วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552

Waiting in the Dark : ありがとう

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

คนตาบอดจะใช้ชีวิตอยู่โดยลำพังได้ไหม?
...ถ้าเป็นคนไทยล่ะ ไม่-มี-ทาง
แต่แล้วถ้าคนตาบอดคนนั้นเป็นคนญี่ปุ่น อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นล่ะ
หนังเรื่องนี้ให้คำตอบว่า ‘ได้’ นะ..แต่เหงาไหมนั้น เป็นอีกประเด็นจ้ะ

หนังเรื่องนี้นำเสนอชีวิตคนเหงาสองคน คนนึงคือ มิชิรุ (ทานากะ เรนะ) เด็กสาวตาบอดที่ไม่ได้บอดมาตั้งแต่กำเนิด ชีวิตค่อนข้างน่าสงสารเพราะแม่ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก ให้อาศัยอยู่ในบ้านหน้าสถานีรถไฟกับพ่อ พ่อก็ดีแหละ แต่มามีอันตายจากในวันที่เธออายุครบยี่สิบพอดี
คนญี่ปุ่นจะบรรลุนิติภาวะและเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุ ๒๐ มิชิรุยืนกรานที่จะอยู่เพียงลำพังต่อไปในบ้านของเธอ เธอว่าที่นั่นมีความทรงจำของเธอ เธอว่าเธออยู่ได้ ด้วยเงินประกันชีวิตของพ่อ และด้วยความช่วยเหลือจาก คาซึเอะ เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่วัยประถม
..จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะบ้านคือความทรงจำหรอก แต่เพราะบ้านหลังนี้คือโลกของเธอ เธอกลัวที่จะออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ก็เลยเลือกที่จะโดดเดี่ยวตัวเอง อยู่อย่างปลอดภัยในโลกของตัวเอง
ซึ่งเธอก็อยู่ของเธอได้จริงๆ มีออกไปข้างนอก ไปซื้อของ กินข้าวนอกบ้านบ้าง ก็ภายใต้การดูแลของคาซึเอะผู้แสนดี ผู้มีชีวิตมีสีสัน มีความฝันเหมือนกับคนปกติทั่วๆ ไป

คนเหงาอีกคนคือ อากิฮิโระ (เฉินป๋อหลิน) เขาคนนี้โดดเดี่ยวตัวเองจากสังคม เพราะรู้สึกว่าตัวเองแปลกแตกต่างจากคนอื่น สาเหตุสำคัญคือเพราะเขาเป็นลูกครึ่งจีน คนญี่ปุ่นนั้น ชาตินิยมมากๆ ลูกครึ่งที่ไม่ได้เกิดและโตในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นไม่ถือเป็นคนญี่ปุ่นด้วย การถูกคนอื่นเรียกลับหลังว่าเป็นคนจีนก็ส่วนหนึ่ง แต่อิฉันคิดว่าส่วนสำคัญคือเขาไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากพอ มั่นใจในตัวเองมากพอ ที่จะคบกับคนอื่น (โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน) มากกว่า ก็เลยต้องมาเหงาแบบนี้
อากิฮิโระมีปัญหาในที่ทำงาน มีคนคนนึงแกล้งเขา ที่ระแวงอยู่แล้วเลยระแวงมากขึ้นจนเกือบประสาท จนวันนึงเขาพบผู้ชายคนนั้นยืนริมชานชาลารถไฟ (หลังบ้านมิชิรุไง) รถด่วนกำลังจะวิ่งผ่านสถานี และเขาก็อยากจะ...

