วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คำถามที่ยังไม่ได้ตอบ

 

“..ยังรักกันอยู่ไหม?”

เขาถามมาตามสาย

 

ทั้งๆ ที่ควรตอบรับ

แต่ฉันตอบกลับเพียงเสียงหัวเราะ

เพราะไม่รู้ว่าเขาถามเพื่ออะไร

เพื่อที่จะได้ครอบครองฉัน

หรือแค่ถามไปอย่างนั้น

 

ทั้งๆ ที่ต้องการมีเขา

ทั้งๆ ที่ก็เหงาเหมือนกัน

แต่ฉันยังไม่แน่ใจ

จะทนได้ไหม ชีวิตที่มีใครครอบครอง

 

ถ้าฉันตอบรับให้กับคนที่แค่อยากรู้

แต่ไม่ต้องการครอบครอง

ต่อไป ฉันจะกลายเป็นอะไรในสายตาเขา

คิดไม่ถึง นึกไม่ออก

 

ด้วยเหตุนี้

ผู้หญิงโง่อย่างฉันจึงไม่มีคำตอบให้คำถามของเขา



รัมสมุย-ของเค้าดีจริง!



ทั้งออริจินัล คืออ้อย
กลิ่นส้ม สับปะรด มะพร้าว (อันนี้หอม mild มาก) มะนาว (อันนี้ออกเปรี้ยวนิดหน่อย)

ที่ทุกคนซื้อกลับมาคือแบบ Natural หรือกลิ่นอ้อย

เออ ทุกคนซื้อ Syrup ของเขามาด้วยนะ เขาผสมไว้ได้รสดีมั่ก

ศุกร์ที่ ๒๙-อาทิตย์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒-ไปทำงานที่เกาะสมุยมา

คืนแรก มีปาร์ตี้ที่โีรงแรมที่ไปทำงาน (Shasa Hotel-แหลมเส็ด)
ได้รับการคะยั้นคะยอให้รู้จักกับรัมสมุย (๔๐ ดีกรี)
ว่ากันว่า รัมทั่วไปกลั่นมาจากกากอ้อย แต่รัมสมุยกลั่นมาจากน้ำอ้อย
ฉะนั้นจึงมีกลิ่นหอม จิบแล้วชุ่มคอ

ดมแล้วก็หอมจริง ได้จิบค็อกเทลที่โรงแรมนำเหนอ ก็ทั้งชุ่ม ทั้งหอมน้ำอ้อย
ได้ยินคนแนะนำบอกสถานที่ผลิตนั้นอยู่ไม่ห่างไกลจากโรงแรม
จึงเกิดความสนใจใครรู้เป็นที่ยิ่ง จัดการส่ง sms บอกเพื่อนปกรณ์ บอกชื่อ บอกเบอร์
ปกรณ์จัดการคุยให้เสร็จสรรพ แล้วก็มารับอิฉันกับพี่หมีไปเยือนแหล่งผลิตในวันอาทิตย์

ซึ่งหลังจากเราฟังเลคเชอร์ของมาดาม (Elisa Gabrel) เจ้าของไอเดียและโรงงาน (คงเป็นอื่นไปไม่ได้) และชิมเหล้าที่มาดามนำเหนอ

เราสามคนก็จัดการสอยรัมสมุยมาตามแต่กำลังทรัพย์ของแต่ละคน

ก็ของเค้าดีจริงนี่ค้า





หมายเหตุ อยากรู้จักรัมสมุย คลิกไปที่ www.rhumdistillerie.com
มาดามเอลิซ่ามีบ้านให้เช่า ๓ หลัง อยู่ในโรงงานที่มีสวนมะพร้าวสวยๆ อยู่ข้างหน้าของแก (แอบเห็นสระว่ายน้ำด้วย) ใครอยากไปอยู่สมุยสงบๆ ที่นี่ก้อน่าสนนะฮ้า
มอตะไซค์ให้เช่าที่นั่นคันละ ๑๐๐ บาท/วันเอง

รูปแก้คิดถึง



..ผอมได้อีก

กับกระจกห้องสมุด AQIQ
โีรงเรียนวัดประเดิม

ห้องสมุดที่โรงแรม Shasa เป็นสปอนเซอร์




ศุกร์ที่ ๒๙-อาทิตย์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒-ไปทำงานที่เกาะสมุยมา

เอ่อ..กลัวจะไม่มีรูปถ่ายที่เกาะสมุย (ก็พี่หมียังไม่มีอารมณ์)
ก็เลยตะบี้ตะบันถ่าย self-portrait มาทุกครั้งที่มีโอกาส

ดูกันขำๆ แก้คิดถึง (ถ้าคิดถึง) ละกันนะจ๊ะ





mission completed!





ศุกร์ที่ ๒๙-อาทิตย์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒-ไปสมุยมา
ไปสมุยคราวนี้ไปทำงาน แต่แอบมีภารกิจส่วนตัวนิดหน่อย

ซึ่งก็ได้กระทำสำเร็จแร้ว ดังภาพ



(อิ-อิ)

หมายเหตุ ไปพิศหินตาใกล้ๆ ในวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
(โดยไม่ได้สนใจจะเดินลงไปดูหินยายเลย..แม้แต่น้อย)

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ขึ้นภูสี






ภูสีเป็นภูเขาเล็กๆ สูงประมาณ ๑๐๐ เมตร ตั้งอยู่ตรงตำแหน่งใจกลางเมืองหลวงพระบาง บนยอดประดิษฐานพระธาตุจอมพูสี ซึ่งเป็นพระธาตุองค์ที่สำคัญที่สุดของเมืองหลวงพระบาง
เมื่อเวลาใกล้มาถึงหลวงพระบางแ้ล้ว (สมมตินะ สมัยก่อนเค้าจะมากันทางน้ำ) ได้เห็นพระธาตุแต่ไกลก็ดีใจได้ว่า จะถึงหลวงพระบางแล้ว

เค้าว่ากันว่า มาหลวงพระบาง ถ้าไม่ได้ขึ้นภูสี ก็เหมือนมาไม่ถึงหลวงพระบาง..นะจ๊ะ

(พลาดหลายอย่าง แต่เหมือนว่าเรายังไปถึงหลวงพระบางนะ)

เราขึ้นภูสีกันเย็นวันอังคารที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒
หลังจากนั่งรถ (บางคนหลับ) ไปน่ำตกตาดกวงสีในตอนเช้า
กลับมาสลบเหมือน แล้วตื่นไปไปชิลล์ริมน้ำคานตอนบ่าย

ลงจากภูสีแล้วเราไปต่อร้านพิซซ่า
กินไคแกล้มเบียร์ลาว (อร่อยจังงังงัง)

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไปสมุยครั้งที่ ๒

Start:     May 29, '09
End:     May 31, '09
Location:     เกาะสมุย ไทยแลนด์


ไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว



(อย่าอิจฉา)

(แต่รู้อะไรไหม)
(จะได้ไปดูหินตาหินยายด้วยนะ)
(อิ อิ)

French Colonial Style





ไปเที่ยวหลวงพระบาง ๔ วัน
ได้ภาพเมืองและตึกรามหลวงพระบางมาได้นิดหน่อย

อย่างที่รู้ๆ ลาวเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
แล้วหลวงพระบางก็เคยเป็นเมืองหลวงของลาว
อาคารบ้านเรือนเก่าๆ ส่วนหนึ่งของหลวงพระบางจึงเลยถูกก่อร่างสร้างขึ้นตามความนิยมและธรรมเนียมของเจ้าอาณานิคม

อาคารส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์เหล่านี้คือส่วนหนึ่งที่่ทำให้หลวงพระบางได้รับการคัดเลือกใ้ห้เป็นเมืองมรดกโลก

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

โรงเรียนของเราน่าอยู่



อาคารทรงเฟรนช์โคโลเนียลนะยะ




โรงเรียนในหลวงพระบางดูไม่หรูหรา แต่น่าสบาย
แม้ไม่มีสนามบอลกว้างใหญ่ แต่เด็กๆ ก็ยังดูสนุกสนาน

