันไก่ไหหลำเจ้าอร่อย

เห็นจากระยะไกล คำนวนจากผู้คนที่ทั้งนั่นโซ้ยและยืนรอห่อกลับบ้าน
เชื่อว่าอร่อยแน่
แต่พอเข้าไปใกล้ก็เห็นป้าย

หมด
ขอบคุณ

...อดสิเรา
แหม๋ๆๆๆๆ ยังเหลือไก่อีกตั้ง ๒ ตัว

คนเดียว ที่เชียงใหม่




พฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๑

มาถึงเชียงใหม่แล้วก็ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกหน่อย




รูปแรกที่เชียงใหม่



มาคนเดียวก็ต้องถ่ายตัวเองแบบนี้แหละ




พฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๑

๙.๔๕ น.
รถด่วนนครพิงค์ ด่วนพิเศษสุดไฮโซพาผู้โดยสารสู่สถานีเชียงใหม่ตรงเวลา
ดิฉันแบกเป้ สะพายกระเป๋าเดินโซเซออกมาหาตู้ไปรษณีย์เป็นอันดับแรก
ส่วนอันดับที่สอง มองหาร้านข้าวมันไก่ไหหลำข้างสถานีที่นุซังบอกไว้ให้มากินให้ได้

ปรากฏว่ามันหมด
ดิฉันกำลังจะเดินกลับไปรอเพื่อนเอ๋ที่สถานีรถไฟ
ก็พบว่านี่เป็นภาพแรกในเชียงใหม่ ซึ่งสาวโสด (ยังไม่ใช่สาวแก่ อีกทั้งยังไม่จัดว่า "เปลี่ยว") ควรบันทึกไว้เป็นที่ระลึก

สวัสดีเชียงใหม่วันฟ้าใส!

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

คิดถึงกันบ้างนะฮะ




พุธที่ ๒๒ ตุลาึคม ๒๕๕๑

คืนนี้จะขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ กลับมาอีกทีเช้าวันจันทร์ที่ ๒๗
คิดถึงกันมั่งนะฮะ

หมายเหตุ: ภาพในอัลบั้ม บันทึกที่ ร้านอาหาร ONE ที่ TRIA ศูนย์สุขภาพแบบองค์รวม
หลังโรงพยาบาลปิยะเวท ถนนพระรามเก้าฮะ

ร้านนี้บริการอาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่แบบชีวจิต ไม่ใช่แมคโครไบโอติก ทั้งยังไม่ใช่มังสวิรัติ
แต่เป็นการกินให้อร่อยโดยคัดสรรวัตถุดิบสะอาด ปราศจากสารเคมี พืชผัก เนื้อ ปลา่ เป็นแบบออร์แกนิก แม้กระทั่งเบียร์ ยังเป็นเบียร์ออร์แกนิกเลยฮะ

ใครอยู่ละแวกนั้นลองแวะไปรับประทานบุปเฟ่ต์มื้อกลางวันดูฮะ
เริ่ดมาก มีสลัด ซุป จานหลัก ของหวาน และไอศกรีมเชอร์เบตทำเอง

หัวละ 350++ ถูกกว่าโรงแรมเยอะเลยฮะ

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ผู้ชาย... บ้างไม่ตอบคำถาม บ้างก็ตอบ



            ดิฉันกำลังจะไปเชียงใหม่

            นี่เป็นทริปเชียงใหม่ทริปแรก ที่ไม่ได้ไปทำงาน หรือไม่ได้ไปธุระเรื่องเพื่อน คราวนี้แหละที่จะได้เที่ยวเอง พักเอง ตัวเองจะได้เป็นเจ้าของโปรแกรมและกำหนการ (เกือบ) ทั้งหมด เพราะงานนี้ไม่มีใครแชร์

            ก่อนไป ดิฉันเตรียมตัวหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการรวบรวมที่อยู่เพื่อนๆ ที่อยากส่งโปสการ์ดให้ รวมทั้งผู้ชายคนหนึ่ง

            ผู้ชายคนนี้ ช่วงหนึ่ง เราเคยชอบกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง (ใช่..สำหรับดิฉัน คงเป็นผู้ชายอีกคน-ส่วนสำหรับเขา คงเป็นปฏิกิริยาที่ไม่กระเตื้อง ไม่อู้ฟู่เท่าที่ควรจากดิฉัน...ก็พี่แกโคตรเจ้าชู้เลย เจอกันวันแรก เล่าเรื่องเด็กที่เคยเลี้ยงตั้ง ๓-๔ คน ไม่ให้นอยยังไงไหว) หลังจากมื้อค่ำมื้อแรก ที่เราใช้ทำความรู้จักกัน การพูดคุย ทำความรู้จักของเราก็เริ่มเจื่อนไป

