วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

The Other Side of the Bed : น้ำพริกถ้วยเก่า

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Comedy
เสาร์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๒

พยายามจำตัวคันจิจนเบลอ ต้องเปลี่ยนแชนแนลไปดูหนังสเปน สร้างสมดุลกันหน่อย

The Other Side of the Bed หรือในชื่อดั้งเดิม El Otro lado de la Cama (๒๐๐๒) หรือในชื่อไทย “มนต์รักสลับเตียง” เป็นหนังคอมมิดี้เพลง (ก็ไม่เพลงเท่าไหร่หรอก มีไม่ถึง ๑๐ เพลง) กำกับโดย Emilio Martínez-Lázaro

จัดเป็นหนังที่ดูสบาย ประเด็นไม่ลึกลับซับซ้อนชนิดที่ดูรอบนึงแล้วยังอยากดูซ้ำอีกหลายๆ รอบ เพื่อเก็บตกสารที่ผู้กำกับแนบมาในหนัง อย่างกะหนังของพี่ Pedro Almodóvar หยั่ง Volver, Hable con Ella (Talk to Her) ซึ่งก็ดีสำหรับการคลายสมองฮะ

หนังเล่าถึงความคันหัวใจของคู่รักที่เป็นเพื่อนกันสองคู่ ที่ฝ่ายชายของคู่แรก(ฆาเบียร์) กับฝ่ายหญิงของคู่หลัง(เปาลา) เกิดมาปิ๊งกันเข้า พาลให้รู้สึกว่า “เบื่อ” คนที่คบอยู่ด้วยจัง เธอ (เขา) ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของเรานี่นา ฯลฯ

ระหว่างที่ลักลอบมาคุยกัน(บนเตียง)ก็เลยนัดแนะกันบอกเลิกกะคนของตัวเอง

ฝ่ายหญิงใจเด็ดกว่า ตัดสินใจทิ้งผู้ชายของตัวเองก่อน ในขณะที่ฝ่ายชายยังกั๊ก ...ก็ซอนญาแฟนเขาสวย หวาน แล้วก็มีอารมณ์ขันขนาดนั้น (ก็ระดับ Paz Vega น่ะฮะ-ใครเคยดู Lucia y el Sexo คงเข้าใจดีนะ) แต่ยัยกิ๊กก็แสนจะอวบอั๋น เด้งดึ๋ง เย้ายวน จนแทบจะหยุดใจไว้ไม่ได้ ก็เลยอยากกั๊กเอาไว้อย่างนี้ก่อนอะ ใครจะทำไม

ไม่มีใครในกลุ่มเพื่อนรู้ว่าเปาลา กะฆาเบียร์ กะลังลักลอบมีความสัมพันธ์กัน ในกลุ่มเพื่อน ทุกคนอยู่ในภาวะรับรู้ว่า เปาลาทิ้งเปโดร และฆาเบียร์กะซอนญาก็กำลังทำหน้าที่เพื่อนที่ดี คือปลอบใจเปโดร

ระหว่างที่หนุ่มๆ เขาปลอบใจกัน มีคำพูดของราฟา เพื่อนในกลุ่มที่จัดเป็นตัวแทน(โดยเฉพาะในแง่ของทัศนคติ)ของผู้ชายโฉดๆ กลุ่มนึงในสังคม (สังคมบ้านเรา อิฉันว่าก็มีฮะ) ตาราฟาประกาศกะเพื่อน เหนือแก้วและขวดแอลกอฮอล์บนโต๊ะว่า ที่ประเทศชาตินี้(สเปนฮะ)มีปัญหา เพราะประชากรไม่เคยอิ่มเซ็กซ์!

“ดูอย่างคนคิวบาซิ เขาอดมื้อกินมื้อกันขนาดนั้น ทำไมเขายังมีความสุขกันดี” ราฟาตั้งคำถาม
“ก็เพราะเขามีเซ็กซ์อย่างที่ใจอยากไง ฉันไม่เห็นเขาทำอะไรเลยนอกจากมีเซ็กซ์ แล้วก็เต้นรำ”

ว่าแล้วราฟาก็โอ่ว่า ที่ผู้หญิงทิ้งเปโดรไป เพราะเขาดีกะเธอมากไป ผู้หญิงนะ ไม่ชอบให้เราใจดีด้วยนักหรอก ร้ายใส่เธอเข้าไว้ เธอจะรู้สึกเร่าร้อน ตื่นเต้น และติดใจเรา อีตาราฟายังสอนเพื่อนไม่ให้ทำตัวเป็นเด็กดี อยู่ในอาณัติแฟน แกแนะเพื่อนให้มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นให้มากเข้าไว้ แล้วจะไม่เบื่อแฟนของตัวเอง

ตอนที่แกพูดนั่นแกะพูดอย่างอหังการ์ ถ้าอิฉันนั่งอยู่ในวง ก็คงถูกน้ำลายแกกระเซ็นใส่หน้าบ้างหรอก แต่เกิดอะไรขึ้นกับคนปากกล้าละคะ ต่อมาแกก็ถูกทิ้งไง แฟนที่แกเชื่อว่า "แน่เป็นแช่แป้ง" ทิ้งไปคบกับเพื่อนอีกคนในกลุ่มซะ สะใจก็สะใจ ขำก็ขำ อีตอนดูแกร้องไห้นั่นน่ะ

ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็เบาสมองดี
แต่ไม่วายได้ปัญหามาขบคิดต่อฮะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าสถานการณ์นี้เกิดกับตัวเองแล้ว อิฉันจะตัดสินใจยังไง ระหว่าง

๑. ขอเลิกกะแฟนตัวเองก่อน แล้วถึงไปคบกับ(อดีต)แฟนเพื่อน ที่ก็ขอเลิกกะเพื่อนเราแล้ว
(เรียกว่าแฟร์กะคนที่คบกันมามากจนยอมเสี่ยง เพราะยังไม่รู้เลยว่าจะคบแฟนเพื่อนรอดไม่รอด)

๒. (แอบ)คบควบๆ ไปจนมั่นใจว่าอยากเป็นแฟนกะแฟนเพื่อนจริงๆ ถึงลงมือขอเลิก
(อันนี้เรียกเห็นแก่ตัวสินะ)

๓. ไม่องไม่เอามันหรอก จะทิ้งแฟนก็ใจไม่ถึง จะคบอดีตแฟนเพื่อนให้ออกหน้าออกตาก็ไม่หาญพอ
(แบบนี้จะเรียกว่าเสียสละก็ึคงไม่ใช่อีก สงสัยจะต้องสรุปว่า ป๊อดดดดด)

นอกจากนี้ ถ้าเกิดในที่สุดเราทั้งสองคนเกิดตัดสินใจกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่า แล้วอิฉันกับแฟน และเพื่อนกะอดีตกิ๊ก จะยังมองหน้ากันติดไหม คบกันสนิทใจได้เหมือนเดิมไหม?

และจะเป็นไปได้ไหม ถ้าเราทุกคนจะกินน้ำพริกถ้วยเก่าเป็นหลัก แต่หันไปเพิ่มรสชาติด้วยการซดต้มโคล้งปลากรอบยอดมะขามอ่อนเป็นครั้งคราว?



บันทึก
• มีความรู้สึกว่าหนังสเปนมันจะมีเสน่ห์ของมัน รูปแบบการใช้ชีวิตของคนสเปนด้วย
• มันเป็นหนังสเปน ท่าเต้น และการมุมกล้องในการนำเสนอเลยเป็นสเป้น-สเปน (ตอนนี้ยังบรรยายไม่ถูกนะ)
• ไม่อาจเรียกว่าเป็นหนังที่ประทับใจม้ากกกกกกก-มาย แต่ดาวที่ให้เนี่ย ขออุทิศให้ “นม” น้อง Paz Vega เป็นการโดยเฉพาะ (จะเรียกว่าเป็นนมแบบในอุดมคติของพี่ก็ได้นะฮะ น้องโอ๊ต)
• มีประโยคนึงที่ฆาเบียร์บอกซอนญา เมื่อตอนเปาโลซมซานมาหาว่า “ความสัมพันธ์มันไม่เหมือนเครื่องซักผ้านะที่รัก มันซ่อมไม่ได้”....ซึ่งไม่รู้ว่าจริงไหม


ว่าด้วยตีนเป็ดน้ำ


ต่างกะดอกตีนเป็ด (สัตบรรณ) ลิบลับเลย

ดมดูไม่เห็นหอม อาจจะหอมเวลาอื่น แต่คงไม่มาก

ต่างกับตีนเป็ดที่เวลาออกดอก ดอกเค้าจะยิบๆๆๆๆ ออกสะพรั่งทั้งต้น แ้ล้วก็ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปไกลเชียวล่ะ

ดูรูปดอกตีนเป็ดได้ที่นี่ฮะ (ขออนุญาตเจ้าของแระ)
http://janejane11.multiply.com/photos/album/40/40


ศุกร์ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๒

อย่างที่บางคนทราบแล้ว
เมื่อวันศุกร์ อิฉันข้ามเขตไปถึงบางขุนเทียน ไปหาข้อมูลที่โรงเรียนทวีธาภิเษก ๒
อากาศร้อนมาก กระหายน้ำ+หิวข้าวแทบเป็นลม
พออิ่มท้องหน่อยถึงตาสว่าง
มองไปก็เห็นต้นไม้เขียวๆปลูกอยู่ริมบ่อ

เอ...นั่นมัน ตีนเป็ดน้ำนี่นา
เห็นต้น เห็นใบ เห็นดอก ยังไม่แน่ใจเท่าเห็นลูก

นี่แหละ ตีนเป็ดน้ำเป็นแบบนี้
ไม่เหมือนสัตบรรณ (ตีนเป็ด-ไม่มีอะไรสร้อยห้อยท้ายชื่อ) นะฮะ

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

มื้อนี้แค่ยี่สิบ


ไข่ดาวน่ากิ๊นนนน น่ากิน

จานนี้แค่ ๑๕ บาทเท่านั้น
ขนาดพอดีกระเพาะเด็ก

ศุกร์ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๒

วิบากกรรมนำพา
มีอันต้องนั่งรถเมล์จากอ่อนนุช ไปตั้งต้นที่แยกบางนา ขึ้นทางด่วน ไปลงเซ็นทรัลพระรามสองแล้วต่อรถสองแถว
นั่งปุเลงๆ ไปบนถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล ที่ฝุ่นคลุ้งเพราะยังทำไม่เสร็จ
นั่งตั้งนานก็ยังไม่ถึง จนคนบนรถบอกให้ลงไปต่อรถคันอื่นได้ เพราะรถคันนี้จะเลี้ยวแล้ว

ก็ลงไปยืนรอรถสองแถวอีกสาย บนถนนที่ยังทำไม่เสร็จนั่นแหละ
รอกลางแดด จนรอไม่ไหว เลยเรียกแท็กซี่
ทั้งที่ตอนแรกกะไม่เรียก เพราะเรากำลังจะไปที่ที่ไม่รู้จักมาก่อน กลัว
แต่มันร้อนมากกว่ากลัวแล้ว

ที่ไหนได้ คุณลุงคนขับน่ารักมาก ท่าทางแกจะเป็นคนบางขุนเทียน
นอกจากแนะนำที่เที่ยวเราแล้ว ยังถามอีก เคยไปดูหรือยัง ปลาโลมา

"ยังค่ะ เป็นโลมายังไง แบบว่าเค้าเลี้ยงไว้โชว์หรอคะ?"

"โฮ๊ยยยยยย ไม่มีหรอก นี่โลมาจริงๆ เลย ต้องนั่งเรือออกไป เช่าเรือนะ
แล้วเวลาจะให้อาหารก็เอามือตีน้ำแบบนี้ เราก็เอาปลาให้มันกิน ฯลฯ"

น่ารักไหมล่ะ?

ลุงพามาส่งที่โรงเรียนทวีธาภิเษก ๒ บนถนนบางขุนเทีียน-ชายทะเล ประมาณกิโลเมตรที่ ๙ นับจากพระรามสอง ต้องแยกจากถนนใหญ่ อ้อมไปตามขอบบ่อกุ้งอีกประมาณกิโล โดยไร้เงาไม้ใหญ่

เฮ่อ ชีวิตของข้าพเจ้า

ไปถึงแล้วก็ให้รู้่ว่าโชคดีมาก โรงเรียนกำลังมีงานพอดีเลย
ก็ถ่ายๆๆๆๆๆ รูป เท่าที่จะคิดออกว่าควรจะถ่ายอะไร

แล้วก็หิวสิคะ คุณผู้ชม
บ่ายเข้าไปแล้วนั่น ที่จริงกระหายมากกว่าหิวอีก
โชคดีที่โรงอาหารไม่ปิด วันนี้เลยโชคดี ได้บริโภคอาหาร ราคานักเรียน

ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว ๑๕ บาท (โอ้วแม่เจ้า ราคานี้ยังได้กำไรใช่ไหม?)
น้ำดื่มอีก ๕ บาท (ทำไมข้างนอกขายราคานี้ไม่ได้)
อิ่มคาวแล้วยังมีไอศกรีมเนสต์เล่อีก ครบเครื่อง

ให้สำนึกบุญข้าวแดงแกงร้อนยิ่งนัก

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

มีรูปเรือมาฝากพี่เทพ


ในแม่น้ำป่าสัก

ไปพักที่เรือนคุณพระ เกาะเมืองอยุธยาเมื่อปีที่แล้วฮะ


^_^

เจอตอนเคลียร์การ์ดฮะพี่

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

แตกต่าง แต่ก็ดึงดูดกัน (ชิมิ?)




