วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2551

ตนบุญอัศจรรย์แห่งออซ (The Wonderful Wizard of Oz): บนหนทางแห่งการแสวงหาสิ่งที่มีอยู่แล้วในตนเอง

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Childrens Books
Author:L.Frank Baum แปลโดย แก้วคำทิพย์ ไชย
ใครหลายคนคงได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก
แต่ดิฉันไม่
เพราะอย่างที่เคยบอกแล้ว ว่าเป็นโรคต่อต้านกระแสสังคมมาตั้งแต่รู้ความ

เจอหนังสือเล่มนี้ที่ร้านหนังสือริมขอบฟ้า วันที่ต้องไปรอคนจะไปแก้บนที่ศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งมาสาย ดิฉันไปถึงก่อน ไม่รู้จะทำอะไรดี เลยเตร่เข้าร้านนี้เป็นครั้งแรก
ยินดีที่ได้เข้าไป ในนั้นมีหนังสือแปลกตาที่น่าสนใจเยอะเชียว กว่าคนมาสายจะมาถึง ดิฉันก็เลือกหนังสือได้ 3 เล่ม รวมทั้งเล่มนี้ ซึ่งวางขายในราคาลด 25% (จาก198 บาท ลดเหลือ 148.5. บาทเท่านั้น) อย่าเพิ่งด่าว่างก เพราะครั้งนี้ความงกนำพาไปพบสิ่งดีๆ
และไม่ได้ซื้อเพราะงกแต่ประการเดียว แต่ยังเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้มีภาพประกอบเป็นลายเส้นย้อนยุคที่สวยงามมาก นอกจากนั้นก็อยากช่วยอุดหนุนสำนักพิมพ์คลาสสิกคนจัดพิมพ์ด้วย ไม่อยากให้เจ๊งไป เด๋วจะมีหนังสือดีๆ ให้เลือกอ่านน้อยลง

คงจะพอรู้กันอยู่ ว่า The Wonderful Wizard of Oz ซึ่งเขียนโดย .Frank Baum เป็นวรรณกรรมเยาวชนอมตะที่ติดลิสต์รายชื่อหนังสือ....เล่มที่เยาวชนควรอ่าน ฯลฯลฯลฯลฯ ของทั่วโลก เล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นของวรรณกรรมในชุด Oz, นครมรกต ฯลฯ ที่เกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย

ตอนแรกไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าทำไมผู้คนนิยมนัก แต่พอเปิดอ่านเล่นๆ บนรถไฟฟ้า ตั้งแต่แยกกับคนมาสาย ก็เริ่มรู้สึกว่า เรื่องที่เขาเล่า บริสุทธิ์ อินโนเซ้นต์ น่ารักจริงๆ

เรื่องเริ่มจากหนูน้อยโดโรธี เด็กหญิงกำพร้าความอุปการะของลุงป้า ในแวดล้อมสีเทาของเมืองแคนซัส วันดีคืนดีโดโรธีและโตโต หมาน้อยของเธอก็ถูกเทอร์นาโด (ในเรื่องเขียนว่าไซโคลน-แต่ในอเมริกาไม่เรียกงี้นี่หว่า) หอบไปทั้งบ้าน ไปตกในดินแดนแสนประหลาดที่มีประชากรเป็นตัวมันชกิ้นส์ (รู้แล้วว่าร้านโดนัทเอาเอาชื่อมาจากไหน)

บ้านดันไปทับเอาแม่มดชั่วร้ายแห่งทิศตะวันออกที่กดขี่ข่มเหงคนแถวนั่นมานานแบนแต๊ดแต๋ โดโรธีก็เลยได้รับการยกย่อง ได้รับพรจากแม่มดดีทิศเหนือ แล้วก็ได้รับการบอกกล่าวว่าถ้าอยากกลับไปแคนซัส ต้องไปขอ 'ตนบุญ' แห่งออซซึ่งมีอำนาจมากช่วย

(หนังสือเล่มนี้ไม่ใช้คำว่า 'แม่มด' เพราะคำว่า 'ตนบุญ' มีความหมายเชิงบวก หมายถึงผู้มีบุญบารมีดั่งผู้วิเศษ เป็นที่กราบไหว้เคารพนับถือของผู้คน ซึ่งใกล้เคียงกับ Wizard ในขณะที่คำว่าพ่อมดนั้น หมายถึงผู้มีอำนาจผิดธรรมดา โดยอาศัยผีหรือพลังเหนือธรรมชาติ)

เมื่อโดโรธีเริ่มเดินทาง เธอก็ได้พบกับเพื่อนใหม่แปลกๆ ทีละคน(ตัว?)

ตั้งแต่หุ่นไล่กาที่อยากมีสมอง เพราะคิดว่าในหัวตัวเองมีแต่ฟาง ต้องโง่แน่ๆ เลย (ทั้งๆ ที่ความจริงหุ่นไล่กาเป็นคนที่มีไหวพริบและโซลูชั่นในการแก้ปัญหาที่แหลมคมที่สุด ตลอดการเดินทาง)

คนตัดฟืนดีบุก ซึ่งเคยเป็นคน เคยรักหญิงสาวคนหนึ่งอย่างดูดดื่ม และตั้งหน้าตั้งตาจะตั้งตัวเตรียมแต่งงานกับหญิงนั้น แต่มีอันต้องกลายเป็นดีบุกทีละส่วนๆ จนกลายเป็นดีบุกทั้งตัว (อยากรู้รายละเอียดโปรดหามาอ่าน) เลยไม่ต้องกิน ไม่ต้องนอน แต่ต้องคอยหยอดน้ำมันอยู่เรื่อยๆ ไม่ให้ไขข้อติดเพราะสนิม เขาคนนี้ปรารถนาจะมีหัวใจเอาไว้รัก (อีกครั้ง-เป็นคนตัดฟืนดีบุกที่โรแมนติกนะ) แต่ทั้งๆ ที่ไม่มีหัวใจที่เต้นได้ดังตุบๆ แต่คนตัดฟืนดีบุกก็ต้องเสียน้ำตาเพราะความสงสารจนสนิมขึ้นไปหลายครั้ง เพื่อนๆ ต้องคอยหยอดน้ำมันกันวุ่นวาย

สมาชิกสุดท้ายคือ สิงโตขี้ขลาด ที่เชื่อว่าตัวเองขี้ขลาด และปรารถนาจะมีความกล้าหาญให้สมกับที่เกิดมาเป็นเจ้าป่าอย่างสิงโต ทั้งที่ในยามคับขัน โดยเฉพาะจังหวะที่ต้องปกป้องโดโรธี สิงโตจะแสดงความ 'แมน' ออกมาอย่างเด่นชัด (แต่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลย)

ทั้ง 5 ที่มีความประสงค์ต้องตรงกัน คืออยากจะได้สิ่งที่คิดว่าตัวเองยังไม่มี จากผู้อื่นก็เลยร่วมทางกัน มุ่งหน้าสู่มรกตนคร โดยระหว่างทางก็ได้พบกับปัญหาต่างๆ ซึ่งได้รับการแก้ไขด้วยไหวพริบ และพลังสามัคคี รวมทั้งโชคด้วย จนไปถึงมรกตนครในที่สุด

เพื่อจะได้พบว่า "ตนบุญออซ" นั้น แท้ที่จริงแล้วไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไร เป็นแค่นักมายากลสูงวัยที่บอลลูนพามาลงแถวๆ นั้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ออซรู้ว่าตัวเองให้สิ่งที่แต่ละคนต้องการไม่ได้ แต่ก็ใช้จิตวิทยา มอบสมองให้แก่หุ่นไล่กา มอบหัวใจให้คนตัดฟืนดีบุก แล้วก็ความกล้าหาญให้สิงโต และกำลังพยายามพาโดโรธีกลับแคนซัสด้วยบอลลูน แต่ก็พลัดกันเสียก่อน

5 สหายจึงผจญภัยกันต่อไป หวังจะพาโดโรธีไปส่งบ้าน ซึ่ง...ที่สุดแล้ว โดโรธีก็ถึงบ้าน ซึ่งระหว่างการเดินทางไป และเดินทางจากมรกตนคร สหายทั้ง 5 (รวมเจ้าหมาน้อยโตโตเข้าไปด้วย) ได้เรียนรู้และค้นพบสิ่งสวยงามมากมาย หลายสิ่งที่สอนให้ผู้ใหญ่ (หัวใจกระด้าง) อย่างดิฉันมองข้ามมาหลายครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นการขวนขวายไขว้คว้าให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองประกาศกับโลกว่า "ฉันปรารถนา" แต่แท้ที่จริงมันมีอยู่แล้วในตัวเรา

การเปิดใจ และให้มิตรภาพกับคนแปลกหน้า-หน้าแปลก.. ดิฉันหมายถึงการให้ก่อน ไม่ใช่เอาแต่รอรับมิตรภาพหรือน้ำใจจากคนอื่น

แล้วก็การทำงานเป็นทีม ยอมรับและให้เกียรติไอเดียของเพื่อน

การมองโลกและปัญหาในแง่ดีไว้ก่อน
รวมทั้ง การหัวเราะกับชีวิตทุกเมื่อ

แหม๋ การอ่านวรรณกรรมเยาวชนมันดีอย่างนี้นี่เองเนอะ


ตนบุญอัศจรรย์แห่งออซ แปลจาก The Wonderful Wizard of Oz
เขียนโดย L.Frank Baum แปลโดย แก้วคำทิพย์ ไชย
ฉบับที่อ่านเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 โดยคลาสสิกสำนักพิมพ์

***หมายเหตุ ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Review แต่นี่ไม่ใช่การวิจารณ์วรรณกรรม แค่เขียนถึงความประทับใจที่มีกับหนังสือที่อ่านแล้วชอบ เพราะฉะนั้นก็จะเขียนถึงแต่หนังสือที่อ่านแล้วชอบเท่านั้น เล่มไหนไม่ชอบ จะไม่เขียนให้เมื่อย***

