วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

หลักฐานการส่งมอบ


...เลจัดให้

การเดินทางไปบ้านทะเลครั้งนี้มีภารกิจแฝงอย่างหนึ่งคือ
นำของฝากจากเชียงใหม่ไปให้ ด.ญ.ทะเล

อันของฝากจากเชียงใหม่นี้ มาจากน้าโอ๊ตอุดม ผู้ชื่นชม ด.ญ. ทะเลอย่างออกหน้าออกตา
รวมทั้งของฝากจากน้าม้อยเอง
น้าม้อยและน้าโอ๊ตอุดมได้ของฝากเลมาจากถนนคนเดินเชียงใหม่นะเล

ดูเหมือนหมวกใบนี้จะถูกใจเลไม่น้อย
แต่น้าไม่แน่ใจเลยว่าหนูถูกใจกระโปรงโบฮีแม้วของน้าไหม
[T-T]

เอาน่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่แอนก็จัดให้เอง

อัลบั้มนี้น้าจัดให้เป็นพิเศษ เพื่อน้าโอ๊ตอุดม หนึ่งในแฟนคลับตังยงของฮาเลโดยเฉพาะเลยละ

เที่ยวบ้านทะเล


มันคือทุกวินาทีของความรัก อบอุ่น และอิ่ม

...เพราะพี่แอนกำลังจะอบเค้กกล้วยหอมอุ่นๆ ให้เรากิน (แม้จะเพิ่งเสร็จมื้อเย็นไปไม่ถึงชั่วโมงก็ตาม) เหอ เหอ เหอ

เสาร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑
ไปฤกษ์ไปเที่ยวบ้านทะเลซะที
แม้จะอยู่ไกลจากบ้านน้าม้อย(ก็น้าอยู่ตั้งอ่อนนุชโน่น) แต่บ้านทะเลไปไม่ยากอย่างที่คิด
แถมยังดูสงบและอบอุ่นน่ามาเป็นสมาชิกมากๆ

เพราะอะไรน่ะหรอ..ก็เพราะเดินเข้าบ้านมาก็ได้กลิ่นอาหารเลยไง

แต่แรกน้าคิดว่าเลจะเหนียมอาย (จำตอนเราเจอกันในงานป้ากบได้ไหมเล ตอนนั้นหนูเขินจนน้ากลุ้มเลย กลัวอดหอมแก้มหลาน) แต่นี่ต้องแสดงว่าแม่แอนกับพ่อหนุ่มช่วยปูทางไว้ให้น้าๆ เป็นอย่างดี
ทะเลเลยไม่มีเหนียม
แต่ปล่อยพลังสุดฤทธิ์

น้าไม่ได้เห็นเด็กน่ารัก อารมณ์ดี และพูดรู้เรื่องอย่างหนูมานานแล้วนะเนี่ย
เป็นเด็กน่ารัก อารมณ์ดี และพูดรู้เรื่องอย่างนี้ต่อไปจนโตเป็นสาวเลยนะเล

ดีใจมากที่ได้ไปเที่ยวบ้านเลจ้ะ




วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เที่ยวกระบี่แบบมีสีสัน




อัพอัลบั้มขาวดำไปหลายอัลบั้ม
ได้ยินเสียงถามถึงภาพสี
ก็มีมาโชว์บ้างเหมือนกัน

ชมได้ตามอัศยาศัย
จะดูเฉยๆ ก็ไม่ว่า
และจะไม่บ่นแล้ว

พื้นที่โฆษณา : กระเป๋าน้องวาด


สีสันสวยงาม น่าใช้
ออร์เดอร์แบบที่ต้องการได้
ชอบก็สั่งเลยนะ ไม่ต้องกลัวเก็บค่านายหน้า

น้องวาด หรือ วาสนา คำเนตร เป็นนักศึกษา ม. รามคำแหงฯ มีฝีไม้ฝีมือในการเพ้นท์ และไม่อยู่ว่าง หารายได้และบริหารเวลาด้วยการเพ้นท์กระเป๋็าผ้า และรองเท้าผ้าใบขายทางเว็บไซต์

ดิฉันชวนน้องวาดมาเพ้นท์กระเป๋่าในคอลัมน์งานฝีมือ
เสร็จแล้วเลยอุดหนุนกระเป๋าน้องเค้ามาใบนึง
ราคาไม่แพงนะ แค่ร้อยสามสิบหรือไงเนี่ย
ใครสนใจลองเข้าไปดูหน้านี้เลย http://www.be2hand.com/scripts/shop.php?user=wadsoda

หรือจะโทรถามน้องวาดที่ 0 86712 2016 ก็ได้

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เพื่อนใหม่ และกิจกรรมหรรษาที่โภคีธรา กระบี่


สวยงามมะ?

ไปกระบี่กับทริปนักข่าว เป็นรุ่นน้องซะส่วนมาก (สนุกกันใหญ่)
ได้เพื่อนใหม่มาหลายคน ผ่านกิจกรรมหลายอย่าง
เก็บรูปไว้ซะหน่อย
ก่อนลืม

เราทำกับหอยเกินไปหรือเปล่า?


ทั้งเครื่องประดับจากมุก และเปลือกมุก

วันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑
มีโอกาสได้กลับไปสุสานหอย
ถ้ามีเวลา ๒๐ นาที คนเราจะใช้ ๑๕ นาทีไปกะการชอปปิ้ง
อีก ๕ นาทีที่เหลือ วิ่งลงไปเยี่ยมหน้าดูฟอสซิลหอยแป๊บนึง

เยี่ยงดิฉัน
รีบรุดไปเลือกซื้อสร้อยข้อมือกลับไปขอบคุณคุณหัวหน้า ที่อุตส่าห์ให้มาทริปนี้
เสียเวลาไปนาน และรู้สึกว่าตลาดมุก (คุณภาพไม่ Finest นะ ระดับนั้นต้องไปหาที่บูตีคแถวๆ ภูเก็ตโน่น) เสื่อมเสน่ห์น่าค้นหา น่าเลือก น่าต่อไปเยอะ ไม่รู้เป็นไง

ของที่ได้สำหรับตัวเองมีแต่ต่างหูเปลือกหอยคู่ละ ๑๕ บาทคู่เดียวเอง
(จริงๆ กะจะมาหาสร้อยข้อมือน่ารักๆ สักเส้น)

และข้าวของที่กองอยู่บ้าง ห้อยอยู่บ้างก็ยังทำให้คิดเหมือนเดิม ว่าคนเราโกงหอยหรือเปล่านะ
ทั้งกินเนื้อมัน แคะเอามุกออกมาทำสายสร้อยไม่พอ ยังเอาเปลือกมาทำโน่นนี่อีกตั้งเยอะ

หรือบางที หอยตัวน้อยๆ ตัวนึง จะมีประโยชน์กว่าคนบางคนซะอีก

เที่ยวทะเลกระบี่


ทั้งยอชท์และสปีดโบ๊ตเมดอิน USA.

โชคดี๊-ดี ที่วันเสาร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เรา (ซึ่งอยู่แถวๆ คลองท่อม กระบี่) ไม่เจอฝนเลย
ก็เลยได้เที่ยวทะเลกันอย่างสำราญ
ด้วยพาหนะแสนดี แสนเริศ และหรู
เรือยอชท์ขนาด ๓๑ ฟุตลำนึง สปีตโบ๊ตขนาด ๓๙ ฟุตอีกลำ

วิ่งเร้ว-เร็ว แถมทุกชิ้นส่วนยังแน่นปึ้กเพราะความใหม่เอี่ยม ก็เลยเมาน้อยมาก
(คนเราจะเมาเมื่ออยู่ในเรือที่ดับเครื่องจอดอยู่นะจ๊ะ เวลาเรือวิ่งเร็วๆ ไม่ค่อยเมาหรอก)

ขอบคุณโซฟิเทล โภคีธรา กระบี่ เจ้าภาพที่แสนดีค่ะี

สระแห่งนาคา




สระว่ายน้ำที่ โซฟิเทล โภคีธรา คลองท่อม กระบี่ มีขนาดใหญ่ที่สุดในกระบี่
คือราวหกพันตารางเมตร
ที่ทำให้ใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงามและฮวงจุ้ย
แต่เพื่อความเชื่อมโยงเกี่ยวกับตำำนานความเชื่อของชาวบ้านในย่านนั้น

ซึ่งเชื่อว่าแต่ดั้งแต่เดิม พื้นที่ย่านนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของนาค
(จะเห็นได้จากชื่อเรียกของสถานที่ที่เป็นแลนด์มาร์คต่างๆ เช่น เขาหงอนนาค (โปรดรอชมรูปในอัลบั้มเที่ยวทะเลกระบี่) สะดือนาค (บ่อน้ำผุด แหล่งน้ำของชาวบ้านและโรงแรม) หรือแม้แต่รีสอร์ตแถวนั้น ก็ยังตั้งชื่อด้วยความเคารพ และระลึกถึงเจ้าที่เจ้าทางเก่าแก่อย่าง นาคามันดา (NAKAMANDA) ซึ่งหมายถึงนาคแห่งอันดามัน

"โภคีธรา" เอง ก็นับเป็นนามที่เกี่ยวโยงกับพญานาค
โภคี คือนามของนาคที่ร่ำรวย และมั่งคั่ง ส่วน ธรา นั้นแปลว่า เมือง
โภคีธรา จึงหมายถึงเมืองอันมั่งคั่งแห่งนาค

ก่อนจะสร้างโภคีธรา กระบี่ ครอบครัวเจ้าของมีโรงแรมโภคีธราอยู่แล้ว อยู่ในเชนโซฟิเทลเหมือนกันด้วย แต่โซฟิเทล โภคีธราโรงแรมนั้นอยู่ในเสียมเรียบ เขมรโน่น
ที่ตั้งชื่อแบบนี้คงเป็นเพราะในนามสกุลของเจ้าของมีคำว่า "ภุชงค์" ซึ่งก็คือพญานาคเหมือนกัน
(...สงสัยเจ้าของจะถูกชะตากับนาคจริงๆ)

พอมาเจอที่ผืนนี้ ออกแบบ วางแผนจะสร้างโรงแรม พราหมณ์ประจำครอบครัวก็บอกว่า ณ จุดที่สร้างสระนี้ แท้แล้วเคยเป็นทางเข้า-ออกของนาค

เมื่อนาคใช้เป็นทางเข้า-ออก แล้วจะทำเป็นแค่สระน้ำเล็กๆ แคบๆ ได้อย่างไร

...สระว่ายน้ำของโรงแรมก็เลยมีขนาดใหญ่โต กว้างขวาง อย่างที่เห็น

พาชม โซฟิเทล โภคีธรา กระบี่




โรงแรมนี้ชื่อ โซฟิลเทล โภคีธรา (อ่าน ทะ-รา ไม่ใช่ ทา-รา) รีสอร์ต แอนด์ สปา
ตั้งอยู่หน้าหาดคลองท่อม กระบี่

อยู่บนพื้นที่สวย ข้างหลังติดเขา ข้างหน้าติดหาดมีเพียงถนนคั่น
(ถ้าสามารถนอนเปิดประตูระเบียงนอนได้ ดิฉันจะหลับฝันโดยมีเสียงคลื่นเห่กล่อมเป็นซาวนด์แทร็ก)

งานสถาปัตยกรรมเป็นแบบโคโลเนียล คอนเซ็ปท์คือ ที่พักที่สบาย ในฟีลแนวฝรั่งเศสผสมชิโน-โปรตุกีส
เป็นการออกแบบที่ขอชมจากใจ ว่าสวยงามมาก
(อยากรู้จักสถาปนิกเลย)

งานก่อสร้างและตกแต่งก็เรียบร้อยดี เนี้ยบ เนียน
เมดดูแลความสะอาดได้น่าชื่นชม สวนสวยงามเรียบร้อย เข้ากับสถาปัตยกรรม
ราคาในหน้าโลว์อย่างนี้ก็ไม่ได้แพงเกินเอื้อม
ห้องแบบดีลักซ์ที่ได้พักคืนละประมาณหกพันกว่าบาท (รวมอาหารเช้าหรือเปล่าไม่แน่ใจ)

