วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

อัจฉริยะสร้างได้: คนทุกคนมีอัจฉริยภาพอยู่ในตัวเอง

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Professional & Technical
Author:วนิษา เรซ
รู้แล้วใช่ไหม ว่าดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ สรุปทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligence) ว่า ณ บัดนี้ อัจฉริยภาพของมนุษย์ ไม่ได้มีแต่ด้านคณิตศาสตร์ ดนตรี และการใช้ภาษา แต่มีอยู่ (อย่างน้อย) ถึง 8 ประการ

หนูดี วนิษา เรซ นักเรียนปริญญาโท (เกียรตินิยม) ด้านวิทยาการทางด้านสมอง ที่ฮาร์วาร์ด ผู้เป็นลูกศิษย์ของดร. โฮเวิร์ด นำทฤษฎีของอาจารย์มาเรียบเรียง เล่าต่อไว้ในหนังสือ "อัจฉริยะสร้างได้" ของเธอว่า แต่ละด้านของอัจฉริยภาพเหล่านั้นคือ....


1.ด้านภาษาและการสื่อสาร
2.ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
3.ด้านมิติสัมพันธ์และการจินตภาพ
4.ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
5.ด้านการเข้าใจตนเอง
6.ด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น
7.ด้านการเข้าใจธรรมชาติ
8.ด้านดนตรีและจังหวะ

ดิฉันได้อ่านหนังสือเล่มนี้เพราะจะทำงาน (อีกแล้ว) แต่อ่านแล้วรู้สึกดีๆ อิ่มๆ ไงไม่รู้
ลองนึกดูสิ ว่าอัจฉริยภาพที่ตอนนี้สรุปได้ตั้ง 8 ด้าน (ด้านที่ 9 กำลังจะมา) คนเรา ไม่ว่าจะมีอาชีพอะไร ใช้ร่างกายหรือใช้สมอง มันก็ต้องมีอย่างน้อยสักด้าน ที่ตัวเองมีความเชี่ยวชาญ มีความเป็นอัจฉริยะ จริงไหม?

หนังสือเล่มนี้เป็นฮาวทูที่อ่านแล้วได้ตระหนักในคุณค่าของตัวเอง (จะเรียกว่าทำให้รักตัวเองมากขึ้นก็คงได้) แถมยังมีความกระตือรือร้นอยากจะลองพัฒนาศักยภาพด้านที่ไม่เคยพัฒนาของตัวเองดูสักตั้งสองตั้ง เพราะกิจกรรมที่เค้าแนะให้ไปฝึกฝนเพื่อสร้างเส้นใยประสาทนั้น มันไม่ยากเล้ย ออกจะอยู่ในชีวิตประจำวัน

ดิฉันลองมาคิดดูว่า อัจฉริยภาพด้านไหนที่น่าจะสำคัญที่สุด และทุกคนควรมี
แล้วก็คิดว่ามันน่าจะเป็น "ความเข้าใจตัวเอง (Intrapersonal Intelligence)" นะ

ก็ถ้าใจตัวเองยังไม่รู้จัก จะให้วิ่งไปทำกิจกรรมเสริมสร้างเส้นใยสมอง พัฒนาอัจฉริยภาพอีก 7 ด้าน ก็คงทั้งเหนื่อยและไม่สนุก

ใครคิดว่ายังไม่เข้าใจตัวเองดีพอ ลองทำกิจกรรมเล่นๆ ดูไหม ครีมๆ นะ

-ทบทวนเรื่องราวที่เจอมาทั้งวันด้วยการเขียนบันทึกประจำวัน (การถ่ายทอดความนึกคิดออกมาเป็นเรื่องที่คนอื่นอ่านเข้าใจยังช่วยเสริมเส้นใยสมองสำหรับอัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสารด้วย-อันนี้มัลพลายช่วยได้จ้ะ)
-สวดมนต์และแผ่เมตตาก่อนนอน เพื่อที่จะนอนหลับอย่างสบายและเริ่มต้นใหม่อย่างสดใสในวันรุ่งขึ้น
-ว่างๆ ก็กลับไปอ่านบันทึกประจำวันในปีเก่าๆ เพื่อให้เข้าใจตัวเองในเวลาที่ผ่านมา (ดิฉันเคยหยิบไดอารี่ตอนมีแฟนมาอ่าน เชื่อไหมว่าได้ทุกอารมณ์เลย ทั้งขำ เขิน แล้วก็ขม)
-จัดเวลาให้มีอย่างน้อย 1 วันในเดือนที่เป็นวันของคุณอย่างแท้จริง แล้วทำกิจกรรมที่อยากทำ หรือสิ่งที่ผัดตัวเองมานานแล้ว
-ลองหัดเล่นโยคะเพื่อที่จะได้นิ่ง อยู่กับตัวเอง ได้ผ่อนคลาย และได้รู้จักกับร่างกายของตัวเองมากขึ้น
-คุยกับตัวเอง
-ให้เกียรติและยอมรับตัวเองในแบบที่คุณเป็น (เช่น ถ้าฉันไม่ชอบผู้ชาย ก็เข้าใจ แล้วยอมรับตัวเองซะ ผู้หญิงชอบผู้หญิงไม่ใช่เรื่องแปลก และ้ถ้าอยากให้คนอื่นเคารพและยอมรับเรา เราก็ต้องเคารพและยอมรับตัวเองก่อน)

อันนี้เป็นการสรุปของดิฉันเอง ใครคิดว่ายังมีกิจกรรมทำง่ายที่จะช่วยให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นช่วยแนะนำด้วยนะจ๊ะ


อัจฉริยะสร้างได้
โดย วนิษา เรซ
พิมพ์โดย บริษัท อัจฉริยะสร้างได้ จำกัด
ราคา 186 บาท

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

There Will Be Blood: ศรัทธาฝังเลือด และความโฉดระดับออสการ์

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama
ไม่ยักใช่หนัง Autography ของคนขุดบ่อน้ำมันอย่างที่เข้าใจ

(ดิฉันไปดูหนังเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งตัวอีกแล้วค่าคุณขา ก็พี่อ้อยอ่ะสิ ชวนยังไงไม่ทราบ ดิฉันดันคิดไปเองว่าจะไปดู No Country for Old Men กัน พอไปถึงรอบไม่ได้ กลายเป็นต้องดูเรื่องที่คุณเดเนียล เดย์ฯ แกได้ออสการ์สาขานักแสดงนำชาย แถมยังซิวถ่ายภาพยอดเยี่ยมมาได้อีก 1 ตัว)

จะว่าไป หลังจากดูแล้วกลับมานอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะตื่นเต้นที่คนสำคัญของบ้านเมืองกำลังจะกลับมาสู้คดี อีก 1 คืน เข้าห้องน้ำ 1 ครั้ง ดิฉันก็คิดได้ว่า

นี่มันหนังดราม่าเหน็บแนมศาสนาชัดๆ

หนังเล่าเรื่องผู้ชายสู้ชีวิตคนนึง ตอนแรกพยายามจะขุดหาแร่เงิน แต่มันไม่รุ่งอย่างที่คิด ประกอบกับขุดไปๆ ดันไปเจอน้ำมันเข้า ก็เลยยึดการขุดน้ำมันเป็นอาชีพซะเลย

แต่คงไม่น่าเชื่อถือนัก ถ้าอยู่ๆ ผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง (เงินก็ไม่มี) คิดจะจับเสือมือเปล่าด้วยการไปพูดจากหว่านล้อมขายฝันให้ชาวบ้านให้เช่าที่บ้าง ขายที่บ้าง เพื่อที่ตัวเองจะลองขุดหาน้ำมันดู ทั้งๆ ที่สมัยนั้น (ต้นศตวรรษที่ 19) ยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือช่วยบอกได้เลยว่าใต้ดินน่ะ มีน้ำมันจริงไหม มีเท่าไหร่ อยู่ลึกแค่ไหน

พี่เดเนียล (ในเรื่องแกก็ชื่อเดเนียลนะคะ-Daniel Plainview ค่ะ) แกก็เลยกระเตงลูกชายกำพร้าของเพื่อนที่เสียชีวิตเพราะของตกจากปากหลุมตอนขุดบ่อน้ำมันด้วยกัน เอาไปหลอกขอความเห็นใจจากชาวบ้านว่านี่แหละ แกทำธุรกิจครอบครัว ถ้าแกไปขุดบ่อที่ตรงไหนแกก็จะดำเนินการโดยคำนึงถึงครอบครัวของชาวบ้านแถวนั้นด้วย-ประมาณนั้น

เดเนียลรักเด็กคนนี้ปานดวงใจ รักราวกับเป็นลูกแท้ๆ (แม้ในหนังจะไม่ได้เล่าเลยว่าแกเคยมีเมียไหม-ซึ่งพี่อ้อยสงสัยอีกตามเคยว่าสงสัยตามบทแล้วแกจะเป็นเกย์) แม้ไม่มีเมีย

วันนึงก็มีเด็กหนุ่มคนนึงมาบอกว่าในพื้นที่ไร่ของเขาน่ะ มีน้ำมันแน่ๆ เพราะมันเล่นเจิ่งขึ้นมาบนดินเลย เด็กคนนี้บอกว่าตัวเองชื่อพอล คนเล่นก็ชื่อพอลอีก (Paul Dano-พี่ชายตาบอดสีที่อยากเป็นนักบินขับไล่ใน Little Miss Sunshine ไงคะ) พี่นักขุดน้ำมันของเราซักดูแล้วก็เห็นว่ามีแนวโน้มจะได้รวยกันใหญ่ ก็เลยตามไปสำรวจ ไปเนียนๆ ทำทีไปแค้มปิ้ง ยิงนกกับลูก จะได้ไม่โดนโก่งราคาที่ดิน

ที่บ้านไร่ของพอล มีอีกคนที่หน้าเหมือนพอลมาก แต่ชื่อว่า อีไล อีตานี่แรกๆ ก็รู้แล้วว่าแปลกๆ ออกแนวคลั่งศาสนา แกประจำการอยู่ที่โบสถ์ติยภินิหาริย์อะไรสักอย่าง (เข้าใจว่าเป็นโบสถ์คริสเตียนค่ะคุณ เพราะเอ่ยถึงพระเจ้าอย่างเดียว พระเจ้าช่วยได้ทุกอย่าง-เรื่องนี้เองที่ทำให้พี่เดเนียลรู้สึกขวางอีตาอีไลมาก) พี่เดเนียลแกเล็งๆ แล้วพบว่า มีน้ำมันจริง มีเยอะด้วยก็ไปใช้ฝีปากตะล่อมจนได้ที่มาผืนใหญ่มั่ก ในราคาแสนถูก แถมไอ้ที่สัญญากับอีไลว่าจะให้ตังค์โบสถ์ แกก็ทำลืมเสียฉิบ

อีตอนที่ขุดเจอน้ำมันแล้ว ขังไว้เป็นอ่างใหญ่ อีไลเดินไปทวง แกก็แสดงความโฉดออกมาครั้งแรก โอ้โห คนดูอย่างดิฉันต๊กกะใจเลยค่ะ ก็หนังมันเล่นเล่ามาเรื่อยๆ มาเรียงๆ อยู่ดีๆ ก็มาฮาร์ดคอร์กันปุบปับ

นั่นแหละ ต่อมาทั้งเดเนียลและอีไลก็ผูกใจเจ็บกันไปมา พี่เดเนี่ยลเองคงจะมีดวงวิบาก หลังจากลุยลงหลักปักฐานขุดน้ำมันจนกลายเป็นมหาเศรษฐี ชีวิตก็หามีความสุขไม่ (หรือการขุดน้ำมันเป็นการทำบาป ต้องรับศีลจุ่มแก้บาป) คงเพราะใช้ชีวิตผิดแนวมาแต่แรก ไม่เคยให้ความจริงใจกับใครเลย ตอนหลังก็เลยอยู่อย่างหวาดๆ แกมประสาทๆ จนสุดท้ายก็ต้องเสียแม้กระทั่งลูกคนที่เคยรักเหมือนลูกจริงๆ (ตอนนี้ตัวละครเดเนียลทำร้ายหัวใจตัวเองชัดๆ นะคะ)

ผู้กำกับ Paul Thomas Anderson ที่เป็นคนเขียนเรื่องด้วย ปล่อยบทให้นักแสดงบทโชว์พาวกันเต็มที่ทั้งพ่อ ทั้งลูก ทั้งอีไล โอ้โห ฟาดฟัน เชือดเฉือน ฟาดฟัน เชือดเฉือน

คุณเอ๊ย มันส์พะยะค่ะ

แถมยังจบเรื่องโดยให้พี่เดเนียลได้ขจัดขวากเรื่องกฤษดาภินิหารของอีไลที่ทิ่มแทงจิตใจแกมาตลอดได้อีก

ที่คิดว่าเก๋มากคืกการจบหนังด้วยประโยคสั้นๆ ของเดเนียล เพลนวิว ว่า

"I'm finish"

มันช่างเจ๋งเสียจริงจริ๊ง!





ป.ล. ดิฉันดูหนังเรื่องนี้ได้โดยไม่เสียน้ำตา และไม่ง่วง ไม่เบื่อ เดเนียล เดย์ฯ เล่นได้โฉดสมบท สมราคาอะคาเดมี่อะวอร์ด แม้จะไม่มีผู้หญิงสวยๆ งามๆ ให้ดูเลยก็ตาม อย่างไรก็ตาม การดูหนังเรื่องนี้มันก็ได้ Deep Impact แบบแปลกๆ ดีนะคะคุณ
โดยเฉพาะอิมแพคในแนวศาวนาและความเชื่อ

ยังไม่อยากเอามาพูดในนี้ เอาเป็นว่า ใครชอบหนังดราม่า ใครสนใจประเด็นของ "ความเชื่อ" ในศาสนาก็ลองไปดูแล้วกัน ที่ลิโด้ตั๋วถูกค่ะ 100 บาท รอบปกติ เสาร์อาทิตย์รอบเช้า 80 บาทเอง โทรถามเลยที่ 0 22526498

ป.ล. (อีกที) ไม่น่าเชื่อว่าผู้กำกับคนนี้เคยทำหนัง Boogie Nights มาก่อน แกกำกับบทดราม่าได้ประทับใจจริงๆ (Boogie Nights ก็ดราม่านี่หว่า ถึงจะพูดถึงการทำหนังโป๊ก็ตาม) ส่วนเรื่องถ่ายภาพยอดเยี่ยม ดิฉันไม่มีความเห็นค่ะ เพราะยังไม่ได้ดูหนังเรื่องอื่นๆ ที่เข้าชิงเลย

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

คำคม#5

การเล่นเน็ตโดยไม่มี anti-virus

ก็เหมือนการมีเซ็กซ์โดยไม่ใช้ condom

 

 

(ใครคนหนึ่งรำพึงออกมาหลังจากทราบว่าคอมพิวเตอร์โดนไวรัสรุม)

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เรื่องเครียด เครียด (ของสาวโสด)

 

เครียดๆๆๆๆ


เครียด-คอมเสีย โดนไวรัส? ฮาร์ดดิสพัง? เน็ตใช้ไม่ได้?
เครียด-ส่งซ่อมที่ไหนดี
เครียด-เครื่องเรามีรูปโป๊ไหมนะ?
เครียด-เสียตังค์อีกแล้ว
เครียด-อธิบดี DSI โดนย้าย
เครียด-แฟนพันธุ์แท้คนรักทักษิณ
เครียด-เปิดช่อง 11 สายๆ วันอาทิตย์แล้วเห็น....
เครียด-โครงไก่ต้มฟัก
เครียด-ไม่มีไดรเวอร์ของคุณมาโนช
เครียด-ตื่นสาย
เครียด-ตาบวมเพราะนอนมาก? หรือนอนน้อย?
เครียด-รองเท้ากัด
เครียด-ต้องถักเข็มขัดให้เสร็จ 1 เส้น
เครียด-ผ้าพันคอที่ถักเสร็จคนรับได้รับหรือยัง???
เครียด-เครียด เครียด เครียด
เครียด-เพื่อนหายไปไหนหมดฟะ?

เครียดว๊อยยยยยยยยยย!!!!