ป.ล. คนอ่านจะชอบ-ไม่ชอบ เหมือนหรือต่างกับคนเขียนก็สามารถแจมกันได้
ยินดีนะคะ

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2551

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 4: เสี้ยววินาทีของความซึ้ง

....วันนี้คนไข้เยอะจัง

โอชโช่คิดระหว่างหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตัวเดียวที่เหลืออยู่-และไม่พัง ระหว่างหูได้ยินเสียงหมอคุยกับฝรั่งแว่วๆ ดังมาจากห้องตรวจ ลอบสำรวจสถานการณ์รอบกายแล้วก็เห็นว่ามีหนุ่มอ้วนที่เธอเดาทันทีว่าต้องมาลดความอ้วนแน่ๆ (แต่ผิด-เค้ามาทำหน้าให้ใสปิ๊งตะหาก) คุณแม่ยังสาวเจ้าของร่างผอมเพรียวกับลูกสาวตัวโต แสนซน ที่เดาจากอายุแล้วน่าจะอยู่ประมาณ 4 ขวบ แต่ยังพูดอ้อแอ้อยู่เลย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันนี้หมอจะยุ่งแน่ๆ  

นั่งอยู่แป๊บๆ แม่ลูกก็หายเข้าห้องไป ตามมาด้วยเสียงร้องให้จ้าของเด็กหญิง แล้วก็เสียงปลอบของแม่ ว่า "ไม่เป็นไรลูกๆ หมอไม่ได้ทำหนูซะหน่อยๆ"

เอ๊ะ! หมอไม่ได้ทำลูก แล้วหมอทำอะไรแม่??? โอชโช่หูผึ่ง

ระหว่างนั้นมีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง แบกกีตาร์มาคนละตัว คนหนุ่มแจ้งคุณน้องที่เคาน์เตอร์ว่า 'มาหาพี่กอล์ฟ' ซึ่งหมายถึงหมอ-โอว์ หรือว่าหมอไม่ได้แค่ดีดกีตาร์เล่นก๊องแก๊งธรรมดา?? โอชโช่ประเมิน

"เชิญคุณ.....ค่ะ" ในที่สุด เธอก็ได้เจอหมอ

". . ..." หมอบู๋ทักด้วยการอ่านชื่อจริงของโอชโช่อย่างตะกุกตะกัก ก่อนถามอย่างอ่อนโยน "เรียกชื่อเล่นดีกว่าไหม?"

"...หมอ-ต้อง-เรียกให้ถูกนะคะ" หมอฟังแล้วยิ้มงงๆ "โอชโช่ค่ะ"

"โอ๊ด...อะไรนะ" หมออึ้ง

"โอชโช่ค่ะ.. เหมือนข้าวโอ๊ต แต่เติม โช่ ด้วยอ่ะค่ะ" หมอรับด้วยการหัวเราะร่วน

จำไม่ได้แหง๋ เธอนึก และก่อนที่หมอจะทำการเพ่งพิศใบหน้าจนทั่ว ซึ่งมักจะทำให้เกิดอาการขวยอายอย่างไร้เหตุผล โอชโช่ก็รีบควานเอากล่องลูกอมสตรอเบอรี่กวนเปรี้ยวอมหวาน ซึ่งตอนที่ไปเชียงใหม่ เพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนานขนมาให้เท่ากับความคิดถึง แต่เธอดันกระเตงกลับมาฝากคนทางนี้หน้าตาเฉย

"จากเชียงใหม่ค่ะ" หมอมองตามมือที่วางกล่องของกินลงบนพื้นที่ว่างบนโต๊ะรกๆ ตัวนั้น "รับรอง ไม่ขม"

"ไปเที่ยวเชียงใหม่มาเหรอ" หมอถามหลังขอบอกขอบใจยกใหญ่ เกือบจะเริ่มต้นอิจฉาที่คนไข้ได้ไปเที่ยวแล้วเชียว แต่โอชโช่รีบปฏิเสธซะก่อน "ไปทำงานอ่ะค่ะ" คำตอบนี้ไม่ทำให้หมอถามอะไรต่อ แต่เริ่มมองกวาดไปทั่วหน้าอย่างทำเวลา ก็วันนี้มีคนไข้รออยู่ข้างนอกอีกเพียบเลย

"ดีขึ้นเยอะแล้วนะเนี่ย..." หมอพูด "หลุมตื้นขึ้นไหม?"

"รู้สึกตื้นขึ้นนะคะ" โอชโช่พยักหน้าประกอบ ตั้งใจจะให้กำลังใจหมอบ้าง

"รอยดำก็ดีขึ้นเยอะเลยนะ..." ว่าแล้วก็ยิ้ม "ไปทำอารายมารึเปล่าเนี่ย??" 

หมอชงมาด้วยคำถามนี้ ซึ่งโอชโช่ก็รู้ทัน แอบกลอกตาขึ้นมองเพดานหนึ่งที ก่อนจะตอบอย่างที่คนถามอยากได้ยิน "ก็ทายาหมอไงคะ" ได้ผล หมอหัวเราะชอบใจใหญ่

อ๊ะ! โอชโช่นึกได้จึงควานหากระดาษที่เธอพริ้นท์ข้อมูลออกมาจากเว็บของแมเนเจอร์ มันเป็นบทความว่าด้วยเครื่องสำอางที่ อย. เตือนว่าอันตราย "เอามาฝากค่ะ"

"อ๋อออออ" หมอบู๋ร้องหลังจากกวาดตามองอย่างรวดเร็ว และขีดเส้นใต้ตรงคำว่า 'ปรอท' กับ 'ไฮโดรควิโนน' ใน 2 วินาทีต่อมา พร้อมกับหัวเราะหึๆ

"Hydroquinone นี่เค้าก็ใช้กันนะ แต่พวกนี้" หมอหมายถึงรายชื่อเครื่องสำอางที่ลิสต์มาในข่าว "จะใช้เกินขนาดที่อย.กำหนดไม่ได้ เพราะของเขาเป็นเครื่องสำอาง แต่พวกนี้" หมอบุ้ยไปทางตลับยาทั้งหลายที่วางอยู่บนโต๊รกๆ ตัวนั้น "เป็นยา แล้วก็ไม่ได้ใช้ Hydroquinone แต่ใช้ Arbutin ซึ่ง ไม่ต้องห่วงนะ มีผมคอยแนะนำให้ ก็ใช้ได้ครับ"

"แต่" โอชโช่อ้าปากค้าง "จะดีหรอคะ? ใช้ไปนานๆ จะเป็นไงคะ"

"ใช้ได้ครับ ผมดูแลเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมรับผิดชอบเอง" หมอพูดพร้อมกับค้อมศีรษะลง ยิ้มหวานอีกครั้งแล้วจบการตรวจด้วยไดอาลอก "อีกสองอาทิตย์เจอกันนะ"

อาการของหมอในเสี้ยววินาทีนั้นทำให้โอชโช่แอบน้ำตาคลอคลองด้วยความซึ้งใจ แม้จะยังไม่คลายสงสัยว่า

หมอจะรับผิดชอบชั้นยังไงฟะ

 

 

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 4: เสี้ยววินาทีของความซึ้ง (ภาคพิเศษท้ายเรื่อง)

เฮ้อ... โอชโช่แอบถอนหายใจขณะโหนรถไฟฟ้ามาทำงาน ความสุขอันแสนสั้นของชั้นช่างผ่านไปอย่าง...

นึกยังไม่ทันจบ สายตาก็ไปหยุดที่ร่างสูงเพรียวของชายผู้หนึ่ง

โอ๊ะ! ดูดีจัง

ในร่างที่สูงน้อยกว่าบาร์รูปตัวโอท้ายโบกี้ราว 15 เซ็นติเมตร ผมดำ ตัดสั้น สไตลิ่งอย่างไม่ตั้งใจ ลำแขนขวาที่ไม่ผอมแห้ง มือแข็งแรงที่มีนิ้วสวย เล็บสะอาด โหนอยู่ที่บาร์ หูเสียบไอปอด สะพายกระเป๋าแบบบุรุษไปรษณีย์ สวมเสื้อยืดสีมิดไนท์บลูที่ซีดเพราะความเก่า(?) ไม่ก็เป็นเสื้อที่ผ่านการฟอกมาอย่างเนียน กางเกงเดนิมทรงสวย ไม่โคร่งคร่างและหล่นจนเห็นขอบบ็อกเซอร์ รองเท้ากีฬาหนังสีขาว (ไม่ระบุยี่ห้อ)

สเปคนี่นา... หน้าตาจะเป็นไงนะ แล้วหัวใจของโอชโช่ก็เริ่มเต้นในจังหวะ ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก  เป็นการเต้นชดเชยกับเมื่อคืน

"สถานีต่อไป อโศก ท่านผู้โดยสารสามารถ....." อ่ะ ถึงแล้ว

โอชโช่มองไปที่ 'เขา' อีกครั้ง อย่างอาลัย  ต๊าย เค้าก็ลงสถานีนี้หรอนี่ อ๊ะๆๆๆ หน้าตาจะเป็นไงนะ

...

...

...

และแล้วหัวใจที่พองโตของเธอก็ค่อยๆ แฟบลงจนเหลือเท่าเดิม

ก็ผู้ชายคนนั้นกลายเป็นคนหน้าตาหล่อสะอาดมาดตี๋อินเทรนด์ ซึ่งไม่ใช่แนวของโอชโช่เลยน่ะซี

 

 

หมายเหตุ: เรื่องเล่าเรื่องนี้แค่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความหรรษาให้กับหัวใจในหมู่ผู้อ่าน ที่จริงผู้เขียนก็ได้สอดแทรกประเด็นมีประโยชน์ไว้บ้าง ประปราย หากผู้อ่านหาพบก็นับเป็นบุญของผู้เขียน แต่ถ้าหาไม่พบก็ไม่เป็นไร ขอให้หรรษากันไว้เป็นพอนะจ๊ะ

ป.ล. โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน แล้วก็อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังมากนักล่ะ

ป.ล. ทั้ง Hydroquinone และ Arbutin ออกฤทธิ์ยับยั้งการผลิตเมลานินซึ่งทำให้ผิวหมองคล้ำ และเป็นกระฝ้า แต่ว่ากรณี Hydroquinone แม้จะยั้งการสร้างเม็ดสีได้ดีแต่ก็มีเอฟเฟคท์น่ากลัวไม่น้อย เริ่มเบาะๆ ตั้งแต่ระคายเคือง ทำให้เป็นโรคผิวหนังง่ายขึ้น ลดปริมาณคอลลาเจนและอีลาสติน (งี้ก๊อเหี่ยวสิ???) เพิ่มความเสี่ยงจะเป็นมะเร็งผิวหนัง แถมยังต้องเก็บดีๆ ให้ห่างจากแดดด้วย เครื่องสำอางไฮโซจากญี่ปุ่น (อย่างเช่นชิเซโด) ก็เลยไม่ใช้แล้ว Hydroquinone หันมาใช้ Arbutin ซึ่งทำงานได้ใกล้เคียงกันแต่ไม่มีผลเสียอย่างที่พบใน Hydroquinone แถมยังมีคุณสมบัติ anti-aging และช่วยกรองรังสียูวีได้ด้วย-ว๊าวเริ่ศ!