สนใจลองเข้าไปดูที่ www.sofitel.com/asia


ป.ล. ความสะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ ที่หายไป
-ชักโครกไม่มีสายชำระ
-เปิดบานกระจกสไลด์ที่ระเบียงทิ้งไว้ไม่ได้ เพราะมันไม่มีบานมุ้งลวด
(The Chedi เชียงใหม่ เปิดได้นะ เค้าอยากให้แขกได้สัมผัสอากาศดีๆ ของเชียงใหม่)
-ไม่ชอบเป็ปซี่ แต่ที่นี่เค้ารักกับเป๊ปซี่ หาโค้กไม่ได้เรยยย T-T

หลังฝน-ใต้ฟ้า (เดียวกัน)


เย็นวันที่ไปถึง
รุ้งวงนี้เกิดขึ้นหลังบ้านเพื่อนเอ๋

เหมือนเวลคัมดริ๊งค์ที่หวาน..ชื่นใจที่สุดเลย

๑๗-๒๐ พฤษภาคมอยู่เชียงใหม่ ๒๓-๒๕ พฤษภาคม อยู่กระบี่
ช่วงนี้เป็นหน้าฝน
ฝนย่อมจะตกเป็นธรรมดา
แต่ตกแล้วฟ้าก็ใสทู้กที

ฟ้าเหล่านี้เป็นความทรงจำนิดหน่อย เกี่ยวกับฝนที่เชียงใหม่และภูเก็ต

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

คำสารภาพ ฉบับที่ ๑ : คำสารภาพของคนขี้วีน



วันนี้อารมณ์ไม่ดี
ได้วีนไปหลายต่อหลายครั้ง

...วีนเสร็จก็มานึกเสียใจ แต่ไม่รู้จะทำไง ตามไปขอโทษก็ไม่ได้แล้ว

หลายครั้งที่วีนไป เท่าที่ยังนึกได้มี ๒-๓ คราว ขอสารภาพไว้ีดังนี้

-วีนพนักงาน1678 โทษฐานที่พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง ไม่เข้าหู และน่ารำคาญ
"สวัสดีค่ะ ขอสายคุณ...ค่ะ"
"ว่าไงคะ?"
"ดิฉันกำลังเรียนสายคุณ....นะคะ"
"-_-"
"ขอเวลาสัก...นาทีนะคะ"
"ว่ามาเลยค่ะ" น้ำเสียงเริ่มแสดงความรำคาญ
"คือว่าดิฉันจะเรียนเชิญสมัครสมาิชิก....ค่ะ สมัครแล้วจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมายเลยนะคะ
"เป็นต้นว่า หากคุณใช้โทรศัพท์ครบ ๕๐๐ บาท ระบบจะจ่ายคืนให้ ๕๐ บาท... ฯลฯ
"ซื้อตั๋วหนังได้ในราคาลด ๒๐ บาท ...ฯลฯ
"แล้วในกรณีที่ทำซิมการ์ดหาย ปกติจะได้รับซิมใหม่ภายในเวลา...วัน แต่คุณจะได้รับภายใน...วันเท่านั้น ..ฯลฯ
"...สามารถสมัครได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเลยค่ะ ให้ดิฉันสมัครให้เดี๋ยวนี้ไหมคะ?" ชีใช้เวลาราว ๔ นาที จึงร่ายจบ ระหว่างนั้นดิฉันฟังอย่างอดทน ใจก็คิดว่าทำไมเค้าไม่ทำเป็นเอกสารส่งมาวะ เกิดยัยนี่โทรมาตอนชั้นขับรถ ถ้าถูกตำรวจจับแล้ว 1678  จะจ่ายค่าปรับให้ชั้นไหม.. แต่ก็ไม่ได้ถามหรอก
"การเป็นสมาชิก....นี่ ยกเลิกได้ไหมคะ?"
"ได้ค่ะ คุณ....สามารถยกเลิกได้ค่ะ" ชีตอบอย่างกระตือรือร้น
"ถ้าสมัครสมาชิกแล้วมี privilege มากมายอย่างนี้ แล้วก็ยังสามารถยกเลิกได้ด้วย ทำไมดีแทกต้องถามด้วยว่าประสงค์จะสมัครไหม ทำไมไม่สมัครให้เลยละคะ" ดิฉันถามเสียงเรียบ
"...เอิ่ม ก็....เพราะว่าสิทธินี้เรามอบให้กับลูกค้าบางท่านที่ชำระค่าบริการสม่ำเสมอเท่านั้นค่ะ" ชีตอบตะกุกตะกัก
"แปลว่า ดีแทกเลือกปฏิบัติว่างั้น?"
"......" เงียบ...ชีร้องไห้ไปหรือยังหว่า?
"อืมม์ ถามไปอยางนั้นแหละค่ะ แค่คิดว่าถ้าดีแทกจัดสิทธิประโยชน์พวกนี้ให้ลูกค้าเลย คุณก็คงไม่ต้องเสียเวลามาโทรถามดิฉันแบบนี้" ชั้นก็ไม่ต้องเสียเวลามานั่งฟังหล่อนสาธยายเหมือนกัน-อันนี้นึกในใจ "..รบกวนช่วยสมัครให้ดิฉันหน่อยแล้วกัน ขอบคุณค่ะ"

-วีนหมอ โทษฐานที่ปล่อยให้รอจนหลับไป ๓ รอบ
"ให้รอนานอย่างนี้ คงนึกแช่งผมเลยล่ะสิ?" หมอเย้าประสาคนอารมณ์ดี
"ทายเก่งอย่างนี้ทำไมไม่ไปเป็นหมอดูเลยล่ะ?"  ดิฉันสวน
ได้ยินอย่างนี้ หมอของดิฉันจะนึกยังไง
แล้วดิฉัน เมื่อใจเย็นลงแล้วจะเสียใจแค่ไหน คิดดู

-วีนคนขายโจ๊ก โทษฐานที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนแกใส่ไข่โดยไม่สั่ง คราวนี้็ดิฉันสั่งแบบเน้นๆ ว่า ไม่-ใส่-ไข่ แน่ใจว่าพูดช้า+ชัดด้วย.... แต่ทว่า
"กรี๊ดดดดดดด ใส่ไข่อีกแล้ว บอกว่าไม่ใส่ไข่ ไม่ใส่ไข่!!!" กรี๊ดจริงๆ เสียงหลงด้วยแหละ เสร็จแล้วก็ค้อนลมค้อนแล้ง แต่ก็ลงมือคนโจ๊ก กะจะกินมันทั้งงี้่แหละ เกลียดก็กิน หิวนี่หว่า หมอให้รอตั้งนาน
พ่อค้าหันมามองอย่างลนลาน แล้วส่งเด็กมารับโจ๊กชามนั้นกลับไป
เชื่อเหอะว่าลูกค้าอย่างดิฉัน วีนแรงจนเค้าต้องกลับมาเอาโ๊จ๊กชามนั้นกลับไปตักไข่ออก (คงเอาไว้ขายคนต่อไป) และไม่มองหน้าดิฉันอีกเลย
...แน่ใจว่าไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะความกลัว

-วีนโอ๋ โทษฐานที่พูดจาไพเราะเพราะพริ้ง อย่างเกรงอกเกรงใจ แต่เฉไฉไปมา ไม่ตรงเข้าประเด็นซะที แถมยังมาพูดเพราะเอาตอนสี่ทุ่ม รอหมอนาน เพิ่งถึงบ้าน กำลังเหนื่อยเลย (ไม่ถูกจังหวะโว้ย)
"พี่ม้อย วันอาทิตย์นี้โอ๋จะนัดกับพี่เหน่งค่ะ"
"เออ ที่ไหนล่ะ" เข้าใจว่าเขานัดเราด้วย
"... เอิ่ม พี่ม้อยจะมาด้วยหรอคะ" เอ๊ะยังไง "เอ่อ พี่ม้อยว่าที่ไหนดี พี่ม้อยสะดวกที่ไหนคะ"
"เอ๊า แกจะนัดกันที่ไหนก็บอกมาสิ ชั้นน่ะสะดวกทุกที่ที่ไม่ใช่บ้านพี่เหน่ง" ก็มันอยู่ตั้งปทุมฯ
"งั้นเดี๋ยวโอ๋ถามพี่เหน่งก่อนนะคะ" ฟังแล้วชักรำคาญๆ บอกไม่ถูก
"นี่ แกจะเรียกชั้นไปคุยด้วยป่าวเนี่ย"
"อ่ะ.. โอ๋ก็ พี่ม้อยจะมาด้วยก็ได้ค่ะ"
"ชั้นเข้าใจไรผิดไปป่าวโอ๋ วันก่อนแกชวนชั้นทำด้วยใช่ไหม?"
"เอ่อ ค่ะ โอ๋กะชวนพี่ม้อยเขียนฟรีแลนซ์" อ๋อ เข้าใจละ เค้าจะทำกันสองคน ให้ชั้นเป็นฟรีแลนซ์ ห่า..ดันไปเข้าใจว่าเค้าชวนทำด้วย
"เออ งั้นชั้นก็เข้าใจผิดไปเองแหละ ทีหลังแกช่วยพูดให้เคลียร์ๆ หน่อยนะโอ๋" ดันไปว่าน้องมันอีก
"คือว่าวันนั้นโอ๋เพิ่งคุยกับพี่เหน่ง ยังไม่มีอะไรเลยนอกจากไอเดีย แต่รีบชวนพี่ม้อยก่อนน่ะค่ะ" น้องมันรีบอธิบายตะกุกตะกัก
"คืองี้นะ ชั้นเพิ่งคุยกับปลาว่าจะไปสวนกับมัน แต่มันยังไม่รู้เลยว่าจะได้ไปวันไหน เอาเป็นว่าถ้าชั้นไปเจอพวกแกได้ จะไปแล้วกัน" บอกโอ๋ว่าเลือกปลา (ไม่ได้ยกแกมาอ้างนะโว้ยไอ้ปลา แต่ชั้นอยากใช้เวลาที่เหลือน้อยนิดกะแกจริงๆ) เพราะว่าน้อยใจนิดหน่อย ที่โปรเจคนี้เขาไม่มีเรา แค่วางเราไว้เป็นฟรีแลนซ์ ไม่ใช่ทีม
"ได้ค่ะพี่ม้อย" ที่น้องมันต้องตอบงี้ เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นหนิ


มีอีก ๒-๓ รายที่วีนใส่เขาไปโดยไม่แน่ใจ ว่าที่ต้องวีนใส่น่ะ ด้วยโทษฐานอะไร

ช่วยบอกที ว่าที่หิวเป็นบ้าเป็นหลัง ซื้อส้มตำปูปลาร้ามากินก่อนนอน แล้วก็วีนใส่ชาวบ้านเค้าไปทั่วนี่มันเป็นแค่อาการบ้าๆ บอๆ ก่อนมีรอบเดือน
ไม่ได้หงุดหงิด หมั่นไส้เพราะสาเหตุอื่น


อยากบอกทุกคนที่วีนใส่ไปไว้ ณ ทีนี้ ว่าเสียใจกับทุกการวีน
สารภาพ ณ ที่นี้แล้ว ว่ารู้ตัวว่าวีน และเสียใจ

แต่ไม่อาจรับคำได้นะ ว่าต่อไปจะไม่วีนใส่อีก

ก็คนมันขี้วีนอะ

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

~ลำดับที่หนึ่งร้อย~

บล็อกลำดับที่ ๑๐๐

ขออุทิศให้เพลงโปรด



B.B. King
Blues On The Bayou (1998)
"If I Lost You"

You're the greatest thing in my life, baby
Without your love, baby
I don't know just what I would do
Years of loving you, you've been so true
I believe I'd lose my mind if I lost you

I guess I've been lucky to have someone so dear
To talk and laugh and always bring me cheer
After all of these years you've been so true to me, baby
I believe I'd lose my mind if I lost you

After all of the lies I've told you
Just like giving you the stars
And buying you mink coats
Mink coats and diamonds, baby
Money in the bank and each year
Each year two brand new cars

You're the greatest thing in my life, baby
Between me and you I know I've got the best deal
Let me thank you, baby, you've been so true
I'd lose my mind if I lost you

