วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ลูกแมว ๖ เดือน



เช้าๆ เธอขาวฟูดูดีเชียว
(ตกเย็นก็กลิ่นตุ่ยเหมือนเดิม)


เสาร์ที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๓
เป็นวันครบ ๖ เดือนของอินดี้ (ลูกแม่เอ๋)

ตอนได้หมาน่อยมา หมอประมาณอายุไว้ประมาณอินดี้
หม่ามี๊เลยติ๊ต่างว่าหมาน่อยเิกิดวันเดียวกับอินดี้ จะได้มีคนนับอายุให้

งั้นตอนนี้หมาน่อยก็ ๖ เดือนกว่าๆ แล้วสิ
ลูกแมวอายุ ๖ เดือน ถ้าเทียบเป็นคน สงสัยจะเป็นวัยรุ่นแล้ว
หมาน่อยตอนนี้ไม่ได้กินตูมตาม (หรือหม่ามี๊ไม่ได้ปรนเปรอของอร่อยให้หนูกินตูมตาม?)
แ่ต่ขยันจะขอเที่ยวเหลือเกิน
เล่นแรงขึ้น แล้วก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด
ถ้าพูดถึงความซน ตอนนี้หนูไม่ซนแนวราบแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นซนแนวดิ่งแทน

เรื่องจริตมารยาก็มากขึ้น มีลูกอ้อน เสียงออดเพิ่มขึ้นตามวัย
รวมทั้งพลังเขี้ยวด้วย T T

หม่ามี๊เริ่มเข้าใจแล้ว เลี้ยงลูกวัยรุ่นมันเป็นเรื่องเอาอยู่ยากจริงๆ
เพราะมันต้องมีให้ครบนะ ทั้งการตามใจ ให้โอกาส แต่ก็ขนาบให้อยู่ในกรอบ

เอาน่า ตอนนี้หม่ามี๊จะยอมให้หนูสนุกสุดๆ (เท่าที่สถานการณ์จะอำนวย) ก่อน
ผ่านช่วงนี้ไปได้ พอหนูเป็นสาว เราก็ไปทำหมันกันเนอะน่อยเนอะ

(จบแปลกๆ แฮะ)

แอบย่องไปส่องงานศิลป์






อาทิตย์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓

ไม่ได้ตั้งใจจะไปเท่าไหร่ แต่เหมือนเพื่อนตั้งใจจะไปก็เลยไปด้วย
งานศิลปะในหอศิลป์กรุงเทพฯ ตอนนี้มีให้เลือกดูมากแบบ หลายแนว ถ้าชอบก็คงค่อยๆ เสพกันได้เป็นวันๆ แต่ฉันกับเพื่อนใช้เวลาไม่นานในการชม ๓ นิทรรศการที่สนใจ

แล้วก็พากันมึนหัวกลับบ้านกันไปทั้งคู่
(ไม่รู้ว่าเพราะอาหารกลางวัน หรือเพราะงานศิลป์-ฮา)

๓ นิทรรศการที่ไปชมได้แก่
-ไอคอนดีไซน์ ฝรั่งเศส (Icons of French Design)
9 ก.ค. - 22 ส.ค. 2553
นิทรรศการชั้น 7
>>งานโชว์ดีไซน์สไตล์ฝรั่งเศส จัดไลติ้งสวยสุดๆ
งานนี้ตอนแรกจะเป็นส่วนหนึ่งของ la fete (อ่าน ลาแฟต) งานวัฒนธรรมประจำปี
แต่ด้วยเหตุความวิบัติในเดือนพฤษภา ปีนี้เลยเหลือแค่นิทรรศการนี้อันเดียวมั้ง ก็หลายงานเค้าจะจัดที่ Zen (แต่ Zen ไม่มีแล้ว) หลายงานก็คงจัดไม่ได้เพราะคิวไม่ได้แล้ว ต่างๆ นานา

ก็ช่วยไม่ได้อะนะจ๊ะ ที่ปีนี้จะชวด (หวังว่าปีหน้าและปีต่อๆ ไปจะไม่ชวด เพราะศิลปินฝรั่งเศสเขาเข้าใจถึงกระบวนการทวงถาม "ประชาธิปไตย" แบบไทยๆ ได้ดี)


-ภูมินิทัศน์ วัฒนธรรม (Cultural Landscape)
15 ก.ค. - 22 ส.ค. 2553
ห้องนิทรรศการชั้น 8
>>งานโชว์รูปประกวด เริ่มเวียนๆ ตอนดูรูปในห้องนี้ติดกันหลายรูป
แต่หลายรูปก็ดีเชียวนะ

-ฝันถึงสันติภาพ (Imagine Peace)
25 มิ.ย. - 22 ส.ค. 2553
นิทรรศการชั้น 9
>>จังหวะ เวลา และหัวข้อออกจะทรงพลัง แต่ไหงโชว์ไม่ค่อยจะมีพลังเท่าไหร่ไม่รู้ได้




วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ถ่ายรูปคู่กัน






พฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2553

เช้านี้จับหมาน่อยมาถ่ายรูปคู่กัน
แมวจะอายุครบ 6 เดือนแล้ว ไวจังเนอะ

ป.ล. ยังเช้าอยู่ หมาน่อยเลยไม่ยิ้มสักกะรูป

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สิ่งจะงามอยู่กับใจ บอดที่ใจเห็นไปอย่างไรไม่มีวันงาม

Air Doll: ความงามของการมีชีวิต


Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


ดู Air Doll (2009) แล้วก็ต้องเห็นความเหงา เป็นความเหงาของคนไม่มีตัวตนในสายตาคนอื่น ความเหงาแบบที่ ฮิโรคาซึ โคเรเอดะ ผู้กำกับ Nobody Knows (2004) ถนัด และยังสร้างสรรค์ Air Doll ออกมาในอารมณ์นั้น คือ เหงา สวย และหนาว เพียงแต่ดูหนังเรื่องนี้แล้วน้ำตาไม่ไหลเท่านั้นเอง

เรื่องเริ่มที่ชีวิตรูทีนของชายญี่ปุ่นสามัญคนหนึ่งในโตเกียว ผู้มีภาระใหญ่ในการพิสูจน์คุณค่าและการมีตัวตนผ่านการทำงานเช่นเดียวกับคนอื่นๆ คือตื่นเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน ตกดึกก็ซมซานกลับบ้าน ด้วยความเหงา ก็เลยสั่งซื้อตุ๊กตายางเป่าลมรุ่นใหม่ ราคาถูก (ไม่ถึง 6,000 เยน) มาเป็นเพื่อนหนึ่งตัว

ไม่รู้แน่ชัดว่าพวกผู้ชายเขาซื้อตุ๊กตาเป่าลมไปทำไม (จริงๆ อาจมีผู้หญิงซื้อไปบ้างก็ได้) แต่สำหรับชายคนนี้ เขาไม่ได้ซื้อไปเพื่อปลดเปลื้องความต้องการทางเพศอย่างเดียว ตุ๊กตาโนโซมิเป็นเหมือนคนรักที่อยู่ร่วมบ้านกับเขา เขาทั้งพูดคุยกับเธอ บอกรัก ชี้ให้ดูดาว ชมว่าสวย อาบน้ำและแช่น้ำร้อนด้วยกัน ซื้อแชมพูดีๆ มาสระผมให้ นอนหนุนตักในบางที และแน่นอนที่สุด เขาเมคเลิฟและหลับไปเคียงข้างเธอ

ฉันเห็นชายคนนี้พูดคุยอย่างอ่อนหวานกับโนโซมิในฉากหนึ่งแล้วก็มาเห็นเด็กผู้หญิงอุ้มตุ๊กตาเด็กน้อยที่สามารถร้อง “หม่าม๊า-หม่าม๊า” (สำเนียงญี่ปุ่นร้องว่า มามา-มามา) ติดมือในฉากต่อๆ มา ฉันก็ร้องอยู่ในใจว่า ‘เฮ้ย เหมือนกันเลยนี่หว่า’ ...หรือว่าจริงๆ แล้วคนเรามีตุ๊กตา ไม่ว่าจะรูปคนหรือรูปสัตว์ เป็นโดราเอม่อน หมีเท็ดดี้ บาร์บี้ บลายธ์ หรือตุ๊กตาจำลองรูปหญิงสาว ไว้เป็นเพื่อนสำหรับพูดคุยด้วย เพื่อนที่เราจะพูดแม้เรื่องเร้นลับและน่าอายให้ฟังโดยไม่ต้องกังวลว่าจะโดนหักหลัง โดยไม่ต้องกลัวเพื่อนหันหลังใส่เพราะไม่อยากฟัง หรือไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

สำหรับชายคนนี้แล้ว ตุ๊กตาของเขายังมีสิ่งพิเศษมากๆ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว เพราะตุ๊กตาของเขา “ค้นพบหัวใจ” ของตัวเอง

โนโซมิ (แบ ดูนา) ลุกขึ้นจากเตียงในหนึ่งเช้าหลังฝน กลายร่างเป็นเด็กสาว ใส ตากลม เดินไปมาบนขาคู่ยาวเรียวในท่วงท่าอ้อนแอ้น ไม่ถนัดถนี่ ดูบอบบางน่ารัก แถมยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ไม่ค่อยเข้าใจคำศัพท์และสำนวน ออกจะดูเหมือนหลุดมาจากการ์ตูนมากกว่าเป็นคนจริงๆ (ก็นี่มันเอเลี่ยนชัดๆ) แต่คนทั่วไปในละแวกนั้นกลับไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติ อย่างน้อยท่าทางการเดินแบบไม่ถนัด พูดอ้อแอ้ ตากลมโตที่เบิ่งกว้างเหมือนสนใจและตื่นเต้นตลอดเวลา กับชุดสาวใช้กระโปรงสั้นฟูฟ่องก็ล้วนไม่ใช่ของแปลกสำหรับเด็กสาวญี่ปุ่นล่ะ