ดิฉันเจอบล็อกนึงดี๊ดีเชียว ใครอยากหาความรู้เพิ่มเติมก็เข้าไปอ่านกันนะจ๊ะ เจ้าของเค้าคงไม่หวง http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=findingrunechan&date=17-01-2007&group=6&blog=1

คำคม#2

"ทำอะไรไม่ได้ ก็ทำใจแล้วกัน"

(mandymois เปรยไว้ในโมเมนท์ที่อะไรๆ ก็ไม่ได้ดังใจ)

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551

ความเห็นอกเห็นใจของลูกผู้หญิง

คุณพี่ส่งข่าวน่าสนใจมาให้อ่าน ว่าด้วยเจ้านายหญิงใจดี มีความเห็นอกเห็นใจลูกน้องสตรี

จึงทำการก๊อปปี้มาแพร่กระจายในมัลติพรายอีกทาง เผื่อเจ้านายหญิง(ไทย)จะมีไอเดียน่าสนๆ มั่ง

ข่าวนี้มาจากเว็บข่าวของมติชนที่ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=18391&catid=6 จ้ะ

 

 

ซีอีโอหญิงบริษัทญี่ปุ่นออกไอเดียสุดโดนใจพนักงาน อนุญาติให้ลาหยุดเพราะอกหักได้ ถือเป็นของขวัญล่าสุดที่มอบให้แก่พนักงาน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ว่า บริษัทไฮมส์ แอนด์ คอมพานี เป็นกิจการด้านจำหน่ายอุปกรณ์รีไซเคิล ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว ของญี่ปุ่น ได้ออกกฎระเบียบใหม่เอาใจพนักงาน ด้วยการอนุญาตให้พนักงานสามารถลาหยุดได้ในกรณีอกหักกับแฟน โดยในกรณีพนักงานอายุต่ำกว่า 24 ปี จะสามารถหาหยุดได้ 1 วัน พนักงานอายุ 25-29 ปี ได้ 2 วัน แต่หากอายุมากกว่านั้น คือ 30 ปีขึ้นไป จะลาหยุดได้ 3 วัน โดยนางมิกิ ฮิราดาเตะ ให้เหตุผลการให้พนักงานแต่ละวันหยุดไม่เท่ากันกรณีอกหักว่า เพราะพนักงานรุ่นหนุ่มสาววัย 20 ถ้าอกหักแล้ว ก็สามารถจะหายได้เร็วเพราะมีโอกาสหาแฟนใหม่ได้ง่าย แต่หากเป็นพนักงานรุ่นสูงวัยแล้ว โอกาสหาแฟนใหม่จะทำได้ยากกว่า และถือว่าคนพวกนี้จะต้องอกหักหนักกว่า

'ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ลาหยุด แต่เฉพาะคนที่อกหักเท่านั้น เพราะคนเราก็จำเป็นมีเวลาพักหัวใจกันบ้าง'นางมิกิ ผู้บริหารบริษัทแห่งนี้กล่าว

รายงานกล่าวว่า นอกจากการมอบสิทธิสุดโดนใจพนักงานดังกล่าวแล้ว บริษัทแห่งนี้ยังได้ให้สิทธิพนักงานในการลาหยุด 4 วันต่อปีเพื่อจับจ่ายซื้อสินค้าได้อย่างเต็มที่ โดยนางมิกิบอกว่า เพื่อแก้ปัญหาพนักงานหญิงต้องใช้เวลาช็อปปิ้งและขนของเข้าบ้านอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2551

Eastern Promises: หรือจะเป็น The Godfather เวอร์ชั่น Contemporary

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Independent
ไปดูมาเมื่อวาน ที่ลิโด้ กับเพื่อนรุ่นพี่สาวโสด สดใส มองโลกในแง่บรรเจิด (เป็นบางครั้ง)

Eastern Promises ในความรู้สึก คือ หนังมาเฟียเรียลิสติกที่ปล่อยฉากเลือดพุ่งกระฉูดแบบสมจริงยิ่งกว่าสไตล์การใช้เลือดสาดกระจายท่วมจอของผู้กำกับจอมสาดเลือด Quentin Tarantino

ระหว่างดูก็รู้สึกอะไรบางอย่าง ออกจากโรงมา รอสติที่ฟุ้งกระจายไปเพราะฉากโหดและฉากต่อสู้ (เปลือย) ให้ตกตะกอน แล้วข้อสังเกตบางอย่างก็เกิดขึ้นดังต่อไปนี้

1. คิดถึง The Godfather จัง
The Godfather เป็นหนังที่ขึ้นหิ้งคลาสสิกไปแล้ว ที่ดิฉันเพิ่งได้ดูครบทุกภาคจากความอนุเคราะห์ของเพื่อนที่ลงทุนซื้อแผ่น เมื่อไม่เกิน 3 ปีมานี้ โดยก่อนหน้านั้นได้อ่านนิยาย (แปล) มาก่อน เป็นหนังที่ชมแล้วรู้สึกนับถือมาก ทั้งคนแต่งเรื่อง (เรื่องดีมาก) คนทำหนังและคนแสดง

Eastern Promises ซึ่งเล่าเรื่องมาเฟียรัสเซียในลอนดอนก็ให้ความรู้สึกคล้าย The Godfather ในส่วนที่มันเป็นหนังมาเฟีย มีการหักหลัง แก้แค้น การฆ่า การใช้ความรุนแรง แต่ดิฉันมีความรู้สึกว่าเรื่องราวของ The Godfather คลาสสิกกว่า ไอดีลกว่าเรื่องใน Eastern Promises นะ

The Godfather พูดถึงแฟมิลี่ (คาเลโอเนใช่ป้ะ?) พูดถึงโลกของผู้ชาย ผู้หญิงในหนังเรื่องนั้นเป็นแค่ส่วนเติมเต็มที่ทำให้เรื่องสมบูรณ์

แต่กับ Eastern Promises ผู้หญิงคือเชื้อเพลิงสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด ใครจะคิดละ ว่าหัวหน้ามาเฟียที่หนีหนาว (หรือ KGB กันแน่) มาจากรัสเซีย มาปักหลักหยั่งรากในลอนดอน เมืองที่หิมะไม่เคยตก (ซะเมื่อไหร่) จะแป้กเอาง่ายๆ ด้วยข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15

สรุปว่าถ้า The Godfather คลาสสิก Eastern Promises ก็ร่วมสมัยละนะ

2. ผู้ชาย-ผู้หญิง-เกย์
อย่างที่เล่าว่าตั้งข้อสังเกตว่า The Godfather เป็นหนังผู้ชาย ส่วน Eastern Promises เล่าเรื่องผู้หญิง แต่... หนังเรื่องนี้ก็พูดถึงเพศที่สาม คือเกย์ ไว้อย่างน่าประทับใจ

เรื่องของเรื่องคือ ลูกชาย ที่นับเป็นทายาทของเจ้าพ่อมาเฟงรัสเซียน (เจือก) เป็นเกย์
แย่แล้ว เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
(ทำไมฟะ ก็ในหนังไทย ตั๊ดยังสู้ฟุดได้เลย)

คำถามติดใจคนดูจึงกลายเป็น ถ้าเป็นยู ยูจะทำไงกับลูกชายที่ไม่ได้เลือกวิถีทางเพศเยี่ยงลักษณาการทางกายภาพของตัวเอง

3. ความรัก
ในหลายๆ ความกระอักกระอ่วนใจ (แต่ไม่ได้น่ารังเกียจ) ที่เกิดขึ้นจากการชม Eastern Promises ดิฉันพบการพูดถึงความรักอันสวยงามแทรกอยู่ในนั้น โดยส่วนตัวแล้ว จะให้บอกว่าหนังมาเฟียเรื่องนี้เป็นหนัง รัก/มาเฟีย ก็คงจะได้

เชื่อไหมว่าชีวิตน้อยๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นมา และความรักจากหัวอกของเพศแม่จะช่วยคลี่เรื่องทั้งหมด แล้วไหนจะรักโรแมนติกระหว่างพระเอก (Nikolai: Viggo Mortensen-ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา) กับนางเอก (Anna: Naomi Watts-คุณหมอสิงห์มอเตอร์ไซค์สาวขายาว) จะสวยงาม และอิ่มในตัวเองซะขนาดนั้น

4. ความงามแห่งสรีระชาย และรอยสัก
เท่าที่ดูๆ มาในหลายปีหลังนี้ พบว่า ผู้ชายเป็นเพศที่มีความสวยงามของกล้ามเนื้อหลายส่วน ภาพแรกที่ทำให้ตาเปิดคือ กล้ามต้นขาของแบรด พิตต์ ใน Troy หลังจากนั้นก็มองเห็นส่วนนั้นส่วนนี้เพิ่มเติมเรื่อยมา รวมทั้งเริ่มมองเห็นความงามของรอยสัก บน muscle ด้วย

แต่ให้ตายเหอะ รอยสักมาเฟียที่ใช้บอกระดับขั้นในแก๊งค์ ไหงมันไม่สวยเอาซะเลย สู้ลายเสือเผ่น หนุมาน หรือเก้ายอดของอาจารย์หนูบ้านเราก็ไม่ได้

และเพิ่งจะเมื่อคืนนี่เอง ที่ทำให้เกิดความสงสัย ว่า
"อวัยวะส่วนนั้นของผู้ชาย
คงจะน่าดูที่สุดเวลาที่มันตื่นตัวเท่านั้นกระมัง?"

