วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ค่ำชิค-ชิค ที่ Bamboo Chic




ค่ำวันศุกร์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
(ก๊อวันที่ไปเดินแถวๆ พัฒน์พงษ์น่านล่ะฮะ)
ไปทำงานที่ Le Meridien โรงแรมเปิดใหม่บนถนนสุรวงศ์
เขา้้เชิญไปชิลล์กับห้องอาหาร Bamboo Chic ของเขา

ห้องนี้บริการอาหารจีน+ญี่ปุ่น
มี Bamboo เข้ามาตลบธีมนิดเดียว ตรงทางเดินเข้า

โรงแรมนี้แต่งแบบโมเดิร์นคอนเทมฯ อีกแหละ
เท่าที่เห็นก็รู้สึกว่าเก๋เชียว ชอบ-ชอบ

ห้องอาหารเขาก็สวย
นอกจากการตกแต่งของเขา เราติดใจรสชาติอาหารด้วย
ลืมตั้งใจชิมซูชิ เลยบอกไม่ถูกว่าของสดของเขาสดแค่ไหน
แต่อย่างอื่นๆ ถูกใจมากๆ
คืนนั้นเขาเสิร์ฟบุฟเฟ่ต์ซูชิ แล้วก็มีโอเพ่นคิทเช่นคอยปรุงพวกเสต็ก เทปปันยากิตามสั่ง

เครื่องดื่มเขาก็ดี พนักงานก็น่ารัก

อ้อๆ รู้สึกว่า Mojito ที่วีรันดาจะอร่อยกว่าหน่อยนึง
หุ หุ

ป.ล.
-อัลบั้มนี้มีการปรับคอนทราส ช่วยให้สว่างขึ้น
-โปรดทำใจกับมือสั่นๆ

ตามผู้อาวุโสไป ภูหลวง-ภูเรือ-เชียงคาน

Start:     Dec 4, '08 10:00p
End:     Dec 7, '08
ไม่ไปภูกระดึงกะเด็ก
เปลี่ยนมาไปภูหลวง-ภูเรือ-เชียงคาน กะผู้สูงอายุดีกว่า

(โฮ่-โฮ่-โฮ่)

-คืนวันที่ 4 รถออก (สาธุ ขอให้นอนหลับดีๆ เถิ้ด)

-วันที่ 5 ไหว้พระธาตุศรีสองรัก (แล้วจะมีรักใช่ไหม?) เที่ยวภูหลวง ชมพระอาทิตย์ตกที่ภูเรือ กางเต้นท์พักแรม คนอื่นทำกับข้าว เราล้างจาน

-วันที่ 6 ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดภู ชมสถานีทดลองเกษตรที่สูง ภูเรือ กินเที่ยงที่ อ.เมือง จ.เลย เข้า อ.เชียงคาน เที่ยววัดศรีคุณเมือง แก่งคุดคู้ พระพุทธบาทภูควายเงิน นอนเกสเฮาส์ที่เชียงคาน (อาจเป็นโรงแรมสุขสมบูรณ์)

-วันที่ 7 ตื่นเช้า ตักบาตร เที่ยวเมืองเชียงคาน ออกจากเชียงคานสายๆ แวะสวนหินผางาม อาจจะแวะดูพระอาทิตย์ตกที่เขื่อนป่าสักถ้ามีเวลา ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืน

ถ้าโลกนี้ไม่มีกระแสไฟฟ้า



..โต๊ะโคตรรก



ศุกร์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ไฟฟ้าที่ตึกดับอีกหน
เป็นครั้งที่ ๓ หรือ ๔ ในรอบเดือนได้
ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าของสำนักงานในตึกที่่ตั้งอยู่กลางใจเมืองแบบนี้
จะใจเย็น ยอมให้ไฟดับได้บ่อยขนาดนี้

ดับทีไม่ใช่ ๕ นาที ๑๐ นาที
คราวก่อนโน้นดับ ๓ ชั่วโมง (คนขยันหยั่งเรายังนั่งรอไฟมา)
ว่ากันว่าฟิวส์ขาดหรืออะไรสักอย่าง ไม่ใช่ฟิวส์ตัวเล็กนะ ฟิวส์นั่นมันอยู่นอกตึก
คราวนี้ดับสักชั่วโมงได้
รอไม่ไหว ลงมาหาอะไรแดรกดีกว่า
(เซ็ง)

เท่าที่สอดแนมมา พบว่าฟิวส์ขาดอีก

(ไมมันขาดกันบ่อยนักวะ? หรือฟิวส์นั่นมันเมด อิน ไชน่า??)