แอบคันใจเล็กน้อยกับอัลบั้มใหม่ของวนกร
(http://vanakorn.multiply.com/photos/album/70/Fwd_Thx_god_ure_a_man)
เคลียร์อีเมล์วันนี้ เลยคิดว่าน่าจะเอารูปพวกนี้มาให้ดูกันมั่ง

จากใจคนไม่้เสียใจที่เกิืดเป็นผู้หญิง
แล้วก็ไม่ได้เกลียดผู้ชาย
แต่บางทีก็อดรำคาญไม่ได้นะฮะ

ตักบาตรหนังสือ

Start:     Feb 6, '09 08:00a
Location:     หน้าอาคารอัมรินทร์พลาซ่า สี่แยกราชประสงค์
[ข่าวนี้มีคนส่งมาให้ เลยนำมาบอกต่อ เผื่อมีคนสนใจ]


แปดโมงเช้าถึงเก้าโมงครึ่ง วันศุกร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์นี้ จะมีการ "ตักบาตรหนังสือดี" ที่หน้าอัมรินทร์พลาซ่า สี่แยกราชประสงค์

งานนี้จะมีพระวิปัสนาจารย์จากทั่วประเทศราว ๑๕๐ รูป เดินทางมารับบิณฑบาตรหนังสือธรรมะ และยารักษาโรค หลังจากนั้นท่านจะร่วมสวดมนต์บูชาพระบรมสารีริกธาตุ-พระหทัยธาตุ ซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา มาประดิษฐาน ณ หอประชุมพุทธคยา ชั้น ๒๒ อาคารอัมรินทร์พลาซ่า

จึงขอบอกบุญมาโดยทั่วกัน



หมายเหตุ
-ว่ากันว่า ถวายหนังสือธรรมะเพียงเล่มเดียว มีอานิสงส์เท่ากับสร้างพระหลายหมื่นองค์
-เห็นว่างานนี้ นอกจากหนังสือธรรมะแล้ว จะนำยารักษาโรคมาใส่บาตรด้วยก็ได้นะฮะ
-การตักบาตรหนังสือดีครั้งต่อไปจะมีขึ้นในสายๆ วันพฤหัสบดีที่ ๗ พฤษภาคมนี้ (เนื่องในวันวิสาขบูชา), อังคารที่ ๗ กรกฎาคมนี้ (เนื่องในวันเข้าพรรษา) และ วันจันทร์ที่ ๕ ตุลาคมนี้ (เนื่องในวันออกพรรษา)

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

คลอดทีละครอก!!!

พุธที่ 28 มกราคม 2552

ฟังสรยุทธ์เล่าข่าวนี้

มาอ่านอีกทีในไทยรัฐออนไลน์ แล้วก็มีคำถาม


1. 8 คนนี้ เกิดจากการร่วมรักครั้งเดียว หรือหลายครั้ง (เหมือนหมา)

2. ท้องแม่จะใหญ่แค่ไหนเนี่ย (แล้วนมจะใหญ่ขึ้นมากกว่าปกติเพื่อให้เพียงพอกับเด็ก 8 คนไหม)

3. แล้วลูกตะละคนล่ะ จะเล็กเท่าลูกแมวเลยไหม? คลอดก่อนกำหนดได้อีกนะ

4. จะเอานมที่ไหนกิ๊น

5. คนเป็นพ่อจะดีใจไหม?

6. แล้วแม่ล่ะ

7. ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะเรา เราจะทำไงฟะ???


หมองงแม่มะกันเบ่งแฝด 8 [28 ม.ค. 52 - 03:52]

สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันจันทร์ 26 ม.ค.ว่า หญิงสาวชาวอเมริกันไม่ เปิดเผยชื่อคลอดลูกแฝด 8 คน เป็นเพศชาย 2 คน เพศหญิง 6 คน นับเป็นรายที่ 2 ของสหรัฐฯ ขณะที่เอพีอ้างว่าเป็นรายที่ 2 ของโลก ทั้งนี้ ดร.ฮาโรลด์ เฮนรี หัวหน้าแผนกทำคลอดประจำศูนย์การแพทย์ไคเซอร์ เพอร์มาแนนท์ เบลล์ฟลาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่ ห่างจากนครลอสแอนเจลิสไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 27 กม. เผยว่า ทีมหมอเองก็ไม่คาดคิดว่าจะมีถึง 8 คน เพราะก่อนหน้าทราบว่าเป็นแฝด 7 คน เพราะเฝ้าดูอาการตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก และเตรียมตั้งชื่อชั่วคราวเป็นตัวอักษรเอ-จีเท่านั้น ทั้งนี้ คุณแม่เริ่มเบ่งลูกคนแรกเวลา 10.43 น. กระทั่งคนสุดท้ายเวลา 10.48 น. ตามเวลา ท้องถิ่น ต้องใช้เจ้าหน้าที่ 46 คนกับห้องทำคลอด 4 ห้อง 

ข่าวระบุ เด็กแฝด 8 คลอดก่อนกำหนด 9 สัปดาห์ มีน้ำหนักระหว่าง 680 กรัม- 1.474 กก. ทารกแรกเกิด 2 คนอยู่ในตู้อบ ส่วนอีกคนต้องอาศัยเครื่องออกซิเจนช่วยหายใจ คาดต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 2 เดือน ขณะที่คุณแม่ลูกดกอาจกลับบ้านได้ในอีก 1 สัปดาห์ พร้อมเผยตั้งใจให้นมบุตรทั้งหมดเอง อย่างไรก็ดี ทางโรงพยาบาลไม่สามารถให้ข้อมูลรายละเอียดใดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทานยา บำรุง ซึ่งมีโอกาสคลอดลูกหลายคนได้ อนึ่ง เหตุการณ์การคลอดลูกแฝด 8 คน เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส เมื่อปี 2541 จากครอบครัวชาวไนจีเรีย แต่เสียชีวิตคนหนึ่งในสัปดาห์ต่อมา และเพิ่งฉลองวันเกิดครบ 10 ขวบเมื่อเดือน ธ.ค.ปีกลาย.

จากไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.com/news.php?section=international&content=121053

หม้อนี้แด่เพื่อน


แต่ระวังฝาจะแตกนะฮะ

หม้อนี้มันหนักอยู่


พุธที่ 28 มกราคม 2552

คุยกันเมื่อวาน
เกรงเพื่อนจะนึกไม่ออกว่าหม้อที่จะเอาไปให้นั้นมีสภาพอย่างไร
วันนี้ หลังจากโปรแกรมเช้าย่อยยับไปเพราะการนอนตื่นสาย

ไหนๆ ก็สายแล้ว

สายอีกนิดละกัน (หัวหน้าไม่อยู่) ถ่ายภาพมาให้เพื่อนดูดีกว่า

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

คำถามที่ ๑


แมลงวันตัวหนึ่ง
ติดอยู่ในลิฟต์..ไฮโซน
ภายในวันเดียว
 มันขึ้น..และลง
ขึ้น..และลง ไปพร้อมลิฟต์ตัวนั้น

มีเพียงมัน ที่ได้ขึ้นถึงชั้นสูงที่สุด
แล้วลงมายังชั้นต่ำที่สุด
มากรอบขนาดนี้
 
มันผ่านไปยังชั้นที่มีการรักษาความปลอดภัยระดับสุดยอด
ผ่านชั้นที่มืดมิด เงียบเหงา ไร้ผู้อยู่อาศัย
และชั้นที่สว่างไสวด้วยแสงไฟแห่งชีวิตชีวา

แต่...มันก็ไม่ออกมาเสียที

จะต้องขึ้น..และลงอีกกี่ร้อยรอบ
มันจึงจะเลือกได้สักชั้น
ที่ที่มันจะได้หยุด
ขึ้น...และลง

?


ร้านทองเคยหยุดตอนตรุษจีนซะที่ไหน!!!


ฟังข่าววันนี้

อเมริกันเอ็กซ์เพรส อเมริกา ประกาศผลประกอบการปีก่อน

ตัวเลขลดลง 70 กว่า เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์

ซวยละสิเรา...ไหนจะข่าวข้างล่างนี้อีก

ตั้งแต่เกิดมาตรุษจีนเมื่อไหร่ มีแต่คนจะไปซื้อทอง

ไหงปีนี้ร้านทองปิดหนีขาดทุนซะได้?



ร้านทองฉวยตรุษจีนปิดหนีขาดทุน [27 ม.ค. 52 - 05:53]

นาย จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ยังคงผันผวนต่อเนื่อง โดยทองแท่งซื้อบาทละ 14,500 บาท ขายบาทละ 14,600 บาท ทองรูปพรรณซื้อบาทละ 14,295 บาท ขายบาทละ 15,000 บาท ตามตลาดโลกที่มีการซื้อขายทองคำล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และหยุดตรุษจีนของตลาดเอเชีย โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ซื้อเพื่อเก็งกำไร และลงทุน 

“ความผันผวนราคาทองคำในช่วงนี้ ประกอบกับเป็นช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และหยุดตรุษจีน ทำให้ตลาดทองคำในไทยไม่มีราคาอ้างอิง จึงกลัว ถูกข้อครหาจากประชาชน ทำให้สมาคมค้าทองคำ ร้านค้าทองในย่านเยาวราช ต้องประกาศหยุดการซื้อขายทองคำ 2 วัน คือวันที่ 26-27 ม.ค.52 ถือเป็นครั้งแรกที่หยุดขายในช่วงตรุษจีนและเป็นประวัติศาสตร์ที่ทำธุรกิจมา หากยังดันทุรังเปิดขาย ทั้งที่ไม่มีราคาอ้างอิง อาจโดนทั้งขึ้นทั้งล่องแน่ๆ และอาจขาดทุน หากเปิดซื้อขายในวันที่ 28 ม.ค.นี้ อาจขายถูกกว่าราคาตลาด”

 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับวันศุกร์ที่ 23 ม.ค. ราคาทองคำในตลาดไทยปรับขึ้นบาทละ 450 บาท แต่เฉลี่ยทั้งสัปดาห์ปรับเพิ่มขึ้นบาทละ 950 บาท ซึ่งถือว่าสูงมากจนน่าตกใจ ขณะที่ต่างประเทศเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ซื้อขายอยู่ที่ 998 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งตลาดทองคำทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเป็นอย่างไร จะผันผวนมากน้อยแค่ไหน  คงต้องรอดูวันที่ 28 ม.ค. อีกครั้งหลังตลาดทองคำเปิดการซื้อขาย

 นายจิตติกล่าวยอมรับว่า ตรุษจีนปีนี้ไม่มีคนซื้อทองคำเพื่อแจกเป็นอั่งเปาเลย แต่กลับแห่นำทองคำที่เคยซื้อเก็บและเก็งกำไรออกมาขายเป็นจำนวนมาก หลังพบว่าราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและภายใน 1 สัปดาห์ ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงบาทละ 950 บาท โดยเฉพาะในย่านเยาวราชวันที่ 24 ม.ค. วันเดียวมีมูลค่าสูงกว่าพันล้านบาท.

อ่านข่าวดั้งเดิมได้ที่นี่ฮะ http://www.thairath.com/news.php?section=economic&content=120914


วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552

Waiting in the Dark : ありがとう

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

คนตาบอดจะใช้ชีวิตอยู่โดยลำพังได้ไหม?
...ถ้าเป็นคนไทยล่ะ ไม่-มี-ทาง
แต่แล้วถ้าคนตาบอดคนนั้นเป็นคนญี่ปุ่น อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นล่ะ
หนังเรื่องนี้ให้คำตอบว่า ‘ได้’ นะ..แต่เหงาไหมนั้น เป็นอีกประเด็นจ้ะ

หนังเรื่องนี้นำเสนอชีวิตคนเหงาสองคน คนนึงคือ มิชิรุ (ทานากะ เรนะ) เด็กสาวตาบอดที่ไม่ได้บอดมาตั้งแต่กำเนิด ชีวิตค่อนข้างน่าสงสารเพราะแม่ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก ให้อาศัยอยู่ในบ้านหน้าสถานีรถไฟกับพ่อ พ่อก็ดีแหละ แต่มามีอันตายจากในวันที่เธออายุครบยี่สิบพอดี
คนญี่ปุ่นจะบรรลุนิติภาวะและเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุ ๒๐ มิชิรุยืนกรานที่จะอยู่เพียงลำพังต่อไปในบ้านของเธอ เธอว่าที่นั่นมีความทรงจำของเธอ เธอว่าเธออยู่ได้ ด้วยเงินประกันชีวิตของพ่อ และด้วยความช่วยเหลือจาก คาซึเอะ เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่วัยประถม
..จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะบ้านคือความทรงจำหรอก แต่เพราะบ้านหลังนี้คือโลกของเธอ เธอกลัวที่จะออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ก็เลยเลือกที่จะโดดเดี่ยวตัวเอง อยู่อย่างปลอดภัยในโลกของตัวเอง
ซึ่งเธอก็อยู่ของเธอได้จริงๆ มีออกไปข้างนอก ไปซื้อของ กินข้าวนอกบ้านบ้าง ก็ภายใต้การดูแลของคาซึเอะผู้แสนดี ผู้มีชีวิตมีสีสัน มีความฝันเหมือนกับคนปกติทั่วๆ ไป

คนเหงาอีกคนคือ อากิฮิโระ (เฉินป๋อหลิน) เขาคนนี้โดดเดี่ยวตัวเองจากสังคม เพราะรู้สึกว่าตัวเองแปลกแตกต่างจากคนอื่น สาเหตุสำคัญคือเพราะเขาเป็นลูกครึ่งจีน คนญี่ปุ่นนั้น ชาตินิยมมากๆ ลูกครึ่งที่ไม่ได้เกิดและโตในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นไม่ถือเป็นคนญี่ปุ่นด้วย การถูกคนอื่นเรียกลับหลังว่าเป็นคนจีนก็ส่วนหนึ่ง แต่อิฉันคิดว่าส่วนสำคัญคือเขาไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากพอ มั่นใจในตัวเองมากพอ ที่จะคบกับคนอื่น (โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน) มากกว่า ก็เลยต้องมาเหงาแบบนี้
อากิฮิโระมีปัญหาในที่ทำงาน มีคนคนนึงแกล้งเขา ที่ระแวงอยู่แล้วเลยระแวงมากขึ้นจนเกือบประสาท จนวันนึงเขาพบผู้ชายคนนั้นยืนริมชานชาลารถไฟ (หลังบ้านมิชิรุไง) รถด่วนกำลังจะวิ่งผ่านสถานี และเขาก็อยากจะ...

