วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551

อรุณสวัสดิ์เจ้าดอกไม้ในป่าคอนกรีต ก่อนเจอสมิทธิโดยบังเอิญ




เอา Ricoh Caplio R6 มาลองอีก
พกกล้อง ๑ วัน ได้ถ่ายรูปอะไรมาเยอะ
เก็บรูปดอกไม้ทีได้พบบนเส้นทาง
ป่าตึกรอบๆ ตัว
ห้องว่างรอคนมาอยู่
และรุ่นพี่ที่สนิท (แต่ไม่กล้าสนิทกันนัก-เกรงใจ) ซึ่งไปเจอกันโดยบังเอิญที่งานสัปดาห์หนังสือฯ

รวมกำลังกินแหลก


มากินข้าวด้วยตามคำเชิญของพี่มิ๊งค์ (ข้างขวา) แต่คงทนปวดหัวกับคลื่นเสียงจากนกกระจิบกระจอกรอบกายไม่ไหว เลยลากลับก่อน

งงงงอยู่กับพวกเพื่อนสาว (โสดทุกคน)
อยู่ดีๆ ก็มีคอนเฟิร์มนัดกินข้าวเย็นนี้ที่ร้าน "แพกระแต"

อารายหว่า นัดกันตั้งแต่เมื่อใดหนอ?
แต่ไปก็ไป
(ใกล้) แก่แล้ว ต้องบริหารเวลาหน่อย
เผื่อปีนี้ใครจับพลัดจับพลูมีสามีไปจะได้ไม่บ่นว่าเสียดายที่ไม่ได้แร่ดกันให้อิ่มเสียก่อน

ไปถึงแพกระแตก็รู้ว่าเขาหยุดวันจันทร์ เลยย้ายไปปักหลักกันที่ "Reflection" อารีย์ซอย ๓ (มั้ง?)

ป.ล. รูปทั้งหมดถ่ายด้วยคุณ Ricoh Caplio R6 ไม่ได้ปรับอะไรเลย แค่ resize เหลือ ๕๐% เท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551

เวลาเป็นของมีค่า [รำพึง-รำพัน]



"เวลาเป็นของมีค่า"

ไม่ได้เพิ่งคิดเพราะต้องไปนั่งตากแดด (จนดำ-กว่าเดิม) รอคนในสวนตั้ง ๒ ชั่วโมงหรอก
แต่คิดมานานแล้ว

โดยเฉพาะช่วงนี้ ความคิดนี้คุกรุ่นมาก

ใครจะบอกได้ว่าเรามีเวลากันคนละเท่าไหร่?
อย่างเก๋ เก๋จะรู้ไหมว่าเก๋มีเวลาไม่เต็ม ๓๒ ปี?

แฟนเราที่เคยคบกันมา ตอนคบกันก็งอนกันตลอด เรียกร้องกันตลอด โมโหกันตลอด ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจ ไม่เคยพอใจกันเลยเนี่ย
ถ้าตอนนั้นเรารู้ว่าเราจะมีเวลาคบกัน อยู่ด้วยกัน แล้วก็ดูแลกันแค่นั้น เท่าที่มีนั่น
เราจะยังยอมเสียเวลาไปกับการโกรธ ความขุ่นเคือง หมกมุ่นอยู่กับการคิดคำพูดเหน็บแนม เสียดสี แล้วก็วางแผนแกล้งกัน
หรือเราจะเอาเวลาไปรักกัน  ทำอะไรดีๆ ด้วยกันให้มันมากกว่านี้ มีคุณภาพกว่านี้?

เมื่อวานเป็นวันที่ป่วนแบบแปลกๆ
นอกจากชีวิตจะถูกป่วนเพราะอารมณ์ที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นกับคำพูดของคนจนเกินควรแล้ว ยังได้รับโทรศัพท์จากผู้ชายที่เคยมีเวลา (ดีบ้าง-ชั่วบ้าง) ร่วมกัน ๒ คน
คนหนึ่ง ไม่รู้เพี้ยนอะไร มาสั่งให้เราซื้อรองเท้าให้อีกแล้ว (คราวที่แล้วแกยังไม่จ่ายเงินเลย) เราถามว่าทำไมต้องเป็นเรา เขาบอกว่าเพราะร้านขายรองเท้ามันอยู่ปากซอยบ้านเรา เราก๊อเลยฉลองศรัทธาด้วยการแวะซื้อคอนเวิร์สคู่ใหม่ แถมรองเท้าแตะคีบอีกคู่ (ซึ่งทั้งสองคู่ไม่ใช่ของเขา-ฮ่าฮ่า)
ส่วนอีกคน โทรมาเพื่อถามคำถามเดิมๆ ว่าเธอยังไม่มีแฟนจริงๆ อะเหรอ ไม่น่าเนอะ คนแบบเธอนี่ไม่น่าจะหาผู้ชายยาก (เอ๊ะ ยังไง? จะด่าก็ด่ามาเลยสิ หรือจะช่วยหาก็อย่ารอให้ขอได้ปะ)

แล้วเราก็มาคิด
ถึงเวลาช่วงหนึ่งที่เราเคยมีกับผู้ชายทั้งสอง แม้วันนี้จะไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกับวันโน้น
ทว่า ทุกวันนี้เราก็ยังมีเวลากับเขาแต่ละคนในสถานะใหม่
ซึ่ง ไม่รู้มันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ และสิ้นสุดยังไง
เรา ซึ่งไม่รู้ว่าเวลานี้มีอยู่อีกเท่าไหร่ ควรทำไงดี?

(มีคำตอบอื่นใดไหม นอกจาก "ใช้มันให้คุ้มค่า"?)

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการจากไปของเก๋ ทำให้ได้ตระหนักว่า ไม่ว่าจะกับเพื่อน พ่อแม่ น้องๆ และคนอื่นๆ ก็คงเหมือนกัน เราไม่รู้ว่าเรามีเวลากับคนเหล่านั้นคนละเท่าไหร่ มาก-น้อยแค่ไหน

ในเมื่อไม่รู้ เราก็คงต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าไว้ก่อนอีกนั่นแหละ

นี่ป้าอ้อยกำลังจะไป ไปเรียนหนังสือในที่ไกล๊-ไกล แล้วก็น๊าน-นาน
ป้าไปไกลจนนึกท้อที่จะบากบั่นไปหา
ถ้าป้าไม่อยู่ เราซึ่งมีเพื่อนสนิทน้อยคน ยิ่งเพื่อนปากนรกที่คุยกันได้แหลกราญอย่างป้ายิ่งมีน้อยไปอีก
เราจะเป็นไง?
สภาพอาจไม่ผิดกับคนอกหัก หงอย เหงา แล้วก็ไ่ม่รู้ว่าเสาร์อาทิตย์จะไปไหนกะใคร
จะไปดูหนังรอบเช้าที่ลิโด้กะใคร
จะเข้าร้านไดโซกะใคร
ใคร ที่มันจะเดินท่อมๆ จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปถึงสวนสันติกะเรา
กินข้าวด้วยกัน
ปรับทุกข์กันเรื่องทำฟัน
ซุบซิบนินทาชาวบ้าน
ด่านักการเมือง
ฯลฯ

ป้า.....
How do I live without you วะ?

วันนี้ตอนที่ป้ารำพึงว่าอาจจะไปเที่ยวตามแผนของเราไม่ทัน เพราะป้าจะรีบไปเรียนภาษาก่อนเปิดเทอมถึง ๓ เดือนน่ะ มองออกไปกลางแดดใกล้เดือนเมษาแล้วน้องใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก
ถึงกับต้องคว้่าแว่นกันแดดมาใส่ทั้งที่อยู่ในร่ม

ช่วงนี้นอกจากใช้เวลากะป้าให้คุ้มค่าแล้วน้องควรทำไรอีก?
ควรหาแฟนใช่มะ
เพราะเมื่อถึงวันที่ป้าไม่อยู่ น้องจะได้ไม่เหงาเิกินไป

(หวังว่า่โซลูชั่นที่คิดขึ้นมาเองคงไม่ทำให้้น้องเป็นประสาทไปตอนที่ป้าไม่อยู่นะ)

เอา Ricoh Caplio R6 มาลองหน่อย


คุณหนามแดง
ที่ระเบียงหลังห้อง
เมื่อเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า

ป.ล.เช้านี้อากาศดี

อันนี้ใช้มาโคร ถ่ายย้อนแสง เข้าใจว่าตอนนั้นยังชดเชยแสงไม่เป็น
ถ่ายกันตอนตายังลืมไม่เต็มที่กันเลย

เพื่อนว่าจะขาย Ricoh Caplio R6 ที่ซื้อมาแค่เดือนเดียว
(ราคาสุดพิเศษแถม SD Card ๔ จิ๊ก)
ดิฉันเองก็สนใจระยะเลนส์ ๒๘-๒๐๐ เลยขอยืมมาลองดูหน่อย
ได้รูปแล้วอยากให้ทุกคนช่วยกันดูหน่อยอ่ะจ้า

ป.ล. รูปพวกนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจาก Resize ของจิงเจ็ดล้านพิกเซลใหญ่ไปหน่อยนะว่าไหม?
ไม่ได้ปรับสว่าง หรือครอปใดๆ ทั้งสิ้น

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2551

เมื่อดิฉันถูกขโมยเวลา!