ขำ-ขำ กับรูปฝีมือคุณละมั่ง


ถ้ามีใครวิจารณ์ว่าหุ่นย้วย
รับรองคราวหน้าไม่มีรูปขำๆ ให้ดูอีกแน่!!!!


วันนี้ยื่นกล้องให้มั่งหลายที
เลยได้ขำกันหลายรูปอยู่


ย่านดาโอ๊ะ




อาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

เช้านี้ไปนั่งเล่นในสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ข้างพิพิธภัณฑ์เด็ก
ไปนั่งใต้ซุ้มไม้เลื้อยใบสวยชื่อว่า "ย่านดาโอ๊ะ"
จำได้ว่่าเมื่อสักสองปีก่อน เคยมาถ่ายรูปในสวนนี้
คุณหัวหน้าพาชมสวน แล้วเล่าให้ฟังว่า ย่านดาโอ๊ะ เป็นไม้หายาก
พบในป่าจังหวัดชายแดนใต้
สมเด็จฯ ทรงโทรดให้นำมาปลูกในสวนนี้
ช่วงนี้ของปีเรายังไม่ได้เห็นความอัศจรรย์ของสีสัน
ไว้จะชวนมั่งกลับมาใหม่ เมื่อถึงเวลา

ย่านดาโอ๊ะ สวยยังไง หายากยังไง อิฉันคัดข้อความจากเว็บนี้
http://203.155.220.217/office/ppdd/publicpark/thai/MainPark/T_Somdet.html
มาให้อ่านแล้ว

ย่านดาโอ๊ะ หรือ ต้นเถาใบสีทอง เป็นไม้หายากของไทยที่ค้นพบว่าเป็น
พืชชนิดใหม่ของโลกพบได้เฉพาะน้ำตกบาโจ ในอุทยานแห่งชาติเทือกเขา
บูโด-สุไหงปาดี จ.นราธิวาส มีปลูกไว้ให้ชมความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ
นั่นคือใบที่มีขนปกคลุมคล้ายกำมะหยี่และจะเปลี่ยนเป็นสีทองแดงเหลือบ
รุ้งในเดือนสิงหาคม-กันยายน และเป็นสีเงินในเดือนตุลาคม


หมายเหตุ:
-ขอบคุณแสงอาทิตย์และอากาศแสนสบายในวันนี้
-ในสวนเหมือนอีกโลก ที่ไม่มีการทะเลาะกันเกิดขึ้น
-มั่งตั้งข้อสังเกตว่าชีวิตในนั้นจะ "รับรู้การมีตัวตน" ของตัวเองหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
-คิดๆ ก็น่าอิจฉาสิ่งมีชีวิตในนั้นเสียจริง

หนวดหาย




อาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

อาทิตย์ก่อนยังเท่กับหนวดเคราสุดเฟิ้ม
อาทิตย์นี้คุณละมั่งมาพร้อมใบหน้าเกลี้ยงเกล้า
"คัน...หน้าลอก" มั่งบอก

เห็นปากแห้งนัก อิฉันเลยเอาขี้ผึ้งสีปากที่เพื่อนให้มาให้ยื้มซะ
..มั่งบอกอร่อยดีนะเอ๋



ก้ามปู





อาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ม้อย+มั่งไปสวนสมเด็จพระนางเจ้าฯ กันอีก
วันนี้ถึงกับตกตะลึงใต้ต้นก้ามปู

...สวยอะไรอย่างนี้


วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สมพรปากนะฮะ




เสาร์ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

แอบเห็นพรปีใหม่พรแรกของปี

เพื่อนไม่เหมือนแฟน


 


ฤดูหนาว=ฤดูเหงา?


