วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวตลาดน้ำท่าคา



และปลาหมอจากบ่อกุ้ง (หรือบ่อปลา อะไรสักอย่าง สรุปว่าเป็นปลาที่เจ้าของบ่อไม่ต้องการ ต้องจับกินหรือทิ้งอยู่แล้ว) ซึ่งฉันหมายตาไว้ แต่ไม่กลับมาไม่ทันแม่ค้าเก็บของกลับบ้าน




เสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2553
วันคริสต์มาส ฉันติดตามน้องๆ ไปวัดที่ท่าคา อัมพวา สมุทรสงคราม

ก่อนถึงเวลานัด เราแวะไปหาของกินที่ตลาดน้ำท่าคากันก่อน
กล้องไม่ได้เอาไป มือแต่มือถือ ถ่ายรูปด้วย vignett application มาในโหมดขาว-ดำ Ilford (ซึ่ง โคตรจะคมชัดเลย-อยากใช้ Samsung Galaxi ตัวที่แพงๆ อะ)


วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พี่น้องรักกัน



มานี่ทำหน้าละเหี่ยมาก

จันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2553

รับมานี่มาเป็นน้องหมาน่อยครบเดือนแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แมวทั้งสองตัวเหมือนผ่านอะไรมาเย๊อะ
ตอนน้องมาใหม่ๆ ยังใส่เฝือก พี่ก็ต้องใส่ลำโพงหลังทายา่ที่หู ต่างคนต่างขู่ใส่กันฟอดๆ
ค่อยๆ เริ่มยอมให้อีกฝ่ายดม ยอมเล่นกันแบบเล่นๆ ไม่กัดจริง

จนในที่สุด ก็เลิฟเลิฟกันขนาดนี้แล้ว

ขั้นต่อไปเราคงได้เห็นภาพแมวสองตัวนอนขดกลม กอดกันแก้หนาวอะนะ
(ถ้ายังจะหนาวต่อไปอีกหลายวัน)

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Aoi Tori : The Blue Bird

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama



Aoi Tori หรือนกสีฟ้า (2008) เป็นหนังเล็กๆ เรียบๆ แต่พูดถึงเรื่องยิ่งใหญ่ คือการสอนเด็กให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างกล้าหาญ และสง่างาม

“การลืมนั่น ขี้ขลาดนะ”
มูริอูจิเซนเซ (Hiroshi Abe) ผู้เข้าสอนแทนครูประจำชั้น ม. 2/1 ซึ่งถูกพักงานหลังจากมีนักเรียนในห้องคนหนึ่งพยายามฆ่าตัวตายเพราะถูกเพื่อนแกล้ง พูดกับนักเรียนทั้งชั้นในครั้งแรกหลังจากกวาดตาไปทั่วชั้นแล้วหาโต๊ะที่ควรเป็นของเด็กเจ้าปัญหาคนนั้นไม่พบ

เซนเซ หรือครูคนนี้ก็เป็นอีกคนที่มีปัญหา
“เซนเซเป็นคนพูดตะกุกตะกัก ไม่สามารถพูดแบบปกติได้” เขายอมรับ “แต่เซนเซก็ตั้งใจพูด พวกเธอก็ควรตั้งใจฟัง แต่เพราะว่าพวกเธอทำไม่ได้ เซนเซถึงได้มาสอนที่นี่”

ปัญหาที่เกิดกับ โนะงูจิ ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องสามัญเพียงแค่ในโรงเรียนในญี่ปุ่น แต่เป็นในโรงเรียนทั่วโลก ที่มีเด็กวัยเดียวกันมาอยู่รวมกัน สังคมกัน มีการจัดกลุ่ม ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มใหญ่ จากนั้นใครคนหนึ่งจะถูกอุปโลกให้เป็นหัวโจก แล้วก็ต้องมีใครสักคนเป็นอย่างน้อยที่ถูกแกล้ง

ไม่ใช่การใช้กำลังหรือขมขู่ เพื่อนๆ ในห้องแค่แกล้งให้โนะงูจินำของจากบ้านที่เป็นร้านสะดวกซื้อมาให้ แล้วเพื่อนทั้งห้องก็แค่หัวเราะใส่เพราะขำ โดยที่เจ้าตัวคนถูกแกล้งก็ได้แต่หัวเราะรับโดยที่ไม่เห็นขำด้วย

แต่สำหรับเด็กคนนั้น นั่นก็รุนแรงพอจะบีบจิตใจจนทำให้เขาคิดฆ่าตัวตายแล้ว

โชคดีที่เขาไม่ประสพความสำเร็จในการพยายามตาย พ่อแม่จึงปิดร้าน ย้ายเขาไปเรียนที่อื่น เพื่อนร่วมชั้นหลายคน ทั้งที่รู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ยังไม่ยอมรับว่าแค่หัวเราะใส่ และไม่ช่วยเหลือ นั่นเป็นการแกล้งเพื่อนแล้ว โรงเรียนเองไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้มากไปกว่าพยายามแสดงความสำนึกผิดหมู่โดยให้นักเรียนทั้งชั้นเขียนเรียงความสำนึกผิด เขียนซ้ำๆ จนกว่าจะได้ใจความที่กินใจ ว่ารู้สึกผิด สำนึกแล้ว ขอโทษ และ “ลืมมันซะ พวกเธอยังมีการสอบที่สำคัญรออยู่”

กล่อง “นกสีฟ้า” ถูกนำมาตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์นั้น เพื่อรับข้อความจากคนที่มีอะไรอัดอั้นตันใจ บอกใครไม่ได้ โรงเรียนฝันไว้สวยๆ ว่าทุกอาทิตย์จะมีการรวมกลุ่มกันเปิดกล่อง อ่านข้อความในกล่อง แล้วก็รับรู้ร่วมกัน ทีนี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไรของนักเรียนที่หลุดรอดสายตาของโรงเรียนอีกต่อไป ...แต่จนแล้วจนรอดกล่องนกสีฟ้าก็ไม่มีข้อความอะไรเป็นเรื่องเป็นราว นอกจากคำถามว่า “นกสีฟ้าคืออะไร”

ไม่ใช่กล่องนกสีฟ้าหรอก ที่ช่วยเปิดใจ แล้วเข้าไปสะสางเรื่องในใจของนักเรียนห้องนี้ แต่เป็นครูชั่วคราวที่มีปัญหาในการพูด แต่ตั้งใจที่จะฟังพวกเขา แล้วก็อธิบายว่าทำไมการ “ลืม” จึงเป็นหนทางหนีปัญหาแบบคนตาขาว ส่วนคนที่ “จำ” ไว้เสมอจึงเป็นคนกล้าหาญ



บันทึก :
• ภูมิใจนำเสนอ อาเบะ ฮิโรชิ นักแสดงชาย (ญี่ปุ่น) ในดวงใจในเวลานี้
• ดูแล้วก็อดย้อนนึกถึงเรื่องในโรงเรียนของตัวเองไม่ได้นะ
• เพลงเปิดและปิดเรื่องเพราะอีกตามเคย เนื้อร้องก็ดี๊ดี รู้เพราะดีวีดีแผ่นนี้มีซับเนื้อเพลงด้วยน่ะซี
• น่าคิดนะ ว่าเรื่องไม่ดีที่เราพลาดมาในอดีต เราควรเลือก “ลืม” หรือ “จำ”

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ยั่วน้ำลายคนไดเอ็ต






ขึ้นไป Blue Sky Bar & Dining บนดาดฟ้าชั้น 24 โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทาราแกรนด์ กรุงเทพฯ มาเมื่อวาน (โปรดทราบว่าคือโรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว)

พบว่าภายใต้การอำนวยการของเชฟฌอง คลอด พิชอน เขานำเสนออาหารหน้าตาดี รสชาติใช้ได้เชียวแหละ

ใช้มือถือถ่ายรูปพวกนี้ไว้เป็น reference เลยเอามาให้คนไดเอ็ตร่วมชิมทางสายตา
อิ อิ

ป.ล. ห้องเวียดนาม เลอ ดาลัด ของเขาเพิ่งรีโนเวทเสร็จ จะขายในราคาลด 50% ถึงวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคมนี้ ใครสนใจโทรไปสอบถามและจองโต๊ะที่ โทร. 0 2541 1234

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

I've Been Married To Hell! : Erai Tokoro ni Tosuide Shimatta!

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

ก็พอเข้าใจอยู่ว่าแม่รักและเป็นห่วงลูก โดยเฉพาะถ้าเป็นลูกชายที่ไม่ค่อยฉลาดนักของครอบครัวที่มีอันจะกินหน่อย จะให้แม่นอนใจ ไม่สน ไม่แคร์ว่าลูกจะไปรัก ไปดองกับสาวคนไหนได้อย่างไร ก็เขาอุตส่าห์ฟูมฟักเลี้ยงดูของเขามา

ฉันเชื่อว่าในซีรีส์ Erai Tokoro ni Tosuide Shimatta!(2007) คิมิโกะ (Nakama Yukie) เองก็เข้าใจดีว่าแม่รักลูก แต่ที่เธอไม่เข้าใจน่าจะเป็นประเด็นที่ว่า แล้วทำไมคุณแม่ผัว (Matsuzaka Keiko) ถึงต้องมายุ่งกับชีวิตของเธอขนาดดดดดดดนี้

คิมิโกะนักเขียนอิสระกับอิโซะจิโร่ (Tanihara Shosuke) หนุ่มพนักงานบริษัท พบกัน คบกัน ตัดสินใจแต่งงาน แล้วย้ายมาอยู่ร่วมกันในโตเกียว ในคอนโดหรูที่เป็นตึกสูงริมทะเลย่านโอไดบะ ซึ่งก็ออกจะเป็นที่อยู่ที่ต้องใช้ทุนทรัพย์มิใช่น้อย แต่คิมิโกะก็ไม่ยั่น เมื่อเธอฝันจะอยู่ตรงนั้น เธอก็ต้องทำให้ได้ แม้จะต้องเขียนกี่แสนหรือกี่ล้านคำก็ตาม (ค่าเรื่องที่ญี่ปุ่นคิดเป็นคำจ้ะ)

ทั้งสองคนไม่ใช่พวกไฮโซหัวสูง ที่คบกันได้เพราะเข้ากันได้ดี จากการที่ต่างก็เป็นคนสบายๆ ไม่มีระเบียบ ไม่มีธรรมเนียมประเพณี ตั้งแต่แต่งงาน คิมิโกะทำแต่งาน ไม่เคยทำอาหารให้สามีกิน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะอิโซจิโร่เวลาอยู่นอกบ้านก็ดูเป็นคนสบายๆ กินง่ายอยู่ง่าย และดูจะพอใจกับอาหารกล่อง อาหารสำเร็จรูป ที่หาง่ายๆ และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนเมืองอยู่แล้ว

จนกระทั่งได้รับโทรศัพท์จากบ้านสามี ให้ทั้งคู่กลับไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าสาว เพียงเห็นกำแพงหินล้อมบ้านหลังใหญ่สุดอลัง สามีของเธอเปลี่ยนสู่โหมดเรียบร้อย สุภาพ สุขุม และโค้ง แค่นั้นคิมิโกะก็หนาว เพราะตระหนักว่าหนุ่มหน้าซื่อที่เธอแต่งด้วย ที่แท้คือทายาทเศรษฐีผู้ดีของย่านนั้น

ปัญหาของคิมิโกะไม่ได้อยู่ที่การถูกแม่ผัวเขม่นและคอยจับผิด แต่เป็นเพราะว่าแม่ผัวชอบเธอเอามากๆ ด้วยความที่ครอบครัวยามาโมโตะเป็นสมาชิกของเมืองนั้นมาหลายชั่วคน มีประเพณีวัฒนธรรมที่ต้องรักษาสืบทอดกันไปไม่ให้ตกหล่น แม่ผัวผู้แสนงามและอ่อนหวานจึงพยายามเคี่ยวเข็ญลูกสะใภ้ผู้ห่างไกลความเป็นกุลสตรีให้ได้เรียนรู้ธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัว และของคนในเมืองนั้นอย่างเคร่งครัดตามประเพณี เป็นลูกสะใภ้ที่ดี เชิดหน้าชูตาแก่ครอบครัวยามาโมโตะต่อไป ทำให้เกิดเป็นเรื่องราวสนุกสนานหรรษาเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูเป็นระยะ

แม้ว่าดูแล้วจะอดเครียดกับชีวิตลูกสะใภ้ขึ้นมาไม่ได้ก็ตาม



บันทึก:
• ซีรีส์เรื่องนี้มีชื่อภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า Erai Tokoro ni Tosuide Shimatta!
• คนญี่ปุ่นเขาก็ช่างแต่งกันได้โดยไม่ต้องไปเสนอหน้าที่บ้านพ่อแม่อีกฝ่ายก่อนเนอะ
• เป็นเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ที่น่ารักดีนะ ถ้าฉันเป็นคิมิโกะ ถ้าบ้านสามีรัก และต้อนรับบอย่างอบอุ่นแบบนี้ วันนึงก็คงอยากย้ายไปอยู่บ้านสามีถาวรเหมือนกัน
• ดูแล้วได้ศึกษาศิลปะในการอยู่กับสามีนิดหน่อย กับศิลปะในการอยู่ร่วมกับครอบครัวสามีอีกนิดหน่อย
• เห็นธรรมเนียมแปลกๆ ในซีรีส์เรื่องนี้แล้วอย่าไปคิดเป็นตุเป็นตะเลยว่าญี่ปุ่นทั้งญี่ปุ่นเขาจะเป็นแบบนี้ นี่เป็นเรื่องแต่ง ธรรมเนียมประเพณีในเรื่องก็อาจจะเพี้ยนบ้างอะไรบ้าง อย่าถือสา
• เพลง End Title เพราะอีกแล้ว



วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Shiawase no Kaori : รสชาติแห่งความสุข

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama



เชฟเก่งๆ ของร้านดังๆ เขาพยายามทำกับข้าวให้อร่อยเพราะอะไร เพื่อใครกันนะ?
เพื่อตัวเอง เพราะอีโก้สั่งให้รักษามาตรฐานความอร่อยของตัวเองไว้ อย่าให้ตก
หรือเพื่อคนอื่น?