ในสวนมีงานอีเว้นท์ตั้งสองงาน สามงาน

ใช่แล้ว ดิฉันถูกขโมยเวลา
โดยผู้ชายคนหนึ่งที่นัดกันไว้ ๔ โมงเย็น แต่โผล่มาตอน ๕ โมงครึ่ง
เมื่อดิฉันไปถึงที่นัดก่อนเวลาถึงครึ่งชั่วโมง จึงเท่ากับเวลา ๒ ชั่วโมงในชีวิตวัยสาว(ตอนปลาย)ของดิฉันถูกดูดหายไปในหลุมดำ

โกรธๆๆๆๆๆๆๆ โกรธมาก ที่ถูกผู้ชายปล่อยให้รอ (อีกแล้ว!-อะไรกันนี่!)
เขาบอกให้ดิฉันไปเดินเล่นเอ็มโพเรียม จะบ้าหรอ เดินในเอ็มโพเรียม ๒ ชั่วโมงบนรองเท้าส้นสูง ๔ นิ้วเนี่ยนะ (บ้าเนอะ แต่ว่ามันสวย และมันเซลส์ ก็เลยอดซื้อไม่ได้)

สวนสาธารณะข้างเอ็มโพเรียมยังน่าใช้เวลามากกว่า ตอนที่คิดว่าจะได้รอแค่ครึ่งชั่วโมง ดิฉันจึงเลือกเดินมารอในสวน ตอนแรกแอบอดเสียดายที่ไม่ได้พกนิยายมา ไม่อย่างนั้นชีวิตคงมีความสุขมากๆ แรกๆ ที่รอรู้สึกสวนบรรยากาศดี ลมเย็น จะให้ฟังไอพอดก็กระไรอยู่ อย่างแรกดิฉันก็ถ่ายรูป (ดีนะที่เอากล้องมาด้วย)

พอรู้ว่าตานั่นโมเมเปลี่ยนเวลานัดเป็น ๕ โมงเฉยเลย ดิฉันก็็โทรศัำำพท์

เม้าท์กับหนึ่งหนุ่มแล้ววางสายไปเพราะคุยไม่รู้เรื่องก็หันไปเม้่าท์ผู้ชายกับเพื่อนสาว เม้าท์ไปชั่วโมงกว่าๆ จนแบตหมดไปครึ่งก้อน พ่อเจ้าประคุณคนที่นัดให้มารอยังไม่โผล่

ตอนทราบว่าตะแกมาช้าเพราะมัวไปนวดเท้าแล้วเขาไม่กล้าโทรบอกให้เราไปเองเพราะเกรงใจนี่โคตรโกรธ (ทำไมต้องเกรงใจช้านอย่างนี้ด้วยยยยยยยยย!!!!)

หน็อย นวดเท้าหรอ เราน่ะ เจ็บระบบเท้าจะแย่ หิวก็หิว ไม่ได้กินอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมาตั้งแต่เช้า

พอเจอหน้ากันจะขอโทษสักคำก็ไม่มี

แค้น แค้น แค้น แค้น!

ป.ล. พอโทรไปฟ้องเรื่องนี้กับเพื่อนผู้ใหญ่คนสนิทกลับโดนด่ามาอีกว่าบัฟฟาโล่ ไปนั่งรอเขาตั้ง ๒ ชั่วโมง รอชั่วโมงเดียวก็น่าจะรู้ว่าไม่ควรรอต่อแล้ว

T T สรุปว่างานนี้ดิฉันผิดเอง ไปเองก็ได้ ไปไหนๆ เองมาตลอดชีวิต วันนี้ดันไปรอไปพร้อมผู้ชาย สมน้ำหน้าไหมละ?

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2551

เก็บตกจากแหลมฉบัง (ขำๆ)


ดีที่เห็นครึ่งตัว
เพราะข้างล่าง คุณน้องวิธนีย์กำลังปิดกระโปรงที่ลมพัดพะเยิบอย่างจ้าละหวั่น


เพิ่งเห็นรูปจากกล้องพี่อู๊ด
ก็เลยคัดรูปที่ดูแล้วยิ้มได้มาให้ดูกันอีก

ขำๆ นะ

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ ๙: ดิฉันเป็นอะไรไป?



It's late and I'm feeling so tired
Having trouble sleeping.
This constant compromise
Between thinking and breathing.

Could it be I'm suffering
Because I'm never give in?
Won't say that I'm falling in love
Tell me I don't seem myself
Couldn't I blame something else?
Just don't say I'm falling in love


โอชโช่ฟังเพลง Trouble Sleeping ของ Corinne Bailey Rae แล้วก็ให้รู้สึกว่า นี่มันเพลงของเรานี่นา

ก็ช่วงนี้เธอเป็นอะไรไปไม่รู้ นอนๆ ไปต้องตื่นขึ้นมาเองตอนตี่สี่กว่าเป็นคืนที่ ๔ แล้ว จะว่าผีหลอก ผีอำ หรือเห็นผีก็ไม่ใช่ เพราะมันเป็นการตื่นขึ้นมาพบกับช่วงเวลาอันสงบสุข สบายตัว และแสนจะน่าอภิรมย์ อากาศเช้ามืดกำลังเย็นสบาย นอนแผ่อยู่บนที่นอน เกลือกกลิ้งอยู่บนหมอนและผ้าห่ม ท่ามกลางแสงจันทร์ (ใช่แสงจันทร์ไหม?) ที่สาดผ่านบานประตูกระจกสไลด์ตรงหัวนอน

แสงนุ่มนวลที่ทำให้มองเห็นรายละเอียดอ่อนนุ่มรอบตัว
โอชโช่บอกตัวเองว่าเวลานี้ควรเป็นช่วงเวลาสุดพิเศษในชีวิตอันวุ่นวายของเธอ ถ้าเธอไม่ได้กำลังง่วง และอยากจะกลับไปฝันเรื่องที่ค้างเอาไว้ต่อ ฝันให้จบ

แต่จะนอนยังไงก็นอนไม่หลับ จะนอนหงายหรือตะแคง จะก่ายจะกอดหมอนข้าง แยกแขนก่ายหน้าผาก นอนขดตัวเป็นแมว นอนคว่ำ ฯลฯ ยังไงก็นอนไม่หลับ

เสียอารมณ์มาก-โอชโช่บอกตัวเอง

สงสัยจังว่าตัวเองเป็นอะไรไป หรือว่าคิดถึงผู้ชายจนเป็นประสาท
เย็นนี้จะได้เจอหมอบู๋ แต่ถ้าคืนนี้ยังตื่นตอนตีสี่กว่าๆ เพื่อมานึกถึงผู้ชายคนอื่นๆ นอกจากหมอ เหมือนคืนที่ผ่านๆ มาละก็

สงสัยเราต้องบ้า(ผู้ชาย)ไปแล้วแน่ๆ- เธอบอกกับตัวเอง



เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ ๙: ดิฉันเป็นอะไรไป? (ภาคพิเศษท้ายเรื่อง)

"ยาคุม? จะดีหรอคะหมอ" โอชโช่ถามหมอบู๋เสียงหลง
"ยาคุมก็ได้ ฮอร์โมนก็ได้ครับ" หมอบู๋แก้ให้ "จะช่วยลดสิวจากการมีฮอร์โมนเพศชายเยอะได้ เรื่องนี้ผมก็เคยแนะนำไปแล้วนี่นา"
"ไม่เคยซะหน่อย" โอชโช่เถียงฉอด "เคยเล่าให้หมอฟังว่าเคยกิน แต่ไม่อยากกินแล้ว พอหยุดสิวก็เลยกลับมาอีก แต่หมอก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ห้ามหรือไม่ได้แนะนำให้กิน"
"อ้าวจริงหรอ?" หมอหัวเราะ "ไม่อยากกินเพราะอะไรนะ?"
"ก็กลัว..."
"เฮ้ย เค้าทดลองมาแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก"
"แต่หมอคะ.. หมอก็รู้ว่าบริษัทยาทำวิจัยเพื่อให้ได้ขายยา" หมอหัวเราะ เอ็นดูความรู้มากของนางสาวโอชโช่อีกแล้ว
"อย่าไปกลัวเลย ถ้าจะเป็นมะเร็งอะนะ กินหรือไม่กินยาคุม มันก็เป็นครับ" หมอปลอบ "เชื่อไหมว่าถ้าโอชโช่คนแรกกินยาคุม กับโอชโช่คนที่สองอยู่กับแฟนที่สูบบุหรี่นะ โอชโช่คนที่สองมีสิทธิ์จะเป็นมะเร็งได้มากกว่าคนแรกอีก"
โอชโช่คิดตาม
"ดังนั้น จะมีแฟนไม่สูบบุหรี่หรือจะกินยาคุมดีี" หมออำทันควัน เล่นเอาโอชโช่เกือบตั้งตัวไม่ติด
"อ่ะ... เอาเป็นว่า ขอมีแฟนไม่สูบบุหรี่ดีกว่า เพราะว่ามันเหม็น" -เป็นงั้นไป โอชโช่
"แล้ว ฮอร์โมนของหมอนี่ ต้องเริ่มกินยังไงคะ?" เธอเริ่มเก็บข้อมูลเพื่อประมวลเหตุผล
"เริ่มตอนมีรอบเดือนก็ดีครับ ใกล้มีหรือยังละ?"
"ไม่นะคะ เหมือนเพิ่งมีไป ๒ อาทิตย์ก่อน"
"งั้นคราวนี้ยังไม่ต้องเอายาไป มาเจอกันใหม่ตอนโอชโช่มีรอบเดือนดีไหม" หมอบอก
"เอิ่ม.." โอชโช่ว่ามันพิกลๆ
"เ่ออ ขำดีเนอะ นัดกันตอนมีรอบเดือน" หมอว่าแล้วหัวเราะ
"คงไม่เป็นไรมั้งคะ" โอชโช่แก้ให้ "อย่างน้อยก็ไม่ได้นัดกันหลัง ๗ วันของการมีรอบเดือน"
"รู้มากอีกแล้วเนี่ย" หมอว่าให้พร้อมค้อนวงใหญ่และหัวเราะไม่หยุดกับความทะลึ่งของคนไข้

ฮิฮิ วันนี้หมอน่ารักอีกตามเคย แล้วคืนนี้จะคิดถึงใครได้อีกล่ะ? โอชโช่ึนึก

หมายเหตุ: เรื่องเล่าเรื่องนี้แค่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความหรรษาให้กับหัวใจในหมู่ผู้อ่าน ที่จริงผู้เขียนก็อยากจะสอดแทรกประเด็นมีประโยชน์ไว้บ้าง แต่ถ้าตอนไหนมันไม่มีโปรดอย่าคิดมาก ชีวิตนี้แสนสั้น ดังนั้นจงหรรษาเข้าไว้นะจ๊ะ

ป.ล. โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน แล้วก็อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังมากนักล่ะ

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

คิดถึงเก๋: OUTING เมื่อ๕ ปีก่อน




รูปเหล่านี้มาจาก Folder รูปตอนไป Outing กันที่โรงแรม HardRock พัทยาเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ๒๐๐๓