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Rules of Prey: เหยื่อวิปริต

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Mystery & Thrillers
Author:John Sandford ผู้แปล: วุฒินันท์
โดยส่วนตัวแล้ว หากจะอ่านหนังสือแปลแนวสืบสวนสอบสวนสักเล่ม ก็มักจะเลือกเล่มที่คุ้นคนเขียน (ระยะหลังนี่อ่านสตีเฟ่นคิง) และคุ้นคนแปล (ช่วงนี้คุ้นพี่นพดล เวชสวัสดิ์) การอ่านหนังสือเล่มนี้ก็เลยไม่ได้เกิดจากการดำริอยากอ่านเอง แต่อ่านเพราะต้องทำงาน

ขอสารภาพอีกว่า อันที่จริงแล้วการเขียนรีวิวหนังสือน่ะ ไม่จำเป็นต้อง ‘อ่าน’ เสมอไปหรอก แค่อ่านไวๆ แบบจับใจความ จับประเด็น ทำความเข้าใจอะไรๆ บางอย่างได้ ก็เขียนได้แล้ว ก็เราไม่ได้เขียนเรื่องย่อหนังสือนี่หว่า (ถ้าถอดความมางั้น อ่านบทความเราเสร็จคงไม่จำเป็นต้องไปซื้อหนังสือที่เราเขียนถึงมาอ่านแล้วน่ะซี)

แต่อีตอนที่จะหยิบหนังสือเล่มนี้มาทำการสแกนพรืดๆ เพื่อจะเขียนรีวิว ดั๊นไปค้นพบว่า นี่มันหนังสือน่าอ่านนี่หว่า!

อะไรคือสิ่งที่ทำให้อยากอ่าน? ไม่ใช่ปกหรอก แล้วก็ไม่ใช่ทั้งชื่อคนเขียน กับคำโปรยสดุดีความสยองซ่อนเงื่อน โครงเรื่องสุด twist ฯลฯ จากคอลัมนิสต์ดังทรงอิทธิพล ที่สำนักพิมพ์มักจะหาที่วางได้เสมอ (อย่าไปเชื่อ จนกว่าจะได้อ่านเอง) สิ่งที่ทำให้ดิฉันอยากอ่านหนังสือเล่มนี้คือ “คำนำผู้เขียน” ค่ะ

จอห์น แซนด์ฟอร์ด คืออดีตนักข่าว แต่จะเป็นด้วยเหตุที่แกไม่ได้เป็นนักข่าวบันเทิงที่จะได้รับเชิญไปชมคอนเสิร์ตฟรี หนังฟรีอยู่บ่อยๆ อีกทั้งไม่ได้เป็นคอลัมนิสต์คอลัมน์แนะนำที่กิน ที่จะได้ตระเวนกินฟรัวกราส์ทั่วประเทศ หรือถูกเชิญไปชิมไวน์ทุกเทศกาลก็ไม่ทราบ หลังจากถูกส่งไปทำสารพัดข่าวตั้งแต่ทอร์นาโดถล่ม อุบัติเหตุร้ายแรงบนทางด่วน ไปจนถึงคดีฆาตกรรม (ตั้ง 40 คดี!) ทำงานมาหลายสิบปี ก็ชักจะสะสมความเศร้าหมอง เจ็บปวดของชีวิตมากขึ้นทุกที อยู่มาวันหนึ่งจึงตัดสินใจว่า 'พอกันที' กับอาชีพนักข่าว

ด้วยทักษะที่แกมี จะทำอะไรกินดีไปกว่าการเขียน ว่าแล้วแกก็คิดจะเขียนหนังสือ

นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่ผลงานแรกของแซนด์ฟอร์ด แต่เป็นเรื่องแรกของหนังสือชุด “เหยื่อ” ที่แกทุ่มเทเวลาวางพล็อตอยู่นาน โดยการหยิบประสบการณ์ตรง (แกคงนึกขอบคุณสวรรค์ที่ได้เป็นนักข่าวอยู่หลายสิบปี) มาใช้ แล้วก็สร้างตัวละครตำรวจสุดเริศ ชื่อ ลูคัส ดาเวนพอร์ต ขึ้น

คุณคะ อ่านไปแค่ 2 บรรทัด ดิฉันก็หลงรักร้อยตำรวจโทหน้าบาก มาดเท่ (โสด) ที่หาเงินเก่งจากการแทงม้า และอาชีพเสริมจากการออกแบบเกม ริอ่านไปมีสัมพันธ์สวาทกับนักข่าวทีวีอเมริกัน (สาว+สวย) แค่นั้นไม่พอ พี่ยังไปคั่วกับพยานสาวปากสำคัญของคดีอีกด้วย! ใครจะคิดคะว่าเจ้าของบุคลิกเพลย์บอยแบบนี้จะมีบ้านหลังใหญ่ สวย+สะอาด แถมยังขับปอร์เช่อีก -โอย ดิฉันจะเป็นลม

ก็อย่างที่คุณก็พอจะเดาได้จากชื่อเรื่องว่านิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องของการฆาตกรรม ใช่ค่ะ มันคือฆาตกรรมต่อเนื่อง เป็นการฆ่าข่มขืนสาวสวยที่มีลักษณะร่วมกันบางประการ โดยฆาตกรที่มีความแหว่งเว้า (สำนวนพี่นพดล) ไม่สมประกอบทางจิต มันเป็นเรื่องของการที่ตำรวจจะสอบสวนยังไงให้ไปถึงตัวคนร้าย ผู้ซึ่งมีข้อมูลการฆาตกรรมโคตรเยอะ แถมยังวางแผนไว้โคตรดี-พล็อตเพลนๆ แบบเดียวกับหนังและนิยายแนวนี้อีกหลายเรื่อง

แต่ความสนุกของ Rules of Prey มันอยู่ที่การใช้ความสังเกต เก็บร่องรอยทุกอย่าง กลวิธีในการสืบ ควานหาข้อมูล การบีบเค้น กดดันฆาตกร โดยการ “ปล่อยข่าว” ไปทางพันธมิตรนักข่าวสาวๆ ที่แต่ละคนก็อยากจะดี-เด่น-ดังด้วยข่าวเด็ดๆ เหมือนกัน (สถานการณ์ win-win นะ) อ่านๆ ไปมันชักจะไม่ใช่เกมของผู้ร้ายกับตำรวจแล้วซี แต่ยังเป็นเกมของตำรวจ-นักข่าว และเกมระหว่างผู้หญิง-ผู้ชายด้วย (ฮ่า ฮ่า ที่ไหนๆ ก็มีเรื่องแบบนี้)

แต่สุดท้าย เกมทุกเกมมันจะถูกเล่นไปตามกฎจริงหรือ แล้วแซนด์ฟอร์ดจะให้เกมจบยังไง ฆาตกรเจ้าของปมด้อยในใจ แต่วางแผนก่อนลงมืออย่างโคตรรัดกุมจะหลุดรอดไปแผลงฤทธิ์ใน Shadow Prey ตอนใหม่ของนิยายชุด “เหยื่อ” หรือจะเหลือแค่คุณตำรวจสุดเท่ห์ไปวาดเสน่ห์แค่คนเดียว

อยากรู้ต้องหามาอ่านเองจ้ะ



คำเตือน! จำ 2 ชื่อนี้ไว้ให้ดี Lucus Davenport และ John Sandford


หมายเหตุ: ขอขอบคุณ Great Publishing ทีเลือกเรื่องดี๊ดี สนุ๊กสนุก มาแปล แต่ฝากปรับปรุงคุณภาพการพิสูจน์อักษรอีกนิด คนอ่านจะรู้สึกคุ้มราคา กล้าจ่ายมากขึ้น พร้อมกันนี้ขอเป็นกำลังใจให้ผู้แปลฝึกฝนและขัดเกลาสำนวนแปลต่อไป ให้เริ่ศยิ่งขึ้น และเริ่ศยิ่งขึ้น ที่แปลอยู่นี่ก็โอ แต่ถ้าทำได้เจ๋งกว่านี้มันคงจะเยี่ยมมากๆ เลย

Rules of Prey: เหยื่อวิปริต
พิมพ์ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2550 โดยสำนักพิมพ์ Great Publishing
ราคา: 279 บาท

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Cafe Sweet@Secret Garden

Rating:★★★★★
Category:Restaurants
Cuisine: Desserts
Location:ถนนสาทรใต้ (ฝั่งเดียวกับโรงแรมสุโขทัย) ระหว่างซอยสวนพลูกับสาทรซอย 5 (เยื้องซอยคอนแวนต์) โทร. 0 2286 2454
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะ Crêpe Cake ของ Cafe Sweet ร้านขนมเค้กสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งจะมีเนื้อเค้กนุ่ม เบา และหวานน้อยกว่าเค้กแบบฝรั่งที่หนักนมเนยมากกว่า

Crêpe Cake เกิดจากการวางแผ่นเครปแสนบางที่ทำจากแป้งเค้กนิ่มลิ้นทับซ้อนกันถึง 20 ชั้น แต่ละชั้นคั่นด้วยครีมสดนุ่มหอมที่บรรจงปาดไว้อย่างบางอีกครั้ง ก่อนเสิร์ฟเขาจะราดซอสสตรอเบอรี่รสเปรี้ยวอมหวาน แล้วก็หอมสตรอเบอรี่

เพิ่งเคยชิม Crêpe Cake เป็นครั้งแรก แต่คำแรกที่ได้สัมผัสความเย็นที่นิ่มเนื้อ (และแน่นอนว่าเป็นเค้กที่ไม่หวานเกินไป) ของแผ่นเครปก็รู้สึกว่าใช่เลย เจอแล้ว Crêpe Cake ที่อยากจะแนะนำคนอืนให้มาลองชิมกัน!

Crêpe Cake นี่ต้องเสิร์ฟเย็นๆ ถ้าจะซื้อกลับบ้านอย่าลืมถามถึงน้ำแข็งแห้ง แต่ถ้าเป็นไปได้อยากแนะนำให้นั่งกินที่ร้าน โดยเฉพาะตอนบ่ายๆ ปลายหน้าหนาวที่แสงยังสวยอยู่อย่างนี้ ร้านนี้เขาจัดไว้สวยงาม ทั้งสวนและ decoration ภายใน จะมาจู๋จี่กัน หรือจะหาของว่างยามบ่ายกับชาร้อนสักกาก็เยี่ยมเลย นอกจาก Crêpe Cake แล้ว เขายังมีของหวานน่าตาน่าชิมอีกมากจนแทบจะเลือกไม่ถูก (พอดียังไม่ได้ชิมเลยยังไม่กล่าวถึง)

Cafe Sweet ตั้งอยู่ถายในรั้วเดียวกับร้านอาหารไทยชื่อ Secret Garden ซึ่งเสิร์ฟอาหารไทยรูปแบบที่ไม่ Tradition จนเกินไป จะเรียกเป็น Fusion Thai เขาก็ว่าไม่ใช่แบบนั้น เอาเป็นว่าเป็นอาหารไทยที่พาฝรั่งมากินได้ น้ำตาไม่ไหล อร่อยได้ทั้งโต๊ะ

Crêpe Cake 1 ชิ้นราคา 105 บาท 3 ปอนด์ ราคา1,260 บาท 4 ปอนด์ราคา1,500 บาท (มาชิมก่อน ถ้าชอบใจจริงแล้วค่อยสั่งนะ) ถ้าจะมากินของว่างยามบ่ายที่ประกอบด้วยเค้กคนละชิ้น กับชาหรือกาแฟ งบประมาณน่าจะอยู่ที่ 4-500 บาทจ้ะ


หมายเหตุ เนื่องจากตอนไปชิมไม่ได้พกกล้องไปด้วย จึงอัญเชิญรูปที่แสนจะน่ากินของ Crêpe Cake มาจากหน้านี้ >> http://www.bkkmenu.com/recommend/secretgarden_cafesweets.html ใครอยากไปชิมลองศึกษาเส้นทาง และเลือกเมนูก่อนได้ที่หน้านี้เลย
ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยจ้ะ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ไม่มีใครไปด้วย-ก็ไปคนเดียวได้


แอบเห็นเค้านั่งหวานกันในเรือ


วันหยุดมาฆะบูชา ก็อยากจะเข้าวัดซะหน่อย
ไหนๆ จะไปซื้ออุปกรณ์งานฝีมือที่ตั้งฮั่วเส็งบางลำพู งั้นก็ไปไหว้พระวัดชนะสงครามซะเลย
เผื่อจะได้ชนะ (ใจ-แน่นอนที่สุด-ใจผู้ชาย) ซะมั่ง เอ๊ย ไม่ใช่ๆ เปลี่ยน "ซะมั่ง" เป็น "อีก" (ฮิฮิ)

วันนี้อากาศดีจัง แดดจัด ถึงฟ้าไม่ใส แต่ก็มีลมเย็นๆ มาทดแทน อากาศแบบนี้ทำให้คนอารมณ์ดีแล้วถ่ายรูปสวย (แต่ดำปื้ดโดยไม่รู้ตัว)

นั่งบีทีเอสไปลงสะพานตากสินแล้วต่อเรือด่วนไปขึ้นท่าพระอาทิตย์
แล้วเดินไปหยุดที่ร้านโรตีมะตะบะก่อนเลย
ระหว่างเดินทางคิดไปเป็นฉากๆ ว่าชั้นจะสั่งอะไรบ้าง
ที่ไหนได้ คนล้นออกมาริมถนนทีเดียว
(ก็อดอีกแล้วสิตู)

ซื้อของเสร็จสรรพก็ข้ามถนนเดินไปวัด ปรากฏว่าผ่านศาลเจ้าแม่กวนอิม (ไม่เคยสังเกตมาก่อน) เลยแว้บเข้าไปสังเกตการณ์
แถวๆ นี้แดงดีนะ

ส่วนที่วัดชนะสงครามน่ะหรอ
ก็อดไง
เพราะวันนี้วันพระใหญ่ มีเสด็จมาเวียนเทียนตอนห้าโมงเย็น
เลยได้แค่ไหว้อยู่นอกโบสถ์ แล้วก็กลับ
(ชาติหน้าต้องเกิดเป็นผู้หญิงอีกแน่เลย T T)

ไม่เป็นไร...คราวหน้าเอาใหม่!