ถ้าไม่ใช่ ทำไมเวลาอากาศหนาวๆ ถึงทำให้เหงาจัง?

เหงาแล้วจะทำไง

มีีแฟนคงดี (อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงบอก...กูว่าแล้ว)

 

ไอ้ความอยากจะมีแฟนเนี่ย มันมีอยู่ทุกฤดูอะแหละ

แต่ในหน้าหนาว แฟนคงมีมูลค่าเพิ่มมหาศาล

นอกจากเป็นที่พึ่งทางใจ ทำให้อุ่นใจตอนที่รู้สึกว่าโดนชะตากรรมกลั่นแกล้งแล้ว

เขาก็คงช่วยให้อุ่นกายด้วย

(แน่นอนว่าเราก็ช่วยให้เขาอุ่นขึ้นได้เช่นกัน)

 

แต่ว่า

แฟนดีๆ (ที่อยากได้เราเป็นแฟนเหมือนกัน) ไม่ได้หากันง่ายๆ เหมือนหาเซเว่นอีเลเว่น

 

โชคดีอยู่บ้าง

ระหว่างที่เหงา เรายังมีเพื่อน

ทั้งเพื่อนหญิงและเพื่อนชาย

ล้วนแต่ดีๆ ทั้งนั้น (หรือเพราะเลิกคบเพื่อนไม่ดีไปหมดแล้วหว่า)

 

ก่อนนี้ก็เคยคิด

มิตรภาพระหว่างชาย-หญิงไม่มีในโลก

Platonic Love หรือการที่ผู้หญิง-ผู้ชายจะมีมิตรภาพใสบริสุทธิ์ต่อกันโดยไม่มีอารมณ์ทางเพศเกี่ยวข้องน่ะ

ไม่มีจริงหรอก

 

อยู่มาจนจะแก่ ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมี

เพื่อนผู้ชายที่เมาท์มันส์

อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายอกสบายใจ

ไม่ต้องสงวนกิริยา

ไม่ต้องเก๊กว่าฉันฉลาด ดูดี มีรสนิยม

ไม่ต้องพูดเพราะ หรือพูดอะไรที่มันเก๋ๆ

ไม่ต้องแต่งตัวสวย สวมเสื้อรีดเรียบ ผมเป็นทรง หน้าไม่มัน

ใจกว้างพอที่จะยอมรับ สี ที่เราเลือก

รับได้ในเรื่องที่เราซีเรียส แถมเคารพความคิดเราอีก

 

เพื่อนผู้ชายพวกนี้ทำให้รู้สึกว่า

ถ้ารู้ว่ามีเพื่อนผู้ชายแล้วสบายอย่างนี้ มีมาตั้งนานแล้ว

 

วันนี้ไปสยาม ไปดูหนังกะอุดม

ไม่ใช่เพราะอุดมดูหนังคนเดียวไม่ได้

แต่เพราะอุดมตั้งใจเอาอุปกรณ์กันหนาวสำหรับ พวกเราชาวภูกระดึง (สำนวนของอุดม) มาให้ยืม

ระหว่างรอเวลา พากันไปกินข้าวในโรงอาหารคณะทันตแพทย์ เม้าท์กันกระจาย

ว่ามาตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน สนทนาปัญหาบ้านเมือง ชีวิตและสุขภาพ ไปจนถึงเรื่องอนาคตของชาติ

ก่อนจะย้ายไปขำกับหนัง Burn after Reading

 

เป็นหนังเรื่องที่เหมือนเคยคิดว่าจะมาดู แต่ไม่รู้ไง ตั้งแต่ป้าอ้อยไม่อยู่ความกระตือรือร้นจะมาดูหนังก็อ่อยไป ถ้าอุดมไม่ชวนมาดู สงสัยเราก็คงมึนจนอดดูอีกจนได้

 