มันนอนอยู่ในเครื่องที่ออฟฟิศตั้งนานแล้ว วันนี้คิดถึงเก๋ขึ้นมา เลยลองค้นดูว่ามีรูปเก๋มั่งไหม

ปรากฏว่าเจอชัดๆ อยู่รูปเดียว แถมเก๋ยังไม่หันหน้ามาทางกล้องอีก
แต่คงไม่เป็นไร เพราะรูปของคนอื่นๆ ต้องช่วยเรียกเสียงฮาได้แน่ๆ

ช่วงนั้นเป็นหลังจากการก่อตั้งกองบอกอ Seventeen เลยมีพนักงานใหม่เยอะหน่อย (รวมทั้งดิฉัน-ซึ่งไม่ได้อยู่กอง Seventeen ด้วย) พวกพี่ๆ ที่ทำงานอยู่ก่อนเลยคิด Theme ของงานโดยจับน้องๆ มารับน้องกันหนุกๆ

พี่เล็ก (ตอนนี้เป็นคุณแม่ของน้องน้ำหวาน อายุ ๕ เดือน) เจ้าของอัจฉริยภาพในการผวนคำ จัดการผวนชื่อให้น้องใหม่ใหม่ทุกคนโดยไม่คิดมูลค่า ด้วยหวังจะให้ทุกคนในครอบครัวมีเดียทรานส์เอเซียจำชื่อของน้องใหม่ได้ง่ายๆ

๕ ปีผ่านไปแล้ว หลายคนคงจะลืมชื่อของตัวเองในครั้งนั้นไปแล้ว
มาทบทวนกันหน่อยดีกว่านะ....


ป.ล. หลังจากครั้งนั้นที่โรงแรมฮาร์ดร็อค เราก็ไม่ได้ไปไหนกันอีกเลย
อยากไปเหมือนกันนะ ก็คราวนั้นทั้งเมา ทั้งสนุกจริงๆ เลย
ใช่ไหม?

คำคม#6




อยู่เดียวเปลี่ยวกาย แสนสบายแต่ไม่สนุก
อยู่สองครองทุกข์ แสนสนุกแต่ไม่สบาย



วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551

My Blueberry Nights: ยิ้มได้ หลังร้องไห้ ๑ ครั้ง

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Independent
ดูเหมือน My Blueberry Nights จะเป็นหนังที่ี่ไม่ได้ทำให้เสียน้ำตาจนเพลีย เอาแค่พอตาเปียก แล้วก็จบด้วยรอยยิ้ม

ตาที่เปียก ไม่ได้เปียกเพราะสะท้อนใจกับความเป็น Blueberry Pie ขายไม่ออกของตัวเอง

แต่ร้องให้กับการเพอร์ฟอร์มที่กินใจของ ราเชล ไวสซ์ ในฉากในบาร์ กับเพลงบลูส์เพลงนั้น ซึ่งเป็นตอนที่เธอเสียคนที่รักที่สุด ผู้เป็นส่วนสำคัญในความทรงจำของเธอไป

และมายิ้มได้ในตอนจบ กับจูบ-จูบนั้นของ จูด ลอว์

หนังเรื่องนี้เล่าถึงการเดินทางของอลิซาเบธ (นอร่า์ โจนส์ เจ้าของเสียงร้องกังวานใสในเพลง Come Away with Me และ Don't Know Why ลูกสาวคนสวยของระวี ชังการ์ มือซีตาร์ที่จอห์น เลนนอนไปฝากตัวเป็นศิษย์ ) คุณจะคิดว่าเธอหนีไปเพื่อทำใจก็ได้ หรือถ้าจะคิดว่าเธอเดินทางเพื่อแสวงหาตัวตนที่แตกสลายพลัดพรายไปหลังชายคนรักทำให้หัวใจบาดเจ็บก็ได้ ดิฉันว่าไม่ผิดหรอก

แต่ระหว่างสามร้อยกว่าวันที่อยู่ไกลจากนิวยอร์ก (ที่ที่มีี่เจอรีมี่ ผู้ชายแปลกหน้าผู้ี่ก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเธอ) ทำให้เธอได้พบกับ ๒ ความรักที่ลึกซึ้งกินใจ ซึ่งอาจมีส่วนนำทางให้เธอกลับมาที่คาเฟ่ของเขาอีกครั้ง

เพื่อจะได้พบว่า ขวดโหลใส่บรรดากุญแจไขประตูหัวใจที่รอคอยคนมารับกลับไป กลายเป็น
แจกันดอกไม้ไปแล้ว

อะไรทำให้คุณพระเอกทิ้งกุญแจใจเหล่านั้นไป โปรดไปหาคำตอบในโรงกันเอง

สำหรับดิฉันเอง แม้ไม่เคยให้กุญแจห้องกับใคร แต่ขอสารภาพว่า แรกๆ หลังตัดสินใจปล่อยเขาไปใหม่ๆ นั้น พักใหญ่ๆ เลย ที่อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงการกลับมาโดยมีเขารออยู่

ตลกดีที่เมื่อเวลาผ่านไป แค่คิดเล่นๆ ว่าถ้าเปิดประตูผางแล้วเจอเขานั่งรออยู่จะเป็นไง-ก็เครียดแล้ว




หมายเหตุ
๑. ดูหนังของ Wong Kar Wai มาหลายเรื่อง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า My Blueberry Nights เหมือน Chung King Express จัง แล้วบทของพระเอกบางตอนน่ะ เหมือนจะเปลี่ยนให้พี่เหลียง เฉา เหว่ย มาเล่นแทนได้เลย
๒. ยังรัก In the Mood for Love เหมือนเดิม (พูดแล้วคิดถึงจัง)
๓. ทั้ง นาตาลี พอร์ตแมน และราเชล ไวสซ์ เจ๋งมากๆ อาจฆ่านอร่า โจนส์ได้ทุกเมื่อ
๔. รู้สึกว่า เมื่อเขาสวมวิญญาณของเหลียง เฉา เหว่ย ในหนังของหว่อง คาร์ ไว จูด ลอว์ ดูน่ารัก น่าหลงใหลมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยเห็น
๕. แม้เมื่อเทียบกับขนมหวานอื่นๆ ในตู้แล้ว Blueberry Pie อย่างดิฉันจะขายไม่ออกเพราะคนมักเลือกช็อกโกแลตเค้ก หรือชีสเค้กก่อน แต่ดิฉันว่าอาหารมัน Selects คนกินน่ะ ใครไม่ชอบกินก็อย่ามากิน
ใครชอบกิน ก็กินให้อร่อย แค่นั้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2551

สองหนุ่มนิวลุค


หลังจากความพยายามโกอินเตอร์ครั้งล่าสุดไม่เป็นผล
น้องแป๊ะก็เลยไปตัดผมทรงม้าเต่ออย่างที่เห็น

งานที่พวกเราเพิ่งไปมาเป็นเหมือนงานรวมญาติ
พอรู้ข่าว ทั้งศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันก็มากันอย่างพร้อมเพรียง
เจอกันคราวนี้ หลายคนเปลี่ยนไปเพราะผมทรงใหม่
พี่โอ๋เลยแนะให้ดิฉันถ่ายรูปมาให้เพื่อนๆ ที่ยังไม่้มาได้ดูกัน

เดินแพร่งฯ ไปโผล่สวนสันติฯ


ไม่มีการแอบเรียกสามล้อ

กว่าสิบกิโลเมตร (ขอ'เว่อร์นิด) ที่สองสาวดำเนินผ่าน
จากร้านหนังสือริมขอบฟ้า ถนนราชดำเนิน
เข้าคอกวัว กินข้าวหมูแดง เดินลัดเลาะ เซาะซอนไปในซอกซอยแถวนั้น
หวังจะชมความงามและเสน่ห์เฉพาะตัวของแพร่งทั้ง ๓ (ได้แก่แพร่งสรรพศาสตร์ แพร่งนรา และแพร่งภูธร)
ร้อนก็ร้อน แต่เดินไปเรื่อยๆ ก็ลัดเลาะสนามหลวง เลียบข้างโรงเรียนนาฏศิลป์
ไปถึงสวนสันติชัยปราการจนได้

เรียกว่า ลากสังขารไปถึงในที่สุด

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551

แหลมฉบังที่ได้เห็นมา


วัดจุกกะเฌอ
เด็กสมัยนี้จะเขียนถูกไหมเนี่ย?

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ life goes on
ถึงเมื่อคืนเพิ่งไปงานศพ และวันนี้เป็นวันเสาร์ แต่ในเมื่อเช้านี้มีงาน
เรา ๓ คนก็ต้องตื่นไปกัน
โน่น แหลมฉบัง
ก็ได้รับเชิญไปเที่ยมชมเรือสำราญสุดหรูที่แวะมาจอดที่แหลมฉบังเป็นเวลา ๒ วัน
ของเค้าหรูจริงๆ นะ
งานตกแต่งภายในสวยมากเลย เนี้ยบมากๆ ด้วย

แต่เรื่องบริการ คนมีประสบการณ์เค้าว่ายังไม่ถึงง่ะ
(ทาบ hospitolity แบบไทยๆ ไม่ติด-ว่างั้น)

เหงา...




วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2551

ภัยแต่ความตาย ย่อมมีเป็นเที่ยงแท้แก่สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดมาแล้ว

มรณานุสติ


"วันและคืนล่วงไป
ชีวิตใกล้ดับเข้าไป
อายุของสัตว์ทั้งหลาย ( ค่อย ) สิ้นไป
ดังน้ำแห่งลำน้ำน้อย( ค่อย ) แห้งไปฉะนั้น

ภัยแต่ความตาย ย่อมมีเป็นเที่ยงแท้แก่สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดมาแล้ว
ดุจภัยแต่ความหล่นในเวลาเช้าย่อมมีแก่ผลไม้ทั้งหลายที่สุกแล้วฉะนั้น

เหมือนอย่างภาชนะดินที่ช่างหม้อทำขึ้นแล้ว
ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบ
ล้วนมีความแตกเป็นที่สุดฉันใด
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เป็นฉันนั้น "

 

พระพุทธศาสนาสอนให้มีการเจริญมรณานุสติเพื่อสร้างความไม่ประมาทในการใช้ชีวิต การเจริญมรณานุสติเป็นการนึกถึงความตายที่เป็นสภาวะที่จริงแท้ซึ่งเมื่อมาสู่ชีวิตแล้วทำให้ชีวิตขาดสะบั้นลงทันที กิจกรรมใดที่เคยทำไว้แต่ก่อนเมื่อความตายมาถึงแล้ว กิจกรรมเหล่านั้นก็เป็นอันสิ้นสุดลง

การเจริญมรณานุสติเป็นการช่วยให้คลายจากความยึดถือชีวิต และความหมกหมุ่นอยู่กับความโลภโกรธหลงในอารมณ์ การระลึกถึงความตายจะช่วยทำให้ปล่อยวางได้จากหลายสิ่ง และยอมพ่ายแพ้ธรรมชาติคือความตายได้อย่างสงบ เพราะความตายเป็นสิ่งที่มีอำนาจและยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีมนุษย์คนใดเอาชนะได้ แม้พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงต้องทอดทิ้งพระสรีรกายไว้ในโลกให้พุทธบริษัทจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพ

เมื่อความตายมาสู่ชีวิตของบุคคลโดยไม่มีนิมิตบอกล่วงหน้าให้มีเวลาเตรียมตัว จึงไม่ควรวางใจในชีวิต กิจใดที่ควรทำ ควรรีบทำกิจนั้นอย่างไม่ผัดวันประกันพรุ่งนี้อาจทำให้มีการนึกถึงความตายในด้านที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ เช่น การนึกถึงความตายแล้วเกิดใจฝ่อห่อเหี่ยวจนหมดเยื่อใยในชีวิต ไม่อยากจะทำกิจกรรมอะไร การงอมืองอเท้ารอคอยความตายเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงความตายที่ไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งควรจะต้องกลับความคิดเสียใหม่ ด้วยการเตือนสติตนให้ไม่ประมาท เร่งรีบทำกิจกรรมความดีที่ควรทำให้มากขึ้น ให้ทันเวลา เพิ่มพูนความเพียรชำระล้างจิตใจของตนให้สะอาด ปราศจากกิเลสให้ได้มากที่สุดก่อนที่ความตายมาถึง

 

จาก http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=9675

 

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551

ประโยชน์ของไขมัน

ดูดไขมันพุง เสริม'ดั้ง'สวย

วงการศัลยกรรมความงามตื่นตัว แพทย์ไทยคิดค้นงานวิจัยนวัตกรรมใหม่ ด้วยการปลูกย้ายไขมันบริเวณใต้สะดือ ไปเสริมจมูกของหญิงสาวให้โด่งเป็นธรรมชาติ แก้ปัญหาซิลิโคนทะลุที่สร้างความเจ็บปวดและทรมาน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ว่า การเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายไขมัน เป็นนวัตกรรมเสริมความงามล่าสุด ที่ตนคิดค้นและพัฒนาขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรมจมูกด้วยซิลิโคน พบบ่อยที่สุดคือเมื่อทำไปสักระยะ ซิลิโคนจะทะลุสร้างความเจ็บปวดทรมานให้แก่คนไข้เป็นอย่างมาก จึงเริ่มคิดค้นหาวัสดุทดแทนซิลิโคน โดยใช้เวลากว่า 5 ปี ในที่สุดจึงมาลงตัวที่การใช้ไขมันในร่างกายมนุษย์ ด้วยการเจาะเปิดผิวหนังบริเวณสะดือ กว้างประมาณ 1 ซม. แล้วนำไขมันที่มีลักษณะเป็นก้อนมันมีน้ำเหลือง เป็นเซลส์ที่มีชีวิต ประมาณ 4-5 ซีซี มาใช้เสริมใส่เข้าไปในจมูกตามรูปทรงต่างๆที่ต้องการ

นพ.ชลธิศเปิดเผยต่อไปว่า ขั้นตอนการเสริมจมูก ใช้วิธีเจาะเป็นช่องเข้าไปในจมูก ใส่ไขมันจากสะดือเข้าไปปลูกใหม่ที่จมูก เลือดบริเวณจมูกจะหล่อเลี้ยงไขมัน จนเป็นส่วนหนึ่งของจมูก เนื่องจากเป็นเซลส์มีชีวิตยังไม่ตาย กรรมวิธีดังกล่าวไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาเพียง 20 นาที ต้องรีบผ่าตัดอย่างรวดเร็วและรอบคอบ เพื่อลดอาการบอบช้ำของร่างกาย โดยขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์เป็นหลัก คนไข้สามารถกลับบ้านได้ทันทีเมื่อผ่าตัดเสร็จและใช้เวลาประมาณ 3 เดือน เซลส์เนื้อบริเวณสะดือจึงสมานเป็นเนื้อเดียวกับสันจมูก การทำศัลยกรรมด้วยวิธีดังกล่าว ไม่มีผลกระทบและผลข้างเคียงใดๆ เนื่องจากไขมันไม่ใช่สารแปลกปลอม หรือวัสดุสังเคราะห์ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งยังทำให้รูปทรงของจมูกสวยงามดูเป็นธรรมชาติ มีความยืดหยุ่นสูงด้วย เท่าที่ทราบขณะนี้มีการเสริมจมูกด้วยวิธีดังกล่าวที่โรงพยาบาลจุฬาฯ โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลพญาไท 3 สนนราคาครั้งละ 2-3 หมื่นบาท มีศิลปินดาราหลายคนถึงกับถอดซิลิโคนที่เคยเสริมจมูกออก เปลี่ยนเป็นใช้วิธีเสริมจมูกแบบนี้เข้าไปแทน

นพ.ชลธิศเผยอีกว่า ที่ผ่านมาวงการศัลยกรรมจมูก มีการนำกระดูกอ่อน จากบริเวณใบหู หรือซี่โครงมาใช้จนแพร่หลาย เนื่องจากเป็นวัสดุที่หาง่าย แต่กลับไม่เป็นที่นิยมมากนัก เพราะมีความยุ่งยากซับซ้อนมากกว่า ขณะที่วัสดุที่นิยมนำมาใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบันคือซิลิโคนที่มีความหลากหลาย แต่ละชนิดให้คุณสมบัติแตกต่างกัน อาทิ ซิลิโคนแบบแข็ง ต้นทุนต่ำ ข้อดีคือตัดแต่งรูปทรงได้ง่ายแต่เมื่อใช้กับร่างกาย ก็ส่งผลให้ทะลุได้ง่ายและมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ซิลิโคนแบบอ่อน มีความยืดหยุ่นสูง แต่ตัดแต่งรูปทรงได้ยาก ส่วนซิลิโคนที่ให้ประสิทธิภาพดีในงานศัลยกรรมคือ ซิลิโคนที่มีความแข็งปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูงดูเป็นธรรมชาติ จัดแต่งรูปทรงได้ง่าย ซิลิโคนประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมต่อการทำศัลยกรรม อย่างไรก็ตาม วิธีเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายไขมัน ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง แต่นับเป็นความก้าวหน้าของวงการแพทย์ ช่วยจุดประกายแนวคิดใหม่วงการศัลยกรรม ตลอดจนกระตุ้นให้แพทย์เร่งพัฒนาผลงานให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาประเทศต่อไป

ด้าน น.ส.อรุณี พงศ์ภัณฑารักษ์ อายุ 41 ปี เจ้าของร้านเสื้อผ้า ย่านสยาม ซึ่งผ่านการเสริมจมูกด้วยวิธีปลูกย้ายไขมัน กล่าวว่า เดิมเป็นคนไม่มีดั้งทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ อยากเสริมจมูกมานานแล้ว แต่ไม่กล้าเพราะกลัวเรื่องซิลิโคนทะลุ แต่เมื่อทราบว่ามีวิธีปลูกย้ายไขมันเสริมจมูก จึงตัดสินใจทำทันที ตอนที่ไปทำไม่รู้สึกเจ็บ ใช้เวลาทำแค่ 20 นาทีก็กลับบ้านได้ หลังกลับมาบ้านก็ดูแลความสะอาดแผลระยะหนึ่งเท่านั้น และไม่มีผลข้างเคียง สามารถบีบ หรือขยี้จมูกได้โดยไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกเหมือนเป็นธรรมชาติมาก

 

จาก ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=83069

ป.ล. นอกจากเสริมดั้งแล้ว มันน่าจะเอาไปเสริมอย่างอื่นได้ด้วยเนอะ ไขมันมีเยอะ ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ซะมั่ง

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2551

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ ๘: มนต์รักดาร์กช็อกโกแลต กับคนชอบคนง่าย



“วันนี้หมอบู๋ของหล่อนฝากบอกว่า เสาร์นี้เค้าไม่ว่างนะ ไปประชุมต่างจังหวัด
ถ้าไงให้หล่อนไปหาเค้าวันศุกร์แทน...วันนี้หมอถือกระเป๋าจะกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม (เพิ่งสองทุ่มครึ่งเอง) ดีนะฉันบึ่งไปทันพอดี”

ข้อความที่นานะจังส่งมาทำให้โอชโช่อดยิ้มไม่ได้

แหม๋ หมอ ทำมาเป็นฝากบอกว่าจะไม่อยู่... แต่ว่า เราเคยไปหาวันเสาร์ที่ไหนกัน

จำผิดคนอีกแล้วสินะ (ฮึ่ม!)

ทำฮึ่มฮั่มอยู่ในใจ แต่พอเอาเข้าจริงก็เบลอจนเกือบเสียเรื่อง (อีกตามเคย)

......

อืมม์ สิวก็ไม่ค่อยมีแล้วเนอะหมอบู๋พูดระหว่างกวาดตาจับสิวและริ้วรอยบนหน้าคนไข้

.....

อยากฉีดยาที่สิวเม็ดนี้มะ?หมอถามถึงสิวเม็ดที่กำลังก่อตัวบนแก้ม

...วันนี้หมอแต่งตัวไม่เหมือนหมอเลย?” คนไข้ไม่ตอบ แต่เริ่มเรื่องใหม่เฉยเลย ก็มันสงสัยนี่นา ว่าทำไมวันนี้หมอแต่งตัวแปลก หรือจะไปซิ่งที่ไหนต่อ แต่คำถามประกอบท่าทางสำรวจตรวจตราของคนไข้กลับทำให้หมอบู๋ขำซะงั้น

ทำไมครับ ไม่เหมือนหมอตรงไหน?

