วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

When I born, I orange

When I born, I black : เมื่อผมเกิด ผมผิวดำ
When I grow up, I black :
เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ยังผิวดำอยู่
When I go in Sun, I black :
เมื่อผมอยู่ใต้แสงแดด ผมก็คงยังผิวดำ
When I scared, I black :
เมื่อผมกลัว ผมก็ผิวดำ
When I sick, I black :
เมื่อผมป่วย ผมก็ยังผิวดำ
And when I die, I still black :
และเมื่อผมตาย ผมก็ยังคงผิวดำ

And you white fellow :
และคุณ...เพื่อนมนุษย์ผิวขาว

When you born, you pink :
เมื่อแรกเกิด คุณมีผิวสีชมพู
When you grow up, you white :
เมื่อคุณโตขึ้น คุณมีผิวสีขาว
When you go in sun, you red :
เมื่อคุณอยู่ใต้แสงแดด คุณมีผิวสีแดง
When you cold, you blue :
เมื่อคุณหนาว คุณมีผิวสีน้ำเงิน
When you scared, you yellow :
เมื่อคุณกลัว คุณมีผิวสีเหลือง
When you sick, you green :
เมื่อคุณป่วย คุณมีผิวสีเขียว
And when you die, you grey :
เมื่อคุณตาย คุณมีผิวสีเทา
And you calling me colored?? :
และคุณเรียกผมว่า คนผิวสี ??

 

 

บทกลอนของเด็กแอฟริกัน ผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจาก UN (Nominated by UN as the best Poem of 2006 - Written by an African Kid)

เป็น FWD จากเพื่อน อาจจะเก่าสำหรับใครบางคน

แต่กินใจฉัน

 


12 ความคิดเห็น:

  1. แกต้องหา To kill a mocking bird มาอ่านแกล้ม จะแจ่มมาก
    เป็นหนังสือที่พูดถึงเรื่องการเหยียดผิวเล่มแรกๆ ที่มองผ่านสายตาของเด็กๆ
    รู้สึกว่าจะเป็นหนังด้วย แต่ฉันยังไม่เคยดู

    ตอบลบ
  2. ที่เรียกว่า "ผิวสี" เพราะว่ามีสีผิว ไม่เหมือนกับคนที่เรียกกระมัง ^ ^
    หรือไว้สำหรับเรียกคนที่มี "เมลานิน" (เม็ดสี) ในชั้นผิวเยอะกว่า ??

    ตอบลบ
  3. ใครมองเห็นถึงความ "เหมือน" ในการกีดกันสีผิวกับเรื่องเหล่านี้เหมือนกันฉันบ้าง?
    ระหว่าง
    ภารกิจกำจัดยิวของฮิตเลอร์
    กำราบชนกลุ่มน้อย (เป็นต้นว่าฉาน และกระเหรี่ยง) ของรัฐบาลทหารพม่า
    การฆ่าล้างโคตรในเขมร
    (ดีจังที่ในเมืองไทยเราไม่มีอะไรโหดร้ายขนาดนั้น)

    เวลาได้ยินเรื่องแบบนี้ฉันจะสงสัยเสมอ ว่าคนสั่งฆ่าเค้าเกลียดอะไร กลัวอะไรนัก
    จนถึงกับต้องสั่งให้ฆ่ากันให้หมดโลก

    หรือว่ามันเป็นเพราะอีโก้ตัวเดียว(อีกแล้ว)?

    ตอบลบ
  4. แต่มันก็มีความจริงข้อหนึ่งที่แกพึงสังวรณ์ด้วยนะ
    ธรรมชาติของมนุษย์มีความโหดร้ายอยู่เป็นกมล..นั่นส่วนหนึ่ง
    หมายรวมถึงความขัดแย้ง ซึ่งบางทฤษฏีถึงกับบอกว่า เป็นบ่อเกิดแห่งความสร้างสรรค์ไปโน้น
    นานแสนนานก่อนหน้านี้ ฉันเคยคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้เกิดในประเทศดินดำน้ำชุ่ม คนเฉื่อย เยี่ยงไทยแลนด์
    แต่ตอนนี้ไม่ค่อยแน่ใจ
    แม้ว่าเราจะไม่มีเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่เราก็ซ่อนความรุนแรงเชิงโครงสร้างไว้อย่างน่ากลัว
    อย่างเรื่องการเมืองนั่นปะำไร
    กดข่มกันมาเป็นศตวรรษ จนผิดเพี้ยนพิลึกกึกกือเหมือนทุกวันนี้
    คงไม่ต้องขยายความอะไรกันมากใช่มั้ย?