แสนเหงา..ที่สนามบิน


(ทั้งๆ ที่เขาห้าม)

๒๓-๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑
ไปกระบี่

ไม่ได้ไปคนเดียว แต่ก็เหมือนไปคนเดียว
ไปคนเดียวมันก็ดี ดีที่คล่องตัว
แต่บางที ก็ไม่ได้อยากไปคนเดียว

เพราะก็อยากมีไหล่ให้พิงหัว
อยากมีแขนอุ่นให้กอด
ตอนพยายามจะหลับบนเครื่องบิน

มีคนคุยด้วยระหว่างเคลื่อนบนสายพานแสนยาวไกล
มีคนเรียกแท็กซี่เป็นเพื่อน

อยู่คนเดียวแสนสบาย
แต่
ก็เหงาเหมือนกันนะ

สองร้าน-เมื่อเร็วๆ นี้




ร้านแรก ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑
กรมาทำธุระ ม้อยเพิ่งกลับจากเชียงใหม่เช้านั้น ป้าอ้อยบึ่งมาจากปากเกร็ด
สามคนรวมหัวกันที่ B Resto (Bar Cafe Restaurant) ตรงข้ามธนาคารกสิกรไทยในซอยรางน้ำ (เยื้องกับคิงพาวเวอร์ ดาวน์ทาวน์นั่นแล)

ที่มาร้านนี้เพราะแม่ลูกหมู ลูกสะใภ้ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาแสนอร่อยที่ตั้งอยู่ห่างร้านนี้เพียง 2-3 ห้องแนะนำไว้ แต่ยังไม่มีโอกาสมากินกันสักที สบจังหวะนี้ เลยชวนสองเพื่อนมาลองกันซะ

ผลก็ปรากฏว่า กินสามคน สั่งครบตั้งแต่สลัด พิซซ่า ปาสต้า ไปจนของหวาน
จ่ายไปหย่อนพันไม่กี่บาท
...แพงอยู่ สำหรับยุคนี้
แต่มันโอเคจริงๆ นะ
สรุปว่า...คราวหลังคงมากันอีกจ้ะ

(ร้านนี้เปิด ๒ ช่วง คือมื้อเที่ยงกับค่ำ พิซซ่าพร้อมเสิร์ฟเวลา ๑๘.๐๐ น. ถ้าจำไม่ผิด ของเขาเป็นเตาถ่านจ้ะ สอบถาม+สำรองโต๊ะ โทร. 0 2640 1377 www.b-resto.com)


ไปทำงานที่ร้านที่สองในวันต่อมา
ร้านนี้ชื่อ ZENSALA steakhouse อยู่ที่ ZENSALA SPA เลียบทางด่วน ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านมณียา (โทร. 0 2943 5678 www.zensalaspa.com)
ร้านเล็กๆ สบายๆ ขายสเต็กและอาหารฝรั่ง รสชาติใช้ได้ แต่ราคาเบาอย่างไม่น่าเชื่อ

ที่สำคัญ เชฟหนุ่ม (เพิ่งเต็ม ๒๔) ของร้านนี้นอกจากฝีมือดีแล้วยังครีเอทสุดๆ เพราะว่าเคยเรียน'ถาปัตย์มาก่อน จัดมาแต่ละจาน พี่ช่างภาพยังชมเลย
บอกว่าหยั่งกะเชฟโรงแรม ๕ ดาว

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เราคบกันมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย?




ดิฉันพบเอ๋ในชั้นเรียนพิเศษก่อนเปิดเทอม ม.๑ โรงเรียนสาธิต ม.ช. เมื่อเดือนพฤษภาคมของหลายยยยย......ปีก่อน (ฮิฮิ)

ตอนนั้นห้อง ม.๑/๒ มีทั้งหมด ๓๒ คน เชื่อว่าเอ๋คงยังจำได้ ว่าเลขที่ ๑-๓๒ มีใครบ้าง

แต่ก่อนนี้เอ๋ออกแนวทอม ฮะห้าวมาตั้งแต่รู้จักกันก็ว่าได้
นอกจากนี้เธอเป็นแฟนตัวยงของพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง อีกตะหาก
ถึงเอ๋จะห้าวหาญยังไง พวกเรากลุ่มเพื่อนสนิทก็จะแอบเห็นแชนแนลแอ๊บใส กุ๊กกิ๊ก ของเอ๋บ้าง..
ในบางวูบ

หลายปีผ่านไป เอ๋เลิกแอบแอ๊บใสแล้ว เดี๋ยวนี้เธอใส และกุ๊กกิ๊กอย่างเปิดเผย
และเปลี่ยนมาเป็นแอบห้าว แอบโหด โดยที่ชาวบ้านไม่รู้
แต่พวกเราเพื่อนๆ ก็ยังรู้อยู่ดี

กลับไปเที่ยวเชียงใหม่ ๑๗-๒๐ พฤษภาคมที่ผ่านมา ดิฉันกับเอ๋ได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง หลังจากที่เอ๋สละโสด เป็นฝรั่งเป็นฝาไปได้ปีกว่าๆ เราเลยหนุกกันใหญ่

ดิฉันมีรูปเยอะแยะเลย เพราะเพื่อนบ้าถ่ายรูป
เอ๋เองก็มีรูปเยอะแยะเหมือนกัน เพราะดิฉันก็บ้าถ่ายรูปอยู่ไม่น้อย

อัลบั้มนี้เป็นบันทึกความทรงจำของเราสองคน
ถ้าปีหน้า เอ๋มีน้อง หรือดิฉันมีผัว
เราคงไม่มีโอกาสจะมีโมเมนท์แบบนี้อีกแล้วเนอะ

งาม-เงา เฉลา-เฉิด




๒๓-๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑
ไปทำงานที่โซฟิเทล โภคีธรา รีสอร์ต แอนด์ สปา หาดคลองท่อม กระบี่

เป็นโรงแรมที่สวยมาก
ขอเรียกน้ำย่อยด้วยอัลบั้มรวมรูปนูนต่ำที่ติดอยู่ตามจุดต่างๆ ของโรงแรม
นี่ยังรวมมาไม่ครบ

ใครมีโอกาสไปเยือน ช่วยไปตามถ่ายมาให้ครบทีเถอะ

เรดาร์แมว: แมวอ้วนในถ้ำเสือ


ใครอยู่หลังเสา?

๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑

กลับไปวัดถ้ำเสือ กระบี่ เป็นครั้งแรกในรอบ ๖ ปี
เหมือนจะมีสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะ
คราวนี้ไม่ได้ขึ้นบันไดพันกว่าขั้นนั่น เพราะมีเวลาไม่มาก
เข้าไปไหว้พระธาตุในถ้ำเสือ แล้วก็เดินชมโดยรอบ

พลันเรดาร์แมวทำงาน..
จึงได้เจอแมวอ้วนนอนนิ่งในถ้ำเสือ
เป็นแมวสู้กล้องอีกตามเคย
นอนกลมนิ่ง ไม่หนีไปไหน
ไปๆ มาๆ จึงรู้ว่าในท้องของหล่อนบรรจุแมวน้อยอยู่หลายตัว
(ไม่โดนแม่แมวตบเข้าให้ก็บุญแล้ว)

แท้จริงแล้วสัตว์ไฮไลต์ที่วัดถ้ำเสือ กระบี่คือ ลิง
ลิงที่นี่ตัวเล็กๆๆๆๆ แต่เป็นเล็กพริกขี้หนู
เพราะทั้งแสนรู้ ขี้โกง ขี้ขโมย และ...ดุ ด้วย

เข้าใกล้ไปถ่ายรูปแมว แมวไม่ว่า
แต่เกือบโดนลิงกันแล้วซี

เหอ เหอ

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ภาพประทับใจบนรถไฟสายเหนือ




อีกครั้งที่เดินทางคนเดียว
๒๒.๐๐ น. (จริงๆ เลทไป ๑๕ นาที) วันศุกร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ รถด่วนสายเหนือขบวนสุดท้ายพาดิฉันจากกรุงเทพฯ มุดผ่านอุโมงค์ ข้ามดงดอย ถึงเวียงเชียงใหม่ในบ่ายโมงกว่าวันต่อมา

แล้ว ๑๔.๕๐ น. วันอังคารที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ รถด่วนขบวนเดียวกันก็พาดิฉันลัดเลาะแรมรอนกลับคืนสู่กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
...และแถมให้อีกหนึ่งชั่วโมง
(เหอ เหอ)

เดินทางคนเดียวก็มีความสุขดี
ดี..จนนึกสงสัยว่า ถ้าวันหนึ่งเกิดมีใครมาร่วมแชร์ชีวิต
ความสุขจะถูกอีกคนแย่งหายไป หรือมันจะไปรวมกับความสุขของอีกคนกลายเป็นความสุขก้อนใหญ่กว่าเดิม

ก็แค่สงสัยน่ะ...

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

แสนเพลิน บนถนนคนเดิน




ได้ยินเสียงเล่าลือมานาน
ถนนคนเดินมันสนุกอย่างนั้น น่าเดินอย่างนี้
ได้ไปเดินจริงเย็นวันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษภาคมที่ผ่านมา
สนุกจริงด้วย
ยิ่งถ้ามีตังค์และมาคนเดียวนะ
จะสนุกกว่านี้อีก
เหอ เหอ

(ก็เพราะว่าสามารถเดินช็อปและต่อๆๆๆๆๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงใจใครไง๊)

แอ่วเจีียงใหม่แบบมึนๆ


ทำหน้าอะไรตลกจัง

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑
เป็นวันที่จะไปเตียวขึ้นดอยในตอนค่ำ แต่เพื่อนเอ๋คือนักบริหารเวลาชั้นยอด สี่พี่น้องในมัลติพลายที่เจอกันเป็นครั้งแรกจึงออกตระเวณแอ่วเวียงเชียงใหม่ด้วยกัน

เริ่มต้นจากกินกุ้งเต้นริมห้วยตึงเฒ่า จากไม่สนิท ก็กลายเป็นชิดเชื้อกันไป (เพราะสถานการณ์กุ้งเต้นบังคับ)
เล่าไปแล้วในอัลบั้มก่อนๆ หาชมเองนะ

จากนั้นก็พาหนุนาไปเอารถที่ทิ้งไว้ซ่อมแอร์ ที่ไหนนะ.... ที่ร้านซ่อมสักแห่ง ริมคลองชลประทาน ที่ข้างๆ เป็นโรงแรมชื่อเดียวกัน

ระหว่างรอหนูนาขอแวะถ่ายรูปกับโขลงช้างซะหน่อย (เพื่อนเอ๋ถ่ายให้) แล้วก็พากันไปวัดพระธาตุดอยคำ วัดที่หนูนานำเสนอ ก่อนจะไปเดินถนนคนเดิน ตัดกำลังก่อนเตียวขึ้นดอย

ตอนออกจากห้วยตึงเฒ่า สังเกตว่าอุดมกับหนูนาที่นั่งเบาะหลังเงียบไป ไม่ใช่ว่าหลับ แต่สองหนุ่มกำลังตั้งสมาธิกับการหายใจเข้า-ออกลึกๆ แก้อาการ "มึน" กับลีลาการขับสไตล์ครอสคันทรีของเพื่อนเอ๋

แต่ด้วยมารยาท และความแมนจึงไม่มีใครปริปากบ่น ใช้วิธีพูดให้น้อย จะได้คลื่นไส้ไม่มาก

วันรุ่งขึ้น เพื่อนม้อยกับเพื่อนเอ๋มารับอุดมไปกินข้าวซอยลำดวน ลงรถแล้วอุดมเดินโซเซ สั่งข้าวซอยด้วยสีหน้ามึนๆ เสร็จแล้วก็ถูกลากไปเซ็นทรัลแอร์พอร์ต เพราะพี่เอ๋จะช้อปปิ้ง

แต่อุดมไม่ยอมเสียดุล จึงบอกทาง พาสองพี่ไปร้านนกฮูกที่กะแต่แรกว่าจะพาเดินมาจากถนนคนเดินเมื่อวันวาน
(แต่คนบางคนมัวแต่ต่อราคาของ ก็เลยมาไม่ทันนกฮูกปิดร้าน)