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

อยู่ๆ ก็คิดถึงขึ้นมา


คุณตัวนี้ชื่อว่า "คุณขาว" ไม่ใช่หมาที่หม่าม๊าดิฉันเลี้ยงไว้ตั้งแต่แรกหรอก ว่ากันว่าคุณขาวอพยพจากบ้านยาย มาด้อมๆ มองๆ แถวๆ บ้านเรา-พอดีบ้านเราไม่มีรั้ว
หม่าม๊าดิฉันเห็นมาอยู่เรื่อยๆ คงจะเอ็นดู สงสาร เลยแกล้งวางชามข้าวเอาไว้ให้
หลังๆ คุณขาวเลยย้ายสำมะโนครัวมาเป็นการเกือบถาวร ที่ว่าเกือบก็เพราะเธอไม่ได้ทำตัวเป็นหมาในบ้านเต็มรูปแบบ
ออกแนว "หมาอิสระ" มากกว่า

คุณขาวไม่เคยยอมอยู่นิ่งให้ใครจับตัวมันได้ เธอยังคงรักษาระยะห่างระหว่างตัวเองกับคนในบ้านไว้เท่าเดิม แต่ดิฉันก็เชื่ออยู่ลึกๆ ว่า ถ้าไม่ติดที่หมาบ๊องซึ่งหม่าม๊าเลี้ยงไว้ประดุจลูกคนเล็ก (เพราะลูกจริงๆ ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย) คุณขาวก็อาจจะยอมเข้าใกล้เรามากกว่านี้ ไม่วางตัวอยู่นอกวงโคจรอย่างนั้น

ดิฉันเห็นคุณขาวครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตา ด้วยดิฉันมักรำคาญหมาประเภทชอบประจ๋อประแจ๋ จึงรู้สึกปลื้มคาแรกเตอร์ของคุณขาว หมาตัวใหม่ สีขาวออฟไวท์เพราะไม่ยอมให้ใครจับอาบน้ำอยู่ไม่น้อย

เคยถามหม่าม๊าว่าทำไมมันไม่เข้าใกล้เรา และไม่ยอมให้เราเข้าใกล้ หม่าม๊าคงไม่รู้หรอก แต่ฟันธงว่าคุณขาวมันมี 'อดีตที่เจ็บปวด' ประมาณว่าตอนเล็กๆ คงจะถูกคนตีมา..อะไรพรรค์นั้น

ทว่า ในกลับบ้านประมาณครั้งที่ 2-3 ถัดจากครั้งนั้น มองหาคุณขาวไม่เจอ เจอแต่หมาขี้ประจบ ก็ถามถึง หม่าม๊าบอกว่า ก็ตามหาอยู่เหมือนกัน แต่วันก่อนเด็กๆ มาเล่าว่าคุณขาวมันตายแล้ว
เพราะว่ามันชอบไปแถวๆ หมู่บ้านทางโน้น แล้วคนในหมู่บ้านนั้นเค้าคงไม่ชอบหมา
เค้าเลยเอาอะไรบางอย่างผสมกับอาหารให้หมากิน หมาก็เลยตาย

ไม่ได้ตายแต่คุณขาวหรอก มีอีกหลายตัวเลย

ทีนี้เนื่องจากว่าคุณขาวเธอไม่ยอมเข้าบ้าน ก็เลยไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็ได้แต่คิดกันไปว่า สงสัยไปเที่ยว เดี๋ยวก็คงมา

รู้แล้วก็สงสารจัง ตอนเด็กๆ ก็ถูกคนตีจนกลัว ไม่กล้าไว้วางใจ เลยไม่มีโอกาสมีความสุขในการประจ๋อประแจ๋เจ้าของ ไม่ได้มีความสุขในการแสดงความเป็นเจ้าของคนที่เป็นเจ้าของเหมือนหมาอื่น แล้วก็ยังต้องมาตายเพราะคนใจร้ายอีก
(แอบคิดไม่ได้ ว่าไม่รู้คนใจร้ายจะทำยังไงกับศพของมัน)

เห็นรูปแล้วคิดถึง
(มันคงไปดีแล้วกระมัง?)

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ฮิ

 

เด็กชายแวะไปหาเด็กหญิงที่บ้านโดยเอาลูกฟุตบอลไปด้วย.......
แล้วล้อเด็กหญิงว่า 'ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เธอจะไม่มีลูกฟุตบอลเพราะเธอเป็นผู้หญิง'

เด็กหญิงร้องไห้วิ่งไปหาแม่ แม่ก็เลยซื้อลูกฟุตบอลให้...............    เด็กชายโมโหมาก......



 

 

 

วันต่อมาเขาก็แวะไปหาเด็กหญิงอีก  แล้วเยาะเย้ยว่า
'
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เธอจะไม่มีจักรยาน เพราะเธอเป็นผู้หญิง'

เด็กหญิงร้องไห้วิ่งไปหาแม่ แม่ก็เลยซื้อจักรยานให้....................   เด็กชายโมโหมาก…………..



 

 

 

วันต่อมาเขาก็แวะไปหาอีก คราวนี้เขารูดกางเกงลงมา แล้วก็งัดเจ้าหนูตัวน้อย ๆ ออกมาโชว์แล้วพูดว่า

'
ฉันมี 'อ้ายนี่ ' แต่เธอจะไม่มี ' อ้ายนี่ ' แม้จะร้องไห้วิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งไปหาแม่ก็เหอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า '


เด็กหญิงร้องไห้วิ่งไปหาแม่ในทันที อีกเพียงหนึ่งอึดใจ เด็กหญิงตัวน้อย ๆ น่ารักก็วิ่งลงมา

พร้อมกับถลกกระโปรงขึ้น แล้วพูดอย่างสะใจว่า


'แม่บอกว่า  ตราบใดที่ฉันมี 'อีนี่' อยู่ ฉันจะเอา 'อ้ายนั่น' กี่อันก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า'  

 

หมายเหตุ: เรื่องขำขันจาก forward e-mail

คำคม#4

 

 

"for whatever I am and will become, I owe it to my mother."

 

said Abraham Lincoln

(Feb 12, 1809-Apr 15, 1865)

16th President of the United States

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 6: เรื่องของสเปค และฉันรักเด็ก (ผู้ชาย)

โอชโช่เคยสังเกตว่าผู้ชายส่วนใหญ่ชอบผู้หญิงลักษณะคล้ายๆ กัน

ดูเหมือนว่า 'คิวคุง'-น้องชายคนสนิทของเธอก็ไม่ได้แปลกไปจากคนอื่น

บ่ายวันหนึ่ง สองคนนี้คุยกันผ่านโปรแกรมเอ็มเอสเอ็นอย่างออกรส

คิว: เจ้ช่วยผมหาแฟนหน่อยสิ
โอชโช่: บอกสเปคมาสิ
คิว: ตัวเล็ก
ขาวๆ หน่อย
น่ารักๆ
บ้องแบ้ว
ขี้เล่น
.....
เยอะไปป่าว
โอชโช่: เอ่อ... ทุกอย่างที่คิวชอบ ไม่มีในตัวเจ้เลยว่ะ
เสียใจด้วยนะ โฮะ-โฮะ-โฮะ
คิว: อันนี้แหละเป็นทางเลือกใหม่
โอชโช่: แต่ผู้ชายส่วนใหญ่เค้าก็ชอบผู้หญิงแบบเดียวกับคิวอ่ะแหละ
คิว: คงงั้น
โอชโช่: เจ้น่ะ ที่จริงแล้วชอบผู้ใหญ่ล่ะ
ผู้ใหญ่เท่านั้น
คิว: แหง่ว

โอชโช่: ก่อนหน้านี้เจ้รำคาญเด็กด้วย เพราะคิดว่าเด็กน่ะ ปัญญาอ่อน คุยกันไม่รู้เรื่อง
คิว: เด็กเป็นฝ่ายผิดช่ายมั้ย?
โอชโช่: แต่เดี๋ยวนี้ปลงอนิจจังแระ
คิว: กรรม
โอชโช่: ก็ผู้ใหญ่มีเมียกันไปหมดสิ้นแล้ว
คิว: 5555
ตอนนี้หรอ ขอแค่แบบ นิสัยดีๆๆๆๆๆ
หน้าตากลางๆ ก็โอแล้วเจ้
โอชโช่: แต่ว่า คิวคุงยังไม่แก่เลยนะ มาทำเป็นปลง อ้อนหรือไง
คิว:
โอชโช่: มีแฟนคนแรกเมื่อไหร่ บอกมา
คิว: ม.3
โอชโช่: เพื่อนหรอ เล่าซิ
คิว: คนแรกก็รักแบบเด็กๆ อ่ะเจ้ เรียนจบก็หาย
พอมาม.ปลาย คบอีกคน แล้วก็เลิก ก็แบบเด็กๆ อีกนั่นแหละ
พอปี 1 กลางๆ ก็มีอีก คยกันระยะนึงดันโดนทอมมาแย่ง
ซวยโคตร
โอชโช่: กรี๊ดดดดดดดดดด โดนทอมแย่ง!
แปลว่าแกต้องเห่ยสุดๆ
คิว: เดี๋ยวเจ้ ยังไม่จบ
พอเลิกกะคนนั้นไป ก็เกิดอาการโรคจิต คือคนต่อไปที่คบต้องดีกว่าเก่า ต้องสวยกว่าเงี้ย
แต่ก็ไม่มีใครจริงจัง แค่กิ๊กๆ กันไปอีก 2-3 คน จนมาเรียนจบ เริ่มทำงาน ก็เจอคนที่คิดจะจิงจังแล้ว
โอชโช่: อืมอืม
คิว: แต่ดันไปทะเลาะกับน้องเค้าอีก
โอชโช่: ไงนะ
คิว: เค้าบอกว่าน้องเค้าไม่ชอบหน้าคิว คิวเลยบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยๆ ปรับตัวก็ได้
ก็ชวนไปโน้นไปนี่ ทำดีด้วย แต่เค้าก็ยังไม่ยอมอ่อน หลังๆ เริ่มพูดจากวนทีน จนทนม่ายไหว
โอชโช่: แล้วทำไมเค้าไม่ชอบคิว เพราะว่าคิวไม่หล่อหรอ
คิว: ก้อ ม่ายรู้สิเจ้ นั่นหล่ะ คิวก็ระเบิดไป นั่นแหละก็จบ
โอชโช่: เฮ่อ แย่เนอะ
แล้วตอนนี้คิวคิดถึงคนไหนละ ใช่คนสุดท้ายไหม
คิว: คิดถึงเจ้อะดิ
โอชโช่: -_-"
คิว: 5555
คนสุดท้าย ที่เค้าหาว่าคิวไม่ใส่ใจ แล้วก็คนที่ทะเลาะกะน้อง
จบแล้วล่ะ ชีวิตรักของคิว
เออ แต่ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมชอบไปจีบคนมีเจ้าของทั้งนั้นเลย
มารู้ทีหลังตลอด ว่าเลิกกันเพราะเรา
โอชโช่: แล้วคิวมาชอบเจ้ตรงไหน
คิว: ก็ตรงที่เจ้มีเหตุผลมั้ง
ตรงไปตรงมา
มีความคิดเป็นของตัวเอง
...หรือว่า คิวคิดไปเอง?
โอชโช่: โฮะ-โฮะ-โฮะ
เรายังไม่รู้จักกันดีพออ่ะดิ
ชั้นน่ะ ที่สุดของความไร้เหตุผล งี่เง่า เจ้าอารมณ์ แล้วก็ชอบทำร้ายคนด้วยคำพูด
ชอบใช้กำลังอีกตะหาก
คิว: เจอมาหมดแล้วเจ้ ไม่กลัวหรอก
5555
โอชโช่: เออ! งั้นก็รอดูกันปาย

การคุยกันเรื่องสเปคอย่างเมามันของพี่สาวและน้องชายคนสนิทต้องจบลงอย่างกะทันหันเนื่องจาก 'คนที่คุณก็รู้ว่าใคร' ได้กลับเข้าออฟฟิศมาทำงานต่อ
คาดว่าสองคนนี้คงจะ(แอบ)สนทนาเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้อีก
หากคราวไหนสนุกพอ จะเอามาเล่าให้อ่านกันต่อไป


เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 6: เรื่องของสเปคและฉันรักเด็ก (ผู้ชาย) ภาคพิเศษท้ายเรื่อง
วันนี้โอชโช่ต้องเข้าไปหาหนังสือในศูนย์หนังสือจุฬาฯ สาขาสยาม แต่มาถึงเมื่อหิวข้าวจนตาลาย จึงตัดสินใจเข้าโรงอาหารคณะทันตแพทย์ที่อยู่ข้างๆ เสียก่อน
'คนเยอะโคตร อ้าว นี่มันเที่ยงนี่หว่า' โอชโช่นึกสงสัยว่าวันนี้มันวันอะไร ทำไมมีเด็กวัยพรีทีนกลาดเกลื่อนไปหมด
'ไม่ได้การ ต้องรีบกิน รีบไป' โอชโช่ไม่ค่อยถูกโรคกับเด็ก ไม่ใช่แค่ไม่มีความอดทน บางครั้งบางคราวยังออกอาการ 'ขวาง' เด็ก ด้วยซ้ำไป
"นั่งด้วยได้ไหมครับ" เด็กผู้ชายตาตี่แก้มกลมในเสื้อยืดสกรีนลายการ์ตูนแบบต่อสู้ แบกเป้ ถือชามก๋วยเตี๋ยวมาถามเบาๆ
"" โอชโช่ไม่ตอบแต่ยิ้มให้ พร้อมพยักหน้าหนึ่งที พลันสายตาก็ไปเห็นว่าเป้ข้างหลังเด็กชายเปิดอ้าอยู่
"... เอ่อ เป้หนูไม่ได้รูดซิปน่ะ เดี๋ยวของจะตกนะ" โอชโช่บอกด้วยหน้าตาคุณพี่ใจดี
"ซิปมันรูดไม่ได้(ครับ)" อ้อ ซิปเสีย..เด็กชายกล้าตอบแต่ไม่สบตาตรงๆ ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาคีบก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำในชามตรงหน้า ดูดเส้นพรืดๆ เข้าปากอย่างอร่อย แต่.. 'เฮ้ย นั่นเค้าใส่พริกด้วยนี่หว่า.. ' เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่นะ? โอชโช่ประมาณการว่าน่าจะ 8-9 ขวบ ไม่น่าเกิน 10 ขวบละเอ้า

โห..ท่าทางอร่อยนะนั่น กินเส้นกินลูกชิ้นหมดแล้วยังตักน้ำแกงกินเกือบเกลี้ยงเลย 'เด็กคนนี้กินเก่งจริงๆ...'
น้องเค้ากินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ(เผ็ด+ร้อน)เสร็จก่อนโอชโช่กินข้าวกระเพราไข่เจียวที่กินไปแล้วนิดนึงก่อนเค้าจะมาถึงอีก
'อ่ะ ลุกแล้ว สงสัยไปซื้อน้ำ คงจะเผ็ดละสิ'
แต่..ไม่ใช่ เด็กชายกลับมาพร้อมก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำชามใหม่
โอชโช่เลยยิ้มแบบหมดใจ หลงรักเด็กชายผู้เจริญอาหารคนนี้ตั้งแต่ตอนนั้น
'ลูกใครหว่า น่ารักจริงๆ มาคนเดียว กล้าหาญมาหาที่นั่งในโรงอาหารตอนเที่ยงแล้วยังกินได้อร่อยขนาดนี้ ดูสิ กินเผ็ดก็ได้'
"โห ใส่พริกด้วยหรอ?" โอชโช่เย้า
"...." ไม่ตอบแต่ยิ้มนิดพร้อมพยักหน้า
"กินสองชามแปลว่าอร่อย ซื้อร้านไหนเนี่ย วันหลังพี่จะไปซื้อบ้าง" เด็กชายชี้อย่างอายๆ ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวต้นเรื่อง ปากอิ่มๆ ของเขาเป็นสีชมพูปลั่ง แต่ปลายจมูกไม่มีเหงื่อออกแสดงถึงความเผ็ดสักนิด ว่าแล้วเขาก็ลงมือจัดการก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามที่สองอย่างเอร็ดอร่อยต่อไป

'อยากมีลูกจัง' โอชโช่บอกกับตัวเองตอนที่เดินออกมาจากโรงอาหาร
'ถ้าเรามีลูกชายหน้าตาอย่างนี้ แล้วก็เก่งอย่างนี้คงปลื้มพิลึกล่ะ'
แล้วเธอก็เดินเข้าศูนย์หนังสือจุฬาไปอย่างเบิกบาน


หมายเหตุ: เรื่องเล่าเรื่องนี้แค่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความหรรษาให้กับหัวใจในหมู่ผู้อ่าน ที่จริงผู้เขียนก็อยากจะสอดแทรกประเด็นมีประโยชน์ไว้บ้าง แต่ถ้าตอนไหนมันไม่มีโปรดอย่าคิดมาก ชีวิตนี้แสนสั้น ดังนั้นจงหรรษาเข้าไว้นะจ๊ะ

ป.ล. โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน แล้วก็อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังมากนักล่ะ

恋空...KOIZORA: ฉันรักท้องฟ้า...กับคนบ่อน้ำตาตื้น

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama
ตอนชวนน้องสาวไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน น้องก็ไป แต่ถามนิดว่าเป็นหนังยังไง
ก็บอกไปประมาณที่รู้ว่า หนังรักเศร้าซึ้งน่ะ น้องร้องไอ๋หย๋า บอก "เค้าเป็นคนอ่อนไหวนะเจ๋"
แต่ที่ไหนได้ คนที่ต้องควักแว่นกันแดดออกมาสวมตั้งแต่ยังไม่พ้นชายคาโรงหนังก็คือดิฉันเอง
(ดีนะ ที่ไม่ดันทุรังไปดูตั้งแต่คืนวันวาเลนไทน์-วันแรกที่หนังเข้า ไม่งั้นตอนลากสังขารกลับบ้านคงน่าเวทนาพิลึกอยู่)