ก็.. ไม่เคยเห็นหมอใส่เสื้อสีเข้มใช่แล้ว หมอบู๋สวมเสื้อเชิ้ตสีมิดไนท์บลู กับกางเกงสแล็กเฉดใกล้เคียงกัน

ก็ทำไมละ ผมก็อยากหล่อบ้างสิ ใส่สีเข้มแล้วไม่หล่อหรอ?หมอยิงมุก ถามพร้อมยิ้มละไม

....หมอยังรอด้วยยิ้มบนหน้าแป้น ...เอ่อ ก็

ก็น่ารักกว่าแต่งตัวแบบหมออีก-โอชโช่แอบตอบในใจ

นี่ค่ะ เอาขนมมาฝากตัดสินใจว่าเปลี่ยนเรื่องดีกว่า แล้วโอชโช่ก็ยื่น Morinaga สูตรโกโก้ ๖๐% ดาร์กช็อกโกแลตญี่ปุ่นที่พรูพแล้วว่ารสชาติดีให้

อ๊ะ หมอชะงัก แกล้งผมอีกหรือเปล่า?

....?โอชโช่งงนิด ก่อนจะระลึกได้ ฮิๆ ไม่ได้แกล้งค่ะ นี่ของอร่อยจริงๆ นะ ชิมมาแล้ว

แต่นี่เค้าเขียนว่า Bitter Chocolate แปลว่าต้องขมสิ

โถ หมอคะ ดาร์ช็อกโกแลตสูตรโกโก้ ๘๕% คงจะทำหมอขมขื่นมากสินะคะ

เอิ่ม เรื่องลินด์ต้องขอโทษจริงๆ ที่ซื้อมาให้โดยไม่ทันชิมก่อน แต่อันนี้ไม่ขมเท่าอันนั้นแล้วค่ะ อันนี้อร่อยกว่า ไม่เชื่อก็ชิมดูเลย

งั้นกินด้วยกันสิครับ ไม่รู้หมอมารยาทดี หรือ หวานกับคนไข้อีกแล้ว แต่โอชโช่ส่ายหน้า ก็มันเขินนี่นา

ว่าแล้วหมอบู๋ก็จะแกะห่อช็อกโกแลต แต่เนื่องจากสวมถุงมือยางอยู่ แกะไม่ถนัด ต้องถอดถุงมือก่อน โอชโช่เห็นท่าทางเก้กังจึงอาสาช่วย

มาค่ะ ช่วยแกะลอกห่อ ฉีกฟอล์ยเรียบร้อยก็ยื่นช็อกโกแลตให้หมอ ซึ่งตอนนี้ล้างมือเรียบร้อยแล้ว (เร็วมาก-สะอาดหรือเปล่าเนี่ย?) หักเข้าปาก หมอเคี้ยว ๒ ทีตาก็เป็นประกาย

อร่อยมากเลย

คนเจริญอาหารนี่...น่ารักจัง โอชโช่นึก

ขอบคุณนะ หมอบอกเสียงหวาน

คนไข้เลยเบลออีกหน อย่างนี้จะไม่อยากหาช็อกโกแลตมาให้หมอกินอีกได้ไง



เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ ๘: มนต์รักดาร์กช็อกโกแลต กับคนชอบคนง่าย (ภาคพิเศษท้ายเรื่อง)

น้องชายแกเป็นไงมั่ง? หมิวถามข้ามจานส้มตำปูปลาร้า เธอหมายถึงน้องชายคนสนิทที่โอชโช่เพิ่งได้เจอตัวจริง

ก็.. ก็ไม่ได้เป็นคนที่จัดว่าหล่ออะนะ.. แต่ดูๆ ไปก็น่ารักดี เค้าเป็นคนดีนะแก เป็นเด็กที่ผู้ใหญ่ไหว้วานได้ นี่ชั้นติดตังค์เค้า ๒๐๐ ด้วย

แล้วไงล่ะ? คุยกันบ่อยไหม

ก็ ช่วงก่อนก็บ่อยนะ แต่สองสามวันมานี้ไม่ค่อยว่ะ

..... หมิวกำลังหันไปโซ้ย

แกโอชโช่กำลังจะเล่าความอึดอัด

ไร?

ชั้นไม่ชอบตัวเองเวลาเป็นแบบนี้เลย ชั้นไม่อยากให้ตัวเองรอโทรศัพท์ใคร แล้วก็ไม่อยากอารมณ์เสียเพราะโทรไปแล้วเค้าไม่รับ แล้วไม่โทรกลับด้วย....ชั้นไม่อยากนึกถึงใครก่อนนอน ชั้นไม่อยากชอบเด็กอ่ะ

อืมม์ แล้วหมอล่ะ? หมิวเปลี่ยนเรื่อง

หมอหรอ... ชั้นก็หลงรักหมอไงโอชโช่ตอบตาลอย

อืมม์ หมอมีลูกกี่คนนะ เพื่อนเบรกเพื่อนด้วยคำถามแทงใจ

น่าจะคนเดียวนะ... อีบ้า

..... หมิวโซ้ยต่อไปอย่างเมามัน

จะว่าไป โอชโช่ยังตาลอย ชั้นก็มักจะหลงรักผู้ชายง่ายๆ อยู่เรื่อย

หมิววางตะเกียบที่หล่อนใช้คีบมะละกอ เริ่มฟังเพื่อนอย่างตั้งใจ

ก็ชั้นน่ะ เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เลยชอบไปหลงรักผู้ชายที่ดูมั่นใจๆ อยู่เรื่อย อย่างพวกหมอ หมอฟันเนี่ย ประจำ เจอมาสองสามคนแล้ว ช่างซ่อมคอม หรือแม้แต่ช่างประปาช่างซ่อมไฟ หรือทำลูกบิดชั้นก็เคยชอบนะเว้ย

เฮ่ย!เพื่อนอุทานอย่างไม่เข้าใจเอาเลย

ก็อย่างเช่น ถ้าชั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจแล้วตัดสินใจไม่ได้ แต่มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามา แล้วฟันธงฉึบเลยว่าต้องทำไง ชั้นก็พร้อมจะหลงรักเค้าทันทีอ่ะสิแก.. เชื่อป่ะว่าชั้นเคยชอบน้องมอไซค์วินปากซอยด้วย เค้าขี่รถเก่งชิบ

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” หมิวตบโต๊ะ ขำเพื่อนจนเกือบสำลักส้มตำ โดยไม่นำพาว่าเพื่อนจะกลุ้มใจกับความชอบคนง่ายของตัวเองแค่ไหน


หมายเหตุ: เรื่องเล่าเรื่องนี้แค่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความหรรษาให้กับหัวใจในหมู่ผู้อ่าน ที่จริงผู้เขียนก็อยากจะสอดแทรกประเด็นมีประโยชน์ไว้บ้าง แต่ถ้าตอนไหนมันไม่มีโปรดอย่าคิดมาก ชีวิตนี้แสนสั้น ดังนั้นจงหรรษาเข้าไว้นะจ๊ะ

ป.ล. โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน แล้วก็อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังมากนักล่ะ

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2551

ไหว้พระ ปล่อยปลา เดินวังหลัง แล้วข้ามฝั่งไปกินโรตี


ในโบสถ์วัดชนะสงคราม

วันอาทิตย์ สองเพื่อนสาว (โสด) ทำตัวให้มีสาระด้วยการชวนกันเข้าวัด ไหว้พระ ปล่อยปลาปล่อยหอย แล้วค่อยไปชอปปิ้ง

ไหว้พระวัดระฆังยังไม่พอ หอบถุงช็อปปิ้งข้ามฟาก พากันนั่งรถเมล์ไปบางลำพู เข้าวัดชนะสงคราม ตามด้วยไหว้เจ้าแม่กวนอิมในศาลที่อยู่ติดกัน
ตกเย็นเริ่มหิว ก็หิ้วท้องไปเข้าคิวรอกินโรตีมะตะบะที่ถนนพระอาทิตย์

แต่สงสัยจะคาดหวังสูงเกินไป รสชาติอาหารเทียบกับราคาและบริการ วันนี้ ให้ได้เต็มที่
๓ ดาวเท่านั้นจ้ะ

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

เราเกิดมาทำไม

 

ไม่ผิด

ไม่ผิดที่ได้เห็นบทความนี้ในส่วนของชวนอ่าน

เพราะไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวหนังสือ ไม่คิดว่าควรจะให้หนังสือเล่มนี้กี่ดาว แค่อยากเขียนอะไรสักอย่างที่เกิดจากแรงบันดาลใจที่มาจากหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆ เล่มนี้

 

เราเกิดมาทำไมโดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ถูกวางรวมกับหนังสืออีกหลายเล่ม บนสถานีบีทีเอสสยาม สำหรับให้ใครก็ได้ ที่อ่านภาษาไทยเข้าใจ เลือกกลับไปอ่าน โดยหยอดเงินบริจาคลงตู้ 10-30 บาท ตามขนาดของหนังสือที่เลือก

 

ในบรรดาหนังสือหลายเล่ม ดิฉันเลือกเล่มนี้

 

เพราะเป็นความสงสัยมานานแล้ว ว่าเราเกิดมาทำไม?

บางคนบอกว่าเกิดมาใช้กรรม บางคนบอกเกิดมาเจอเขา เพื่อรักกับเขา.. แล้วไงต่อ? รักกับเขาวันนี้ อีกวันก็ต้องเจ็บเพราะความรักกับเขา หรือไม่ วันหนึ่งก็จะได้เห็นคนที่เรารักไม่สบาย แก่ แล้วก็จะก็ต้องทุกข์เพราะจากการสูญเสียเขา และอีกไม่นาน ก็ถึงคราวของเราเองบ้างที่จะต้องจากคนที่เรารัก และรักเรา

 

หลายครั้งที่คิดวนไปเวียนมาก ว่าในเมื่อการเป็นมนุษย์มันช่างโหดร้ายกับจิตใจ ถ้าอย่างนั้น เราจะเกิดมาทำไม อยู่ต่อไปเพื่ออะไร คนที่ป่วย ไม่สบายหนัก ทำไมจึงดิ้นรนพยายามที่จะมีชีวิตต่อ ทำไมไม่ยอมรับกฎแห่งความเสื่อม แล้วก็ยอมตายไปเสียแต่โดยดี คนอีกหลายคนจะได้ไม่ต้องออกแรงสู้เรื่อง CL ยา

(ฮ่า ฮ่า-ไม่ขำ)

 

ดีที่ได้อ่านหนังสือธรรมะที่ถูกเขียนให้อ่านง่าย จบใจความในเล่มเล็กๆ พกสะดวกเล่มนี้ เพราะว่า เริ่มจะได้คำตอบให้กับคำถามตัวเองแล้วซี

 

ขอเล่าให้ฟังกันเลยละกัน

 

เริ่มที่สิ่งที่คนหลายคนบอก ว่าคนเราเกิดมาใช้กรรมจริงหรือ?