(ขอโทษนะคะ คุณ Viggo Mortensen การที่ดิฉันไม่มีโอกาสเห็นชัดๆ นิ่งๆ อาจไม่เป็นการแฟร์กับคุณเท่าไหร่นัก)





Eastern Promises (2007)
กำกับโดย David Cronenberg (A History Of Violence-เรื่องนี้วิกโก้เล่นด้วย และ Crash-กรี๊ดดดด ชอบ) เขียนเรื่องโดย Steven Knight


***โปรดอย่าถือว่าบทความนี้เป็นการรีวิวหรือวิจารณ์ภาพยนตร์ เพราะมันเป็นเพียงแต่บันทึกความประทับใจจากหนังที่ได้ดู-ซึ่งอยากจะแชร์กับเพื่อนบ้าง-เท่านั้นเอง***

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2551

ชีวิตสัตว์โลก ตอน แอบฟังสาวโสดเม้าท์กันเรื่องมีลูกผัว

บ่ายวันธรรมดาวันหนึ่ง

 

สองเพื่อนสาวโสดเม้าท์กันผ่านจีเมล์เป็นปกติ (ไม่ใช้ msn เพราะออฟฟิศของหนึ่งในสาวโสดนั้นทำการสกัดมิให้เล่น) หูทิพย์ของข้าพเจ้าได้สดับการสนทนาบางตอนที่มีแง่มุมน่าสนใจ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นอย่าง 'สร้างสรรค์' ในมัลติพรายต่อไป

จึงได้ทำการดักฟังมาเล่าต่อดังนี้แล

 

ซี่อออออ....ซื้ออออ.... ซื๊อออออ (เสียงจูนคลื่น)

 

ส้มลิ้ม: เมื่อวานผีบ้านผีเรือนเข้าสิง

  ชั้นรื้อบ้าน ตู้หนังสือ ทำความสะอาดอีกแล้ว

จิ๊นส้ม: ดี มีประโยชน์

  ว่างๆ มาบ้านชั้นมั่ง

ส้มลิ้ม: บ้านแกห้องเดียว

  ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ

 มันส์ดีนะ

 แต่แมร่งงานบ้านเนี่ย

  มีให้ทำเรื่อยๆนะ

  ทำยังไงก็ไม่สะอาดซักที

จิ๊นส้ม: มันเป็นงานรูตีน

 ไม่ได้ทำครั้งเดียวเสร็จหรอก

  ต้องคอยสะสางเรื่อยๆ

ส้มลิ้ม: คิดถึงคนที่เป็นแม่บ้าน แบบต้องทำให้ผัวลูก

 ได้อยู่ในอากาศที่สะอาด ปราศจากฝุ่นดิ

  แมร่ง จะปลื้มหรือเซ็งว่ะ

  แต่ กรูคงเซ็.

จิ๊นส้ม: เออ แบบแม่บ้านญี่ปุ่นไงแก

  ชั้นว่ามันก็คงมีความสุขกันไป ในแบบของมัน

ส้มลิ้ม:

  มันก็คงแล้วแต่คนนะ

จิ๊นส้ม: ทำอะไรเพื่อคนอื่นมันจะต่างไปจากทำเพื่อตัวเองนะแก

  ยิ่งเพื่อลูกน่ะมึง

ส้มลิ้ม:: แต่ตูคงหมั่นไส้มันว่ะ ถ้ามันไม่ช่วยทำ แถมทำให้รกอีก

จิ๊นส้ม: อืม คำถามคงย้อนกลับไปที่ว่า แล้วมึงเสือกมีลูกผัวทำไม

ส้มลิ้ม: เออ นั่นดิ

จิ๊นส้ม: อย่าตั้งกำแพงสิแก

 นึกถึงอีตอนที่แม่แกมีแก

ส้มลิ้ม: เออ แต่กูไม่เสียสละอย่างเขาไง

จิ๊นส้ม: เค้าก็คงอยากจะมีหรอก ไอ้ลูกที่มันอยุ่ด้วย คอยช่วยงาน คอยเอาใจปรนนิบัติ เค้าคงไม่ได้หวังหรอกว่าจะมีลูกหยั่งพวกเราๆ

แต่เมื่อลูกมันยืนกรานจะใช้ชีวิตแบบนี้ คนเป็นแม่ก็ตามใจไง

 จิงๆ แล้วเรื่องพวกนี้มันเป็นสันชาติญาณน่ะป้า เราเสือกไปเรื่องมากกับมันเอง

ส้มลิ้ม: เค้าไม่รู้จะทำไงมั๊ง

จิ๊นส้ม: ชั้นว่า เรามันเป็นสุดที่รักของเค้า อะไรที่คิดว่ามันคือความสุขของเรา เค้าก็จะพยายามหาให้

ส้มลิ้ม: ตกลงเอาไง

  ดูม่ะ

  18.30

จิ๊นส้ม: การเป็นแม่มันก็เลยเหมือนกับการเรียนรู้ที่จะรักคนอื่น นอกจากตัวเอง

ส้มลิ้ม: เหรอ

  เออ ถูกๆ

 ใช่เลย

จิ๊นส้ม: แหม๋ วันนี้เราคุยกันมีสาระ(แน)นะ

  ดิแก ดูดิ เด๋วพลาด

ส้มลิ้ม: เรียนรู้ที่จะรัก แม้บางอารมณ์จะอยากถีบมัน(ก็ตาม)

  หรือบางอารมณ์ก็อยากจะให้มันหายไปจากโลก(สักพัก)

จิ๊นส้ม: ไม่รู้ดิ ตอนนี้ชั้นคิดว่าชั้นรักตัวเองเกินกว่าจะมีลูกผัว

ส้มลิ้ม: มีผัวก็ต้องรักตัวเองน้อยลงนะ

 ไม่ต้องถึงขั้นลูก แค่แฟนก็ต้องลดตัวตนลงเยอะ

  ซึ่งมันเสี่ยงว่ะ สำหรับชั้น

จิ๊นส้ม: ไม่ล่ะ อยู่อย่างนี้ก็บายดีพอประมาณ

ความสุขจากการมีผัวมันแค่ระยะแรกเริ่ม จากนั้นความทุกข์ถนัดก็จะติดตามมา

ส้มลิ้ม: ถ้าผัวที่ดี มันจะทำให้ความทุกข์ลดลง ความสุขเพิ่มขึ้น

  พี่ที่ทำงานชั้นบอก

จิ๊นส้ม: อ่ะ

ส้มลิ้ม: แต่มันก็ต้องแลกกับบางอย่าง

  ซึ่งเขาเห็นว่าคุ้ม

จิ๊นส้ม: ผัวในฝันว่างั้น

  เช่นไรมั่ง

ส้มลิ้ม: อือ เขาบอกว่าชีวิตเขาก่อนเจอสามีหนะทุกข์

จิ๊นส้ม: การยอมให้ปัวมีเมียน้อย?

ส้มลิ้ม: พอเจอแล้วชีวิตดี

 ปล่า สามีเขาไม่มีเมียน้อย

จิ๊นส้ม: บุญของเขามังแก

ส้มลิ้ม: แต่พี่ผู้หญิงเขาxxxไง

  เจอพี่ผู้ชายตั้งแต่เข้ามหาลัยปีหนึ่งวันแรก

จิ๊นส้ม: อืมอืม

ส้มลิ้ม: แล้วก็เป็นแฟนกัน

จิ๊นส้ม: โอว

ส้มลิ้ม: แต่งงาน

จิ๊นส้ม: ชีวิตรักดั่งนิยาย

ส้มลิ้ม: ผู้ชายก็ดูแล และคงเป็นทุกอย่างในชีวิตเขาแหละ

เพราะเขาไม่มีใครอีกแล้ว

จิ๊นส้ม: แหม๋ป้า แต่เราควรสะแตนออนอาวร์ฟีตนะ

ส้มลิ้ม: แต่บางทีชั้นเห็นเขาบ่นเรื่องอิสระบ้าง

  เพราะสามีเขาไม่ชอบให้ไปไหนโดยแยกจากครอบครัว

จิ๊นส้ม: เกิดวันนึงผู้ชายหายไปก็ซวยเด่ะ

ส้มลิ้ม: แต่เธอจบxxx นิสัยน่ารัก อยู่บนเท้าตัวเองคงได้ ในแง่ร่างกาย การใช้ชีวิต

  แต่แง่จิตใจ คงไม่ไหว

  อือ ถ้าผัวหายไปแกคงแย่ คงต้องยึดลูกแทน

จิ๊นส้ม: นั่นอ่ะดิแก

ส้มลิ้ม: แต่ชั้นคงกรี๋ดสลบ ถ้าผัวสั่งห้ามไปเที่ยวกับเพื่อน  

จิ๊นส้ม: ชั้นน่ะ สแตนออนมายฟีตมาตลอด และไม่ปรารถนาผู้ชายที่จะมาช่วยสะแตนออนมายฟีตด้วย

  สงสัยจะเจ็บตีนน่าดู

  ตัวผัวเองก็ไม่ไปกะเพื่อนเรอะ

  แหม๋ ผู้ชายที่ไม่มีโลกส่วนตัวเนี่ย ไม่แปลกหรอ

ส้มลิ้ม: เออ เขามีแต่ครอบครัวว่ะ

จิ๊นส้ม: ชั้นว่า คนเรามันก็ควรจะมีพื้นที่ส่วนตัวมั่งนา

  เอาไว้เบลนด์กับแรงกดดันในครอบครัว

ส้มลิ้ม: เออ ชั้นก็ว่างั้น

  แต่พี่คนนี้เขาแปลก

  เมียกลับอยากมีพท.ส่วนตัว

จิ๊นส้ม: อืมอืม

ส้มลิ้ม: แต่ผรัวไม่ยอม

จิ๊นส้ม: แต่เค้าก็อยู่กันมาได้นี่นะ

ส้มลิ้ม: และไม่มี

อือ

จิ๊นส้ม: คนโสดอย่างเรา ไฉนจะไปเข้าใจเขาได้

 

ซี่อออออ....ซื้ออออ.... ซื๊อออออ (เสียงคลื่นแทรก)

 

น่าเสียดายที่ดักฟังมาได้แต่เพียงเท่านี้ โอกาสหน้าหูทิพย์แว่วเสียงอะไรอีกค่อยดักฟังมาฝากชาวมัลติพรายใหม่นะจ๊ะ

 

 

 

 

***หมายเหตุ บทความนี้ไม่เกี่ยวกับใครอื่น ถ้าไปเหมือนชีวิตใครเข้าก็ขอได้โปรดทราบว่าสาวโสดสองคนนี้ไม่ได้เม้าท์ถึงชีวิตของคุณจริงจริ๊ง***