ช้อปสินค้านกฮูกแล้วก็ไปส่งอุดมกลับนิวาสถานอย่างมึนๆ

วันต่อมา เพื่อนม้อยกับเพื่อนเอ๋ยังตระเวณเชียงใหม่อย่างมึนๆ กันต่อ ก่อนที่เพื่อนม้อยจะถูกส่งขึ้นรถไฟอย่างมึนๆ
และเดินทางถึงกรุงเทพฯ ในเช้าวันต่อมา

ป.ล. อัลบั้มนี้เป็นบันทึกความทรงจำส่วนตัว หากเรื่องราวไม่เก๋ไก๋ถูกใจคนชมก็โปรดอย่าตำหนิิให้เหนื่อยเลย

แรงศรัทธา-สองขา และรถแดงลงดอย


ดูคนอื่นเดินไปพลางๆ

คนเชียงใหม่จะมีประเพณีเดินเท้าขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพในคืนวันก่อนวิสาขะทุกปี นัยว่าเพื่อระลึกถึงครั้งที่ครูบาศรีวิชัยท่านนำศรัทธาชาวบ้าน สร้างถนนขึ้นไปจนถึงวัดพระธาตุฯ บนดอย

ดิฉันเองก็ คิด คิด มาหลายปี อยากเดินขึ้นดอยไปไหว้พระคืนก่อนวิสาขะกับคนเชียงใหม่มั่ง
(จริงๆ แล้วแอบคิดว่าตัวเองเป็นคนเชียงใหม่)

หลังจากไปอยุธยาเมื่อสุดสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่มันจะวันวิสาขะแล้วนี่หว่า

จากนั้นก็เริ่มแผน หาคนเดินขึ้นดอยเป็นเพื่อน
ด้วยตระหนักดีว่าคนเชียงใหม่ไม่มีใครสนใจแน่ ก็มันอยู่ของมันทุกปี ยิ่งเด็ก มอชอ ยิ่งต้องเคยเดินขึ้นดอยสุเทพมาแล้วคนละหลายๆ หน คงไม่มีใครอยากไปเดินกะเรา

จึงมุ่งเป้าไปที่อุดม พ่อหนุ่มกรุงที่เพิ่งย้ายไปอยู่เชียงใหม่
ปลาติดเบ็ด อุดมก็สนใจเหมือนกัน

โอเค มีคนเดินเป็นเพื่อนแล้วก็เลยไปซื้อตั๋วรถไฟ ไปเชียงใหม่ ไปเดินขึ้นดอย ไหว้พระธาตุคืนก่อนวิสาขะ

เพื่อนรักตัดกำลังด้วยการพาตระเวณเที่ยว ตั้งแต่ริมอ่างแก้ว ริมห้วยตึงเฒ่า ขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยคำ แล้วลากกันไปเดินถนนคนเดิน จนเหนื่อย และเกือบงอแง ไม่ไปดงเดิน แต่กลับบ้านนอนให้สมเหนื่อยซะแล้ว

แต่อุดมไม่ยอม

พี่บุ๋มตามมาสมทบ กลุ่มเราเลยกลายเป็น ๓ เป็น ๓ คนในมัลติพลายที่มาเจอตัวเป็นๆ วันนี้เป็นครั้งแรก เจอกันครั้งแรกก็เดินขึ้นดอยด้วยกันซะแล้ว สงสัยชาติก่อนเคยเจอกันมาก่อนเนอะ

พากันเดินไปค่อยๆ ด้วยทั้งเหนื่อย และง่วง (โดยเฉพาะอุดม เด็กอนามัยที่ทุกที ๔ ทุ่มตาก็ปิดแล้ว) ประกอบกับเป็นห่วงพี่บุ๋มซึ่งไม่แข็งแรงนัก แต่ก็มาเดินด้วยศรัทธา

เหนื่อยน่ะมันเหนื่อย แต่ถ้าได้รองเท้าดีๆ กับกระเป๋าสัมภาระดีๆ ค่อยๆ เดินไปตามจังหวะร่างกายตัวเอง มันก็ไปได้ถึงเอง
แต่ดูเหมือนบางคนจะเดินไม่ไหว เลยโกงด้วยการขึ้นรถแดงไปเลย

ไม่มีอะไรพ้นความพยายามใช่ไหม
หลังจากเดินกันอยู่ ๓-๔ ชั่วโมง ก็ถึงเชิงบันไดนาค แต่ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจไม่ขึ้นไปถึงพระธาตุ

ก็คนเป็นพันๆ หมื่นๆ ยืนกันเต็มพื้นที่บันไดนาคออกอย่างนั้น บนวัดที่มีพื้นที่จำกัดจะไม่ถึงกะขี่คอกันเลยเรอะ

เอาวะ กลับดีกว่า แล้วค่อยๆ เดินขึ้นบันไดอย่างแช่มช้อยไปกราบพระธาตดอยสุเทพกันใหม่เนอะ
อุดมเนอะ เนอะพี่บุ๋มเนอะ

กว่าจะขึ้นมาถึงต้องกันแลกด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย ขากลับแค่มีเงินพอจ่ายค่ารถแดงใช่ว่าจะได้นั่งรถแดงลงสบายๆ นะจ๊ะ
ต้องชิงไหวพริบและปฏิภาณกันด้วยเกมเก้าอี้ดนตรีรถแดงเสียก่อน ใครก้นไม่ไวพอไม่ได้ลงมาง่ายๆ หร้อกกก



การหาเรื่องมาเดินขึ้นดอยในคืนนั้นทำให้ค้นพบสิ่งใหม่หลายอย่าง
ส่วนหนึ่งในนั้นคือ ศักยภาพของร่างกายมนุษย์ (ถึงแก่แต่ยังเตียวไหวนะยะ) แล้วก็ได้รู้ว่า คนเรามันมีหลายจำพวก เฒ่าคนแก่ที่มีศรัทธาจริงๆ ก็มี หนุ่มสาวที่ศรัทธาก็มี พ่อแม่ที่พาลูกมาเดินก็มี ลูกยังเดินไม่ไหว ต้องอุ้มบ้าง แบกบ้างก็มี เด็กวัยรุ่นที่เห็นเป็นเรื่องสนุกคึกคะนองก็เยอะ แล้วยังได้เห็นความพยายามในการหาเงินของพ่อค้าแม่ขาย ที่ขนกันขึ้นไปทอดไปปิ้งขาย ขาย และขาย กันตลอดคืน

คนกินก็กินกันตลอดคืน
โดยไม่สนใจจะทิ้งขยะ ถุงพลาสติก และโฟมให้เป็นที่

จึงสรุปได้ว่า จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งสนับสนุนและเป็นเจ้าภาพงานประเพณีนี้ทุกปี แต่ไม่เคยเรียนรู้ที่จะจัดการกับการจราจร การค้าขาย และการทิ้งขยะบนดอยสุเทพเลย

อดคิดไม่ได้ว่าบางทีคนอาสาเดินขึ้นไปเก็บขยะ จะได้บุญกว่าเดินเท้าขึ้นไปกราบพระธาตุสักสิบเท่า

ป.ล. ขอบคุณที่ฝนไม่ตกในคืนนั้น ถ้าฝนตก เราอาจจะขึ้นไปไม่ถึงก็ได้จ้ะ

แวะชมอัลบั้มพี่บุ๋มได้ที่ http://happybumbim.multiply.com/photos/album/69
ส่วนของอุดมอยู่หน้านี้จ้ะ http://oatudom.multiply.com/photos/album/20/Walk_up_to_Doi_Sutep_on_Buddha_day

ห้วยตึงเฒ่า...กะเขาบ้าง


ของดากานกา

เห็นอัลบั้มของอุดมแล้วคันไม้คันมือ
ขออวดรูปมั่งดิ

...กลับมายืนที่เดิม (๒)


ต้อนรับนักศึกษาใหม่กระมัง?

ต่อจากอัลบั้มที่แล้ว
พาแม่แอนไปเยือนหอ ๕ หญิง พาไปเที่ยวคณะเศรษฐศาสตร์
เลาะเรื่อยไปตามทาง ผ่านหน้าหอสมุดกลาง คณะมนุษย์ฯ แล้ววกกลับไปหลังมอ

พาชมโรงเรียนสาธิต ม.ช. สระรุจิฯ สนามบาส และสนามแดง

...กลับมายืนที่เดิม (๑)


สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สิบกว่าปีที่แล้วดิฉันคือลูกช้างคน(ตัว)หนึ่ง เพราะว่าสอบติดโรงเรียนสาธิต ม.ช.
(ไม่ได้รู้เล้้ยว่าโรงเรียนนี้สอบติดยาก)
เปิดเทอม ม.๑ แล้วก็ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ใน ม.ช. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จนเอ็นท์ฯ ติดมหาลัยอันไกลโพ้นเมื่อตอน ม.๕ (เป็นเด็กเทียบนะยะ) แม่ก็ให้ไปเรียน เพราะไม่รู้ถ้ารอเอ็นท์ฯ ตอนม.๖ จะติดไหม

ก็ลงมาเรียนกรุงเทพฯ (โฮมซิกสุดๆ ไม่มีรูปในหนังสือรุ่นด้วย) ปีนึงหลังจากนั้นแม่ก็ย้ายบ้านลงใต้

ชีวิตก็ห่างเหินจากเชียงใหม่ และ ม.ช. ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ไม่ได้กลับไปเดินแอ่วจริงจังมาหลายปี แต่ ๑๗-๒๐ พฤษภาคมที่ผ่านมา บอกตัวเองว่าจะไปเชียงใหม่ เลยบึ่งซื้อตั๋วรถไฟ (ก่อนขอลาหัวหน้าอีก) แล้วก็ได้ไปแอ่วใน ม.ช. ตั้งสองรอบ คือวันแรก ๑๘ พฤษภาคม เพื่อนเอ๋พาโฉบไปเก็บภาพหอหญิง ๕ ฝากแม่หนูเล เลยไปแอ่วอ่างแก้วกันด้วย
แอบกลับไปขี่รถถีบแอ่วใน ม.ช. เวอร์ชั่นยังไม่เปิดเทอมคนเดียว อีกครั้ง ในวันกลับ คือ ๒๐ พฤษภาคม จังหวะที่รอเวลาไปขึ้นรถไฟ

สมใจ แต่ยังไม่เต็มอิ่ม

ได้ภาพน่าประทับใจ(ตัวเอง)กลับมาพอประมาณ
หวังว่าจะทำให้คนที่รู้จัก ม.ช. และไม่รู้จัก ม.ช. ได้ประทับใจบ้างเหมือนกัน

ป.ล. รูปมันเยอะ กลัวคนจะบ่น เลยขอแบ่งเป็น ๒ ตอนจ้ะ ตอนนี้เป็นรูปโซนหน้ามอกับอ่างแก้ว คณะต่างๆ และโรงเรียนสาธิตฯ อยู่ตอน ๒ นะ

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ฺBreakfast@Boat Bekery


ไข่คนกับแฮมสองชิ้น

ขนมปังปิ้ง ไข่คน แฮม กาแฟ คือชุดอาหารเช้าของโบ๊ต ราคา ๔๕ บาทจ้า

"โบ๊ตเบเกอรี่"
คือเบเกอรี่คู่บุญของย่านหน้ามอ (ม.ช.=มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
พวกรุ่นๆ ดิฉัน (และแก่กว่า) ล้วนต้องเคยมานั่งร้านโบ๊ตอย่างน้อยคนละ ๕ ครั้งขึ้นไป

เช้าวันอังคาร ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ (อย่าตกใจ ป่าวโดดงาน วันนี้พักร้อนไปแอ่วเจียงใหม่) เพื่อนเอ๋พาไประลึกความหลังด้วยอาหารเช้าที่ร้านโบ๊ต

บรรยากาศโดยรวมยังเหมือนเดิม เข้ามาแล้วนึกถึงหนังวัยระเริงยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น
ปลาตัวเดิมก็ยังอยู่
เบเกอรี่ก็ประมาณเดิม