“หวางซัง” หรือเชฟหวาง (Tatsuya Fuji) ใน Shiawase no Kaori (2008) ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ใจความว่า Flavor of Happiness ไม่ได้มีอีโก้แบบนั้น เขาปฏิเสธเทียบเชิญให้ขึ้นห้างดัง และยืนยันจะทำอาหารขายในร้านเล็กๆ ซอมซ่อของตัวเองต่อไปด้วยเหตุผลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน

เพียงเพราะเขาอยากเห็นหน้าตาคนกินเวลามีความสุข เมื่อได้กินอาหารของเขา เท่านั้นเอง

รสชาติอาหารที่ปรุงอย่างตั้งใจ ใส่ใจ แม้เป็นอาหารกลางวันง่ายๆ ราคาไม่แพงนั้น อร่อยกินใจทาคาโกะ (Miki Nakatani) จากบทบาทที่ควรเป็นคนมาจูงใจให้เชฟหวางยอมขึ้นห้าง ไปเรียกกำไรมหาศาลให้บริษัทของเธอ มากินอาหารของเขานานวันเข้า เธอกลับอาสา สมัครเป็นศิษย์รับสืบทอดวิชาการปรุงอาหารจากเชฟเมื่อเชฟล้ม และกลายเป็นอัมพฤกษ์ ยกกระทะไม่ไหวอีกต่อไป

ทาคาโกะทิ้งงานมาถือปังตอ มาจับกระทะ เพราะเธอมีเหตุผลบางอย่างของเธอ เป็นเหตุผลเล็กๆ แต่ก็กินใจมนุษย์ปุถุชนที่แสนเหงาและแสนคิดถึงใครบางคนอย่างเราๆ

ระหว่างที่ทาคาโกะเรียนรู้ คนดูก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากที่รู้อยู่แล้ว ว่าความสุขของคนได้กินอาหารอร่อยๆ เป็นอย่างไร ฉันได้เห็นขั้นตอนการเตรียมอาหารจีน การหั่น การสับ การใช้ไฟ เทคนิคการใช้กระทะ และที่สำคัญ ฉันเหมือนได้สัมผัสถึงความสุขของคนทำอาหาร

แล้วก็อยากจะออกไปกินอาหารอร่อยๆ ที่คนทำตั้งใจทำให้เรากินอย่างมีความสุขขึ้นมาทันที
(มีที่ไหนจะแนะนำช่วยบอกด้วยนะ)




บันทึก:
• เพลงประกอบหนังเรื่องนี้เพราะมาก เพลง End Title ก็เพราะ นักร้องเสียงดีจริงๆ
• นักแสดงนำทั้งสองถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีจริงๆ
• สำหรับมิกิจังนั้น ฉันอยากตบมือให้ด้วยซ้ำ ค่าที่เธอเป็นนางเอกญี่ปุ่นชั้นนำ ที่ไม่ติดกับบทนางเอ๊กนางเอกเลย (จำ Kiraware Matsuko no isshô หรือ Memmory of Matsuko ได้ไหม?) เรื่องนี้เธอทั้งผอม ทั้งโทรม ไม่สวย ไม่อะไรทั้งสิ้น แต่เธอสง่านะ ท่าทางและแววตาตั้งอกตั้งใจเวลาตั้งใจทำอาหาร
• ดูหนังเรื่องนี้แล้วไม่ใช่แค่ต่อมน้ำลายแตกอย่างเดียว แต่มันทำให้ฉันอยากเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้มีรสชาติแห่งความสุขบ้างบ้าง (ว่าแต่ใครล่ะ จะมาทำหน้าตามีความสุขเมื่อได้กินอาหารของฉัน)
• นอกจากนี้ยังทำให้ฉันตั้งใจว่า ต่อไปถ้าเลี่ยงได้ จะไม่กินอาหารจากคนที่สักแต่ทำๆ มาขายให้เรากินอีกแล้ว


วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย : มิติซับซ้อนของการทำแท้ง

เครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงท้องไม่พร้อม ได้จัดเสวนาเรื่อง "ทัศนคติของสังคมต่อเรื่องท้องไม่พร้อม" ขึ้นเมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา ที่โรงแรมเฟิร์ส ถ.เพชรบุรี  โดยมี รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล ดร.เมทินี  พงษ์เวช ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี นายตุล ไวฑูรเกียรต์ นักร้อง นักแต่งเพลง ศิลปินวงอพาร์ทเม้นต์คุณป้า และ น.ส.อุษาสินี ริ้วทอง หัวหน้าฝ่ายรณรงค์ทางสังคมองค์การแพธ พร้อมด้วยองค์กรทุกภาคส่วนเข้าร่วมเสวนา


เริ่มด้วยการกล่าวถึงสถานการณ์การทำแท้งในประเทศไทย โดย รศ.ดร.กฤตยา  กล่าวว่า  การทำแท้งของผู้หญิงทั่วโลกนั้นมีมายาวนานแล้ว แต่ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่ปัจจุบันกลับมองว่า ผู้หญิงเป็นจำเลยเพศเดียวที่ทำแท้ง ซึ่งข้อเท็จจริงแล้ว ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ตั้งใจท้องเพื่อไปทำแท้ง รวมถึงการทำแท้งเสรีไม่มีบนโลกนี้  เพียงแต่ว่า คนเราเวลามองการทำแท้งนั้นเป็นเรื่องของศาสนา ความรู้สึกบาปในจิตใจ  แต่แท้จริงแล้วอยากให้มองเรื่องสุขภาพของผู้หญิงที่ทำแท้งมากกว่า  97% ทั่วโลก อนุญาตให้มีการทำแท้งเพื่อรักษาชีวิตของผู้หญิง  ไม่ใช่การทำแท้งเสรี ซึ่งทุกอย่างมันต้องมีเงื่อนไข การทำแท้งเสรีไม่มีในโลกนี้ แต่ในเมืองไทยที่มี คือการทำแท้งเสรีของคนที่มีสตางค์ มีข้อมูล ดังนั้น เรื่องท้องๆ  แท้งๆ เกี่ยวกับสุขภาพของผู้หญิงที่สังคมต้องร่วมกันดูแล

 

รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล  กล่าวต่อว่า  อยากให้เปลี่ยนมุมมองทัศนคติเสียใหม่ว่า ผู้หญิงที่ท้องและทำแท้งแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่อาชญากร กม.การทำแท้งเป็นกม.เก่า มีการเสนอให้แก้ไขมาตรา 305   ซึ่งเป็นกม.อาญา มาตลอด แต่ก็ยังไม่เป็นผล  กฎหมายนี้เป็นกฎหมายใจร้าย  เพราะผู้หญิงกระทำต่อร่างกายตัวเองแล้วเป็นอาชญากรคิดได้อย่างไร


"คนจนขายกระดูกซี่โครงตัวเองเพื่อให้ ผู้หญิงอีกคนไปทำจมูก เขาผิดไหม เพราะนั่นเป็นส่วนนหึ่งของร่างกายเขา คนฆ่าตัวตาย ติดตารางไหม ตัวอ่อนที่อยู่ในร่างกายของผู้หญิง ยังไงก็เป็นส่วนนหนึ่งของร่างกาย เพราะฉะนั้นการที่ผู้หญิงเขาจัดการกับร่างกายของตัวเอง แล้วต้องติดคุก มันใจร้ายไหม มันก็มีแต่ทำให้เกิดปัญหา เพระาฉะนั้นคิดว่าต้องเปลี่ยนมุมมองของสังคมในเรื่องนี้ ว่าเขาไม่ใช่อาชญากร แต่ไม่ใช่แก้ตรงนี้อย่างเดียว ต้องแก้ที่จุดอื่น  จริงๆ อยากให้ยกเลิกกฎหมายนี้เหมือนกัน แล้วร่างกฎหมายใหม่ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับผู้หญิงที่ท้องแล้วมีปัญหา ขณะนี้หวังว่า เรื่องดังกล่าวจะเข้าไปอยู่ในพรบ.อนามัยเจริญพันธุ์ฯ แต่ นายกรัฐมนตรี ก็บอกให้ยกเรื่องนี้ออกไปก่อน มันร้อน อยากจะเรียนว่า เรื่องการทำแท้งเป็นเรื่องร้อนของนักการเมือง ประเทศไทยไม่มีนักการเมืองสักคนที่จะลุกขึ้นมายืนแล้วต่อสู้สิทธิให้กับ เรื่องอย่างนี้ ในทางส่วนตัวมีมาบอกว่าสนับสนุน แต่ในทางสาธารณะพูดออกไม่ได้กลัวจะเสียคะแนนเสียง สังคมไทยสามารถทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ อดีตไม่มีการเอาผิดกับผู้หญิง สิ่งที่ต้องการเปบลี่ยนแปลง อยู่ที่พวกเราทุกคน เพื่อให้มีทางเลือก เราอยากให้ทารกทุกคนเกิดมาด้วยความพร้อมและความต้องการ ซึ่งจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี " รศ.ดร.กฤตยา กล่าว


ด้าน ตุล  อพาร์ทเม้นต์คุณป้า ตัวแทนเยาวชนวัยรุ่น ซึ่งพูดถึงประเด็น ผู้ชายหายไปไหน....เมื่อผู้หญิงท้องไม่พร้อมว่า เมื่อ ผู้หญิงท้องภาระทั้งหมดก็ต้องตกมาที่ตัวเอง ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่ไม่ได้วางแผน หรือความมักง่ายของผู้ชาย ที่เลือกจะหนีปัญหาหลายๆ ครั้ง ปัญหาผู้หญิงที่ไปทำแท้งในที่ๆ ไม่ปลอดภัย มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับตัวกฎหมายเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องความกดดันของสังคม ไม่ได้มองว่า  ไม่มีใครรรับฟัง โดยเฉพาะฝ่ายชาย หรือบางกรณีรับฟังก็เรียกร้องให้มีการตรวจดีเอ็นเอ ซึ่ง ปัญหาที่มันเกิดขึ้นก็คือความต้องการของคนสองคนแล้วไม่รับผิดชอบร่วมกัน กรณีการพบซากตัวอ่อนทารกเป็นพันๆ ราย ในวัดไผ่เงินฯ ที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศนั้น สำหรับตนมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาตื่นตกใจ เพราะการทำแท้งมันเป็น เรื่องที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวตลอดเวลา และเป็นสิ่งที่สื่อประโคมข่าวให้ความสนใจแค่ช่วงสั้นๆ แต่พอผ่านไปแล้ว เรื่องที่สื่อนำเสนอไปจะช่วยอะไรให้กับสังคมได้หรือไม่

 

นักร้อง นักแต่งเพลงชื่อดัง กล่าวอีกว่า วัยรุ่นเรียนรู้เรื่องเพศจากกลุ่มเพื่อนมากกว่าคนในครอบครัว เพราะมันมีความไม่กล้าที่จะคุยกันในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะพ่อ แม่ และลูก แต่ถ้าถามว่า วัยรุ่นรู้วิธีการคุมกำเนิด ป้องกันโรคติดต่อ หรือไม่ ตอบได้เลยว่า พวกเขารู้ แต่มันก็จะมีความเขินอายเป็นประเด็นใหญ่ที่ยากจะขจัดไป  อย่างการใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่นการไปซื้อถุงยางอนามัย ที่ต้องฟันฝ่าสายตาจากคนที่มองมาอีกด้วย ดังนั้น สิ่งนี้ มันจึงเป็นประตูสำคัญ กำแพงที่หนาในการเข้าถึงการคุมกำเนิดไม่ได้ เรียกง่ายๆว่า คนไทยเรายังคงอยู่ในสังคมที่ ไม่กล้าพูดความจริงมากกว่า  ส่วนความรู้สึกบาปบุญมันฝังในหัวคนไทยหรือคนทั้งโลกมานาน จึงเป็นเรื่องยากที่จะตอบคำถามหรือหาทางออกให้กับเรื่องการทำแท้งเป็นอย่าง มาก อยากให้มองว่า การคุยเรื่องเพศศึกษาไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย

 


ขณะที่ มุมมองของการทำงานด้านการป้องกัน  ขององค์การแพธ  น.ส.อุษาสินี กล่าวว่า ทางแพธ  ได้มีการขยายการให้ความรู้ การสอนเพศศึกษาให้คนเกิดการป้องกัน หรือชะลอการมีเพศสัมพันธ์โดยตลอดไปยังโรงเรียน และสถาบันการศึกษาต่างๆ เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก   เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจให้กับวัยรุ่น ทั้งนี้  พบว่า มีแผนกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้น ม. 5 ที่ชื่อว่า "บทเรียนเขียนชีวิต" ก็พบว่า บทเรียนดังกล่าวไม่ได้มีการหยิบยกเอามาสอนเพื่อทำความเข้าใจเรื่องการตั้งครรภ์และทำแท้งมาสอนเด็กเลย  ถูกเก็บเข้าลิ้นชัก ครู ส่วนใหญ่มักไม่เลือกที่จะเสนอประเด็นการทำแท้งในการสอนเพศศึกษา แต่เลือกที่จะหยิบเอาเรื่องบาปมาสอน ทำให้ยังไม่ก้าวข้ามประเด็นอื่นๆ เช่น วัยรุ่นหญิงชายจะทำอะไรได้บ้างเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสภาวะทำแท้ง หรือต้องการได้รับความช่วยเหลือแบบไหน มีเพียงแต่ห้ามไม่ให้ทำแท้ง หรือห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ แต่จะทำอย่างไรให้เกิดความช่วยเหลือแก่คนรุ่นใหม่ให้เขาได้รับความรู้อย่าง ถูกต้องและเหมาะสมในเรื่องเพศศึกษา เพื่อให้หลุดออกจากมายาคติที่สังคมได้สร้างกรอบไว้


"เราต้องทำหน้าที่ต่อไป ทำอะไรที่จะเปลี่ยนมุมมอง ความรับผิดชอบที่ปลอดภัยต่อวัยรุ่นได้บ้าง การพยายามของเราไม่เพียงแค่ให้ข้อมูลอย่างเดียว แต่ยังมีการให้ข้อมูลความรู้ในระบบการศึกษา เป็นประเด็นที่ท้าทายมาก พบว่า โรงเรียนขนาดใหญ่ หรือโรงเรียนในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องยากที่จะผลักดันการเรียนเพศศึกษาให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเขาจะเน้นให้เด็กมีความเป็นเลิศทางวิชาการมากกว่าที่จะสอนทักษะ ชีวิตให้เด็ก ขณะที่โรงเรียนขนาดกลางหรือขนาดเล็ก เขตนอกเมือง ปรากฎว่ามีหลายที่สามารถจัดกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง เป็นคำถามใหญ่ในสังคมว่า เป้าหมายใหญ่ คือเราจะให้เด็กเกิดการเรียนรู้ หรือให้เด็กมีทักษะในการประกอบวิชาชีพ"


พร้อมกันนี้ หัวหน้าฝ่ายรณรงค์ทางสังคมองค์การแพธ  ยังได้นำริบบิ้นที่ผูกเป็นโบว์สีดำมาแจกให้กับผู้ร่วมเข้าเสวนาทุกคน โดย กล่าวว่า "ขอไว้อาลัยให้กับความมืดบอดของสังคมพุทธด้วย เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่า เราจะเปลี่ยนความมืดเป็นความสว่างได้อย่างไร ถ้าเราไม่เปิดใจในเรื่องเพศ"