ผู้ชายคนนั้นตาย ก็คงถูกทับเละน่ะ อากิฮิโระหนีเข้ามาอยู่ในบ้านของมิชิรุ ตอนแรกใครๆ คงคิดเหมือนอิฉันว่ารู้ว่าผู้หญิงที่อยู่คนเดียวในบ้านนี้ตาบอด เลยมาซ่อนตัว แต่ตอนหลังรู้ว่าการแอบอยู่ริมหน้าต่าง แอบมองไปที่สถานีรถไฟอยู่เรื่อยๆ นั้น เป็นการมองหาบางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่แค่มองว่าตำรวจไปหรือยัง
คงสงสัยใช่ไหม ว่าคนตามองไม่เห็นแต่หูดี และมีประสาทสัมผัสเป็นเลิศอย่างมิชิรุไม่รู้เลยหรอ ว่ามีมาอยู่ในบ้านด้วย มากินด้วย ไม่ใช่แค่นั้น แต่ต้องทั้งฉี่ อึ ไหนจะกลิ่นตัว (ปู้จาย) ที่ไม่ได้อาบน้ำอีก
เธอก็สงสัยอยู่ แต่คิดว่าเป็นผี (เด็กคนนี้คิดถึงพ่อนะ อย่าลืมสิ) แต่ดูเหมือนไม่มีปัญหากับเธอ เพราะถ้าใครคนนั้นมีจริง เขาก็ไม่ได้เบียดเบียนอะไรเธอ ของทุกสิ่งในบ้านยังอยู่เหมือนเดิม
จนวันนึง เขาคนนั้นได้ช่วยเธอไว้จากอุบัติเหตุ มิชิรุถึงได้เริ่มทำอาหารสำหรับ ๒ คน

ข้างคาซึเอะ เห็นมิชิรุแทบจะขังตัวเองอยู่ในบ้านก็ชักห่วง ถ้าวันนึงเธอไม่มีโอกาสได้ดูแลเพื่อน แล้วเพื่อนจะใช้ชีวิตอย่างไร เลยอยากให้เพื่อนฝึกช่วยตัวเองในการออกมานอกบ้านบ้าง ออกมาสัมผัสกับชีวิตชีวา ความสนุกสนานของโลกภายนอกบ้าง แต่เพื่อนก็ยืนกรานว่าโลกภายนอกไม่มีอะไรน่าสนใจ (ที่จริงเพราะเธอเคยลองแล้วแต่ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีเลย) มิชิรุบอกคาซึเอะว่า “ถ้าฉันออกไปข้างนอกคนเดียว จะไปขวางทางทุกคน"
ความดื้อของเพื่อนทำให้คาซึเอะโกรธ ถึงกับซาโยนาระ (ลาก่อน-ลาเฉยๆ เค้าไม่พูดคำนี้จ้ะ) และไม่รับโทรศัพท์ แต่เพราะคาซึเอะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลก มิชิรุจึงตัดสินใจจะไปหา ไปคุยด้วย แต่ก็กลัว กลัวมาก จะเปิดประตูออกจากบ้านยังไม่กล้า
อากิฮิรุคงทนไม่ไหวแล้ว ก็เลยจูงออกมา เดินไปเป็นเพื่อน คอยให้กำลังใจเงียบๆ จนถึงหน้าบ้านคาซึเอะ มิชิรุบอกว่าเธอเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดี แล้วถอดโค้ตของพ่อที่เธอเอามาใส่ (คงเพราะคิดถึงน่ะ) ให้อากิฮิรุ เพราะเชื่อว่าเขาจะหนาว บอกว่าไม่ต้องห่วงตัวเอง เดี๋ยวยืมเสื้อเพื่อนใส่ได้ แล้วก็ให้กลับไปรอที่บ้าน เพราะเดี๋ยวเพื่อนคงไปส่ง แต่ถ้าเพื่อนไม่ไปส่ง ก็คิดว่ากลับเองได้แล้ว

เมื่อต่างคนต่างได้รับการมองเห็นจากอีกฝ่าย ทำให้คนสองคนเริ่มรู้สึกถึงการมีตัวตนของตัวเอง มิชิรุกล้าพอจะไปหาคำตอบกับเรื่องที่เธอสงสัย แล้วก็กล้าที่จะไขปริศนาทั้งหมด และเธอก็ช่วยเขาได้ในที่สุด

ตอนจบของเรื่องเกิดขึ้นในสวนสาธารณะ เป็นตอนที่ไดอาลอกที่สวยที่สุด

อากิฮิโระ : ฟังนะ.. มันเหมือนดอกไม้ที่เริ่มบานช่วงใบไม้ผลิ..
ถึงแม้ว่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ
ผมก็ปรารถนาให้พวกเราและทุกอย่างได้ผลิบานเต็มที่
เพราะฉะนั้น...