 

พระอาจารย์มิตซูโอะเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า

"ตามธรรมดา ความปรารถนาของมนุษย์ทุกคนอยากเกิดมาสบาย สุขภาพสมบูรณ์ สติปัญญาดี ฐานะดี ครอบครัวอบอุ่น แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะมีความสมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน บางครั้งเมื่อเราประสบปัญหา มีประสบการณ์ทุกข์ เรามักน้อยใจ ท้อใจ บางคนก็สรุปเอาว่า ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม อาจารย์รู้สึกว่า ข้อสรุปแบบนี้เป็นการเข้าใจกฎแห่งกรรมในแง่ลบ ถ้าเราพิจารณาด้วยปัญญาแล้วก็ไม่ใช่

การเกิดมานั้นเป็นกรรมเก่าก็จริงอยู่ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ คือกรรมเก่า แต่พระองค์ก็ทรงสอนด้วยว่า เราเกิดมาเพื่อศึกษา 'ไตรสิกขา' ศึกษาเพื่อจะพัฒนาชีวิตจิตใจและสติปัญญาอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้ง เพื่อความดับแห่งทุกข์ อันเป็นเป้าหมายสูงที่สุดที่มนุษย์ทุกคนสามารถบรรลุได้"

(หน้า ๓๘)

 

เป็นอันว่ามนุษย์เราเกิดมาพร้อมกรรมเก่าจริง แต่ดูเหมือนว่ากรรมของเราจะเบากว่าเพื่อนร่วมโลกอย่างสัตว์อื่นบ้างจริงไหม เพราะอย่างน้อยเราก็มีแขนขา มีประสาทสัมผัส มีสมองที่เยี่ยมมากๆ เราแต่ละคนโง่บ้าง-ฉลาดบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นสัตว์โลกที่มีความคิดความอ่านนี่นะ?

 

"พระพุทธเจ้าตรัสได้ว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยาก อุปมาเหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ ๑๐๐ ปี เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ในทะเลก็มีห่วงเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าหน่อยหนึ่งลอยอยู่ ๑ ห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากเพียงใด โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์"

(หน้า ๑๐)

 

ถ้าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์กันได้ง่ายๆ ก็แปลว่าการเกิดเป็นมนุษย์มีความสำคัญนะซี?

 

"ในฐานะมนุษย์ ไม่มากก็น้อยที่ใจของเราได้มีประสบการณ์ในภพชาติอื่นๆ ทั้งที่ต่ำกว่าและสูงกว่าภพภูมิมนุษย์ เรามีปัญญาที่จะรู้ได้จากประสบการณ์ของเราแล้ว ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี การเกิดเป็นมนุษย์ถ้าดีก็ดีได้มากๆ แต่ก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะถ้าประมาทก็ทำชั่วได้มาก

ถ้าไม่ประมาท รักษาศีล ๕ ทำความดี สร้างบารมี ตั้งใจพัฒนาชีวิตจิตใจแล้ว ก็สามารถมีประสบการณ์สูงขึ้น เป็นเทวดา พรหม ตลอดจนเข้าถึงอริยมรรค อริยผล บรรลุนิพพานได้

มนุษย์ จึงเป็นชาติที่มีทางเลือก"

(หน้า ๑๔)

 

ถ้าการมีชีวิตอยู่ ระหว่างที่เรากำลังเผชิญหน้ากับความ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย หมายถึงโอกาสที่จะได้ทำความดี สะสมบุญ โอกาสที่จะได้ศึกษาธรรมะ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แล้วเราควรจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร?

 

ก็คงจะเป็นการใช้ชีวิตในแบบที่.. ไม่ต้องเสียเวลาสงสัยอีกแล้ว ว่าเราเกิดมาทำไม ชาติที่แล้วเราเป็นอะไร ชาติหน้าเราจะไปไหน

 

เพราะว่า

 

“ ‘อดีตผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ไม่ต้องไปคิดถึง

อนาคตยังมาไม่ถึง การวิตกกังวลจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลย

เรื่องของคนอื่นไม่สำคัญเท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องความชั่วของคนอื่น อย่าแบก

ตัวเราเองทำดี ทำถูก รักษาใจเป็นปกติได้ สำคัญที่สุด

 

ทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี คือใจเป็นศีล ไม่เบียดเบียน ตั้งเจตนาถูกต้อง

ไม่ยินดี คือ ไม่โลภ

ไม่ยินร้าย คือ ไม่โกรธ

รู้เท่าทันอารมณ์ คือ ไม่หลง

มีความเมตตากรุณา ต่อตนเองและผู้อื่น

(หน้า ๘๑)

 

ได้เกิดมาเป็นคนในชาติที่ได้เรียน ได้รู้จักพุทธศาสนา ซึ่งมีคำตอบให้กับปัญหาของชีวิต ได้เกิดมาพร้อมอวัยวะครบ ๓๒ ในเมื่อร่างกาย แขนขาเรายังอยู่ดี สมองมีแรงคิดเรื่องดี เจอปัญหาบ้างก็อย่าท้อแท้ ทุกปัญหามีหนทางแก้ไข ดูอย่างเก๋สิ ตอนนี้นอนเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล โอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของตัวเองจะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ แต่เก๋ยังไม่ยอมแพ้ ยังสู้ ขนาดหมอยังชมว่าคนไข้ตัวนิดเดียว แต่อึดจริงๆ

พ่อแม่เก๋ก็ยังสู้

 

เข้าใจว่าเกิดมาทำไมแล้ว พวกเราก็มาสู้ชีวิตไปพร้อมๆ กับเก๋ และครอบครัวของเก๋เถอะนะ

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551

Glenmorangie and the 5 Courses Dinner at Harvey


เขียนรีวิวไว้แล้ว โปรดคลิกไปอ่านที่
http://mandymois.multiply.com/reviews/item/22

คืนวาน มีวาสนาไปชิมซิงเกิ้ลมอลต์สก็อตช์วิสกี้ยังไม่พอ ยังมีบุญได้อร่อยกับอาหารจาก Californian Cuisine ของ Harvey (ทองหล่อ 9-โทร 0 2712 9911) อีกตะหาก

เคยไป Harvey ครั้งนึงปลายปีก่อน ตอนนั้น Harvey ก็ดังแล้วล่ะ แต่ึคงดังเทียบวันนี้ไม่ได้ ...ไปทำงานจริงๆ นะ ก็รายได้ที่มีี้ยังไม่สามารถเข้า Harvey โดยไม่มีคนเลี้ยง หรือไม่ได้ไปทำงานนี่นะ้

(sad, but true)

การไปทำงานก็คือไปทำงาน ถึงจะได้ชิมอาหาร แต่ก็ต้องรอให้ถ่ายรูปเสร็จก่อน มันก็เลยจืดชืด และเค็มกันไปตามอุณหภูมิที่ลดลง
ไหนจะอร่อยเท่ากินตอนยังร้อน เพิ่งออกจากครัว เหมือนแขกได้กิน

การไปทำงานอีกครั้ง ในรูปแบบเมื่อคืนก็เลยทำให้พูดได้ว่า เหมือนได้ "ลาภปาก"

ฺเชฟ Brandon (ขอโทษนะ จำนามสกุลมิได้แล้ว) เก่งจริงๆ อายุแค่นี้ (26-น่ารักมากๆ ด้วยขอบอก-แต่มีแฟนแล้ว เป็นเชฟเหมือนกันซะด้วย) แต่เจ๋งจริง แต่ไม่ใช่แค่ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และพิชิตความท้าทายของ Brandon (เพราะว่าเชฟคนเก่าของที่นี่เก๋ามากๆ) ดิฉันเชื่อว่าการ Support จากทีมงานในครัวของ Harvey ต้องเป็นอีกอย่างที่ปี้ก และช่วยให้ทุกอย่างเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบ

สรุปว่าอาหารดีมากๆ อยากปรบมือให้ ใครชอบอาหารฝรั่งสไตล์แคลิฟอร์เนียน (คือไม่อิตาเลียนจ๋า ฝรั่งเศสสุดๆ แต่ออกแนวอิสระตามใจฉันอย่างคนอเมริกัน) หาเจ้ามือได้แล้ว (หรือรายได้ถึง) ควรไปลองสักครั้ง

แล้วอาจจะชอบ Harvey มากๆ

ป.ล. อายใจเล็กน้อยที่คิดจะโชว์ภาพอาหารที่ถ่ายเอง โดยคุณน้ำส้ม (ชื่อกล้องถ่ายรูปของดิฉันเอง) แต่ด้วยความรู้คุณ Harvey จึงอยากจะช่วยโฆษณาสักนิด หวังว่าภาพเหล่านี้จะไม่ทำให้คนเข้าใจ Harvey ผิด (ว่าทำอาหารไม่น่ากิน) นะจ๊ะ

Glenmorangie Single Malt Scotch Whisky: คำสารภาพของสาวนักดื่ม(ซะเมื่อไหร่)

Rating:★★★★★
Category:Other
ไม่ใช่นักดื่ม เลยไม่เคยรู้ว่าสก็อตช์ที่ดีเป็นยังไง และควรจะดื่มอย่างไร
จนเมื่อวาน จำต้องไปทำงาน งานทำให้ได้ไปมีเอี่ยวอยู่บนโต๊ะที่เขาจัดให้มีการชิมรส Glenmorangie (อ่านว่า เกล็นมอแรงจ) Single Malt Whisky

โลกทรรศน์เกี่ยวกับวิสกี้ของดิฉันก็จึงเปิดขึ้นเป็นครั้งแรก...