ยูนิฟอร์มสวยอีกตะหาก

สอดแนมโรงเรียนมาได้ 3 ระดับทีเดียว

เที่ยวน้ำตกวันฝนฉ่ำ



ค่าเข้าคนละ ๒๐.๐๐๐ กีบ (ราว ๘๐ บาท)
น้ำตกแม่สาบ้านเราเก็บตังค์ฝรั่งกี่บาทเนี่ย



ตอนถึงหลวงพระบางแล้วเราเริ่มคุยกันว่าพรุ่งนี้จะไปไหน ทำไรกันดี
(ไม่ได้เตรียมอะไรไปจริงจริ๊ง-ให้ตาย)
(อิฉันน่ะ ตั้งใจจะไปชิลล์ ประมาณว่านอนกระดิกเท้าอ่านหนังสือด้วยซ้ำ)

ปกรณ์ยืนกรานว่าเราน่าจะซื้อเดย์ฺทริป ไปน้ำตก ไม่ก็ไปเรือ



งืม
งืม
งืม

เห็นพี่แกหาข้อมูลโดยการคุยกับคนขับรถจัมโบ้แถวหน้าที่พักคนแล้วคนเล่าก็เกิดเห็นใจ
ไปก็ไปวะ

(เขาเลือกไปน้ำตกกันเพราะว่าไม่สนใจจะดูคนปั้นโอ่งปั้นไหตรงจุดที่เรือจะพาไปพัก
แถมยังบอกว่าถ้ำติ่งไม่น่าสนใจอีก-ไอ้เรากลับคิดว่าไปทางนั้นมันน่าตื่นเต้นออก แต่เอาวะ เพื่อสวัสดิภาพ และสิริมงคลของการเดินทาง ว่าไงก็ว่าตามกัน)

เราไปน้ำตกตาดกวางซีกันวันอังคารที่ ๑๙ พฤษภาคม
เช้านี้ฟ้าอึมครึม พออาบน้ำ เดินไปกินเฝอ ย้ายเรือนพัก ขึ้นรถ...แล้วก็ได้เรื่องเลย
ฝนลง

ฝนลงตลอดทางไปจนถึงน้ำตก
..สวยและเย็นฉ่ำดีจัง
แต่ลื่นชะมัด


ป.ล.
-ทางไปน้ำตกนี่ ปลายฝนต้นหนาวคงสวยสุดๆ
-น่าขี่จักรยาน
-(แต่ถ้าให้ขี่เฟสสันละก้อ ขอนอนอยู่เรือนพักดีก่า)
-กวางซี (หนังสือคู่มือนำเที่ยวหลวงพระบางของศรัณย์ บุญประเสริฐ บอกว่า) หมายถึงกวางหนุ่มที่เขาเพิ่งงอกเป็นปีแรก
-(เพิ่งเห็นว่าสารคดีปรูฟผิดอีตรงนี้เอง)
-เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าอยากไปเยี่ยมหลุมศพ อองรี มูโอต์ นี่หว่า (ลืมเฉยเลย)
-(ตกลงมีกี่อย่างแล้วที่พลาด ไหว้พระม่าน/ไหว้พระธาตุหมากโม/บ้านผานม/กำไลเงินวงนั้น/อองรี มูโอต์)



(เฮ้ออออออ)

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวหลวงพระบางกับทัวร์นกขมิ้น



เมื่อคืนไม่มีทีวี



เสาร์ที่ ๑๗-อาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ไปหลวงพระบาง ได้นอนที่นั่น ๓ คืน ก็ล่อไป ๓ เรือนพัก
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เริ่มจาก วิลล่าน้ำเหนือ อยากเห็นว่ารุ่นพี่ทำวิลล่าออกมายังไง
(ไม่ยักเหมือนรูปที่เห็นๆ มาแฮะ)
แล้วก็อยากทำสปาที่นี่ด้วย (แต่ก็ไม่ได้ทำแฮะ)
มาถึงก็บอกรถตรงไปที่วิลล่าน้ำเหนือเลย
เก็บของเสร็จว่าจะรอถามคนรู้จักว่าจะเริ่มยังไงดี คนรู้จักก็ไม่ว่าง
ไม่อยากเสียเวลารอ ก็เลยมั่วออกมาเตร่สำรวจเมืองกันเอง
แล้วก็เข้าไปดูเรือนพักสำหรับคืนต่อไปอีก ๒-๓ แห่ง
จ่ายวิลล่าน้ำเหนือสำหรับห้องพัก Old Wing สำหรับ ๓ คน ไปเป็นเงิน ๒๕๕.๐๐๐ กีบ หรือราว ๑,๐๔๐ บาท

ปกรณ์เลือกพักย่านบ้านเจ็ก ที่เรือนพักทะนะบูน เพื่อที่ว่าเช้ารุ่งขึ้นเราจะได้ดูเขาใส่บาตรข้าวเหนียวกัน
ตะแรกกะเล่นเน็ตให้เปรม (ข้างล่างเป็นร้านเน็ต+ราคาเน็ตที่หลวงพระบางถูกมั่กๆ) แต่ทว่า เจ้าของเรือนพักพาเมียไปตรวจสุขภาพที่เมืองไทย เลยอดเล่นเน็ตที่นี่
จ่ายค่าที่พักที่เรือนพักทะนะบูนไป ๒๕๐.๐๐๐ กีบ หรือราว ๑,๐๑๒ บาท

เรือนพักในคืนที่สาม ได้มาโดยบังเอิญ เพราะตอนแรกกะพักที่สายน้ำคาน ซึ่งตกลงราคาไว้แล้วว่า ห้อง River View พักสามคน ได้ราคา ๓๐ เหรียญ ไม่รวมอาหารเช้า ซึ่งเราก้อไม่มายด์ เห็นว่าเรือนพักสวย แล้วจะได้แวะมาดูวิวริมน้ำคานง่ายๆ

พอจะย้ายไปพัก พนักงานที่นั่นดันเสียงแข็ง บอกว่า ๓๐ เหรียญ เป็นไปไม่ได้

เออ เป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปไม่ได้
เลยเดินออกไปถามเรือนพักติดกัน ได้ความว่าคืนละ ๓๕๐ บาท (บาทนะ) แต่เอิ่ม..ยังไม่ตัดสินใจ เดินไปเรือนพักติดกันอีกอันนึง ที่นี่ทั้งใหม่และสวย ไม่คิดว่าจะได้ ๓๐ เหรียญ
ดูห้องแล้วชอบใจมาก เป็นทวินเบด (หมายถึงมีเตียงเดี่ยว ๒ เตียง) และพื้นที่ไพศาลสำหรับคนที่สาม มีแอร์ โทรทัศน์ (น้ำเหนือไม่มีโทรทัศน์) เหมือนที่อื่นไม่พอ ที่เรือนโสภานี่ยังมีตู้เย็นด้วย!!!

ภาพเราสามคนจิบเบียร์ลาวเย็นๆ นั่งกระดิกเท้าดูละครค่ำจากไทยแลนด์ผุดขึ้นมาพลัน
มองหน้ากันแล้วพนักหน้าหงึกๆ เอามันที่นี่แหละ

ที่ไหนได้ พอกลับลงมาเจอคุณลุง คุณลุงถาม คุณน้าให้เท่าไหร่
คุณน้าให้ ๓๐ เหรียญ
ไม่ด้ายยยยยยย คุณลุงร้อง
(-___-)
คิดแค่ ๒๗ เหรียญเท่านั้น (ราว ๙๔๕ บาท)
เลยจ่ายลงไปเลย ๑,๐๐๐ บาท ไม่ต้องทอน

สบายใจ



ชีวิตริมโขง-คาน




..โดยบังเอิญ

๑๘-๐๕
๑๗.๔๘




อาทิตย์ที่ ๑๗-พุธที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒

ไปเที่ยวหลวงพระบาง เมืองชัยภูมิดี ตรงที่น้ำคานไหลมาสบกับน้ำโขงหลายวันอยู่
พบว่าแม่น้ำสองสายนี่มีเสน่ห์น่าหลงใหลจริงๆ
ทั้งๆ ที่ถ่ายรูปไม่เท่าไหร่ แต่กลับได้ภาพสวยจนน่าแปลกใจมาหลายภาพ