 

 

 

ส่วนดร.เมทินี  ซึ่งดูแลในส่วนงานของบ้านพักฉุกเฉิน  โครงสร้างทางเลือกสำหรับผู้หญิงท้องไม่พร้อม จากหลายๆ กรณี  ระบุว่า ผู้หญิงที่เข้ามาอยู่ในบ้าน พบว่า หลายคนขาดความรู้ความเข้าใจค่อนข้างมากในเรื่องเพศศึกษา  ซึ่งทางเราก็พยายามให้ความช่วยเหลือ สร้างความเข้าใจให้คนเหล่านี้เกิดความพร้อมในหลายๆอย่าง มีการแนะนำหญิงที่ท้องไม่พร้อม ทำยังไงให้แม่ที่ไม่พร้อม พร้อมที่จะเลี้ยงลูกได้ หรือ เด็กผู้หญิงบางคนยังเรียนหนังสือไม่จบ ก็มีการใช้เงินจากการการรับบริจาค  ต่างๆ ที่ได้มาไปให้พวกเขาได้รับการศึกษาเพื่อให้เรียนจบ หลายคนพบว่า สามารถออกไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีอาชีพที่ดี ซึ่งทางสหทัยมูลนิธิก็ให้ความช่วยเหลือกับทางบ้านพักฉุกเฉินมาโดยตลอด ระหว่างนี้ สิ่งที่สำคัญ คือการทำงานกับผู้ปกครองของผู้หญิงเหล่านั้น เป็นอะไรที่ยากและท้าท้ายมาก

 

 


"อยากเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ จริงจังเรื่องนี้ ครอบครัว โรงเรียน สื่อ ต้องช่วยกัน  การป้องกันในโรงเรียนต้องทำจริง ซึ่งที่ผ่านมามันติดอยู่ที่ทัศนคติของครูบาอาจารย์ค่อนข้างมาก ไม่อยากให้ผู้หญิงเป็นจำเลยเพศเดียวจริงๆ  เพราะว่า หลายครั้งทุกเรื่องเลย ผู้หญิงจะถูกตัดสินในกระบวนการสุดท้าย แต่ถ้าย้อนกลับไปดู จากประสบการณ์ที่บ้านพักฉุกเฉิน จะพบว่า หลายครั้งมันมีที่มาที่ไป หลายคนเป็นเด็กที่ถูกเหวี่ยง ไปอยู่กับคนนู้นคนนี้  คือเกิดมาจากความไม่พร้อมนี่แหละ แล้วนำไปสู่ปัญหา เด็กก็ตั้งคำถามว่า ให้หนูเกิดมาทำไม เกิดมาก็สร้างปัญหาให้กับสังคม นั่นเพราะพวกเขาไม่ได้รับความรักที่แท้จริง สังคมต้องเข้าใจและไม่ตัดสินก่อนที่จะไปรับรู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร อย่างเช่นการทำแท้ง กฎกติกาที่ออกมาห้ามนู่นห้ามนี่ ท้ายที่สุดอยากจะถามว่า คนที่ต่อต้านสุดโต่งเอื้อมมือมาช่วยอย่างไรบ้าง ในขณะที่ผู้หญิงที่ทำตามกติกาของสังคม แต่ว่าเขาไม่พร้อมเลย และสุดท้ายก็ไม่มีคนเอื้อมมือมาช่วยอยู่ดี"

 

 


ตรงส่วนนี้ ตัวแทนของสหทัยมูลนิธิ ได้ร่วมให้ความเห็นว่า  เท่าที่ทำงานกับเด็กและผู้หญิงมาตลอด ในเรื่องของการตั้งครรภ์แบบไม่พร้อม  สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าเป็นในส่วนของสังคมชนบท เมื่อท้องขึ้นมา จะกลัวพ่อแม่รู้และรับไม่ได้ ขณะที่ในสังคมเมือง  บางทีพ่อแม่รู้ แต่ไม่สามารถรองรับปัญหาได้ เนื่องต้องปากกัดตีนถีบในการหาเลี้ยงชีพ   จะมารับผิดชอบสมาชิกใหม่ก็ไม่สามารถทำได้ ถือว่าเป็นเคสที่หนักหนา หลายกรณีที่เห็นบ่อยๆ  พอมีคนตั้งท้องมาหาเรา อยู่ในช่วงก้ำกึ่ง สิ่งแรกที่ทุกคนคำนึงคือเรื่องของศาสนา ที่ฝังอยู่ในหัวว่า ถ้าเอาเด็กออกจะบาปแค่ไหน เขาไม่ได้คิดถึงแง่กฎหมายว่าอนุญาตหรือไม่ หรือจะไปหาหมอ แต่เมื่อมีบางรายไม่สามารถเอาเด็กไว้ได้จริงๆ เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดต่างๆ ของเด็กอาทิ สติปัญญาของผู้หญิงที่อาจจะไม่สมประกอบ ที่เขาไม่สามารถเลี้ยงเด็กได้  ทางเราก็ไปช่วยประสานติดต่อในหลายๆที่ที่ช่วยเอาเด็กออกให้โดยปลอดภัย แต่ เมื่อติดต่อไป ทางแพทย์ก็ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า กลัวบาป แล้วบอกว่า ให้ไปทำที่ไหนก็ไป  อันนี้เป็นกำแพงของการทำงานที่จะช่วยผู้หญิงหรือเด็กที่ท้องไม่พร้อมจริงๆ มันทำให้ในสังคมไทยมีการต่อต้านทำแท้งเยอะ และมีมานานแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2524

 

 

แทนของสหทัยมูลนิธิ   กล่าวเสริมต่อว่า ผู้ชายไม่รับผิดชอบ เมื่อทำผู้หญิงท้อง เท่าที่ทำงานมาพบว่า ไม่ใช่ผู้ชายไม่รับผิดชอบ บางคนก็มีความรับผิดชอบ แต่ที่บางคนหายไป เมื่อรู้ว่า ผู้หญิงตั้งครรภ์ นั่นคือการหนีไปตั้งหลักก่อน หายไปเลย แต่เมื่อตั้งสติได้ หลายรายที่กลับมารับผิดชอบ ครอบครัวของผู้ชายจะเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ชายรับผิดชอบ


"อยากฝากครอบครัวของผู้ชายด้วยว่า ถ้ามีกรณีอย่างนี้ ช่วยเปลี่ยนแนวคิดด้วยว่า เด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งท้องกับลูกชายตนเองไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย และไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่สมควรจะเป็นแม่ของหลาน"

 

 

 

ทางด้าน นายแพทย์ประจำคลินิกสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ฯ ตอบคำถามเรื่องผู้ให้บริกาปฏิเสธการให้บริการ ว่า  ตั้งแต่มีการไปกวาดจับคลินิกทำแท้งยังที่ต่างๆ ทำให้สถานบริการที่เปิดให้มีการทำแท้งตามเงื่อนไข  ได้รับผลกระทบกันไป แม้แต่สมาคมวางแผนครอบครัวฯ  ต้องระวังตัว  ส่วนที่ทางแพทย์ไม่ทำแท้งให้ผู้มีการร้องขอ  จริงๆแล้ว ที่อ้างว่า กลัวบาปไม่ใช่หรอก  ตนยืนยันว่า รพ.รัฐทุกแห่งปฏิเสธการทำแท้งทั้งที่สามารถทำได้ โดยแพทย์ผู้ให้บริการไม่มีความมั่นใจว่า มีกฎหมายคุ้มครองหรือเปล่า เพราะฉะนั้น เรามาหาหนทางกันว่า จะขับ กม.มาตรา  301 ,305 ออกไปได้ดีกว่า

 

 

 

ตบท้ายด้วยตัวแทนจาก สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน  กล่าวว่า ถ้ามีการช่วยเหลือหญิงที่ไม่พร้อม มันดีกว่าการที่ปล่อยให้เด็กเกิดมาแล้วเป็นปัญหาสังคมต่างๆ อยากจะบอกว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ที่อยากเป็นโสเภณี อยากทำแท้ง และอยากเป็นเมียน้อย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้ ต้องเผชิญปัญหาต่างๆ มีหลายปัจจัยด้วยกัน โดยเฉพาะเงิน การทำแท้งเสรีไม่มีในโลกนี้ ไม่มี มีแต่การทำแท้งที่ร้องขอ  ประเทศรอบๆไทย จัดให้มีการทำแท้งอย่างถูกต้องตามวิธี เหลือแต่ไทยที่ยังถกเถียง หาทางออกกันไม่เจอ


"ผมเห็นด้วยกับการจัดการคลินิกที่ทำ แท้งเถื่อน เพราะเขาไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ขณะที่หลายประเทศ ฝึกพยาบาลมาทำแท้ง เพราะหมอไม่ทำ แต่ประเทศไทย หมอพร้อม แต่หมอไม่กล้าทำอยากจะบอกสื่อมวลชนว่า อย่าไปประณามผู้หญิงเลย เขาท้องเองไม่ได้หรอก ถ้าผู้ชายไม่ทำเขา  ผมมีลูกชาย สามคน ยังไม่เห็นไปทำใครท้องเลย มันอยู่ที่เราสอนเขา เรื่องทำแท้งแก้ปลายเหตุ เราทำเรื่องวางแผนครอบครัวมา40 ปีแล้ว ให้กินยาคุมทุกวัน ใส่ถุงยางทุกครั้ง มันก็พลาดได้ อยากจะฝากว่า ถ้าเรามีคนใกล้ตัวท้อง แต่พ่อไม่รับผิดชอบ เราจะทำยังไง สื่ออย่าประณามเขาว่า เป็นแม่ใจร้าย "


ส่วนการพบซากศพเด็กทารก ที่วัดไผ่เงินฯ นั้น ตัวแทนจาก สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน ระบุว่า  เรา เรียกว่าศพไม่ได้ ไม่ใช่คนตามกฎหมาย สองพันกว่าห่อ ยังน้อยเกินไป ความเป็นจริงมีอีกเพียบ จัดการได้เลยทำแท้งเถื่อน แต่ถ้ามีการจัดงานโดยแพทย์ที่ถูกกฎหมาย โดยสถานทำแท้งที่ได้รับการรับรองอย่างไปยุ่งกับเขาเลยครับ ผู้หญิงที่มีปัญหาจะลำบาก เนื่องจากหาที่ทำไม่ได้

 

>>>คัดมาทั้งเรื่องจากหน้านี้ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1290588063&grpid=01&catid&subcatid

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มานี่ น้องพี่หมาน่อย


หมอใส่ให้มาเพราะว่ารูปทรงขาของหนูไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยน่ะสิ

เห็นบอกว่าอาทิตย์หน้านัดไปกายภาพ อาจจะเอาเฝือกออก

อีเฝือกนี่รัดแน่นซะเท้าหนูบวมกางยังกะอุ้งตีนหมีแน่ะลูก


เสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2553

ฉันกับแมวคราวไปรพ.ส ศรีวรา เพื่อเยี่ยมแมวน้อยชื่อ "โชคดี" ที่ฉันพบข้อมูลใน facebook
ตอนแรกเห็นรูปกับอ่านข้อมูลคร่าวๆ แล้วก็บอกแมวคราวว่าอยากขอมาเลี้ยงจัง

เขาบอกว่าเป็นแมวถูกรถชน สองขาหลังใช้ไม่ได้ แต่อึฉี่เองได้

คือช่วงนี้กำลังหาแมวมาเลี้ยงเป็นคู่กับหมาน่อย คิดว่าอยู่กันสองตัวจะได้เป็นเพื่อนกัน ออกตระเวนไปดูลูกแมวมาสองสัปดาห์แล้ว แต่มีอันแคล้วคลาดตลอด ตัวแรกพอไปถึงแล้วคนเลี้ยงเขาบอกไม่ให้ ตัวที่สองพอเจอกันน้องก็ท้องเสีย เลยต้องกินยาแล้วก็อยู่บ้านเจ้าของเดิมเขาไปก่อน จนมาอาทิตย์นี้มาเจอโชคดี

ตอนแรกคิดว่าน่าจะสัก 3 เดือน (เดามั่วจากลำดับวัคซีนที่หมอของโรงพยาบาลให้)
แต่พอรู้ว่าหนัก 1.6 กก. กลับมาดูน้ำหนักของหมาน่อยที่จดไว้แล้วก็เดาน่าจริงๆ มันน่าจะอายุได้ 4 เดือนมากกว่า ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะตอนนี้อาการบาดเจ็บจากการถูกรถชน (หรืออาจจะทับ) ที่ขาทั้งสองข้างหายเกือบดีแล้ว ถ้าขามันต้องเข้าเฝือก ก็เข้ามาเรียบร้อยแล้ว แผลใหญ่ที่ตำแหน่งประมาณลิ้นปี่ของคนจาก (ยาวสัก7 เซ็นต์ได้ ในแมวตัวแค่เนี้ย) ก็หายแล้ว ติดเรียบร้อย แผลตรงกลางหลังก็ดูเหมือนจะกลายเป็นแผลเป็น แผลพวกนี้คงต้องใช้เวลารักษาพักใหญ่ เดาเอาจากแผลทำหมันของหมาน่อย (1-2 ซม.เอง) กว่าจะหายดีก็สัก 3 อาทิตย์ได้ ดังนั้นมันก็น่าจะอายุ 3 เดือนขึ้นไปแล้วแหละ

..คิดดูเถอะว่าลูกแมวตัวนี้ผ่านเรื่องหนักหนามาแค่ไหน แต่มันก็ยังอุตส่าห์รอดมาได้ ชื่อ "โชคดี" ได้มาเพราะเหตุนี้เอง

ตอนเห็นมันครั้งแรก ฉันไม่ได้คิดเวทนา แต่กลับรู้สึกว่าลูกแมวตัวนี้น่ารัก น่าเอ็นดู ความไร้เดียงสาของมันช่างมีพลังยิ่งใหญ่ ดวงตาของมันสดใส พยายามเคลื่อนไหวไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้ขาที่ใช้การได้ดีมีแค่คู่หน้า

เห็นมันกระถดตัวไปกับพื้นแล้ว น้ำตาฉันไม่ได้ซึมด้วยซ้ำไป

ความรู้สึกทำนองเดียวกันนี้คงเกิดกับแมวคราวเหมือนกัน เพราะท้ายที่สุดหมอนี่ก็ไม่ได้ทัดทานอะไร เมื่อฉันขอโชคดีกลับมาเลี้ยงคู่กับหมาน่อย แค่ขอเปลี่ยนชื่อจาก "โชคดี" เป็น "มานี่" เท่านั้นเอง

หมายเหตุ: ชื่อ มานี่ ตั้งให้คล้องกับหมาน่อย มาจากคำว่า Money เป็นการเรียกด้วยสำเนียงไทยใหญ่จ้ะ

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ของไม่หวาน


หมูย่าง กับมัสตาร์ด (หมูบัง)
อกเป็ดบนเนื้อแอปเปิ้ล และมะเบือม่วงชุบแป้งทอด โรยหมูหยอง

อร่อยทุกอย่าง



ทริปสิงคโปร์ที่ผ่านมาว่าจะไม่ให้ดูรูปอาหาร
เพราะรู้ดีว่าทริปนี้ถ่ายมาได้ห่วยมาก (ก็มือไม้มันสั่น-ฮา)
แต่ว่าเจ้อยากดู ก็เลยเอาให้ดูหน่อย ไม่ครบ
เอาเท่าที่ชัดละกันนะเจ้

(ขอบอกว่าอาหารโรงแรมนี้รสชาติเหนือความคาดหมายจริงๆ!)