ถ้าไม่แน่ใจว่าการมีหัวใจนั้น ดี และไม่ดีอย่างไร ต้องไปถามโนโซมิ เพราะเมื่อเริ่มค้นพบหัวใจ เธอก็เริ่มเรียนรู้จักชีวิตและโลก เริ่มมีใจให้ชายหนุ่ม โกหกเป็นโดยอัตโนมัติ และเจ็บปวด เธอรำพึงในตอนหนึ่งว่า “การมีหัวใจทำให้อกหักได้”

โนโซมิเริ่มทำความรู้จักกับการมีชีวิตพร้อมกับๆ เป็น “ตุ๊กตาเป่าลม-สิ่งทดแทนความต้องการทางเพศ” ไปด้วย เราได้เห็นทั้งความอ่อนโยนและความกักขฬะที่คนกระทำต่อโนโซมิ ได้ปวดร้าวไปกับความรู้สึกของโนโซมิเมื่อรู้ว่าชีวิตนั้นจีรังยั่งยืน แถมยัง “กลวง” ว่างโหวงชนิดไม่สามารถเติมเต็มได้ด้วยตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้น คน สามารถเติมเต็มให้ตุ๊กตาได้ ด้วยการเป่าลม แต่ตุ๊กตาไม่มีโอกาสเติมเต็มให้คนได้เลย โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นมีตุ๊กตาตัวเดียวไม่พอ (ฮ า)


น่าขอบคุณที่โนโซมิพาเราไประลึกถึงแง่งามของการมีชีวิตซึ่งเราเองได้หลงลืมไปนานแล้ว แต่น่าสงสารที่การค้นพบหัวใจไม่อาจเปลี่ยนโนโซมิให้กลายเป็นคนได้จริงๆ หนังเรื่องนี้จึงต้องจบอย่างเศร้าแสน

ตุ๊กตาตัวหนึ่งพาตัวเองมาทิ้ง เพราะไม่อยากมีชีวิตอีกต่อกับ กับตุ๊กตาอีกตัวที่เจ้าของไม่ต้องการแล้ว จึงนำมาแลกกับแหวนในนิ้วของตุ๊กตาตัวแรก

ตุ๊กตาสวมกอดตุ๊กตาในกองขยะ เป็นฉากสุดท้ายที่สวย แต่เศร้า และเหงาจัง




บันทึก
• เป็นหนังที่เหงา แต่ไม่ทำให้เศร้าเกินไป ฉันดูแล้วรู้สึกรักชีวิต
• มีความรู้สึกว่าไดอาล็อกหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องเยอะกว่า Nobody Knows เรื่องนั้นใช้ภาพเยอะกว่าคำ
• ไม่น่าเชื่อว่าหนังเรื่อง Hana (2006) ก็เป็นผลงานกำกับของ ฮิโรคาซึ โคเรเอดะ (ฉันเพิ่งรู้เมื่อมาดูข้อมูลก่อนจะเขียน) ฉันได้แผ่นมาโดยบังเอิญ เปิดดูหลายหนแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าเป็นหนังที่เขากำกับ แถมยังเขียนเรื่องเองซะด้วย กลับไปดูอีกหนดีกว่า (http://www.imdb.com/title/tt0464038/)
• ตุ๊กตาสาวในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ตุ๊กตายาง (จริงๆ แล้วตุ๊กตายางเป็นไงก็ไม่เคยเห็นหรอกนะ) แต่เป็นตุ๊กตาเป่าลม เหมือนกับชื่อ Air Doll และ KUKI NINGYO ที่เป็นชื่อหนังในภาษาญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม จากการดูหนังเรื่องนี้ทำให้รู้ว่า ตุ๊กตาแบบนี้เขาใช้งานกันอย่างไร อิ อิ
• ในบรรดาหลายชีวิตในหนังเรื่องนี้ ฉันสงสารคุณตาที่สุด ไม่อยากอยู่จนเป็นอย่างคุณตาเลย ตาบอกโนโซมิว่า “ฉันเกลียดหมา เพราะพวกมันโตเร็ว เลี้ยงหมามีแต่ทำให้เหงา”
• ฉันเชื่อว่าที่ผู้กำกับบรรจงเลือกนักแสดงสาวชาวเกาหลีมาเล่นเป็นตุ๊กตาเป่าลมหัดเดิน หัดพูดเหมือนคน (ญี่ปุ่น) เพราะอยากให้เธอดูเป็นเอเลี่ยนจริงๆ ซึ่งเธอก็ทำได้ดีจริงๆ นะ
• รู้ไหมว่า แบดูนา ตอนเล่นเป็นโนโซมิเนี่ย อายุ 30 นะจ๊ะ (ใช้โรจูคิสหรือป่าวน้อง?)
• ตอนถ่ายหนังน่าจะเป็นปลายหนาวหรือต้นใบไม้ผลิ (ที่ไม่เห็นมีดอกไม้บานเลย) แต่โนโซมิต้องทั้งเปลือย ทั้งใส่เสื้อผ้าแบบตุ๊กตาที่ไม่รู้จักหนาว อึดแท้ๆ
• อ่านนี่ แล้วฉันรู้สึกว่าเธอโปรจริงๆ >>นักแสดงสาวยืนยันว่า เธอเต็มใจกับการแสดงฉากดังกล่าว เพราะเชื่อมั่นในฝีมือผู้กำกับ นอกจากนั้นมันยังจำเป็นกับเรื่องราว โดยเฉพาะกับตัวละครที่เธอสวมบทบาท ตุ๊กยางซึ่งกลายร่างเป็นมนุษย์ “ทำยังเวลารู้สึกอายที่ต้องถ่ายหนังในฉากเปลือยเหรอค่ะ?” แบดูนา กล่าวถึงคำถามที่หลายๆ คนสงสัย “ฉันพยายามทำงานให้หนักที่สุด เพื่อพิสูจน์ว่านักแสดงหญิงชาวเกาหลีใต้มีความเป็นมืออาชีพค่ะ เวลาทำงานที่ญี่ปุ่นแม้จะรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่ฉันเองก็รู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้นกว่าตอนอยู่ที่เกาหลี”
• ใช่ หนังเรื่องนี้แบดูนาลงทุนเปลือยหลายฉาก แต่ฉันว่าเป็นฉากเปลือยที่ไม่เร้าอารมณ์ฝ่ายต่ำ แต่กลับดูแล้วรู้สึกถึงความ “สวยงาม” ใช่เลย “ความ คิ-เร-อิ ของชีวิต” ขอบคุณแบดูนาที่ให้โอกาสฉันได้เห็นความสวยงามของเรือนร่างสตรีอีกครั้ง ก่อนจะลืมมันไปตลอดกาล (ฮ า)
• ใครจำได้บ้างว่าตัวละครอะไรใน The Wizard of Oz ที่ร่วมเดินทางไปด้วยเพราะต้องการหาหัวใจ



วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ลูกแมวโตไว



สบายจริง เกิดเป็นแมวเนี่ย


เสาร์ที่ 10 กรกฎาคม 2553

หมาน่อย ลูกแมวขี้เหร่อายุได้ 5 เดือนกว่าๆ วันนี้หนัก 2.4 กิโลกรัม
เมื่อวันที่ 12 เดือนมิถุนายนนั้นหนัก 2.1 กิโลกรัมแล้ว

ผ่านไปเกือบเดือน น้ำหนักขึ้น 3 ขีดเองหรอ


น้อยไปหรือป่าวเนี่ย?

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Sleuth : ศักดิ์ศรีของผัว

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama



น่าสนใจมากว่าผัวแก่ (รวย) จะรับมือชู้หนุ่ม (หล่อ) ที่บุกมาทวงลายเซ็นในใบหย่าให้เมียสาว (สวย) อย่างไร

Sleuth (2007) กำกับโดย Kenneth Branagh เป็นหนังรีเมกความยาวชั่วโมงครึ่ง ตัวละครน้อย ฉากน้อย จุดเด่นอยู่ที่การพูดไดอาล็อกเยอะยาว จากการโต้คารม ชิงไหว ชิงพริบ หักเหลี่ยมเฉือนคมและไซโคกันไปมาตลอดเรื่องของตัวละครแค่สองตัว คือแอนดรู ไวค์ (Michael Caine) ผัวแก่ แต่รวย นักเขียนผู้มีอีโก้ใหญ่โตพอๆ กับความสำเร็จของเขา กับ ไมโล ทินเดิล (Jude Law) ชู้หนุ่มหล่อ นักแสดงที่แม้จะว่างงาน แต่ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของหนุ่มหน้าตาดี กับความเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่กิ๊กก๊อก จึงคิดว่าตัวเองดีพอจะเป็นผัวคนใหม่ของเมียคนสวยแต่มือเติบของลุงนักเขียน

จินตนาการของนักเขียนจอมเอาแต่ใจ กับความโลภของนักแสดงกระเป๋าแห้งก่อเรื่องที่ทำคนดูขำไม่ออก การกลับมาแก้แค้นแบบเหนือชั้นยิ่งทำให้ทำให้อึ้ง

ดูหนังเรื่องนี้เหมือนนั่งดูลุงเคนกับพี่ลอว์เล่นละครเวทีกันในแกลเลอรี่ ก็อะไรจะทำบ้านได้เท่ เดิ้น และ “โรคจิต” ขนาดนั้น

เหนือสิ่งอื่นใด อะไรจะเขียนบทได้หักหลังคนดูเสียเสียงดังโครมใหญ่ปานนั้น

นี่คือหนังที่โชว์การ Perform ของนักแสดง สำหรับคุณผู้ชาย โปรดอย่าดูเพียงเพื่อความบันเทิง แต่ให้เอาเรื่องราวในหนังมาคิดตามอีกหน่อย ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไร สู้สุดตัวเพื่อรั้งเมียคนสวย (แม้หล่อนจะไม่รักเราแล้ว) ไว้อยู่กับตัว