ต้องขอบคุณอุดมที่ทำให้ได้ดู

เพราะมันช่างเป็นหนังที่เสียดสีได้สาแก่ใจ

ขำก็ขำ มันส์ก็มันส์

ถึงเวลาก็ทำเอาใจหาย

ช่างเป็นหนังที่ทำให้รู้สึกคุ้มกับเงินทองและเวลาทีเสียไป

แถมทำให้เรารู้สึกว่าควรขวนขวายหา No Country for Old Men ผลงานเรื่องก่อนหน้าของผู้กำกับคู่นี้มาดูเสียที

 

ระหว่างกลับบ้านก็นึกๆ ดูเล่นๆ

คนที่จะ เก็ต ดูหนังแบบนี้ได้สนุกพอๆ กัน คงมีไม่มาก

เพราะถ้าจะให้ โดน คงต้องเป็นผู้ใหญ่หน่อย

เป็นคนช่างประชดประชัน เหน็บแนมอยู่พอสมควร

ขำได้ แม้ไม่ใช่มุกหม่ำ

แล้วก็ต้องใจร้ายนิดๆ คนใจดีเป็นแม่พระอาจไม่ touch  

 

นอกจากป้าอ้อยผู้ไม่อยู่ ก็คงมีเพื่อนอีกไม่กี่คนที่ดูแล้วชอบ

ลองนึกถึงแฟนเก่าๆ มีใครไหมที่ดูแล้วจะสนุกสนานประมาณกัน

 

นึก นึก นึก

 

อุ้ยตาย!... เห็นทีจะไม่มีใครชอบหนังแบบนี้เหมือนเรา

 

มีเพื่อน ไม่เหมือนมีแฟนจริงๆ ด้วย

 

ถ้ามันเป็นอย่างนั้น

เอาเพื่อนเป็นแฟนซะดีมั๊ยเนี่ย???

 

(โฮ่ โฮ่ โฮ่)

 

 

 

หมายเหตุ

-เมื่อคืนวานรับสายคนรักเก่า บางทีอากาศหนาวอาจทำให้เขาเหงา และคิดถึงฤดูหนาวที่ไม่เหงาก็เป็นได้

-คนรักเก่าอีกคน (เก่าน้อยกว่าคนข้างบน) ชอบโทรหาเราตอนดึกๆ เขาคนนี้คงคิดเราได้ทุกสภาพอากาศ ขอให้ดึกเป็นพอ

-พรุ่งนี้มีเดตกะเพื่อน หวังว่าลมจะไม่แรง อากาศจะไม่หนาวจนทำให้เราต้องกอดเพื่อน

-ที่เบื่อจะถ่ายรูปต้นคริสมาสต์หน้าเซ็นทรัลเวิลด์น่ะ ไม่เกี่ยวกับไม่มีแฟนนะยะ อุดม

ชั้นไม่เคยนึกถึงตัวเองไปถ่ายรูปไฟคริสมาสต์มาก่อนเลยในชีวิต เหมือนๆ กับที่ไม่เคยนึกถึงตัวเองในชุดเจ้าสาวน่ะแหละ




ฤดูหนาว=ฤดูเหงา? ตอน ชีวิตเหงาๆ ของชาวบางกอก




เสาร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ท้องฟ้าฤดูหนาวมืดเร็วกว่าที่เคย
หกโมงกว่าๆ ฟ้าก็เป็นสีแบบนี้ซะแระ

เหงาก็เหงา
หิวก็ิหิว

หมายเหตุ ไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่รีไซส์
เอ่อ บางรูปใช้โหมด Dusk/Down


วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เหงา...(๒)





ศุกร์ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

จู่ จู่
ก็ รู้ สึ ก เ ห ง า
ท่ า ม ก ล า ง ผู้ ค น

คืนที่พัฒน์พงษ์เหงา


เหงา


คืนวันศุกร์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ผ่านไปแถวพัฒน์พงษ์
...สามทุ่มครึ่ง ควรเป็นเวลาที่ที่ตรงนี้คึกคัก
แต่วันนี้ไม่ยักเป็นอย่างนั้น

เราสามารถสวมรองเท้าส้นสูงเดินทะลุซอยได้ภายใน ๓ นาที
นี่รวมเวลาหยุดถ่ายรูปแล้วนะเนี่ย