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สิงคโปร์ที่ไปเห็น


บนถนนจากสนามบิน



11-12 พฤศจิกายน 2553
ไปสิงคโปร์เป็นครั้งแรก
จะว่าเชยก็คงไม่เชิง เพราะหลายๆ คนก็ยังไม่เคยไปเหมือนกัน
(ก็มันจำเป็นจะต้องเคยไปที่ไหนล่ะ)

ตอนจะไปก็ไม่ค่อยอยากไป (เหตุผลเดิม-ห่วงแมว)
แต่ก็ทำใจว่าเออ ไปทำงาน แล้วก็คิดว่าไปเปิดหูเปิดตาซะหน่อยนะ
เงินทองก็ไม่ได้เตรียมไปช้อปอะไรมากมาย แลกไปแค่ 2000 บาทเอง ได้ยังไม่เต็มร้อยดอลลาร์สิงคโปร์เลย

ผลก็คือ ดีใจมากที่ได้ไปเห็นสิงคโปร์ในมุมนี้เป็นมุมแรก (เชื่อว่าคงมีอีกหลายมุม เหมือนที่บางกอก เชียงใหม่ และหาดใหญ่มีหลายมุม)

ดีใจที่เริ่มต้นทำความรู้จักกับสิงคโปร์ด้วยความประทับใจ

ปล. คำถามแรกที่คนสิงคโปเรียนถามเมื่อรู้ว่าฉันเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไปสิงคโปร์เป็นครั้งแรกคือ รู้สึกอย่างไรกับสิงคโปร์ (ต๊าย ตอบยากยังกะคำถามนางงาม)
ฉันตอบว่า สิงคโปร์มีต้นไม้ใหญ่เต็มเมืองเลย (ประทับใจมาก)
ถ้าได้ตอบใหม่จะตอบว่า ประทับใจน้ำใจเอื้อเฟื้อของคนสิงโปเรียนมาก (ก็ฉันไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยนี่นา ว่าจะมี)

แก้เผ็ดน้องเหมียวหนีเที่ยว



ลองวางเซิร์ฟๆ แผ่ๆ อย่างนี้ก่อน

วางเต็มพื้นที่ไม่ได้หรอก ซื้อมาน้อย



ไปเดิน Daiso สิงคโปร์ได้ของเด็ดมาแก้เผ็ดนังเหมียวชอบหนีเที่ยว

เป็นแผงพลาสติกลักษณะเหมือนหนามแทงขึ้นมา เค้าเอาไว้ครอบแปลงเพาะต้นไม้ไม่ให้เหมียวไปคุ้ยเขี่ย (แล้วอาจจะอึ) คิดว่าถ้าเหมียวไม่ชอบเดินบนหนามแบบนี้ ถ้าเอามาวางกั้นไว้บนระเบียง ให้ยาวพ้นระยะกระโดด อาจเป็นการกักบริเวณแมวได้โดยไม่เป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป


(ว่าแต่ Daiso เมืองไทยไม่มีขายชิมะ?)


วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Eat Pray Love: ก่อนจะรัก ต้องรู้จักหัวใจตัวเอง

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

ดู Eat Pray Love แล้วอยากมีเงินพาแมวไปอยู่อิตาลีนานๆ เพื่อจะได้ไป Eat แบบนั้น ไปเรียนภาษาจากผู้ชาย แล้วก็ใช้ชีวิตเนียนๆ กับคนอิตาเลียนแบบนั้น แถมยังอยากไปบาหลี เพื่อจะได้พบ Love โรแมนติกอย่างนั้น กับหนุ่มใหญ่ที่มีความเชยเป็นเสน่ห์แบบนั้น

แต่ไม่ใช่ว่าไม่คิดอยากไปอินเดีย เพียงแค่ฉันไม่อยากไปอินเดียส่วนที่เป็นแบบในเรื่อง เพราะการ Pray และ Meditation นั้น ฉันเชื่อของฉันว่าทำที่ไหนก็ได้ ถ้าใจพร้อมจะสงบน่ะนะ

สิ่งที่สะกิดใจก็คือ นี่เป็นหนังอเมริกันที่นำแสดงโดยจูเลีย โรเบิร์ตส์อีกเรื่องหนึ่ง ที่สะท้อนภาพของสตรีผู้ไม่รู้ใจตัวเอง (อีกเรื่องคือ Runaway Bride จำได้ไหม ในเรื่องนั้นเธอเปลี่ยนสไตล์การกินไข่ไปตามผู้ชายที่คบ เรื่องนี้เธอเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวตามผู้ชายอีกแล้ว)

ฉันไม่โทษผู้หญิงที่ไม่รู้ใจตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง เพราะของแบบนี้ไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆ มันต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองนานพอ แล้วก็ต้องรักตัวเองมากพอ (มากพอที่จะไม่ยอมบังคับใจตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองเพียงเพื่อความสุขของคนอื่น) แต่เมื่อเรายังไม่รู้จักตัวเองดีพอ มันมักทำให้ความสัมพันธ์กับคนรักของเรามีปัญหา ในรูปแบบที่ไปตระหนักในเวลาต่อมาว่า “ฉันไม่ได้รักเขาแบบนี้”

หลังจากลิซ หรือจูเลียพบว่า “แบบนี้ไม่ใช่” เป็นครั้งที่สอง เธอก็พยายามทำความรู้จักกับตัวเองด้วยการตะลอนจากนิวยอร์กไปอิตาลี อินเดีย แล้วก็บาหลี เพื่อที่อเมริกันสาว(ใหญ่)เช่นเธอจะได้หลุดจากกรอบที่ครอบความเป็นอเมริกัน เปิดหูเปิดตาแล้วก็ฟังด้วยหัวใจ (เช่นที่เคตุทแห่งบาหลีบอก) จึงได้รู้จักโลก และรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองต้องการอะไร

ฉันไม่คิดว่าเราต้องทุรนทุรายตะเกียกตะกากไปถึงเมืองนอกเมืองนา เพื่อที่จะรู้จักตัวเอง บางที แค่เปิดหัวใจเล็กๆ ของเราให้กว้าง จนอะไรๆ ที่มันคับข้องอยู่ไหลออกไปให้หมด ปล่อยให้ใจโล่งๆ ว่างๆ ไร้สัมภาระสักแป๊บ จากนั้นก็ค่อยทบทวนว่าที่ผ่านมาน่ะมันยังไง คิด คัดสรรว่าต่อไปอยากได้อะไร สิ่งไหน และใคร เข้ามาอยู่ในใจบ้าง

เมื่อรู้ว่าอะไรที่ใช่ อะไรที่ไม่ใช่ และเลิกนิสัยขี้หวง เก็บงำ เหนี่ยวรั้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนหัวใจโอเวอร์โหลดแล้ว ตอนนั้นเราก็คงจะได้รู้จักตัวเองดีขึ้น จะคบกับใคร แบบไหน ยังไง ก็คงจะมุ่งไปข้างหน้าได้อย่างแน่วแน่ ไม่มีลังเล และไม่ต้องเสียใจเหมือนที่ผ่านๆ มา

ของแบบนี้ไม่ต้องรอจนเป็นสาวใหญ่หรอกนะ


บันทึก:
• จูเลียตัวใหญ่มากจนตอนแรกคิดว่าในบทนั้นชีกำลังท้องอยู่
• แต่ตัวใหญ่ยังไงขาชีก็ยังเพรียวยาวอยู่นะ
• ชอบเสื้อผ้าของลิซมาก แม้จะใส่แล้วดูตัวใหญ่มากกกกกก็ตาม
• ฉันรักความเป็นละตินในตัว Javier Bardem (อ่านว่า ฆาบิเยร์ บาร์เด็ม) จังเลย
• บทบาทของเขาในเรื่องนี้ดูดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลย

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย : คุณโสฯ เยาวชน



ข้อมูลสัมภาษณ์เชิงลึก โสเภณีเด็กอายุ 15-18 ปี จำนวน 10 คน ที่ค้าประเวณีแบบแอบแฝง และขายบริการด้วยตัวเอง ย่าน RCA

พบว่า...กรณีศึกษามากกว่าครึ่งกำลังเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี และไม่พบกรณีศึกษาใด ที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่ามัธยม

แค่ เริ่มก็สะท้อนถึงความต่างจากรูปแบบโสเภณีในอดีต ที่มีการศึกษาน้อย และมักมาจากชนบท ที่ไม่มีโอกาสที่จะเรียนหนังสือ จึงต้องเข้าสู่กระบวนการโสเภณีตั้งแต่เล็ก

"เป็นไปได้หรือไม่ ว่า...ระบบการศึกษาที่มีลักษณะรวมศูนย์ในเมืองหลวง ดึงเด็กสาวจากต่างจังหวัดให้เข้ามาอยู่ในเมืองกรุง ใช้ชีวิตอย่างอิสระในหอพัก บ้านเช่า อพาร์ตเมนต์ คอนโดฯ ไม่ว่าจะอยู่ตามลำพัง กับเพื่อน หรือแม้กระทั่งกับคนรักก็ตาม

เหล่า นี้...เท่ากับเปิดโอกาสให้เด็กสาวที่อ่อนด้อยวุฒิภาวะตัดสินใจทำในสิ่งที่ ผิดพลาดง่ายขึ้น" ร้อยตำรวจโทจักร เจ้าของงานวิจัยตั้งข้อสงสัย

แม้ ว่าจะมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ แต่ที่เหมือนกันคือ... ภาระหนี้สิน ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญ พอๆกับรายได้จำนวนมหาศาลที่ดึงให้ ก้าวสู่เส้นทางนี้

หลายคนให้เหตุผลในการเข้าสู่กระบวนการนี้ว่า... "เพื่อเป็นการปลดเปลื้องภาระหนี้สิน"

นับ ตั้งแต่...การย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้ต้องเสียค่าเช่าเพิ่มขึ้น หนี้สินจากค่าใช้จ่ายทางการศึกษา เช่น การศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

ที่สำคัญกรณีศึกษาทุกคนชอบเที่ยวกลางคืน ซึ่งต้องใช้เงินมาก จึงไม่แปลกที่จะตัดสินใจค้าประเวณีเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

ต้อย หนึ่งในกรณีศึกษาเล่าถึงสาเหตุในการก้าวสู่อาชีพนี้ ว่าหลังจากที่เสียพ่อกับแม่ไปตั้งแต่อายุ 15 เธอมีภาระที่ต้องรับผิดชอบในครอบครัวมากมาย...

"ต้อง...คอยดูแลน้องชาย ต้อง...หาเงินมาไว้เพื่อใช้จ่าย การได้เงินมาโดยวิธีค้าประเวณีนั้น ได้มาง่ายและเป็นเงินจำนวนมาก"

ปัจจัยต่อมา "ครอบครัวแตกแยก...เด็กไม่อยากอยู่บ้าน"

กรณี ของ อุ้ย พ่อแม่แยกทางกันและตัวเธอมารับรู้ภายหลังว่า...ทั้งคู่ไม่ ต้องการเธอกับน้องสาวไปดูแล จึงผลักภาระให้ป้าดูแลแทน ทำให้อุ้ยรู้สึกเสียใจมาก...คิดว่าไม่จำเป็นต้องไปเสียใจกับคนที่ไม่ต้องการ พวกเธออีกต่อไป และเลิกรอคอยให้พ่อแม่กลับมาหา

ขณะที่ น้อย ระบายว่า ความสัมพันธ์ในบ้านไม่ค่อยสงบสุขนัก เพราะพ่อที่แอบไปมีผู้หญิงอื่นนอกบ้านทำให้ไม่ค่อยอยู่บ้าน จนแม่จับได้ และมีปากเสียงกันหลายครั้ง

ความรุนแรงในบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...จนในที่สุด ทั้งสองก็แยกทางกัน

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้น้อยรู้สึกว่า..."ครอบครัวแบบนี้ ไม่มีเสียยังดีกว่า"

และ...สิ่ง ที่อยู่เบื้องหลังความรุนแรงในครอบครัวหลายกรณีเป็นผลจาก "น้ำเมา" น้อยบอกว่า พ่อชอบดื่มเหล้า เมื่อเมาก็มักจะดุร้ายขว้างปาข้าวของ ไล่ทุกคนออกจากบ้าน ไม่ต่างกับกรณีของปอย บุ้ง และนุ้ย พ่อเลี้ยงของปอยมักจะดื่มเหล้าเป็นประจำและชอบทุบตีแม่เสมอเวลาที่เมา เมื่อเธอและน้องเข้าไปห้ามก็มักจะถูกตบตีตามไปด้วย...

"พ่อบุ้งเป็นคนขี้เมา กินเหล้าแล้วจะเมาอาละวาด...บางครั้งไม่พอใจก็จะใช้กำลังทำร้ายทั้งแม่เลี้ยงและลูก"

อีกประเด็นที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้....นั่นก็คือ "เพื่อน ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดกับค่านิยมที่เปลี่ยนไป"

สภาพ ครอบครัวที่ล้มเหลวนำไปสู่ความไม่เข้าใจ...สับสนว่าควรจะต้องปฏิบัติตัวเช่น ไรเมื่ออยู่ในสังคม ส่งผลให้เด็กสาวไม่อยากอยู่บ้านพยายามแยกตัวออกมา...แสวงหาความสุขนอกบ้าน ขณะเดียวกันเพื่อนก็เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในชีวิต ทั้งความคิดและการกระทำ

ผึ้ง เล่าว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรกับการที่เธอไปเที่ยว เมาจนเกิดมีความสัมพันธ์ทางเพศกับแฟนที่ไปด้วย เพราะเพื่อนๆก็เป็นกันแบบนี้

ด้วย ความต้องการการยอมรับจากเพื่อนที่ชอบเที่ยวกลางคืนและประกอบอาชีพค้าประเวณี อยู่แล้ว เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กสาวอย่าง แนท ยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์กับแฟนของเธอ เพื่อนำประสบการณ์เหล่านั้นมาเล่า และโอ้อวดกันในกลุ่ม

ขณะที่ต้อย...ยอมมีความสัมพันธ์กับแฟนได้ไม่นาน เธอก็ย้ายไปอยู่กับเขาจนเลิกรากันไปในที่สุด และจังหวะนี้เองที่เพื่อนซึ่งทำงานที่เดียวกันมาชวนให้ค้าประเวณี บอกว่า...