เพื่อนเอ๋บอกว่า ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ร้านโบ๊ตยังมีเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนก็คือ
พนักงาน
ที่ยังหน้า "ตูด" เหมือนเดิม

ฮิ ฮิ
รักนะ ร้านโบ๊ต

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

นาทีที่ใจเต้นแรง


ขอบคุณสวรรค์ที่ดิฉันยื่นหน้าออกมาพอดี

...คือนาทีที่มาถึงโดยไม่รู้ตัว เมื่อรถด่วนขบวนที่ ๕ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ รถสายเหนือเที่ยวขึ้นขบวนสุดท้ายจากหัวลำโพงแล่นออกจากอุโมงค์ขุนตานอันแสนยาว ได้นานเท่าไหร่ไม่รู้

กำลังจะเก็บภาพทิวดอยเข้มคล้ำเพราะเมฆฝนปกคลุมพอดี ก็มองเห็นเธอ

สะพานน้อยสีขาวที่คนลำพูนเรียกว่า "สะพานขาว"

เธอชื่อ "ทาชมภู" เหมือนชื่อสถานีที่รถกำลังพาไป
สะพานที่บินหลาโปรด และทำให้ดิฉันใจเต้นแรง

ถ้ามาจากกรุงเทพฯ ออกจากอุโมงค์ขุนตานจังหวัดลำปาง (สร้างเสร็จ พ.ศ. 2461 ) อุโมงค์รถไฟสายเหนือที่ทำการเจาะภูเขาทั้งลูก จึงมีความยาวตั้ง 1,352.10 เมตร
...แล้วก็รอพบสาวน้อยสีขาวของเราได้

ควรเกาะหน้าต่างด้านขวาของขบวนรถเอาไว้ (ใครมาด่วนนครพิงค์ รถไฮโซจะอด เพราะมันติดแอร์ทั้งคัน ไม่สามารถยื่นหน้ายื่นตาแกไปชมเธอได้สมใจ-ทั้งนี้ควรกะเวลานาทีที่รถจะแล่นมาถึงด้วย ขบวนที่ดิฉันมาด้วยนี้ผ่านคุณทาชมภูเวลาเที่ยงกว่าๆ ช้ากว่ากำหนดการโขอยู่)

ส่วนถ้ามาจากเชียงใหม่ ให้สังเกตไว้ว่าผ่านสถานีทาชมภู ของลำพูนแล้วก็ให้เตรียมพบกับสะพานน้อยสีขาวทางด้านซ้ายของขบวนรถ

งานนี้ต้องขอขอบคุณคุณมาโนช เพราะว่าคุณน้ำส้มเกเรอีกแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

๋Juno: รักใสๆ ในสายตาผู้ไร้ีศรัทธาในรัก

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Comedy
สร้างวีรกรรมด้วยการไปดูหนังในเวลางานอีกครั้งเมื่อวานนี้
อดไม่ได้ ก็จังหวะมันให้
หัวหน้าให้ไปงานแถลงข่าว งานเสร็จ ๔ โมง มันจับบีทีเอสไปดู JUNO ที่สกาล่ารอบ ๑๖.๓๐ น. ทันนี่นา

รู้มาพอประมาณจากหนังตัวอย่าง ว่า จูโน่อายุแค่ ๑๖ เรียนไฮกูล แล้วก็ท้อง กับเด็กผู้ชายที่ดูเฉิ่มๆ เนิร์ดๆ แค่นี้ก็ชักสนใจแล้วว่าเด็กอเมริกันจะทำไงกับปัญหาท้องในวัยเรียน

ถ้าเป็นเด็กไทยคงไม่แคล้วทำแท้ง ไม่ก็ต้องลาออกมาท้อง แล้วก็คลอด แล้วไงต่อละ?

สังคมอเมริกันดู alternative หน่อย เพราะสามารถทำแท้งได้ และมีการมาพบกันของคนที่ไม่อยากทำแท้ง กับคนที่อยากมีลูกแต่มีเองไม่ได้ ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องมีการตกลงกันทางกฎหมายให้ชัดเจน แจ่มแจ้งเสียก่อน

จูโนน้อยของเรา (Ellen Page) ก็เลือกทางออกทางนี้ ที่ไม่เลือกทำแท้ง คงไม่ใช่เพราะสิ่งมีชีวิตในครรภ์มีเล็บแล้ว แต่น่าจะเป็นสัญชาตญาณของความเป็นแม่มากกว่า
และ่แม้จะไม่สามารถเป็นแม่เองได้ วาเนสซ่า (Jennifer Garner) สตรีผู้ถึงพร้อมทุกอย่างในชีวิต-ยกเว้นลูก ก็มีสัญชาตญาณของความเป็นแม่เหมือนกัน
เรื่องมันเลยน่าสนใจดีนะ

คิดว่าคนที่อุ้มท้อง รัก และถนอมลูกในท้องมาจนวันคลอด จะคลอด แล้วยกลูกให้อีกคนเลี้ยง หมายถึงยกให้จริงๆ ให้ไปเลย โดยไม่อาลัยได้จริงๆ หรอ?

เพิ่งจะอายุแค่ ๑๖ จึงไม่ได้มีแค่เรื่องเซ็กซ์ที่เป็นสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต แม้แต่ความรักและความสัมพันธ์ก็เป็นสิ่งที่จูโนมองอย่างสงสัย เธอถามพ่อของเธอในคืนหนึ่ง ถึงความยั่งยืนของการอยู่ด้วยกัน พ่อถามว่า อยู่ด้วยกันยังไง แบบ couple หรอ
ลูกบอกว่า ความยั่งยืนของความรัก
พ่อตอบน่ารัก แกบอกประมาณว่า เราจะอยู่ด้วยได้นานกับคนที่รักเราในแบบที่เราเป็น ไม่ว่าเราจะสวย ขี้เหร่ หรือว่าอ้วน

เป็นคำตอบที่ทำให้ลูกคิดออกว่าจะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเอง
และทำใ้ห้เด็กผู้ชายอีกคนพลอยเข้าใจความรู้สึกของตัวเองไปด้วย

Juno เป็นหนังรักใส ทั้งๆ ที่ประเด็นในเรื่องนั้นสุดซีเรียส แต่ทั้งตัวจูโนน้อยเอง และหนัง Juno สอนให้เรามองปัญหานั้นจากมุมบวก ไร้ panic และ paranoid
คนไม่มีศรัทธาในความรักและชีวิตคู่อย่างดิฉันอดนึกไม่ได้ ว่านี่เขาตั้งใจทำหนังแบบนี้มาให้คนอย่างเราดูหรือเปล่า?

หรือว่าจริงๆ แล้วความรักที่แท้จริงมันก็มีอยู่..
คนที่จะไม่มีวันทิ้งเราไปไหนก็มีอยู่..
(พ่อแม่เราไง)

นี่..จูโนน้อย
หนูช่างใจเด็ดจริงๆ นะลูก ไม่ใช่แค่ตั้งตัวติด แล้วก็เข้มแข็งพอที่จะอุ้มท้องและให้กำเนิดเขาออกมา ในเวลาที่พ่อของเขายังอึ้งๆ อยู่ แต่หนูยังนักเลงพอที่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการเลยด้วย แม้มันจะเป็นประหนึ่งการพรากดวงใจไปจากตัวของหนู

สมกับเป็นลูกผู้หญิงจริงๆ
พี่นับถือ

หมายเหตุ
๋Juno (2007) กำกับโดย Jason Reitman
เขียนโดย Diablo Cody


บันทึก
-สังคมอเมริกันถึงจะอักลี่ในหลายเรื่อง แต่บางเรื่องก็น่ารักจนพูดไม่ออก อย่างกรณีนี้ ถ้าเกิดกับครอบครัวไทย เรื่องมันคงไม่น่าประทับใจอย่างนี้ พ่อแม่อเมริกันในเรื่องถึงจะมีหัวอกเดียวกับพ่อแม่ที่รักโลกทั่วโลก แต่เค้า respect ลูกดีจัง
-เพลง OST ของจูโน่เพราะมาก เป็นกีตาร์ใสๆ ทั้งหมดเลย น่าอุดหนุนนะ แต่ไม่ต้องอุดหนุนแผ่นละ ๑๐๐ บาท ทันทีที่ออกจากโรง ณ แผงริมถนนย่านสยามเหมือนเราก็ได้
-แม้จะหลับไป ๑ งีบ (จ่าย ๑๐๐ แต่ได้ดู ๗๐) แต่ Juno ก็ยังทำให้น้ำตาดิฉันไหล ครั้งแรก กับเพลง Sea of Love ตอนที่จูโน่น้อยคลอดน้อง แล้วคุณแม่คนใหม่ของพ่อหนูได้อุ้มเป็นครั้งแรก
ครั้งที่สอง กับรอยจูบหลังจบเพลงสุดท้ายที่จูโน่น้อยกับบลีคเกอร์ (Michael Cera) เล่นเพลงรักเพลงนั้น (Anyone Else but You) ด้วยกัน
-อยากดูอีกครั้งจัง คราวนี้จะไม่เผลอหลับตอนสำคัญอีกแล้ว



ความผูกพันซื้อความรักไม่ได้


โทรคุยกันวันนี้
เพราะฉันมีธุระจะบอกกล่าว
แต่เขาพยายามจะถามฉันว่า "เป็นยังไงบ้าง?" "โอเคไหม?" และ "มีใครหรือยัง?"
หลายคำถาม คำถามละหลายครั้ง
รีบร้อนเริ่มหัวข้อสนทนาราวกับกลัวฉันจะชิงวางสายเหมือนคราวก่อน

คุณจะจัดว่าฉันเป็นอดีตคน(ไม่)รู้ใจที่แย่ไหม ถ้าในใจฉันนึกทุกครั้งที่ได้ยินคำถามแสดงความอาทรเหล่านั้น ว่า
"จะอยากรู้ไปทำไม?"
แต่ดันนึกดังไปหน่อย คือดังไปถึงปลายสายโน่นเลย

"พี่ห่วงน้อง น้องก็ห่วงพี่ พี่รู้" ฟังแล้วในใจฉันนึกค้านอย่างแรง ว่า 'ไม่ได้ห่วงสักหน่อย' แต่คราวนี้ได้เรียนรู้แล้ว ที่จะไม่พูดออกไป รวมทั้งไม่ตอบด้วย ว่ามีใครใหม่หรือยัง
...ก็เขาจำเป็นต้องรู้หรือ?

"ยังไงเราก็ผูกพันกัน พี่รู้ว่าน้องห่วง" เขาสรุป

ความผูกพัน=ความเป็นห่วง?