ผู้ชายคนนั้นตาย ก็คงถูกทับเละน่ะ อากิฮิโระหนีเข้ามาอยู่ในบ้านของมิชิรุ ตอนแรกใครๆ คงคิดเหมือนอิฉันว่ารู้ว่าผู้หญิงที่อยู่คนเดียวในบ้านนี้ตาบอด เลยมาซ่อนตัว แต่ตอนหลังรู้ว่าการแอบอยู่ริมหน้าต่าง แอบมองไปที่สถานีรถไฟอยู่เรื่อยๆ นั้น เป็นการมองหาบางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่แค่มองว่าตำรวจไปหรือยัง
คงสงสัยใช่ไหม ว่าคนตามองไม่เห็นแต่หูดี และมีประสาทสัมผัสเป็นเลิศอย่างมิชิรุไม่รู้เลยหรอ ว่ามีมาอยู่ในบ้านด้วย มากินด้วย ไม่ใช่แค่นั้น แต่ต้องทั้งฉี่ อึ ไหนจะกลิ่นตัว (ปู้จาย) ที่ไม่ได้อาบน้ำอีก
เธอก็สงสัยอยู่ แต่คิดว่าเป็นผี (เด็กคนนี้คิดถึงพ่อนะ อย่าลืมสิ) แต่ดูเหมือนไม่มีปัญหากับเธอ เพราะถ้าใครคนนั้นมีจริง เขาก็ไม่ได้เบียดเบียนอะไรเธอ ของทุกสิ่งในบ้านยังอยู่เหมือนเดิม
จนวันนึง เขาคนนั้นได้ช่วยเธอไว้จากอุบัติเหตุ มิชิรุถึงได้เริ่มทำอาหารสำหรับ ๒ คน

ข้างคาซึเอะ เห็นมิชิรุแทบจะขังตัวเองอยู่ในบ้านก็ชักห่วง ถ้าวันนึงเธอไม่มีโอกาสได้ดูแลเพื่อน แล้วเพื่อนจะใช้ชีวิตอย่างไร เลยอยากให้เพื่อนฝึกช่วยตัวเองในการออกมานอกบ้านบ้าง ออกมาสัมผัสกับชีวิตชีวา ความสนุกสนานของโลกภายนอกบ้าง แต่เพื่อนก็ยืนกรานว่าโลกภายนอกไม่มีอะไรน่าสนใจ (ที่จริงเพราะเธอเคยลองแล้วแต่ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีเลย) มิชิรุบอกคาซึเอะว่า “ถ้าฉันออกไปข้างนอกคนเดียว จะไปขวางทางทุกคน"
ความดื้อของเพื่อนทำให้คาซึเอะโกรธ ถึงกับซาโยนาระ (ลาก่อน-ลาเฉยๆ เค้าไม่พูดคำนี้จ้ะ) และไม่รับโทรศัพท์ แต่เพราะคาซึเอะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลก มิชิรุจึงตัดสินใจจะไปหา ไปคุยด้วย แต่ก็กลัว กลัวมาก จะเปิดประตูออกจากบ้านยังไม่กล้า
อากิฮิรุคงทนไม่ไหวแล้ว ก็เลยจูงออกมา เดินไปเป็นเพื่อน คอยให้กำลังใจเงียบๆ จนถึงหน้าบ้านคาซึเอะ มิชิรุบอกว่าเธอเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดี แล้วถอดโค้ตของพ่อที่เธอเอามาใส่ (คงเพราะคิดถึงน่ะ) ให้อากิฮิรุ เพราะเชื่อว่าเขาจะหนาว บอกว่าไม่ต้องห่วงตัวเอง เดี๋ยวยืมเสื้อเพื่อนใส่ได้ แล้วก็ให้กลับไปรอที่บ้าน เพราะเดี๋ยวเพื่อนคงไปส่ง แต่ถ้าเพื่อนไม่ไปส่ง ก็คิดว่ากลับเองได้แล้ว

เมื่อต่างคนต่างได้รับการมองเห็นจากอีกฝ่าย ทำให้คนสองคนเริ่มรู้สึกถึงการมีตัวตนของตัวเอง มิชิรุกล้าพอจะไปหาคำตอบกับเรื่องที่เธอสงสัย แล้วก็กล้าที่จะไขปริศนาทั้งหมด และเธอก็ช่วยเขาได้ในที่สุด

ตอนจบของเรื่องเกิดขึ้นในสวนสาธารณะ เป็นตอนที่ไดอาลอกที่สวยที่สุด

อากิฮิโระ : ฟังนะ.. มันเหมือนดอกไม้ที่เริ่มบานช่วงใบไม้ผลิ..
ถึงแม้ว่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ
ผมก็ปรารถนาให้พวกเราและทุกอย่างได้ผลิบานเต็มที่
เพราะฉะนั้น...

มิชิรุ: ขอบคุณนะ
ตอนนี้ฉันมั่นใจ
ฉันจะผลิบานอย่างเต็มที่
ฉันเชื่ออย่างนั้น

อากิฮิโระ: ขอบคุณนะ

ชอบน้ำเสียง ありがとう(อาริงาโต-ขอบคุณ) ของทั้งสองเสียจริง




บันทึก:
• เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องที่ดีมาก เขียนบทก็ดีมากด้วย
• น้องนางเอกหน้าตาเรียบๆ แต่น่าัรัก น่ามองมากๆ ส่วนพระเอกก็ดูจี๊น-จีน
• การดูหนังญี่ปุ่นเป็นการทบทวนบทเรียนที่เจ๋งจริงๆ โดยเฉพาะหนังที่พูดช้า ชัด ใช้แสลงน้อยๆ สบถน้อยๆ แล้วก็ใช้ประโยคที่มีโครงสร้างแบบหนังเรื่องนี้
• (ความช้าของหนังทำให้อิฉันดูได้ clear+smooth ด้วย ..ก็การ์ดจอมันตามไม่ทันโปรแกรมที่ใช้ดูหนังแล้วอะสิ)
• ซับไตเติลภาษาไทยหนังเรื่องนี้ดีมากๆ น่าสรรเสริญจริงๆ (แหม๋ อยากให้เค้ามีซับฯ ภาษาญี่ปุ่นให้ด้วยจัง)
• หนังเรื่องนี้ไม่มีเสียงอึกทึก (ดีกับประสาทหู) แต่เสียงทุกเสียงในหนังบอกบางอย่างกับคนดูตลอดเวลา
• ถ้าใจอยู่กับหนัง เราจะได้ยินกระทั่งเสียงคลี่ยิ้ม
• หนังเรื่องนี้แบ่งเป็นสามองก์ บางคนจะดูหนังเรื่องไม่จบ เพราะทนความเหงาในสององก์แรกไม่ได้
• อยากบอกเขาคนนั้นว่า ถ้าดูไปจนถึงองก์สุดท้าย น้ำตาเขาอาจไหลได้
• แต่น้ำตานั่น มันไหลออกมาเพราะคนสองคนในหนังไม่ได้เหงาอีกต่อไปแล้วน่ะสิ







วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

เด็กคือผู้มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ


เด็กก็งี้แหละฮะ
ใส
ในใจไม่มีขั้นตอนมาก ไม่ซับซ้อน
หิวก็กิน ง่วงก็นอน ไม่โกรธใครนาน
ไม่คิดซับซ้อนที่จะทำร้ายหรือรังแกใคร
ไม่พูดให้ร้าย
โกรธกันก็ตีกันซึ่งๆ หน้าไปเลย

ที่จริงก็ดีนะฮะ

เก็บตกรูปงานวันเด็กที่แพร่งภูธร เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ มกราคมที่ผ่านมา
เนื่องเห็นอัลบั้มวันเด็กของเพื่อนแล้วอิจฉา
อยากอัพของเรามั่ง

มีไรมะ?

อยู่ไหนไม่อุ่นใจเหมือนบ้าน : วันหมอกหนา




เสาร์ที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๒

ขอบคุณสวรรค์ที่ตื่นเช้า เลยรู้ว่าเช้านี้มีหมอกหนาปกคลุมท้องฟ้าเป็นวันที่สอง
เมื่อวานหมอกก็ทำให้หม่นไปทีแล้ว แต่แปดโมงแล้วแดดก็ออก
แต่วันนี้แปลกแท้ แปดโมงกว่าแล้ว ทัศนวิสัยยังมีแค่นี้

ดีจังที่ไม่มีธุระต้องขับรถขับเรือหรือนั่งเครื่องบินออกไปไหนไม่งั้นคงจะวุ่น
(เอาน่า อย่างน้อยวันนี้อยู่บ้าน ยังกลับไปนอนต่อได้นินะ)



ป.ล. พระอาทิตย์มีเดตหรือมีใครแอบปล่อยหมอกพิษกันคะ?





วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

ปริศนา





"ตายได้ไง?"

คือคำถามที่ถามกับมั่งเมื่อเห็นศพปลาตัวนี้
จุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากริมบึงราว ๑๐ เมตร

เกิดอะไรกับปลา(ช่อน?)ตัวนี้

มันกระดื้บๆ ขึ้นมาฆ่าตัวตาย
หรือมีคนใจร้าย จับมันโยนขึ้นมาแห้งตายดังที่เห็น

แต่นั่นมันสวนสาธารณะ (สวนสมเด็จพระนางเจ้าฯ) นะ
ใครจะมาจับปลากันได้ง่ายๆ

ปริศนาในการตายของเจ้าปลาก็เลยยังเป็นปริศนาต่อไป

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552

ครัวชลิต




พุธที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๒

ไปเยือนครัวชลิต (เฟื่องอารมณ์) ที่ชั้น ๒ ท็อปส์ มาร์เก็ตเพลส อุดมสุข
ร้านนี้แต่ี่เปิดอยู่ในบ้าน แต่ปิดไป ๑๑ ปี แล้วกลับมาเปิดอีกครั้ง โดยน็อต-วรฤทธิ์ ผู้บุตร
พี่น็อตดูแลร้านนี้เองทั้งหมด
ออกแบบร้านก็ออกแบบเอง ดูแลเรื่องอาหารเอง แล้วก็โปรโมทเอง

อาหารที่นี่อร่อยรสจัด ไม่ใช้ผงชูรส เพราะแม่พี่น็อตไม่กินผงชูรส
ราคากลางๆ ไม่ถูก ไม่แพง
อิฉันติดใจต้มข่าปลาสลิดยอดมะขาม กะโมเดิร์นเรโทรของพี่น็อตอะ

ท็อปส์มาร์เก็ตเพลส อุดมสุข อยู่ในซอยอุดมสุข
ถ้ามาจากสุขุมวิท ผ่านแยกศรีอุดม (ศรีนครินทร์ตัดกะอุดมสุข) ตรงไปแล้วสังเกตซ้ายมือ ถัดจากปั๊มบางจากฮะ

่j u s t - c a l l





Wednesday 21, January 2009

If you wanna call me
then, call me

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552

when (will) I make a home (?)


พุธที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๒

อ่านไทยรัฐออนไลน์วันนี้ เจอไอเดียดี
น่าไปสร้างบ้านแบบนี้ที่บ้านนอก
(อาจไม่ต้องใช้เงินเป็นแสนเป็นล้านในการจะมีบ้านอยู่สบายสักหลัง)

แต่ว่า..
บ้านกระดาษจะโดนปลวกแทะมิ
แล้วถ้าเทียบกะบ้านดิน อะไรจะน่าสนกว่ากันล่ะ?


บ้านกระดาษหนังสือพิมพ์ น้ำหนักเบาประกอบง่ายแถมมีราคาถูก [21 ม.ค. 52 - 00:15]

หนังสือ พิมพ์รายวัน “ไทมส์” ของอังกฤษรายงานว่านายเกิร์ด เนียโมเอลเลอร์ วิศวกรออกแบบ ได้ร่วมกับสำนักช่วยเหลือการพัฒนาและปลูกสร้างเยอรมัน ออกแบบสร้าง “บ้านกระดาษ” ขึ้น โดยได้เรียกบ้านนั้นว่า “บ้านสากลโลก” ทั้งหลังหนักแค่ 800 กก. มีพื้นที่ 36 ตร.เมตร น้ำหนักเบาสามารถประกอบง่าย ไม่ก่อมลพิษกับสิ่งแวดล้อม ทนต่อแรงกระเทือนของแผ่นดินไหวและที่สำคัญกับโลกสมัยนี้ ก็คือมีราคาถูกด้วย

นายเกิร์ตผู้ออกแบบ เล่าว่า “หากไม่คิดฐานรากแล้ว บ้านทั้งหลังจะหนักแค่ 400 กก. แต่มันไม่ถูกลมพัดหอบเอาไปได้ วัตถุก่อสร้างหลักเป็นเซลลูโลสที่ได้จากกระดาษแข็งและกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ ใช้แล้วชุบยางสน 

เขาแจ้งว่า โดยใช้ความร้อนและความกดดันทำให้ กระดาษมีความคงทน บ้านจะใช้ฝาบ้านซึ่งมีลักษณะเหมือนกับรวงผึ้ง และใช้เครื่องพ่นอุดช่องและซอกต่างๆ ทำให้ได้ผนังบ้านที่แข็งแรงและเป็นฉนวนอย่างดี เทคนิคการก่อสร้างแบบนี้ใช้อยู่กับการสร้างเครื่องบินและเรือยอชต์ความเร็ว สูงอยู่แล้ว.