    ตอบลบ
  5. ตอนยังเด็กกว่านี้ชั้นนิสัยแย่กว่านี้นะ
    คือเป็นคนถือตัวมาก แล้วมักจะแอบจัดลำดับความใกล้ชิดหรือระหว่างตัวเองกับคนแวดล้อมเสมอ
    ใครโง่ ชั้นไม่คบ
    ให้เห็นแก่ตัว ก็ไม่คบ
    ใครพูดมาก จะไม่อยู่ใกล้
    ใครแซงคิว ชั้นเกลียดมัน
    ใครนำม๊อบคนเฒ่าคนแก่ไปตากแดด กูแช่ง
    ใครเอี้ยโกงภาษีแล้วยังมีหน้าส่งบริวารมาถามว่า "ผิดตรงไหน" ชั้นก็หวังว่าจะอยู่จนได้เห็นความฉิบหายวายวอดของมัน

    แต่พอชั้นเริ่มรู้สึกว่าแม่เรารักเราจังเลย ชั้นก็เลยคิดว่า คนอื่นๆ ไม่ว่าจะดี ชั่ว โง่ หรือฉลาด ก็คงเป็นลูกที่แม่ของตัวเองรักเหมือนกัน
    ความคิดแบบเหยียดคนอื่น รำคาญคนอื่นก็เลยเพลาลง เพราะเห็นแก่แม่ของคนคนนั้น (ชั้นมีตรรกะไหม?)
    และเมื่อชั้นเริ่มสนใจกับความหมายในคำแผ่เมตตา
    ชั้นก็เลยได้เห็นว่า เออ สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตคือ "..ที่เพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น"
    (จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย)

    ชั้นก็เลย เออๆ
    เอาวะ เพื่อนร่วมโลกกันทั้งนั้นนี่นา

    จากนั้นมา ชั้นก็เลยเปลี่ยนมาเกลียดคนทำตัวแบ่งชนชั้นวรรณะแทน
    (นี่นับเป็นวิวัฒนาการหนึ่งของสัตว์โลกประเภทชั้นไหมแก?)

    ตอบลบ
  6. เอ่อ...แม้ว่าฉันจะเจริญวัยมาขนาดนี้แล้ว ซึ่งอคติต่างๆ น่าจะลดลงตามวัยก็ตาม
    แต่บุคคลที่มีลักษณะต่างๆ ที่แกได้ระบุไว้ข้างต้น
    ฉันยังคงเกลียดเข้าไส้อยู่ดี และไม่บิดบังเลย
    โดยเฉพาะข้อสุดท้าย
    บางทีมันอาจเป็นคนละเรื่องกับการเลือกปฏิบัตินะ และยิ่งไม่ใช่การเหยียดคนอื่น

    เพียงแต่บางครั้งฉันว่ามันเป็น"ความจำเป็น"
    ที่้ต้องแสดงให้คนบางประเภทได้เข้าใจ ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นน่ารังเกียจ
    และแม้ว่าเขาเหล่านั้นจะมีเงินทองท่วมภูเขา
    มันก็ไม่อาจจะปฏิเสธความจริงที่ว่าเขาน่าขยะแขยง
    ถ้าความคิดนี้มันทำให้ฉันกลายเป็นคนคับแคบ..ฉันก็คงเป็นจริงๆ นั่นแหละ

    ตอบลบ
  7. แกกล้าด่าคนแซงคิวป่าว?