สมการข้อนี้ทำฉันเบลอ
ใช่ เราเคยผูกพันกัน ตอนนี้ก็คงยังผูกพันอยู่ ไม่งั้นคงไม่ต้องโทรไปบอกเรื่องธุระที่มันยังทำให้เราเกี่ยวพันกัน

แต่ว่า ในเวลาที่เรายังผูกพันกับใครสักคน
เราจะ 'ไม่แคร์เขาแล้ว' ไปพร้อมกันได้ไหม

ไม่ได้บอกเขา (เพราะมันคงจะทรามเกินไป ผู้หญิงหน้าตาสวยอย่างฉันควรแสดงความทรามเพียงพอประมาณ มากไปจะหมดสวย) ว่า

"ทุกวันนี้ม้อยไม่ได้แคร์พี่แล้ว"

ถ้าบังเอิญรู้ว่าสึนามิพัดเขาไป หรือแผ่นดินไหวกลืนเขาหายลับ
ฉันคงไม่ฟูมฟายเหมือนวันที่เขาหายเงียบไปจากชีวิต ปล่อยให้ฉันคิดเองอยู่คนเดียวว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน
...และกับใคร
ก็คงจะเศร้า ไว้อาลัยให้กับช่วงเวลาดีๆ และไม่ดี ที่เราเคยมีด้วยกัน
แล้วก็คงจะเจริญมรณานุสติต่อไป

ไม่เข้่าใจเขา ไม่เข้าใจผู้ชาย
นี่มันอะไร
แค่ถามประสาคนเคยผูกพัน
หรือเขากำลังบอกอะไรที่ฉันไม่เข้าใจ

หรือมันก็แค่สัญชาตญาณ 'หมาหวงก้าง' ประสาผู้ชาย

สับสน แต่ไม่หวั่นไหว
เพราะเชื่อเหมือนเพลงเพลงนั้น
ว่า
ความผูกพันมันซื้อความรักไม่ได้





คิดถึงเพื่อนเก่า ๒ : เพื่อนวารสาร


ใครๆ ก็รู้

วันนี้ได้จับพลัดจับพลูไปเจอป้าหยอง
ก็พบว่า
ชีเปลี่ยนไปนะ ชีเปลี่ยนไป

รีบกลับมาค้นรูปเก่าที่ได้ทำการก๊อปปี้ไว้ เตรียมจะนำมาอัพกันลืม
ได้โอกาส ขอหยิบรูปเก่าป้าหยองมาแบ่งกันชมหน่อย

รอ-ใต้แสงตะวัน




วันนี้ไปงานแถลงข่าวเปิดตัวนาฬิกา Concord ที่ The Bridge Restaurant ในรั้วเดียวกับ KOI ร้านอาหารญี่ปุ่นสุดเริ่ศ ในซอยสายน้ำผึ้ง สุขุมวิท ๒๐

พี่อาร์เจ้ากรรม เปลี่ยนเวลาแถลงข่าว แต่ดันไม่เปลี่ยนข้อความในแฟกซ์เชิญ นักข่าวเลยต้องไปแกร่วรองานเริ่มกันตั้งแต่บ่ายสอง งานเริ่มจริงๆ บ่ายสามครึ่ง

น้อยคนที่จะได้เห็นบรรยากาศของร้านตอนกลางวัน
อยากบอกว่าสวยเหมือนกัน แดดแรง ลมดี ถ่ายรูปสนุก

แต่ถ้านักข่าวเป็นฝ้า พีอาร์จะว่าไงเนี่ย?
(พบในภายหลังว่าพีอาร์เป็นเพื่อนวารสารรุ่นเดียวกับดิฉันเองแหละ)

ป.ล. รอตั้งนาน หนังสือไม่มีอ่าน ไล่โทรหาเพื่อนหลายคน ไม่เข้าใจทำไมไม่มีใครรับเลย
เลยต้องโทรหาคน(ไม่)เคยรู้ใจ ไม่รู้จะโทรไปทำไม เพราะมันไม่มีอะไรดีขึ้นมา
แถมยังได้ยินคำบางคำที่ทำให้ระคายใจไม่หายอีก

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

กว่าจะฝ่าฝนไปถึงจันทร์




ไม่ได้แค่ที่เชียงใหม่หรอก
ช่วงนี้กรุงเทพฯ ก็ฝนตกมาก
วันธรรมดาถ้าฝนตกตอนเลิกงาน ก็จะหลบอยู่ที่ออฟฟิศก่อน
ซาแล้วค่อยกลับบ้าน
แต่เมื่อวาน จำเป็นต้องไปตามนัด

นัดไปชิมอาหารที่ร้าน "จันทร์"
แต่ฝนตกเยอะจริงๆ ไม่ได้ติดอยู่กลางถนนตอนฝนตกมากๆ อย่างนี้มานานแล้ว
นัด ๑๙.๓๐ น. ไปถึงร้านตั้ง ๑๙.๐๐ น. แน่ะ

แอร์ก็เย็น ฝนก็เย็น
นึกว่าจะไม่สบายซะแล้วซี

จันทร์ อยู่ปากซอยฉิมพลี ถนนราชพฤกษ์ โทร ๐ ๒๘๘๔ ๑๓๙๒

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เกิดสงครามพันครั้ง....




๔ พฤษภาคม ๒๕๕๑

จากร้านเช่าจักรยานที่เพิ่งเอารถไปคืน
เราพากันเดินกะปลกกะเปลี้ยไปตามถนนอู่ทอง หมายจะกลับไปนั่งแผ่ที่บ้านคุณพระ

พี่ผึ้งเดินนำ
ดิฉันเดินตาม
พลันสายตาไปสบกับตาดำขลับเป็นประกายคู่น้อย ท้ายรถกระบะ
เป็นตาที่กำลังใสสมวัยเจ้าของ
หนุ่มน้อยเล่นอยู่คนเดียว กำลังฮัมเพลงอะไรสักอย่าง
แสงกำลังสวย
ดิฉันลองผูกมิตร ถามเด็กว่าทำอะไรอยู่
รอป้า-เด็กน้อยตอบ
ขอถ่ายรูปหน่อยนะ-ดิฉันเข้าประเด็นโดยไม่รอช้า

นึกว่าจะเขิล
แต่เด็กน้อยเผยยิ้มจริงใจ โชว์ฟันผุทุกซี่

เป็นยิ้มที่จับใจหญิงใหญ่ที่เพื่อนวัยใกล้เคียงอ่านข่าวไซโคลนนากิส ต่อด้วย ๗.๘ ริกเตอร์แล้วเปรยว่า โชคดีเนอะที่เราอายุเท่านี้แล้ว
ดิฉันฟังแล้วพยักหน้าอย่างไม่มีอะไรจะแย้ง

...เพราะว่าเราคงอยู่อีกไม่กี่ปี ถ้าโลกนี้จะมีภัยพิบัติอะไรเกิดขึ้นอีก เราก็คงไม่ต้องทนอีกนานนัก
แต่เด็กๆ สิ เค้าคงจะลำบากไปอีกนานเลยล่ะ

ขอบคุณสำหรับมิตรภาพ ใส-ใส นะจ๊ะ
พ่อหนุ่มน้อย

เปิดจดหมายเก่า: โปสการ์ดจากเมืองปาย


อรุณสวัสดิ์ผ่านความหนาวเหน็บ

 

สวัสดีคุณม้อย หวังว่ายังคงไม่ลืมเลือนกันนะ หลังจากที่ฉันมาปายเป็นเวลาหนึ่ง ฉันก็รู้สึกว่าเวลาไม่ได้เป็นโจทย์สำหรับการที่จะทำอะไร ต่างกับชีวิตในเมืองเป็นอย่างมาก วันทุกวันไม่ต่างกันสักนิด ความแตกต่างอาจมีแค่ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นต่างมุม เมฆที่ต่างรูปทรง และอนงค์ที่งามนานา (เดาเอาเพราะอ่านไม่ออก)

 

ฉันอยู่ที่นี่จนรู้แทบจะหมดแล้วล่ะว่าอะไรอยู่ที่ไหน ร้านไหนอร่อย ที่ไหนแพง ที่ไหนกวนตรีน พูดถึงกวนตรีนนี่ต้องยกให้ร้านไอติมน่าหมั่นไส้มันมาก นึกว่าของตัวเองเก๋ แถมราคาแพงกว่าไอเบอรี่ซะอีก

 

อีกอย่างหนึ่งที่ฉันรู้สึกทันทีนี่คือ มันคล้ายๆ ข้าวสาร พวกพีพี มีแต่ฝรั่ง แถมร้านค้าร้านข้าวก็เหมือนทำมาเพื่อต้อนรับฝรั่ง ไม่ค่อยเหมาะกับคนไทยอย่างฉันเท่าไรนัก แต่ก็นะ ฝรั่งมันเยอะกว่าก็สมควรทำเพื่อเค้า เมืองปายนี่ฉันว่าเค้าคงคัดคนมาเที่ยวแน่ๆ เพราะแต่ละคนที่มาเที่ยวหน้าตาดีทั้งนั้น แทบจะ 80 เปอร์เซ็นต์ได้ แต่ส่วนมากเค้าจะมากับผัวน่ะสิ

 

วันที่ฉันเขียนนี้ไม่ค่อยหนาวแล้วล่ะ หายใจไม่เป็นไอแล้ว เห็นว่าตอนแรกว่าจะหนาวลง แต่ทำไมดันร้อนขึ้นกว่าเดิม สุดท้ายนี้ฉันหวังว่าแกคงจะยังมีความสุขกับเมืองหลวงที่วุ่นวายนะ

 

ขอบใจที่ทนอ่านจนจบ

 

PoP



(ตราประทับลงวันที่ 8 เดือน 1 ปี 50)

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

บินทีละหลา: บางครั้ง การเดินทางก็ไม่ได้หมายถึงการเดินทาง

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Travel
Author:บินหลา สันกาลาคีรี
ข้อเขียนอ่อนไหว หวานละไม และเอียงอายอย่างน่ารัก จากนักเดินทางชื่อ บินหลา สันกาลาคีรี
ใช่แล้วนี่เป็นงานรวมเล่มคอลัมน์ บิน-ที-ละ-หลา ของเขาในมติชนฉบับวันอาทิตย์ (เมื่อนานมาแล้ว) ข้อเขียนในคอลัมน์นี้ล้วนเป็นการพูดถึงการเดินทาง การเตรียมตัวเดินทาง ความเหงา ความรู้สึก สิ่งที่พบเห็นระหว่างเดินทาง เสียงเพลง มิตรภาพ และการเอาตัวรอดของนักเดินทาง

เป็นเรื่องมีสาระ ซีเรียส แต่อ่านได้ความบันเทิงรสหวานละมุน ละเมียดกับชีวิตและความรู้สึก ตามแบบฉบับของคนเขียนเจ้าหงิญ

หนังสือเล่มไม่ใหญ่นี้มีบทเล็กๆ อยู่หลายบท แต่มีอยู่ ๒ บทที่ถูกใจดิฉัน
คือบทที่บินหลาเขียนเล่าว่าได้คุยกับแม่นกกวักที่พลัดมาหากินในลำธารหลังบ้านเป็นครั้งแรก ทักทายเรียบร้อยแล้วเจ้าของบ้านก็บอกยินดีต้อนรับ แต่กลับโดนแม่นกกวักตอกกลับว่า 'ไหนว่าเบื่อพวก very common resident ชอบไอ้ที่หายากๆ แปลกๆ พิสดารๆ' ว่าแล้วก็ถากถาง 'ไม่รู้จักความสุขของการอยู่ง่ายไ กินง่ายๆ พอใจอะไรง่ายๆ บ้างรึไง'
บินหลาเถียงอ่อยๆ ว่าบางทีก็คนเราก็ต้องการสีสันชีวิต ต้องการความแปลกใหม่ ตื่นตาบ้าง
แม่นกกวักก็ยักสะโพกไม่แคร์แล้วบอก 'ก็เอาิสิ.. แต่อย่าดูแคลนความดาษดื่นใกล้ตัว ถามตัวเองสิว่าในบรรดาความดาษดื่นทั้งหลายนั่น คุณไม่เพียงแต่ได้เห็นมัน หากได้นั่งลงสังเกตและรู้จักอย่างจริงจังแล้ว'

แล้วหลังจากที่นิ่งกันไปครู่ใหญ่ บินหลาก็บอกขอบคุณ ตามด้วยขอโทษที่ปากเคยพลั้งไป
แม่นกกวักบอกขอบคุณเช่นกัน 'อย่างน้อย' ชีบอก 'ก็ขอบคุณที่คุณขอโทษเป็น'

(น่ารักเน้อะะะะะะะ)

บินหลาเขียนไว้ตอนท้ายว่า คุณนกกวักชโลมใจให้คนในพันธนาการ (เค้ากำลังอยากไปอินเดียกัน แต่ไปไม่ได้เพราะ....) ได้รำลึกว่า ยังมีเวรี่คอมมอนเรสิเดนต์อีกมากมายที่ไม่เวรี่คอนมอน...หรอกนะมึง

และในที่สุด เขาก็ได้เข้าใจว่า 'บางครั้ง การเดินทางก็ไม่ได้หมายถึงการเดินทาง' น่ะ มันเป็นยังไง

อีกบทที่ประทับใจนั้น ว่าด้วยเรื่องสะพาน บินหลาพูดถึงสะพานหลายแห่ง แต่ที่จับใจคือ คุณสะพานน้อยสีขาวบนทางรถไฟระหว่างเชียงใหม่กับแม่ทา-ลำพูน
ดิฉันติดใจสะพานน้อยแห่งนั้นเหมือนกัน และกำลังจะได้ไปอรุณสวัสดิ์กับเธอในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ความจริงมันก็แค่สะพานน่ารักๆ ธรรมดา
แต่ทำไมบินหลาจึงสามารถพูดถึงเธอได้ราวกับพูดถึงเทพธิดาสะพานน้อยๆ ที่แสนหวานได้ปานนั้นนะ