 

 

The Brothers Grimm: ตะลุยพิภพมหัศจรรย์

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Other
สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวร้ายเกี่ยวกับ Heat Ledger จึงนึกขึ้นมาได้ว่ามีดีวีดีหนังของเขาอีกเรื่องที่ยังไม่ได้ดู วันนี้ไม่ได้ออกไปไหน เลยเอามาดูซะ

ที่ดอง The Brothers Grimm ไว้ซะนานก็เพราะว่า มันเป็นหนังแฟนตาซีซึ่งก็แน่อยู่แล้วว่าหนังแฟนตาซียุคนี้สมัยนี้ ต้องมีการสร้างภาพด้วยซีจี (CG: Computer Graphic-ใช่ไหม?) ซึ่งตัวดิฉันเองไม่โปรดเท่าไหร่ มันหลอน (แล้วจะซื้อมาทำไมฟระ-หลายคนคงสงสัย-คำตอบคือ ก็มันถูกนี่นา แล้วก็มี Matt Damon, Heath Ledger กับ Monica Bellucci คนสวยอีก)

สรุปก็คือ วันนี้ได้ดูแล้วจ้า ไม่รู้สึกหลอนจนน่ารำคาญอย่างที่คิด ออกจะสมจริงจนน่ากลัวไปซะงั้น

เราทุกคงคนรู้จักพี่น้อง Grimm บ้าง ใครตอบโน ต้องโดนย้อนว่า 'อะไรยะ แม้แต่หนูน้อยหมวกแดง, เจ้าหญิงนิทรา, สโนวไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด แล้วก็ซินเดอเรลล่าก็ไม่รู้จักหรอ???' ก็นิทานเหล่านี้สองพี่น้องตระกูลกริมม์เค้ารวบรวมเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ในต้นศตวรรษที่ 18 จากนิทานพื้นบ้านของเยอรมันน่ะสิ

อ๊ะอ๊ะ แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่านิทานของกริมม์จริงๆ กับเวอร์ชั่นวอล์ท ดิสนีย์น่ะ มันไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ก็วอล์ทดิสนีย์เค้าต้องทำนิทานให้สดใส-จับใจตลาดนี้นา แต่นิทานกริมม์ออริจินัลน่ะ ถ้าเป็นหนังก็เอียงไปทางหนังบรรยากาศหม่นมัว นัวร์ๆ น่ากลัวๆ แบบหนัง horror อะไรประมาณนั้น

ผู้กำกับคือคุณน้า Terry Gilliam (: Twelve Monkeys และแฮรี่ฯ ตอนศิลาอาถรรพณ์, คนที่ Bellucci อยากร่วมงานด้วยม๊ากมาก) ไม่ได้ตั้งใจทำหนังเรื่องนี้ให้เป็น Biography บันทึกเรื่องราวของพี่น้องกริมม์ (ลืมไปแระว่านอกจากทำให้สนุกแล้วน้าเค้าตั้งใจจะทำให้มันเป็นอะไรอีก) แต่หนังเรื่องนี้จะเล่ากลายๆ ว่า วิลล์และเจค กริมม์ (Matt และ Heath) รวมรวมนิทานที่เราทุกคนรู้จักกันตั้งแต่จำความได้ อย่างไร

จะเล่าเรื่องในหนังแล้วนะ

ตอนที่สองคนนี้ยังเด็กน่ะ ครอบครัวยากจนมาก ตอนนั้นเป็นหน้าหนาว น้องสาวคนเล็กกำลังป่วยหนัก แต่ก็ไม่มีฟืนที่จะเป็นเชื้อเพลิง ถึงกับต้องเลาะม้าโยกเป็นชิ้นๆ โยนเข้าเตาผิง (คล้ายๆ เรื่องในนิทานที่เรารู้จักไหม) แต่เจคคนน้องดันเอาวัวของครอบครัวไปแลกกับถั่วกำมือนึง ซึ่งลุงคนนึงเอามาหลอกเด็กว่าเป็น 'magic beans' ที่จะช่วยให้น้องสาวที่ป่วยหายอย่างแน่นอน (ต้องบอกไหมว่าฉากนี้เหมือนแจ๊กผู้ฆ่ายักษ์? นี่ไง คนน้องมีจินตนาการลื่นไหลไปกับนิทานตั้งแต่เด็ก) ก็เลยโดนวิลคนพี่ชกซะเลย (คนพี่มีบุคลิกของคนทั่วไปที่อยู่กับชีวิตความเป็นจริงมากกว่า แถมยังมองโลกในแง่ร้ายด้วย) จากนั้นพี่ชายก็ใช้มุก 'magic beans' เป็นอาวุธซ้ำเติมน้องเวลาพลาดตลอดมา

ดูถึงตอนนี้แล้วรู้สึกเจ็บปวดไงไม่รู้นะ ยุคเข็ญอย่างนั้น ผู้ใหญ่ไม่น่าหลอกเด็กจริงไหม

เวลาผ่านไป 15 ปี สองพี่น้องโตแล้วก็ดำรงชีพด้วยการใช้ความรู้และความสนใจของตัวเองประกอบอาชีพ โดยการเป็นทีมต้มตุ๋นหลอกชาวบ้านชาวเมืองที่ยังเชื่อเรื่องแม่มดอยู่ ง่ายๆ ด้วยการจัดฉากให้เหมือนกับรายละเอียดที่เจคหมั่นเก็บแล้วจดไว้ในสมุดบันทึก ว่าแม่มดจะแสดงอภินิการยังไง เพื่อจะชงให้การแสดงปราบแม่มดให้แพ้ราบคาบ จากนั้นก็ทำการเก็บค่าธรรมเนียม-อันแสงแพง

ซึ่ง มันก็น่าจะดี ถ้านายพลฝรั่งเศสที่กำลังยึดครองเยอรมัน (ฉากในท้องเรื่อง) ไม่เกิดจับได้ แล้วก็กำลังจะจัดการสองพี่น้องอยู่แล้วเชียว ดันมีท้องที่ที่เด็กหายไปทีละคนๆ เกิดขึ้นมาจริงๆ

สองพี่น้องกริมม์ก๊อเลยต้องไปจัดการกับแม่มดขึ้นมาจริงๆ นี่แหละ อภินิหารของ CG ก็เกิดขึ้น หมาป่าพูดได้ และกลายเป็นคน Bellucci คนสวยในวัย 500 ปี กระจกวิเศษแตก (อ่ะ อันนี้ก็คุ้นๆใช่ไหมว่ามันอยู่ในนิทานที่เรารู้จัก) ฉากปีนหอคอย และหอคอยสูงงงงงง มากๆ ที่ถูกทิ้งร้างไป 500 ปี (ถ้าไม่มี CG หนังแฟนตาซีคงไม่หนุกขนาดนี้หรอก) ช่วงนี้บางฉากบางซีนที่อยู่ในนิทานที่เราคุ้นโผล่ขึ้นมาเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังขิงที่เด็กสองคนนั้น (ชื่อไรหว่า?) ใช้เป็นเครื่องหมายบอกทาง ไม่ให้หลงป่า ฉากจูบกบ (คางคกหรือเปล่า?) แอปเปิ้ลแดงที่ยายแก่เอามาให้ แล้วก็การแก้มนต์ด้วยจูบจาก True Love

โอ้ มันสวยมากเลยนะ ฉากป่าโบราณและหมู่บ้าน (มุมกว้าง) ในยุโรป คอสตูม แล้วก็ การเพอร์ฟอร์ม Matt เล่นเป็นคนที่เขาไม่ใช่ (แต่ใกล้เคียงนะ ดิฉันว่า) แต่ Heath เล่นเป็นคนที่เรายังไม่เคยเห็นเค้าเป็นแบบนี้เลย (ก็เคยดูแค่ Brokebackฯ กับ Candy ซึ่งต่างกับบทบาทในเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง) ไม่น่าเชื่อว่าเขาทำได้จริง ดิฉันน่ะ เชื่อสนิทกับบทหนุ่ม nerd ไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วก็อ่อนไหว เป็นบทที่ส่งบทพี่สุดๆ เลย

ดูๆ ไปก็อดเสียดาย Heath Ledger ซึ่งในเวลานั้น-หรือแม้แต่ในวันนี้ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ กำลังแข็งแรง สดใส แล้วก็มีอนาคตที่ดีรออยู่ ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ต่อไปนี้ถ้าคิดถึงก็คงจะต้องหาหนังไม่กี่เรื่องที่คุณเล่นไว้มาดูซินะ

ไปดีนะจ๊ะ









***โปรดอย่าถือว่าบทความนี้เป็นการรีวิวหรือวิจารณ์ภาพยนตร์ เพราะมันเป็นเพียงแต่บันทึกความประทับใจจากหนังที่ได้ดู-ซึ่งอยากจะแชร์กับเพื่อนบ้าง-เท่านั้นเอง***

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2551

สนุกกับกระจก-เมื่อเร็วๆ นี้




ถ่ายรูปกับกระจก สนุกดี
ได้รูปแปลกๆ เยอะเลยี

'เพื่อน' ที่ทำให้จิตใจหวั่นไหวเสมอ


เสริม,
จำได้ไหม วันที่เราสอบพูดภาษาญี่ปุ่นเสร็จ กำลังเดินไปกินราเมง+เกี๊ยวซ่ากัน แล้วเราเผอิญเจอเพื่อนชั้นคนนึง
ชั้นทักเพื่อนแป๊บเดียวเพราะเกรงใจแก
แต่แกดันสังเกตเห็นประกายอะไรบางอย่าง
แถมยังรู้ว่าชั้นมีใจให้เพื่อน
(ร้ายจริงนะแก)

วันนี้ ชั้นมีเรื่องที่ทำให้หัวใจเต้นอีกแล้ว
อยู่ๆ ก็นึกอยากได้กระเป๋ากล้องใบใหม่ ที่ใส่กล้อง 1 เลนส์ 3 ของชั้นได้พอดี เอาแบบที่เล็กจนพอคาดเอวได้
ซึ่งเวลานึกจะซื้อของแนวนี้ ชั้นก็มักจะนึกถึงเพื่อนชั้นคนนี้เสมอ ก็เลยเขียนอีเมล์เล่นๆ ไปว่า