ถ่ายด้วยกล้อง ๒ ตัว
ขอ'นุยาดเรียงรูปตามเวลาที่ถ่ายนะฮะ



วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : แมวดำที่น้ำตก



แง๊ว...
พวกเราก็หิวนะ


แมวดำสองสามตัว
มานัวเนียอยู่ใต้ะอาหารที่น้ำตกตาดกวางซี

ตลาดเช้าเมืองหลวง




อังคารที่ ๑๙ และพุธที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒ มีโอกาสเดินชม (ซื้อของนิดหน่อย) ในตลาดเช้าหลวงพระบาง

อยากรู้ว่าประเทศชาติบ้านเมืองไหนเค้ากินอยู่กันอย่างไร ก็ต้องไปสอดแนมที่ตลาดเช้านี่แหละฮะ ของสดๆ ผักเอย ปลาเอย เนื้อเอย เขาจะนัดกันมาขายในตอนนี้

มีของหลายอย่างที่ exactly the same กับบ้านเรา
บางอย่างเหมือนที่มีขายในกาดโก้งโค้งตามบานนอกทางเหนือๆ (ก็เค้าติดต่อกันมานานแล้ว)

แต่กับของบางอย่าง ต้องบอกเลยละฮะ ว่าแปลกตาเหลือเกิน

ท ะ เ ล ที่ รั ก : ฮาเฮกับเด็กหญิงทะเล



083-6150443

ม้าน้อยขอเสนอว่าควรสั่งทีละถาดฮะ


ขอสลับอารมณ์หลวงพระบางก่อนแฟนๆ จะเอือม
ด้วยความเฮฮาน่าทะเล้นของเด็กหญิงทะเล
และของแถมอื่นๆ

เจอทะเลวันเสาร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม แล้วก็ค้างคืนด้วย (เกือบได้นอนเต็นท์แระ)
พอวันอาทิตย์ที่ ๒๔ ก็ได้ช่วยแม่ทะเลทำขนม แล้วก็พากันไปกินเอ็มเค
ก่อนจะนั่งรถไฟฟ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยากลับนิวาสถานย่านชานกรุง

เหนื่อยจัง

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ของว่างเมืองหลวงพระบาง



ที่ตู้แช่ เรือนพักทะนะบูน

จะเป็นชาม้านาว คาลปิโก โออิชิ น้ำอัดลม นม โอวัลติน มีหมดนะฮะ

สิ่งที่ไม่เห็นคือ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง



รวมรูปสารพันอาหารและเครื่องดื่มนอกมื้อหลัก

อยู่เมืองไทยดื่มอะไร ใช้ชีวิตยังไง
ดูเหมือนเราจะได้ใช้ชีวิตไม่ต่ำกว่ามาตรฐานเดิมนัก ที่หลวงพระบาง
แม้ยังไม่มีสตาร์บั๊คส์และ 7-11 (ขอไว้สักที่ได้ไหม?)
แต่หลวงพระบางยังมีขนมหลายอย่าง ของหลายสิ่ง เราเกือบไม่ได้พบเห็นแล้ว ในชีวิตประจำวันที่บางกอก

การมี(เกือบ)ทุกอย่างให้เสพ..ไม่รู้เป็นเรื่องดี หรือมันแค่ต้องเป็นอย่างนี้..ไปตามวิถีโลก


อย่างไรก็ตาม หลวงพระบางที่ได้เห็นก็เป็นอย่างนี้แหละ




Stormy Weather






ศุกร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒

ลมฝนโจมตีบางปู


มื้อเย็นที่หลวงพระบาง



เบียร์ลาวสด แค่ยืมแก้วคาร์ลสเบิร์กมาใส่น่ะฮะ

มันอร่อยเพราะรสนุ่มกว่าเบียร์ขวดกระมัง
วันแรกดวดกันแล้วคนละป๋อง รู้สึกจะขมไป

ที่วันนี้รู้สึกว่ารสชาติดีมากๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราเพิ่งลงจากพูสีด้วยกระมังฮะ?


มื้อเย็นวันที่สาม (เบียร์ ๑ เหยือก เพราะแค่นี้ก็มีคนเมาแล้ว) เป็นเงิน ๑๑๕.๐๐๐ กีบ ถูกกว่าเมื่อวานอีกนะฮะ




เช้ากินอะไร เย็นกินอะไรก็เห็นไปแล้ว
ต่อไปก็มาดูกันว่าตอนเย็นเรากินอะไร




หมายเหตุ อัลบั้มอันเนื่องด้วยการกินยังไม่จบ
ยังมีของว่างและขนมเมืองหลวงรอนำเสนอในตอนต่อๆ ไป ฮะ



วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กินกลางวันที่หลวงพระบาง



เป็นตำบักหุ่งส่วนผสมน้อย ไม่ใส่ปู ใส่ถั่ว ไม่เผ็ด แต่อร่อยมากๆ รสชาติลงตัว

กลิ่นหอมน้ำปู๋ (ใครไม่รู้จักถามเอ๋)
ไม่แน่ใจว่าใส่ปลาแดกไหม
ได้แต่กลิ่นน้ำปู๋


ตอนนี้ตรงกับมื้อเที่ยงพอดี
งั้นเอารูปอาหารกลางวันที่เรากินกันมาไปชมละกันนะ พี่น้อง

อาหารเช้าที่หลวงพระบาง



แผงนี้อยู่ข้างร้านกาแฟประชานิยม
แต่ขอบอกว่ารสชาติข้าวจี่ร้านนี้สู้คุณน้องในตลาดวันก่อนหน้านี้ไม่ได้

โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบกินหมูหยองในแซนด์วิชฮะ

ข้าวจี่ร้านนี้ี่ ๒ ชิ้น เป็นเงิน ๒๐.๐๐๐ กีบ หรือประมาณ ๘๐ บาท แพงซะด้วย


ระหว่างวันอาทิตย์ที่ ๑๗-พุธที่ ๒๐ เป็นเวลา ๓ เช้า ที่เราอยู่ในหลวงพระบาง
ได้กินอาหารเช้าไม่ซ้ำสไตล์
อาหารเมืองหลวงพระบางมีความละม้ายคล้ายคลึงกับอาหารไทยๆ ที่เรากินกัน
คือกินข้าวเหมือนกัน ปรุงรสด้วยพริก แต่ไม่เผ็ดจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล ใช้ตะไคร้ ใบมะกรูด น้ำต้มกระดูกหมู (เท่าที่สังเกต ท่าทางคนหลวงพระบางจะชอบซอสพริก-จากบ้านเรา-เอามากๆ) มีการใช้กระเทียมบ้าง (แต่ไม่ถึงกับใช้ยันเตเหมือนอาหารไทย)
คราวนี้ไม่เจออาหารเผ็ดจนปวดท้อง แล้วก็ไม่ได้ใส่ผงชูรสมากจนลิ้นปร่าอย่างที่นึกๆ ไว้

ได้พบเจอแต่อาหารอร่อยถูกปาก ถูกสตางค์ ทริปนี้จึงจัดว่าเป็นทริปที่มีโชคทางการกินอีกทริปหนึ่ง
^_^

จัดให้ชมอาหารเช้าก่อนละกันฮะ

เรดาร์แมว : ทักทายแมวขาวใหญ่-ริมโขง



นั่งหลบแดดอยู่ตัวเดียว




จันทร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒

วันที่สองในหลวงพระบาง
เราเช่าจักรยานขี่ชมเมืองกัน ตอนเที่ยงๆ ร้อนมาก ฝนก็จะตก
ปั่นเลียบแม่น้ำคาน มาอ้อมปากคาน (=จุดที่แม่น้ำคานไหลออกแม่น้ำโขง) จากนั้นถนนสายนี้ก็กลายเป็นเลียบโขงไป

ก่อนจะปั่นเรื่อยเฉื่อยผ่านไป ก็ต้องหยุดหน้าวัดเชียงทอง
ทักทายกับแมวขาวใหญ่ทั้ง ๔ ตนนี้ซะก่อน