            แต่ในความตั้งใจที่จะส่งโปสการ์ดจากเชียงใหม่ครั้งนี้ ดิฉันยังนึกถึงเขา จึงส่ง sms ไปขอที่อยู่เมื่อสองวันก่อน แต่เขาไม่ตอบ เข้าไปที่หน้าบ้านเขา มันก็นิ่งเงียบ ไร้ความเคลื่อนไหว เห็นแค่ข้อความหวานฉ่ำจากสาวคนหนึ่ง ที่ดิฉันสงสัยมานาน ...สองคนนี้ต้องมีอะไรพิเศษกว่าเพื่อนในบล็อกทั่วไป

            ใช่จริงๆ ...ดิฉันรู้เมื่อเขาโทรกลับมาในวันนี้ บอกที่อยู่เรียบร้อยเขาก็ตอบคำถามว่า สบายดี แต่ช่วงนี้งานยุ่ง แล้วคอมพิวเตอร์ที่บ้านเสีย แม้จะซ่อมเองได้ แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือ

            ถามทำไมไม่รู้ แต่ดิฉันก็ถาม ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสาวนั่น เขาเท้าความว่ารู้จักเธอใกล้ๆ รู้จักดิฉัน แล้วก็เล่าต่อละเอียดยืดยาว เล่ากระทั้งรายละเอียดบางอย่างที่ไม่เห็นต้องบอก ก็เข้าใจได้..แม้ไม่เปิดเผยทั้งหมด สิ่งที่เขาเล่าก็ให้ข้อเท็จจริงที่ทำให้ดิฉันอดรู้สึกอะไรบางอย่างไม่ได้

            ฟังแล้วก็อึ้งๆ จนถามโง่ๆ ออกไป "ทำไมพี่ต้องเล่าให้ม้อยฟังขนาดนี้ด้วย"

            "อ้าว ก็ม้อยถาม พี่ก็ตอบ แล้วพี่ก็ตอบความจริง"

            "[-____-]"         

 

เออจริง ใช่  ดิฉันถามเองนี่หว่า

 

เขาเล่าอีก ว่าสาวคนนั้นก็ถามเขา ว่าฉันเป็นใคร เขาว่าเขาบอกเธอแค่ครึ่งเดียว ว่าเราเป็นแค่คนรู้จักกันในมัลติพลาย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เขายังเล่าอีก (เล่าทำไมนะ) ว่าเธอคนนั้นถามเขาว่า ไม่เขียนคอมเม้นท์ได้ไหม เขาบอก ไม่ได้ พร้อมให้เหตุผลทำนองว่านี่มันพื้นที่ส่วนตัวของเขา เขาเคยทำอย่างไรมาก็จะทำต่อไป

ตอนที่ฟังนั่น ดิฉันยังเข้าใจว่าสาวของเขาถามเขาว่าไม่เขียนคอมเม้นท์ที่บ้านดิฉันได้ไหม คุยไปๆ เลยถึงบางอ้อ อ๋อ....ชีไม่อยากให้ดิฉันเขียนคอมเม้นท์ที่บ้านผู้ชายของชีต่างหาก

"งั้น ให้ม้อยดีลีทคอนแทกพี่เลยดีไหม"

"อ้าว ทำไมล่ะ??" คำถามเสียงหลง

"เขาจะได้สบายใจไง ไม่ต้องระคายใจกับการคอมเม้นท์ของม้อย"

เขารีบชักแม่น้ำทั้งห้ามาแย้งว่าดิฉันผิดประเด็นแล้ว เคยเป็นคอนแทกกันมา แต่พอรู้เรื่องแล้วดีลีทคอนแทกก็เท่ากับมีปฏิกริยาสิ ทำตัวเหมือนเดิมไปดีกว่า

แล้วดิฉันก็ได้ทราบหลังจากนั้นว่าจริงๆ แล้ว เธออยากให้เขาลบคอมเม้นท์ทุกคอมเม้นท์ที่ดิฉันเคยเขียนไว้ซะด้วย