เพื่อปล่อยอารมณ์ลอยกับเรื่องที่กำลังจะเล่า ขอให้ทุกคนช่วยนึกถึง "รักแรก" ของตัวเองไปด้วยนะจ๊ะ

จำได้ใช่ไหมว่าตอนที่รักแรกมาทักทายหัวใจ เรายังใส๊-ใส เรายังใหม่ต่อโลก หัวใจเรายังแข็งแรงสมบูรณ์ แบรนด์นิว ไร้รอยขูดข่วน
จำได้ใช่ไหมว่าตอนนั้นเรามองโลกด้วยตาเป็นประกาย เห็นสรรพสิ่งเป็นสีพาสเทลนุ่มหวาน โรแมนติกสุดๆ
รักครั้งแรกเหมือนมากระตุ้นหัวใจ มันผลักดันให้มีสิ่งสำคัญๆ เกิดขึ้นมากมาย เรารู้สึกมีพลัง และเริ่มรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพื่อใครก็ช่วงนี้แหละ

KOIZORA ที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Sky of Love ก็เล่าเรื่องความรักครั้งแรกของผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องที่เขาเล่าช่างทำให้หัวใจหญิงใหญ่อย่างดิฉันรู้สึกอิ่มเอิบ แต่ถึงจะชมเรื่องราวรักแรกของเด็ก ม.ปลาย ตอนที่ฮิโรจีบมิกะและตอนที่เขาคบกันด้วยสายตาผู้ใหญ่ อย่างคนเข้าใจโลก แต่รับรองว่าไม่มีทางอินเท่าเด็กสยามที่ซื้อตั๋วเข้าไปชมรอบเดียวกันแน่ๆ

ตอนที่สองคนพากันไปขอโทษพ่อแม่ฝ่ายหญิง ด้วยความเข้าใจโลกก็ทำให้รู้สึกตื้อๆ ในอก รอบขอบตาเปียกประปราย
มาต่อมน้ำตาแตกอีตอนที่ฮิโรเขาพยายามขอเลิกกับมิกะนี่เอง

ใครเคยเลิกกับแฟนคงพอเข้าใจอยู่ ว่าการเลิกกันที่ไม่ได้พร้อมใจจับมือกันเลิก แต่มีแค่ฝ่ายเดียวที่ 'ขอเลิก' น่ะ มันไม่ง่ายเหมือนการดับกระดาษติดไฟด้วยการใช้น้ำราด (ซึ่งถึงจะยังทิ้งควันและซากเถ้ากระดาษไว้ แต่ไฟก็จะดับอย่างแน่นอน)
แต่มันคือการดับไฟป่าอันเรื้อรัง เหมือนจะไม่มีวันดับได้ แต่ก็ต้องพยายามดับ เพราะยิ่งปล่อยไว้ทรัพยากรก็ยิ่งเสียหาย และยิ่งสร้างมลพิษให้กับโลก

ฮิโรเขามีเหตุผลสำคัญจึงตัดสินใจเลิกกับมิกะ (แม้จะผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกัน แต่เขาก็รักมิกะมาก) ซึ่งมิกะก็ไม่เข้าใจหรอก แล้วก็ไม่ได้อยากเลิกกับฮิโรด้วย วันสำเร็จการศึกษาเธอเลยนัดฮิโรไปพบกันที่มุมหนึ่งในห้องสมุด (ห้องสมุดโรงเรียนนี้ไม่เคยมีคนเลย) สถานที่สำคัญของทั้งคู่ แต่ฮิโรไม่มา โทรหาก็ปิดเครื่อง
มิกะก็เลยใช้ชอล์กเขียนสิ่งที่คงจะติดอยู่ในใจของเธอไว้ที่มุมหนึ่งของกระดานดำที่มีข้อความเต็มไปหมด(ขอโทษนะ อ่านไม่ออกว่ามันคืออะไรบ้าง)ว่า

"ตอนนั้นเธอมีความสุขไหม?"



ประโยคนี้เหมือนมาเปิดก๊อกน้ำตาของดิฉัน
น้ำตาถึงหล่นพรู หล่นพรูทีเดียว

ดิฉันเองก็รู้สึกติดค้างกับคนรักคนสุดท้ายในลักษณะคล้ายๆ กัน เราคบกันไม่นาน แต่ด้วยระยะเวลาเรื้อรัง เรื้อรัง จะเลิกไม่เลิกแหล่นั้น มันก็ไม่อาจเรียกว่าสั้น กว่าดิฉันจะตัดใจ ปล่อยเขาไป เลิกห่วง เลิกหวัง แล้วก็ทำใจได้น่ะ โคตรจะนาน โคตรจะลำบาก แล้วก็นานกว่าเวลาที่เราคบกันเสียอีก แต่ขอสารภาพเลยว่า แม้ทุกวันนี้จะพูดได้เต็มปากว่าเลิกกันแล้ว แต่บางวันก็ยังคิดถึง บางคืนก็ยังแสดงความกังวลออกมาในรูปของความฝันไม่ได้
อยากถามเขาเหมือนกันว่า ตอนนั้น ตอนที่เรายังคบกันน่ะ
เขามีความสุขไหม?

(เนื่องจากไม่คิดว่าจะอธิบายถูก ก็เลยจะไม่อธิบายแล้ว คนหัวอกเดียวกันคงเข้าใจกันเองละ)

ฮิโรกลับมาเขียนตอบว่า "ตอนนั้นฉันมีความสุขมาก บาย-บาย" อันนี้หนังเฉลยทีหลังว่าทั้งสองคนไม่แน่ใจเลยว่าอีกคนเป็นคนเขียนอีกประโยค

มิกะพยายามทำใจ เธอได้พบกับยู ผู้ชายอีกคนที่แสนจะดีด้วย นำพาสิ่งดีๆ และความสดใสใหม่ๆ เข้ามาในหัวใจอันบอบช้ำของเธออีกครั้ง แต่ในที่สุดก็ต้องทิ้งยูด้วยเหตุผลสำคัญ
ทำให้คนดูก็ได้เห็นน้ำตาลูกผู้ชายอีกครั้ง

เรื่องราวของมิกะกับฮิโรจบด้วยน้ำตา จากการจากลา ไม่ใช่การเลิกรา และเรื่องนี้ไม่ใช่หนังเรียกน้ำตาธรรมดา เพราะได้ปลอบใจทั้งคนที่รู้ตัวว่าต้องไป กับคนที่รู้ตัวว่าจะต้องอยู่ต่อโดยไม่มีคนรัก ปลอบไว้อย่างอบอุ่น

ว่าเขาไม่ได้จากไปไหนไกลจากใจของเธอเลย




ป.ล.1 แม้จะอยากรู้-แต่ไม่อยากถาม เพราะดิฉันทั้งกลัวคำตอบ และกลัวใจตัวเองค่ะ
ป.ล.2 ถ้าใครจะไปชมหนังเรื่องนี้ โปรดอย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดหน้า ยาดม และแว่นกันแดด และคอยสังเกตนิ้วสวยๆ ของน้องนางเอกให้ดี มันทั้งขาวเนียนแล้วก็เรียวยาว สวยจริงๆ
ป.ล.3 สาวๆ ช่วยตอบโหวตหน่อยว่าชอบ 'จีบ' มุกไหนมากกว่ากัน มุกที่ 1 จิ๊กมือถือไป แล้วก็ลบข้อมูลทั้งหมด แล้วก็โทรเข้าไปเพื่อให้เขามีเบอร์เราคนเดียว มุกที่ 2 มือเธออุ่นจัง เหมาะจะอุ้มลูกของเรา มุกที่ 3 ขอโทษที่ให้แต่แหวนถูกๆ ขอแก้ตัวโดยการให้ดาวทั้งฟ้า

***โปรดอย่าถือว่าบทความนี้เป็นการรีวิวหรือวิจารณ์ภาพยนตร์ เพราะมันเป็นเพียงแต่บันทึกความประทับใจจากหนังที่ได้ดู-ซึ่งอยากจะแชร์กับเพื่อนบ้าง-เท่านั้นเอง***

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 5: คุกกี้ช็อกโกแลตวาเลนไทน์กับน้องชายคนสนิท



พรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์
แต่วันนี้มีนัดกับหมอ!!!

'ว้าว! ไม่มีคนไข้เลยด้วย' คราวนี่นั่งไม่ถึงนาทีก็ได้เจอหมอแล้ว

2 อาทิตย์นานเหมือนสองเดือน ระหว่างเดินมาหาหมอยังรู้สึกเฉยๆ (กังวลนิดหน่อยก็เพราะวันนี้ไปถ่ายรูปต้นไม้ที่เจเจ จึงออกจะโทรม) แต่พอก้าวเข้าห้องหมอใจก็เต้นทันที  คราวนี้เล่นเอาเกือบตกเก้าอี้ทีเดียว

"อ้าว อ้าว ระวังครับ" หมอส่งเสียงทักทายขำๆ "ไหนดูซิเป็นไงบ้าง" ว่าแล้วก็กวาดตาไปทั่วใบหน้าของโอชโช่อย่างรวดเร็ว
'จะรีบไปไหนนะ คนไข้ก็ไม่ได้มีซักหน่อย' โอชโช่ท้วงด้วยสายตา แต่หมอบู๋ไม่ยักรู้เรื่อง "อืม หน้ามันน้อยลงแล้วเนอะ งั้นวันนี้ก็..... กับ..... นะ"

"อ๊ะ!!!!" เสียงที่โอชโช่ร้องขึ้นมาเพราะนึกเรื่องบางเรื่องได้ทำเอาหมอสะดุ้งโหยง "เพื่อนฝากมาถามอะไรบางอย่างอ่ะค่ะ เดี๋ยวนะคะ" ว่าแล้วหล่อนก็ต่อโทรศัพท์ไปหาเพื่อนรัก
"แก" โอชโช่เรียกเพื่อน "จะฝากถามหมอว่าไงนะ?...เท่าไหร่ ถึงจะไม่เป็นอะไรหรอ.. หา อะไรนะ?"

ชักไม่ได้ความ โอชโช่เลยส่งสายตาขอความเห็นใจไปที่หมอ "เอ่อ หมอจะรังเกียจไหมคะ..."
"ไม่รังเกียจครับ" หมอตอบหนักแน่นตั้งแต่คำว่าคะยังไม่หลุดจากปาก ว่าแล้วก็รับคุณมาโนชไปสนทนากับเพื่อนสาวของโอชโช่อย่างแข็งขัน
"ครับ... ไม่ได้ครับ อย. ไม่ให้ใช้เลยครับ ถ้าใช้จะโดนจับครับ.. จริงๆ เค้าก็ใช้กันครับ ได้ผล คือถ้าไม่แพ้ จะใช้ก็้ได้ครับ....ฯลฯ...."
ดูสิ น้ำใจหมอ  ตอบคำถามทุกคำถามของโอชโช่แล้วยังบริการตอบคำถามของเพื่อนซี้ขี้สงสัยของเธอด้วย

หลังจากหมอส่งคุณมาโนชคืนมาให้เธอรวบรัดบอกลาเพื่อน หมอจดแกรกๆ ลงไปในแผ่นชาร์ตที่หมอใช้จดอะไรๆ ทุกครั้งที่เจอกัน แล้วก็ก้มไปที่ข้างๆ โต๊ะค้นอะไรกุกกักๆ พอโอชโช่วางสายก็ได้เห็นคุกกี้ 2 ชิ้น วางอยู่ในมือหมอข้างละชิ้น

"แฮปปี้วาเลนไทน์ครับ" ต๊ายยย หมอน่ารักจัง
"อ่ะ" โอชโช่ทั้งปลื้มทั้งเขิน "จะดีหรอคะ" ว่าแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก
"อ้ะ งั้นคนชอบช็อกโกแลตก็เอาช็อกโกแลตนะ" หมอจัดการเลือกให้
กรี๊ดดดดดดดดด โอชโช่อยากจะกรี๊ดสลบ หมอน่ารักจริงๆ เลยเนอะ จำได้ด้วยว่าใครชอบช็อกโกแลต

หลังจากนั้น โอชโช่ก็จำไม่ได้ว่าตัวเองลอยมานอนในห้องถัดมาได้ยังไง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หมอเดินมาใกล้แล้ว (คุณผู้อ่านว่าบ้าไหมที่เธฮจำได้กระทั่งเสียงเดิน และไม่ใช่แค่นั้น เมื่อหมอมานั่งอยู่ข้างๆ เธอก็ดันรู้อีก-ทำไมนะ? เพราะอุณหภูมิร่างกายของหมอไม่เหมือนคุณน้องผู้ช่วยหรือไง) ใช่สิ มีสิวที่ควรฉีดยาให้ยุบ 1 เม็ด แล้วก็คราวนี้ควรจะได้แต้มกรดอีกแล้ว

"หมอคะ ทำไมตื่นมาตาถึงบวมคะ" โอชโช่เริ่มถามอีก
"มันก็เป็นได้จากหลายสาเหตุนะครับ ร้องไห้ก่อนนอนหรือเปล่า?"
"ไม่นี่คะ" ที่จริงเคยมีคนบอกว่าถ้าไม่อยากตื่นขึ้นพร้อมตาบวมเป่งเพราะร้องไห้ ก็อย่าเพิ่งนอนทันทีที่ร้องให้เสร็จ
"หรือว่านอนฝันแล้วร้องไห้?" หมอถามขำๆ แต่โอชโช่แน่ใจว่าพักนี้ไม่น่ามีอาการอย่างนั้นหลงเหลือแล้ว

"โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย เจ็บ!" คนร้องเจ็บจริงๆ แต่คนฉีดยาดันหัวเราะซะนี่
"หมอจะต้องเป็นหมอที่ฉีดยาได้เจ็บที่สุดแน่ๆ" โอชโช่ชักเริ่มโกรธ
"ไม่จริงหรอก" หมอไม่ยอม
"ขนาดเข็มบริจาคเลือดของกาชาดใหญ่บะเล่งยังไม่เจ็บขนาดนี้เลย"
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า นั่นมันคนละจุดกันนะครับ บนหน้าเนี่ย มีเส้นประสาทเยอะกว่ามากเลยนะ"
........แล้วหมอก็เริ่มแต้มกรดอีกครั้ง

"อา......ห์" ยังไม่สิ้นเสียงของความแสบจากกรด คุณมาโนชก็เริ่มบรรเลงตอนต้นของเพลงมาร์ช La Marseillaise ซึ่งเป็นท่อนอินโทรของ All You Need is Love ของ The Beatles เพลงริงโทนเข้ากับเทศกาลแห่งความเลิฟ
ต้องเป็นน้องชายคนสนิทของโอชโช่แน่ เขาโทรมาแล้วครั้งนึง ตอนที่เธอพึ่งถูกปิดตา และคุณน้องผู้ช่วยเริ่มกระบวนการปรนนิบัติพัดวีผิวหน้าให้ ซึ่งตอนนั้นเธอก็ปล่อยให้กลายเป็น 1 สายที่ไม่ได้รับไปทีนึงแล้ว

'สงสัยคิวคุงกลัวเราไม่โทรกลับแน่เลย' เอาไงดี จะรับสายตอนหมอกำลังหยดกรดอย่างนี้เห็นทีไม่เหมาะ เมื่อกี๊หมอก็ช่วยตอบคำถามทางโทรศัพท์ตั้งนาน แต่ปล่อยให้ดังอย่างนี้เดี๋ยวหมอร้องรับ all you need is love ตามหรอก
งั้น mute เสียงเรียกเข้าก่อนดีกว่า

ปิดเสียงริงโทนได้ไม่นาน หมอก็เสร็จธุระกับใบหน้าของเธอ หูของโอชโช่ก็ได้ยินเสียงหมอเดินกลับไปห้องตรวจ มันยังได้ยินเดินไปนั่งในห้องตรวจ เสียงหมอตรวจผู้หญิงอีก 2 คน

ซึ่งทั้งสองคนไม่มีใครได้รับแจกคุกกี้วันวาเลนไทน์เหมือนเธอ

วันนี้โอชโช่เลยยิ้มหน้าบานโดยไม่เกรงใจตีนกา กลับถึงบ้านโดนไม่รู้เนื้อรู้ตัว
(สงสัยจะมีความสุขจนเอนโดรฟีนช่วยสร้างเส้นใยประสาทในสมองได้อีกหลายแขนง) 




เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 5: คุกกี้ช็อกโกแลตวาเลนไทน์กับน้องชายคนสนิท (ภาคพิเศษท้ายเรื่อง)

คิวคุงคือใคร? หลายคนอาจสงสัย
คิวคุงก็คือตัวละครใหม่ 'น้องชายคนสนิท' คนใหม่ของโอชโช่ โผล่มาได้ยังไง โอชโช่จังเองก็ยังงงๆ เพราะอยู่ดีๆ น้องชายคนหนึ่งในคอนแทกของ MSN (ดังนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง-แกล้งเปิดทางให้โอชโช่สามารถเข้าถึง www.meebo.com ด้วยอินเทอร์เน็ตของที่ทำงานได้ใน 2-3 วันมานี้-ก่อนหน้านี้ การเล่น MSN ที่ทำงานเป็นดังการเสพยาบ้า โดนบล็อกทุกรูปแบบค่ะ) ซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเลยก็มาเซ้าซี้ๆ ขอเป็น  'พี่สาวคนสนิท-น้องชายคนสนิท' ให้ทันวันวาเลนไทน์

"ทำไมชั้นจะต้องเป็น 'พี่คนสนิท' กับแกด้วย? เป็นพี่เฉยๆ เหมือนเดิมไม่ได้หรือไง?"
"ก็เพราะว่าเจ้กับผม เราไม่มี 'คนสนิท' กันทั้งคู่ แล้วนี่ก็ใกล้วาเลนไทน์แล้วด้วย" คิวคุงให้เหตุผลสุดจะตุ่ย
"แล้วทำไมต้องเป็นชั้นด้วย?" โอชโช่ถามงงๆ ปนเบลอ เด็กคนนี้มันบ้าหรือว่าแกล้งอำตูอยู่ฟะ
"ก็ผมชอบเจ้ ก็เจ้โหดดี แล้วผมก็ชอบข้างหลังเจ้ด้วย"
"...." เด็กเวล โอชโช่นึกในใจ
"แกแน่ใจหรอว่าจะทนความโหดของชั้นได้?"
"แน่ใจสิเจ้"
"จะมาเสียใจ หรือมาร้องหาแม่ทีหลังไม่ได้นะ"
"...ง่ะ"

โอชโช่ชักนึกสนุกแล้วซี "พี่สนิทต้องเป็นไง?"
"ผมก็.. ไม่รู้เหมือนกัน"
โอชโช่เริ่มคิด มีน้องคนสนิทเอาไว้บ่นเรื่องไม่เป็นเรื่องสักคนน่าจะดีแฮะ
"คิวคุงตื่นเช้าไหม?"
"ก็...ประมาณ 7 โมงครับ" คิวคุงตอบงงๆ คงจะงงว่าเอ๊ะ เจ้คนนี้จะมาไม้ไหน
"งั้นพรุ่งนี้ 6.30 โทรมาปลุกด้วยนะ"
"...." คิวคุงอึ้งไปเป็นครู่ ก่อนส่งคำถามเซ็งๆ ผ่าน MSN "น้องคนสนิท...มีไว้ทำหน้าที่นี้เองหรอเจ้"
"อื้ม! แล้วถ้าคิวคุงมากรุงเทพฯ เมื่อไหร่ เราก็อาจจะไปเดินจตุจักรกัน แล้วถ้าอากาศไม่ร้อนเกินไป เราอาจจะเดินจับมือกันก็ได้นะ"
"..."
"โอเคนะ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้จะส่งแมสเซจไปหานะ" โอชโช่จบการสนทนาอย่างเริงร่า ก่อนเก็บข้าวของเตรียมตัวไปพบหมอบู๋ตามนัด

และแล้ว คิวคุง ก็ปรากฏตัวขึ้นมาใน "เรื่องรักของนางสาวโอชโช่" อย่างที่ทุกคนได้อ่านมาแล้ว

หมายเหตุ: เรื่องเล่าเรื่องนี้แค่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความหรรษาให้กับหัวใจในหมู่ผู้อ่าน ที่จริงผู้เขียนก็ได้สอดแทรกประเด็นมีประโยชน์ไว้บ้าง ประปราย หากผู้อ่านหาพบก็นับเป็นบุญของผู้เขียน แต่ถ้าหาไม่พบก็ไม่เป็นไร ขอให้หรรษากันไว้เป็นพอนะจ๊ะ

ป.ล. โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน แล้วก็อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังมากนักล่ะ

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

คำคม#3


por grande, no dicen bueno.

ภาษิตสเปน
แปลว่า ใหญ่ๆ ใช่ว่าจะดี (เสมอไป)

Love Don't Love Nobody


....เปล่าตอกย้ำ
แต่ขออุทิศบล็อกนี้ให้เพื่อนอิ๋ว และเพื่อนดวง ผู้รู้สึกลำบากลำบนกับวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึงยิ่งนัก
ด้วยเหตุว่าปีนี้เพื่อนทั้งสองต้องฉายเดี่ยว ไร้คนรู้ใจ ไม่รู้จะให้กุหลาบใคร
และไม่แน่ใจว่าจะมีคนให้ดอกไม้ไหม
(แหม๋ๆๆๆๆ ที่จริงพวกเธอควรเกรงใจคนโสดที่กี่ปีกี่ปีก็ฉายเดี่ยวหยั่งพวกดิฉันมั่งนะค๊า)

ป.ล. ตามไปฟังเพลงที่หน้านี้นะตัวเอง เค้าพยายามจะเอาเพลงมาใส่ที่หน้าบ้านแล้ว แต่ไม่สำมะเหร็ด http://mandymois.multiply.com/music/item/74/Love_Dont_Love_Nobody


LOVE DON'T LOVE NOBODY

Eric Clapton

Originally by The Spinners

Sometimes a girl
Will come and go
You reach for love
But life wont let ya know
That in the end
Youll still be lovin her
But then shes gone
Youre all alone

I never learned
To give myself
I've been a fool
Right now, I need someone else
Just like Boy Blue
I blow my horn for you
Just lead me home, baby
I should have known

Sign of pain
Is on my face, well
My hearbeat stops
But I wont take the blame, no no
I gave her all the love I had within
My love was strong
Somethin went wrong, no! no!

It takes a fool to learn
Yes sir
That love don't love nobody
Love love love love love love
It takes a fool to learn
Yes it does, girl
That love don't love no one
That love don't love no one
It takes a fool to learn
Stop to think about it, well
That love don't love nobody
Oh! Oh no!
It takes a fool to learn
When youre down and out, shout about it
That love don't love no more
Tell the world, oooh babe
No more...
Ohhhhhh, babe
It takes a fool to learn
Gotta be more careful about myself
That love don't love nobody
It takes a fool to learn
Woah baby, took me a long time to learn, to learn, well

That love don't love no one
It takes a fool to learn
I was a fool, you were a fool
That love don't love nobody
Now we got love, we need love
It takes a fool to learn

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เย็นวันอาทิตย์กับเด็กๆ พูดไม่หยุด


พ้อนจัง
เด็กประหลาดในตำนานของเพื่อนๆ

ดิฉันเจอเด็กกลุ่มนี้ในสัมมนาเรื่องสมองที่กว่าจะเสร็จก็เย็นย่ำ
เลยถือโอกาสถ่ายรูปกันแถวๆ หอประชุมจุฬาฯ ที่สัมมนา ก่อนเคลื่อนขบวนไปกินเสต็กบุฟเฟต์

ตั้งแต่จุฬาถึงชั้น 6 มาบุญครอง ห้าโมงครึ่งถึงสามทุ่ม
ชีพูดกันไม่หยุดเลย
คุณเชื่อไหมคะ?

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Atonement: พังกำแพงอคติ

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama
บ้างก็ว่าเป็นหนังอีโรติก บ้างก็ว่าเป็นหนังอีปิก
แต่ดิฉันมอง Atonement ว่าเป็นหนังดราม่าชั้นเยี่ยม

เยี่ยมเท่าไหร่นะเหรอ? เอาเป็นว่า ในความรู้สึกแล้ว Atonement จัดเป็นหนังดราม่าที่ดีที่สุดในหนังที่ได้ดูในรอบปีได้เลย

จะว่าไป ดิฉันซื้อตั๋วดูหนังเรื่องนี้ด้วยอคติงี่เง่า คือ ความไม่ค่อยปลื้ม Keira Knightley เท่าไหร่ (ไม่ได้อิจฉาเพราะชีได้จูบปากกับออร์แลนโด บลูม หรอก แต่กับ จอห์นนี่ เดปป์ มันเป็นอีกเรื่องนึงนะ-ฮึ่ม!) แต่พอดูจบแล้วต้องหันไปบอกป้าอ้อย เพื่อนหญิงใหญ่(กว่า)วัยแพลตินั่ม(โสด)ที่เกี่ยวก้อยมาดู เพื่อแก้ตัวจากกรณี Sweeney Todd เลยว่า
“หนังดีจัง ดีใจที่ได้ดู”

“Atonement ตราบาปลิขิตรัก” สร้างจากนวนิยายที่ได้ยินมาว่าขายดีมากๆ ของ Ian McEwan ดิฉันไม่เคยอ่านหรอก โดยเนื้อเรื่องก็มีพล็อตที่ดีอยู่แล้ว ทว่า พอมาทำเป็นบทหนังก็ยิ่งน่าทึ่ง เพราะคนเขียนบทเล่นหักเรื่องไปมา นำพาคนดูไปโดยที่เราเดาเรื่องไม่ถูกเลย บทจะจี้ความรู้สึกคนดู ก็จี้ซะร้อน ช่วงไหนจะเค้นความรู้สึกให้ร่วมด้วยช่วยเศร้า ก็ช่างทำได้ตามที่ตั้งใจ สมกับเป็นบทหนังดราม่าชั้นดี ซึ่งส่วนนี้คงต้องให้เครดิตกับ Christopher Hampton คนเขียนสกรีนเพลย์

และแน่นอนที่สุด Joe Wright ผู้กำกับ เจ้าของผลงาน Pride and Prejudice (2005) หนังที่สร้างจากวรรณกรรมชิ้นเอกของ Jane Austen นักเขียนสาวอังกฤษ ซึ่งดิฉันเองก็ปลื้มมากๆ กับฉบับแปลโดยจูเลียต (ภรรยาของศรีบูรพา) แต่กับตัวหนัง ยังไม่ได้ดูเพราะอคติเดียวกันที่มีกับคุณนางเอกปากเจ่อคนเดียวกันนี้ (กำแพงอคติกั้นโอกาสดีๆ อีกแล้ว)

Atonement น่าจะเป็นศัพท์ทางศาสนา หมายถึงการชดเชย หรือจะเรียกแบบเราๆ ก็ไม่น่าจะผิดไปจากการใช้กรรม ซึ่งกรรมที่ตัวละครนำต้องชดใช้ไม่ยักเป็นกรรมที่ตัวละครนั้นก่อขึ้นเอง แต่เป็นกรรมที่เกิดจากความแผลง ความเยาว์ ความเขลา และความรัก ความหวงแบบเด็กที่กำลังพยายามโตของเด็กหญิงอายุ 13 ปีไปซะงั้น

หนังเล่าถึงความรัก ทั้งด้านที่อ่อนหวาน ดูดดื่ม บริสุทธิ์สะอาด และอีกด้านที่อยู่ตรงกันข้าม คือความร้อนเร่า Passionate ของความรัก ความไม่เข้าใครออกใครของความรัก ความเห็นแก่ตัวเพราะว่ารัก จึงอยากจะได้ไว้ครอบครองคนเดียว รวมทั้งสิ่งที่คนเรากระทำได้เพราะมีความรักเป็นแรงบันดาลใจ

โปรดักชั่นของ Atonement ใหญ่ใช่เล่น 1 ใน 3 ของเรื่องเป็นฉากในคฤหาสน์ในชนบทของผู้ดีอังกฤษ เป็นการออกแบบฉากที่เลิศมาก ทำคู่ไปกับคอสตูม และการออกแบบแสงได้สวยลงตัวจริงๆ อีก 1 ใน 3 ที่เป็นฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นก็ไม่มีอะไรจะติได้ โดยเฉพาะฉากรวมพลรอขึ้นเรือกลับที่ริมทะเลซึ่งถ่ายกันคัทเดียวนั้น (คัทเดียวจริงหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ทำได้เนียนมาก) เจ๋งจริงๆ

พูดถึงคุณน้องเคียร่า นางเอกจอมเผยอปากรอจูบของดิฉัน เธอก็ทำงานของเธอได้ดี มองหน้ามองตาเธอแล้วดิฉันก็ร้อนไปด้วย บทจะก็รักก็รักไปด้วย แล้วก็รอไปกับเธอ สงสารเธอไปด้วย นอกจากนี้ ดิฉันไม่อาจปฏิเสธว่าในหนังเรื่องนี้เธอสวยจริงๆ ไม่ได้เป็นความสวยที่เพอร์เฟคท์แบบนางฟ้าจักรวาล แต่เป็นสวยแบบที่เคียร่าจะสวย โดยเฉพาะสีปากตอนที่เธอแต่งชุดเขียว ชุดที่อาจทำให้เกิดเรื่องนั่นแหละ

James McAvoy พระเอกของเราก็ใช่เล่น ดิฉันน่าจะยังไม่เคยผ่านตากับงานของนักแสดงคนนี้เลย ก็ไม่รู้ว่าเขาไปหาตัวมาจากไหน ไอ้หล่อน่ะ ไม่หล่อมากหรอก แต่คนคนนี้เป็นคนมีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ของหนัง ตอนมองนางเอก ก่อนที่จะมีโอกาสได้บอกว่า I love you น่ะ

สงสัยจริงๆ ว่าเขาเล่น เขาซ้อมเขาเทรนกันยังไงนะ พระเอกนางเอกเล่นเข้าคู่กันชนิดที่ดูแล้วเชื่อหมดเลยไม่สงสัยอะไรเลย

อีกคนที่ต้องชมคือแม่หนู Saoirse Ronan ชื่อนี้จะอ่านว่าไรละเนี่ย (เซาอีร์? เซาร์อีส?) คนนี้นอกจากหน้าตาสวย (อีก 2-3 ปีอาจสวยชนะเคียร่า) แล้วยังเพอร์ฟอร์มได้สุดยอด ความเป็นดราม่าของหนังเรื่องนี้เป็นหนี้บุญคุณเด็กคนนี้อยู่ถึง 25% เชียวนะ ดิฉันว่า

สรุปว่า ใครอยากดูหนังดีๆ สักเรื่อง ใครชอบดูหนังดราม่า ไม่น่ารอจนเป็นดีวีดี ใครชอบหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือชอบหนังพีเรียด ควรรีบไปดูตอนที่ยังฉายที่โรงสยาม ส่วนใครที่ชอบเคียร่า หรืออยากจะดูเพราะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงฉากอีโรติกในเรื่อง

คงไม่ต้องรอให้ดิฉันชวนไปดูกระมัง?



***โปรดอย่าถือว่าบทความนี้เป็นการรีวิวหรือวิจารณ์ภาพยนตร์ เพราะมันเป็นเพียงแต่บันทึกความประทับใจจากหนังที่ได้ดู-ซึ่งอยากจะแชร์กับเพื่อนบ้าง-เท่านั้นเอง***

ชีวิตคนโสด โหดมันฮา: ชีวิตโสดแสนสบาย (ซะเมื่อไหร่)

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Comics & Graphic Novels
Author:Morishita Emiko แปลโดย ฤทัยวรรณ เกษสกุล
คนโสดอย่างดิฉันมักโดนคนมีครอบครัวแล้วกระแนะกระแหน๋ในความเอื่อยเฉื่อยเรื่อยสบายของชีวิตเสมอ
ทั้งที่ความจริงมีอยู่ว่า...

ชีวิตของสตรีทีแม้จะรูปงาม แต่ถ้าอายุอานามขึ้นต้นด้วยเลข 3 แล้ว แต่ยังโสด "สนิท" เนี่ย...
มันลำบากนะคะ!