ช่างเป็นแมวที่หน้าตาน่ารักจริงๆ
^_^

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แสนสบาย-ไปหลวงพระบางกับบางกอกแอร์ (ขากลับ)



ที่สนามบินสุวรรณภูมิ




ขาไปแดดแจ่ม สดใส เห็นภาพสวยๆ ข้างล่างมากมาย
ขากัปตันพาบินผ่านดงเมฆ(ฝน)
มันอึดอัดๆ ไงไม่รุ
ถึงบางกอกตอนฝนกำลังตกเลยเชียว
รันเวย์งี้ น้ำฉ่ำ เล่นเอาหัวใจเต้นตอนแลนดิ้งกลางทะเลสาป

มองไปอีกทาง เจอเครื่องบินโบอิ้งลำใหญ่กำลังแท็กซี่เตรียมจะเทคออฟ
เห็นล้อเครื่องบินรีดน้ำออกข้างหลังยังกะสกูตเตอร์ยักษ์แน่ะ

เป็นอันว่ากลับมาแล้วนะฮะ



บินวันฟ้าใส




เพราะว่าบินไปในวันที่ท้องฟ้าเมืองกรุงเทพฯ หมาดฝน
(กัปตันบอกว่าเมฆรออยู่ที่หลวงพระบาง)
บินกลางวันแสกๆ (เครื่องขึ้น ๑๑.๔๐ น.)
และเพราะบินไปกับเครื่องบิน ATR 72-500 เครื่องบินเล็ก ใช้ใบพัด ขนาด ๗๐ ที่นั่ง
ที่มีเพดานบินจำกัดอยู่ที่ ๒๕,๐๐๐ ฟิต
ทำให้เราได้เห็นโลกข้างล่างไม่ใกล้-ไม่ไกล

ได้เห็นภาพน่าประทับใจมากมายเลยเชียว


จึงได้เห็นภาพประทับใจ

แสนสบาย-ไปหลวงพระบางกับบางกอกแอร์ (ขาไป)



เป็นข้าวหอมสุโข ข้าวอินทรีีย์ที่บางกอกแอร์ให้การสนับสนุน ผ่านโครงการเกษตรอินทรีย์ สนามบินสุโขทัย

ข้าวอร่อยฮะ เม็ดป้อมๆ เหนียวหน่อย

แกงกะหรี่ไก่ (เรียกเอง เพราะหอมผงกะหรี่จัง) รสชาติดี แต่อาจจะเผ็ดนิด สำหรับฝรั่ง



..ตั้งชื่อซะโปร แต่อย่าหาว่า่โปร
นี่เป็นแค่บันทึกการเดินทางไปหลวงพระบางครั้งแรก
ไปวันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒
กลับวันพุธที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ด้วยตั๋วแพ็คเกจที่ถูกที่สุดในรอบปี คือ
ไป-กลับ รวมแล้วทั้งหมด จ่ายแค่ ๖,๘๐๐ บาทต่อคนฮะ

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เงาโคม






เสาร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒

รูปชุดนี้เป็นรูปหลงฮะ

เป็นโคมโครงหวายที่จะเกิดเงาสวยเมื่อเปิดไฟ
ชมของจริงได้ที่ยายย่ารีสอร์ต หัวหิน (อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี) ฮะ

^_^

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ดอก (มะละกอ) ตัวผู้






เสาร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒

เมื่อคืนอัพรูปเต่า ทำเอาหลายคนสะเทือนใจ
วันนี้เปลี่ยนใหม่
มาดูดอกมะละกอตัวผู้กันดีกว่า

วันหนึ่งในหลายวันที่กลับบ้านเมื่ออาิทิตย์ที่ผ่านมา กำลังเคลิ้มๆ ฝันว่ามีแมวอ้วนทับอก
แม่ก็มาปลุก ถามว่าม้อยเคยเห็นดอกมะละกอไหม

(ทำไมจะไม่เคย)
แล้วดอกตัวผู้่ล่ะ?
(หือ? มีตัวผู้ตัวเมียด้วยหรอ)

แม่เลยพาไปอวด
หลังบ้าน ตรงที่รกๆ มีมะละกอต้นยังเล็ก สูงแค่สะโพก
กำลังออกดอกแปลกตา แม่บอกว่ามะละกอต้นนี้มีดอกตัวผู้ มันจะไม่สามารถติดลูกให้เรากินได้

แม่ว่า ตอนสาวๆ ชอบดอกมะละกอ(ตัวผู้)มาก
(แม่อิฉันเป็นสตรีที่เป็นสตรีมากๆ)
อยากได้...แต่ก็ไม่รู้จะทำไง

..ต้องรอจนแก่ มันถึงได้มาขึ้นที่หลังบ้านอย่างนี้




เพิ่มเติม: จริงๆ แล้วมะละกอแต่ละต้นอาจเป็นได้ทั้งดอกตัวเมีย ตัวผู้ แล้วก็ดอกกระเทย ไม่เชื่ออ่านนี่ดิ http://www.sema.go.th/files/Content/Technic/k4/0005/bot_04-2.html

ส บ ต า กั บ เ ต่ า



ไม่รู้คิดถึงแฟนหรือคิดถึงมาม่า


ศุกร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒

เคลียร์การ์ด (เผื่อจะไม่ต้องซื้อเพิ่ม) เลยไปเจอรูปเซ็ตนึงที่คิดจะเอามาฝากกันตั้งนานแล้ว
เต่าพวกนี้ไปเจอที่ตลาดคลองสวนตั้งแต่วันปีใหม่

น่าสงสารไหมล่ะ
หวังว่าเค้าใส่กะละมังไว้รอคนซื้อไปปล่อย
...ไม่ใช่ซื้อไปแกง

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คำคม#๒๑






ฉันรักคุณเพราะฉันไม่รักตัวเอง






พนิดาตำหนิตัวเองผ่านจดหมายถึงชายเจ้าชู้ที่มีภรรยาอยู่แล้วถึง 4 คน
จาก "จดหมายรักยาขอบ"
สำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม




Rib & Chop : ร้านอร่อยย่านพระรามห้า



ไปถึงตอนร้อนมากๆๆ
เลยได้น้ำแตงโมปั่น และขนมรับขวัญจากคุณเชฟ

เนื้อเนียน หวานกำลังดี แต่ตัวขนมหอมมากๆ เลย

(ลืมถามว่าใส่อะไรเป็นพิเศษ)



จันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2552

มีนัดที่ร้าน Rib & Chop
คุณโอมเชฟร้านนี้น้าตาหล่อเหลาเอาการ สมกับน้องเอ๋สาวสวยผู้เป็นภรรยาที่สุด
สองคนช่วยกันทำร้านอาหารฝรั่งและฟิวชั่นสไตล์โรงแรม แต่ในราคาเป็นกันเอง
ในเมนูมีให้อร่อยทุกอย่าง ตั้งแต่ของกินเล่น Appetizer สลัด ซุป สเต็ก และพาสต้า
อ้อ..ของหวานเค้าน่ะ อย่าได้พลาดเชียว
(อิฉันเองยังไม่คาดคิดว่าคุณโอมจะทำขนมอร่อยขนาดนี้)

ร้านนี้อยู่ปากซอย นครอินทร์ 5 เชิงสะพานพระรามห้า
ก่อนข้ามไปฝั่งโน้น (บางใหญ่) อย่าลืมแวะชิมสักครั้ง (แล้วจะติดใจ)
คนชิมมาเยอะแล้วขอการันตีเรื่องรสชาติจ้า

Rib & Chop เปิดทุกวันเวลา 17.00-23.00 น.
เสาร์อาทิตย์เพิ่มมื้อกลางวันเวลา 11.00-14.00 น.
โทรถามเส้นทางและสำรองโต๊ะได้ที่ 0 2965 3430



หมายเหตุ ขออำภัยน้องเอ๋ พี่ม้อยถ่ายรูปสีเพี้ยนไปหมดเยย



วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

After the Quake : คำถามสำคัญหลังการสั่นสะเทือน

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:Haruki Murakami แปลโดย คมสัน นัน



ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารวมเรื่องสั้นทั้ง 6 เรื่องชุดนี้ของ ฮารุกิ มูราคามิ ได้รับแรงบันดาลใจจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โกเบ เมื่อปี 1995 ก็ตัวละครที่ยังคงความแหว่งเว้าไม่สมบูรณ์แบบจากเรื่องทั้ง 6 เรื่องของเขาต่างมีบาดแผลทางใจจากหายนะกรรมแห่งมนุษยชาติครั้งนั้นทั้งสิ้น

จะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก หรือผู้ใหญ่ ตัวละครของมูราคามิยังคงหม่นหมองเดียวดาย และ lost อย่างน่าหลงใหล ฉากเก่าของความรู้สึกแปลกแยก ความรู้สึก 'ไม่มีตัวตน' ในสายตาคนอื่น ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ การถูกทอดทิ้ง ความเจ็บลึกที่ถูกบ่มเพาะจนใกล้ระเบิด และเมียอยู่กันมาดีๆ ก็มาทิ้งผัวไปเสียดื้อๆ เหลือไว้เพียงจดหมายลาใจความเจ็บปวดฉบับเดียววางอยู่บนโต๊ะ ...ฉากเหล่านี้ ฟีลแบบนี้ยังคงปรากฏอยู่ในเรื่องสั้นทั้ง 6
(ขอบคุณพระเจ้าที่พวกมันเป็นเรื่องสั้น คนอ่านอย่างอิฉันจึงไม่ต้องดิ่งลึกแบบ deeply กับเรื่องราวของพวกเขาเหมือนตอนอ่านนิยายหลายเรื่องก่อนหน้านี้!)

จะไม่เล่าเรื่องย่อ เพราะอยากให้คนชอบ 'แนว' มูราคามิได้มีโอกาสสัมผัส และลิ้มรสด้วยตัวเอง แต่่ในฐานะคนอ่านที่สนใจและพร้อมจะ 'ดิ่งลึก' กับเรื่องของของเขาเสมอ อยากบอกว่าประทับใจกับการเขียนเรื่องอุทิศให้ชีวิตและการสูญเสีย โดยใช้อาฟเตอร์ช็อกจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นั้นมาเขย่าคนอ่านที่ยังมีชีวิต ให้ตื่นจากการใช้ชีวิต (ไปวันๆ) อย่างเบลอๆ ด้วยคำถามสำคัญ 3 ข้อ

เราเกิดมาทำไม?
อยู่ไปเพื่ออะไร? และ
คิดอะไรเกี่ยวกับการตายของเราไว้แล้วหรือยัง?





บันทึก
• แม้จะมีแรงกระตุ้นจากความสูญเสีย แต่ความรู้สึกที่เกิดจากการอ่านรวมเรื่องสั้นเล่มนี้กลับเป็นอารมณ์และความรู้สึกในเชิงสร้างสรรค์ อ่านแล้วรู้สึกดีจริงๆ
• ชอบใจสัญลักษณ์ ‘ก้อนหินในใจ’ ของตัวละครหญิงม่ายที่หลบมาพักร้อนที่รีสอร์ตบนภูเขา (คาดว่าคือเขาใหญ่, ไทยแลนด์) มาก ตอนอ่านเรื่องนี้รู้สึกราวกับมูราคามิมาอยู่ใกล้ๆ งั้นเลย
• เรื่องที่ชอบชื่อ ‘พายน้ำผึ้ง’ พูดถึงความรู้สึกที่ผู้ชายคนหนึ่งมีต่อผู้หญิงคนหนึ่งแต่ไม่กล้าพูด เพราะกลัวจะสูญเสียความสัมพันธ์อันดีงามที่มีอยู่ ต้องรอให้เวลาผ่านไปตั้งหลายปีถึงจะกล้า และตัดสินใจได้ว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะมีความสุขร่วมกันผ่านไปอีกแล้ว..เป็นเรื่องรักใน ‘แนว’ มูราคามิที่สวยงามมาก
• สำนวนแปลของคมสัน นัน ไม่สวิงสวายแฟนตาซีเหมือนนพดล เวชสวัสดิ์ แต่ก็นับว่าเขาถ่ายทอดความซับซ้อนของลีลา ‘มหัศพรึงลึง(ค์)เพริด’ ของมูราคามิออกมาได้อย่างน่าประทับใจเชียวแหละ (คมสันแปลรวมเรื่องสั้นเล่มนี้จากต้นฉบับภาษาอังกฤษโดย เจย์ รูบิน)
• ดูเหมือนคมสัน นัน จะถูกใจมูราคามิด้วยเหตุผลเดียวกับหลายๆ คนที่รู้สึกว่ามูราคามิปั้นตัวละครที่กำลังเลียแผลใจของตัวเองได้ราวกับเข้ามานั่งกลางใจ (จากปกิณกะท้ายเล่ม รู้สึกคมสัน นัน จะถูกคนรักทิ้งไปเหมือนกันนะฮ้า)
• หนังสือเล่มนี้ โดยสำนักพิมพ์กาย มารุต มีปรูฟผิดบ้าง แต่ไม่เยอะจนถึงกับรู้สึกรำคาญ ไอ้ที่ทำให้ตงิดคือ ทำไม๊ทำไมถึงไม่ใช้ไม้ยมก คือไม่ใช่เค้าไม่ใช้นะฮะ แต่ใช้แค่บางที่ กับบางที่ (หลายๆๆๆๆ แห่ง) เหมือนตั้งใจจะไม่ใช้ อ่านแล้วมันคันตาฮะ


วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : ด้วยรัก จากลายจอมเลีย



สายๆ แมวชอบอาบแดด





ศุกร์ที่ ๘-อาทิตย์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒

(อัลบั้มนี้ฝากหญิงใหญ่และเหมียวโค)

มีวันหยุด ๓ วัน เลยกลับบ้าน
ซึ่งกลับบ้านคราวนี้ไม่ได้ทำไรเลย นอกจากกินๆ นอนๆ
นังลาย แมวลายของแม่ก็เหมือนจะดีใจ ได้เข้ามาเคล้าๆ เคลียๆ เล่นด้วยตลอดเวลา

กลับบ้านคราวที่แล้วแค่เมื่อเดือนก่อน เดือนกว่าๆ นังลายดูเปลี่ยนไปเย้อะ
ที่ชัดเจนเลยคือ อ้วน อ้วนปั้กเชียคราวนี้ (ตอนมันนอนทับแล้วหลับไปรู้สึกเหมือนโดนผี(แมว)อำ) แล้วขนก็สวย ดูนิ่มลื่นเป็นมันขึ้นมาก

สงสัยจะกินดีอยู่ดีนะมัน

อ้อ แต่แม้มันจะมาออดอ้อนมากขึ้น อ้วนขึ้น และนิ่มขึ้น
แต่นังนี่มันยังชอบเลีย ทำความสะอาดให้อิฉันเหมือนเดิม
ที่เพิ่มมาคราวนี้คือ ชอบแทะกัดแขนอิฉันเล่น-แรงกว่าเดิม
แขนลาย(ตามแมว)ไปหมดแล้ว ตอนเนี้ย



ป.ล. ถ่ายรูปยากเป็นบ้าเลย แมวเนี่ย



วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มงกุฎกุหลาบ

http://www.kwanruen.com/blog/?p=802

สำหรับแฟนโรสลาเรน
พบกับการเปิดตัว “มงกุฎกุหลาบ” นวนิยายเรื่องใหม่ของ ‘โรสลาเรน’ ก่อนใคร
ที่บล็อกขวัญเรือน
:-D

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Nine Lives : ตำนานรักของเหมียว-ผู้มีรัก

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Comics & Graphic Novels
Author:ทรงศีล ทิวสมบุญ


“Love remains a secret even when spoken,
For only a lover truly knows that he is loves.”
: Rabindranath Tagore


“รักยังคงเป็นความลับแม้เมื่อเอ่ยถึง
ผู้มีรักเท่านั้นจึงรู้แท้ว่าตนเป็นที่รัก”
: ระพินทรนาถ ฐากูร