หรือจะปล่อยหล่อนคนนี้ไปที่ชอบที่ชอบ (กับผัวใหม่ของหล่อน) เสียที



บันทึก:
• เพลง score หลอนชะมัด
• ชอบแสง เจ๋งดี แต่ไม่ชอบบรรยากาศในบ้านของไวค์นะ เป็นบ้านที่ไม่เหมือนบ้าน ไม่น่าอยู่ ไม่น่าสบาย แต่ก็เป็นบรรยากาศที่โรคจิต เหมาะกับในเนื้อเรื่องดี
• มีคนเคยดูเวอร์ชั่น 1972 (โอ้ว แก่กว่าเราเยอะ) เขาบอกเขาชอบเวอร์ชั่นนี้มากกว่าแล้วก็ชมการแสดงของเคนและลอว์ไว้มากมาย
• ลุงเคนเจ๋งอยู่แล้ว แต่ของชมพี่ลอว์หน่อย ชอบจูด ลอว์ จำได้ว่าตอนดู Road to Perdition ได้เห็นเขาเล่นเป็นนักฆ่าน่าเกลียดตัวนั้นแล้วก็อึ้งมาทีนึงแล้ว ไปทั้งหน้าตาและเสียง ไปแบบไม่ห่วงหล่อ ตอนให้เสียงใน Lemony Snicket's A Series of Unfortunate Events (2004) ก็หลงสำเนียงมาทีนึงแล้ว
• เอิ่ม หนังได้รางวัล Special Mention Award จาก Queer Lion ในเทศกาลหนังเมืองเวนิสปี 2007 นะฮะ
• ขอบคุณพี่เทพที่แนะนำฮะ ว่าแต่ พี่ว่าในเรื่องมีใครเป็นเกย์ไหมอะ?

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ใน facebook ถ้าเรา tag ใคร แปลว่าคนนั้นต้องมาดู+เม้นต์เรอะ?

Osen : ยุคสมัย วัฒนธรรมการกิน และหมีขั้วโลก

Rating:★★★★
Category:Other


สั่งซีรีส์เรื่องนี้มาดูเพราะอยากรู้ว่าอาหารญี่ปุ่นจริงๆ เป็นอย่างไร

ดูแล้วนอกจะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร ยังเกิดแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าว่าจะต้องไปกินสุกียากี้ญี่ปุ่นที่ Akiyoahi อีกครั้งในเร็ววัน โชคยังดีที่ดูแล้วไม่ได้ถึงกับกระหายใคร่จะกินสาเกอุ่นๆ หรืออยากเบียร์ญี่ปุ่นจนทุรนทุราย เพราะนางเอกในเรื่อง (Aoi Yu) แม้จะเป็นตัวละครอายุน้อย หน้าตาก็น่ารักน่าเอ็นดู แต่ดื่มเหล้าเก่งเหลือเกิน เธอดื่มโชว์บ่อยๆ อย่างรื่นเริง และเมาได้น่ารักเสียด้วย

ประเทศญี่ปุ่นนั้นมีความแปลกอย่างที่เราก็รู้กันอยู่โดยไม่ต้องไปถึงญี่ปุ่น ว่าเป็นประเทศที่มีความขัดแย้งในตัวเองสูง อย่างฟุตเทจสารคดีที่นำเสนอชีวิตการกินของคนญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษเมื่อต้นเรื่องนั่นแหละ ชาวญี่ปุ่นมีกินตลอดเวลาที่ต้อง ทุกหัวถนน ท้ายถนน สี่แยก สามแยก ตรงทางลงรถใต้ดิน ในทางเดินของสถานีรถไฟ หน้าห้องน้ำ ฯลฯ จะมีตู้ขายของกินแบบหยอดเหรียญเต็มไปหมด ร้านราเมงหรืออาหารชุดราคาประหยัดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงก็หาได้ทั่วไป แถมยังมีร้านสะดวกซื้อหลายเจ้า วางขายอาหารสะอาด ราคาประหยัดกันเกลื่อนกลาด จะกินของร้อนในหน้าหนาว หรือกินของเย็นในหน้าร้อน มีให้เลือกตามใจ

อาหารสำเร็จรูปพร้อมกินเกรดที่ดีขึ้นมา คืออาจจะเป็นวัสดุที่ดีกว่าหรือรสชาติดีกว่าก็ยังมีรออยู่แพ็คที่พร้อมจะถูกใส่เข้าไปในไมโครเวฟทั้งอย่างนั้นที่ DepaChika หรือชั้นใต้ดินของ Department Store

แต่ทั้งๆ ที่โลกการกินของคนญี่ปุ่น convenience และ speedy ไปขนาดนี้แล้ว แต่ร้านอาหารอย่างในเรื่องคือ “อิชโชอัง” ก็ยังมีอยู่