ใครไม่มาเป็นบ้างคงไม่มีทางเข้าใจหรอก (ฮึ!)

วันที่เจอหนังสือเล่มนี้ที่ร้านการ์ตูนหยิน-หยาง ฟอร์จูน แค่อ่านชื่อเรื่องก็แทงใจดำดังฉึก อย่างงี้จะห้ามใจ ไม่ซื้อมาอ่านได้ไงไหว

และในที่สุด ก็ค้นพบ Morishita Emiko นักเขียนการ์ตูนหน้าใหม่ที่ตีแผ่หัวอกหญิงใหญ่วัยแพลตินั่ม(โสด)อย่างเราได้อย่างถึงกึ๋น!!!

เพื่อให้คนอีกหลายคนที่ไม่ได้ตกที่นั่งเดียวกัน(ในตอนนี้-ต่อไปไม่แน่ ฮิฮิ)ได้เข้าใจถึงความลำบาก ก็จะทำการแจกแจงกรณีที่ลำบากให้ฟังพอเป็นกระสัย ดังต่อไปนี้

-เวลาที่มีคนถามอายุ: หลายครั้งจะใช้วิธีเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างแนบเนียน แต่ถ้าไม่สำเร็จก็จะโกหกไปบ้าง โดยมักจะโกหกให้แก่กว่าจริงสัก 3-5 ปี จะได้ดูเหมือนว่าหน้าอ่อนกว่าอายุ (โฮะ-โฮะ-โฮะ) แต่โกหกหลายๆ ที ก็ชักจะจำไม่ได้น่ะสิ ว่าบอกคนนี้ไปว่าอายุเท่าไหร่

-อนุสรณ์แห่งวัย: ถึงจะดูแลตัวเองดีแค่ไหน โหมทาครีมหรือนอนแต่หัวค่ำยังไง วันหนึ่งผิวมันก็ต้องฟ้องถึงวัยอยู่ดี เป็นดังนี้ก็ต้องคิดสร้างสรรค์กันตลอดเวลาว่าจะเบี่ยงเบนความสนใจยังไงให้เนียน จึงไม่แปลกที่จะพบว่าหญิงใหญ่วัยแพลตินั่ม(โสด)จะแต่งตัวชนิดที่คาดเดาวัยไม่ถูก เป็นต้นว่า สวมกางเกงยีนส์สกินนี่เอวต่ำ กับเสื้อยืด Stay Alive และรองเท้าผ้าใบ ไว้ผมหน้าม้าสั้นเต่อและแว่นกรอบสี่เหลี่ยมหนาๆ แบบเด็กแนว บ้างก็ยังสวมลวดดัดฟันอยู่เลย

-แผนอนาคต: แผนอนาคตสำหรับหญิงใหญ่วัยแพลตินั่ม(โสด)นี่วาง(โคตร)ลำบาก หยั่งจะซื้อคอนโดหรือบ้านดีล่ะ เอ๊ะ...ถ้าปีหน้าได้แต่งงาน ต้องย้ายไปอยู่กับสามีแล้วจะทำยังไงล่ะ? ตอนนั้นก็ค่อยขายหรือให้เช่าก็ได้นี่นา เอ...แต่ถ้ามีบ้านแล้วมีผู้ชายมาจีบเพราะหวังสมบัติล่ะ? เอิ่ม...นั่นสินะ (คิดแล้วกลุ้ม)

-ต้องดูดีอยู่เสมอ: ใช่สิ สาวโสดน่ะ จะปล่อยตัวให้เหี่ยวเฉาโรยราเหมือนดอกไม้คาแจกันได้ไง อย่างนี้ก็เลยต้องกระเสือกกระสนขวนขวายลดน้ำหนัก สมัครสมาชิกฟิตเนส เล่นโยคะกันอยู่ตลอดเวลา บอกตัวเองว่า เพราะฉันรักตัวเอง เพราะฉันรักสุขภาพ ที่จริงก็แค่ไม่อยากเป็นยายป้าอ้วนสุดเฉิ่มเท่านั้น

-จะเริ่มยังไงดีล่ะ: โอกาสที่จะมีผู้ชายสนใจ และกล้าพอที่จะเข้ามาทาบทาม ทำความสนิทสนมคุ้นเคยนั้นก็น้อยลงไปทุกปีๆ แล้ว แต่อีตอนที่มีหลงเข้ามา เริ่มมีความหวัง ยิ่งน่าลำบากใจกว่า เพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง ให้ท่าดีไหม แต่ให้แค่ไหนถึงจะดี โมเมนท์นี้ จะนั่งเชิดหน้า หยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนอังศุมาลินคงไม่ไหว เพราะในใจก็อยากมีแฟนกะเขาบ้าง ... เฮ้อ เศร้า (T T)

ความลำบากของหญิงใหญ่วัยแพลตินั่ม(โสด)ยังมีอีกมาก ใครอยากเข้าใจ หรืออยากศึกษาล่วงหน้า(เพื่อการเตรียมตัว-ฮิฮิ) ก็จงไปหาการ์ตูนเล่มนี้มาอ่านดู ราคาไม่ถูกไม่แพง 150 บาทเท่านั้น (ร้านเช่าจะมีไหมหว่า)



***หมายเหตุ ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Review แต่นี่ไม่ใช่การวิจารณ์วรรณกรรม แค่เขียนถึงความประทับใจที่มีกับหนังสือที่อ่านแล้วชอบ เพราะฉะนั้นก็จะเขียนถึงแต่หนังสือที่อ่านแล้วชอบเท่านั้น เล่มไหนไม่ชอบ จะไม่เขียนให้เมื่อย***

ป.ล. คนอ่านจะชอบ-ไม่ชอบ เหมือนหรือต่างกับคนเขียนก็สามารถแจมกันได้
ยินดีนะคะ

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Sweeney Todd, The Demon Barber of Fleet Street…and the Desperate Single Women

Rating:★★★
Category:Movies
Genre: Mystery & Suspense
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ เป็นวันเที่ยว ผู้หลักผู้ใหญ่บอกวันนี้ให้พูดจาไพเราะ ทำจิตใจให้แจ่มใส แต่งกายให้สวยงามน่าชื่นใจ

แต่..สาวโสดประเภทไหนกัน ที่เลือกชม Sweeney Todd บาร์เบอร์หฤโหดแห่งฟลีตสตรีท ใน "วันเที่ยว"

ทำไม-ทำไม๊-ทำไม!!!

ทำไม Tim Burton ทำกันได้ขนาดนี้ ทำไม Apex (ดิฉันด่าถูกไหม) ยังต้องมาย่ำยีซ้ำเติมจิตใจให้ชอกช้ำกันเข้าไปใหญ่

รู้หรอกว่าหนังพี่ Burton น่ะ ต้องดาร์ก ต้องนัวร์ หรืออย่างน้อย ก็ต้องหม่น ถึงจะเป็นหนังเพลง แต่ขึ้นชื่อผู้กำกับว่า Tim Burton แล้ว มันก็ต้องเป็นละครเพลงที่มัวหม่น-อันนี้รับได้ เข้าใจดี

แต่ไหงต้องถึงขนาดให้มีปาดคอ (ชิลล์ๆ) มีเลือดกระฉูด ปาดแล้วปาดเล่า เฝ้าแต่ปาด มีศพตกกระทบพื้นดังพลั่กๆๆๆๆ แล้วก็มีฉากเครื่องบดเนื้อทำงาน กับความเอร็ดอร่อยจากพายเนื้อมนุษย์ได้สม(เกิน)จริงขนาดนั้นด้วยคะคุ๊ณ???

และจะว่าไป ถ้า Burton, Johny Depp และ Helena Boham Carter (ภรรเมียของ Burton) ตั้งใจจะทำภาพพวกนี้จริงๆ เพื่อให้มันเป็นงานศิลปะที่ "เซอร์" สุดโต่งไปในด้านหนึ่งแล้วไซร้ ไฉน Apex (ดิฉันด่าถูกไหม?) ต้องสะเออะทำโมเสกปิดคอทุกทีที่จะโดนปาดด้วย

เพราะถ้ามันเยอะขนาดนี้ (ประมาณ 15-20 ปาด) จะเอามาฉายทำไมให้คนดูเก๊กซิม??

เป็นการเลือกหนังที่แบดช้อยส์ พลาดอย่างแรง ของดิฉัน (ขอน้อมรับความผิดนี้แต่ผู้เดียว) เพราะเมื่อวานป้าอ้อยอ่อยหลายครั้งว่า ไม่ Atonement หรอคะน้อง?-แต่เพราะความเกรงใจน้องที่มาช่วยเชียร์ให้ซื้อของ (บวกกับความรั้น บ้าอยากดูหนังเซอร์ของตู) ทำให้สาวโสดสองคนที่สมควรจะมีช่วงเวลาสดใสในวันแรกของปีใหม่ (จีน) เดินหน้าซีดเพราะความมึน+งงออกมาจากโรงลิโด้

ก็คิดกันนะ ไม่ใช่ว่าไม่คิด ว่านอกจากโปรดักชั่นงานศิลป์โคตรจะเยี่ยม แสง มุมกล้อง ซีจี คอสตูม การแต่งหน้า การเพอร์ฟอร์มของตัวละคร เพลง การเรียบเรียงและการร้องของตัวละครเองจริงๆ แล้ว เฉพาะ "เนื้อเรื่อง" ของหนังเรื่องนี้มันมีอะไรบ้าง

"คนรวยมีส่วนช่วยคนจน" โดยสละเนื้อไปผสมอยู่ในพายให้คนจนกินอย่างเอร็ดอร่อย งั้นหรอ?

"กรรมใดใครก่อ-กรรมนั้นตามสนอง" คือปาดคอเค้ามามาก ในที่สุดก็ไม่พ้นต้องโดนปาดคอมั่ง งั้นหรอ?

???

มันเบาไปไหม? ถ้าตาชั่งมีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นโปรดักชั่น ซึ่งโคตรจะเพอร์เฟคท์เลย ทุกอณูมีความหนาแน่นแบบเน้นๆ ในขณะที่อีกด้าน ในส่วนที่เป็นเรื่องเนื้อหากลับเบาโหวง ขาดไร้ลอจิก ความสมดุลมันก็ไม่เกิดสินะ

ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรดีหรอกนะ แต่ถ้าปรับลดบางส่วน เพิ่มบางส่วนเข้ามาหน่อย มันอาจจะดูแล้วไม่มึน หรือไม่สะเทือนใจ

หรือให้อย่างน้อยๆ คนดูอาจจะไม่ถามตัวเองว่า "นี่ตูมาดูหนังโรคจิตไรอยู่เนี่ย??"




โอ้วพระเจ้า! วันแรกของปีของฉัน รู้งี้ดูหนังอีโรติกอย่าง Atonement ก็ดี ปีทั้งปีจะได้อีโรติกกันตลอด


หมายเหตุ อยากอ่ายรายละเอียดเพิ่มเติมไปดูในนี้นะ http://www.sweeneytoddmovie.com/


***โปรดอย่าถือว่าบทความนี้เป็นการรีวิวหรือวิจารณ์ภาพยนตร์ เพราะมันเป็นเพียงแต่บันทึกความประทับใจจากหนังที่ได้ดู-ซึ่งอยากจะแชร์กับเพื่อนบ้าง-เท่านั้นเอง***

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ชีวิตสัตว์โลก ตอน สอดแนมเกย์

เพราะว่าพ้อน น้องสาวช่างคิดได้ให้การบ้านไว้ในบล็อกที่ทำการรีวิวหนังสือ ตนบุญอัศจรรย์แห่งออซ (http://mandymois.multiply.com/reviews/item/4)

และเพราะว่าก็อยากรู้เองเหมือนกัน เลยให้กูเกิ้ลช่วยหาข้อมูลประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเกย์ดู ไปเจอบทความน่าสนใจในวิชาการ.คอม (ที่หน้า http://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?aid=17988) เลยขออนุญาตคัดมาให้เพื่อนๆ ใน multiply ได้แชร์กันอีกตามเคย
เนื่องจากบทความดั้งเดิมมี 2 หน้า อีกหน้าหนึ่งเป็นความเห็นจากสมาชิก (ถ้าอยากอ่าน คลิกไปที่ http://www.vcharkarn.com/varticle/17988/2)

ดิฉันไม่ได้ปรับแต่งข้อมูล หรือแม้แต่แก้ไขตัวสะกดในบทความดั้งเดิม เพราะคิดว่าแค่ขอยืมมาให้เพื่อนอ่านกันก็เกรงใจจะแย่แล้วจ้า....

ประวัติศาสตร์ เกย์ ในสยามประเทศ : ที่มาของคำเรียกเกย์ กะเทย ในบริบทสังคมไทย

ชลเทพ ปั้นบุญชู นักวิชาการอิสระด้านสังคม(อดีตนักเรียนด้านสังคมวัฒนธรรม)


สืบเนื่องจากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเรียนรายวิชา สังคมวัฒนธรรมไทย และรายวิชาสัมนาเพศและวัฒนธรรม ครั้งสมัยยังเรียนในระดับปริญญาตรี หัวข้อหนึ่งที่ผมสนใจก็คือประวัติศาสวตร์จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเรียนรู้เรื่องราวนอกเหนือจากการสรรเสริญคุณงามความดีของ กษัตริย์ ในอดีต จากพระราชพงศาวสดารที่ถูกเขียนขึ้นอย่างบิดเบือนอันเนื่องมาจากนัยยะทางการเมืองสมัยนั้น จนมาพบกับงานเขียนอันสุดแสนวิเศษอย่าง จิตร ภูมิศักดิ์ ในเรื่องความเป็นมาของคำสยาม งานเขียนของจิตร ได้นำเสนอภาพประวัติศาสตร์จากชนชายขอบ ที่พยายามต่อสู้กับรัฐเพื่อสร้างตัวตนขึ้นมา จากการเหยียดของคนเมือง คนที่อ้างตนเองว่ามีอารยะ งานเขียนจะเน้นวิธีทางปรัชญาประวัติศาสตร์มาซ์กซิส การสร้างจุดยืนระหว่างจุดยุบและจุดแยก และไสตน์การเก็บข้อมูลโดยอาศัยวิชานิรุกติศาสตร์มาอธิบายได้น่าสนใจ จิตร ภูมิศักด์จึงนับเป็นนักประวัติศาสตร์โพสโมเดิร์นที่ผมคลั่งไคล้มาก


แต่ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า จิตร ภูมิศักดิ์ เกี่ยวข้องอะไรกับประวัติศาสตร์เกย์ ในประเทศไทย ตอบได้เลยว่าไม่ใช่โดยตรง แต่วันหนึ่งผมแวะเข้าไปหอสมุดกลาง จุฬา ได้ไปพบ วิทยานิพนธ์เล่มหนึ่ง ซึ่งผมจะนำมาเป็นประเด็นในการอภิปรายหน้าชั้นเรียนในคลาสนั้น คลาสวิชา สังคม วัฒนธรรมไทย วิทยานิพนธ์นี้อยู่ในภาคประวัติศาสตร์ของอักษร จุฬา ซึ่งผมแปลกใจมาก จากสิ่งที่เคยรู้มาในอดีตว่าวิทยานิพนธ์ประวัติศาสตร์จะต้องเขียนถึงเรื่องราวอันเก่าแก่ของกษัตริย์ในสมัยนั้นสมัยนี้ หรือความเก่าแก่ปรัมปราของคนในยุคโบรษณ แต่วิทยานิพนธ์เล่มนี้แปลกที่เขียนเรื่องราวไว้แค่40กว่าปีเท่านั้นเอง ที่สำคัญเป็นเรื่องที่ผมเหลือเชื่อ เพระาเป็นเรื่องวาทกรรม เกย์ ในประเทศไทย ปี2500 -2543 งานเขียนแบบนี้พบเห็นไม่บ่อยนักที่จุฬา แต่อาจพบในธรรมศาสตร์เสียมากกว่า ที่สำคัญงานเขียนชิ้นนี้ใช้นักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่ผมชื่นชอบอย่างมิเชล ฟูโกต์ สำนักฝรั่งเศษปลายบูรพาทิศ ไสตน์การเขียนประวัติศาสตร์โพสต์แบบนี้ผมเห็นมีแต่อาจารย์นิธิ เท่านั้นที่ชอบเขียน แต่นิสิตป โทผู้นี้เก่งจริงๆครับทั้งในเรื่องการเก็บข้อมูล การใช้เอกสาร ที่ผมแทบไม่อยากเชื่อว่า หนังสือพิมพ์ หรือหนังสือเกย์ก็เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้