มิชิรุ: ขอบคุณนะ
ตอนนี้ฉันมั่นใจ
ฉันจะผลิบานอย่างเต็มที่
ฉันเชื่ออย่างนั้น

อากิฮิโระ: ขอบคุณนะ

ชอบน้ำเสียง ありがとう(อาริงาโต-ขอบคุณ) ของทั้งสองเสียจริง




บันทึก:
• เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องที่ดีมาก เขียนบทก็ดีมากด้วย
• น้องนางเอกหน้าตาเรียบๆ แต่น่าัรัก น่ามองมากๆ ส่วนพระเอกก็ดูจี๊น-จีน
• การดูหนังญี่ปุ่นเป็นการทบทวนบทเรียนที่เจ๋งจริงๆ โดยเฉพาะหนังที่พูดช้า ชัด ใช้แสลงน้อยๆ สบถน้อยๆ แล้วก็ใช้ประโยคที่มีโครงสร้างแบบหนังเรื่องนี้
• (ความช้าของหนังทำให้อิฉันดูได้ clear+smooth ด้วย ..ก็การ์ดจอมันตามไม่ทันโปรแกรมที่ใช้ดูหนังแล้วอะสิ)
• ซับไตเติลภาษาไทยหนังเรื่องนี้ดีมากๆ น่าสรรเสริญจริงๆ (แหม๋ อยากให้เค้ามีซับฯ ภาษาญี่ปุ่นให้ด้วยจัง)
• หนังเรื่องนี้ไม่มีเสียงอึกทึก (ดีกับประสาทหู) แต่เสียงทุกเสียงในหนังบอกบางอย่างกับคนดูตลอดเวลา
• ถ้าใจอยู่กับหนัง เราจะได้ยินกระทั่งเสียงคลี่ยิ้ม
• หนังเรื่องนี้แบ่งเป็นสามองก์ บางคนจะดูหนังเรื่องไม่จบ เพราะทนความเหงาในสององก์แรกไม่ได้
• อยากบอกเขาคนนั้นว่า ถ้าดูไปจนถึงองก์สุดท้าย น้ำตาเขาอาจไหลได้
• แต่น้ำตานั่น มันไหลออกมาเพราะคนสองคนในหนังไม่ได้เหงาอีกต่อไปแล้วน่ะสิ







36 ความคิดเห็น:

  1. พูดงี้หมายฟามว่าไงฮะ?

    ตอบลบ
  2. อยากดูหนังเรื่องนี้
    (แต่มีข้อโต้แย้งเล็กน้อย)
    พี่มีเพื่อนคนไทยสายตาพิการ ทั้งจากอุบัติเหตุ และตาบอดแต่กำเนิดหลายคน "ใช้ชีวิตโดยลำพัง" อย่างมีความสุข
    แน่นอน เพื่อน ๆ น้อง ๆ ตาบอดหลายคนที่พี่รู้จัก มักคุ้น มีชีวิตที่น่าจะผ่านอารมณ์ต่าง ๆ คล้ายในหนังเรื่องนี้ และเขาก็ผ่านกันมาได้ ..
    เขียนไปเขียนมาชักอยากดูขึ้นเรื่อย ๆ
    หรือหนังเรื่องนี้ อยากบอกเราจริง ๆ ว่า ๐โดยลำพัง แต่ไม่โดดเดี่ยว...จ๊ะ

    ...ขอบคุณที่นำมาบอกเล่าแบ่งปันค่ะ

    ตอบลบ
  3. ชั้นเป็นคนนั้นนะ แต่ไม่ได้ทนความเหงาไม่ได้ ตอนนั้นชั้นอาจอยู่ในอารมณ์คึกครื้นมาก ๆ แล้วทนดูหนัง เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ช้า ๆ ไม่ไหว ก็เลยขอพักไว้ก่อน...แต่ตอนนี้ก็เอาไปคืนเจ้าของซะแล้ว คงไม่ได้เอากลับมาดูอีก

    เวลาหล่อนชอบเรื่องไหนมาก ๆ หล่อนเขียนออกมาได้ดีเสมอ

    ตอบลบ
  4. โอ้วววววว ยาวเหยียด เดี๋ยวค่อยมาอ่านอีกที ไปพักสายตาดีกว่า ไปละ

    ตอบลบ
  5. ก็ถ้าจะให้ชั้นเขียนถึงไฉไล หล่อนจะให้ชั้นเขียนถึงไรล่ะ

    บรรดานมๆ ที่อัดกันอยู่ในนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นนมในอุดมคติชั้นซะหน่อย

    ตอบลบ
  6. ชอบดูหนังญี่ปุ่นอีกแบบอ่ะ มีให้ยืมป่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