"ใน เมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว การมีอะไรกับคนอื่นก็ไม่ต่างจากการมีอะไรกับคนรัก แต่การทำเช่นนี้เราได้ผลตอบแทนที่เราเลือกได้อีกต่างหาก"

บท สรุป...การแก้ไขปัญหาโสเภณีเด็ก จึงมิใช่เพียงการปราบปรามทางกฎหมายเท่านั้น หากเป็นปัญหาที่ต้องเข้ามาแก้ไขในระดับโครงสร้างส่วนบน (เศรษฐกิจและสังคม) และในระดับปัจเจก (ครอบครัวและตัวเด็ก)

เพื่อ...ให้ปัญหาสามารถคลี่คลายได้อย่างแท้จริง

ปม "โสเภณีเด็ก" ภาคสมัครใจ ท่ามกลางวิถีสังคมไทยที่แปรเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าจะแก้กันได้ง่ายๆ เหมือนเปิดตำราทดลองวิทยาศาสตร์.





>>>บางส่วน (คัดมาโดยไม่ได้ดัดแปลงข้อความ) จากบทความ "เปิดใจโสเภณีเด็ก ถนนบาปที่สมัครใจ" ถอดสาระน่ารู้จากคลังวิทยานิพนธ์   บัณฑิตวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชุดที่ 2 "ชุมชนพลวัตร" คลี่ปม "โสเภณีเด็ก" ภาคสมัครใจ ท่ามกลางวิถีสังคมไทยที่แปรเปลี่ยน

งานวิจัยของ ร้อยตำรวจโทจักร จุลกะรัตน์ ที่สนใจคลี่ปมปัญหาสังคมในเรื่องปัจจัยที่ทำให้เด็กหญิงเป็นโสเภณี ศึกษากรณีสถานบันเทิงย่านรอยัลซิตี้ อเวนิว กรุงเทพมหานคร

อ่านฉบับเต็มที่ http://www.thairath.co.th/today/view/117941

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แอบดูแมวในตะกร้า






พุธที่ 6 ตุลาคม 2553

หมาน่อย ลูกแมววัย 8 เดือน หนัก 3.1 กิโลกรัม (แล้วละมั้ง)
ฟื้นตัวรวดเร็วจากแผลผ่าตัดทำหมัน (เมื่อ 12 วันก่อน)
หม่ามี๊ถือฤกษ์ตามใจฉัน ตัดสินใจถอดลำโพงกันเลียแผลให้หมาน่อยตั้งแต่เมื่อคืน
ได้ผลคือ เสร็จจากตั้งหน้าตั้งตาเลียเนื้อตัวและแผล ซึ่งตอนนี้แห้งดี เกือบหมดรอยเย็บ (เหลือแต่รอยบุ๋มลงไป) แล้ว หมาน่อยก็ตั้งหน้าตั้งตาซน

เช้านี้หม่ามี๊เลยขุดตะกร้าสีชมพูที่หยุดใช้สิบกว่าวันเพราะแมวใส่ลำโพงไม่ซนมาใช้ใหม่
จับหมาน่อยลงพักผ่อนในตะกร้า แล้วก็กลั่นแกล้งแมวด้วยการถ่ายรูปเป็นชุด

งานนี้แมวหนีไม่ได้
อิอิ

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ระหว่างทาง







ขึ้นเรือด่วนเจ้าพระยา จากท่าสะพานตากสิน-มหาราช
บ่ายปลายฤดูฝน อาทิืตย์ที่ 26 กันยายน 2553


วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กินเจ

Start:     Oct 7, '10 06:00a
End:     Oct 16, '10
Location:     ที่ที่มีชีวิตอยู่


ตั้งอกตั้งใจกินเจ
และกรวดน้ำ อุืิทิศส่วนกุศลทุกวัน

(งดรับนัดรับประทานเนื้อหนังมังสา)

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

หมาน่อยไปทำหมัน



ฮึ่มๆๆๆๆ


หลังจากที่หม่ามี๊ประสาทกับการคิดเรื่องทำหมันแมวมา ๒ อาทิตย์
ในที่สุด ก็ตัดสินใจพาหมาน่อยไปทำหมันที่โรงพยาบาลสัตว์สวนหลวง ถนนเฉลิมพระเกียรติร.๙ (ใกล้สวนหลวง ร.๙)

นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ตื่นเต้นมาก ทั้งกับคนและแมว
กว่าจะตัดสินใจได้ ก็ได้เพื่อนโม่และเดือนคอยให้คำปรึกษามาเป็นลำดับ
เพื่อนำเรื่องราวมาถ่ายทอดให้ที่ปรึกษาหลักทั้งสองได้อย่างละเอียดละออ งานนี้หม่ามี๊เลยเก็บภาพหมาน่อยในขั้นตอนต่างๆ มาฝาก เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่แม่แมวมือใหม่ที่จะพาแมวตัวแม่ตัวแรกในชีวิตไปทำหมันด้วย

เรียงภาพไล่ตามเหตุการณ์เป็นวันๆ ไปเลยละกัน

วันที่ ๑ : เสาร์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๓ (เลยวันครบรอบเกิดครบ ๘ เดือนของหมาน่อยที่หม่ามี๊ติ๊ต่างขึ้นมา ๑ วัน)

หลังจากงดอาหารและน้ำมาตั้งแต่เที่ยงคืน หม่ามี๊จับหมาน่อยไว้ในกระเป๋าฟิตเนส ระเห็จระเหินจากบ้าน ผ่านซีคอนสแควร์และพาราไดซ์พาร์คไปถึงโรงพยาบาลซึ่งอยู่บนถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ ตอนสายๆ
คุณหมอตรวจร่างกายทั่วๆ ไปเพื่อให้แน่ใจว่าน่อยไม่ได้กำลังท้อง
น่อยไม่ต้องตรวจเลือดเพราะอายุยังไม่เกิน ๑ ปี
จากนั้นหม่ามี๊ก็ฝากหมาน่อยไว้ที่โรงพยาบาล นอนกรงให้หายตื่นเต้น แล้วคุณหมอจะผ่าตอนบ่ายโมงบ่ายสอง ระหว่างนี้ถ้ามีอะไรไม่ดี โรงพยาบาลจะโทรมา
แต่ถ้าเขาไม่โทรมา เราก็สามารถโทรมาเช็คผลการผ่าตัดได้

หม่ามี๊กับแมวคราวกลับไปเยี่ยมหมาน่อยราวทุ่ม การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี หมาน่อยตื่นจากยาสลบแล้ว แต่จมูกยังซีด แถมยังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ ป้องกันตัวเองสุดฤทธิ์ เพราะยังจำใครไม่ได้

แมวคราวโดนไปสองฟ่อ ถึงแก่ซึม
(หมามี๊เข้าใจสิ่งที่โม่เตือนไว้ก็ตอนนี้)
เบาใจแล้วก็พากันกลับ

วันที่ ๒ : อาทิตย์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๓
จากที่คิดว่าจะไปหาตอนบ่ายๆ หม่ามี๊เปลี่ยนแผน เข้าเมืองไปวัดพระแก้ว กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็ทุ่มกว่า

เปิดประตูเข้าห้องไป หมาน่อยก็ขู่ฟอด แต่พอหม่ามี๊เรียกหลายคำ น่อยก็จำได้
มีร้องตอบมาเหมือนเคย เปิดประตูให้หมาน่อยออกมา น่อยก็ออกมาเดินกระย่องกระแย่ง หมามี๊ไม่อยากให้เดินเยอะเลยจับเข้ากรง พอเข้าไปในกรง หนูก็หันมาขู่พี่ที่คอยดูแลหนูอีกฟอด หม่ามี๊ตลกจัง

วันที่ ๓ : วันจันทร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๓
หม่ามี๊ไม่ได้ไปเยี่ยมหมาน่อย
เพราะอ่อนใจกับการจราจรจากที่ทำงาน-โรงพยาบาล-บ้าน และฟ้าฝน
อีกอย่างโทรเช็กว่าหมาน่อยกินได้นิดหน่อย อึฉี่ได้ และร่าเริงดี (จริงอ้ะ?) หม่ามี้ก็นอนใจ
อยู่โรงพยาบาล ยังไงก็ปลอดภัยละนะ

วันที่ ๔ : วันอังคารที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓
หม่ามี๊ลางานไปรับหมาน่อยในตอนบ่าย ขอสารภาพว่าตื่นเต้นมากที่น่อยจะได้กลับบ้านซะที คิดถึงกันเนอะน่อยเนอะ

เจอหน้ากัน จำกันได้แล้วน่อยก็ร้องประท้วงไม่หยุดเลย หม่ามี๊เปิดกรงอุ้มแล้วพบว่าขนหนูหลุดกระจายเลย คงเป็นเพราะว่าสองวันมานี้ใส่ลำโพงตลอด เลียเนื้อตัวแทบไม่ได้ แล้วหนูก็อาจจะไม่มีกะจิตกะใจจะเสริมสวยนัก ไม่เป็นไร ถึงบ้านแล้วเดี๋ยวแปรงขนให้นะจ๊ะ

หมอให้ยาฆ่าเชื้อเม็ดเล็กไปให้หม่ามี๊ป้อน คนจ่ายยากำชับให้มีคนช่วยจับกันโดนหนูตบ
หุ หุ หม่ามี๊ไม่มีหรอก

ลงจากแท็กซี่อันแสนร้อนขึ้นมาถึงห้องของเรา น่อยดูดีใจที่ถึงบ้านเสียที เดินกรายไปทั่วบ้าน แล้วก็กินปลาไข่ (ของโปรด) ผสมอาหารเม็ดลูกแมวไปเกือบหมดชาม ฉี่ เดินตามหม่ามี๊อีกพักใหญ่ แล้วก็นอน

ถึงบ้านเราแล้วเนอะหมาน่อยเนอะ





วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ว่างๆ ก็ไปนั่งเล่นที่สวนสันติฯ




อาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2553

บ่ายวันอาิทิตย์ที่เงียบเหงา สองเราขึ้นรถเมล์(ฟรี!) ไปถนนพระอาทิตย์
มันเป็นวันที่เงียบจริงๆ บรรยากาศก็เหงาๆ
ถ่ายรูปออกมายิ่งเหงา

แต่เราก็โอเคใช่ไหมป้า?

สนามหลวงหายไป






เมื่อวานไปแถวท่าพระจันทร์ ท่าช้าง
แล้วว่าจะเดินเลาะสนามหลวงไปรอรถเมล์ไปถนนพระอาทิตย์

แต่หาสนามหลวงอันแสนคุ้นเคยไม่เจอ
เขากั้นรั้วรอบเสียมิดชิด

ฟุตปาธจะเดินยังไม่มี
จะโดนรถเฉี่ยวไหม ต้องระวังกันเอาเอง


วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

อย่างนี้นี่เอง



กริ๊งงงง กริ๊งงงงง



(เอ๊ะใคร เบอร์ไม่คุ้น) สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณน้ำหวานใช่ไหมคะ
ค่ะ จากไหนคะ
ดิฉัน เหมย เหมือนฝัน จากบริษัทท่องเที่ยว ***นะคะ บริษัทของเราเป็นตัวแทนท่องเที่ยวเกาหลี ฮ่องกง บาหลี...
ขอโทษค่ะ เข้าประเด็นเลยก็ได้ค่ะ
คือ จะเชิญสมัครสมาชิกน่ะค่ะ
....
ไม่ทราบคุณน้ำหวานเดินทางบ่อยไหมคะ
(เข้าใจว่าถามถึงเดินทางต่างประเทศ) ไม่ค่อยบ่อยค่ะ
ปีละัสองทริปได้ไหมคะ
ไม่นะคะ หลายปีทริปมากกว่า ไม่ค่อยมีงบน่ะค่ะ
โอเคค่ะ งั้นไม่รบกวนแล้วนะคะ ขอบคุณ สวัสดีค่ะ
......(อ ย่ า ง นี้ นี่ เ อ ง)




ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮรีส

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:Paul Gallico แปลและเรียบเรียงโดย บัญชา

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังได้อ่าน "ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮรีส" (Flowers for Mrs. Harris) เป็นครั้งแรก (เมื่อไม่กี่วันมานี้) คือความตระหนักถึงประสบการณ์ ความรอบรู้ ความเข้าใจชีวิต อารมณ์ขัน และความสามารถในการผูกเรื่อง เล่าเรื่องของ Paul Gallico ผู้เขียน

พอล กาลลิโค ทำให้ฉันรู้จักมิสซิสแฮริส “แม่บ้านรับจ้างจากลอนดอน” หญิงชนชั้นกรรมาชีพผู้ซื่อสัตย์ต่องานและการอดออม ด้วยมีความฝันยิ่งใหญ่ที่จะได้เป็นเจ้าของชุดสวย ผลงานชิ้นเอกของคริสเตียน ดิออร์ เช่นเดียวกับผู้หญิงในทุกสาขาอาชีพทั่วโลก เป็นความปรารถนาและ passion ที่เข้มข้น รุนแรงพอจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งอด และทน เก็บเงินจนมีเงินดอลลาร์เป็นมัด และพาตัวเองขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต ไป “ช้อป” สิ่งที่แกต้องการถึงปารีส

จากการโปรยเสน่ห์ของพอล ฉันรักตัวละครทุกตัวในหนังสือเล่มนี้ สำนวนของเขาเนรมิตให้มิสซิสแฮรีสหลุดออกมาโลดแล่นให้ฉันเห็นแบบตัวเป็นๆ ความเป็นแก รอยยิ้มที่ทำให้ตาหยีและแก้มยุ้ย สไตล์ อุปนิสัย ความซื่อสัตย์ ภูมิใจในตัวเอง ความอ่อนโยน ท่าทางที่อ่อนโยนยามแกปฏิบัติต่อกระถางเจเรเนียมทั้ง 30 ในแฟลตเล็กๆ ของแก กระทั่งได้ยินสำเนียงเหน่อแบบคนชั้นล่างของแก ตัวละครอื่นๆ ก็ล้วนดูมีชีวิตจิตใจ มีด้านมืดด้านสว่าง มีความแข่งแกร่งและอ่อนแอ ที่สำคัญที่สุด พอลไม่ได้เขียนให้นิยายเรื่องนี้มีแต่เรื่องดี ดี ดี และจบไปอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง มีเหมือนกันที่ตัวละครต้องอกหักเพราะผิดหวัง เราจึงได้เพลินไปกับรอยยิ้มและน้ำตา การมีความหวัง-ความผิดหวัง-และเมื่อที่ความหวังฟื้นตัว ฟูฟ่องขึ้นมาใหม่