ปฐมบทแห่งคำนิยาม เกย์ หรือกระเทย เริ่มขึ้นไม่นานนัก แต่การรักร่วมเพศนี้มีมานานแล้ว วิทยานิพนธ์เล่มนี้เท้าความสมัยโรมมัน ที่ทหารโรมัน มีการรักร่วมเพศกันอย่างเอิกเริก ในยุโรปก็ปรากฎมาในหลายๆสังคม แต่ในสังคมไทยแล้วที่พอจะปรากฎ ก็สมัยช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่พระอนุชาร.1กรมหลวงรักษ์รณเรศมีพฤติการณ์ส่อไปในทางรักร่วมเพศ เป็นที่โจทย์จันไปทั่วราชสำนัก สร้างความเสื่อมเสียให้กับราชวงศ์ยิ่งนัก โดยพระองค์โปรดละครนอก และมีการเรียกตัวแสดงมาร่วมเสพสังวาส จนเป็นเหตุให้รัชการที่ 3 สั่งประหารเนื่องจากเป็นกบฏมักใหญ่ใฝ่สูง แต่หลักฐานที่ไม่แน่ชัดชวนให้คิดในสมัยอยุธยาที่พระมหากษัติริย์ผู้มีพระนามเกรียงไกรทั้วหล้า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้เคร่งครัดในประเพณีใรราชสำนักแบบเทวราชาพระองค์หนึ่ง ทำไมถึงแต่ตั้งชาวต่างประเทศเชื้อสายกรีก ฝรั่งเศษ ผู้หนึ่งขึ้นมาเป็นมหาเสนาบดี มีอำนาจตัดสินพระทัยแทนพระองค์ในพระราชกรณียกิจได้ จนทำให้ฝ่ายขุนนางไม่พอใจการกระทำของพระองค์ถึงกับบุกทลายพระราชวังอันสวยงาม ที่สร้างไว้อย่างหรูหรานี่คือเกร็ดประวัติศาตร์หนึ่งที่ผู้เขียนต้องการที่จะนำเสนอไว้


ในสังคมไทยปรากฎคำว่ากะเทย ไว้ในพจนานุกรม แปลว่าสัตว์สองเพศ หรือผู้มีอวัยวะสองเพศ หรือไม่มีเพศ หรือสำคัญตนผิดไปจากร่างกายที่เป็น เช่นร่างชาย แต่มีจิตใจปและการกระทำเป็นหญิง ส่วนความเข้าใจเรื่องgay นั้นได้หมายถึงกลุ่มรักร่วมเพศชาย นอกจากนั้นยังมีคำต่างประเทศ อย่าง hamerpodrite ที่หมายถึงกระเทย หรือhomosexual หมายถึงการรักร่วมเพศ ซึ่งแตกต่างกับheterosexual กระเทยได้ถูกใช้แพร่หลายกับกลุ่มผู้ที่มีพฤติกรรม ลักษณะนิสัย หรือการแต่งกายคล้ายหญิง และสำคัญตนเองว่าเป็นผู้หญิง ที่ชอบผู้ชาย ทั้งที่ตนเองอยู่ในร่างกายผู้ชาย แต่คำว่า เกย์ได้ถูกใช้แพร่หลายจากชาวต่างชาติที่เข้ามาเมืองไทย ดังกรณีนักข่าวผู้มีข่าวพาดหัวใหญ่คือนายบริแกน ได้มีการอ้างอิงถึงเกย์ ที่มีลักษณะปรกติเหมือนผู้ชายแต่มีจิตใจชอบผู้ชายและมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย หลังจากนั้นก็มีการพูดถึงคำว่าเกย์ โดยมีการนิยามคำว่า เกย์ควีน จากคุณยศวดี เจ้าของผับย่านพัฒน์พง ที่แต่งตัวเป็นหญิง ใส่กระโปรง ที่เรียกตนเองว่าเป็นกลุ่มหนุ่มรักชาย เรียกสรรพนามว่าผม และลงท้ายด้วยครับ และไม่นิยมกระเทย โดยบอกว่าเป็น พวกที่ต่ำกว่า สังคมไม่ยอมรับ เพราะบางทีเกย์ต้องอยู่ในสังคม และมีคำว่า เกย์คิง ซึ่งในสมัยนั้นเป็นชาวต่างประเทศที่ชอบเป็นฝ่ายกระทำ หรือแสดงบทบาทสามี โดยมีกระเทยชื่อดังอย่างรัชนกณ เชียงใหม่ เป็นกระเทยที่เป็นนักแสดง ถึงขนาดจะจัดงานประกวศนางสาวสยามประเภทสอง โดยมีกะเทย รัชนก กับ เกย์ควีนอย่าง ยศวดี


ผู้เขียนพยายามจะชี้ให้เห็นว่ากะเทย และเกย์ควีนเมือ่สมัย30กว่าปีก่อนมีลักษณะไม่ต่างกัน แต่มีสถานภาพที่ต่างกัน โดยจะให้คำนิยาม เกย์มีรสนิยมที่สูงกว่า แต่มาสมัยหลังจานั้นไม่นาน เริ่มมีการเปรียบเทียบระหว่าผู้ชายเกย์ไม่ต่างกัน อาจต่างกันแค่พฤติกรรมเพศสัมพันธ์ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนบางคนที่สามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศได้ทั้งชายและหญิง และที่สำคัญบางคนยังมีครอบครัวแล้ว จากการขอคำปรึกษาในนิตสารแปลกซึ่งถือว่ามีการตอบปัญหา และการใช้พื้นที่สื่อของสังคมเกย์ บางคนมีการแต่งงานบังหน้า เพราะกลัวการโจทย์จันของสังคม โดยแท้จริงแล้วไม่ได้มีความสุขในชีวิตคู่ ที่ทำไปเพราะหน้าที่ทางสังคมบีบบังคับ และสอดคล้องกับวรรณกรรมของกฤษณา อโศกศิน ที่เขียนถึงความรักเกย์ ที่คนทั่วไปดูไม่รู้เลยว่ามีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ เพราะดูลักษณะทุกอย่างสมบูรณ์แบบชาย แต่มีจิตใจชอบชายด้วยกันซึ่งได้อธิบายถึง หนุ่มไฮโซ ฐานะทางสังคมสูง มีการงานที่ดี เพรียบพร้อมไปทุกด้าน หากแต่มีจิตใจรักชายด้วยกัน ภาพลักษณ์ เกย์ในที่นี้น่าจะหมายถึงกลุ่มหนุ่มนักเรียนนอกที่ไปได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ ในทางการแพทย์ยุคนั้นจัดกลุ่มรักร่วมเพศอยู่ในกามวิตรถาน มีความผิดปรกติและเบี่ยงเบน จากปมปัญหาการปรับตัวทางสิ่งแวดล้อมและบุคลิกภาพ โดยอาศัยทฤษฎี odipus จากความขัดแย้งในบทบาทและการยอมรับของกระบวนการเลี้ยงดูในครอบครัว


แต่ในปัจจุบันการ วิวัฒนาการเกย์ยิ่งซับซ้อนขึ้น จากการศึกษา ในหนังสือเบิกทวาร และงานเขียนของอาจารย์นิธิว่าด้วยเพศ เผยให้เห็นว่า เกย์มีคำศัพท์ที่หลากหลายและมีการใช้คำเฉพาะกลุ่ม ซึ่งได้สร้างวัฒนธรรมของตนขึ้นมา ให้แตกต่างกับวัฒนธรรมหลัก ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีการเรียกเกย์ หลายแบบ และแตกต่างกับกะเทย คำนิยามเกย์ในปัจจุบันจึงประกอบด้วย เกย์คิง ซึ่งมีบทบาทเป็นฝ่ายกระทำ พฤติกรรมอาจกระตุ้งกระติ้ง หรือไม่ก็ได้ ซึ่งแล้วแต่ละบุคคล เกย์ควีน หมายถึงผู้ถูกกระทำ อาจกระตุ้งกระติ้งหรือไม่ก็ได้แล้วแต่บุคคล โบทคือผู้ที่ปฏิบัติการมีเพศสัมพันธ์ได้ทั้งกระทำและถูกกระทำ คิงรุก คือเกย์ที่มีลักษณะเหมือนผู้ชายทุกประการหรือใกล้เคียงที่สุด ชอบมีเพศสัมพันธ์เป็นผู้กระทำ คิงรับคล้ายกับคิงรุกแต่เป็นผู้ถูกกระทำ ไบรับหมายถึงสามารถมีอะไรกับผู้หญฺงได้ แต่หากผู้ชายจะชอบเป็นฝ่ายรับมากกว่า ไบรุก แสดงบทบาทเป็นผู้กระทำทั้งหญิงและชาย ไบโบท หมายถึงผู้หญิงและผู้ชายก็ได้และถ้าผู้ชายเป็นได้ทั้งผู้กระทำ และถูกกระทำ สาวเสียบ หมายถึงคนที่กระตุ้งกระติ้งไปทางผู้หญิงมาก แต่เป็นฝ่ายกระทำผู้ชาย กะเทยหมายถึงผู้ชายที่มีจิตใจเป็นหญิง ทั้งพฤติการ นิสัย การกระทำ และอยากเป็นผู้หญิงโดยสมบูรณ์(รวมไปถึงการมีบุตรได้จริงๆ)นอกจากนั้นยังมีการนิยามศัพท์เฉพาะขึ้นใช้ในกลุ่มเกย์เช่น เล่นบาส คือการออรัลเซ็กส์ ข้างหน้าหอยสังข์ข้างหลังหอยแครง คือมีเพศสัมพันธ์ได้ทั้งหญิงและชาย ล้างตู้เย็นคือการทำความสะอาดทวารด้วยลิ้น และอื่นๆอีกมากมาย โดยผู้ที่อยู่ในกลุ่มจะเขจ้าใจคำเหล่านี้


ข้อสังเกตหนึ่งที่ผมเห็นคือศัพท์เฉพาะทั้งหลายแหล่จะบ่งบอกถึงการมีเพศสัมพันธ์หรือการแบ่งประเภท นอกเหนือจากการพรรณนาด้วยความงามทางภาษา เช่นฉันรักเธอ ก็ใช้คำว่าเล่นกัน ซึ่งอาจารย์นิธิให้ความเห็นว่า มันเป็นการแสดงกริยาที่ไม่มีความลึกซึ้ง ทำให้คนมองภาพย์ลักษณ์เกย์โดยทั่วไปว่า เป็นความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย เป็นเพียงแค่การตอบสนองทางเพศที่หลากหลาย หรือหมกมุ่น ไม่จีรังยั่งยืน ทำให้เกย์ที่มีความปรารถนาในรักแท้อาจจะถูกมองได้ว่าเป็นแบบนั้นไปทั้งหมด หรือเหมารวม แต่ผมกับค้นพบว่ายิ่งสังคมที่ซับซ้อนขึ้น หรือเป็นสังคมเมืองขึ้น วาทกรรมเกย์ หรือการนิยามจำแนกหรือประเภทจะมากขึ้นตามลำดับ ความคิดที่ซับซ้อนของมนุษย์ในกลุ่มเกย์กับสร้างวัฒนธรรมของตนเองตามระบบความคิดอย่างลึกล้ำจนคนทั่วไปแทบตามไม่ทัน และที่สำคัญการสื่สารที่กว้างขวางเข้าถึง กำลังจะขมวดลักษณะเกย์ทั้งในชนบท และสังคมเมืองให้ไม่แตกต่างกันมากนัก เรียกได้ว่าโลกาภิวัฒน์ได้กลืนกลายวัฒนธรรมเกย์ให้มีหน้าตาที่คล้ายๆกันนั่นเอง

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ลูกโซ่วาเลนไทน์


อันเนื่องจากคำถามลูกโซ่วาเลนไทน์จากหนูนา

ดิฉันจึงต้องมานั่งครุ่นคิดถึงวันวาเลนไทน์ของตัวเอง มันช่างทำให้มีความสุขแกมเสียดแทงใจอยู่ในที T T

1. นิยามวันวาเลนไทน์-วาเลนไทน์คือ วันที่มีคนติ๊งต่างว่าเป็นวันแห่งความรัก เด็กอนุบาลกลับบ้านพร้อมสติ๊กเกอร์รูปหัวใจแปะเสื้อ ปากคลอกตลาดคึกคัก ร้านอาหาร โรงแรมแย่งกันจัดโปรโมชั่นจนเลือกไปไม่ถูก โรงแรมม่านรูดทำยอดดีที่สุดอีกครั้งในรอบปี สนองความ Lust  ในวันแห่งความ Love

แต่ดิฉันว่ามันคงจะดี ถ้าวันนี้เป็นวันที่ทุกคนเริ่มรักคนอื่นๆ บ้าง ไม่ใช่แค่รักแฟน (เพื่อหวังให้แฟนรักตัวเองตอบ) แต่ต้องรู้จักที่จะ 'เริ่มรัก' เพื่อนร่วมงานหน้าบูด ที่บางคนก็ขี้เม้าท์เหลือแสน ป้าแม่บ้านที่ไม่เคยดูดฝุ่นเกลี้ยงเสียที นายที่ไม่ยอมให้โบนัส  มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ชอบทำมึน ทอนตังค์ไม่ครบ ฯลฯ ด้วย

เริ่มวันนี้ได้ก็ดีจ่ะ ไม่รู้จะอยู่บนโลกใบนี้อีกกี่ปี จะเกลียดกัน ขัดเคืองใจกันไปทำไมให้เสียเวลา

ให้อภัย แล้วก็รักกันดีกว่า

2. วาเลนไทน์ปีที่แล้วทำอะไร-นึกไม่ออกจริงๆ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีวันวาเลนไทน์สุดพิเศษกับเขาเลย เดี๋ยวขอกลับบ้านไปเปิดสมุดจดของปีที่แล้วก่อนนะ

(กลับมาเปิดแล้วพบว่า วันที่ 14 ก.พ. ปีก่อน ดิฉันไปงานแถลงข่าวเปิดบ้านนวดไทย และไม่มีโปรแกรมหลังเลิกงาน T T จำได้ว่าออกจากบ้านนวดไทย บริเวณโรงละครสยามนฤมิตแล้วก็แวะกินหอยทอดก่อนจะมุดลงใต้ดินไปต่อบีทีเอสกลับบ้าน T T -ขออีกที)

3. แล้วปีนี้จะทำอะไร-จะชวนแฟนไปจดทะเบียนสมรสที่เขตบางจาก อ้ะ ไม่ใช่ ยังไม่มี๊

ไม่รู้ดิ ก็ต้องไปทำงาน แล้วก็กลับบ้านไปเปิด love actually อ๊ะ แผ่นเรื่องนั้นเสียแล้วหนิ อืมม์ งั้นดู Apocalypto มาโซแก้คิดถึงพี่เมลกันหน่อย (เอ๊ะ หรือจะฉลองวันแห่งความรักด้วยการร่ำไห้ให้น้ำตาท่วมตัวเพราะซึ้งในความรักที่พระคริสต์มีให้เราไปกับ Passion of the Christ ดี)

ไม่แน่อาจชวนป้าอ้อยไปดู Chocolate รับวาเลนไทน์ซะน่อย (ถ้าป้าเค้าไม่มีนัดอ่ะนะ-ฮิ)

4. จะใส่ชุดสีอะไรในวันแห่งความรัก-สีดำสิ กำลังไว้ทุกข์อยู่หนิ

5. จะโทรไปหาใครบ้าง-แม่และน้า เพราะว่าพ่อตายไปแล้ว ส่วนน้องชายทั้งสอง มันต่างคนต่างก็คงจะไปฉลองกะแฟน

6. อยากไปดินเนอร์กะดาราคนไหน-ไม่ดินเนอร์ไม่ได้หรอ?... โอเคๆ ไม่ลามกก็ได้

ดาราที่อยากเจอกันสองต่อสองมานานแล้วคือ Jamie Foxx (อายยยจัง) แต่แย่หน่อยที่ภาษาอังกฤษห่วย ถ้าได้เจอจริงๆ อาจจะต้องพูดภาษากายกันแทน (อ่ะจึ๋ย-อ่ะจึ๋ย) 

7. อยากได้ของขวัญอะไรในวันวาเลนไทน์-เคยซุ่มเรียนภาษาสเปนอยู่พักนึงเพราะมีดรีมทริปคือ เปรู อยากไปมาชูปิคชู อยากใส่ปอนโชลายผ้าพื้นเมือง แต่มันแพง ไกล ไปยาก เสี่ยงกับการลักพาตัว ฯลฯ

ถามทำไม ตอบแล้วจะมีใครออกตังค์ให้ไปเที่ยวหรอ??