...ยายคนนี้ อาฆาตแรง เซ้นส์แรงเสียจริง แค่กินข้าวกันมื้อเดียว ไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้นเลยด้วย (หรือว่าชีถูกผู้ชายปั่นหัวฟะ)

ยังไงก็ตาม ดิฉันคิดว่าดิฉันเข้าใจเธอนะ ถ้ามีผัว เอ๊ย แฟนที่กะล่อนขนาดนี้ จะไม่ประสาทขนาดนี้ได้ไงไหว

 

คุยกันนานเกินความจำเป็น ก่อนที่ดิฉันจะอวยพร ขอให้เขาโชคดี มีความสัมพันธ์ที่ดี เขาก็วาดลวดลายเจ้าชู้ใส่อีกหน ถามว่าเย็นนี้เลิกงานกี่โมง มาคุยกันให้เข้าใจไหม ดิฉันบอกเสียใจ เย็นนี้จะไปเชียงใหม่

"กลับเมื่อไหร่เจอกัน" เขาบอก

ดิฉันไม่ว่าอะไร ได้แต่หัวเราะ

 

ก่อนอวยพรอย่างที่ตั้งใจ ดิฉันฝากบอกเขาไปบอกผู้หญิงของเขาว่า ดิฉันจะเลิกบล็อกเขาแล้ว (ดิฉันบล็อกเธอคนนี้ก่อนนัดเจอเขาเสียอีก ทำตามลางสังหรณ์ว่านังนี่โรคจิต เข้ามาตรวจบ้านเราทุกหน้า ทุกมุม แต่ไม่เคยเขียนรีพลายอะไรเลย) เข้ามาดูได้ ไม่มีอะไรต้องปิดบัง

 

วางสายแล้วก็จะทำการอันบล็อก แล้วกะจะไปส่งข้อความเจริญสันถวะไมตรีหน้าบ้านเธอเสียหน่อย

            ดันไปเจอข้อความนี้ตรงตำแหน่ง Welcome Message (ขนาดนั้นเลยนะ) เข้า

 

 

"ก็แค่สาวแก่ใน MTP ...อารมณ์เปลี่ยว แถมแปรปวน คนนึง"
"ที่รักจะไปสนใจทำไม...."
"ต่อให้มีเป็นร้อย เป็นพัน ถ้ามันไม่ใช่ตัวจริงมันจะมีความหมายอะไรล่ะ "
"เราสองคนยังรักและอยู่ด้วยกันอย่างนี้"
"คนดีของพี่อย่าเก็บเอามาเป็นอารมณ์สิ พี่รักหนู เรารักกันนะ"


...........................................................................................................

เพราะเราต่างให้คำมั่นสัญญา ณ วันที่รู้ว่าเขาก้าวผิดไป
เราให้อภัย เขาให้สัญญา
รักยังอยู่กับเราสองคนเสมอ.....
วันนี้จึงดำเนินไปอย่างสุขใจเช่นเคย

 

            ....สะกดผิดได้อีก

            คงต้องคิดให้พิถีพิถัน ว่าจะสรรคำอะไรเขียนใส่โปสการ์ด ส่งไปที่ทำงานผู้ชายคนนี้ดี

            หึหึ



วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ณ ราตรีหนึ่ง




ราตรีที่ลอบบี้ วีรันดา
สว่างเรืองด้วยแสงสีเหลือง มีโคมสวยๆ ห้อยระย้า

ไม่มีอะไร
...แค่เส้นสาย และแสง ที่สวยดี

วีรันดารำลึก




ไปคราวที่แล้วก็ว่าถ่ายภาพมาเยอะแล้ว
แต่ไปคราวนี้ก็ยังถ่ายได้อีก
ก็มันสวยอะฮะ

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

กินดี ที่วีรันดา



หอม เข้มข้น อร่อยกว่าข้าวซอยแบรนด์ดังในเวียง
ที่คนกรุงเทพต้องแวะชิมเจ้านั้นนะฮะ

แต่ขอโทษนะฮะ ชามละ สองร้อยกว่าบาท (จำไม่ได้ฮะ)



จันทร์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๑

ชักเริ่มหิว
แต่วันนี้ดี กินข้าวเช้ามา (ข้าวกล้อง+หนังปลากรอบซื้อ ๑ แถม ๑ ที่ Gourmet Market+น้ำพริกตาแดง) เลยยังไม่โซ