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วหม่นหมอง มันได้ผลเลยแหละ ถ้าจะใช้เรียกรอยยิ้มจากความอิ่มใจ อิ่มในน้ำใจและความรัก ความเมตตาที่คนเรามีให้กัน แม้จะจบไปโดยทำให้เราน้ำตาซึม แต่ก็ซึมด้วยความประทับใจ (และหอมฟุ้ง)

เป็นหนังสือที่อ่านแล้วทำให้อยากรักผู้คนรอบตัวให้มากขึ้น




บันทึก:
• ขอบคุณเพื่อนเอ๋ ที่ให้ยืมมาอ่าน ชอบกว่า "ด้วยหัวใจทั้งเจ็ดดวง" นะจ๊ะ (http://mandymois.multiply.com/reviews/item/135)
• ฉันอ่านแล้วนึกถึงนักเขียนโปรดอีกคน ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช
• ความอินในหนังสือเล่มนี้ต้องขอยกเครดิตให้กับผู้แปลและเรียบเรียงด้วยนะคะ
• ตกลงคนแปลที่ใช้นามปากกา “บัญชา” เป็นใครหรอ?
• ตอนเรียนปี 1 หรือ 2 รู้สึกรุ่นพี่จะทำละครจากหนังสือเล่มนี้ ก็ไม่ได้มีโอกาสชม และไม่เคยพยายามหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านเลย แต่ในที่สุดก็ได้อ่าน รู้สึกสนุกมาก พานให้อยากมีโอกาสชมละครของพวกรุ่นพี่ด้วยแฮะ

Andrew Warhola's





มึนกับ Andy Warhol' s effect







ต่อไปนี้เจอเพื่อนคนไหนจะจับถ่ายรูปแบบแอนดี้ไว้ดูเล่นตอนแก่

Everybody’s Fine : ทุกคนสบายดี

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


จากความทรงจำของฉัน คำว่า “แม่” เหมือนจะคู่กับคำว่า ”บ้าน” มาตลอด ก็แม่ฉันมีหน้าที่อยู่บ้านเลี้ยงลูก ในขณะที่พ่อออกจากบ้านไปทำงานหาเงินมาให้เราแม่ลูกกินใช้และเรียนหนังสือ เราจึงสนิทกับแม่มากกว่า เพราะได้ใกล้ชิดกัน พูดคุยกันมากกว่ากับพ่อ

เมื่อแม่กับพ่อแบ่งหน้าที่กันชัดเจน วิธีเลี้ยงลูกก็เลยต่างกันไปด้วย แม่เป็นคนดูแลเรื่องข้าวปลาอาหาร สุขภาพ ความเป็นอยู่และความสะดวกสบายของทุกคนในบ้าน ส่วนพ่อก็มีหน้าที่เป็นตุลาการศาลสูงสุดของบ้าน มีหน้าที่พิจารณาโทษ โดยมีแม่เป็นฝ่ายปลอบประโลม ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

บทบาทต่างกันทำให้พ่อกับแม่มีภาพลักษณ์ต่างกันในสายตาลูก ทั้งยังมีแรงดึงดูดให้เข้าหาที่ต่างกันด้วย แต่ดูเหมือนทั้งสองคนถือสิทธิ์ในการคาดหวังในตัวลูกไม่ต่างกัน และไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน เพียงแต่อาจจะแสดงออกไม่เท่ากันเท่านั้น

จะด้วยความเข้าใจลูก สงสารลูกหรืออะไรก็ตาม แม่มักจะเป็นฝ่ายทำใจและรับได้เสมอไม่ว่าลูกจะทำให้ผิดหวังในรูปแบบไหน แต่กับพ่อ ไม่รู้ว่าพ่ออ่อนไหว เปราะบาง หรืออะไร พ่อแทบรับไม่ได้เมื่อลูกไม่เป็นไปตามที่หวัง

และเพราะว่าแม่รู้จักลูกและสามีของตัวเองเป็นอย่างดี แม่จึงตัดสินใจจะบอกพ่อเท่าที่พ่อควรรู้ เท่าที่พ่อรับได้ และบอกแบบที่พ่ออยากฟัง

เรื่องราวของ พ่อ แม่ และ 4 พี่น้องใน Everybody’s Fine (2009) ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเรื่องของพ่อ แม่ และ 3 พี่น้องของบ้านฉันเสียจริง

Robert De Niro ผู้หล่อเหลาตลอดกาล เล่นเป็นแฟรงค์ พ่อ ผู้กลายเป็นม่ายในวัยหลังเกษียณ เดียวดายอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงตลอดชีวิตของการทำหน้าที่หุ้มสายไฟด้วยปลอกพลาสติกอย่างมีระเบียบ อดทน และพากเพียรโดยมีความหวังว่าจะเลี้ยงลูกๆ จะโตเป็นคนดี เป็นคนเก่ง เดินไปให้สุดทางฝันของแต่ละคน
ก่อนวันหยุดยาวครั้งหนึ่ง ไม่มีลูกแม้สักคนในสี่คนที่ตอบรับจะกลับบ้าน กลับมาใช้เวลาอยู่ร่วมกันแบบที่เขาปรารถนา แฟรงค์ไม่เข้าใจและไม่รู้เลยว่าลูกๆ ไม่กล้าสู้หน้าพ่อเพราะน้องชายคนเล็กหายตัวไปและยังตามตัวไม่ได้ แถมแต่ละคนยังเคร่งเครียดกับชีวิตที่ไม่ได้เป็นไปแบบที่พ่อรับรู้

แฟรงค์ปรึกษาหมอประจำตัวแล้วตัดสินใจว่า เมื่อลูกไม่พร้อมจะไปหาเขา เขาจะไปหาลูกเอง ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าขึ้นรถไฟบ้าง รถเกรย์ฮาวนด์บ้าง เดินทางไปเซอร์ไพรซ์ลูกแต่ละคน เริ่มที่แจ็ค ลูกชายคนเล็กที่นิวยอร์ก เขาไปถึงแล้วนั่งรถที่บันไดอพาร์ทเม้นท์ แต่รออย่างไรลูกไม่กลับสักที โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ เลยขึ้นรถต่อไปชิคาโก้ ไปบ้านเอมี่ (Kate Beckinsale) ลูกสาวคนโต เพื่อจะได้สัมผัสกับบรรยากาศลักลั่นในครอบครัวของลูก ลูกสาวบ่ายเบี่ยงไม่เชื้อเชิญให้เขาค้างด้วยนานกว่า 1 คืน อ้างว่าเธอต้องบินไปติดต่อธุรกิจ (แท้ที่จริงจะไปตามหาน้องชายที่หายไป) แฟรงค์จึงเดินทางต่อไปเซอร์ไพรซ์โรเบิร์ต (Sam Rockwell) ลูกชายคนโต ผู้ที่เขาเข้าใจว่าเป็นวาทยกรประจำวงออร์เคสตร้า แต่แท้ที่จริงก็เป็นแค่สมาชิกของวง รับหน้าที่ตีกลองเท่านั้น

(ความรักและห่วงใยของแฟรงค์ที่ลูกชายตีความว่าเป็นความคาดคั้นและกดดันซึ่งเขาเคยชินกับมันมาตลอด ทำให้ลูกชายคนนี้น้อยใจพ่อไม่มีวันสิ้นสุด ฉันเห็นฉากสนทนาระหว่างพ่อลูกที่ประตูหลังคอนเสิร์ตฮอล์แล้วสะเทือนใจ นึกถึงน้องชายขี้ใจน้อยของตัวเองขึ้นมาแบบจี๊ดๆ)

กว่าจะไปถึง โรซี่ (Drew Barrymore) ลูกสาวคนเล็กอยู่ที่เวกัส การเดินเปลี่ยนเวลาไปมาทำให้แฟรงค์ตกรถ จึงได้คุยกับคนขับรถบรรทุกม่ายสาวใหญ่ และเกือบโดนอันธพาลซึ่งเขามีน้ำใจให้ทำร้ายเอา โรซี่มารับเขาด้วยรถลีมูซีน พาเขาไปยังอพาร์ทเม้นท์หรูหรา แต่สัญชาตญาณของพ่อก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนสาวอุ้มเด็กทารกทำทีมาฝากลูกสาวตัวเองเลี้ยง แล้วลูกก็เลี้ยงได้อย่างเนียน แถมยังเผลอเรียกตัวเองว่า “แม่” อีก

ยาประจำตัวที่ถูกอันธพาลใช้เท้าขยี้จนเสียหายทำให้แฟรงค์ใจไม่ดี เขาตัดสินใจบินกลับบ้านทั้งที่ใจยังกังวลกับลูกชายคนเล็กที่ยังติดต่อไม่ได้ ระหว่างการเดินทางทอดสุดท้าย ซึ่งเป็นทอดเดียวที่ไม่ได้เห็นสายไฟที่เขาลงมือทำทอดยาวไปตลอดสองข้างทางนี้เองที่เขาเกือบหัวใจวาย

แฟรงค์ฟื้นขึ้นมาจากความฝันที่คลี่คลายปริศนาเกี่ยวกับลูกแต่ละคนเกือบหมด ลืมตาพบลูก 3 คนรายรอบเตียงของเขา เมื่อถามถึงลูกชายคนเล็ก ลูกสาวคนโตก็รายงานว่า เขาตายเสียแล้วที่เม็กซิโก แฟรงค์น้ำตาไหล เขาเสียใจ ลูกๆ พลอยร้องไห้ แต่แล้วทุกคนก็เปิดใจ และได้เข้าใจกัน


การเดินทางทริปแรกในชีวิต ในระยะทางที่ไกลที่สุดและโดดเดี่ยวที่สุดให้อะไรกับแฟรงค์มากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดคงจะเป็นเพียงการค้นพบว่าเมื่อเมียและลูกๆ บอกเขาว่า “ทุกคนสบายดี” นั้น ทุกคนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

(แม้จริงๆ แล้ว มันจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ตาม)




บันทึก
• ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดถึงพ่อตัวเองจัง
• รู้สึกสะเทือนใจตอนที่ลูกชายถามพ่อว่า ตอนพ่ออายุเท่าผม พ่อฝันอะไร
• อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้ว ยังมีสิทธิ์ มีเวลา มีโอกาส ไล่ตามความฝันของตัวเองอีกไหม
• ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วเราควรมีลูกกี่คน และเลี้ยงลูกอย่างไร
• เท่าที่รู้ การมีลูกเป็นการมีทุกข์อีกรูปแบบหนึ่งแท้ๆ เลยเชียว
• ก็คุณจะไม่รู้สึกปวดใจเป็นสองเท่าเมื่อรู้ว่าลูกกำลังปวดใจหรือ?
• รู้ไหม ถ้าทำใจไม่ได้ก็อย่ามีเลย แต่ถ้าทำใจได้ก็มีเหอะ ลูกน่ะ คนแบบคุณมีลูกหลายๆ คนก็คงมีความสุขดี ทั้งลูก และพ่อแม่

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

ชะตากรรมของไผ่เงิน






เสาร์ที่ 18 กันยายน 2553

หวังว่าทุกคนคงจำไผ่เงินเขียวขจีทั้ง 3 ต้นที่พี่เดือนให้มาเมื่อเดือนพฤษภาคมได้
(ชมสภาพที่ http://mandymois.multiply.com/photos/album/812/812#photo=33)

ตั้งแต่ได้รู้จัก หมาน่อยก็โปรดปรานการแทะไผ่เงินเสมอมา แม้แต่กล้าข้าวสาลีที่เพาะขึ้นมาใหม่ก็ไม่อาจแย่งความโปรดปรานนี้ไปได้
ไผ่เงินทั้งสามต้นจึงเหลือรอดคมเขี้ยวหมาน่อยเพียงเท่าที่เห็น


(อิฉันจึงแยกต้นที่เล็กที่สุดไปฟูมฟัก หวังว่ามันจะแอบแตกหน่อ คืนสภาพเขียวสะพรั่งดังเดิมได้บ้าง-มีเวลาจะแวะไปหาต้นใหม่มาบำเรอแมว)



วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

หนูชอบกินลองกอง



เลียแบบนี้จนหมดเนื้อ



เสาร์ 11 กันยายน 2553

ฉันซื้อลองกองตันหยงมากิน
ขณะที่กำลังนั่งแกะเปลือกอยู่นั้น หมาน่อยก็มาเดินวนเวียน
ดมเปลือกลองกองแล้วเธอก็เมินๆ แต่ไม่ถึงกับทำท่าโกยดินกลบอึใส่ เหมือนทำกับเปลือกกล้วยหอม

แต่พอให้ดมเม็ดลองกองแกะเปลือกเกลี้ยง พร้อมหย่อนใส่ปาก
เธอดมจนทั่วแล้วก็เริ่มเลีย จากตรงที่เนื้อมันปริ
ก็เลยยกให้เลียจนเกลี้ยงเนื้อ เหลือแต่เม็ดข้างในไปทั้งสิ้น 2 ลูก

หมาน่อยชอบกินลองกองเอามากๆ เลยแหละ
เป็นความรู้ใหม่อีกแล้ว

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

"Futari" พี่น้องสองมิติ

Rating:★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:อาคากะวา จิโร แปลโดยฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์


Futari "พี่น้องสองมิติ" เป็นเรื่องเล่าของพี่สาวกับน้องสาว หลังอุบัติเหตุร้ายแรงพรากผู้เป็นพี่ไป ครอบครัวที่เหลือกัน 3 ชีวิตจึงสั่นคลอนราวกับโดนคลื่นสึนามิโหมใส่ แต่แล้ววันหนึ่งพี่ก็กลับมาหาน้อง กลับมาอยู่ใกล้ๆ ในแบบมองไม่เห็นตัว แต่ได้ยินเสียง คอยพูดคุย ไต่ถาม ห้ามปรามและให้คำแนะนำ เมื่อน้องเรียกหา

มีพี่อยู่ข้างๆ น้องก็ค่อยๆ ดีขึ้น ด้วยไม่ได้รู้สึกว่าพี่จากไปไหน พี่สบายดี ไม่ได้เจ็บปวด ไม่ทรมาน ไม่ได้ถูกกักขังหรือหิวโหย ประกอบกับที่น้องยังเด็ก ยังใส จึงค่อยๆ ฟื้นตัวจากความเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว อาการที่ดีขึ้น ส่งผลให้พ่อกับแม่รู้สึกดีขึ้นด้วย

น้องกำลังเติบโต อยู่ในระยะที่เหมือนดักแด้กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นผีเสื้อแสนสวย เวลาเช่นนี้มีหลายเรื่องราวเกิดขึ้น รวมทั้งปัญหาที่แสนทรมานใจของผู้ใหญ่ แต่การที่น้องมีพี่อยู่เคียงข้างตลอดเวลาทำให้สามารถผ่านช่วงยากลำบากไปได้อย่างอุ่นใจ และไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