(เฮ้อ.... รักคนอ้วนอีกแล้วสิเรา)



ป.ล. เข้าใจใช่ไหมว่า very common resident (ศัพท์จากหนังสือดูนก) คือการจัดประเภทนกประจำถิ่นที่พบได้อย่างดาดดื่นทั่วไป ถ้าให้พิเศษกว่านี้ก็ต้องเรียกว่า นกอพยพ นกหายาก ใกล้สูญพันธุ์ อะไรอย่างนั้น

เปิดจดหมายเก่า: โปสการ์ดจากฮาเล




4 พ.ค. 51

น้าม้อยถือกระเป๋า
ไปทำงาน

(โปสการ์ดจากครอบครัวทะเล วันที่พวกเค้าไปเที่ยวสมุยกัน)

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

คิดถึงเพื่อนเก่า ๑ : กร+(หลวง)พี่โพด และนก


เช้าหนึ่งบนเกาะลันตา ทริปนี้ไปกัน ๔ คน มีม้อย กร พี่โพด แล้วก็นก-ดารา

กรยังผอม ส่วนพี่โพดก็ยังมีผมดกดำเต็มหัว

ทุกคนยังไม่มีใครมีแฟน มีอนาคตอันเจิดจรัส อยากรู้อยากเห็นว่าโลกข้างนอกเป็นอย่างไร


คบกันมาตั้งแต่ปี ๓๕ นี่ก็เป็นเวลา ๑๖ ปีแล้ว (คุณพระช่วย!!!)
๑๖ ปีผ่านไป มีอะไรเปลี่ยนไปเย้อะะะะะะะะ
ดูเอาเหอะ

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ ๑๒: สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ ใจที่ไม่เหมือนเดิม


วันนี้เมื่อปีที่แล้วเรากำลังทำอะไรอยู่นะ?

แปลกดีที่โอชโช่ดันนึกถึงเรื่องที่นึกออกยากอย่างนี้ระหว่างปั่นจักรยานเที่ยวเมืองอยุธยา โดยเฉพาะในตอนที่เธอและเพื่อนร่วมทางกำลังงงกับแผนที่ และเริ่มรู้ตัวว่าหลงทางแล้วแบบนี้

 

อาจเป็นเพราะการขึ้นนั่งบนอานจักรยาน แล้วออกแรงถีบมันไปข้างหน้า ไปในที่ที่เธออยากจะไป ด้วยแรงกำลังของเธอเอง ด้วยการบังคับทิศทางของเธอเอง ที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความอิสระเสรีที่ทำหายไปพักใหญ่

 

โอชโช่กำลังรู้สึกว่าชีวิตกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง หลังจากช่วงเวลาอันยาวนานก่อนหน้านี้ รวมถึงวันนี้เมื่อปีก่อน ซึ่งชีวิตของเธอตกอยู่ใต้เงาทะมึนของความคลุมเครือที่ทำให้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง.. เพราะใครบางคน

 

และใครคนนั้นดันโทรมาตอนที่เธอกำลังนึกถึงชีวิตหม่นเศร้าในวันเก่าพอดี

 

สงสัยจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจริงๆโอชโช่ไม่รับสาย แต่เลือกกด mute แล้วก็ออกรถ ขี่ตามเพื่อนร่วมทางของเธอต่อไป

 

การไม่รับสาย คือตัวเลือกของเธอตลอดหลายเดือนมานี้ หลังจากที่ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เธอและเขาคนนั้นไม่มีวันคุยกันรู้เรื่อง ไม่มีคำว่า อีกต่อไปเป็นสร้อยห้อยท้าย เพราะที่จริงแล้ว เธอและเขาไม่เคยคุยกันรู้เรื่องมาก่อนด้วยซ้ำ

 

แต่ดันฝืนสังขารคบกันได้เป็นปี

 

โอชโช่ปล่อยให้สายนั้นกลายเป็น miss called โดยไม่รีบร้อนจะโทรกลับ แต่เธอก็โทรกลับในอีกชั่วโมงต่อมา

 

ไง?

เออ... พี่จะถามว่าวันนี้อยู่บ้านหรือเปล่า จะเอา..... กับ.......แล้วก็.............ไปให้อืมม์ เขาขึ้นมากรุงเทพฯ นี่เอง เราโชคดีจังโอชโช่แอบนึกในใจ

อ๋อ วันนี้ไม่อยู่บ้านเธอไม่ให้รายละเอียด

อ้าว หรอ อืมม์... งั้นไม่เป็นไร พี่อยู่ถึงวันที่ ๘ ไว้พี่แวะเอาไปให้ที่ออฟฟิศน้องแล้วกัน อาทิตย์หน้าไม่ออกไปไหนใช่ไหม?

ยังไม่แน่ใจโอชโช่ไม่ให้ความหวัง

โอเค แล้วพี่จะโทรไปนะ

โอชโช่วางสาย

 

ดีจัง แค่นาทีเดียว เธอนึก

 

แต่โทรศัพท์จากคนคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ระหว่างที่เธอกำลังรอกินก๋วยเตี๋ยวเรือ

 

อะไรหรอ?

เออนี่ ไปเดินสวนฯ กันไหม?”

บอกแล้วว่าไม่ได้อยู่บ้าน

ก็เผื่ออยู่ข้างนอกแล้วจะแวะมาเจอกัน

.....(ถอนหายใจเสียงดัง)...ตอนนี้อยู่อยุธยา

.....อยุธยาหรอ ไปทำงานหรอ?”

...(ถอนหายใจอีกครั้ง คราวนี้เพื่อนร่วมทางหันมามองหน้าเธอเต็มๆ)...ทำหลายอย่าง

โอเคๆ ไม่มาก็ไม่มา ดุจริงเว้ย เขาพูดขำๆ แต่ไม่คิดจะต่อปากต่อคำอีกต่อไป

แค่นี้นะ กินข้าวอยู่

อืมม์..

 

โอชโช่วางสายโดยที่ก๋วยเตี๋ยวยังไม่มา จากนั้นเธอก็สรุปเรื่องคร่าวๆ ให้เพื่อนร่วมทางฟัง แทนที่จะโดนด่าที่ถอนหายใจดังไปถึงกรุงเทพฯ กลายเป็นต้องฟังเพื่อนด่าคนโทรมาหาระหว่างรอกินก๋วยเตี๋ยวแทน

 

หลายวันผ่านไป ไม่มีการติดต่อจากเขาอีก แต่โอชโช่ก็ไม่ได้ติดใจจะทวงถาม เพราะเธอได้พิสูจน์ไปนานแล้วว่า

 

กาลเวลา... แม้จะทำให้คนบางคนจะเปลี่ยนใจ แต่ก็ไม่เคยทำให้นิสัยของอีกคนเปลี่ยนได้เลย

 

 

ภาคพิเศษ ท้ายเรื่อง

มองข้างซ้ายเหมือนจินตหรา... มองข้างขวาเหมือนมะหมี่ เสียงแซวเปิ่นๆ ของหมอทำให้คนไข้ที่กำลังตะแคงหน้าซ้ายขวาให้หมอตรวจจับสิวปล่อยก๊ากออกมา 

หมอคะ... เฉิ่มค่ะ

นี่สิวไม่มีแล้วสวยนะเนี่ยหมอบู๋หยอดมา เผื่อคนไข้จะชมกลับว่าหมอเก่ง

สิวหายแล้วก็ไม่ต้องมาหาหมอแล้วสินะ เจอไม้นี้หมอเลยค้อนกลับมาวงใหญ่

ก็ตามใจคุณโอชโช่เถอะ

เออ วันนี้ว่าจะเอาหนังสือที่ทำมาให้หมออ่านแล้วเชียว รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนหมอจะงอนจริง พอดีลืม หมอยิ้มแล้ว ว่าแต่หมอจะมีเวลาอ่านไหมน๊า?

โอ๊ย ผมยังมีเวลาหนีไปดูคอนเสิร์ตเลย เออ เสาร์หน้าไม่อยู่นะ จะไปดูคอนเสิร์ต

คอนเสิร์ตอะไรหว่า โอชโช่นึกไม่ออก จะมีวงร็อครุ่นเก๋ามาเวิลด์ทัวร์อีกหรือไงนะ  

เทศกาลเพลงสกาที่หัวหินไง

ฮ๊า!....ทีโบน!”

อือ นั่นแหละ อิจฉาไหมล่ะ?หมอแกล้ง

อาทิตย์หน้าหรอ อืม... ไปเชียงใหม่ อาทิตย์ต่อไป...ก็กระบี่

..........

อาทิตย์ที่แล้ว ไปอยุธยา

โอ๊ยๆๆๆ พอแล้วๆ อิจฉาแล้ว หมอร้อง

“.........” โอชโช่ไม่ว่าอะไร แค่ยักไหล่อย่างเก๋ไก๋หนึ่งที



หมายเหตุ

อ่านตอนที่ ๑๑ ได้ที่ http://mandymois.multiply.com/journal/item/94

อย่านะ..หนูสู้นะ!


แมวน้อยเริ่มตกใจ
และถอยกรูด

เมื่อวานเจอลูกแมวตัวนึง
แววตาเก่งกล้าไม่กลัวใคร
ก็ควักคุณมาโนชออกมาถ่าย
สายคล้องข้อมือสีดำ-แดงจึงห้อยไปล่อหน้าล่อตาแมวเด็ก
กลายเป็นเหยื่อล่อให้แม่หนูอยู่ให้เราถ่ายรูปจนหนำใจ

ตอนนี้ดิฉันติดเรดาร์แมวแล้วนะคุณแพท

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

รวมมิตรรถสามล้อ




รถสามล้อหลากสีที่อยุธยา
ที่ยังไม่ได้นั่งเรยยยย

เด็กขี้เหร่




วันก่อนคุยกับพี่แอน ประมาณว่าเด็กนี่น่ารักทุกคน
ยกเว้นดิฉัน เพราะว่าตอนเด็กๆ ขี้เหร่มาก
ดูเหมือนพี่แอนบอกไม่เชื่อ ต้องหาหลักฐานมายืนยัน

ตอนแรกว่าจะไม่
แต่แล้วก็นึกครึ้่มใจ
โพสเอาไว้ดูเล่นดีกว่า

เห็นไหมว่าลูกเป็ดขี้เหร่ โตขึ้นแล้วก็สวยเหมือนดิฉันนี่แหละ
เหอ เหอ

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เตียวขึ้นดอยสุเทพ-ไหว้พระธาตุวันวิสาขะ

Start:     May 18, '08 07:00a
16-20 พฤษภาคมนี้จะไปเชียงใหม่
ไปเตียวขึ้นดอย ไหว้พระธาตุให้อิ่มใจ
แล้วจะแอ่วหาเพื่อนรัก หากิ๋นข้าวซอยลำๆ แถมด้วยสุกี้บ้านเพื่อน
อาจได้พบปะพี่น้องในมัลติพลายจาวเจียงใหม่
ช้อปปิ้งกาดหลวงให้สำราญใจ๋


ไปรถไฟ-กลับรถไฟ

จะมีใครอิจฉาอีกไหมหนอ???