ที่มา http://www.thairath.com/news.php?section=technology&content=120014




วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

peppercorns



ร้านยังไม่เปิดหรอกฮะ
ต้อง ๕ โมงเย็นเสียก่อน




จันทร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๒

ไปทำงานที่ร้าน Peppercorns
เป็นร้านใหม่ อยู่ใกล้แยกเหม่งจ๋าย
ดีใจมาก นานๆ ทีจะได้ไปเปิดซิงร้านใหม่ๆแบบนี้
แถมร้านนี้ทำอาหารอร่อยแท้ๆ
เชฟอายุสัก ๒๕ เอง
เป็นเด็กหนุ่ม ชื่อ "โจ"
น่านับถือมาก เพราะเขาคนนี้ใส่ความคิดสร้างสรรค์ไปในอาหารที่ทำแบบสุดๆ
พี่หมีก็ชอบ เพราะคุณโจจัดแต่งอาหารได้สวยมาก

ใครมีตังค์ กำลังมองหาที่ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง หรือจะชวนแฟนไปเลี้ยง
เชิญได้ที่ Peppercorn มาจากรัชดา เลยซอยสหการประมูล (ซอยสถานทูตลาว) มา ก่อนถึงโรงแรม Jazz ฮะ

โทร. ๐ ๒๑๕๘ ๙๓๘๑

หมายเหตุ
-ลองเลือก Vivid
-หัดใช้วัดแสงแบบ Spot แล้วก็ไม่ได้ปรับสีช่วยแต่อย่างใดเลย
(ช่างมั่นใจในการวัดแสงของตัวเองเสียจริง)
-ค่อนข้างจะคิดว่าตัวเองถ่ายอาหารได้น่าเขมือบมาก
(คนดูน่าจะคิดเหมือนกันนะฮะ)



อยากกลับ(ไปกินข้าว)บ้าน



กับข้าวที่ไหนไม่ถูกปากเหมือนกับข้าวบ้าน

(อยากกินน้ำพริกกะปิปลาทูทอดง่ะ)

บ่ายวันจันทร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๒

ทำงานวุ่นวายอยู่ที่ร้านอาหารใหม่ที่ทำอาหารได้อร่อยมากกกกก

แต่พอเห็นภาพนี้
ไม่รู้ทำไมถึงอยากกลับไปกินข้าวบ้านขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย

คำคม#๑๘




"เราเป็นภรรยาของชายอื่น ท่านรากษส
เหตุใดท่านจึงคิดเรายังเป็นของท่านได้อีกทั้งที่เราเป็นของชายอื่นแล้ว?
และไม่ได้เป็นเพียงในชีวิตนี้ หากยังเป็นตลอดชั่วนิรันดร์
ทั้งในภพภูมิที่ผ่านมาและทุกภพภูมิที่จะผ่านไป
เราเป็นขององค์รามเสมอมา และจะเป็นเสมอไป
ท่านเองมีสตรีมากมายไว้บำรุงบำเรอ ท่านมิได้พยายามซุกซ่อนพวกนางให้ห่างจากสายตาราคะของชายอื่น?
เช่นนั้น ไยท่านมิยินยอมเข้าใจ สามีเราย่อมห่วงใยเราปานใด?
โปรดฟังเราอีกครั้งเถิดทศกัณฐ์ เราจงรักภักดีต่อองค์รามยิ่ง
และจะไม่มีวันทรยศต่อพระองค์เด็ดขาด"



จากอารัมภบท, รามายณะ
ฉบับเมืองโบราณสำนักพิมพ์
โดย ราเมศ เมนอน
แปลโดย วรวดี วงศ์สง่า

คำคม#๑๗





"สีดา มอบกายของท่านให้ข้าเถิด!
ข้าจะรักท่านอย่างที่หญิืงทุกคนทำได้แค่ฝันจะเป็นที่รักของชายเยี่ยงนั้น
สีดา ครองหัวใจของข้าเถิด
ครองร่างกายของข้า และจงเป็นราชินีแห่งพิภพเคียงคู่กับข้า
เราจะเดินคู่กันไปในอโศกวนา
เพียงเราสองคนเท่านั้น
แล้วท่านจะรู้ว่าความสุขที่แท้เป็นฉันใด"



จากอารัมภบท, รามายณะ
ฉบับเมืองโบราณสำนักพิมพ์
โดย ราเมศ เมนอน
แปลโดย วรวดี วงศ์สง่า

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552

ไปยินดีกะเพื่อน ที่เชียงใหม่

Start:     Feb 6, '09 10:00p
End:     Feb 9, '09
Location:     สถานีรถไฟหัวลำโพง
เชียงใหม่ทริปแรกของปี ๒๕๕๒
(จะคอยนับว่าตลอดปี ๕๒ ไปเชียงใหม่กี่หน)

จะไม่ทำอะไรมาก ไม่ไปไหนมาก (ขี้เกียด)

่มี to do list เบื้องต้นดังนี้

-กินข้าวกะจินนี่ ที่เชียงใหม่ภูคำ คืนวันเสาร์ที่ ๗ กุมภาพันธ์
-ไปร้านกาแฟพระจันทร์
-เอาของไปให้น้าชา (ตามเคย)
-หาข้าวซอยไก่อร่อยๆ กิน
-กินสุกี้ลุงสอ
-ช่วยเอ๋ปั้นซอฟต์คุกกี้


บันทึกเรื่องที่ ๘ :..ผู้ชายเขาสอนกันอย่างนี้นี่เอง


อาทิตย์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๒

ช่วงนี้ ก ร อ บ ที่จริงก็ควรเก็บเนื้อเก็บตัว กินให้น้อย ใช้ให้น้อย อยู่กับบ้าน
แต่เมื่อวานดันแร่ดออกไปเต้นระบำอินเดียเสียแล้ว วันนี้จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากอยู่บ้าน

ก็มีความสุขดี ตื่นเช้ามากว่าจะอาบน้ำแปรงฟัน ปาเข้าไปบ่ายสาม
(พวกมี ล-ผ แล้ว จะนึกอิจฉาคนโสดกันมั่งไหมฮะ?)

ดูหนังไป ๒ เรื่อง ซักผ้า รีดผ้า ฯลฯ ทั้งๆ ที่ควรใช้เวลาอันมีค่าไปท่องศัพท์ หัดเขียนคันจิ (นิสัยไม่ดีที่จะเลี่ยงจนเลี่ยงไม่ได้อะฮะ)

ดู Secondhand Lions (2003) เป็นรอบที่สอง
(รู้ว่าดูเป็นรอบที่สอง แต่ไหงจำเรื่องราวเกือบไม่ได้อย่างนี้ล่ะ??)
พบว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังผู้ชาย เค้าเหมือนจะทำให้ผู้ชายดู
ก็ขำนิดๆ กับเรื่องที่ผู้ชายเค้าสอนกันจนอยากจะบันทึกเอาไว้

แต่ก่อนบันทึก ขอเล่าเรื่องคร่าวก่อน จะได้เข้าใจว่าทำไมลุงถึงสอนหลานอย่างนั้น

เรื่องมันเกิดจากคุณแม่ซิงเกิลมัมหลักลอย (หนังอเมริกันมีตัวละครแบบนี้เปรอะไปหมด) ที่หวังอยู่เรื่อยๆ ว่าจะพบรักแท้ จะได้สามีแสนดีสำหรับตัวเอง ซึ่งบางทีจะเป็นพ่อ(เลี้ยง)ที่ดีสำหรับลูกตัวเองด้วย ก่อนจะออกตามความฝัน (ผู้ชายคน) ใหม่ เธอนำลูกชายวัย ๑๔ มาฝากไว้กับพี่ชาย (ใช่หรอ? อายุห่างกันปลายสิบปีเลยนะ) เพี้ยนๆ คู่หนึ่ง พร้อมกำกับลูกว่า ชาวบ้านลือกันว่าลุงทั้งสองหายไป ๔๐ ปี เพิ่งกลับมาอยู่เท็กซัสได้ไม่นาน พร้อมกับเงินเป็นล้าน ซ่อนไว้ตรงไหน ให้ลูกลองหาดู

ลูกนั้นน่าสงสารมั่ก (น้อง Harley Joel Osment-ห่างจาก The Sixth Sense ไปหลายปี เล่นเรื่องนี้ น้องกะลังเสียงแตกเชียว) เพราะแกชินกับคุณแม่ขี้จุ๊ จุ๊อย่างนั้น จุ๊อย่างนี้ เมื่อหนึ่งในลุงเพี้ยน (Michael Caine) เล่าเรื่องการผจญภัยในแอฟริกาให้ฟัง เด็กก็ชักไม่อยากจะเชื่อ ทั้งที่ก็อยากจะเชื่อ เพราะกระหายจะเชื่อเหลือเกิน แล้วก็อยากจะรักลุงสองคนนี้จริงๆ อยากจะเป็นญาติกันจริงๆ เหลือเกิน

ลุงเพี้ยนคนที่เหลือ (Robert Duval) มีแผลใจติดมาจากแอฟริกา ทำให้ชอบเดินละเมอมายืนริมบึงทุกดึกๆ เด็กน้อยตามมาออบเสิร์บหลายคืนเข้า จนในที่สุดก็มาห้ามเอาไว้ ว่าถึงจะคิดถึงคนที่จากไปแล้วแค่ไหนก็อย่าคิดสั้น คิดหนีคนทางนี้ีไป เพราะถ้าลุงไม่อยู่ คนทางนี้ก็คงเจ็บปวดและคิดถึงลุงไม่แพ้กัน

หลานชักงอแง
อยากให้ลุงยืนยันว่าเรื่องที่รู้มาจากลุงเพี้ยนแรกเป็นเรื่องจริง หา่ใช่นิทานหลอกเด็ก (ประมาณว่า ได้โปรดเถอะลุง อย่าหลอกผมอีกเลย) ลุงเพี้ยนคนที่เหลือจึงเริ่มสอนหลาน
ลุงแกว่า...

-เรื่องบางเรื่องเราไม่รู้ว่าแน่ว่าจริงหรือเท็จ แต่มันคือสิ่งที่มนุษย์ต้องยึดมั่นศรัทธา
-คือต้องศรัทธาว่า โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นคนดี
-ต้องศรัทธาในศักดิ์ศรี ความกล้าหาญ และคุณธรรม
-ลาภยศ เงินทองเป็นสิ่งไร้แก่นสาร
-ต้องศรัทธาว่า ธรรมะจะชนะอธรรมเสมอ
-ส่วนในความรักนั้น ลุงอยากให้เธอเชื่อว่า True Love Never Dies

"ที่ว่ามาจะเป็นจริงหรือไม่ ไม่รู้ แต่มนุษย์ควรเชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้
เพราะมันมีคุณค่าต่อการศรัทธา"

ลุงเพี้ยนแกสอนหลานว่า้งั้น






ห้ามไม่ได้ หากดอกไม้จะบาน





บันทึกการเบ่งบานของว่านสี่ทิศ ๒ กอ ในกระถางเดียวกัน
ระหว่าง ๒๔ พฤศจิกายน-๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๑

เก็บภาพเฉพาะยามเช้าบ้าง-สายบ้าง ก่อนไปทำงาน



วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552

Lust Caution : Between Love and Lust

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama
หนังเรื่องนี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงไม่น้อย ในแง่ของการ "เล่นจริง-เจ็บจริง" ของน้องนางเอกคนสวย (ตังเว่ย) และพี่เหลียง (เฉาเหว่ย)

อิฉันเอง เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกที่โรงหนังสยามนั้นกับป้าอ้อย ก็ดูด้วยความไม่รู้อะไรเลย
(มักได้ดูหนังในเครือเอเพ็กซ์โดยไม่รู้อะไรเลยฮะ) แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นนิดๆ กับอะไรที่มันจะ lust-lust แบบที่บอกไว้ในชื่อหนัง

เท่าที่ได้ดูเวอร์ชั่นเอเพ็กซ์ก็ว่า “..แหม๋แรง” แล้ว (สำหรับหนังจีนน่ะ) ออกจากโรงมาป้าอ้อยก็เม้าท์ว่าที่จริงแล้วฉากรักมันโจ๋งครึ่มกว่านี้ แถมยาวนานถึง ๙ นาที อิฉันก็ถึงกะ “...หืมมม์ อะไรนะ?”
หลังจากนั้นอีกอาทิตย์ได้ ป้าก็คุยทับว่า ได้ไปดูเวอร์ชั่นไม่ตัดที่เฮ้าส์ อาร์ซีเอ มาด้วย

อิฉันจึงตั้งปณิธานว่า “ชั้นต้องได้ดูเวอร์ชั่นที่ว่านี่สักวัน..ฮึ่ม”
จากนั้นก็ได้โม้กะพี่เทพผ่านรีวิวหัวข้อไบโอสโคปฉบับเล่นจริงเจ็บจริง พอเจอกัน พี่เทพเลยประทานดีวีดีฉบับ ‘เต็ม-ไม่ตัด’ มาให้อิฉัน

อิฉันก็เลวมาก ได้มาปุ๊บก็ search หา chapter ที่ว่านี่เลย
แล้วก็ถึงกับต้องลูบอกป้อยๆ
...อุแม่เจ้า ของจริงมันเป็นอย่างนี้ชิมิ?