อัพรูปอาหารเรียกน้ำย่อยดีกว่า

หุหุ

จุมพิตจากพระอาทิตย์


๖.๒๓ น.
ยังไม่สว่างเลย

๑๐-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑

ภาพชุดนี้เป็นหลักฐานการทำความรู้จักกับสถานที่แห่งหนึ่ง
เราตื่นแต่เช้า (มาก-ตีห้าครึ่ง) มากล่าวอรุณสวัสดิ์กับเธอ

แอบเห็นสายหมอกทักทายเธออย่างเอียงอาย
เฝ้ามองแสงสีทองยามเช้าค่อยๆ ประทับจุมพิตลงที่เธอ
แล้วค่อยๆ แผดเผาเธอด้วยแสงอันร้อนแรงในตอนสาย เที่ยง และบ่าย
สาดจับที่ตัวเธอ เพื่อเผยความงามในทุกอณูเนื้อแห่งเธอ
...
เพื่อที่จะพบว่า เขาทิ้งให้เธอยืนหนาวอยู่กลางแสงดาว

พร้อมกับสัญญาว่าจะพบกันใหม่.. ในอรุณรุ่ง

ก๋าสะลองส่องเงา




เสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑

วันที่สองของรอบที่สอง ที่วีรันดา เชียงใหม่
แดดยังจัด และลมหนาวยังไม่เปิดเผยตัว
ระหว่างที่เดินเตร็ดเตร่อยู่นั้น ก็ได้สังเกตเห็นเงาสะท้อนของต้นปีบ
(คนเมืองเรียก กาสะลอง หรือก๋าสะลอง)
ดูสวย และสงบยิ่งนัก

อยากเป็นเหมือนต้นปีบ
ยืนนิ่ง สงบ และสง่า
ไม่ครั่นคร้่ามและหวั่นไหวต่อคลื่นอารมณ์
ทั้งที่รบกวนอยู่รอบตัว และี่ก่อตัวขึ้นจากภายใน

(หรืออย่างน้อยก็มีความอดทนที่จะไม่แสดงมันออกมา)

เพราะโลกใบนี้..แท้จริงก็ยังหมุน




อาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๑

หมุนเวียนกันไป
สัจธรรมก็คือเปลี่ยนไป
ไม่มีของใด คงได้ตลอด ต้องสูญ ต้องเปลี่ยนรูปไป...

เหมือนใจเรานี่
ที่ต้องเจอความรักเปลี่ยนไป
สุขได้ไม่นาน ต้องมีทุกข์แทรกไว้ ซ้อนไปอย่างนั้น

เพราะโลกใบนี้ แท้จริงก็ยังหมุน
จากร้อนไปเป็นเหน็บหนาว
เหมือนกับความรัก คงไม่มียืดยาว นานไปเขาก็เปลี่ยน...
เราถึงเจ็บ เจ็บที่ยังรักไม่เปลี่ยน...

หมุนเวียนกันไป
สัจธรรมก็คือเปลี่ยนไป
ไม่เห็นมีใคร ไม่เป็นเหมือนอย่างนั้น เนิ่นนานก็กลาย

เพราะโลกใบนี้ แท้จริงก็ยังหมุน
จากร้อนไปเป็นเหน็บหนาว
เหมือนกับความรัก คงไม่มียืดยาว นานไปเขาก็เปลี่ยน...
เราถึงเจ็บ เจ็บที่ยังรักไม่เปลี่ยน...

เพราะโลกใบนี้ แท้จริงก็ยังหมุน
จากร้อนไปเป็นเหน็บหนาว
เหมือนกับความรัก คงไม่มียืดยาว นานไปเขาก็เปลี่ยน...
เราถึงเจ็บ เจ็บที่ยังรักไม่เปลี่ยน...

เพลงเปลี่ยน
คณาคำ อภิรดี


หมายเหตุ:
เก็บภาพจากหินปูพื้นสปา ในวีรันดาเชียงใหม่ เดอะ ไฮ รีสอร์ต

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ที่วีรันดามีนาข้าว






ศุกร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๑

เพิ่งเคยเห็นนาข้้าวใกล้ๆ
นาผืนน้อยในวีรัีนดา ตั้งอยู่หน้าวิลล่าหลังงาม
ข้าวกำลังออกรวงสวยทีเดียว

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บันทึกเรื่องที่ ๗ : เบื่อแล้ว




ไม่รู้มันเริ่มจากตรงไหน
และไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร

แต่เท่าที่รู้ ตอนนี้...เบื่อแล้ว

สงสัย
ทำไมคนเราถึงเบื่อบางสิ่งบางอย่าง
ทำไมบางคนเบื่อง่ายกว่าบางคน
คนเราเบื่อเป็นกันทุกคนหรือเปล่า
ทำไม? มีอะไรที่จุดจุดหนึ่งทำให้เราเบื่องั้นหรอ?
หรือมันแค่คลิกหนึ่งของอารมณ์
แค่วูบหนึ่งที่ระดับฮอร์โมนบางตัวแกว่งจากระดับสมดุล

เบื่อแล้วจะกลับมาชอบใหม่ได้ไหม
หน่ายแล้วจะกลับมาติดอีกได้หรือเปล่า?