ทรงศีล ทิวสมบุญ จบการเล่าตำนานรักของน้องเหมียวด้วยบทกวีข้างต้น

เรื่องราวที่เขาเล่าก็โรแมนติก และลึกลับอย่างที่บทกวีนี้กล่าวไว้จริงๆ อะแหละ

ใครเคยติดตาม ถั่วงอกกับหัวไฟ และ Improvise ผลงานสองเล่มแรกของ ทรงศีล ทิวสมบุญ น่าจะทึ่งและประทับใจกับ Nine Lives ผลงานใหม่ของเขาชิ้นนี้ เพราะแม้ว่านี่จะเป็นการเล่าเรื่องราวในโทนหม่นมัว แต่ด้วยลายเส้นละเอียด เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ เล่าเรื่องหม่นหมองที่แทรกความสดใส มีความหวัง เหมือนเดินทางผ่านอุโมงค์ยาวที่มองเห็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า

โดยเฉพาะคนรักแมว-สัตว์ลึกลับ และมีเสน่ห์ ที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานชุดนี้ของทรงศีล
ลองไปเปิดดูที่ร้านหนังสือ แล้วจะอยากได้กลับบ้านด้วย

(อิ อิ)



ความทรงจำวันแดดจัด (๒)






(ต่อจากตอนที่แล้ว)

ขากลับ มาขึ้นบีทีเอสที่สถานีแห่งหนึ่ง
ทั้งร้อน เหนื่อย และง่วง
แต่มองเห็นภาพชุดนี้แล้วชอบจัง
ก็เลยถ่ายมาอีก

ความทรงจำวันแดดจัด (๑)





อังคารที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒

เป็นวันหยุดฉัตรมงคล..แต่ต้องไปทำงาน
อากาศร้อนสมกับเป็นหน้าร้อน
ขึ้นมาจากสถานีรถใต้ดิน พบว่าทำเวลาดีเกินเหตุ

เพื่อไม่ให้ไปก่อนเวลานัดนานเกินไป
แทนที่จะนั่งแท็กซี่ไป ก็ควรจะโดยสารรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน
จะได้พอดีเวลานัด

ภาพเหล่านี้ เก็บมาระหว่างรอรถเมล์ฟรีฯ ณ ป้ายแห่งหนึ่ง
บนถนนลาดพร้าว


วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก II

Rating:★★★
Category:Other


...ตอนหนุ่มๆ เราเป็นคนแข็งแรง พูดง่ายๆ ว่าเอาผู้หญิงไม่เสร็จถือว่าล้มเหลวมาก ต้องให้ผู้หญิงได้ก่อน เราถึงเสร็จทีหลัง ทำเป็นกิริยาบุญเลย ผู้ชายสะเพร่ามากที่นอนกับเมียแล้วเมียไม่สำเร็จความใคร่ ของเราไม่เคย ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เอาใครเราต้องออกทีหลัง ต้องฝึก ละเลยไม่ได้ ผู้ชายไทยไม่เคร่งครัดเรื่องนี้ เมากลับบ้าน กระแทกๆๆ แล้วนอนแผ่ แย่มาก

เราชอบเขียนเรื่องอีโรติก ชีวิตคนต้องเรียนรู้หลายอย่าง sex education จำเป็นมาก ต้องสั่งสอนกัน เพราะการหย่าร้างเกิดจากเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย กิน ๓ ครั้งอาจเงี่ยนวันละหน หรือ ๓ หนก็ได้ อย่าทำเป็นเล่น

ผู้ชายบางคนชุ่ยจริงๆ มีวิธีตั้งร้อยแปดกลับไม่ค้นคว้าหาวิธีให้เมียมีความสุข คนเราไม่จำเป็นต้องมีอวัยวะเพศใหญ่ยาวเหมือนหนังโป๊ นั่นมันหนัง ของจริงอาจไม่ใหญ่ยาว แต่เราต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรง เอาไม่เก่งก็ต้องฝึก การเอาต้องฝึกฝนนะครับ ไม่ใช่อยู่ๆ เกิดมาเอาเก่งเลย เราต้องเรียนรู้สิ

sex education ในเมืองไทยไม่เคยมี อายบ้างอะไรบ้าง บีบให้เด็กเรียนรู้เอง ซึ่งอันตรายมาก ลูกชายเรา ไอ้บักหำน้อย (วงดำเลิง วงษ์สวรรค์) เราสอนเลยนะ แล้วให้มันสอนน้องต่อ บอกพ่อขี้เกียจแล้ว เซ็กซ์เป็นเรื่องจำเป็น เซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมดา

การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าเรื่องเซ็กซ์ เรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องแฟชั่น ประเทศไทยการศึกษาเหมือนจะดี แต่ไม่ดี รู้น้อย รู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้เยอะ เปิดอินเทอร์เน็ตแล้วอ้างว่ารู้เยอะ แต่ไปรู้เรื่องไม่ควรรู้ ชีวิตลวกขึ้น รีบร้อน เด็กยุคนี้เสียบไอพอดฟัง ๓,๐๐๐ เพลง แต่ไม่รู้จักคนแต่งเพลงเลยสักคน...

(จาก "เสียงพูดสุดท้าย"
บทสัมภาษณ์ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ โดยวรพจน์ พันธุ์พงศ์
ในนิตยสารสารคดี ฉบับประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๒)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก..ก็เพราะผู้ชายสมัยนี้ไม่ค่อยจะอ่าน'รงค์ วงษ์สวรรค์ แล้วน่ะซี๊



หมายเหตุ : ข้อความที่ Quote มาไม่ได้เกี่ยวอะไรเล๊ยกับ "เงาของเวลา"
แต่ที่ใช้รูปนี้เพราะอิฉันชอบ ชอบปกนี้ของสำนักพิมพ์สารคดี ชอบลายเซ็นต์ แล้วก็ชอบสีม่วงเท่านั้นเองล่ะค่า




คำคม#๒๐





เด็กสมัยใหม่คิดว่าการเป็นนักเขียนมันง่าย


คล้ายๆ แบบนั้น แป๊บๆ พิมพ์เป็นเล่มแล้ว ง่ายไป ก็เลยไม่ยั่งยืน
กับนักเขียนใหม่ๆ เราบอกอย่าเพิ่งพิมพ์เป็นเล่ม เพราะขายไม่ได้แล้วจะเสียใจ
ให้คนอ่านยอมรับก่อนค่อยพิมพ์ ใจเย็นๆ น่า
หลายคนไม่เชื่อเรา แล้วมาเจ็บปวดภายหลัง
บางคนตั้งตัวเป็นบรรณาธิการเอง คุณภาพไม่ถึง
บางคนเพื่อนเป็นบรรณาธิการ เขียนไม่ดีแกล้งบอกดี แบบนี้ไม่รอด
เมืองนอก ระบบบรรณาธิการเขาดีกว่าเรา







จาก "เสียงพูดสุดท้าย"
บทสัมภาษณ์ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ โดยวรพจน์ พันธุ์พงศ์
ในนิตยสารสารคดี ฉบับประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๒

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หนีเที่ยว

Start:     May 17, '09
End:     May 20, '09
Location:     ไม่บอก

จะมีมารเป็นไข้หวัดหมู ไข้หวัดแม็กซิโก หรือไข้หวัดใหญ่ 2009
กรูก็จะไป

โฮ่ โฮ่ โฮ่

กลับบ้าน ครั้งที่ ๒

Start:     May 7, '09
End:     May 10, '09
Location:     สุราษฎร์ธานี

มีวันหยุดวิสาขะ
กลับบ้านดีกว่า

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Breakfast on Pluto : การตามหา การค้นพบ และการเข้าใจตัวเอง

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


ดิฉันชอบดูหนังที่เล่าเรื่องของเกย์ ไม่รู้จะบอกเหตุผลยังไงเหมือนกัน นอกจากหนังที่เล่าเรื่องเกย์ ก็ยังชอบดูหนังที่เล่าเรื่องเลสเบี้ยนและเรื่องของสาวประเภทสอง กับแดรกควีนได้อีก (โอ้..แสนจะคิดถึง To Wong Foo ที่ดูไม่ได้แล้วเพราะเครื่องเล่นวิดีโอถอดวิญญาณออกจากร่างไปเสียแล้ว)