อันว่าวิสกี้นั้น จำแนกได้หลายแบบ ดูจากการเขียนก็ยังมีให้เห็นทั้ง Whisky และ Whiskey
การเขียนต่างกัน สื่อสารต่างกันนะคะ

Whisky หมายถึงสก็อตช์วิสกี้ที่ทำการหมักบ่มในสก็อตแลนด์เท่านั้น
ส่วนไอริชวิสกี้ และวิสกี้ที่ผลิตในอเมริกา (เรียกอีกอยางว่า Bourbon-เบอร์เบิ้น เช่น แจ็ค แดเนียลส์) รวมทั้งวิสกี้จากประเทศอื่นๆๆๆๆๆๆ ที่ไม่ใช่สก็อตแลนด์ จะเขียนด้วยตัวสะกด Whiskey
เพิ่ม e มาอีกตัวเพื่อบ่งบอกชั้นวรรณะให้ชัด ว่างั้น

ทีนี้ก็มาถึงการจำแนกประเภท หลายคนคงจะเคยได้ยินศัพท์แสงประเภท single malt, blended มาบ้าง คำศัพท์พวกนี้แหละ ที่บอกประเภท และความ pure ของวิสกี้

บทความใน "http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=5643">http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=5643 เล่าเกี่ยวกับวิสกี้ไว้ว่ามันแบ่งประเภทเป็น

1) Malt Whisky มาจากการหมัก malt ข้าว barley แล้วกลั่นในหม้อทองแดง (copper pot still)

2) Grain Whisky มาจากการผสม grains (ธัญพืชต่างๆ) แล้ว กลั่นไปเรื่อยใน patent still

ส่วนการ blended ก็คือการนำ Grain Whisky มาผสมกับ Malt Whisky
ตัวอย่างของ Blended Whisky มีเยอะเลย นักดื่มบ้านเรารู้จักกันดีซะด้วย ก็พวก Johnny Walker Red Label, Black Label รวมทั้งของแพงอย่าง Blue Label ด้วย

อย่างไรก็ตาม คนทำสก็อตช์วิสกี้มองว่าการ blend นั้นเหมือนการจับแพะชนแกะ จะเบลนด์ให้ได้รสชาติโดดเด่นสู้ของจริงเดี่ยวๆ เป็น malt ที่ได้จากข้าวบาร์เลย์โดดๆ ไม่ได้ถูกนำไปปนกับอะไรอย่าง Single Malt Whisky นั้น คงจะเป็นไปได้ยาก คนสกอตช์จึงถือว่า Single Malt Whisky เป็นที่สุดของที่สุดแล้ว เพราะให้รสชาติและกลิ่นที่ pure ที่สุด

โชคดีจัง เพราะที่ได้ไปชิมมาเมื่อคืน เธอคือ Single Malt Whisky นี่แหละ

คุณ Glen เธอมี 3 รุ่น คือ The Original, The Lasanta แล้วก็ The Quinta Ruban

แบบออริจินัลนั้น เขาเล่าว่าผ่านการหมักบ่มนานถึง 10 ปี จนได้วิสกี้สีอำพันที่มีกลิ่นมากกว่า 26 กลิ่น แตกต่างกัน โดยมีกลิ่นดอกไม้ และผลไม้สุกเป็นหลัก

ในการชิมวิสกี้ เขาจะใช้แก้วก้านทรงคล้ายแก้วไวน์ เพื่อป้อนกลิ่นสู่จมูก รูปร่างของแก้วก็เหมือนอย่างในรูปนี้แหละ เขาจะปิดฝาจอกเล็กๆ เอาไว เมื่อจะเริ่มชิมก็ต้องดมเสียก่อน

ออริจินัลหอมจริงๆ แหละ เป็นกลิ่นวอร์มๆ ที่นุ่มนวล บอกไม่ถูก และดูเหมือนว่าจมูกจะแว่วๆ กลิ่นดอกไม้และผลไม้ตามที่เขาบอก พอลอมชิมแล้วก็รู้สึกช็อกกับแอลกอฮอล์ 40 ดีกรีในวูบแรก แล้วความรู้สึกร้อนๆ ซ่าๆก็เริ่มขึ้น หลังจากกลืนก็รู้สึกกำซาบติดอยู่ที่โคนลิ้นนานมาก เป็นรสที่หวาน ชุ่มคอจริงๆ

โอวว์ ซิงเกิลมอลต์วิสกี้เป็นอย่างนี้เอง

การชิมออริจินัลสเต็ปต่อไป เขาแนะนำให้ลองเติมน้ำเปล่าประมาณ 1 ช้อนชา เขย่าให้เกิดมูฟเม้นท์ ทีนี้ดมกลิ่นอีกที แล้วก็ชิม ดิฉันพบว่า ดิฉันชอบความรู้สึกจากแบบแรก คือโซโล่ ไม่ผสมน้ำมากกว่า

เป็นการค้นพบที่น่าประทับใจจริงๆ

แบบที่ 2 ของคุณ Glen คือ The Lasanta แก้วนี้เธอถูกบ่มเพิ่มจากออริจินัลอีก 2 ปี ใน Sherry Cask หรือถังบ่มที่เคยใช้บ่มเหล้าเชอรี่ของสเปนมาก่อน จึงมีสี Deep Gold เข้มขึ้นมาจากออริจินัล

กลิ่นของคุณ Lasanta สตรองกว่าออริจินัลอย่างเห็นได้ชัด ก็เธอมีดีกรีถึง 46 ได้กลิ่นแล้วหยุดกึกเลย หอมผลไม้สุกชัดกว่า แล้วก็เหมือนจะมีกลิ่นของอบเชยหรือซินนามอนด้วย

รสชาติของเธอแน่นอนว่าเป็นความเผ็ดร้อน เค้าว่าเผ็ดเหมือนขิง ออกจะซ่า ขึ้นจมูก และยังทิ้งรสอยู่ในลำคอเป็นเวลานาน เรียกว่ามีคุณสมบัติของซิงเกิลมอลต์วิสกี้ที่ดีเช่นเดียวกับคุณออริจินัล

แบบที่สาม คือความรักที่ถูกเลือก เธอมีนามว่า The Quinta Ruban เกิดจากการนำคุณออริจินัลมาบ่มเพิ่มอีก 2 ปี ในถังไวน์พอร์ต หรือ Port Cask จึงได้สีทองเข้มออกชมพูนิดๆ แถมยังมีกลิ่นกุหลาบแทรกอยู่ในสารพัดกลิ่นที่จมูกจับได้ด้วย เป็นเหล้าที่ไม่ใช่แค่ห่างไกลจากความเหม็นนะ ต้องบอกว่าหอมมากๆ ถึงจะถูก

รสชาติของคุณ Quinta ทำให้นึกถึงความหวานละไมของวานิลลา มีส่วนของช็อกโกแลตดำ แล้วก็ทิ้งความหวานชุ่มคอไว้อีกนาน ถ้าเทียบกัน ต้องบอกว่า Lasanta คือรสชาติดุเดือดที่ออกไปทางเผ็ดร้อนชัดๆ แต่คุณ Quinta นี่จะเป็นรสชาติที่เข้มข้น ชัดเจน ที่มาจบลงตรงความหอมหวานอ้อยอิ่งอาลัยในลำคอ

....ของดีเป็นงี้เอง


วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551

ตอบ TAG หนูนา


สงสัยเหมือนกันว่าใครเป็นคนคิดคำถาม TAG พวกนี้

ถามกันแบบนี้จะล้วงความลับอะไร หรือแค่อยากจะรู้ว่าคนตอบสติดีหรือสติแตก

ฮ่าฮ่า

แต่เมื่อหนูนาส่ง TAG มาให้ คนว่าง่ายอย่างพี่ก็จะตอบให้จ้า

 

1. วันนี้วันที่เท่าไหร่

       ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

2. กี่โมงแล้ว

       ๒๒.๒๔ น.

3. ชื่อเล่น

       ม้อย-ม้อยเป็นภาษาจีนแคระ แปลเหมือนคำว่า หมวยในภาษาแต้จิ๋ว

4. ตอนนี้ใช้โทรศัพท์ยี่ห้ออะไรอยู่

       LG

5. รุ่นอะไรเหรอ

       KG ๒๐๐ เหมือนหนูนา (แต่ป่าวเลียนแบบ) เลือกเพราะคิดว่าคุ้มสุดๆ ราคาถูกโคตร ของแถมเพียบ จะบอกให้ว่าเรียกเข้าเพราะมาก  อีกอันคือ Panasonic  X๒๐๐

 

6. เสียงเรียกเข้าที่ใช้ตอนนี้ล่ะ

       เพลงจากไฟล์ MP๓ (เขียนงี้แล้วดูประหลาดเนอะ) ตอนนี้ใช้เพลง Lovefool ของ The Cardigans

(ที่เค้าร้องว่า…..Love me love me

Say that you love me

Fool me fool me

Go on and fool me….)

7. เพลงที่อยากให้เป็นเสียงเรียกเข้ามากที่สุ

            ความเจ็บปวด ของปาล์มมี่ (ซึ่งยังไม่มีไฟล์)

8. เพลงใหม่ที่สุดเท่าที่ฟังตอนนี้

       สงสัยจะเป็นเพลง ผู้ชายห่วยๆ” (ชื่อประมาณนี้) ของเจ้ช่า ได้ยินตอนไปกินข้าวเที่ยง

9. เล่นเครื่องดนตรีอะไรเป็นมั่ง

       เล่นไรไม่เป็นสักอย่าง แต่เด็กๆ เคยเรียนจะเข้นะ ขอบอก

10. คิดว่าตัวเองเล่นเก่งไหม

       ก็บอกแล้วว่าเล่นไม่เป็น

11. ดารานักร้องที่คิดว่า look ดีที่สุดในสายตาคุณ

          STING, BB KING แล้วก็ Clapton ดาราชอบ Clive Owen กับ Jamie Foxx

12. สไตล์การแต่งตัวของคุณ

       แล้วแต่ว่าวันนั้นองค์ไหนจะประทับ

13. ถ้าไม่มีของสิ่งนี้แล้วจะไม่ยอมออกจากบ้านไปไหนเลย

       okane

14. ในกระเป๋าตังค์ใส่อะไรไว้บ้าง

       สลิปเอทีเอ็ม เงิน รูป บัตรต่างๆ นามบัตรสำรอง

15. คำพูดที่ติดปากที่สุด

       แบบว่า...