อิชโชอังเป็นกิจการที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลา 200 ปีแล้ว ตัวร้านคืออาคารเก่าหลังใหญ่ที่ยังดูแข็งแรงมั่นคง แล้วก็ดูสะดวกสบายกับชีวิตสไตล์คนในร้านอิชโชอัง นายหญิงผู้เป็นทั้งเจ้าของกิจการและผู้ควบคุมการปรุงอาหารและบริการของร้านคนปัจจุบันชื่อ ฮันดะ เซน (เพราะงี้เลยเรียกโอเซน?) อายุของเธอแค่ 23 ปี แต่เพราะได้รับการฝึกฝนมาดีประกอบกับมีพรสวรรค์และมีความรักชอบศิลปะทางด้านนี้ด้วย โอเซนเลยเก่งทั้งการปรุงอาหาร เขียนพู่กันแบบโบราณ เก่งเรื่องเครื่องปั้นดินเผา แถมยังนุ่มห่มกิโมโนและทำผมเผ้าให้เข้ากันอย่างน่าประทับใจ

อาหารของอิชโชอังเป็นอาหารที่ปรุงขึ้นอย่างประณีต จากเครื่องปรุงและวัตถุดิบที่สดใหม่ หาได้ตามฤดูกาล ใช้ผักที่ปลูกเองในสวนหลังร้าน ลูกค้าที่มากินอาหารของอิชโชอังจึงไม่ต้องลำบากคิดมาจากบ้านว่าจะสั่งอะไร เพราะเมนูของร้านนี้จะไม่มีหน่อไม้ ถ้าไม่ใช่ฤดูของหน่อไม้ ปลาที่ได้กินก็จะแล้วแต่ฤดู และแล้วแต่ว่าวันนี้พ่อครัวได้ปลาอะไรมา กรรมวิธีในการปรุงก็จะเป็นขั้นตอนที่ประณีต ละเมียดละไม มีที่มาที่ไป มีเหตุผลตรรกะ ทำไมต้องปรุงแบบนี้ ทำไมไม่ปรุงแบบนั้น

ในเรื่องยังเล่าเกร็ดเกี่ยวกับเครื่องปรุงพื้นๆ ที่จำเป็นกับอาหารญี่ปุ่นหลายอย่าง เช่น การหุงข้าวด้วยฟาง การหมักมิโซะ และการทำปลาคัตสึโอตากแห้งสำหรับไสเป็นแผ่นบาง ใช้ต้มทำน้ำซุป (แบบเดียวที่โรยหน้าทะโกะยากิไงจ๊ะ) เราได้รู้ถึงขั้นว่าปลาแห้งนี้มันมีระดับคนลิ้นธรรมดากับระดับลิ้นเทพ และแบบที่เป็นของสำหรับลิ้นเทพนั้นก็ต้องผ่านขั้นตอนทำให้ “รา” ขึ้นปลาโออยู่หลายรอบ ถึงจะได้รสชาติแบบนั้นออกมา
อ่านมาถึงขั้นนี้อย่าเพิ่งคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้ชมแล้วหรรษา เบาสมอง ไม่ต้องคิดอะไรต่อ ดูจบก็แค่ออนไลน์ search หาร้านอาหารญี่ปุ่นดีๆ แล้วโทรชวนเพื่อน เพราะแท้ที่จริง Osen มีประเด็นหนักหน่วง ปวดร้าว ที่เราทุกคนเมื่อได้ดูแล้วต้องได้คิด ว่าควรยอมโอนอ่อนแต่โดยดีไปตามความเร็วของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง หรือจะตั้งมั่นอยู่กับสปีดเชื่องช้า แช่มช้อยของความดั้งเดิมดี

ถึงแม้ว่าการมีอยู่ของอิชโชอังไม่อาจเปรียบเทียบกับการมีอยู่ของหมีขั้วโลก แต่ถ้าลองคิดดู คุณเองก็อาจจะพบว่า การยังคงอยู่ของสัตว์อย่างหมีขั้วโลก กับร้านอาหารอย่างอิชโชอัง นั้น บ่งชี้ว่าสิ่งสำคัญบางอย่างยังอยู่กับเรา สิ่งสำคัญนี้ มันสำคัญก็เพราะว่าถ้ามันสูญสลายหายไปแล้ว จะไม่มีทางถอยหลัง หรือเรียกกลับมาได้อีก แล้วชีวิตของเราก็จะไม่อาจเหมือนเดิมได้อีกเลย