ไม่รู้
..รู้แต่ว่าตอนนี้เบื่อแล้ว



การเดินทางของเด็ก



ใช้มือถือถ่ายอีก
Nokia 7650
ถือกล้องไว้หน้าจอมอนิเตอร์ จับภาพใบหน้าแน่วแน่ของน้องอายที่กำลังจ้องไปที่เกมใจจอ

น้องอาย เป็นหลานสาวคนโตของป้าโอ๋

เรารู้จักกันมาตั้งแต่หกปีก่อน ตอนที่น้าม้อยมาทำงานที่มีเดียปีแรก
ตอนนั้นน้องอายยังเบ๋บี๋อยู่เลย
ตามป้าโอ๋มาทำงานตอนที่หนูปิดเทอม

เวลาผ่านไป น้าม้อยยังไม่ก้าวหน้า แต่ไม่ถอยหลัง
ยังนั่งโต๊ะเก้าอี้ตัวเดิม ใช้คอมฯ ชุดเิดิม
น้องอายยังแวะมาเยี่ยมเรื่อยๆ ตอนปิดเทอม

วันนี้น้องอายก็มา
โตขึ้นเยอะะะะะะะ ตัวยืดตัวยาว
หน้าตาก็เริ่มหวาน การแต่งตัวเริ่มมี accessories ใกล้สาวเข้าไปทุกที


วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ถ่ายตัวเองก็ได้...ไม่ง้อ




ศุกร์ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๑

ช่างภาพเด็กแนวทำงานนานนัก
เลยถ่ายรูปตัวเองเล่นๆ

ขำ-ขำฮะ

เรดาร์แมว : หลับลืมโลก




อังคารที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑

สองทุ่มครึ่ง เสริมกับม้อยเรียนภาษาญี่ปุ่นเสร็จก็บัังเกิดความหิวมหาศาลเป็นปกติ
วันนี้ไม่อยากกินบะหมี่หมูกรอบข้างทาง แล้วก็ไม่อยากกินราเม็ง
เลยไปร้านโจ๊กร่วมใจในซอยประสานมิตรกัน

"นั่นของจริงหรอ" เสริมร้องขึ้นมา
ม้อยก็งงๆ ว่าอะไรของไม่จริง
มองไปเห็นวัตถุอย่างนึง ขดเป็นก้อนอยู่

แมวสามสีตัวเขื่อง ขนฟู ดูสะอาด
มันหลับลืมโลกในท่าประหลาด และแม้จะไปยืนถ่ายรูปตั้งนาน

แอบลูบไล้ขนฟูนุ่มของมัน
มันก็ยังไม่ตื่น

จนเราลงมือกินโจ๊กไปเกือบหมดชาม
มัน-ทราบชื่อภายหลังว่านังหนู "แหม๋แม่"
ก็ตกใจตื่น แล้วก็ทำเก๋ด้วยการกระโดดจากโต๊ะหนึ่งไปอีกโต๊ะ

แต่แหม๋แม่เจ้ากรรม โดดไม่พ้น ตกโครมลงไปที่พื้น
แต่เจ้าหล่อนยังทำเริ่ดเชิด
เดินตรงไปล้มตัวนอนใต้โต๊ะตัวใหม่อย่างมีมาด

หลับลืมโลกไปอีกวาระ

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แฝด




ไปเจอมุมแปลกมาฮะ

อยากเริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้า..กับคุณ




ชอบมั่กๆ ที่ไหนมีคอร์นเฟลกเยอะๆ จะรักเลยฮะ



อาหารเช้าเป็นสิ่งจำเป็น
โดยเฉพาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก
เพราะมันทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอไปตลอดวัน
ไม่ตกวูบจนเราโหยหนักจนต้องซดอะไรที่ให้พลังงานทันทีอย่างโค้ก หรือเค้ก หรือช็อกโคแลต