    ชั้นไม่กล้าหรอก
    ใช้วิธีทำหน้าวีนๆ ใส่ ซึ่งบางทีมันก็ไม่รู้ ชั้นเลยบริกรรมคาถาด่ามันในใจไปด้วย

    ตอบลบ
  8. ฉันอาจจะหน้าจืดนะ
    แต่ฉันไม่ยอมว่ะ ฉันเคยสะกิดคนที่แซงคิวฉันตอนต่อแถวรอเข้าห้องน้ำในห้าง
    มันกะปาดหน้าเค้กฉันอยู่พอดี ก็บอกแค่ว่า "คุณๆ ตามคิวสิ เรามาก่อนนะ" แ่ค่เนี้ย
    ไม่ได้บอกว่า "มาก่อนเยี่ยวก่อนเฟ้ย" แม้ว่าอยากมากก็ตาม
    อุ๊ย..พูดคำหยาบ ขอโทษค่ะสุภาพชนชาวบล๊อก

    ตอบลบ
  9. กรี๊ดดดดดดดดดดดด
    พี่หม่อมเจ๋งจัง
    วันหลังจะเรียกมาช่วยด่ามั่งนะ

    ตอบลบ
  10. ชั้นเป็นอีกคนที่ทนคนแซงคิวไม่ได้ ตูจะต้องทำอะไรสักอย่างกับไอพวกนั้น ไม่ใช่แค่มอง ต้องพูดด้วย
    แล้วตูก็ทำเช่นนั้นมาตลอด

    มีครั้งหนึ่งที่ชั้นจำได้แม่น
    ตอนไปอยู่นครฯ(ที่เขาว่าเมืองคนดุ) ชั้นเจ๋อไปซื้อของที่โลตัสตอนห้าทุ่มกว่า
    ขณะที่กำลังต่อคิวจ่ายเงิน ก็มีผู้ชายวัยรุ่นคนนึงเดินเข้ามาแซงหน้าชั้นอย่างละมุนละม่อม(มันไม่ได้ทำท่าปาดเลยนะ มันเดินมายืนเหมือนตรงนั้นเป็นที่ๆมันจับจองไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างห้างเสร็จ)

    ชั้นก็เลยบอกมันว่า "คุณ คนเขาต่อคิวกันไม่เห็นรึไง มาแซงคิวอย่างนี้ได้ไง" มันหันหน้ามามองชั้นแบบเฉยๆ เหมือนกับว่าเสียงอะไรแว่วๆว่ะ แล้วมันก็ไม่พูดอะไร ส่งของให้พนักงานคิดเงินเฉยเลย

    ชั้นเริ่มปฏิบัติการต่อไปด้วยการโวยพนักงานว่า "น้อง คนแซงคิวเนี่ย น้องก็คิดเงินให้เขาก่อนเลย อย่างนี้ใครเขาจะอยากต่อคิวล่ะ" พนักงานไม่ตอบไร ก้มหน้าก้มตาคิดเงินให้ไอบ้านั่นจนเสร็จ

    พอมันจ่ายเงินเสร็จมันเดินไปแล้ว พนักงานก็พูดกับชั้นอย่างมีเมตตาว่า "พี่ ไปมีเรื่องกับเขาทำไม ไม่คุ้มหรอก คนดีๆที่ไหนเขาจะมาซื้อแว่นกันแดดอันเดียวตอนห้าทุ่มกว่า"

    ความขุ่นมัวในใจชั้นหายเป็นปลิดทิ้งเลย

    ขอบคุณมากนะค่ะคุณน้องที่เตือนสติพี่ ก่อนที่พี่จะหน้าแหก ปากเยิน

    ตอบลบ
  11. โหยพี่ชั้นแต่ละคน
    แรงๆ กว่าชั้นทั้งนั้น
    รู้แล้วหนาว
    รู้แล้วหนาว


    (ไอ้กอนโดล่า เอ็งไปแซวคนจริงซะแล้วเพื่อนเอ๊ย)

    ตอบลบ
  12. " I have a dream "

    มาติน ลูเธอร์ คิง

    ตอบลบ