จนเมื่อถึงวันหนึ่ง เมื่อเธอไม่ต้องการพี่แล้ว ผู้เป็นพี่ก็หายไปเฉยๆ



อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้ฉันรู้สึกอยากมีพี่สาวอีกครั้ง

การมีน้องชายสองคนในวัยห่างกัน 3 และ 5 ปี ไม่ได้ช่วยให้พี่สาวคนโตอย่างฉันรู้สึกอบอุ่น ก็น้องๆ เอาแต่เด็กกว่า โง่กว่า งอแง อ่อนแอ และเป็นภาระ(ที่พ่อแม่สั่ง)ให้ต้องดูแล น่าเบื่อที่สุด

ความน่าเบื่อของน้องผลักดันให้ฉันหันไปหลงใหลบุคลิกผู้นำ เก่งกล้าสามารถ ฉะฉาน และเอาแต่ใจ (ประสาลูกคนโต) ของพี่สาวลูกพี่ลูกน้อง (ปัจจุบันล่วงลับไปแล้ว) อยากได้เธอมาเป็นพี่สาวของฉันจริงๆ (แม้เธอจะแกล้งฉันอยู่เสมอ) แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เราอยู่กันคนละจังหวัด เมื่อเธอมาอยู่บ้านฉันเพื่อที่จะมาเรียนหนังสือ วัยก็พาเธอพลัดไปเป็นสาวรุ่น ทิ้งห่างฉันซึ่งยังเป็นเด็กกะโปโลที่เธอน่าจะคิดเหมือนที่ฉันคิดกับน้อง ว่า “น้อง-น่า-รำ-คาญ”

ตอนยังเด็กฉันจึงรู้สึกเหงาๆ พิกล (ทั้งที่น้องๆ รอบตัวออกจะทำอึกทึกวุ่นวาย)

คงจะดี ถ้าเด็กๆ ได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกันแบบมีพี่ มีน้อง หรืออย่างน้อย ก็ไม่ได้เติบโตมาโดยรู้สึกโดดเดี่ยว (ทั้งที่แทบไม่มีโอกาสจะอยู่คนเดียวเลย) อย่างฉัน




บันทึก:
• คำว่า Futari แปลตรงตัวว่า สองคน-เป็นคำลักษณะนามที่ใช้เรียกจำเพาะกับคนสองคน
• นิยายขนาดเหมาะมือ พล็อตไม่ซับซ้อน สำนวนอ่านง่าย เพราะเขียนมาให้เด็กมัธยมอ่าน
• คนเขียนหนังสือเล่มนี้คืออาคากะวา จิโร คนเดียวกับที่เขียน “มิเกะเนะโกะ โฮล์มส์ แมวสามสียอดนักสืบ” และ “ซันชิไม ทันเทอิดัน” จากวิธีการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะจากการที่เขาเป็นผู้ชาย ฉันว่าเขาเป็นนักเขียนที่ช่างสังเกตและเก่ง สมแล้วเขียนอะไรๆ ได้หลายแนว แล้วก็เป็นนักเขียนที่เขียนอะไรๆ ออกมาได้พรั่งพรู ไม่มีติดขัดเลย
• น่าสนใจนะ ว่านักเขียนแบบนี้ได้แรงบันดาลใจจากอะไรบ้าง
• บอกไว้เป็นเกร็ดสนุกๆ ฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์ ผู้แปลสาวเจ้าของสำนวนแปลนี้ เป็นแฟนของตั้ม วิศุทธิ์ พรนิมิต นั่นเอง
• เข้าใจว่าที่มาของหนังสือเล่มนี้คือเอจัง เอจังให้ยืมหลังจากที่ฉันอ่าน “หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข” ของโยชิโมโต บานานา ที่ฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์ แปล เมื่อสัก 2 ปีก่อน แล้วเกิดกรี๊ดกร๊าดเอามากมาย

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

คน (๓)





คลำทางจากรามฯ สอง
สาวตาบอดขึ้นรถเมล์-รถไฟฟ้า-รถใต้ดิน
ไปทำงานที่จามฯ สแควร์







วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

ฝัน (๒)




ในห้วงลึกแห่งนิทรา
แมวแปลกหน้าคาบร่างหนูไร้วิญญาณ
มาวางตรงหน้าฉัน




Did you Hear about Morgans? : ผัวเมียมอร์แกนหายไปไหน?

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Romantic Comedy



เคยคิดเล่นๆ เหมือนกันว่าวันหนึ่งหลังตกลงแต่งงานไปกับคนรักแล้วจับได้ว่าเขานอกใจ เราจะทำยังไง? เดินร่วมทางกันต่อไปหรือต่างคนต่างแยกย้าย แยกทาง

ก็คิด (ไม่เห็นจำเป็นต้องคิด) จนได้คำตอบว่า ถ้าถูกคนที่วางใจมากพอจนตกลงใจจะซื่อสัตย์กับเขาทรยศเอาสักครั้งฉันคงไม่อาจ ไว้ใจเขาได้อีกต่อไป เพราะงั้นถ้ารู้ก็คงต้องเลิก

คู่แต่งงานนิ วยอร์เกอร์ในหนังโรแมนติกคอมมิดี้ Did You Hear about Morgans? (2009) ก็กำลังเผชิญปัญหาเดียวกับกรณีสมมติของฉัน ทั้งสองกำลังแยกกันอยู่รอการหย่า หลังเมอริล (Sarah Jessica Parker) รู้ว่าพอล (Hugh Grant) ไปมีอะไรกับสาวอื่น เพราะเธอคิดแบบเดียวกับฉันเป๊ะ

เมื่อชามแก้วเจียระไนแห่งความไว้วางใจมีอันปริเป็นแผล ก็ยากที่จะทำเป็นมองไม่เห็น

ไม่ได้เลิกกันง่ายๆ เพราะพอลยังรักเมอริล จึงเพียรพยายามขอคืนดี พ่อคนนี้ก็ตื้อจนพาเมียไปเจอดี บังเอิญไปเห็นหน้าฆาตกรโหดตอนกำลังปฏิบัติการเข้าเต็มๆ เพื่อความปลอดภัยของพยาน ตำรวจจึงจับผัวเมียมอร์แกนเข้าโครงการพิทักษ์พยาน ซึ่งจะส่งพยานคนสำคัญไปในที่ที่ไม่มีใครรู้แห่งหนึ่ง เก็บตัวจนจับคนร้ายได้เรียบร้อย แล้วถึงจะพากลับมา

ทั้งสองเก็บกระเป๋าเดินทางกันปุบปับคืนวันนั้นเลยแหละ ไปไกลถึงไวโอมิ่ง เครื่องลงที่เมือง Cody เมืองที่มีโปสเตอร์แนะนำวิธีรับมือกับหมีตั้งแต่ที่สนามบิน แล้วก็เดินทางต่อไปยังเมือง Ray

เป็นเรื่องลำบากใจไม่น้อยสำหรับผัวเมียจากเมืองใหญ่ที่ติดไปหมด ติดมือถือ ติดเน็ต ติดงาน ติดวิถีชีวิตสไตล์นิวยอร์กเกอร์ แถมยังลำบากใจที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกันด้วย (โดยเฉพาะสำหรับเมอริลซึ่งพยายามจะเลิกกับพอลอยู่) แต่ก็ยังดีที่เมอริลในอวตารนี้ไม่ร้ายไม่ปรี๊ดเท่า Carrie' Bradshaw ใน Sex and the City (สงสัยเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เมอริล แต่เป็นแครี่ที่ต้องไปอยู่ไวโอมิ่ง เรื่องจะเป็นไง)

เรื่องราวในหนังต่อจากนั้นดำเนินไปตามพล็อตที่ไม่ได้มหัศจอรอหัน หักมุม หรือช็อกความรู้สึกคนดูแต่อย่างใด แต่ได้สนุกตรงที่ได้ยิ้มตลอดเรื่องไปกับมุกตลกร้ายเกี่ยวกับปัญชาชีวิตสมรสของคนแก่จิตแพทย์ ความน่ารักของตัวละครเมอริลกับพอล และสองผัวเมียวีลเลอร์ที่ทั้งสองไปอยู่ด้วย มุกเหน็บแสบๆ เข้ากับอุดมการณ์ของพวก PETA (People for the Ethical Treatment of Animals) เทรนด์ทันสมัยและสูงส่งของคนเมืองใหญ่ การตามมา “ปิดปาก” ของฆาตกร

รวมทั้งได้ถูกท้าทายจากคำถาม (อีกครั้ง) ว่า
ว่าถ้าเรารักคนคนหนึ่งมากพอ อยากใช้ชีวิตร่วมกับเขามากพอ เราจะให้อภัยเขา และเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม?


หมายเหตุ:
• เป็นหนังที่ควรจะดู soundtrack เป็นที่สุด จะได้ฟังมุกตลกและสำเนียงของตัวละคร
• Sarah Jessica Parker เล่นบทนี้ได้น่ารักมาก
• สำหรับ Hugh Grant ถ้าฉันโดนทรยศโดยคนแบบเขา ก็คงยากที่จะไม่ให้อภัย
• ดูเป็นหนังเรื่อยๆ ที่เหมาะจะดูวันฝนตกตลอดเวลา


วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

แมววันหยุด




อุ๊บส์ นั่นแมว หรือแมวน้ำกัน?



เสาร์ที่ 11 กันยายน 2553

แมวกัด แปลว่าแมวรัก
แมวให้จวัก แปลว่าแมวกวักอุ้งเรียก

อิอิ

10 วันท้องฟ้าไม่เคยเหมือนเดิม



เช้านี้เห็นเมฆก้อนใหญ่มาก
แต่ละมุมของก้อนเมฆก็สวยมาก



เท่าที่สังเกตดู แต่ละวันของเดือนในปี
แสงสี ท้องฟ้า และกลิ่นของอากาศไม่เคยเหมือนกัน
อย่างตอนนี้เข้าเดือนกันยายน ฟ้ายังฉ่ำฝน แต่แดดเริ่มเฉียง สาดเข้าระเบียงห้องที่หันหน้าไปทางใต้แล้ว
และจะค่อยๆ ก้าวเข้ามาเรื่อยๆ จนเรียกว่าสาดเข้ามาอย่างเต็มที่ในตอนสายเมื่อเข้าเวลาหน้าหนาวแบบเต็มๆ

ท้องฟ้า องศาของแดด ลม และกลิ่นของอากาศเป็นสิ่งที่ฉันสนใจ
บางทีที่เห็นแล้วชอบใจก็อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ตลอด แต่ก่อนนี้ไม่ได้ทำ
หลังจากโหลด Application กล้องถ่ายรูปมาเล่นแล้วก็ติดใจ มันไม่ได้ช่วยให้ถ่ายได้ชัด
(เพราะเวอร์ชั่นนี้เป็นของฟรี ไม่สามารถถ่ายเป็นไฟล์ใหญ่โตได้) คิดว่ามันช่วยให้สนุกที่จะเก็บภาพท้องฟ้าขึ้นเยอะเลย

รูปพวกนี้เป็นท้องฟ้าหน้าฝน 10 วันแรกของเดือนกันยายน 2553
ต่อไป แสงสีของท้องห้าและการเรียงตัวของเมฆก็คงจะเปลี่ยนไปจากนี้
ไว้จะคอยดูและเก็บภาพมาฝากกันใหม่


วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

Henry Poole is Here : ปาฏิหาริย์มีจริง

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นวันอาทิตย์แห่งการทอดหุ่ย ไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆ ให้กับชีวิตของคน หรือแม้แต่ชีวิตแมว ได้แต่นอนทอดหุ่ย กินขนม สลับกับดูหนังพากย์ไทยจากเคเบิ้ลทีวีที่ฉายกันแบบนอนสต็อป เลยดูๆ หลับๆ กันทั้งคนทั้งแมว ดูมาจนค่ำ จนเริ่มปวดหัวแล้วนั่นแหละ ถึงได้มาสะดุดตาสะดุดใจกับหนังเรื่องนี้

Henry Poole is Here (2008)

แปลกกว่าหนังอื่นที่เคเบิ้ลเลือกมาฉายตรงที่หนังเรื่องนี้เป็นหนังอินดี้ อืมม์ ไม่เชิงอินดี้แบบแนวโคตรๆ แค่เป็นหนังจากสตูดิโอเล็กๆ เป็นหนังช้าๆ ที่ไม่แอคชั่นตูมตาม ไม่ใช่หนังผี ที่จะจับคนดูให้นั่งนิ่งอยู่หน้าจอ

เริ่มต้นขึ้นอย่างช้าๆ ชนิดที่ไม่น่าสนใจในสายตาบางคน (หนังที่เริ่มต้นแบบไม่น่าสนใจมักน่าสนใจ) ชายชื่อเฮนรี่ พูล (Luc Wilson) ตามเอเย่นต์ไปดูบ้านด้วยอาการเรื่อยๆ ไม่อยากรู้อยากเห็น ไม่จุกจิก ไม่ต่อรอง และไม่มีคำถาม อาจจะดูแค่แปร่งๆ แปลกๆ แต่ไอ้การตกลงใจซื้อไม่ต่อรองราคา และไม่แยแสจะขอของแถม ขอให้ซ่อมส่วนที่เสียนี่สิ ชวนให้คิดว่าอีตานี่มันเพี้ยน หรือกำลังคิดอะไรไม่ดีกันแน่

กระนั้น คุณเอเย่นต์ขายบ้านก็แสดงความเป็นมืออาชีพ จัดคนมาโป๊วสีให้ในจุดที่ทรุดโทรมก่อนที่เฮนรี่จะย้ายเข้ามา

เขากลับมาอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่เคยอยู่เมื่อตอนเป็นเด็กด้วยเหตุผลบางอย่าง

เฮนรี่พบว่าตัวเองมีเพื่อนบ้านเป็นสาวใหญ่เชื้อสายละตินที่มาแนะนำตัวพร้อมกับอาหารทำเอง เอสเปอรันซ่า หรือป้าเอส ออกจะเป็นเพื่อนบ้านที่มีความละเอียดอ่อน ใส่ใจ และช่างสังเกตจนไปพบสิ่งมหัศจรรย์บนผนังด้านนอกของตัวบ้านซึ่งช่างทาสีมาโป๊วสีซ่อมไว้อย่างขอไปที

เธอเห็นพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า

อืมม์ ป้าเอสเห็น หลวงพ่อที่เธอพามาก็เห็น มิลลี่ เด็กน้อยข้างบ้าน รวมทั้งดอว์น แม่ของเธอ รวมทั้งคนอีกครึ่งเมืองที่ป้าเอสพามา เห็น แต่ฉัน และเฮนรี่ พูล มองไม่เห็น