สรุป อยากมีอาหารเช้าดีๆ กินทุกวี่วัน
แต่ว่า

ถ้ามีผู้ชายหน้าตาดีๆ มานั่งกินด้วยกันก็คงยิ่งดีนะฮะ



เก็บภาพบุปเฟ่ต์อาหารเช้าที่วีรันดามาฝากให้หิวเล่นๆ ฮะ

How to be Dek Niew




ก่อนหน้านี้ มักจะงงๆ เวลานึกถึงเด็กแนว

เด็กแนวคืออะไร? เป็นกันยังไง? แล้วไอ้ที่ว่าแนว มันแนวไหน?

จนกระทั่งมาเจอน้องแม็กซ์
ผู้ประกาศตัวว่าเป็นช่างภาพเด็กแนว มีแนวทางของตัวเองอย่างชัดเจน

๑๐-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑
๓ วันที่อยู่ด้วยกัน (แต่คนละห้องนะฮะ) ที่วีรันดา เชียงใหม่
อิฉันจึงพบความกระจ่าง

อ๋อ...เด็กแนวเค้าเป็นกันงี้เอง

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บินไปเชียงใหม่




ศุกร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๑

เวลาไปเชียงใหม่เองชอบไปรถไฟ
ไม่ค่อยได้ขึ้นรถทัวร์ เพราะว่ามันหนาวเิกินไป
ส่วนเครื่องบินน่ะ ไม่เคยซื้อตั๋วเองเลยฮะ

สงสัยเพราะว่าเราไปเช็คอินเร็ว เลยได้นั่งข้างหน้าต่าง
หน้าทางออกฉุกเฉินอีกตะหาก ได้เป็นเจ้าของพื้นที่หน้าต่างตั้งบานครึ่ง
ท้องฟ้าก็แจ่มใส

ถ่ายรูปได้สบายบรื๋อเลยฮะ

เงากุหลาบ




ศุกร์ที่ ๑๐ และเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑

เป็นผู้ช่วยน้องแม็กซ์ถ่ายภาพภายในห้องพักที่วีรันดา เชียงใหม่ เดอะ ไฮ รีสอร์ต

สบตากับเงากุหลาบที่ลอยอยู่ในอ่างอาบน้ำทั้งหมด ๓ ใบ

สวย
จนอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพมาฝากกัน

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ไม่ใช่ 'เสน่ห์' แต่เป็น 'แรงดึงดูด'

 

'พี่ม้อยเป็นคนมีเสน่ห์เนอะ'

 

แป้นแร้นน้อยบอก ขณะเดินเคียงกันในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสุทธิสาร สถานีรถใต้ดินแปลกๆ แคบๆ ไม่คุ้นตา

ตอนนั้นมันห้าทุ่มกว่าแล้ว

ระบำบัลเลต์-แทงโก้ที่ศูนย์วัฒนธรรมจบเมื่อสามทุ่มครึ่ง ผู้ชมซึ่งพบว่าตัวเองหิวจึงชวนกันบำบัดทุกข์ให้กระเพาะและลำไส้ของกันและกัน ก่อนแยกย้าย

ฝนโปรยปรายทำให้เราออกจากศูนย์ฯ ช้า

เราชวนแป้นติดรถไปด้วย เพราะฝนยังปรอย

ดูเหมือนร้านส้มตำเป้าหมายปิดไปแล้ว

กว่าจะเจอร้าน 'ส้มตำสายเดี่ยวเสียวหลุด' ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่า

โชคดีที่ร้านนี้รสชาติไม่เลว ได้ข้าวเหนียวร้อนๆ นุ่มๆ ล้อมวงนั่งกินกัน ๕ คน เลยได้รสชาติอร่อยเป็นพิเศษ

แป้นกินไม่มาก เธอบอกมื้อเย็นไม่ค่อยกินหนัก เลยเล็มๆ ส้มตำไทย (เด็ก) ไปนิดหน่อย

..รู้แล้วแล้วละอายพุง

 

แป้นแร้นน้อยไม่ใช่เพื่อนดิฉันหรอก จริงๆ เธอเป็นลูกค้า ทำงานเป็นตัวแทนของหน่วยงานที่มาจ้างบริษัทดิฉันให้ทำนิตยสารให้ แต่แป้นเค้าน่ารัก ช่วยเหลือกันเสมอ ในหลายๆ กรณี ความน่ารักของแป้นแร้นทำให้สามารถคบหา และสนิทกันได้ แม้ในโลกนอกเวลางาน