"แกกระเป๋า Lowepro ของจริง เค้าซื้อกันที่ไหนมั่งนะ
อยากได้ใบเล็กที่คาดเอวได้สะพายก็ได้อ่ะ"

คิดไม่ถึงว่าบ่ายๆ เพื่อนก็ล็อกอินจีเมล์ แล้วก็แชตคุยกัน
และไม่น่าเชื่อที่เย็นวันศุกร์อย่างนี้ เพื่อนว่าง อาสาไปเป็นเพื่อน หากระเป๋ากล้องที่ถูกใจสักใบ ที่มาบุญครอง

ที่ว่าไม่น่าเชื่อ เพราะชั้นรู้สึกว่า ช่วงก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะห่างกันไปเพราะเพื่อนชั้นมีแฟนอย่างนี้ ก่อนหน้านั้นเค้าเหมือนจะค่อนข้างระวังตัวที่จะไปไหนกับชั้นสองต่อสอง
เลยไม่น่าเชื่อที่เพื่อนจะสละเย็นวันศุกร์ให้ชั้น

ปกติชั้นหวงของจะตาย แกก็รู้ ยิ่งอุปกรณ์กล้อง ชั้นไม่มีทางให้ใครยืม-แต่ชั้นก็ให้เพื่อนชั้นยืมเลนส์ไปก่อนเป็นตัวแรก
เลนส์ตัวที่สองไปอยู่กับเพื่อนเพราะชั้นฝากไปล้างรา
ส่วนกล้องและเลนส์ตัวที่สาม ไปเพราะฝากเค้าไปล้างทำความสะอาดอีก
สรุปแล้วก็คือทั้งกล้อง เลนส์ 3 ตัว รวมทั้งแฟลชอยู่ที่เพื่อนชั้นคนนี้
ทำไมชั้นวางใจเพื่อนจัง?

เพื่อนเอาตัวกล้องกับเลนส์ตัวที่ขึ้นราซึ่งไม่สามารถขูดคราบราออกจากเนื้อเลนส์ได้ ซึ่งสองอย่างนี้เพื่อนเก็บไว้ที่ออฟฟิศมาให้ชั้นใส่กระเป๋ากล้องใหม่กลับบ้าน
ชั้นพบว่าแหวนหมุนปรับรูรับแสงของเลนส์ตัวนี้ซึ่งเป็นเลนส์ซูม ระยะ 70-210 มม. มันหมุนฟรี
แปลว่ามันพังซะแล้ว
เพื่อนชั้นยอมรับว่าทำพังเอง
่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชั้นรู้ก็คือ
น้อยใจนิดหน่อย กับทำท่ากระเง้ากระงอดไปพอประมาณ แล้วก็ถามไปพอเป็นพิธีว่าทำยังไงถึงได้พัง
ไม่ได้เป็นฟืนเป็นไฟเผามาบุญครองดังเช่นที่อาจเกิดได้ในกรณีที่คนทำพังเป็นแก หรือเป็นเพื่อนคนอื่นๆ
ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะเสริม?

กระเป๋ากล้องที่ชั้นต้องการเลือกไม่นานอย่างที่คิด เราไปเจอะของพอดีกับความต้องการ ทั้งแบบ และราคา
เพื่อนชั้นก็เห็นชอบด้วย ก็เลยตกลงซื้อได้ในเวลาไม่นานนัก
ชั้นเจอเพื่อนแค่ 30 นาทีก็ต้องแยกกันซะแล้ว
ทำใจกล้าชวนไปกินราเมง (ฮะจิบัง) แล้วเชียว-ชั้นกับเพื่อนเคยกินราเมงร้านนี้ด้วยกันหลังจากดูสไปเดอร์แมนภาค 3 ด้วยกัน-วันแรงงานของปีก่อน ชั้นจำได้
เพื่อนปฏิเสธ บอกว่าเดี๋ยวต้องไปหาเพื่อนต่อ
จากนั้นเราก็หันหน้ากันไปคนละทาง เพราะว่าไปกันคนละทาง
ชั้นเดินกลับมาขึ้นรถไฟฟ้า เพื่อนไปทางจุฬาฯ
เสริม
ชั้นเดินมาด้วยหัวใจโหวงๆ

เพื่อนชั้นไปหา 'เพื่อน'
'เพื่อน' คนนั้นคือแฟนของเพื่อนชั้นหรือเปล่านะเสริม
เมื่อไหร่ชั้นถึงจะเลิกหวั่นไหวกับเพื่อนคนนี้
เมื่อไหร่ชั้นจะนึกถึงเวลาที่เพื่อนอยู่กับแฟนได้โดยไร้อาการแปล๊บๆ ในใจ

บอกชั้นสิว่ามันจะมีวันนั้น
(บางทีชั้นอาจจะเลิกหวั่นไหว ถ้ามีแฟนของตัวเองสักที-แกว่าเป็นไปได้ไหม)

 

Canon G9: คม-ใส-เคลียร์


เห็นจุดด่างดำบนใบหน้าอย่างกระจะตา

เย็นวันจันทร์ไปกินข้าวกับกอนโดล่าที่ตกเครื่องบินกลับสมุย

เลยต้องค้างเติ่งอยู่กรุงเทพฯอีก 1 วัน

กอนโดล่ามาพร้อมกล้องแคนนอน G9 ที่เพิ่งถอยมาจากพันทิพ

เลยลองกันหนุกหนาน

รูปที่ได้คมชัดน่าประทับใจ เก็บได้ทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยหรือเม็ดสีบนใบหน้า

แต่กอนโดล่าไม่กล้าโชว์ เนื่องจากกลัวจะผิดใจกับผู้อาวุโสอีก

ข้าเจ้าจึงนำมาให้คนกันเองได้ยลกันในโอกาสนี้

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551

เรื่องนี้ไม่ต้องมีคำบรรยาย




ได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์มา
เลยเอามาแบ่งให้เพื่อนในมัลติพรายได้ขำกัน
อย่าคิดมาก
อย่าคิดมาก

อีกหนึ่งการจากลา-อาลัย Heath Ledger



เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวการตายของคนที่รู้จัก

แม้จะเป็นการรู้จักเพียงฝ่ายเดียว (แน่ล่ะ) แต่ก็ให้รู้สึกเสียดายหลายสิ่งหลายอย่างแทน Heath Ledger นัก
เสียดายที่เขาไม่ได้อยู่ดูการตอบรับตัวเขาในบทโจ๊กเกอร์ในแบตแมนภาคใหม่ "The Dark Night " รวมทั้งการพลาดการได้ชื่นชมการเติบโตทีละเล็กทีละน้อยของน้องมาธิลดา ลูกสาววัยไม่ถึงสองขวบของเขากับมิเชล วิลเลียมส์ ดาราสาวน่ารักที่พบรักกันจริงๆ จากกองถ่าย Brokeback Moutain
นอกจากเสียดายอะไรๆ แทนตัวเขาแล้ว ก็ยังรู้สึกเสียดายแทนตัวเอง ที่จะไม่ได้ดูหนังดีๆ ที่จะมีดาราหนุ่มหน้าตาเท่เล่นหนังเก่งสุดยอดคนนี้อีกแล้ว

ไม่ว่าจะตายยังไง ตั้งใจหรือเปล่า ก็อยากให้เขาไปดี
ไปดีนะ Heath Andrew Ledger


ก๊อบข่าวจาก http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9510000009160 มาเผื่อเพื่อนที่ไม่รู้เรื่องด้วยแหละ



ช็อก! “ฮีธ เลดเจอร์” เกย์หนุ่มจาก Brokeback เสียชีวิตแล้ว (เขียนหัวข้อข่าวได้อุบาทว์ตามเคยนะแมเนเจ้อร์)

“ฮีธ เลดเจอร์” นักแสดงชาวออสเตรเลีย วัย 28 ปี ผู้ที่โด่งดังจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากบทบาทคาวบอยเกย์หนุ่มในเรื่อง Brokeback Mountain ถูกพบเป็นศพในห้องพักในแมนฮัตตัน เมื่อตอนบ่ายของวันอังคารที่ผ่านมา
       
       การเสียชีวิตของนักแสดงดังวัย 28 ได้รับการเปิดเผยจากโฆษกของเจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองนิวยอร์ก ที่เปิดเผยว่านักแสดงหนุ่มคนดังมีนัดกับหมอนวดหญิงในตอนบ่ายของวันอังคารที่ผ่านมา ที่อพาร์ตเมนต์ในย่านโซโหของแมนฮัตตัน โดยเชื่อว่าการใช้ยาเป็นส่วนหนึ่งของการเสียชีวิตของนักแสดงวัยเพียง 28 ปีผู้นี้
       
       ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ New York Times ระบุว่า “เมื่อเวลา 15.26 นาฬิกาของวันที่ 22 ม.ค. พนักงานนวดหญิงได้ไปถึงอพาร์ตเมนต์เลขที่ 5A เพื่อนัดเจอกับ มร.เลดเจอร์ โดยมีแม่บ้านเป็นผู้พาเธอไปยังห้องของนักแสดงหนุ่ม แต่หลังจากที่เคาะที่หน้าประตูห้องนอนของพระเอกคนดังอยู่หลายครั้ง ทั้งสองก็ได้เปิดประตูเข้าไปในห้องนอน แล้วพบร่างของเลดเจอร์นอนไร้สติอยู่ พวกเขาเขย่าตัว แต่เขาไม่ตอบสนอง ทั้งสองจึงโทร.เรียกเจ้าหน้าที่โดยด่วน ซึ่งทางตำรวจไม่พบข้อพิรุธในที่เกิดเหตุ นอกจากการพบเพียงแค่ยานอนหลับที่อยู่ข้างๆ ศพ”
       
       จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ที่ไปถึงที่เกิดเหตุ ร่างไร้วิญญาณของ ฮีธ เลดเจอร์ นอนเปลือยกายคว่ำหน้าอยู่บนเตียงของเขา โดยมียานอนหลับจำนวนหนึ่งอยู่ใกล้กับตัวของเขา ซึ่งเขาถูกแจ้งอย่างเป็นทางการว่าเสียชีวิตแล้วเมื่อเวลา 15.45 ของวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งทางเจ้าหน้ายืนยันว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าการเสียชีวิตดังกล่าวเกิดจากอุบัติเหตุ หรือการจงใจฆ่าตัวตายของดาราหนุ่มผู้นี้กันแน่
       