ป้าเอสเห็นว่าสิ่งนั่นคือปาฏิหาริย์ แต่ละวัน เธอเป็นต้องเล็ดรอดเข้ามาในบริเวณบ้านของเฮนรี่ มายืนจ้องปาฏิหาริย์ของเธอนานๆ และบางทีก็ร่ำไห้อย่างเป็นสุข

มิลลี่ เด็กน้อยวัย 5 ขวบที่หยุดพูดไปตั้งแต่พ่อทิ้งเธอกับแม่ไปมีเมียใหม่ก็หายจากบ้านกลางดึก มายืนจ้องปาฏิหาริย์ของป้าเอส น้ำตาไหล แล้วเธอก็กลับมาพูดอีกครั้ง ตามมาด้วยคุณน้องแคชเชียร์แว่นหนาที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งเฮนรี่กลับบ้านมาในวันหนึ่งพบว่าคุณน้องเกาะผนังร่ำไห้ ดีใจที่มองเห็นแล้วโดยไม่ต้องสวมแว่น

เฮนรี่หงุดหงิดใจ เขาหนีมาอยู่ที่นี่เพราะต้องการพักผ่อนอย่างสงบ หลังหมอวินิจฉัยว่าป่วยหนัก และเหลือเวลาอีกไม่นาน เลยเหวี่ยงใส่ป้าเอสว่าเพี้ยนใหญ่แล้ว จะงมงายไปไหน นี่ก็แค่รอยงานโป๊วสีแย่ๆ

ป้าเถียงว่าไม่ใช่หรอก นี่คือปาฏิหาริย์ นี่คือสิ่งที่ทำให้ป้าหายเจ็บปวด (คือปีที่แล้วคนรักคนเดียวของป้าล้มลงสิ้นใจในครัวของบ้านหลังที่เฮนรี่ย้ายมาอยู่นี่แหละ) มิลลี่น้อยหายเจ็บปวด และคนอื่นๆ คลายขึ้นจากความทุกข์ หรือไม่ก็เริ่มมีความหวังว่าจะหายจากความทุกข์

เฮนรี่ไม่อาจเถียงป้าเอส จึงได้แต่ทำท่าเยาะ เย้ยหยัน ว่าคนเหล่านี้งมงาย และได้แต่ร้องก้องในใจว่า ไม่มีหรอก ไม่มีปาฏิหาริย์อะไรในโลกจะมาช่วยฉุดเขาให้พ้นมือโรคร้ายได้

ผ่านไปหลายวัน ของเหลวข้นที่แดงเข้มไหลออกมาจากผนังด้านยิ่งดึงดูดชาวแคทอลิกผู้ไขว่ขว้าหาความหวังมาเป็นสิบๆ เข้าแถวรอกลางแดดกันยาวเหยียด อย่างอดทนและศรัทธา จากหลังบ้านมาถึงริมถนนหน้าบ้าน เพียงเพื่อจะได้ชมพระพักตร์ใกล้ๆ

ภาพนี้ทำให้เฮนรี่ฟิวส์ขาด มันอะไรกันนักกันหนาวะ (แกคงคิดงี้) คว้าค้อนได้ก็กระหน่ำทุบผนังด้านนั้นจนเละ ลากหลังคาด้านนั้นพังครืนลงมาทับตัว ต้องหามส่งโรงพยาบาล

ปาฏิหาริย์ควรจะหายไป ในเมื่อ “พระพักตร์” ไม่เหลืออยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อป้าเอสรายงานว่าไม่มีเค้าของโรคร้ายเหลืออยู่ในร่างกายของเฮนรี่อีก
จากนั้น เมื่อเฮนรี่กลับมาถึงบ้าน เขาก็แก้ข้อความบนฝาผนังซึ่งเจ้าตัวเขียนไว้ตั้งแต่ก่อนวันทุบผนัง

จาก Henry Poole was Here เป็น Henry Poole is Here

หนังจบลงโดยไม่ได้เฉลยคำตอบอย่างกระจะ ว่าตกลงแล้ว “ปาฏิหาริย์” ของป้าเอสมีจริงไหม

ฉันเองก็คร้านจะเค้นหาคำตอบ เพียงแต่คิดว่า ถ้ามันมีจริง ก็คงจะดีเหมือนกัน


หมายเหตุ :
• หนังเรื่องนี้ทำให้อึ้ง และกระบวนการคิดทำงาน
• ชอบหนังเรื่องนี้ที่ประเด็นของมัน กล้ามากนะ ที่เอาเรื่องปาฏิหาริย์มาท้าทายกันอยา่งนี้
• มันเป็นหนังที่อาจจะให้คำตอบได้นะ ว่าแท้จริงแล้วปาฏิหาริย์ที่เราแต่ละคนมองหา อยู่ที่ไหน
• อยากรู้เนอะ ถ้ามีโอกาสเผชิญหน้ากับปาฏิหาริย์ เราแต่ละคนจะขออะไร (ถ้าขอได้แค่อย่างเดียวอะนะ) ขอให้ตัวเอง หรือจะขอให้คนอื่น
• ถึงจะเฉลยตั้งแต่ต้นจนตอนจบ แต่อย่าเพิ่งด่า รีวิวของฉันไม่ได้ทำให้หนังเรื่องนี้น่าดูน้อยลงหรอก
• อยากดูอีก



วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ขำขำ



หาคนช่วยถ่าย

ขำดี โปรดสังเกตสีหน้าไม่ไว้วางใจของม้อย+อ้อย

และ มองต่ำลงมาอีกนิส
คุณจะเห็นตรีนของเราทั้งสองด้วย!



วันก่อนโน้นป้าอ้อยจะไปเดินสวน เลยชวนไปแวะพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรสามเสนก่อน
ถ่ายรูปกันมา ขำดี


หลายปีผ่านไป เพื่อนหลายคนเปลี่ยนชื่อ แต่เพื่อนอีกหลายคนเปลี่ยนรสนิยมทางเพศไปเสียแล้ว

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ผู้ร้ายปากแข็ง





ตีหน้าจ๋อย
แท้ที่จริงหมาน่อยคือจอมกัด

ไม่เชื่อให้มาพิสูจน์แขนขาหม่ามี๊ได้!

เทศกาลโปสการ์ดจากภูเก็ต



สองยุค
สองสำนวน


ช่วงที่ผ่านมาไ้ด้รับโปสการ์ดจากภูเก็ตถึง 3 ใบ
(แล้วทำไมถ่ายแค่ 2?)

แปลกดี ทั้งที่ไม่มีเพื่อนอยู่ภูเก็ต (มีแต่ศัตรู!)
เพื่อนๆ ที่มีโอกาสแวะเวียนไปภูเก็ตยังอุตส่าห์ส่งความคิดถึงมาให้

ยังไม่ได้ตอบใครเลย
และก็ยังปลื้มไม่หาย

ป.ล. หมาน่อยก็ปลื้มด้วยคับ

ทานตะวันทรยศ



รูปนี้จำไม่ได้ว่าเลือกโหมดอะไร
Vignette มั้ง ช่วงนี้ปลื้มอยู่



นอกจากความทรยศ
ดิฉันยังนำความตอแหลมาเสนอด้วย

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

คน (๒)




ก้มหน้าสูดไอในถุงกาว
เด็กสาวพริ้มตาเพลิน
แม้โลกโหดร้าย-เธอหาได้แคร์






ชายชราผู้อ่านนิยายรัก

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:Luis Sepúlveda แปลโดย สถาพร ทิพยศักดิ์


โดยไม่ตั้งใจ ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ (อย่างเชื่องช้า) จบในวันที่ 1 กันยายน
วันสืบ นาคะเสถียร

โดยไม่ตั้งใจอยากจะรู้อะไรก่อนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้
แม้การอ่าน "นางนวลกับมวลแมวฯ" ในลำดับก่อนหน้าเล่มนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตั้งใจ

แต่อย่างไรก็ตาม ฉันยอมรับ ว่าได้รับการสปอยล์จากเจ้าของหนังสือเล่มนี้ก่อนอ่าน ว่าไม่ใช่เรื่องราวแนวเดียวกับ "นางนวลกับมวลแมวฯ"

นับ(ฉันนับเอง)ได้ว่าเป็นการสัมผัสอย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างเปิดกว้าง และไม่คาดหวัง

ฉันลิ้มรสเรื่องราวที่เล่าอย่างเนิบช้า เรื่อยๆ เหมือนน้ำไหลริน
ชายวัยปลายคนกับความโดดเดี่ยวที่เขาเลือกสรรให้ตัวเอง
เรื่องราวรักรันทดที่เขาปรารถนาจะได้อ่าน แม้เป็นการอ่านที่ละคำ เพียงเพราะความรันทดในความรัก มันทำให้เขาหลุดพ้น ลืมเรื่องราวรันทดตลอดชีวิตจริงของตัวเองได้ชั่วคราว
ภาพความสัมพันธ์ของเขากับโลกรอบตัว
ความเข้าใจโลก ที่แม้จะทำให้เขาเจ็บปวดและขมขื่น ซึ่งทำให้เราเจ็บปวดและขมขื่นตามไปอย่างช่วยไม่ได้ กระนั้น เขาก็ทำให้เรารู้ ว่าในวิถีแห่งการหมุนไปข้างหน้าของโลก มันย่อมเจ็บปวดและขมขื่นแบบนี้

ใครจะกล้าเปลี่ยนแปลง ในเมื่อวันนี้ไม่มีคนอย่าง สืบ นาคะเสถียร แล้ว
หรือที่จริงแล้ว แม้จะเป็นอย่างนั้น เราก็ยังไม่ควรสิ้นหวังในการเปลี่ยนแปลง

เรื่องนี้..ฉันเองยังไม่แน่ใจ



หมายเหตุ: อ่านแล้วรู้สึกมีส่วนร่วมโดยไม่ดัดจริตไปกับ
-พี่เชน และเสือของพี่เชน
-ผาด พาสิกรณ์ ("เสือเพลินกรง" ของคุณ ดิฉันยังละเลียดไม่หมด)
-เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เพราะหนังสือเล่มนี้มันสะท้อนถึงความหม่นเศร้าของชายชรา ณ ชายขอบของสองฝั่งโลกอย่างอ้างว้างแท้จริง

-ไม่แน่ใจว่าที่ฉันรู้สึกได้มากมายเพราะฉันเลี้ยงสัตว์หรือเปล่า
-ฉันพบคำผิดอย่างน้อย 2 ที่ เชื่อว่าสำนักพิมพ์ผีเสื้อคงแก้ไขในการพิมพ์ครั้งต่อไป
-หนังสือเล่มนี้มีภาพปก และลายเส้นประกอบสวยจริงๆ
-Luis Sepúlveda เป็นนักเขียนที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง ใช่แล้ว นักเขียนในความคิดของฉันต้องเป็นแบบนี้แหละ รอบรู้ และหลากหลาย มีจิตวิญญาณหลายรูป แต่ลุ่มลึกในทุกรูป (เพราะถ้าคุณไม่ลุ่มลึก คุณจะเขียนอะไรให้ฉันอ่านล่ะ?) ขอคารวะด้วยความจริงใจ
-ไม่ลืมขอบคุณคนเจ้าของหนังสือ เล่มต่อไปรบกวนขอ "ปิน็อกกีโอ" นะฮะ




วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

หูกระจง







ขอบคุณ
ที่เจ้าช่วยบังฉันจากแสงแรงกล้า
และให้ร่มเงางามน่าอัศจรรย์



วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

มารยาแมว





กราบสวัสดีพี่ป้าน้าอาที่เคารพ

หมาน่อยเกือบ 8 เดือน แค่แก่นแก้วเล็กน้อย ไม่ถึงกับเป็นทอม
มารยาสาไถยแบบแมวสตรี หนูก็พอมีเหมือนกันนะฮะ

;-)

เห่าก่อนกัด




31 สิงหาคม 2553

หมาน่อยอายุ 7 เดือนกว่าแล้ว
ตัวโตขึ้นมาก เนื้อแน่น ขนนิ่ม เป็นการโตออกทางยาว
ไม่เห็นอ้วนปุ๊กปั๊กเหมือนแมวอื่นๆ ที่หม่ามี๊แวะเล่นด้วย

หมาน่อยเขี้ยวใหญ่ขึ้น เล่นแรงขึ้น
เจ้าเล่ห์เพทุบาย และเรียกร้องความสนใจเก่งขึ้น

แล้วก็ยึดครองทุกตารางนิ้วในคอนโดเล็กๆ ของเราไปหมดแล้ว
ทั้งแนวตั้งและแนวนอน







หมายเหตุ: เธอกระโดดขึ้นหลังไมโครเวฟที่วางบนโต๊ะ แล้วเทคตัวขึ้นหลังตู้กับข้าว
ก่อนจะไต่ลงมาครอบครองพื้นที่หลังตู้เย็นทั้งหมด ดังในรูป

อากัปในรูปเป็นการล้อเล่นกับหม่ามี๊ เธอเห่าแบบแมวๆ ออกมาทีนึง
ถ้าหม่ามี๊เล่นด้วยด้วยการเอื้อมมือไปใกล้ เธอจะงับ(กัด)อย่างว่องไว
จะงับจริงหรือหลอกก็แล้วแต่อารมณ์ของคุณเธอ

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฝัน (๑)





ฉันฝัน
ถึงบันไดสูงชัน
ไม่หวั่นจะขึ้น..แต่เป็นการก้าวลง





วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เด็กๆ กับวิทยาศาสตร์


มีกล้ามเนื้อที่ใช้บังคับลูกกะตาตั้ง...กี่มัดนะ


เสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2553
ติดสอยห้อยตามป้าไปงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่ไบเทค บางนา
เด็กเยอะ ท่าทางจะสนุกดี ผู้ใหญ่ก็สนุก แต่เล่นเอากะปลกกะเปลี้ยจนไปหลับคา Inception ในเวลาต่อมาทีเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โปรดอย่ายุ่ง (ลุงจะหลับ)







ศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2553
วันนี้วันดี เจอลุงหนวดอีกแล้ว

กำลังหลับน่าเอ็นดู๊อยู่บนกำแพง
เห็นแล้วก็นึกอยากให้ญาติหมาน่อยในมัลติพลายได้เอ็นดูร่วมกัน
จึงจ่อเข้าไปถ่ายภาพ

ขออำภัยที่เข้าไปแทรกระหว่างนิทรารมย์อันแสนสุขนะจ๊ะ ลุงหนวด


วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แมวอยากมีส่วนร่วม






เช้าวันพุธที่ 18 สิงหาคม 2553

ระหว่างกำลังถ่ายรูปผลงานการเพาะเมล็ดข้าวสาลีที่ระเบียง
หมาน่อยก็แสดงความจำนง อยากมีส่วนร่วม
หม่ามี๊ก็เลยจัดใ้ห้