และเมื่อได้ดูดีๆ ตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง อิฉันว่า สาเหตุที่ทำให้ทั้งคุณน้องและคุณพี่ยอมลงทุนเล่นจริง-เจ็บจริงกันนั้น ก็เพราะฉากที่ว่านี่มันมีความสำคัญกับเรื่องจริงๆ น่ะสิ

ขอเท้าความแค่สั้นๆ ละกัน เพราะเชื่อว่าหลายคนคงไม่พลาดหนังเรื่องนี้
เรื่องราวเกิดในเซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง น้องนางเอกและเพื่อนๆ (หนึ่งในนั้นคือ วัง ลี ฮอม) เรียนในมหาลัยในเซี่ยงไฮ้ แต่เซี่ยงไฮ้ถูกญี่ปุ่นยึด (เหมือนหลายๆ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ก็เลยพากันอพยพมาเรียนฮ่องกง ซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอังกฤษ

อุดมการณ์และเลือดรักชาติของคนหนุ่มสาวมันพลุ่งพล่าน (เด็กสมัยนี้จะรู้ไหมยะ?) นักศึกษากลุ่มนี้เลยทำกิจกรรมละครกระตุ้นความรักชาติ ความสำเร็จของละครทำให้เกิดความผูกพันกันขึ้น จากนั้นก็เริ่มคิดการณ์ใหญ่ คิดจะลอบสังหารคุณเย่ (พี่เหลียง) เนื่องว่าเขาเป็นคนจีนที่ขายชาติ เป็นสุนัขรับใช้ญี่ปุ่น..ประมาณนั้น

วิธีการคือ ให้น้องนางเอกปลอมตัวไปตีสนิทกะเมียพี่เหลียง (โจน เชง) เข้าไปในฐานะเมียเหงาๆ ของผัวที่ต้องเดินทางติดต่อธุรกิจอยู่ตลอด ตอนแรกเธอเป็นเพียงขาไพ่นกกระจอก (พวกนั้นคงชอบ เพราะน้องนางเอกมาเล่นทีไร แพ้ตลอด)
จนเมื่อได้สบตากับพี่เหลียงแล้ว ก็มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้น มันคือแรงดึงดูดระหว่างผู้ชายและผู้หญิง

ทีนี้แผนก็เลยต้องเปลี่ยน ให้น้องเค้าไปเป็นชู้ เผื่อจะได้ล้วงความลับ แล้วถ้าจะฆ่าก็จะได้ฆ่ามันบนเตียงเลย ชิล-ชิล

พล็อตมันไม่ใหม่หรอก การให้นางเอกเป็นนกต่อ หวังจะได้ชิดใกล้ สร้างโอกาสสังหารคีย์แมนฝ่ายตรงข้าม ดูเหมือนจะมีสปายหญิงอย่างนี้ทุกสงคราม ทุกภูมิภาค แล้วสปายสาวพวกนี้ก็ไม่เคยทำงานสำเร็จ เพราะจะทำใจฆ่าชู้รักของตัวเองไม่ได้เสียที...น้องนางเอกของเราก็เข้าข่ายเดียวกัน

Passion ที่พี่เหลียงมีต่อน้องนางเอกมันช่างเข้มข้น รุนแรง Lust ของเขาบ่งบอกถึงหลายสิ่งหลายอย่างภายในใจตัวละครตัวนี้ อิฉันว่าเขาเหงา เเขาโดดเดี่ยว ขาเศร้า เขาเครียด และเขาต้องการเพื่อน

ส่วนน้องนางเอก ว่าที่จริงแล้วเธอยังอ่อนหัดกับเรื่องบนเตียง ตอนที่โดนไปครั้งแรก คงทั้งเจ็บแล้วก็ตกใจไม่น้อย แต่นั่นแหละ หน้าที่ของสายลับคือ ซื่อสัตย์ต่อชาติ เธอก็อดทน แล้วก็เรียนรู้ไปกับมัน
ด้วยความหัวไว กับหัวใจผู้หญิงของเธอ ในที่สุดเธอก็อินไปกะมัน

สองคนนี้กลายเป็นคู่ชู้ที่เติมเต็มส่วนที่ขาดหายได้เพี้ยนพิลึกดี
คนนึงมีแรงขับทางเพศจากความเครียด อีกคนมีข้ออ้างว่าทำไปเพราะหน้าที่ แต่แล้วก็ดันหลงรักกัน

สองคนนี้ดึงดูดกันอย่างดูดดื่ม เข้าถึงกันอย่างลึกล้ำ และสื่อถึงกันได้อย่างที่... ทำไมคนเป็นผัวเป็นเมียถึงไม่ Touch กันแบบนี้ (แต่ชู้เป็นวะ?)

อิฉันชอบฉากนั้น ที่พี่เหลียงนัดน้องนางเอกไปที่สถานเริงรมย์เจแปนิสสไตล์แห่งนึง ทุกห้องที่เดินผ่านมีแต่เสียงโวยวายของทหารเมามาย แต่พี่เหลียงนั่งรอเงียบเหงาอยู่ในห้องจัดเลี้ยงใหญ่โต สุดทางเดิน น้องคงสัมผัสได้ถึงความเหงา จึงเสนอความบันเทิงให้พี่

เธอร้องเพลงให้เขาฟัง

จำได้ว่าในโรงสยาม เขาจัดซับไตเติลเนื้อร้องเพลงจีนของน้องนางเอกให้ด้วย
จำได้ว่ามันพูดถึงความรัก หวานซึ้งแต่เศร้า
จำได้ว่าดูซีนนี้แล้วน้ำตาซึม
แต่ดีวีดีพี่เทพไม่มีซับไทยของเนื้อร้อง อิฉันจึงต้องคล้อยตามสำเนียงน้อง หน้าตาน้อง และหน้าตาพี่เหลียงไป
พบว่า พี่เหลียงเซียนจริงๆ เนื้อร้องว่าอะไรไม่รู้ แต่เรารู้ได้ว่ามันกระทบใจพี่เขา มือที่จับจอกของเขาสั่นเทา เขาน้ำตาหล่น

ผู้ชายขายชาติ ร้องไห้กับชู้รัก นางบำเรอของเขา

โอ...มันกินใจ

ถามว่าพี่เหลียงสงสัยในตัวชู้รักของเขาไหม อิฉันว่า อาจจะ แต่เขาเลือกที่จะวางใจ

แล้วถามว่า น้องนางเอกรักพี่เหลียงจริงไหม อิฉันว่า จริง (เป็นอิฉัน อิฉันก็รัก) และที่เธอบอกให้พี่เหลียงรีบไป (เพราะเค้าเตี๊ยมกันว่าจะลอบสังหารพี่เหลียงแถวๆ ร้านเพชร) ก็ไม่ใช่เพราะเบลอประกายเพชร แต่มันเป็นเพราะพี่เหลียงตอบคำถามของเธอว่า ใส่แล้วเป็นไงมั่ง ว่า

“ไม่เคยสนใจเรื่องเพชรเลย..อยากเห็นมันในมือคุณมากกว่า”

โอว...ฟังภาษาจีนไม่ออก แต่มองหน้าตา ฟังสำเนียงเสียงพูดในตอนนั้นแล้ว อิฉันก็น้ำตาซึมเหมือนน้องนางเอกนะ แล้วถ้าเป็นอิฉัน อิฉันก็จะบอกให้คนรักของอิฉันไปเหมือนกัน ..จะบอกทั้งๆ ที่รู้ว่ามันจะทำให้ปฏิบัติการกู้ชาติล่มนี่แหละ

..ไม่ใช่เพชรหรอก ที่ทำให้ผู้หญิงรักผู้ชาย แต่มันคือความซื่อสัตย์และจริงใจที่จับได้จากการแสดงออกของความรู้สึกน่ะ




บันทึก :
• Lust Caution (2007) กำกับโดย อัง ลี่ ผู้กำกับ Brokeback Mountain
• เรื่องนี้สร้างจากเรื่องสั้นของ Eileen Chang (พี่ลี่ชอบสร้างหนังจากเรื่องสั้น?)
• ไม่อาจบอกว่าชอบรูปร่าง แต่อิฉันชอบหน้าตาน้องนางเอกคนนี้ เธอเป็นคนยิ้มสวย ยิ้มเย้ายวน หน้าตาหรือฉลาด ด้วยหน้าตาและการแสดง อิฉันไม่สงสัยเลยว่าทำไมตัวละครนี้ถึงมัดใจตัวละครที่พี่เหลียงเล่นได้
• พี่เหลียงโคตรมืออาชีพ การแสดงของพี่แกมันช่างทรงพลัง ดราม่า แล้วก็สมจริงสุดๆ (ฮา)
• ไอ้ฉากที่เราก็รู้ว่าฉากไหนน่ะ อิฉันก็ว่าเขาเล่นจริงกันว่ะ
• มีข้อสังเกตว่าท่าบางท่าน่าจะทำให้เมื่อยมากกว่ามันส์นะ
• ชอบฉากจบเรื่องมากมาย ทั้งแสง ภาพสะท้อนในกระจกของพี่เหลียงที่นั่งลงบนเตียงนอนอันว่างเปล่าของน้องนางเอก มันบ่งบอกถึงความเศร้ามากมายในใจเขา (เป็นซีนที่ประดิษฐ์ไปหน่อย แต่เข้ากะหนังชะมัด)
• ขอบคุณมาก แล้วจะเอาไปคืนนะจ๊ะ พี่เทพ ^_^


วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

เพื่อนฉัน : ยิ้มของคนเป็นแม่



แม้ว่าหน้าจะอยู่ในเงา
แต่ยิ้มของเธอยังเจิดจรัส



เจอจินนี่น้อยเมื่อวันแต่ง เอ & เอ
(วันไหนนะ น้าเอ๋)

จินนี้น้อยนำข่าวดีมาบอกอิฉันเป็นคนแรก ว่าเรากำลังจะมีหลาน
หลาน วันนั้นอายุ ๓ เดือนกว่าๆ นอนอุตุอยู่ในพุงตุ่ยๆ ของเธอ

แหม้...อิฉันแสนยินดีจะได้เห็นหน้าหลาน

ขำดีนะ จินนี่น้อย
ใครจะคิดว่าวันนึงแกจะเป็นแม่
^_^

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552

เรื่องหมาหมา : น้องหมาในวันหนาว





เสาร์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๒

อากาศหนาว
ไปแพร่งภูธร กะไปช่วยเค้าจัดงานวันเด็ก
เจ้เจอน้องหมาสองตัวที่ร้านเสรีชน (ใช่มิพี่ป๊อก)
อยากถ่ายตัวขนยาวด้วย
แต่เจ้าตัวเล็กตาโตมันอยากรู้อยากเห็นมั่ก
เข้ามาบังเจ้าขนยาวตลอดเรย

จนในที่สุด เจ้ก็ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าขนยาว

เที่ยวสามแพร่ง




วันเสาร์ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๒

วันเด็ก
มั่วไปเดินเที่ยวสามแพร่งกับเด็กๆ
มีแพร่งภูธร แพร่งนรา แล้วก็แพร่งสรรพศาสตร์

ย่านนี้เมื่อก่อนเป็นวัง
ชุมชนเริ่มตั้งหนาแน่นมาตั้งแต่ ร.๕
เพราะฉะนั้น

ย่านนี้จึงมีผีเยอะ

หุ หุ หุ

(ความรู้น้อยด้อยค่า มีเรื่องเล่าทะเนี้ยเอง)

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

นกน้ำย้ายถิ่น ก่อนบินไม่ทำน้ำขุ่น


เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านหนังสือเล่มนึง

เป็นหนังสือภาพ เรื่อง 'เคล็ดลับและมารยาทในการผูกมิตร'

เนื้อหาเป็นการรวบรวมธรรมเนียม มารยาท และคำแนะนำในสถานการณ์ต่างๆ ในการคบหาและปฏิบัติกับบุคคลต่างๆ ในสังคม (ใช่ซี้...ก็มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนี่ยะ) เล่าอย่างสนุก ปนมุกขำๆ ที่ทันสมัยมาก

 

โดยรวม อิฉันว่านั่นเป็นมารยาทของคนญี่ปุ่น แต่ถ้าคนไทยหรือคนชาติไหนๆ ในโลกที่ฉลาดพอ ก็ย่อมจะรู้ว่าตรงไหน ส่วนไหนที่หยิบยืมไปใช้กับตัวเองได้บ้าง

 

โดยส่วนตัว อิฉันติดใจบทนึง อ่านแล้วคันยิบๆ อยากจะนำมาเล่าต่อให้อ่าน (อีกตามเคย)

เพราะมันคือคำแนะนำในการบอกเลิกกับแฟน (ฮา)

 

คำแนะนำนี้อยู่ในบทที่ว่าด้วย 'การบอกลา'

 

หลักพื้นฐานในการแยกจากกันไม่ว่ากรณีใด คือ 'นกน้ำย้ายถิ่น ก่อนบินไม่ทำน้ำขุ่น'

 

การเลิกกับแฟน

"เราเลิกกันเถอะ"

  • หากเป็นแฟนกัน ไม่ควรใช้อีเมล์หรือโทรศัพท์ แต่ควรพบกันและกล่าวคำลา แม้ความสัมพันธ์จะไม่ราบรื่นหรือรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างเข้ากันไม่ได้ก็ไม่ควรปล่อยให้หมางเมินจนเลิกกันไปเอง (ฉึ่ก!)
  • ไม่ควรเลี่ยงไปเรื่อยๆ ด้วยการไม่ตอบอีเมล์หรือไม่รับโทรศัพท์ (ฉึ่ก-ฉึ่ก!) โดยอ้างว่า 'ไม่สะดวก' เมื่อจะเลิกกันควรใช้คำพูดที่ชัดเจนเหมือนตอนที่เริ่มคบกัน (แปลว่าตอนที่จะเริ่มคบก็ต้องตกลงกันให้ชัดเจนด้วยสินะ?)