บันทึก:
• เพื่อนซึ่งดูโอเซนจบล่วงหน้าไปแล้วได้เล่าระหว่างมื้ออาหารเกาหลีว่า ช่วงที่เพิ่งจบซีรีส์เรื่องนี้ใหม่ๆ นั้นเกิดอาการไม่สามารถเข้าร้าน Zen และ Fuji ได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอาหารญี่ปุ่นที่เสิร์ฟในนั้นไม่ได้ปรุงขึ้นจากจิตวิญญาณ ฉันฟังแล้วปล่อยก๊าก เห็นด้วยกับเพื่อนมากๆ
• ตัวฉันเอง ถ้าเลือกได้ก็ไม่เลือกเข้าสองร้านข้างบนนานแล้ว (ฮ า) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ก็ยังเต็มใจเดินเข้าร้านฟูจิ เพื่อที่จะอดหงุดหงิดใจไม่ได้กับกิริยาอาการของพนักงานเสิร์ฟ ถ้วยชาม และรสชาติของอาหาร แต่ทำไงได้ กินข้าวกับเพื่อนที่ไร ไม่ว่าจะกินที่ฟูจิหรือที่ไหน มันสนุกทุกทีนี่นา
• อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ต้องตามใจใคร และตัวเลือกอื่นยังพอมี ฉันไม่เข้าสองร้านนั้นหรอก เสียดายเงิน (แม้ราคาอาหาร+บริการมันจะถูกกว่าร้านที่ฉันเลือกเข้าก็ตาม)
• ช่วงสิบกว่าปีหลังมานี้ฉันโชคดี ได้ทำงานที่มักมีโอกาสได้ชิมอาหารแปลกใหม่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นของราคาแพง และไม่ใช่เมนูปกติในชีวิตประจำวันของตัวเอง เพื่อไม่ให้ตัวเองสับสนกับชีวิต ฉันจึงต้องสร้างมาตรฐานขึ้นมา 2 ชุด สำหรับการกินอาหารปกติ และอาหารไม่ปกติ เช่นเดียวกับการแยกพิกัดนักมวย
• ความเป็นคน 2 มาตรฐานนี่เองทำให้ฉัน ซึ่งแม้จะรู้แล้วว่าความอร่อยที่แท้จริงของของสิ่งหนึ่งคืออะไร สามารถจะกินสิ่งนั้นในรสชาติที่อร่อยน้อยกว่าควรจะอร่อยตามมาตรฐานที่มันควรอร่อยได้โดยไม่รู้สึกลำบาก (อิ อิ)
• อันที่จริงเราควรขอบคุณของไม่อร่อยนะ ที่ทำให้เรารู้จักว่าความอร่อยที่แท้จริงเป็นอย่างไร
• คนบางคนเขาไม่สนใจหรอก ว่าหมีขั้วโลกจะมีอยู่หรือหมดไป ไม่ได้แคร์ด้วยว่าลูกกำลังกินอะไรอยู่ หรือลูกไม่รู้กระทั่งว่า หัวไชเท้าคือส่วนรากของต้น ไม่สนใจว่าอาหารตรงหน้าปรุงอย่างไร ใช้วัตถุดิบจากไหน เขาสนใจแต่กินให้อิ่มแล้วกลับไปทำงานต่อให้ผลกำไรในปีนี้มันไม่น้อยกว่าปีก่อนเท่านั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หัวอกแม่



อารมณ์ "รันทดและงดงาม" ตอนหนึ่งจาก "รันทดและงดงาม"

..............

แน่นอน แม่ต้องการให้เธอแต่งงาน การที่แม่พาเธอมาเกียวโตก็เพื่อให้ห่างจากโอกิ เพื่อให้เธอสบายใจเท่านั้น แม่ไม่ได้หวังจะให้เธออยู่ที่นี่เป็นการถาวร แต่เกียวโตไม่ได้เยียวยาความกังวลของเธอ เมื่อโอโตโกะอายุสิบเก้า แม่ก็ยื่นข้อเสนอให้เธอแต่งงานเป็นครั้งแรก วันนั้นเป็นคืนเทศกาลแสงไฟพันดวง ซึ่งจัดขึ้นที่วัดเนมบุทซึ ในอะดาชิโะ  กลางที่ราบซางะ

โอโตโกะเห็นน้ำตาแม่คลอเบ้าขณะมองดูแสงไฟพันดวงที่จุดขึ้นหน้าแผ่นหินคร่ำคร่าเหนือหลุมฝังศพ-ศพไม่มีญาติ-เรียงรายสุดลูกหูลูกตาราวกับเด็กที่ตกนรกทั้งเป็น บรรยากาศแห่งความตายครอบคลุมบริเวณ แสงวับแวมของเปลวไฟในความมืดยิ่งทำให้หดหู่ยิ่งขึ้น

มืดสนิท เมื่อเธอกับแม่เดินกลับมาตามถนนของเมือง

"ช่างเงียบเหงาจริง" แม่ของเธอว่า "ลูกล่ะ โอโตโกะ ไม่รู้สึกเหงาบ้างหรือไง" คราวนี้คำว่า 'เหงา' มีความหมายเปลี่ยนไป แม่เริ่มพูดถึงพิธีการแต่งงานของโอโตโกะ ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งในโตเกียวเป็นแม่สื่อให้

"แม่คะ ขอโทษด้วย หนูแต่งงานไม่ได้หรอกค่ะ" โอโตโกะว่า

"ไม่มีอะไรที่ผู้หญิงเราจะแต่งงานไม่ได้นี่นา"

"แต่หนูว่ามีนะคะ"

"ถ้าหนูไม่แต่งงาน เราทั้งคู่จะกลายเป็นศพไม่มีญาตินะจ๊ะ"

"หนูไม่เข้าใจหรอกค่ะ"

"ก็ไม่มีญาติที่ไหนมาคอยเศร้าโศกเสียใจเวลาเราตายไง"

"ค่ะ แต่หนูยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี" เธอหยุดพูด "ถึงตอนนั้นเราก็ตายไปแล้ว"

..............