 

เมื่อวาน เขียนอีเมล์ไปรายงานว่ากลับจากเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว โดยสวัสดิภาพ แต่ยังไม่มีหมู ๕ กิโลมาฝากแต่อีก ๒ อาทิตย์จะไปใหม่ รับรองจะเลือกของฝากดีๆ มาให้แป้นแน่นอน

(ก้องานนี้แป้นเค้าช่วยประสานงานให้ดิฉันได้ห้องพัก ๒ คืน แถมหาตั๋วเครื่องบินให้ด้วย)

 

แป้นโทรกลับมาอำทันที คุยไปคุยมาก็ทราบว่าแป้นอยากดูฟินาเล่โชว์รายการเมื่อคืน

อุดมแคนเซิ่ลพอดี เลยชวนแป้นมานั่งด้วยกัน

 

แป้นคงเห็นว่าเราสนิทชิดเชื้อกันดี เลยถาม

ทุกคน (ที่มาดูด้วยกัน) เป็นเพื่อนพี่ม้อยหมดเลยหรอคะ

เป็นเพื่อนสมัยไหนอะ?

 

เลยต้องชี้แจงแถลงไขกันไป ว่าเพื่อนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมน่ะ มีพี่อิ๋วคนเดียว

แต่อีกสองคนน่ะ เพิ่งมารู้จักกันทางอินเทอร์เน็ต

ซุป (คนตัวโตที่ดำน้ำด้วย) รู้จักเพราะพี่เคย search เพลงไปเจอบ้านเค้า แล้วก็คุยกัน เจอกันตั้งแต่ปีที่แล้วละ ที่งานสัปดาห์หนังสือ ตอนนั้นเจอกันสามคน กับเพื่อนผู้ชายอีกคนด้วย

ส่วนอาจารย์นุ (ผู้มาจากเชียงใหม่) น่ะ เป็นเพื่อนของเพื่อนในเน็ตเวิร์ก เค้าขี่เสือภูเขาขึ้นดอย พี่อยากรู้อยากเห็นเลยเข้าไปอ่านบ่อยๆ คุยไปคุยมาก็รู้จักกัน

นี่ยังมีอุดมอีกคนที่วันนี้มาไม่ได้ นั่นเป็นรุ่นน้องของเพื่อน ตอนรู้จักกันเค้าย้ายไปอยู่เชียงใหม่

นี่พี่ไปเดินขึ้นดอยสุเทพกะเค้ามาแล้วด้วยนะ

 

แป้นฟังแล้วตาโต ท่าทางประทับใจมาก

แล้วก็พูดประโยคนั้นออกมา

'พี่ม้อยเป็นคนมีเสน่ห์เนอะ'

 

ดิฉันฟังแล้วหัวเราะ

แป้นรีบขยายความ 'ไม่ได้หมายความอย่างนั้นค่ะ ไม่ใช่เหมือนเสน่ห์แบบคนสวย'

(-__-)

'แต่แบบว่า พี่ม้อยเป็นคนน่ารักอ่ะ'

 

(...เอาน่ะแป้น พี่เข้าใจนะ ว่าแป้นหมายความว่าไง)

 

จำไม่แม่นแล้วว่าบอกแป้นไปว่าไง แต่ใจความมันประมาณว่า

 

'ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮะ แป้น

เพื่อนๆ ที่พี่เพิ่งเจอในมัลติพลายนี่ มาเจอกันด้วยแรงดึงดูดอะไรบางอย่างมากกว่า

ในบรรดาคนที่ได้รู้จักใหม่ๆ มีมากมาย แต่ที่เราคบอยู่แค่นี้ก็เพราะรู้สึกถูกชะตา คิดว่าน่าคบ คบได้ ก็คบกันไป

วันไหนรู้สึกว่าคบไม่ได้ ก็ค่อยเลิกคบนะฮะ'

 

แล้วเราก็หัวเราะกันใหญ่

 

 

..แป้นเป็นคนมองโลกในแง่ดีนะ ดิฉันว่า


ป.ล. ขโมยรูปนี้อย่างหน้าตาเฉยมาจาก http://nu27.multiply.com/photos/album/63/Tango_show#


ไข่คน-ไข่ใคร



ออมเล็ตสวยๆ
หอมกรุ่น
น่ากินมะฮะ?



เสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑

สงสัยมานานนมว่า omlette กะ scramble มันทำต่างกันยังไง
ณ บุปเฟ่ต์ไลน์มื้อเช้าที่ Higher Room วีรันดา เชียงใหม่
ดิฉันจึงได้คำตอบ

และได้แจ๋นไปขอให้น้องเขาสาธิตให้ชม
ดังที่ได้เก็บภาพมาฝาก

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วีรันดาที่รัก




ศุกร์ที่ ๑๐-อาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑
มีโอกาสกลับไปวีรันดา เชียงใหม่ เดอะ ไฮ รีสอร์ต อีกครั้ง
(คราวที่แล้วมาเมื่อ ๒๘-๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๑)

พบว่าที่นี่ยังทำให้หลงรักได้เหมือนเดิม
อยากมาอีก ในหน้าหนาว
โดยไม่ต้องมาทำงาน

...ฝันฮะ


หมายเหตุ อยากเห็นรูปเก่า กด tag คำว่า veranda นะฮะ

เล่นกับเงา




เย็นวันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑

สนุกกับเงา
ในห้อง ๑๐๓ วีรันดา เชียงใหม่ เดอะ ไฮ รีสอร์ต

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ธรรมดา-ธรรมชาติ




ศุกร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๑

พบความงามโดยบังเอิญ
ภาพสะท้อนบนพื้นผิวของอ่างจากุซซี่ในวิลล่าหลังหนึ่งในวีรันดา เชียงใหม่
กอกกกำลังล้อเล่นกับลมและแดด

เห็นแล้วอดคิดถึงอาอิไม่ได้
เลยตั้งใจเก็บภาพมาฝากเป็นพิเศษ

ไงจ๊ะ ชอบไหม?

มีความสุข




เสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑

ใบหน้าตอนกำลังมีความสุข

ป.ล. มีความสุขเป็นเหมือนกันนะ
หุหุ


วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สีสันของชีวิตเล็กๆ (ที่ไม่รู้อะไรด้วย)




ตุลาคม 2551

ฝนจะตก
น้ำจะท่วม
ใครจะร้องไห้
ใครจะเจ็บปวด
ใครจะสูญเสีย
หรือว่าใครกำลังสาใจ

สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านี้ ยังคงงอกงาม
ผลิใบ สร้างความงามให้กับโลกนี้
..โดยไม่รู้อะไรด้วย

หมายเหตุ
ต้นไม้-ดอกไม้เหล่านี้งอกงามอยู่รอบๆ บ้านแม่ดิฉันที่สุราษฎร์ธานี

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สงสัย (๕)


ความสงสัย ๑๐ ข้อของวันนี้


๑. คนที่คอยทักคนอื่นว่า อ้วนขึ้นหรือเปล่า?นี่ เขาคิดยังไง?

๒. มีอะไรที่ดีกว่าการทักด้วยคำถามนี้ไหม?

๓. คนที่ถามเราว่า คุณมีคลิปอ้นหรือเปล่า?เขาเห็นเราเป็นคนยังไง?

๔. ทำไมคนเราถึงได้ชอบจับกลุ่มนินทากันนัก?

๕. ในเมื่อเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทำไมกลับถึงบ้านก็ยังต้องเปิดคอม เข้ามัลติพลายอีกจนดึกดื่น?

๖. ทำไมแม่เราเป็นห่วงว่าจะไม่มีรถเมล์กลับบ้าน แต่ไม่เห็นตามหา ในวันที่เค้าปะทะกันจนมีคนขาขาด?

. กับคนที่ไม่ค่อยแคร์เรา ทำไมจึงมักเป็นคนที่เราแคร์เขาเอามากๆ?

. ทำไมคนเราถึงได้โหยหาความรักกันนัก?

. เวลาเราเจ็บปวดที่คนที่เรารักไม่รักเรานั้น เราเจ็บปวดเพราะว่าตัวเองไม่สมหวังใช่ไหม?

๑๐.แล้วเราจะมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องรักใครไม่ได้หรือไง?


you may say that I'm a dreamer




Imagine there's no Heaven
It's easy if you try
No hell below us
Above us only sky
Imagine all the people
Living for today

Imagine there's no countries
It isn't hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too
Imagine all the people
Living life in peace

You may say that I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will be as one

Imagine no possessions
I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man
Imagine all the people
Sharing all the world

You may say that I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will live as one

Imagine-John Lennon