 

"ฉันได้พบกับคนอืนที่ชอบมากกว่าคุณ"

  • เมื่อรู้สึกว่าความรักที่มีต่อเขาจืดจางลงเพราะพบคนอื่นที่ชอบมากกว่าจริงๆ ควรรีบบอกอีกฝ่าย ควรจริงใจในเรื่องของความรัก (อันนี้เห็นด้วย)

 

"ฉันจะแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองใหม่"

การเป็นแฟนไม่เหมือนสามีภรรยา ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนนิสัยตัวเองแล้วจะทำให้กลับมารักกันใหม่ได้อีก ถ้าตัวเองไม่ได้มีความผิดอะไรแต่พยายามเป็ฯฝ่ายปรับตัวเข้าหาเสมอจะกลายเป็นคนใจง่ายไปได้ (คนญี่ปุ่นนี่หยิ่งดีจริง ชอบ-ชอบ)

 

จุดสำคัญที่ทำให้เลิกกับแฟนได้ด้วยดีได้

  • ก่อนบอกเลิก ควรเริ่มพูดว่า "มีเรื่องสำคัญจะบอก" เพื่อให้อีกฝ่ายได้เตรียมตัวเตรียมใจ
  • เมื่อจะบอกเลิก ไม่ควรพูดที่บ้านของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ควรเป็นที่ร้านอาหารหรือร้านกาแฟ ซึ่งไม่เงียบจนเกินไป และสามารถนั่งได้นานๆ ได้ อาจจะเป็นร้านประเภทแฟมิลี่เรสตัวรองต์ก็ได้
  • พูดจาให้ชัดเจน เช่น "เราคบกันต่อไปนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว" หรือ "เป็นเพราะฉันเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง"
  • ไม่นำเรื่องเก่ามารื้อฟื้นอีก ควรบอกความรู้สึกในขณะนี้เท่านั้น
  • แม้จะมีสาเหตุมาจากอีกฝ่าย แต่เมื่อถึงตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว หากถูกถามว่า "คุณเกลียดผมแล้วหรือ" ก็ไม่ควรพูดถึงข้อเสียต่างๆ ของเขา
  • แม้จะถูกแดกดันส่งท้าย อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใส่ใจต่อความอีก ให้ยิ้ม แล้วพูดว่า "ขอบคุณนะ สำหรับตลอดเวลาที่ผ่านมา" ก่อนจากกัน (เย็นชาชะมัด)

 

หลังจากเลิกกันแล้ว

  • ถึงจะคืนกุญแจ ของที่ยืมมา หรือของขวัญที่เคยได้รับ อีกฝ่ายก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งเหล่านั้นดี ไม่ต้องคืนก็ได้ แต่หากเขาบอกว่า "ขอให้คืนมา" ก็นำของที่มีอยู่ส่งพัสดุไปรษณีย์คืนให้ทั้งหมด (เอิ่ม ไม่เคยคืน อยากเก็บไว้ให้บาดใจเล่น)
  • หลังจากเลิกกันแล้วไม่ควรเผลอหลุดปากพูดเรื่องไม่ดีของอีกฝ่ายออกมา (จะพยายาม)
  • การคิดว่า "แล้วจะคอยดู ให้ถึงตาคุณบ้างเถอะ" นั้น ไม่มีประโยชน์ ยิ่งพูดแบบนั้นออกไปยิ่งไม่มีประโยชน์อะไร (อืมม์)
  • ให้พบแฟนหรือสามีภรรยที่เลิกกันแล้วให้น้อยที่สุด ควรระวังไม่ให้แต่ละฝ่ายต้องพบกันมากนัก ถ้าจะพบกันบ้าง ที่ทำงานหรือโรงเรียน ให้ทักทายเท่านั้นก็พอ แฟนหรือสามีภรรยาที่เลิกกันแล้วให้แสดงว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันพอให้คนรอบข้างไม่ลำบากใจ (โอเคย์)

 

 

 

หมายเหตุ:  เคล็ดลับและมารยาทในการผูกมิตร

เรียบเรียงโดย โซอิชิโร อิชิฮาระ/เขียนภาพประกอบโดย มิกิ อิโต/แปลโดย ภัทร์อร พิพัฒน์กุล/สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม/ราคา ๒๕๐ บาท


ออกเดินทางแล้วนะ!


(ทำไม่เป็น)


จันทร์ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๒

อากาศหนาว
ปวดท้องเมนส์นิดหน่อย แต่โวยวายว่าปวดมาก
แล้วก็โดดงานซะงั้น เลยออกไปไปรษณีย์ตอนบ่ายๆ
เค้าถามว่าจะส่งยังไงดี
เลยถามว่ามีไงมั่ง
เค้าก็แจงว่า มีส่งพัสดุภาพพื้นอากาศ ถึงภายใน ๗ วัน
พัสดุภาพพื้นดิน ถึงภายใน ...วัน (จำมิได้)
ฯลฯ ฟังแล้วงง เลยถามว่ากี่บาทมั่ง

เค้าบอก ๙๐๐ บาท แบบแรก (ลมแทบจับ)
๘๐๐ กว่าบาท แบบที่สอง
แต่เค้าบอกเค้าแนะนำให้ส่งเป็นจดหมายลงทะเบียน
๖๑๘ บาท หรือไงเนี่ย จะถึงภายใน ๑ เดือน

เฮ่อ มันช่างแสนแพงนะฮะป้า
แต่ก็ส่งไปแล้วล่ะ
ยังไงป้าก็จะได้ใช้เสียที

Venus : แม้แต่วีนัสก็ต้องการความรัก

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama
ใครที่ไม่เคยคิดเลยในชีวิตนี้ ว่า...แก่แล้วจะเป็นไง? ดูหนังเรื่องนี้แล้วคงมีจิตตกกันบ้าง
อิฉันเองก็เป็น เป็นเอามากเทียวในตอนดูครั้งแรกที่ลิโด้ และเชื่อว่าบัดดี้ที่ดูหนังเรื่องนี้ด้วยกันนั้นก็คงไม่ได้รู้สึกต่างจากกันมาก คือคงจะถึงแก่สลดกับความแก่ขึ้นมาโดยฉับพลันทันใด

ก็พอแก่แล้วหามันอะไรดีไม่ได้เลยสักอย่าง ไม่ว่าจะแก่แบบมีลูกผัว หรือแก่แบบไม่มีใครเลย เพราะเอาเข้าจริง เพื่อนกะผัวก็แก่พอๆ กะเรา ลูก-ถ้ามี มันก็ไม่ได้มานั่งแก่กะเรา ครั้นจะหวังให้มันมานั่งปรนนิบัติพัดวี คอยดูแลอยู่เป็นเพื่อนเรา ก็คงเป็นเรื่องไกลเกินหวัง ก็นึกสิ ตอนนี้เรายังมีความฝัน ความอยาก ความทะเยอทะยานอีกเพียบ ที่อยากจะทำ อยากสำรวจโลกหรอ อยากมีผัวหรอ หรือว่าอยากมั่ว อย่างเมาจนคลานเป็นหมา อยากนอนกับผู้หญิงทีละสองคน อยากได้ดิบได้ดีทางการงาน อยากรวย อยากได้รับการยอมรับ หรือว่าอยากเรียนหนังสือสูงๆ อยากทำตามอุดมการณ์ ฯลฯ นอกจากความฝันแล้วไหนจะหน้าที่อีก รู้ไหม เพื่อนเราบางคนน่ะ นอกจากต้องหาเงินเลี้ยงลูกแล้ว บางทีก็ยังต้องเลี้ยงผัวด้วย

คนเป็นลูก ในเวลาที่มันยังมีเรี่ยวแรง มันก็จำเป็นจะต้องเอาเรี่ยวแรงไปจัดการกับชีวิต หน้าที่ และความฝันของมันเป็นไพรออริตี้แรก-ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้น ก็จงปลง และเตรียมใจรับความแก่เสียตั้งแต่บัดนี้เถิด

หนังเรื่องนี้ชื่อ Venus (๒๐๐๖) และแม้เรื่องราวในหนังจะเหมือนการบอกเล่าถึงพิธีกรรมก่อนลาโลกของชายแก่อายุกว่าเจ็ดสิบ (มอรีซ-Peter O’Toole) แต่ในเนื้อหนังไม่ได้พร่ำถึงแต่ความเก่า ชรา ความเสื่อม ความอึดอัด อืดอาด เชื่องช้า น่ารำคาญ (แหม๋..เขาเข้าใจคัดบรรยากาศชวนหดหู่นี้ในลอนดอนนะ)เพราะว่าในความไม่น่าอภิรมย์ สลดหดเศร้านั้นยังมีแสงเรืองรอง เจิดจ้าของวัยสาวสะพรั่งของวีนัสมาประดับบรรยากาศเปื่อยๆ ให้คนแก่ได้ชุ่มชื่นหัวใจบ้าง (อือ...ในบางมุม ลอนดอนก็มีแสงสวยๆ เหมือนกัน)

วีนัสคือเทพีแห่งความรัก มีรูปโฉมงดงามหยั่งที่เรารู้ๆ กัน แต่โปรดอย่าคิดว่า วีนัส หรือชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้คือเจสซี่ (Jodie Whittaker) จะเป็นสาวสวยเจ้าของรูปโฉมแสนพิสุทธิ์ไม่ผิดกับเทพีวีนัส เปล่าเลย วีนัสเป็นแค่เด็กบ้านนอกที่ถูกตาแก่ไม้ใกล้ฝั่งเรียก (ยกย่อง?) ว่า วีนัส ในโลกของเธอแล้ว เธอไม่ได้เป็นอะไรที่ดีไปกว่า "ส่วนเกิน" ของชีวิตแม่ เป็นผลผลิตของปัญหาสังคมแถวๆ นั้น (แถวๆ ไหนก็มีคล้ายๆ กันแหละฮะ พี่น้อง) นอกจากหน้าตาธรรมด้า-ธรรมดา วีนัสยังเป็นเด็กที่แม่ไม่รัก ไม่อบรม ไม่มีมารยาท ไม่มีความเป็นผู้ดี ไม่ได้เรียนหนังสือ จึงไม่แปลกที่จะทะเยอทะยานแบบโง่ๆ ไม่ใฝ่ไปในทางที่ดี (ก็ไม่ถึงกับนิสัยไม่ดีหรอก) และด้วยความที่เธอขาดรัก เธอก็เลยแสวงหารักจนน่าสงสาร

ยัยวีนัสถูกแม่ถีบให้มาอยู่กะตาในลอนดอน ด้วยเหตุว่าอยู่บ้านด้วยกันหล่อนไม่มีงานทำ ต้องเกาะแม่กินสถานเดียว ตาของวีนัสเป็นเพื่อนแก่ก๊วนเดียวกับลุงมอรีซ ลุงเลยมีโอกาสได้เจอยัยบ้านนอกคนนี้ ซึ่งตอนเจอกัน ก็ไม่เชิงว่ายัยเด็กนี่จะทำให้ลุงกลายเป็นเฒ่าหัวงู หรือโคแก่อยากเคี้ยวหญ้าอ่อนขึ้นมาอย่างฉับพลันหรอก (ต่อมลูกหมากของแกคงไม่เอื้ออำนวยช่วยแกเคี้ยวหญ้าอ่อนแล้วล่ะ) แต่มันเหมือนแกได้เจออะไรที่แบบว่า inspire ให้แก่มีชีวิตต่อไปอย่างกระชุ่มกระชวยอะ

ลุงมอรีซเมื่อหนุ่มๆ หล่ออย่างร้าย ก็แกเป็นนักแสดงอาชีพ ถึงกะเคยได้รับบทนำในแฮมเล็ตเชียว เชื่อว่าแกคงเป็นเสือผู้หญิงสุดๆ น่าจะเป็นประเภท “ต้องได้เอา ถ้าอยากจะเอา” แกเคยทิ้งเมียตอนกำลังอุ้มลูกอ่อน แถมลูกที่โตกว่าอีก ๒ คนยังไม่มีใครถึง ๖ ขวบเลยไปอยู่กับผู้หญิงใหม่ด้วยซ้ำ เอากะแกสิ (แต่ในหนังแกกลับไปดูแลเมียนะ-สภาพโทรมไม่ต่างกันเท่าไหร่เล้ย.. อนิจจัง อนิจจา ชีวิตคนแก่)

จริงๆ แล้วอิฉันไม่อาจเข้าใจได้หรอกว่าทำไมวีนัสถึงกระตุ้นลุงได้ขนาดนั้น เลยมั่วสรุปว่าคงเป็นไปตามสัญชาตญาณสัตว์เพศผู้ที่จมูกยังพอรับฟีโรโมนสาวสดได้อยู่ ความรู้สึกซู่ซ่า กระฉับกระเฉงที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้นเนี่ย มันก็ดี ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้แกได้หน่อยนึง พร้อมๆ กันนั้นก็ช่วยให้แก Remind ถึงช่วงชีวิตที่ยังรุ่งโรจน์ เข้ากันพอดีกับจังหวะที่แกเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะไปแล้ว

แกพยายามจะขอจับผม จับมือ ขอดม ขอหอมของแกอยู่เรื่อยๆ (เหมือนฉีดยากระตุ้นหัวใจเลยนะ อิฉันว่า)

วีนัสเป็นแค่เด็กบ้านนอก ไม่ใช่เด็กไซด์ไลน์ที่มาพร้อมกับความช่ำชองในการหลอกผู้ชาย (แก่) แรกๆ ก็รังเกียจคนแก่คนนี้น่าดู ทั้งเพราะแก่จนงุ่มง่าม แล้วก็เพราะความหัวงู แต่ก็อย่างที่บอก ด้วยความซื่อ ด้วยความเป็นเด็กขาดรัก เมื่อได้รับความรัก ความเมตตา เอ็นดู ได้รับน้ำใสใจจริงที่สัมผัสได้จริงๆ จากคนแก่ ความหยาบกระด้างในใจก็ดูจะอ่อนนุ่มขึ้นทีละหน่อย

เด็กมันเฟื่อง อยากเป็นนางแบบ (-___-) ลุงมอรีซเอง ด้วยความลามก (นิดนึง) อยากเห็นเรือนร่างใหม่สดของสาวน้อยเป็นทุน จึงช่วยหางานให้นางแบบนู้ดให้พวกนักเรียนศิลปะให้ เด็กนี่ตอนแรกก็รังเกียจ ด้วยความหยิ่ง ประกาศว่าไม่มีทางจะได้เห็นนมเห็นจิ๋มฉันหรอก แรกๆ เลยยอมเปิดแต่ลาดไหล่กับขา (เชอะ อีตอนหล่อนใส่มินิสเกิร์ต ชั้นว่าผู้ชายมันเห็นไปถึงไหนๆ แล้วล่ะย่ะ) จนเสร็จงาน ลุงพาเข้ามิวเซียม ไม่ได้พาไปดูรูปวีนัสหรอก (อันนั้นมันอยู่ไหนไม่รู้) แต่พาไปดูงานคลาสสิกรูปนู้ด (ก็เป็นนู้ดแค่แผ่นหลังของผู้หญิง เห็นแค่ส่วนก้นกะสะโพกอะนะ)

“สำหรับผู้ชายส่วนใหญ่ เรือนร่างของสตรีคือสิ่งที่สวยงามที่สุดที่พวกเขาจะได้เห็น” ลุงเพ้อออกมา ยัยวีนัสฟังแล้วก็ เพ้อตาม ถามว่า “แล้วสิ่งที่สวยที่สุดที่ผู้หญิงจะได้เห็นล่ะ?”