อ่านแล้วคิดถึงแม่ตัวเอง


หมายเหตุ : ขอบคุณโม่ที่ส่งหนังสือเล่มนี้มาให้อ่าน มัน "รันทดและงดงาม" จริงๆ

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุณรับมือกับพนักงานขายอย่างไร?





ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนกันไหม
ตั้งแต่จบเรื่องไม่สงบเดือนพฤษภาคมแล้ว มีสายเข้าโทรมาขายของเยอะมากๆ

เยอะขนาดเคยมีวันนึง มีคนโทรมาขายประกันถึง 3 เจ้า (ทำให้ได้รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีบริษัทประกันชื่อแปลกเกิดใหม่มากมาย)
บางวันก็โทรมาขายบัตรถึง 2 ใบ (ยังกะนัดกันโทรมา)
แถมบางบัตร เคยโทรมาขายแล้ว และได้ขอตัวไปแล้ว ก็ยังโทรมาอีก (เออนะ)

ไหนจะประเภทโทรมาขอให้ช่วยกู้เงินหน่อย (แปลกแฮะ ทำไมไม่เป็นเราโทรไปขอกู้เงินเขา)
กับโทรมาอ้อนวอนให้สมัครสมาชิก (ทั้งๆ ที่ตูก็เป็นสมาชิกสูอยู่แล้วเนี่ยนะ) อีก

เป็นคุณ คุณพูดกะเขาอย่างไร ฟังเขาไหม
หรือตอนที่รู้ว่าสายนี้ต้องเป็นใครสักคนโทรมาขายอะไรสักอย่าง คุณรับสายหรือไม่รับ
แล้วเคยซื้อผลิตภัณฑ์เขาหรือเปล่า?

ผู้หญิงอยากรู้ฮะ



 

คุณแม่อยากรู้วววว์



เพื่อนผู้เป็นคุณแม่ยังสาว (ตอนปลาย) ข้องใจ คิดไม่ตก เลยเขียนมาถามคนช่างคิด+ปากสว่างอย่างฉัน
เพราะเพื่อนอยากรู้ว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้าง เพื่อนๆ ในมัลติพลายของฉันจะทำอย่างไร



วันก่อนไปกิน ร้านกินเส้นกับน้องสาว สั่งสปาเกตตี้ต้มยำทะเลแห้ง แต่ได้เส้นมาม่ามาแทน
ก็กินไป

กินเสร็จ ก็นึกไปว่าถ้าสมมติว่าลูกมากินด้วย แล้วเกิดเหตุการณ์อย่างงี้ ควรจะทำยังไง

ก.บอกบ๋อยว่า ผิด ไม่เอา ไปทำมาใหม่
ข.ยอมกิน (เหมือนเดิม)
ค.บอกบ๋อยว่าผิด ให้รู้ว่าผิดนะ แต่ก็จะกิน

คน ไทยส่วนใหญ่ รวมทั้งชั้นด้วย เป็นข้อ ข. ซึ่งบางทีมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ว่าแมะ


วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จันทร์กระจ่างกลางเวหา



พระจันทร์คืนวันที่ ๑๕ มิย เกือบกลม แต่ยังไม่กลม

กระนั้นยังงามเด่นจนแมวยังต้องมอง






ขอกลอนปลากรอบหน่อยฮะ


เล่นเหนื่อยแล้วก็นอน






เสาร์ ๒๖-อาทิตย์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๓

อาทิตย์ก่อนอยู่บ้านกับแมว
เศร้า แต่ไม่เหงา

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กินฟูจิกับลูกหมู



หมูยังอร่อยกับบะหมี่เย็นของแม่

(ทั้งหวานทั้งมัน ถูกใจเด็กจริงๆ)



เสาร์ที่ 3 กรกฎาคม 2553

ตอนอยู่บ้านป้าปุ๊กลูกหมูอยากดู๊อยากดูการ์ตูนเน็ตเวิร์ก ยังไงก็จะกลับบ้านให้ได้
แต่พอแม่ให้เลือกจะเอาอะไร ลูกหมูเลือกอาหารญี่ปุ่นเฉยเลย

ถามว่าอยากกินอะไร ลูกหมูบอก ปลาดิบ ไข่หวาน

หมูเกาหลี



อยากกลับบ้านไปดูการ์ตูนเน็ตเวิร์ก
บ้านป้าปุ๊กไม่มี

(ฮา)

เสาร์ที่ 3 กรกฎาคม 2553

ป้าม้อยเจอลูกหมูครั้งสุดท้ายเมื่อปลายเดือนมกรา ตอนงานแต่งลุงเหน่ง
เจอลูกหมูอีกทีตอนแม่พาไปเยี่ยมป้าปุ๊ก ลูกหมูโตขึ้นเยอะเลย

สี่ขวบกว่าเอง แต่ตัวใหญ่น่ากอดรัดฟัดเหวี่ยงมากๆ
อ้อ ลูกหมู อ. 2 โรงเรียนทับทองฮับ

แมวสอนว่า : เวลาของคนอื่นมีค่ามากกว่าเวลาของตัวเอง

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553