    ตอบลบ
  7. ที่คิดว่าคนตาบอดไม่น่าอยู่ลำพังในเมืองไทยได้ก็เพราะว่าบ้านเรามันไม่ใครจะเอื้ออำนวยกับการดำรงชีวิตอยู่ "โดยลำพัง" ของผู้พิการน่ะค่ะพี่หญิง

    ดูง่ายๆ ในกรุงเทพฯ นี่ละกัน มันคงเจริญที่สุดในประเทศแล้ว
    ทางเท้าบ้านเราไม่เรียบ
    บนนั้นนอกจากหลุมบ่อแล้ว ยังมีทั้งขี้หมาและมอไซค์วินจอดเรียงราย วิ่งไปมา แถมบางช่วงก็มีกะทะทอดลูกชิ้นตั้งอยู่อีก

    ทางม้าลายที่กดเรียกสัญญาณไฟแดงให้รถหยุดได้(ที่ผู้ว่าอภิรักษ์ทำไว้ให้)นั่น เฉพาะบนถนนอโศกแถวออฟฟิศก็สามวันดีสี่วันไข้
    เชื่อไหมพี่หญิง คนตาดีถูกรถชนหน้าแกรมมี่แทบจะทุกอาทิตย์เลย

    นอกจากนี้ระบบขนส่งบ้านเรามันไม่เอื้ออำนวย รถเมล์มีหลายขนาด มาไม่ตรงเวลา แล่นไปเรื่อย ตามภาวะจราจร
    ไม่บอกว่าถึงไหนแล้ว

    ที่คนตาบอดไทยจะอยู่ลำพังไม่ได้ ไม่ใช่เพราะใจไม่ถึงหรอกค่ะ แต่เพราะมันลำบากยากเย็นเกินไปที่จะอยู่ลำพังมากกว่า

    ตอบลบ
  8. มี
    แต่ทำไมเราต้องให้เธอยืมด้วย?

    ตอบลบ
  9. นมใน อุดมคติ เป็นยังไงฮะ

    อิอิ

    ตอบลบ
  10. เห็นด้วยในประเด็นที่ว่าประเทศไทยไม่อำนวยความสะดวกใดๆเลยให้กับคนตาบอด
    ราวกับว่า... บ้านเมืองเราไม่มีผู้พิการเลยหรือไงนะ

    ที่รร.สอนคนตาบอด ชมรู้จักรุ่นน้องคนหนึ่งตอนไปอ่าน Harry Porter ให้เค้าฟัง
    ตอนนี้น้องน่าจะใกล้จบมหาลัยเเล้วหลังจากได้โควต้าที่ธรรมศาสตร์ค่ะ

    ถามภาษาญี่ปุ่นค่ะ ถ้าไม่ใช้คำว่า Sayonara จะใช้คำว่าอะไรที่เหมือนกับ bye bye ที่ไม่ใช่ So long ล่ะคะ

    ตอบลบ
  11. ถ้าตามสถานการณ์ในเรื่อง ระหว่างเด็กสาวที่เป็นเพื่อนๆ กันอย่างนี้
    ส่วนใหญ่จะบอกลากันประมาณ แล้วเจอกันนะ-mata ne(ถ้ายังไม่รู้จะเจอกันเมื่อไหร่) พรุ่งนี้เจอกันนะ-mata ashita เจอกันอาทิตย์หน้านะ-mata raishu

    ถ้าเป็นในชั้นเรียน(ภาษาเป็นทางการขึ้นมาหน่อย) ส่วนใหญ่จะลากันด้วยการขอบคุณมาก (domo arigato gozaimatsu) แล้วเจอกันอาทิตย์หน้า, วันอังคารหน้า อะไรก็ว่าไป

    sayonara มันเป็นการบอกลาอย่างเป็นทางการ
    อารมณ์มันประมาณ "ลาก่อน" อะไรเงี้ยค่ะ

    ใครรู้มากกว่านี้ช่วยแนะนำด้วยนะคะ

    ตอบลบ
  12. อยากรู้จิงหยอ?