16. ปีใหม่ที่ผ่านมาไปเที่ยวไหนมา

       จำไม่ได้แล้วอะ

17. อาหารที่กินได้ไม่มีวันเบื่อ

       ข้าวไข่เจียว

18. เกมที่คิดว่าตัวเองถนัดที่สุด

       Game of Love (ฮิ)

19. เกมที่เล่นประจำตอนนี้

       ไม่ค่อยเล่น ส่วนใหญ่จะเอาจริงเลย

20. เพื่อนที่สนิทที่สุดคือ

       ไม่บอก เดี๋ยวมีคนน้อยใจ

21. อยากบอกอะไรกับเค้า

       ดีใจที่มีแก(เอ็ง)เป็นเพื่อน

22. เป้าหมายตอนนี้

            ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เลิกทุกข์กังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

23. ขับรถเป็นไหม

       ไม่อะ นั่งเป็นคุณนายอย่างเดียว

 

24. แล้วตอนนี้มีรถขับอยู่หรือป่าว

       ขับไม่เป็นจะมีไว้ให้เช่าหรอ

25. รถยนต์ที่อยากเป็นเจ้าของที่สุด

       ยุคนี้ต้องพลังงานสะอาด ขอจักรยานเสือภูเขาดีๆ สักคัน สำหรับการปลดปล่อยตัวเองจากความเครียด แล้วก็เอ็นจอยกับธรรมชาติ (ไม่ขี่ในกทม. แน่นอน) 

26. เครื่องดื่มที่โปรดปรานเป็นอันดับแรก

       โค้กเท่านั้น แต่ถ้าให้เลือกดื่ม ขอน้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล

27. สูบบุหรี่ไหมอ่ะ

       ไม่

 

28. ร้านตัดผมร้านประจำ

       ร้านพี่หมู วังหลัง เค้าเข้าใจธรรมชาติผมดิฉันดี ตัดแล้วเกิด แต่ไม่ได้ไปตัด ๓ เดือนได้แล้ว

29. ร้านอาหารที่ทานประจำ

       ถ้าประจำหมายถึงความสม่ำเสมอ ก็คงจาเป็น มาม่า Oriental รสกิมจิ T T

30. เวลาอยู่ที่ทำงานว่าง ๆ จะทำอะไร

       เม้าท์แตก ไม่ก็นั่งทำงานฝีมือ (...อะไรน่าเชื่อมากกว่ากัน?)

31. เวปไซต์ ที่ต้องเข้าเวลาเล่น อินเตอร์เนต

       ตั้ง www.thairath.com เป็นหน้าแรกที่เข้า IE ต้องอ่านคุณหลีกับคัทลียาก่อน แล้วก็เปิด Gmail (ก่อน outlook เช็คเมล์ออฟฟิศซะอีก) ดูความเคลื่อนไหวใน Multiply และถ้าวันไหนเข้า google.co.th ไม่ได้ วันนั้นจะง่อยมาก

32. แอบปลื้มใครอยู่หรือป่าว

       จะเหลือหรอ?

33. ทำไมถึงปลื้มเขาล่ะ

       I love you for sentimental reasons.... คำเดียวว่า โดน

34. เคยหาเพื่อนทางจดหมายหรือป่าว

       คงจะเคย

35. แล้วเคยหาเพื่อนทาง อินเตอร์เน็ต

       อือ เคยเล่น Thaimate.com ด้วย

36. ถ้าสามารถขอของวิเศษจากโดเรม่อนได้อย่างนึงจะขออะไร

       โดเรม่อนมีของวิเศษสร้างสันติภาพไหม?

37. การ์ตูนเรื่องที่ติดอยู่ตอนนี้

       NANA รออยู่เมื่อไหร่จะได้อ่านเล่ม ๑๗

38. ชอบทานก๊วยเตี๋ยวเส้นอะไร

       เส้นใหญ่ มันนิ่มปากดี

39. ห้องนอนติดโพสเตอร์ของดาราบ้างหรือป่าว

       ไม่อะ แต่มีโปสเตอร์จากปกซีดีกับรูป Jamie Foxx ที่ตัดมาจากนิตยสาร OK! ติดอยู่บนตู้เย็น

40. หนังเรื่องที่ดูเรื่องล่าสุด

       the Kite Runner หนังดีนะ

41. แล้วหนังสนุกไหม

       มาก

42. อยากเรียนต่อด้านไหน

       เคยอยากเรียนเศรษฐศาสตร์ (บ้าเนอะ) แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นปรัชญากับจิตวิทยา

43. แล้วอยากเรียนต่อที่ไหนล่ะ

       ญี่ปุ่นมั้ง คิดว่าประเทศญี่ปุ่นมีอะไรน่าเรียนรู้มากกว่าวิชาในมหาลัย

44. เรื่องที่รู้สึกแย่ตอนนี้

       นอกจากเรื่องสงสารน้องที่ออฟฟิศที่อยู่ในโรงพยาบาลแล้วก็เหมือนจะไม่มีเรื่องอะไร

45. เวลาไปทำงาน ไปยังไงอ่ะ

       รถสองแถว-บีทีเอส-เดิน วันไหนสายจะเปลี่ยนเป็น มอเตอร์ไซค์(วิน)-บีทีเอส-มอเตอร์ไซค์(วิน)

46. ปกติแล้วใช้น้ำหอมอะไรอยู่

       Calvin Klien Eternity, Christian Dior Fahrenheit, Joop All about Eve, รามรัมภา ของร้านภูฟ้า (ถามทำไมเนี่ย)

47. แล้วเรื่องความรักตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างอ่ะ

       รักทุกคน แต่ตอนนี้ไม่มี คนรัก

48. ภาษาที่อยากพูดได้มากที่สุด

       สเปน แต่ที่อยากฟังเข้าใจคือ ญี่ปุ่น

49. คิดยังไงกับนิยามรัก

       ถ้าคิดจะนิยามความรัก ก็ควรนิยามให้แฟร์ๆ หน่อย

50. ตอนอาบน้ำร้องเพลงด้วยหรือป่าว

       รู้สึกจะไม่

51. คิดว่าการแต่งงานขึ้นอยู่กับอะไร

       ความอยากมั๊ง ก็ถ้าไม่อยาก จะแต่งไปทำไม

52. บอกรักครั้งสุดท้าย กับใคร เมื่อไหร่

       จำไม่ได้ คนฟังเค้าก็คงไม่ได้จำเหมือนกัน

53. แฟนนอกใจจะทำยังไง

       ลบเขาออกไปจากชีวิต (เหมือนใน Eternal Sunshineฯ)

54. ถ้าคุณเป็นนกจะบินไปไหน

       ไม่ชอบสัตว์ปีกอะ ขอเป็นหมาได้ป่าว?

55. ถ้าโลกเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมอยากอยู่ส่วนไหนของโลก

       อยู่ริมๆ โลก

56. เบอร์มือถือลงท้ายด้วยเลขอะไร

       ๔ กับ 

57. ชอบวิชาอะไร

       ภูมิศาสตร์ เพราะมันทำให้เราเข้าใจธรรมชาติ แต่ได้เรียนตัวเดียวเอง

58. หาก ขา ไม่ใช่อวัยวะที่คุณเดิน คุณคิดว่าจะใช้อะไรเดินแทนขา

       อาจต้องกลิ้งแทนเิดินนะนั่น

59. คนรักที่คบตอนนี้เป็นอย่างไร

       อยากตอบจัง

60. วันนี้กินอะไรไปแล้วบ้าง

       กินหลายอย่าง แต่ที่ประทับใจคือ ขนมปังโฮลวีทป้ายน้ำพริกเผาลำใยแผ่นนึง อีกแผ่นป้ายเนยถั่ว แล้วก็แคบหมูแบบมีมัน น้องเอามาฝากจากเชียงใหม่

61. เพื่อนอกหักจะปลอบใจว่ายังไง

       ชั้นรักแกนะ (ทั้งที่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าปลอบอย่างนี้จะดีไหม)

62. ถ้าลมพัดสิ่งหนึ่งออกไปจากชีวิตคุณได้ จะให้พัดอะไรไปอ่ะ

       อคติ

63. ถ้าเพื่อนแย่งแฟนคุณไปทำไง

       ยกให้ จะดีใจ ถ้าเพื่อนและแฟนพบคนที่ "ใช่"

64. หนังสือที่ชอบอ่านคือหนังสืออะไร

       หมายถึงแมกกาซีนใช่ปะ ชอบ Penthouse, ขวัญเรือน, สารคดี, มติชนสุดสัปดาห์ จริงๆ มีอะไรก็อ่านนะ ถ้าเป็นของฟรีชอบอ่านหมดแหละ

65. ถ้าคุณทำผิดคุณจะขอโทษด้วยคำพูดแบบไหน

       คำพูดน่ะ แล้วแต่ว่าพูดกับใคร ขอโทษเรื่องอะไร แต่ถ้าตั้งใจจะขอโทษก็จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ ขอโทษจริงๆ

66. ขอเนื้อเพลงที่คุณชอบที่สุด

       เธอ เธอเคยเป็นทุกสิ่ง

จะขอขอบคุนทุกอย่าง

ที่เคยให้ฉันจนวันนี้

67. อยากไปเที่ยวที่ไหนตอนนี้

       บาหลี

68. อยากจะบอกอะไรกะคนที่คุณจะส่ง เมล์ไปให้

       รักคนอ่าน

69. ส่งให้เพื่อน 7 คนมีใครบ้าง

       กว่าจะตอบหมด ๗๐ ข้อยังเกือบเป็นลม ไม่ส่งให้ใครละ ใครอยากทำมั่งก็ทำมาแล้วกัน

70. เขาแต่ละคนเป็นแรงบันดาลใจให้คุณในเรื่องไหนบ้างถึงส่งให้เขาอ่ะ....

            .....ความลับ