       รายงานของ New York Times ก่อนหน้านี้เผยว่า อพาร์ตเมนต์ที่นักแสดงหนุ่มไปพบจุดจบของชีวิตนั้นเป็นของนักแสดงสาวอีกคนอย่าง แมรี-เคท โอลเซน โดยเผยว่า แมรี-เคท โอลเซน เป็นผู้ให้ดาราหนุ่มเช่าห้องพักดังกล่าวอีกที
       
       “มันเป็นอพาร์ตเมนต์ของแมรี-เคท ซึ่งมันเป็นข่าวที่ร้ายสุดๆ การที่ใครซักคนมาเสียชีวิตเพราะการใช้ยาในห้องของคุณมันเป็นเรื่องแย่สุดๆ” แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับแมรี-เคท เปิดใจต่อทางนิตยสาร PEOPLE
       
       ตรงกันข้ามกับทางเว็บไซต์ TMZ ที่นำแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับทางเลดเจอร์ และรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองนิวยอร์กที่ออกมายืนยันว่า อพาร์ตเมนต์ดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับดาราสาวคนดังแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับตัวแทนของนักแสดงสาวที่ออกมาปฏิเสธรายงานก่อนหน้านี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
       
       ฮีธ เลดเจอร์ มีชื่อเสียงอย่างมากหลังจากได้เสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จากบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain ผลงานที่คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์เมื่อปี 2006 ที่ผ่านมา
       
       ผลงานเรื่องล่าสุดของเขาได้แก่การเป็นหนึ่งในนักแสดงที่สวมบทบาทเป็นนักร้องดัง บ็อบ ดีแลน ในเรื่อง I'm Not There เช่นเดียวกับดาราสาว เคท แบลนเช็ตต์ ที่เพิ่งจะได้รับข่าวดีได้เสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จากบทดังกล่าวไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้
       
       ผลงานล่าสุดที่เขาฝากไว้ในวงการภาพยนตร์ได้แก่บทตัวร้าย โจ๊กเกอร์ ในหนังซัมเมอร์สุดฮิตประจำปีนี้อย่าง The Dark Night ภาคต่อของ Batman Begins หนังดังเมื่อปี 2005
       
       ผลงานการแสดงเด่นๆ ของเขายังรวมไปถึง A Knight's Tale, The Patriot และ Monster's Ball ที่มีฉากที่เขาฆ่าตัวตายในเรื่องด้วย
       
       ฮีธคลิฟ แอนดรูว์ เลดเจอร์ ใช้ชีวิตวัยเด็กที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย และเริ่มชีวิตนักแสดงสมัครเล่นในโรงละครเวทีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่ซิดนีย์เมื่ออายุ 16 เพื่อไล่ล่าความฝันในการเป็นนักแสดง จนกระทั่งได้บทในหนังที่ฉายทางโทรทัศน์และดารารับเชิญในละครทีวี
       
       หลังจากที่ได้บทในหนังเล็กๆ และมีผลงานในซีรีส์ของช่อง Fox TV เรื่อง Roar เขาก็ย้ายมาอยู่ที่ลอสแองเจลิส และร่วมแสดงในหนังวัยรุ่นสุดดังของปี 1999 อย่าง 10 Things I Hate About You จนเป็นที่รู้จักของแฟนหนังนับแต่นั้นเป็นต้นมา
       
       จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ต่อมามีคนพยายามยื่นข้อเสนอให้เขากลับไปเล่นหนังวัยรุ่นอีกมากมาย แต่ในฐานะนักแสดงที่ชอบบทที่ท้าทาย เขาปฎิเสธข้อเสนอเหล่านั้นไปหมด โดยยอมที่จะไม่มีงานเข้าดีกว่าที่จะไปลงเอยกับโปรเจ็คท์ที่ตัวเขาไม่ชอบ
       
       “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมเลย” เลดเจอร์ให้สัมภาษณ์ต่อทางเอพีเมื่อปี 2001 “แต่มันยากสำหรับผู้คนที่อยู่รอบตัวผมที่จะเข้าใจ ตัวแทนผมมักจะพูดว่า 'คุณมันบ้า' พ่อแม่มักบอกผมว่า เอาหน่อยน่า ลูกยังต้องหากินน่ะ”
       
       สำหรับชีวิตรักของนักแสดงหนุ่มผู้นี้ เคยเป็นข่าวโด่งดังด้วยการควงกับดาราสาวเซ็กซี่ เฮเธอร์ แกรมห์ ในช่วงปี 2000 ถึง 2001 ก่อนที่จะมาควงกับนักแสดงสาวรุ่นพี่บ้านเดียวกันอย่างดาราสาวหน้าหวาน นาโอมิ วัตต์ ที่เจอกันในกองถ่ายเรื่อง The Lords of Dogtown ซึ่งทั้งคู่คบหากันถึง 3 ปีระหว่างปี 2002-2004
       
       และในผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain ศรรักก็ได้ปักอกเขาอย่างจังกับนักแสดงสาวรุ่นน้องที่คบหากันในกองถ่ายอย่าง มิเชล วิลเลียมส์ ที่จริงจังกันถึงขั้นหมั้นหมายและย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บรู๊คลิน จนมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน แต่โชคร้ายที่ชีวิตคู่ของทั้งสองต้องยุติลงเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง
       
       ครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นเลดเจอร์ปรากฏตัวในที่สาธารณชน คือ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาที่กรุงลอนดอน ตอนที่ดาราหนุ่มกำลังเข้าฉากในผลงานชิ้นใหม่ The Imaginarium of Doctor Parnassus ที่เปิดกล้องไปเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ผลงานกำกับของ เทอรี กิลเลียน ที่มีกำหนดออกฉายในปี 2009 นี้
       
       จากการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของดาราหนุ่มคนดัง ล่าสุดแฟนหนังบนโลกอินเทอร์เน็ตบางรายเริ่มสังเกตความเชื่อมโยงระหว่างตัวละครสุดท้ายของเลดเจอร์ อย่าง โจ๊กเกอร์ กับ อีริก ดราเวน ตัวเอกจากหนังดังเมื่อปี 1994 เรื่อง The Crow ซึ่งหลังจากรับบทบาทของผลงานเรื่องนั้นได้ไม่นาน ดารานำอย่าง แบรนดอน ลี ลูกชายแท้ๆ ของ บรูซ ลี ราชานักบู๊แห่งโลกภาพยนตร์ ก็ต้องมาเสียชีวิตเมื่อปี 1993 ก่อนที่ตัวหนังจะออกฉายเช่นกัน
       
       ก่อนหน้านี้มีลางบอกเหตุบางอย่างจากการเปิดใจให้สัมภาษณ์ของเขาที่คลิฟแลนด์ ต่อทาง WJW FOX ที่เขากล่าวถึงลูกสาวมาทิลดาด้วยคำพูดว่า
       
       “ตอนนี้ผมรู้สึกดีเกี่ยวกับการตาย เพราะว่าผมรู้สึกมีชีวิตผ่านตัวเธอนั่นเอง”
       
       ผลงานภาพยนตร์ของฮีธ เลดเจอร์ (4 เม.ย.1979 - 22 ม.ค.2008)
       
       1992 Clowning Around
       1997 Blackrock
       1999 10 Things I Hate about You / Two Hands
       2000 The Patriot
       2001 Monster's Ball / A Knight's Tale
       2002 The Four Feathers
       2003 The Order / Ned Kelly
       2005 Casanova / Brokeback Mountain / The Brothers Grimm / Lords of Dogtown
       2006 Candy
       2007 I'm Not There
       2008 The Dark Knight (post-production)/ Tree of Life (pre-production)
       2009 The Imaginarium of Dr. Parnassus (เสียชีวิตระหว่างถ่ายทำ)




วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551

คำคม#1

"ไม่ได้หรอกยูริจัง ผมมีคนที่ลืมไม่ลงอยู่แล้วนะ" โนบุโอะบอกยูริ สาวหน้าใสทรงสะบึม นางเอกหนังโป๊ (ศัพท์เฉพาะเรียกว่าหนัง AV ป่าวหว่า?) ที่มานัวเนียด้วยหมายจะรวบหัวรวบหางโนบุคนซื่อ

"อะไรกัน" ยูริแย้ง "คนที่ลืมไม่ลงน่ะ ใครๆ ก็มีกันทั้งนั้นแหละ" ก่อนหว่านล้อม "ชีวิตยังอีกยาวไกล ถ้ายึดติดด้วยเรื่องแค่นี้ก็ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้กันพอดี"

"จริงด้วย" โนบุปลื้มจนน้ำตาหยด "ดีใจจริงๆ ที่มีคนเข้าใจ"

 

อ่านนานะถึงเล่มที่ 13 แล้ว

ร้องไห้เพราะนานะมา 2-3 ครั้ง

ครั้งล่าสุดเมื่อเช้านี้ ตอนที่ฮะจิโกะไปถึงปาร์ตี้วันเกิดของชินกับเรร่า แต่โดนทาคุมิไล่กลับบ้าน

(สงสัยจะสงสารฮะจิมากไปนิส) ดีนะที่ยัตซังแทรกเข้ามาปกป้องฮะจิ

อ่านต่อมาอีกหน่อยก็เจอประโยคเด็ดประโยคนี้แหละ 

 

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551

24 ชั่วโมงครึ่งในเชียงใหม่ (ทำอะไรได้ตั้งเยอะ)


ป้ายสารพัดชื่อโรงแรมรวมกันอยู่ตรงนี้
ดูสิ โรงแรมศรีโตเกียวยังมีอยู่เลย

ไปเชียงใหม่มา
ไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปทำงานจริงๆ
ก็ไปถึงสุวรรณภูมิเที่ยงกว่าๆ วันเสาร์ แล้วก็ออกมาจากดอนเมืองตอนสี่โมงกว่าๆ วันอาทิตย์
อย่างนี้จะเรียกไปเที่ยวได้ไง
อยู่เชียงใหม่เกิน 24 ชั่วโมงมานิดหน่อย แต่ได้ทำอะไรเยอะแยะ
ดังที่จะเล่าต่อไปนี้

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2551

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 4: ความปั่นป่วน

"เวลาหนุ่มขอหอมแก้ม จะเอียงแก้มให้อย่างนี้ไหม?"