Breakfast on Pluto (2005) หรือในชื่อไทยว่า “โลกใบสุดท้ายของผู้ชายนะยะ” เล่าเรื่องของสาวประเภทสอง ..เรียกอย่างนี้แล้วก็ไม่รู้จะมีคนมาจิก มาเถียงอีกไหมว่าเรียกถูก เรียกผิด หรือเรียกแบบไม่ให้เกียรติ เหยียดหยาม (บลา-บลา-บลา) ดังนั้น ต่อไปขอเรียกชื่อเจ้าตัวว่า "น้องคิต" ซึ่งย่อมาจากคิตเทน (Kitten)

คิตเทน (น้องเหมียว) เป็นชื่อเล่นที่เจ้าตัว Patrick Bradem (Cillian Murphy) ใช้เรียกตัวเอง น้องคิตถือกำเนิดขึ้นราวปี ’60s ณ เมืองชายแดนไอร์แลนด์ เป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่เลี้ยง โดนแม่จับใส่ตะกร้ามาวางไว้ที่ประตูหลังโบสถ์ในเช้าวันคริสมาสต์อีฟ แล้วก็จากไป หลวงพ่อเลียม (Liam Neeson) ซึ่งที่จริงก็คือพ่อของน้องคิตนั่นแหละ ก็เอาลูกไปให้แม่ม่ายนางหนึ่งเลี้ยงเป็นลูก

โดยที่ไม่ทราบถึงเหตุผลกลใด น้องคิตเริ่มแอบแต่งหญิงเมื่ออายุได้สักสิบขวบ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา น้องก็ไม่พยายามแอ๊บแมนอีกต่อไป สร้างความอิดหนาระอาใจให้ผู้ปกครองและครูบาอาจารย์ที่ไม่อาจยอมรับการเกิดขึ้นและตั้งอยู่ ก่อนจะดับไปของมนุษย์เพศอื่นนอกจากชายและหญิง เป็นอย่างมาก ...โชคยังดีที่น้องคิตยังมีเพื่อนแท้อีก ๓ คน กับความสัมพันธ์อันมีค่า จนน่าจะเรียกได้ว่าคุ้มที่ได้เกิดมา แม้จะเกิดมาเป็นผู้ชายก็ไม่ใช่ ผู้หญิงก็ไม่เชิง

ในยุค ’70s นั้น ในไอร์แลนด์มีขบวนการปลดปล่อย (จำข่าววินาศกรรม ระเบิดพลีชีพ ฯลฯ ในอังกฤษตอนเรายังเด็กๆ ได้ไหม นั่นแหละ ประมาณนั้นเลย) หนุ่มสาวยุคนั้นถ้าไม่ nerd เกินไปนักก็มักหาตัวได้ในส่วนหนึ่งส่วนใดของกระบวนการนี้ และก็ไอ้การปฏิวัตินี่แหละที่ทำให้น้องคิตต้องเสียเพื่อน 1 ใน 3 ของเพื่อนที่มีอยู่ไป โดยที่เขาไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเลย

น้องคิตยอมรับความรุนแรงมีอยู่รายรอบตัวไม่ได้ ในที่สุดจึงตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อเริ่มต้นตามหาแม่ ที่ใครๆ ก็ว่ากันว่า สวยเซ็กซี่เหมือน Mitzi Garner ที่ลอนดอน ...แล้วการผจญภัยของเธอก็เริ่มขึ้น

มันน่าสงสารนะ คนคนหนึ่ง รู้ว่าพ่อคือใคร แม่คือใคร แต่ต้องไปโตในฐานะลูกเลี้ยงของคนอื่น แค่นั้นยังไม่พอ ดันเกิดผิดพวกกับคนหมู่มาก เลยไม่มีใครกล้าเสนอหน้ามารักมาจริงใจด้วย ตลอดทางจากชายแดนสู่ลอนดอนของน้องคิตก็เลยล้มลุกคลุกคลานจนแม้จะตลกแต่ก็ขำออกมาทั้งน้ำตา

น้องคิตไม่รู้ว่าแม่อยู่ไหน การหาแม่ในลอนดอนเลยเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ก็แหม๋ แม้แต่รูปแม่เธอยังไม่มีเลย ข้อมูลที่มีก็แค่รู้จากขี้ปากคนอื่นว่า แม่หน้าเหมือนดาราคนหนึ่ง หลังจากเกือบเอาตัวไม่รอดจากเกย์มาโซวิกลจริต น้องคิตก็มาเจอหนุ่มมายากล พ่อคนนี้แสนโรแมนติก ขณะที่น้องคิตเองก็ขาดรัก ในที่สุดเธอเลยกลายเป็นผู้ช่วยในการโชว์ไปโดยปริยาย มีวันหนึ่ง ขณะกำลังโชว์มุกเดิมๆ กันอยู่ น้องคิตก็ถูกชาลี เพื่อน 1 ใน 2 ที่เหลืออยู่บุกไปลากตัวออกมา ชาลีโกรธที่หนุ่มมายากลใช้เพื่อนเป็นเครื่องมือ

ชาลีเค้าตามเออร์วินแฟนหนุ่มมาลอนดอน ที่จริงแล้ว เพื่อจะมาทำแท้ง

เออร์วินอยู่ในขบวนการปฏิวัตินั่น ชาลีรู้สึกไม่มั่นคง ในภาวะเช่นนี้เธอไม่คิดว่าพร้อมและสามารถให้กำเนิดและให้การเลี้ยงดูลูกได้ น้องคิตวางตัวเป็นเพื่อนที่ดี อิฉันว่าเธอคงสะเทือนใจมาก (ก็เธอก็คือหนึ่งในเด็กที่พ่อแม่ไม่พร้อมจะมีไม่ใช่หรือ) แต่เธอไม่ว่าอะไร เธอแค่ยืนอยู่เคียงข้างเพื่อน โชคดีของเด็ก ที่ระหว่างนั่งรอคิว ชาลีถามน้องคิตว่า
“(ถ้าให้เกิดมา) อนาคตลูกฉันจะเป็นยังไง?”
“ก็คงเลวร้ายมากๆ...เหมือนฉัน” น้องคิตตอบเพื่อน ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงประชด แต่คือการเคียงข้าง ให้กำลังใจ

แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ชาลีเปลี่ยนใจ ลุกขึ้นเดินออกไปนอกคลินิก
“เธอบอกว่าเด็กคนนี้อาจเลวร้ายมากๆ เหมือนเธอ” ชาลีว่า
“อาจเลวร้ายกว่า” น้องคิตบอก
“แต่ฉันรัก ที่เธอเลวร้ายอย่างนี้แหละ”
แล้วสองคนก็กอดกัน อิฉันก็น้ำตาซึม

เหมือนว่าน้องคิตยังใช้กรรมไม่หมด คืนหนึ่งตอนออกเที่ยว เธอเกือบได้สานสัมพันธ์กับทหารหนุ่มหล่อล่ำแล้วเชียว ดันมีระเบิดเสียก่อน และแทนที่จะดังเพราะนักข่าวมาถ่ายรูปทำข่าว ดันกลายเป็นว่าเธอถูกสงสัยว่าเป็นฆาตกรไอริช ปลอมตัวเป็นผู้หญิงมาวางระเบิดไปเสีย
แม้จะถูกซ้อมจนอ่วม แต่น้องคิตกลับรู้สึกปลอดภัยดีในห้องขังเล็กๆ ของเธอ ก็โลกข้างนอกช่างสับสน ผู้คนไว้วางใจกันไม่ได้ จ้องจะเอาเปรียบกันตลอดเวลา แล้วก็ดูอันตรายเสียจริง พอถูกปล่อยออกมาน้องคิตเลยคว้างๆ พี่ตำรวจเลยตามมาแนะนำงานการที่เหมาะสมให้ เป็นนางโชว์ จะนั่งอยู่ในห้องเล็กๆ คอยพูดคุยกับหนุ่มๆ ที่ต้องหยอดเหรียญเสียก่อน