    อิ อิ

    ตอบลบ
  13. เห็นด้วยกับที่พี่ม้อยพูดว่า ประเทศเราไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับคนพิการที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียว และยังมีหลายคนที่มีความคิดทุเรศๆ ที่เห็นคนพิการเป็นตัวถ่วงอีก

    ปิ๋มมีเพื่อนคนนึงที่นั่ง wheelchair วันที่เค้าเรียนจบปริญญาโท เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นมาขอร้องไม่ให้เค้าขึ้นรับพระราชทานปริญญาบัตร เพราะลำบากในการจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก พี่เค้ากดดันจนถึงกับร้องไห้ สุดท้ายได้อาจารย์(หมอ)ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเข้าไปโวยวายให้ เจ้าหน้าที่ก็เลยยอม เพียงแค่ให้เพื่อนของพี่เค้าติดบัตรเจ้าหน้าที่ แล้วก็ไปเข็น wheelchair ให้ แค่นั้นเอง ตอนนั้นพวกเราโกรธกันมากเลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแท้ๆ แต่พวกเค้ากลับทำเหมือนเป็นเรื่องที่ยากลำบากซะเหลือเกิน พูดแล้วของขึ้น หึหึ

    ตอบลบ
  14. ใจคอคนเราเนอะ?

    ว่าแต่เพื่อนปิ๋มเพิ่งมานั่งวีลแชร์หรอคะ
    เค้าผ่านตอน ป.ตรีมาได้ไง?

    ตอบลบ
  15. เค้าเพิ่งมาป่วยเป็นเนื้องอกทับไขสันหลังตอนเรียนปริญญาโทปี 2 ค่ะ พอผ่าตัดเสร็จแล้วก็เดินไม่ได้อีกเลย แต่เค้าก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีกับชีวิตมาก อยู่คอนโดคนเดียว ขับรถเอง ทำอะไรได้หมด แต่พอโดนสบประมาทแบบนั้นถึงกับหมดกำลังใจไปชั่วคราวเลยเหมือนกัน

    ตอบลบ
  16. เป็นพี่คงจะโกรธไม่น้อยเลยล่ะ

    ตอบลบ
  17. บางทีนะ
    สิ่งที่จะทำให้สังคมน่าอยู่ และทุกๆ คนในสังคมอยู่ "ได้" อย่างแรกเลยมันไม่ใช่สาธารณูปโภคด้วยซ้ำ

    แค่มี "น้ำใจ" ให้กันบ้าง
    มองคนอื่นให้เหมือนเป็นญาติเรา เพื่อนเรา คนรักของเรา
    ไม่ใช่คนอื่นคือคนอื่น คือพวกนั้น พวกนี้ ไม่ใช่พวกเดียวกะเรา

    คนคนนึงย่อมเป็น somebody for someone
    เหมือนกับที่เราเป็น somebody for someone นั่นแหละ

    ของขึ้นได้อีก

    ตอบลบ
  18. ตอนนั้นโชคดีที่ได้ อาจารย์หมอ พ.พ. ช่วยค่ะ ท่านเข้าไปต่อว่า จริงๆน่าจะเรียกว่า ด่า นั่นแหละค่ะ เรียงตัวเลยทีเดียว เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนั้นได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ และเปิดวิทยาลัยเกี่ยวกับคนพิการ(ในเครือ)ด้วย ยังจำได้ว่าเพื่อนมาเล่าว่า อาจารย์หมอถึงกับด่าปากสั่นทีเดียว (ไม่อยากนึกถึงคำด่าของท่านเลย เพราะปกติท่านก็ปากร้ายมากอยู่แล้ว หึหึ)

    ตอบลบ
  19. เห็นด้วยยยย ชอบความคิดนี้ที่สุด
    v
    v
    v

    ตอบลบ
  20. อืม เชื่อแระว่า คนปากร้ายมักใจดี

    ตอบลบ
  21. ใครปากร้าย?

    แล้วใครใจดียะ แ่ม่อีฟ?

    ตอบลบ
  22. ดูแล้วล่ะพี่ม้าน้อย

    ตอบลบ
  23. ดูแล้วไงจ๊ะ?
    หลับป่าว?

    ตอบลบ
  24. โด่ เด่ อะไรแถวนี้มิแซ่บ?

    ตอบลบ
  25. เพิ่งได้ดูพร้อมอ้นเมื่อคืนนะฮะเพื่อน
    ร้องไห้แค่ 2 ซีนแค่นั้นเอง (น้อยกว่าที่คิด)
    แต่แปลกที่ชั้นไม่ยักคิดว่าพระเอกคือฆาตกรตั้งแต่แรก
    ตอนจบดีสมคำร่ำลือ
    ความรักต้องอาศัยเวลานะฮะ
    ^^

    ตอบลบ