...โอเค โอเค ถ้าหมายถึงว่าเป็นผู้หญิง อยากได้ดอกอะไรในวันวาเลนไทน์ คำตอบคือดอกไม้ที่ผู้ชายปลูกที่บ้านของเขา ดอกแก้วสักช่อก็ซึ้งแล้ว

อ้อ ถ้ามีคนรักสักคนก็ดีนะ เอาแบบที่เราชอบเขามากจนไม่แคร์เลยกับข้อเสียที่เขามี

8. คิดว่าเมนูไหนเหมาะกับวันนี้ที่สุด-สุกี้สิ ชาบูก็ดี จิ้มจุ่มก็ได้ เพราะทั้งหมดที่ว่ามามันทั้งอร่อย อบอุ่น แล้วก็เฮฮาดี

9. แนะนำร้านที่คิดว่าเหมาะแก่การไปดินเนอร์กะคนพิเศษหน่อย-ถ้าเป็นคนพิเศษจริงละก็ ช่วยเลือกร้านให้ดิฉันหน่อยได้ไหม ขี้เกียจคิดอ่ะ

แต่ตอนนี้อยากไปกินโรตีมะตะบะที่ถนนพระอาทิตย์ยังไม่หาย อยากมาหลายเดือนแล้ว ไม่มีคนยอมไปกินด้วย กินคนเดียวไม่มันส์

10.ไปยังไงอ่ะ-จากท่าช้าง นั่งสาย 38 นะ ค่ารถ 7 บาท นั่งตุ๊กตุ๊กเสียงดัง+เหม็น (ไม่โรแมนติกนะ)

ถ้าอยู่ไกลนั่งบีทีเอสไปลงท่าสะพานตากสินสิ แล้วก็ขึ้นเรือด่วนไปลงท่าบางลำพู ได้ชมวิวสองฝั่งเจ้าพระยากับพระปรางวัดอรุณยามพลบ ขึ้นฝั่งแล้วเตียว (เดิน) ต่อไปอีกนิด ค่ำๆ อากาศเย็นหน่อยๆ โรแมนติกแบบอีโคโนมีนะ

เอาล่ะ ตอบครบ 10 ข้อละ จะส่งคำถามลูกโซ่ต่อให้เพื่อนผู้มีรายชื่อต่อไปนี้ ก๊อปปี้คำถามไปตอบมั่งล่ะนะ

ถ้าเป็นเด็กดี-ว่าง่าย ก็จงตอบมา ถ้าไม่ตอบก็ไม่ว่า

....แต่จะจำไว้ (หึ หึ)

กอนโดล่า เพื่อนขี้สงสัย บอกมาซิว่าวาเลนไทน์มีอิทธิพลไงกับชีวิตของเอ็ง http://korndola.multiply.com/

อาจารย์ป้าอ้อยที่รักและเคารพยิ่งของน้อง http://oiyja.multiply.com/

พ้อนจัง น้องสาวช่างคิด http://domthepon.multiply.com/

แม่น้องทะเล เซียนเค้กส้ม http://pimonlada.multiply.com

อิ๋วเพื่อนเลิฟ แกจะได้ลงมือเขียนบล็อกแรกเสียที ชั้นรอจะแย่แล้ว http://iamewe.multiply.com/

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงท้องได้เอง?

ในโอกาสที่เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก

อ่านข่าวไทยรัฐวันนี้ เจอข่าววิทยาการแปลกๆ มีประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องหญิง-ชาย ก็เลยอยากคัดมาเรียกความคิดเห็นจากชาวมัลติพลาย เกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิง (ชาย-ชาย และ หญิง-หญิงด้วย) อีกตามเคย

ผู้หญิงจะมีลูกได้โดยไม่ต้องมีพ่อ ทำตัวอสุจิของตนได้จากไขกระดูก

วารสารวิทยาศาสตร์ “นิว ไซเอินติสท์” อันมีชื่อเสียง เปิดเผยผลงานของ นักวิทยาศาสตร์ อังกฤษคณะหนึ่ง ทำให้เกิดความหวังว่าจะช่วยให้ผู้หญิงมีลูกได้ โดยไม่ต้องง้อผู้ชาย

คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล อัปออนไทน์ไม่ได้ตั้งใจจะให้ผู้ชายถูกเขี่ยออก จากการเป็นพ่อ หากแต่ต้องการหาวิธีแก้การเป็นหมันวิธีใหม่ โดยใช้ไขกระดูกของ สตรีสร้างตัวอสุจิผู้ชายขึ้นแทน เอาไขกระดูกมาเพาะเซลล์ต้นกำเนิดขึ้นก่อน จากนั้นนำไปผสมกับสารเคมีและวิตามินหลายอย่าง สร้างให้เป็นตัวอสุจิขึ้น

ศาสตราจารย์การิม นาเยอเนีย มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล กำลังขออนุมัติทางการ เพื่อเริ่มการทดลองภายในสองเดือนข้างหน้านี้ ด้วยความเชื่อมือว่าจะสามารถสร้างตัว “อสุจิของผู้หญิง” ขึ้นได้สำเร็จภายในเวลา 2 ปี แต่ตัวอสุจิที่เจริญโตเต็มที่ จนสามารถผสมกับไข่ได้นั้น อาจจะต้องรอกันอีก 3 ปี

การศึกษาเรื่องนี้ นอกจากจะช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่องการเป็นหมันและวิธีการแก้ไข ได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังเล็งเห็นว่า อาจจะเป็นหนทางทำ ให้คู่สามีภริยาที่เป็นชายรักร่วมเพศ และผู้หญิงรักร่วมเพศด้วยกัน จะสามารถมีลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองโดยแท้จริงได้ แต่ก็อาจสร้างปัญหาทางศีลธรรมและจรรยาให้ยุ่งเหยิงขึ้นอีกก็ได้-จบข่าว

เริ่มต้นจากการแก้ปัญหาหมันในชาย แต่ข่าวไม่ได้รายงานว่านักวิทยาศาสตร์เจ้าของไอเดียเจ๋ง คาดเดาลักษณะทางพันธุกรรมของลูกที่จะเกิดมาจากเสิร์มที่ 'สกัด' จากไขกระดูกผู้เป็นแม่ไว้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ดิฉันสนใจมากกว่านั้นก็คือ ถ้าถึงวันหนึ่งหญิงเก่งในโลกตระหนักว่าไม่มีอะไรต้องพึ่งผู้ชายอีกต่อไปแล้ว เพราะมีลูกก็มีเองได้ หาเงินเลี้ยงลูกก็หาเองได้ ให้นมลูกก็ให้เองได้ ว่าแล้วก็พากันลุกขึ้นมายกมือแสดงความจำนงอยากมีลูกโดยไม่ต้องพึ่งผู้ชายอย่างนี้กันมากๆ โลกในวันนั้นจะเป็นอย่างไร (หวังว่าคำตอบคงไม่ใช่ ผู้ชายก๊อหาเทคนิคในการมีลูกได้เองโดยไม่ต้องพึ่งผู้หญิงบ้าง-จะได้สืบเผ่าพันธุ์เกย์กันต่อไป-he he ล้อเล่นน่ะ)

ชายแท้ (ที่เหลืออยู่ไม่มาก) จะงอนจนหันไปคบกับผู้ชายหมด แล้วผู้หญิง และผู้ชาย ก็กลายเป็นสัตว์โลกคนละพันธุ์ เพราะต่างคนต่างสืบเชื้อสายได้เองไปเลยไหม

>_<

ไม่เอานะ อย่างนั้นไม่เอานะ

ป.ล. คัดมาจากหน้านี้จ้ะ http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=77579

Friends & Family: They're tougher than you think!

Rating:★★★
Category:Movies
Genre: Romantic Comedy
ไม่รู้เป็นไง ชอบดูหนังรัก ก็เลยชอบดูหนังเกย์ด้วย เพราะหนังเกย์มักพูดถึงความรักอยู่ในนั้น แม้แต่หนัง drag queen อย่าง To Wong Foo, thanks for everything Julie Newmar ก็ชอบม้ากมาก ไปๆ มาๆ เลยชอบดูหนังเกย์ไปเลย ชอบทุกแนวซะด้วย ทั้งดราม่า บู๊ แล้วก็ comedy อย่างเรื่องนี้ (โทษที Genre ไม่มี Comedy เฉยๆ ให้เลือก)

Friends & Family มีพล็อตง่ายๆ กว้างๆ เปิดช่องให้แต่งเติม gimmick ซึ่งสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้ตั้งแต่เริ่มจนจบ

เรื่องมีอยู่ว่า มาเฟียเกย์คู่หนึ่ง เป็น 'แฟน' กัน แน่นอนว่าทั้งคู่ทำงานให้ครอบครัวอิตาเลียนเชื้อสายซิซิเลียนที่หากินอยู่ในนิวยอร์ก
ไอ้คบกัน อยู่ด้วยกันกับคนรักที่เป็นเกย์น่ะ พ่อแม่รู้อยู่ รับได้ แต่อาชีพน่ะ ไม่ได้บอก บอกไม่ได้ เพราะว่าพ่อเป็น FBI

พ่อแม่เลยได้รู้แค่ว่าลูกทำธุรกิจ Catering

อยู่มาวันหนึ่ง คุณแม่อยากพาพ่อมาเซอร์ไพรซ์ลูกที่นิวยอร์ก แล้วไหนๆ ลูกก็ทำ Catering ก็ว่าจะให้ลูกจัดปาร์ตี้ฉลองวันเกิดให้พ่อ ชวนพวกลูกน้องมาร่วมงานด้วยให้สนุกสนานกันไป

ทีนี้เลยวุ่นใหญ่ เพราะลูกๆ ทั้ง 3 ของดอนก็กำลังมีปัญหากันไปคนละเรื่อง พ่อคนโตก็ไม่ได้รักอยากเป็นมาเฟียเล้ย จิตใจฝักใฝ่การทำกับข้าวอย่างเดียว พ่อคนรองก็ถนัดเย็บปักถักร้อย ส่วนลูกสาวคนเดียวก็กำลังอินเลิฟกับหนุ่มธรรมดาคนนึง ซึ่งพ่อแม่ของพ่อหนุ่มคนนี้ก็กำลังจะเดินทางมานิวยอร์ก พร้อมกับความป่วน เพราะว่าเพี้ยนกันทั้งคู่

คู่มาเฟียรูปหล่อต้องเก็บอาวุธไม่ให้พ่อแม่เห็น แล้วจะแก้สถานการณ์คนเพี้ยนใช้อาวุธจี้ตัวประกันได้ไง

ความรักที่หนังเรื่องนี้เล่า ก็มีทั้งความรักระหว่างหนุ่มสาว (ในกรณีนี้หมายถึงคู่เกย์) แล้วก็ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกเสมอ แม้ลูกจะเป็นเกย์ และแม้ลูกจะไม่กระตือรือร้นจะรับมรดกมาเฟียโหด

ความรักสวยงามเสมอ

Friends & Family จัดเป็นหนังตลกฟอร์มเล็กที่ทำให้เย็นวันอาทิตย์ฉ่ำฝนที่ต้องอยู่คนเดียวดูสดใสขึ้นได้ไม่น้อย
ใครไม่คิดมาก อยากขำแบบอีโคโนมีไปหามาดูได้จากกระบะร้าน Grande บนสถานีรถไฟฟ้า ดีวีดีราคา 48 บาทเอง (ถูกกว่าแผ่นผีอีกนะ)


Friends & Family (2001)
นำแสดงโดย Greg Lauren, Christopher Gartin
กำกับโดย Kristen Coury


***โปรดอย่าถือว่าบทความนี้เป็นการรีวิวหรือวิจารณ์ภาพยนตร์ เพราะมันเป็นเพียงแต่บันทึกความประทับใจจากหนังที่ได้ดู-ซึ่งอยากจะแชร์กับเพื่อนบ้าง-เท่านั้นเอง***

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เสาร์-อาทิตย์ของสาวโสด


เราจะไปวังหลัง ซึ่งก็เป็นย่านเดียวกับโรงพยาบาลศิริราช เพื่อชอปปิ้ง และตัดผมกับพี่หมู (แต่ไม่ได้ตัดเพราะคิวยาวจนพี่หมูน่าจะลมบ่จอย) แล้วก็ข้ามฟากกลับมาท่าช้าง เพื่อต่อรถเมล์กลับไปที่บิ๊กซีสะพานควายที่พี่อิ๋วจอดรถทิ้งไว้

บนเรือข้ามฟากมีเสน่ห์ของการมีชีวิตอยู่บนนั้น
เห็นมาตั้งแต่เรียนแถวๆ ท่าพระจันทร์ จนปัจจุบันภาพแบบนี้ยังไม่เปลี่ยนเลย

(แม้ค่าเรือจะกลายเป็น 3.50 บาทไปแล้วก็ตาม-ตอนเรียนแค่บาทเดียวเอง T_T)

โสดแสนสบายไร้ภาระ
พอถึงวันเสาร์อาทิตย์ก็หากิจกรรมทำเรื่อยเปื่อย
อัลบั้มนี้จะขอเล่าถึง 2 อาทิตย์ที่ 1 อาทิตย์ติดตามน้องสาวไปแก้บน
อีกอาทิตย์ ออกไปกับเพื่อน บริจาคโลหิตช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์กัน เสร็จแล้วไปช็อปปิ้งต่อ
คนละแนว
'่หนุกไปคนละแบบ

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ด่วนที่สุด! ถึงชาวเชียงใหม่ที่รัก (และใจดี)

 

ชาวเชียงใหม่ที่รักยิ่ง,

น้องสาวเพื่อนสาธิตฯ ของดิฉันชื่อว่า นางสาวประธานพร ธรรมวิมล (ECON รหัส 38) กำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะนี้เข้ารับการรักษาที่อาคารศรีพัฒน์ โรงพยาบาลสวนดอก

เธอมีความจำเป็นต้องได้รับเกล็ดเลือดกรุ๊ปโอทุกวัน

หากคุณเองมีเลือดกรุ๊ปเดียวกัน และเป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรงดี มีความประสงค์จะมีส่วนช่วยชีวิตหญิงสาวคนนี้ กรุณาติดต่อไปที่

คุณแม่พรรณพ โทร. 089 950 6421 

หรือคุณยุ้ย โทร. 081 883 1104

เพื่อแจ้งชื่อและเบอร์ติดต่อกลับ เนื่องจากต้องมีการตรวจเช็คก่อนว่าจะสามารถบริจาคได้หรือไม่ จึงต้องใช้เวลา 2 วันในการบริจาค คือ 1 วันสำหรับการตรวจเช็ค และอีก 1 วันสำหรับการบริจาค

นอกจากนี้เนื่องจากเกล็ดเลือดไม่สามารถเก็บไว้ได้นานเกิน 7 วัน จึงไม่สามารถทำการบริจาคไว้ล่วงหน้าได้ อีกทั้งแต่ละคนยังสามารถบริจาคได้เพียงเดือนละครั้ง

ขอได้รับความขอบคุณล่วงหน้าจากดิฉัน เพื่อนของพี่ผู้ป่วย (ผู้อยู่ไกล) ด้วยค่ะ