“Her first child.” ลุงตอบพร้อมรอยยิ้ม

เด็กนั่นได้ยินแล้วทำหน้าเหยเก แล้วก็เดินหนีไปซะงั้น (ตอนแรกอิฉันไม่เข้าใจหรอก นึกว่าอีนี่มันโง่ ฟังลุงพูดไม่เข้าใจ ดูต่อไปถึงได้เข้าใจว่า อ่อ อันที่จริงเราเองแหละที่โง่) ตอนหลังถึงมารู้ว่า ชีเคยมีแฟนคนนึง ตอนแรกก็ดูจะรักจะตามใจชีดี แต่พอท้องเท่านั้นแหละ ทิ้งเลย กระทั่งแม่บังเกิดเกล้า (ที่เคยบอกชีว่าถ้าชีไม่เกิดมา ชีวิตแม่ก็คงดีกว่านี้) ก็บังคับให้ไปทำแท้ง เท่านั้นแหละ อิฉันเห็นใจยัยวีนัสขึ้นมาทันที

ชีวิตนึงกำลังรุ่งโรจน์ แต่อีกชีวิตนึงกำลังจะแตกดับ หนังทำให้เราร้าวราญใจกับความเป็นจริงข้อนี้ ซึ่งก็คือสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ ได้บีบคั้นจิตใจอิฉันด้วยการพูดถึง "ความรัก"

อะไรคือความรักที่แท้ ที่เราควรแสวงหา อะไรที่สถานที่ที่เหมาะ ที่เราความจะอยู่ในสถานการณ์หนึ่ง อะไรคือสิ่งที่เราความภูมิใจจะทำ คำตอบที่ถูกที่ควรมันเกิดขึ้นต่อเมื่อเราได้รับการเติมรักจนเต็มใจเสียก่อน ไม่อย่างนั้น หัวสมองจะกลวง คิดอะไรไม่ออก

ถึงหนังจบลงด้วยการจากไปของลุง แต่นั่นไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้อิฉันร้องไห้อย่างยากจะหยุดในรอบแรกที่ดูในโรง (ก็ร้องจนป้าอ้อยต้องนั่งเป็นเพื่อนจนเอนด์ไตเติลเกือบจบน่ะ) ตอนนั้นพยายามทำความเข้าใจกับตัวเอง โดยสรุปว่าสงสัยเพราะชีวิตของวีนัสมันทิ่มแทงใจดำ อาจเป็นได้ว่าตอนนั้นยังคิดถึงหนุ่มใหญ่ที่เพิ่งหักใจให้เลิกหลังจากคบอยู่ ๖ ปีได้ไม่นาน

อีกใจนึงไม่อยากเชื่อว่าน้ำตาไหลเพราะคิดถึง (+เป็นห่วง) ผู้ชายคนนั้นซะทั้งหมด เพราะจำได้ว่าเขื่อนน้ำตาแตกตอนเพลง Put Your Records On ขึ้น

สงสัยอิฉันจะร้องให้เพราะจุกใจกับเด็กขาดรัก ที่ไม่เคยรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมาก่อน จนมาวันนึงก็ยิ้มได้อย่างสดใส และรู้ว่าตัวเองจะเดินไปไหน จะทำอะไรต่อไป เพราะอิ่มฟูจากความรักที่เพิ่งได้รับ หยั่งยายวีนัสมากกว่า

ดูซ้ำอีกทีเมื่อวานก็รู้สึกอย่างนี้


หมายเหตุ:
• Venus กำกับโดย Roger Michell
• เขียนบทโดย Hanif Kureishi
• Peter O’Toole ตัวจริงไม่ได้แก่ขนาดนั้น (หวังว่า) ยังมีผลงานเป็นระยะๆ ล่าสุดเห็นใน Troy แกเล่นเป็นพ่อพี่แบรดหรือไงเนี่ย สง่าเชีย-ไม่เคยดูหนังดราม่าของแกมาก่อน เรื่องนี้แกเล่นดีจริง
• คิดถึงป้าอ้อยจัง
• ป้าขา วันนั้นเห็นน้องร้องไห้เยอะขนาดนั้น ป้าคิดไงหรอ?
• Put Your Records On แต่งเนื้อ/ทำนองโดย Corinne Bailey Rae เป็นเพลงโปรดของอิฉัน

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : แมวแถวๆ แพร่ง


เท่ดี


เสาร์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๒

เนื่องจากไปถึงงานวันเด็กไว ก๊อเลยมีเวลาเก็บภาพเหมียวละแวกนั้นมาฝาก

...แถวนั้นมีแมวเยอะจริงๆ


ไปแอบดูทหารเรือที่สัตหีบ

Start:     Jan 17, '09 9:00p
End:     Jan 18, '09
Location:     สัตหีบ ชลบุรี

มีแผนจะไปชิลล์ที่สัตหีบกะพี่ผึ้งและอิ๋ว
งานนี้พี่ผึ้งจัดให้ไปนอนแฟลตทหารเรือ (วิ๊ววววววววววววว) -หวังว่าจะเป็นแฟลตทหารเรือโสด
พี่ผึ้งบอกแฟลตนี่อยู่ห่างทะเล ๘ กิโล
ความหวังจะหาจักรยานคันน้อยปั่นไปเล่นน้ำทะเลก็คงต้องพับไป

ไม่แน่ ถ้าพี่ผึ้งเส้นใหญ่จิง เราอาจได้ขยับไปนอนใกล้ทะเลมากกว่านั้น

to do list:
-ไปตลาดเช้า
-กินซีฟู้ดสุดแซ่บแบบบ้านๆ
-ส้มตำปรูม้า
-ชิลล์ริมทะเล
-อ่านนิยายน้ำเน่า
(รักจากใจจร)

ม้าน้ำของม้้าน้อย




จันทร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๒
ได้รับแล้ว ของที่ระลึกจากทะเลที่เจ้าของส่งตั้งแต่วันอังคารที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ โน่นนนนนน

ขอบคุณมากนะ อี๊
มันน่ารักมั่กมั่กเลย
ม้าน้อยของหล่อนเนี่ย

(แอบดีใจที่มันไม่ใช่หอยนะ-หุ หุ)

ท ะ เ ล ที่ รั ก : ทะเลทำเข็มกลัดจ้า


หน้าตาตั้งอกตั้งใจมั่ก

เฉลยปริศนาจากอัลบั้มที่แล้ว

ทะเลจอมทะเล้นกะลังตั้งอกตั้งใจทำเข็มกลัดตามคำบงการของคุณแม่นั่นเอง
ในงานวันเด็กที่แพร่งภูธรที่เราไปกัน เขามีกิจกรรมให้เด็กๆ สร้างสรรค์เข็มกลัดด้วยตัวเอง

(จิงๆ ก้อสงสารหลานมั่ก ต้องทำหลายอันจนหมดแรงเรย)
(แต่น้าก็อดดีใจไม่ได้นะ ที่ได้เข็มกลัดอันพิเศษ ฝีมือเล ^_^ )

ฉันเชื่อในการให้


๑๒. ทานจักร ๑๐ ประการ

 

หากเมล็ดพันธุ์แห่งความรักความเมตตาได้เจริญงอกงามขึ้นในจิตใจของเราแล้ว เราจะตระหนักว่าเรารักชีวิต เราต้องการความสุข ชีวิตอื่น สัตว์อื่น ต่างก็รักชีวิต และปรารถนาความสุขเช่นกัน สาระแห่งชีวิตคือ ความรัก ความเมตตา อานุภาพแห่งความเมตตาจะนำมาซึ่งความสุขและความเบิกบานแก่ทุกชีวิต สำหรับเราทุกคน ในฐานะชีวิตหนึ่งในโลกกว้างใหญ่ เราอาจไม่ยิ่งใหญ่พอจะแก้วิกฤตของโลกได้ แต่ด้วยความรัก ความเมตตาที่มีในหัวใจของเรานี้ เราสามารถทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในโลกได้มากมาย

 

ช่วงหนึ่งอาจารย์ได้เคยพิจารณาว่าข้อธรรมะของพระพุทธองค์ข้อไหนจะสามารถแก้ปัญหาของโลกได้ และไม่ขัดแย้งต่อเชื้อชาติ หรือลัทธิศาสนาใดๆ และมองเห็นว่า หลักของศีล ๕ เมตตาธรรมและการให้ทานน่าจะมีความเหมาะสมที่สุด

 

ศีล ๕ เป็นพื้นฐานของสังคมที่ปลอดภัย สงบร่มเย็น เมตตาธรรมและการให้ทานจะทำให้ทุกคนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีความเอื้ออาทรต่อกัน ความคิดดังกล่าวเป็นที่มาของ ทานจักร ซึ่งหมายถึงวงล้อซึ่งมีใจที่มีความเมตตากรุณาเป็นศูนย์กลาง และแสดงออกถึงความเมตตาในจิตใจด้วยการลงมือกระทำความดีอย่างตั้งใจแน่วแน่

 

ความดีนั้นคือ การบำเพ็ญทาน ๑๐ ประการ ได้แก่

 

๑.     ให้ทานด้วย ทรัพย์สินเงินทอง

๒.     ให้ทานด้วย สายตาที่เมตตาปรานี

๓.     ให้ทานด้วย ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส

๔.    ให้ทานด้วย วาจาที่ไพเราะน่าฟัง

๕.    ให้ทานด้วย ให้แรงงานช่วยเหลือผู้อื่น

๖.     ให้ทานด้วย การอนุโมทนายินดีเมื่อผู้อื่นทำดี

๗.    ให้ทานด้วย การให้อาสนะ (ที่นั่ง)

๘.    ให้ทานด้วย การให้ที่พักอันสะดวกสบาย

๙.    ให้ทานด้วย การให้อภัย

๑๐. ให้ทานด้วย การให้ธรรมะ

 

เมื่อวงล้อแห่งทานนี้หมุนเข้าไปที่แห่งใด จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคม จะเกิดพลังแห่งการสร้างสรรค์ พลังที่จะร่วมกันผลักดันสังคมที่ดีงามให้เกิดขึ้น

 

ด้วยการหมุนของวงล้อแห่งทานนี้ ย่อมนำความสุขไปสู่เพื่อนมนุษย์ในสังคมวงกว้าง ยังความสันติสุขให้เกิดขึ้นในโลก

 

ขอให้พวกเราทุกคนจงเชื่อมั่นว่า สันติภาพโลกเริ่มตากพวกเราทุกคนที่นี่และเดี๋ยวนี้ ปลูกฝังจิตสำนึกแห่งรักและเมตตาไว้ในหัวใจ หมุนทานจักรแห่งสันติภาพให้เคลื่อนไปๆ บนพื้นทางที่มั่นคงแล้ว ด้วยศีล เพื่อประโยชน์สุขที่กว้างขวางแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยรักและเมตตาที่ไม่จำกัดขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณ


หมายเหตุ:


-คัดมาจาก "โชคดี" เล่มใหญ่ (สำนักพิมพ์ DMG Books) โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

-เพิ่งอ่าน "โชคดี" เล่มเล็ก ที่หัวหน้าได้จากร้าน S & P (เขาจะจัดไว้ให้คนเลือกหยิบกลับไปอ่านได้ โดยทิ้งเงินบริจาคไว้ตามศรัทธา-บนสถานีรถไฟฟ้าสยามก็มี อิฉันเคยอ่านเล่มอื่นๆ) มาฝากลูกน้อง ก็ได้มาตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้วแหละ แต่อิฉันเพิ่งอ่านจริงจังเมื่อวันศุกร์ พอดีเสร็จงานแล้วว่างๆ เลยคัดตอนที่จับใจมาเขียนไว้ในเอ็นทรีก่อนหน้านี้ (คำคม#๑๖)

-ตกบ่ายวันเดียวกัน อิฉันก็ไปฟังแภลงข่าวเปิดตัว "โชคดี" เล่มใหญ่ ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดังกล่าว (เวอร์ชั่นนี้แพงไปหน่อย ตั้ง ๑๕๐ บาท)

-แล้วก็ทำการคัดบทที่จับใจมาแบ่งให้อ่านกันอีก

-หนังสือเล่มเล็กๆ ของพระอาจารย์ ชนิดที่วางอยู่บนสถานีรถไฟฟ้าและร้าน S & P เหมาะมากสำหรับคนเมือง ไกลวัด และเบลอกับภาษาบาลี เพราะพระอาจารย์ท่านเป็นคนญี่ปุ่น ท่านเขียนด้วยภาษาที่ง่ายมากยกตัวอย่างได้อย่าง Practicle และก็ไม่น่าเบื่อเลย

-ได้ยินมาว่าพ่อแม่บางคนอ่านหนังสือของพระอาจารย์ให้ลูกๆ ฟัง จนแม้แต่เด็กสามขวบที่พ่อแม่พาไปนมัสการพระอาจารย์ยังรู้จัก และเรียกชื่อท่านถูกเลย

-พระอาจารย์พูดภาษาไทยเก่ง แต่ก็ไม่เหมือนคนไทยหรอก สำเนียงคงเป็นอะไรที่ฝึกยากที่สุดแล้วมั้ง แต่แค่ไวยากรณ์ของท่านในหนังสือที่ท่านเขียนให้อ่าน อิฉันก็พร้อมจะสดุดีความเพียรพยายามของคนญี่ปุ่นอีกครั้ง

-ตัวจริงท่านมีรัศมีเรืองรองของความเมตตากรุณาแผ่อยู่รอบๆ

-ท่านให้พรปีใหม่จับใจอิฉันมาก ท่านว่า "ให้คิดดี-พูดดี-ทำดี" ให้เมตตา ให้รู้จักขอบคุณ ให้พูดว่าโชคดี

สรุปว่าท่านให้มองโลกในแง่ดี มองหาแง่ดีของปัญหาน่ะ

-ดีจังที่ได้ไป



วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

ท ะ เ ล ที่ รั ก : ทะเลทำอาราย




เสาร์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๒

วันนี้เจอยัยทะเลแสนทะเล้นอีกแล้ว
เลยได้โอกาสเก็บภาพมาฝากพี่ป้าน้าอา

อ่ะ ทายกันหน่อยไหม
ทะเลกะลังทำอะไรอยู่?