และโดยไม่เคยคาดหวังมาก่อน วันหนึ่งเสียงที่คุยกับเธอกลายเป็นเสียงที่เธอคุ้ยเคย มาในการคุยกันที่ก็คุ้นเคยกันอีก (จริงๆ แล้วการคุยกันแบบนี้เหมือนการสารภาพบาปจริงๆ ด้วย) และเสียงนั้น ที่บอกทางไปบ้านแม่

น้องคิตจำแลงกายไปเจอแม่ ก่อนเจอแม่ เธอได้พบน้องชายต่างพ่อผู้มีชื่อเดียวกัน คือแพ็ททริก ...เธอพบว่าแม่มีใหม่ชีวิตของแม่แล้ว จึงจากมาโดยไม่ได้ติดใจอะไร
คนที่ติดใจคือน้องชายของเธอ

แต่ไม่ได้ติดใจว่าทำไมเธอต้องอ้างเหตุผลเพื่อมาที่บ้านของเขาหรอก ดูเหมือนเธอกับน้องชายจะชอบกันอย่างประหลาดด้วยซ้ำ


จากนั้น ข่าวร้ายก็เดินทางมาถึงน้องคิตอีกครั้ง พ่อของเธอส่งข่าวมาบอกว่าเออร์วินถูกฆ่า แล้วชาลีซึ่งกำลังท้องแก่ก็กำลังแย่ น้องคิตกลับมาที่โบสถ์ พ่อเปิดประตูรับ น้องคิตไม่แน่ใจว่าควรเรียกพ่อว่าไง พ่อบอก “Father” (เพราะจริงๆ พ่อก็เป็นทั้งพ่อ และบาทหลวงอยู่แล้ว) น้องคิตไม่แน่ใจว่าควรเข้าไป พ่อบอก เข้ามาเถิด พ่อสวดมนต์ให้ลูกกลับตลอดมา


ซีนต่อมา สองพ่อลูกเปิดประตูพบชาลีนอนหันหลังให้ประตู อย่างโศก อย่างซึมสลด แล้วน้องคิตก็ปีนขึ้นเตียง นอนกอดเพื่อนจากด้านหลัง บอกเพื่อนว่าไม่ต้องเล่าอะไร แล้วเพื่อนก็ปิดตาหลับ ...มันช่างอบอุ่นใจ

เช้ารุ่งขึ้นน้องคิตแต่งตัวสวยเปิดประตูไปหยิบนมที่ถูกนำมาส่งหน้าประตู มุมเดิมกับตอนที่เธอมาถึงโบสถ์แห่งนี้เชียว แล้วสองคนนั่งจิบชามื้อเช้า พ่อมองลึกลงในตาลูกแล้วบอกว่า “You have your mother’s eyes” พ่ออธิบายเพิ่มว่า มันเป็นสีฟ้าเหมือนสีน้ำทะเลที่ Rosses Point

น้องคิตมองหน้าพ่อ นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อพูดถึงแม่ เธอถาม พ่อเคยพาแม่ไปหรอ พ่อบอก หลายครั้ง น้องคิตมองพ่อ น้ำตาเอ่อดวงตาสีฟ้าสวยของเธอ เธอว่า

“I went looking for her but I found you.”


...เป็นประโยคที่จับใจที่สุดในหนังเรื่องนี้


หนังไม่ได้จบตรงนี้ แต่ยังเล่าถึงวิบากกรรมของสองพ่อลูก และสองแม่ลูก (ชาลีกับลูกในท้อง) ช็อคความรู้สึกเหมือนอ่านเรื่องสั้นหักมุมเลย
แต่ตอนจบ แลนดี้งได้สวยนะ อิฉันว่า




บันทึก
• เป็นหนังที่บอกอะไรเราหลายอย่างโดยไม่ใช้ไดอาล็อก ดูแล้วรู้สึกดีจริงเลย
• อยากให้ไปหาคำตอบกันเอง ว่าทำไมหนังถึงชื่อ Breakfast ob Pluto มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับ Breakfast at Tiffany's อย่างไรไหม
• ได้ดีวีดีเรื่องนี้มาจากกระบะลดราคา ถ้าจำไม่ผิด อยู่ในคาร์ฟูร์ เค้าลดราคาเหลือ 79 บาท
• น่าประทับใจมากที่ได้ทราบว่าพี่ผู้กำกับคือ Niel Jordan เคยกำกับหนังที่อิฉันชอบอย่าง Interview with the Vampire และ The End of the Affair
• หนังเรื่องนี้ไม่มีเลิฟซีนน่าเกลียดเลย มีแต่ภาพสวยๆ ที่น่ารัก น่าเอ็นดู แล้วก็น่าเห็นใจ
• Cillian Murphy ที่เล่นเป็นน้องคิต (เคยเล่น Red Eye แต่อิฉันไม่เคยดู) ตาสวยจริงๆ แล้วก็เล่นได้ดีมาก อิฉันสามารถมองตัวละครตัวนี้ได้อย่างดื่มด่ำมากๆ
• หนังเรื่องนี้ใช้เพลงที่ไม่ใช่เพลงป๊อป จากยุค ’70 แต่ละเพลงฟังแล้วเพราะๆ ทั้งนั้นเลย
• ไม่รู้ว่าบาปหลวงนิกายของหลวงพ่อเลียมมีครอบครัวได้ไหม ถ้ามีได้แล้ว หลวงพ่อเลียมจะเลี้ยงน้องคิตเองเลยใช่ไหม
• หรือว่าเพราะต้องเอาไปให้แม่ม่ายเลี้ยงให้ โดยส่งเช็คค่าเลี้ยงดูเป็นระยะๆ นั้นเพราะมีศีลว่า ห้ามมีเมีย ห้ามมีลูก
• เป็นหนังที่ shock และ shake คนดูอย่างแรง โดยไม่ใช้ความรุนแรง
• เขาทำฉากระเบิด ไฟไหม้ได้สวยมาก และแรงมาก โดยไม่ได้รุนแรงมาก (เอ๊ะ ยังไง)
• สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้คือ คนอื่นจะมองเราว่าแตกต่าง น่ารังเกียจยังไงก็ช่าง แค่เราเข้าใจตัวเอง และคนที่เรารักเข้าใจเรา แค่นั้นก็พอแล้ว อันนี้ไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตยหรอก แต่คนเราเกิดจากร้อยพ่อพันแม่ จะให้มีอะไรเหมือนๆ กัน คิดเหมือนๆ กัน เกลียดเหมือนกัน เห็นคล้อยตามกันไปหมดได้ไง ไม่ใช่กาเหว่าที่บางเพลงนี่หว่า (อ่านจบอย่าลืมยักไหล่เก๋ๆ 1 ครั้ง)



วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : ร้อนแค่ไหนก็ขอสวยไว้ก่อน



ขอเก็บรายละเอียดอีกนิด
^_^



ศุกร์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒

เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรงงาน คนใช้แรงงานก็เลยได้หยุดงาน
อิฉันฉลองด้วยการตื่นสาย ดูหนัง ๑ เรื่อง รอย้วยจนได้ที่แล้วจึงออกจากบ้าน
เดินทางไกลไปบ้านทะเล

สวรรค์เป็นพยานด้วยเถิด วันนี้ร้อนมากๆ กี่องศาไม่สำคัญเท่ากับความอบอ้าว
อ้าวเหมือนฝนจะมา แต่รอจนหมดวันฝนยังไม่หล่นสักแปะ
อบอ้าว อึดอัดเหมือนถูกอบในห้องซาวน่าขนาดใหญ่

แม่อ้วนที่อยู่แถวๆ ปากซอยบ้านทะเลนี่ก็คงร้อนเอาการ
แต่ไม่เห็นเธอหงุดหงิด ร้อนก็ไม่ร้อนเปล่า
บริหารเวลาด้วยการเสริมสวย สางขนให้ตัวเองไปพลาง

'ร้อนไม่ว่า แต่อย่าโทรม'
...เธอคงอยากบอกอิฉันว่างั้น