คือคำถามที่ทำให้โอชโช่หัวใจเต้นแรง ท้องไส้ปั่นป่วน และหน้าก็คงจะแดงซ่าน (ถ้าขาวอ่ะนะ)

หมอบู๋กำลังจะกดสิวเม็ดขนาดกลางตรงแก้มข้างซ้าย ไม่เชิงกลางแก้ม แต่เบนไปทางใกล้ใบหู หมอว่ามันอยู่นานเกินไปแล้ว ปล่อยไปอีกอาจพัฒนาเป็นสิวอักเสบ ฉะนั้น เอาออกดีกว่า โอชโช่จังที่นอนอยู่บนเตียง มีวัสดุนุ่มชุ่มน้ำปิดตาทั้งสองอยู่จึงเอียงหน้าไปขวา ด้วยหวังจะช่วยให้หมอแอพโพรชจุดเกิดเหตุได้ถนัดถนี่ขึ้น ตัวเองก็จะได้เจ็บน้อยลง

"เอ่อ..." รู้อยู่ว่าหมอชวนคุยให้เพลิน จะได้ไม่โวยวายว่าเจ็บ แต่ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี "ไม่เห็นมีใครขอเลยนี่คะ" คำตอบแบบพาซื่อเรียกเสียงหัวเราะที่น่าจะทำให้พุงหมอกระเพื่อมหลายระลอกติดๆ กัน

"อ้าว แปลว่าโดนขโมยจูบมาตลอดเลยงั้นหรอ?" อ๊ะ! ดูเป็นการถามที่จำเพาะเจาะจงจัง ตอบยากนะคะหมอ

"เออ นั่นสิ ทำไมไม่ขอกันนะ?" โอชโช่เลี่ยงไม่ตอบ

"สงสัยกลัวขอแล้วไม่ให้มั๊ง เลยต้องขโมยเลย" หมอยังชอบใจไม่หาย "แต่ผมขอตลอดนะ"

เอ๊ะ นี่เราคุยอะไรกันเนี่ย?  โอชโช่นึกกระดากน้องๆสาวๆ ที่อยู่แถวนั้นเอามากๆ เลยรีบคิดหาประเด็นใหม่ทันที

"เอ.. หมอคะ มีลูกกี่คนคะ" ไม่มีใคร แม้แต่พระเจ้า และตัวของโอชโช่เอง ที่จะรู้ว่าทำไมเธอถึงเปลี่ยนประเด็นด้วยคำถามนั้น

"คนเดียวก็แย่แล้วครับ"

"ผู้หญิงผู้ชายคะ"

"ผู้ชายครับ เคยเจอแล้วไม่ใช่หรอ?"

"...ไม่นะ" มันคือความจริง นี่วันเสาร์-อาทิตย์หมอคงจะพาลูกและ....มาคลินิกนี้บ่อยๆ สินะ

"ทำไมไม่มีลูกสาวอีกคนล่ะ" โอชโช่ถามต่อไป เพราะนึกถึงเด็กผู้หญิงตัวขาว อ้วนกลม เจ้าของใบหน้าแป้นแร้นที่มีประพิมประพายของหมอ นั่งอยู่บนตักพ่อ พลางพูดจาฉอเลาะ หมอคงหลงลูกสาวไม่เบา อ๊ะ แล้วจะขอก่อนหอมแก้มลูกไหมนะ 

"ไม่ไหวแล้วครับ นี่ผมเพิ่งพาเข้าโรงเรียนไป ต้องจ่ายไปตั้ง 2" หมอเล่าแบบขำๆ "2 ที่ไม่ใช่ 2 หมื่นน่ะ" โอ้พระเจ้า โอชโช่คิด โรงเรียนอะไรหว่า ลองถามดู เลยรู้ว่าเป็นโรงเรียนผู้ชายชื่อดังของย่านนั้น ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า หมอเองซึ่งก็เป็นศิษย์เก่า ยังต้องจ่ายค่า 'บำรุงการศึกษา' สำหรับเด็ก ป.1 แพงขนาดนี้ แหม๋ อย่างนี้บรรยากาศในโรงเรียนคงกดดันน่าดูสิ

"สงสารเด็กสมัยนี้จัง ทำไมพ่อแม่ต้องเลือกโรงเรียนให้ด้วยนะ แล้วเด็กจะได้อยู่ในที่ที่เค้าอยากอยู่หรือเปล่า" โอชโช่พูดตามที่คิด แต่พอนึกได้ว่านี่มันประเด็นอ่อนไหวที่อาจจะทำร้ายจิตใจคนเป็นพ่อได้ก็เลยหยุดกลางอากาศ ไม่งั้นคงจะมาอีกยาว บทสนทนาก็เลยเงียบไป

กดสิวเม็ดเดียวนี่นานจังนิ

"สมัยนี้มีลูกหลายคนไม่ไหวแล้ว" หมอบอก "อยากรู้ก็ต้องลองมีดูบ้างนะ"

เจอไม้นี้เข้า ความซ่านก็มีอันซ่าขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ไม่รู้ว่าอายที่ยังไม่มีแฟน หรืออายที่หมอบอกให้ลองมีเองดูบ้าง หรืออายอย่างอื่น โอชโช่เองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

"เอ่อ..คงไม่หรอกค่ะ" ในที่สุดก็นึกออก "มันตั้ง 9 เดือนเชียวนะ" ที่จริงนึกอะไรไม่ออก เพราะยังไม่เคยมีแนวโน้มจะได้เตรียมตัวท้อง เลี้ยงลูก แล้วก็พาเข้าโรงเรียนตะหาก (เราควรเศร้าไปกับโอชโช่ไหมเนี่ย?)

...........(เงียบจัง)..........

"เจ็บไหม?" ในที่สุดปฏิบัติการกำจัดหัวสิวก็เสร็จสิ้น

"พอทนค่ะ"

"หน้าเรียบขึ้นเยอะแล้วเนอะ" ออ ที่เงียบไปนี่หมอคงพิศดูพัฒนาการของผลงานบนใบหน้าของโอชโช่อยู่น่ะสินะ

ไม่รู้เป็นไง เวลาหมอจ้องไปตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือใช้คอตตอนบัดที่จุ่มแอลกอฮอล์แล้วแตะๆ ไปตรงร่องตรงรอยตรงนั้นตรงนี้ ไม่ต้องมองเห็นหรอกว่าหมอกำลังจ้อง แค่รับรู้ด้วยความรู้สึกอย่างตอนที่ถูกปิดตานอนอยู่บนเตียงนี่ โอชโช่ก็ยังรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนทุกเลย

ถ้าหมอบู๋กลายเป็นคนอื่นจะยังป่วนอย่างนี้ไหมนะ

"อืมม์..มันก็ควรเป็นอย่างนั้นนี่คะ?" โอชโช่ตอบ หลังจากนึกถึงวันที่เริ่มมาหาหมอ และวัตรปฏิบัติที่จะต้องมาพบหมอทุก 2 อาทิตย์ ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนเป็นต้นมา ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ต้องหลยฝนอยู่ในร้าน จนนี่หน้าหนาว แล้วอีกไม่กี่วันก็เข้าหน้าร้อนแล้ว 

"ทำไมผมถึงได้...เก่งจังวะ" ว่าแล้วหมอก็หัวเราะอย่างภูมิใจในตัวเอง ก่อนเดินจากไป ทิ้งโอชโช่ที่ยังหน้าบานเพราะยังไม่หายปลื้มความน่ารักของหมอ ไว้กับน้องๆ สาวๆ ที่รอรับช่วงลงมือปฏิบัติการกับใบหน้าของเธอ

หมอคะ หมอทำตัวน่ารักอย่างนี้กับคนไข้ (สาวและโสด) ทุกคนเลยหรือเปล่าคะ?

 

 

 

 

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 4: ความปั่นป่วน (ภาคพิเศษท้ายเรื่อง)

"สวัสดีค่ะ" โอชโช่ทักทายพร้อมกระพุ่มมือขึ้นไหว้หมอบู๋อย่างยากเย็น เพราะสัมภารกที่เธอกระเตงมาด้วยเป็นอุปสรรค ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ หมอบู๋ไม่พูดอะไร แค่ยิ้มรับ

"ช็อกโกแลตน่ะ ขมจังเนอะ" หมอเริ่มต้นสนทนา

"?" โอชโช่งงอยู่ 2.5 วินาที ก่อนนึกออกว่า อ๋อ เจอกันครั้งก่อน เอาดาร์กช็อกโกแลตที่มีโกโก้ 85% ของลินด์มาฝากหมอนี่นา ใช่ๆ ขมจนเปรี้ยวเลยล่ะ

"อ๋อ..ขมกว่าชีวิตนะคะ" โอชโช่ตอบไปอย่างเก๋ไก๋

"ช็อกโกแลตที่ดีนี่ ต้องขมใช่ไหม?"

"ช็อกโกแลตที่ดีก็ต้องอร่อยสิคะหมอ" ว่าแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อน "ขอโทษนะคะหมอ ความจริงอยากซื้ออีกแบบมาให้กิน แต่แบบนั้นมันหมด ก็เลยซื้อแบบนี้มาแทน"

"ขม แต่ก็ดีนะ กินแล้วตาสว่างเลย" หมอบอกอย่างคนใจดี มองโลกในแง่ดี ก่อนจะเริ่มตรวจด้วยการขอให้เข้าไปใกล้ๆ จะได้เห็นหน้ากันชัด (อีกแล้ว).....(เฮ่อ) 

โถ่หมอ คงจะทำงานมากจนพักผ่อนน้อย และง่วงสินะ (อ๊ะ! หรือเหนื่อยเลี้ยงลูก???) เดี๋ยวคราวหน้าหาชามินต์มาฝากดีกว่า อุ่นๆ หอมๆ ไม่ขม จิบแล้วตาสว่างและก็สดชื่นด้วย 

 

หมายเหตุ: เรื่องเล่าเรื่องนี้แค่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความหรรษาให้กับหัวใจในหมู่ผู้อ่าน ที่จริงผู้เขียนก็ได้สอดแทรกประเด็นมีประโยชน์ไว้บ้าง ประปราย หากผู้อ่านหาพบก็นับเป็นบุญของผู้เขียน แต่ถ้าหาไม่พบก็ไม่เป็นไร ขอให้หรรษากันไว้เป็นพอนะจ๊ะ

ป.ล. โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน แล้วก็อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังมากนักล่ะ