สะกิดตา-สะกิดใจ : อะไรอยู่ในตู้ร้องทุกข์


เพียงแผ่นเดียวในตู้


เสาร์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๒
วันเด็กแห่งชาติ
วันก่อนวันเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ

แปลกดีที่เช้านี้หนาว
อิฉันไปเดินหนาวอยู่หน้ากระทรวงมหาดไทยตั้งแต่แปดโมงเช้า
หนาว+ง่วง (ผ้าคลุมไหล่แกไม่ช่วยอะไรเลยง่ะอิ๋ว)
เดินผ่านตู้ใสๆ ตู้นึง ดันสะดุดตากะกระดาษแผ่นเดียวในตู้นั่น

แหม๋ ช่างวางแหมะลงอย่างเหมาะเจาะ พอดิบพอดีเสียจริงนะยะ

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

ตามติดชีวิตคนกรุงฯ : โปรดระวังตีน


มันไม่ปกติก็เนื่องจากว่า
๑. มันเป็นทราย (แมวชอบ)
๒. มีท่อร้อยสายไรไม่รุ โผล่ออกมา ชวนสะดุดเป็นบ้า
๓. มีรูที่ท่อระบายน้ำ
๔. ละก้อ มีมอตะไซค์มาจอด


ศุกร์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๒

ไม่คิดว่าใจกลางกรุงเทพฯ
บนถนนเพลินจิต
เขา (คนที่เราก็รู้ว่าใคร) ปล่อยให้ฟุตปาธอยู่ในสภาพนี้นานนนนนนน
ขนาดนี้

(นานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ แต่เมื่อปลายๆ เดือนพฤศจิฯ เพิ่งถอยสมเกียรติซังมา จะไปซื้อแบตที่บ้านหม้อ มารอรถป้ายนี้ ทางเท้ามันก็เป็นทรายอย่างที่เห็นวันนี้แหละฮ่ะ!!!)

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

คำคม#๑๖



"…ไม่ต้องคิดน้อยใจอะไร

ไม่ต้องอิจฉาใคร

ไม่ต้องรู้สึกว่าเรามีปมด้อย…"



 

... สมมติว่า เรากำลังอิจฉาใครคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นอย่างมาก เพราะเห็นเขามีแต่สุขสมหวัง หรือนึกๆ ดูว่าในโลกนี้มีชีวิตใครน่าอิจฉาบ้าง แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าใครจะน่าอิจฉาขนาดไหนก็ตาม เขาเหล่านั้นต่างก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางภัยอันตรายในวัฏสงสารเหมือนๆ กันทุกคน เราทุกคนในโลกนี้ต่างอยู่ท่ามกลางภัยอันตรายที่น่ากลัวในวัฏสงสารกันทั้ง นั้น เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องคิดน้อยใจอะไร ไม่ต้องคิดอิจฉาใคร ไม่ต้องรู้สึกว่าเรามีปมด้อย

 


จาก บทที่ ๑ พลิกมุมคิด ชีวิตเปลี่ยน

จาก "โชคดี" โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

ของขวัญปีใหม่จากหัวหน้า


วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

คันปาก-อยากบอกต่อ ตอน โอ้อนิจจา..ความรักของคนราศีมีน


ราศีมีน
(14 มีนาคม - 12 เมษายน)

เรื่องความรักและครอบครัว

ชาวราศีนี้อาภัพรัก
ปีนี้กับปีหน้าไม่ควรตกลงปลงใจแต่งงานกับใคร ต้องได้คู่เป็นคนช่างพูดช่างเจรจา ช่างคิด ช่างวางแผน และได้คู่อายุน้อยกว่าประมาณ 1 – 2 ปี จะเป็นผลดีกับตัว เขาเรียกว่าคู่แท้ ถ้ามีครอบครัวอยู่แล้ว ต้องประคับประคองกันไป ดูแลกันไป ต้องผ่อนหนักผ่อนเบา ให้อภัยซึ่งกันและกัน คนเกิดราศีนี้ควรหาคู่ที่เป็นพ่อม่าย แม่ม่าย หรือคู่ที่เป็นลูกกำพร้า คู่ที่พิกลพิการ ง่อยเปลี้ยเสียขา เพราะเป็นคนอาภัพคู่ เป็นวิบากแห่งชะตากรรม ต้องไปทำบุญกับคนขาดความรัก เช่น บ้านพักคนชรา บ้านเด็กกำพร้า ผู้หญิงที่ขาดความอบอุ่นในความรัก ถูกทำร้าย คุณทำบุญกับความรัก คุณจะได้รับความรักและอธิษฐาน

ที่มา: ฟอร์เวิร์ดอีเมลทำนายชะตาราศีโดยคุณหมอฟันธง



เครียด-เครียด


ขอเอาวิธีนวดหน้ามาใช้หน่อย

เรื่องไรจะยอมให้ตีนกาบุก!!!!

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

มีอารายอยู่ในเฟเรโร รอชเช??


ดูดี มีสกุลลล

อังคารที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๑

ปีนี้ที่ออฟฟิศได้กระเช้าปีใหม่แค่ ๓-๔ กระเช้า
ก็หยั่งว่า เศรษฐกิจมันไม่รุ่งเรืองเหมือนปีก่อนๆๆๆๆ
ถึงเวลาพี่เค้าก็เปิดกระเช้า ของกินก็แบ่งกันกิน
มีเฟเรโร รอชเช กล่องนึง หัวหน้าหยิบมาตั้งแต่เมื่อวาน
อิฉันเพิ่งนึกจะชิมวันนี้
ปกติไม่ค่อยพิศวาสเท่าไหร่ มันหวาน
พอแกะดูก็เห็นแปลกๆ เหมือนมันเยิ้่มๆ แต่เฮ้ย

ปกติช็อกโกแลตนี่ เค้าไม่โรยน้ำตาลอย่างนี้นิหว่า
พอดูดีๆ ก็รู้ว่ามันไม่ใช่น้ำตาล
แต่เป็นอะไรสักอย่าง

....ราหรือเปล่า????


อึ๋ย แล้วที่เค้ากินกันไปเมื่อวานล่ะ?
!!!!

ถามหาสันติภาพ





อังคารที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๒

วันที่สองของการทำงาน แต่คนทำงานในตึกออฟฟิศที่อิฉันทำงาน ไม่เป็นอันทำงาน
เพราะมีแขกมาเยือนกว่าพันคน

เมื่อวานก็มีมากลุ่มนึงแล้ว แต่เป็นกลุ่มเล็กๆ นับได้แค่ร้อย

เปล่าฮะ เขาไม่ได้มาอวยพรปีใหม่
แต่เขามาถามหาสันติภาพ

เขาเป็นมุสลิมเพื่อสันติ
มาเพื่อถามตัวแทนสถานทูตอิสราเอลว่า

หยุดยิงได้ไหม? ตอนนี้คนบริสุทธิ์ตายไปกว่าห้าร้อยแล้ว





คำตอบลอยอยู่ในสายลมหรอฮะ?


วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

จดหมายถึงคุณมิ่ง


 

จันทร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๑

มิ่ง,

 
            จำได้ไหมในวันที่เจอกันครั้งแรก เราคุยกันถึงหนังเรื่องโปรด เธอพูดถึงหนังเจ๋งๆ หลายเรื่องที่ฉันยังไม่ได้ดู แล้วฉันก็พูดเล่นๆ ว่าให้เธอเขียนรายการมาเลย เดี๋ยวฉันจะไปหามาดู

            จนแล้วจนรอด รายการของเธอก็ยังไม่เสร็จ และในวันที่เราเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย เธอไม่รอเขียนรายการแล้ว เธอนำมันมาให้ฉันเลย

            The Fountain คือหนังที่เธออยากให้ฉันได้ดู ครั้งนั้นฉันถาม ทำไมถึงเป็นเรื่องนี้’ ‘เธอชอบอะไร ในนั้น’ ‘เรื่องเป็นยังไงอะฯลฯ ฉันคงถามจนเธอตอบไม่ถูก ก็เลยไม่ตอบยาวไปกว่า ชอบผู้หญิงคนนั้นมั้ง ...ผู้หญิงคนที่เธอบอกว่าชอบ แต่จำชื่อไม่ได้ เธอชื่อ ราเชล ไวสซ์ นะจ๊ะ


            ฉันยังดองหนังของเธอไว้ตั้งนาน เพราะว่าหัวอ่านดีวีดีที่มีมันใช้ไม่ได้แล้ว ไม่ยอมอ่านอะไรทั้งสิ้น ตายสนิท ระหว่างการดองเค็ม ฉันเหลือบไปเห็น The Fountain ของเธอเป็นบางครั้งบางคราว แต่ก็ได้แต่ผัดกับตัวเองว่า เดี๋ยวจะซื้อหัวอ่านใหม่แล้วจะดู

            ฉันได้หัวอ่านใหม่ในวันก่อนวันสิ้นปี และฉันได้ดูหนังของเธอแล้วเมื่อคืนนี้ หลังจากมันมาอยู่กับฉันตั้งเดือนครึ่ง และฉันมีคำถามมากมายจะถามเธออีกแล้ว

 

            มิ่ง.. ต้นไม้โบราณในเรื่อง ใช่ต้นเดียวกับที่เธอเคยเล่าให้ฉันฟังหรือเปล่า? ต้นไม้ต้นนั้น คือต้นไม้แห่งชีวิตใช่ไหมมิ่ง?

            มิ่ง.. ที่อยากให้ฉันดูหนังเรื่องนี้ เพราะเธออยากให้ฉันได้สัมผัสกับความโศกเศร้าอาดูรจากการสูญคนรัก เฉกเช่นตัวละครในเรื่องที่เสียภรรยาไปโดยช่วยอะไรไม่ได้ กระนั้นหรือ?

            มิ่ง.. เธอรู้ไหม? เมื่อคืนฉันน้ำตาหล่นเมื่อเห็นน้ำตาของ ทอมมี่หลั่งออกมาหลังจากพบว่าภรรยาของเขาได้จากไปแล้วจริงๆ และวันนี้ ฉันได้เห็นอีก จากดวงตาพ่อ ผู้ถือภาพถ่ายของลูกสาว ที่ตามหาลูกมาตั้งแต่รู้ว่าเธอคนนั้นหายไปในกองไฟโหมซานติก้าในชั่วโมงใหม่ ของปีใหม่

            มิ่ง.. ทำไมน้ำตาที่หลั่งให้การจากไปของคนรักจึงทำร้ายใจคนที่ได้รับรู้อย่างฉันได้รุนแรงนัก?

            มิ่ง.. บอกฉันหน่อย ความรู้สึกระหว่างคนสองคน หากมันคือความรักอันแท้จริงแล้ว มันจะเบาบางจนพร้อมจะลอยหายไปพร้อมลมหายใจที่หลุดลอยของคนรักอย่างนั้นหรือ? หรือว่า แท้ที่จริงแล้วมันเป็นความรู้สึกที่แสนจะหนักแน่น และฝังลึกลงไปในใจของคนที่ยังอยู่?  

            มิ่ง.. ด้วยหนังเรื่องนี้ เธอกำลังบอกเล่าความรู้สึกที่อัดแน่นมานานในใจเธอกับฉันใช่ไหม?

            มิ่ง.. บอกฉันได้ไหม ความเจ็บปวดโศกเศร้าในใจของเธอ มันเกิดขึ้นจากสิ่งใด ความสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก หรือเพราะเธอยังติดค้างบางอย่างกับเธอผู้นั้น หรือเพราะเธอรู้สึกผิด ที่ไม่อาจช่วยเธอผู้นั้นได้ เช่นเดียวกับที่ทอมมี่ไม่อาจช่วยชีวิตอิซซี่?

            มิ่ง.. บอกซิ อะไรจะช่วยพาเธอออกมาจากโลกแห่งความเจ็บปวดได้? ต้นไม้แห่งชีวิตในสวนอีเดนช่วยได้ไหม?   

 

            แล้วสวนอีเดนอยู่ไหนกันล่ะ มิ่ง?

            ...เธออยากให้ฉันช่วยหาไหม

 

เพื่อนของเธอ,

ม้อย

 

 

หมายเหตุ

-The Fountain (2006)

-เขียนเรื่อง สกรีนเพลย์ และกำกับโดย Darren Aronofsky

-นำแสดงโดย Hugh Jackman และ Rachel Weisz

 

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552

เพื่อนฉัน : มึนส์กันให้พอ





16 แอคชั่นในภาพเดียว
สนุกกันให้มึนส์

เราทำได้: ผ้าพันคอคนเชียงใหม่ (ช)


ยาวกว่า ๒ เมตร

สามารถพันรอบคอได้มากกว่า ๑ รอบ


อาทิตย์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๑

เสร็จแล้วโว้ยยยยยยย
ทำได้โว้ยยยยย

ไหน? ใครจะอยากพูดสบประมาทกันอีก มีไหม???