ถ่ายกันไป-ถ่ายกันมา


ซึ่งได้จากการถ่ายตัวเอง

ดิฉันชอบถ่ายรูปพี่ผึ้งมาก เพราะแกไม่กลัวกล้อง แล้วก็เป็นคนมีคาแร็คเตอร์
แต่ก็อยากจะได้รูปตัวเองไว้เป็นหลักฐานว่าได้มาเที่ยวอยุธยาเหมือนกัน ทว่า ไม่อยากรอรูปจากกล้องพี่ผึ้ง ก็เลยส่งกล้องให้พี่ผึ้งช่วยถ่ายบ้างเป็นครั้งคราว

แต่...พี่ผึ้งช่างมีสไตล์การถ่ายที่ติสท์เหลือใจ แต่ละรูปที่มีก็เลย...ดูแล้ว "แนว...ซะไม่มี"

พิศภาพที่พี่ผึ้งให้แล้วโปรดอย่าเพิ่งเข้าใจว่าดิฉันเป็นสาวเปรี้ยว มั่น หรือแนว หรือฯลฯ เลยนะคะ
เพราะว่าความจริงน่ะ เป็นคนเรียบร้อย มารยาทดี พูดเพราะ มีความอดทนสูง และมีน้ำใจ

ที่ำสำคัญ เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบนะคะ (บรรทัดนี้ต้องเชื่อนะคะ)

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

คำคม#๘


กม.มุนา วต.ตตี โลโก

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

 

 

ถ้าชาวพม่าเรือนหมื่นต้องเป็นไปตามกรรม... แล้วเมื่อไหร่สัตว์โลกที่โกงชาติบ้านเมือง เผด็จการ ยุให้คนฆ่ากัน ใช้อำนาจหาผลประโยชน์ให้พวกพ้อง มันจะเป็นไปตามกรรมของมันมั่งนะ?

เพื่อนสี่ขาที่กรุงเก่า




๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑

อัลบั้มนี้ไม่มีอะไร
แค่จับรูปหมาแมวที่ถ่ายไว้ตอนไปอยุธยามารวมกัน

นักท่องเที่ยวผู้น่ารัก


ใครน่ารักที่สุดน๊าาาา?

๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑

ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าคุณไปเที่ยวอยุธยาจะพบว่า นอกจากม้อยและพี่ผึ้งแล้ว (ฮิฮิ) ยังมีนักท่องเที่ยวผู้น่ารักเต็มมมมมมมม อยุธยาไปหมด

คนญี่ปุ่นมีเยอะๆๆๆๆๆๆๆ กว่าชาติอื่น หน้าตาขาวแจ่มจิ้มลิ้มกันไปทั้งสิ้น
เสียดายตั้งตัวได้ช้าไปนิสสส์ อัลบั้มนี้เลยแฟ่บๆ ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นอะไรที่ตู้มต้ามกว่านี้

เอาไว้กลับไปเที่ยวอยุธยาพร้อมกล้องตัวใหม่ที่มีซูมเยอะๆ กว่านี้ก่อนเหอะ

ฮึ่ม!

อาหารการกินที่กรุงเก่า


มื้อเช้าวันอาทิตย์
หลังลงจากรถไฟ
ตอนแรกว่าจะกินโจ๊กตามที่ได้อ่านมาจากบทความท่องเที่ยวในอินเทอร์เน็ต แต่โจ๊กหมดซะก่อน
เลยมาลงที่ข้าวขาหมูกับบะหมี่แห้ง

ตอนขี่จักรยานไปได้แค่สองสามกิโลแล้วบนว่าขาสั่นแล้ว พี่ผึ้งหัวเราะเยาะใหญ่ บอกเห็นไหมว่ากินข้าวขาหมูแล้วมีพลัง
ว่าแล้วก็คุยทับดิฉันไปทั้งวัน

ที่ไหนได้ ชีมาเดี้ยงเอาเช้าวันรุ่งขึ้น


๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑

วันหยุดที่ผ่านมาไปเที่ยวอยุธยา ๒ วัน นับเป็นเวลาสั้นเกินไปที่จะทำความรู้จักกับเกาะเมืองอยุธยาอย่างลึกซึ้ง
แต่ก็พอมีโอกาสได้ชิมอาหารเมืองอยุธยามาแบบแตะๆ

โอกาสหน้าว่าจะตระเวณชิมให้ทั่วเลย
คอยดูสิ

สัตว์โลก (ผู้น่าสงสาร)


อยากทายไหมว่านักท่องเที่ยวสัญชาติอะไรชอบช้างที่สุด?

๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑

ได้ยินคนถามแว่วๆ ว่าขี่จักรยานเที่ยวอยุธยาไม่เจอช้างบ้างหรอ
คำตอบคือเจอทั้งวันเลย เจอเยอะ จนต้องแบ่งมาไว้ในอีกอัลบั้มนึง

อยุธยามีช้างมากจริงๆ เพราะที่นี่มี "วังช้างอยุธยา แลเพนียด" มีบริการนั่งหลังช้างชมเมือง ด้วยน่ะสิ

ไม่ได้ไปนั่งเอง แต่จากคู่มือที่ได้มาจาก ททท. เขาว่าถ้าอยากนั่งช้างต้องเสีย ๑๐๐-๕๐๐ บาท แล้วแต่จะนั่งนานหรือนั่งไม่นาน

มองๆ พี่ช้างทำงานอย่างอดทน เดินไป เดินมาตลอด (ก็นักท่องเที่ยวรอขอขึ้นนั่งหลังช้างกันเป็นแถวยาวขนาดนี้ จะอู้ได้ไง) แล้วสงสารจัง อากาศมันร้อน
แต่คิดดูอีกที พี่ช้างเค้าก็ทำงานสมศักดิ์ศรี น่านับถือนะคะ

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ถีบรถท่องอยุธยา


อุตส่าห์จัดแจงแต่งท่าซะดิบดี
แต่พี่ผึ้งก็กดชัตเตอร์ตอนดิฉันหลับตาอีกแร้ววววว

ดูสังขารสิ โท-รม สุดๆ

๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑

ก่อนวันอาทิตย์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ดิฉันเกือบลืมไปแล้วว่าการขี่จักรยานมันสนุกแค่ไหน
จึงดีใจนักที่ได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้ อิสระ-เสรี และควบคุมได้อีกหน แม้จะเป็นการขี่จักรยานเที่ยวเมืองอยุธยาแค่ค่อนวัน กับพี่ผึ้ง

เราเช่าจักรยานได้ตอนสิบโมงกว่าๆ กว่าจะเลือกรถได้ก็เล่นเอาเกือบปวดหัว การไม่ได้วางแผนมาจากบ้านทำให้เราบริหารเวลาได้ไม่ดีเท่าไหร่ แถมยังเบลอ อ่านแผนที่ที่น้องบ้านคุณพระให้มาผิด ขี่ไปจนเกือบสุดเกาะ (จากถนนบางเอียนไปเกือบถึงหลวงพ่อโลกยสุธาแล้วเชียว) ขาน่ะสั่นพั่บๆๆๆ ตั้งแต่ก่อนหา ททท.เจอซะอีก แต่เราก็ได้กราบหลักเมืองอยุธยา ชมโบราณสถานวัดมหาธาตุ ไปกราบหลวงพ่อมงคลบพิตร ปีนขึ้นไปส่องดูกรวัดพระศรีสรรเพชญ์ แล้วก็ไปกราบหลวงพ่อโลกยสุธา พระไสยาสน์องค์ใหญ่ ความยาวขนาด ๒๙ เมตร ในบรรยากาศที่น่าประทับของแสงยามเย็น

แล้วก็พากันปั่นกลับมาที่ร้านเช่าจักรยาน

เป็นวันที่เหนื่อยจนขาสั่น ตัวดำปื๋อเพราะคิดว่าฝนต้องตกแน่ๆ เลยไม่ได้เอาซันบล็อกออกมาขี่จักรยานด้วย แต่ก็สนุกมากๆ เชื่อว่าคงเป็นวันที่เอ็นโดรฟินหลั่งออกมามากมาย

ขี่จักรยานเที่ยวนี่มันขึ้นอยู่กับเราเลือกรถถูกคันหรือเปล่า แล้วเราไปกับใคร แค่นั้นเอง



หมายเหตุ
พี่ผึ้งจ๊ะ จำได้ไหมว่าพี่ผึ้งขอบคุณม้อยไว๊-ไว ที่ม้อยชวนพี่ขึ้นรถไฟมาเที่ยวอยุธยากัน ม้อยยังไม่ได้ขอบคุณพี่ผึ้งเลย ที่เป็นแรงผลักดันให้เราไปเช่าจักรยานกัน แล้วก็จัดแจง จัดลำดับว่าเราจะไปเที่ยวไหนกันดี
เพราะถ้าม้อยมาเที่ยวอยุธยาคนเดียว คงเอาแต่นอนทอดหุ่ย เหมือนมาไม่ถึงอยุธยาซะมากกว่า
๒ วันที่เราไปเที่ยวด้วยกันน่ะ สนุกมากเลยพี่ผึ้ง

เราจะกลับไปอยุธยาอีก เพื่อเช่าจักรยานขี่ไปเยี่ยมหมู่บ้านโปรตุเกส เยี่ยมบรรพบุรุษของพี่ผึ้งใช่ไหมจ๊ะ?
(เหอ เหอ)

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ ๑๑: คนใจร้ายกับคนปากหนัก

 

หลังจากหัวใจต้องเจ็บเพราะการพูดถึงใครบางคนของหมอ โอชโช่ก็จ๋อยไปมาก เจอกันใหม่ในวันนี้ก็เลยไม่อยากจะเปรี้ยว หมอว่าอะไรมาเธอก็นั่งเงียบๆ หยิ่งๆ

 

แต่เมื่อสายตาปราดไปเห็นลายมือขยุกขยุยบนชาร์ตของหมอเข้า ปากมันก็คันขึ้นมาเชียว

 

หมอคะ นั่นลายมือหมอหรอคะ? หมอบู๋มองตามสายตาคนไข้ ใช่สิหมองง หมอเคยอ่านลายมือตัวเองไม่ออกไหมคะ โอชโช่ซ้ำทันที

 

หมอบู๋เปลี่ยนสีหน้าจากงงเป็นขำ ก่อนจะปล่อยก๊าก บ้า ต้องอ่านออกสิ

 

ว่าแต่ ผม...น่ะ หมอทำใช้มือทำเป็นเส้นโค้งๆ ที่แนวตีนผมของตัวเอง

...ใช่แล้ว หมอกำลังล้อระดับผมหน้าม้าสุดเต่อของเธอนั่นเอง

 

คิดนานไหม?หมอถาม

ทะ...ทำไมต้องคิดด้วยตัวเองเริ่มชินกับผม จนลืมไปว่านี่เพิ่งตัดมา มันยังเต่ออยู่ โดนล้อจนได้สิ ก็ตัดแบบนี้แล้วอยู่ได้อีกตั้งหลายเดือน ตั้งตัวติดก็เถียงฉอดๆ ไปเลย

เด็กคนนั้นน่ะ จำได้ไหม คนที่เดือนก่อนมาช่วยทำงานที่เคาน์เตอร์น่ะ ที่หน้าหมวยๆ แล้วใส่แว่นน่ะ.. โอชโช่กำลังงงว่าหมอจะเปลี่ยนเรื่องเป็นอะไร แต่ก็พยักหน้าหงึกๆ ไปเพราะจำน้องหมวยคนนั้นได้ เค้าก็ตัดผมหน้าม้าสั้นๆ แบบนี้เหมือนกันนะ หมอพูด

นั่นไง เห็นไหม ใครๆ เค้าก็ตัด

แต่ว่า.. นั่นเค้าเด็กไง แต่อย่างคุณโอชโช่เนี่ย..... ว่าแล้วก็พลิกชาร์ตไปที่หน้าแรก กวาดตามองไปที่อายุคนไข้

“กรี๊ดดดดดดดดดดดด หมอใจร้ายยยยยยยย!” คนไข้ร้องเสียงแหลม

แต่หมอบู๋หัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจ

 

 

 

ภาคพิเศษ ท้ายเรื่อง

คิว: หวัดดีเจ้
โอชโช่: คิดถึงกันมั่งไหม  
คิว: ...ถามอีกแล้ว
โอชโช่: ก็ว่าไงล่ะ
คิว: ไม่บอก
โอชโช่: …….
คิว: แล้ว นี่เจ้จะไปอโยธยากะใครอะ
โอชโช่: ไม่บอก
คิว: กะใครหว่า
โอชโช่: ไม่คิดถึงกันแล้วทำไมอยากรู้นัก
คิว:…
โอชโช่
: (ฮ่าฮ่าฮ่า-สะใจว๊อย!!!)

 

หมายเหตุ
อ่านตอนที่ ๑๐ ได้ที่
http://mandymois.multiply.com/journal/item/82