ดูเหมือนว่าคนพัฒน์พงษ์ก็ต้องเสียสละเพื่อชาติกะเขาด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เปิดจดหมายเก่า : โปสการ์ดจากพระจันทร์




พฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

เปิดตู้จดหมาย พบโปสการ์ดจากพระจัันทร์
เธอส่งมาจากบางน้อยคอยรัก
พระจันทร์เล่ามาก่อนแล้วว่าโปสการ์ดใบนี้เป็นอภินันทนาการ (แปลว่าฟรี) จากคุณพี่เจ้าของเกสต์เฮ้าส์

ต๊าย เป็นบุญนะฮะ

หมายเหตุ ขอบคุณนะฮะ พระจันทร์
เก้าอี้ตัวนี้ ถ้าไม่มีคนนั่ง
ขอนั่งเองไม่ได้หรอ??

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อร่อยอาหารเกาหลีที่ แฮง วุน จอง


แกงกิมจิ มาอย่างเดือดเลย
รสชาติเปรี้ยวๆ เหมือนกิมจิ
อร่อยดีฮะ

อังคารที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

...สองทุ่มครึ่ง
เอจังกับบีจังไม่ได้รู้เรื่องใครบุกยึดใคร ที่ไหน ยังไง

หมายเหตุ มื้อนี้หมดไป 340 บาทฮะ
โผเผออกจากห้องเรียนมาก็ให้แสนหิว
คราวนี้เอจังมาพร้อมไอเดียอยากกินแกงกิมจิ
บีจังเห็นพ้อง

ทั้งสองเลยพากันเดินมาแถวๆ ประสานมิตรสแควร์
มากินอาหารเกาหลีรสชาติดี ราคาไม่แพงที่ร้าน แฮง วุน จอง

ช่วยเพื่อนระลึกถึงวันประกาศรัก





๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙

วันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว เป็นวันมงคลของเพื่อน
เราเองก็พาตัวเองไปร่วมเป็นสักขีพยานกับเพื่อนด้วย
ได้เก็บภาพประทับใจมาส่วนหนึ่ง

วันนี้ครบ ๒ ปี แล้ว ขอระลึกถึงความสุขของเพื่อนด้วยคน

ละก้อ..ขอส่งใจให้เพื่อนได้ไปฮันนีมูนแสนหวานกับคุณสามีสมใจนะคะ


Late for Work (again)





จันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑


ไปทำงานสาย
ทั้งที่ตื่นไม่สาย
เพราะมัวอ้อยอิ่งอยู่กับสมเกียรติซังและแสงอุ่นๆ ตอนสายๆ ของหน้าหนาว


(ทำไมเค้าไม่ชวนเราเลย์ออฟนะ???)

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความเสื่อมของคนอโศก




จันทร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

สาวออฟฟิศอย่างเราคุ้นชินกับการมีตัวอย่างสินค้ามาแจกถึงหน้าออฟฟิศ

แต่คนมาแจกจะรู้มั่งไหม
เอาของมาแจกก็เหมือนเอาขยะมาทิ้งดีๆ นี่เอง

คนรับก็อีก ได้มาก็ใช่จะสนใจข้อความในแพคเกจ อยากจะแกะออก เก็บไว้แต่ของข้างใน จะได้เบาๆ ตัว แล้วก็ทิ้งๆ กล่องที่ใส่มาไปให้พ้น

ที่เห็นในรูปนี่เป็นวาสลินโลชั่นชนิดใช้แล้วตัวขาวภายใน ๑๔ วัน

ดูึความเสื่อมของคนทำงานออฟฟิศย่านอโศกเอาเถิด

ก็ตรงนั้นน่ะ ถังขยะก็ไม่ใช่นะฮะ


ก่อนมืดมีอะไร





อาทิตย์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ไม่มีเดต แต่ควรจะเทสต์แบตที่เพิ่งถอยมาใหม่ เลยหาเรื่องถ่ายรูป
ก็ถ่ายไปได้ ๒ รูป เพราะกว่าจะตื่นก็เย็นแล้ว
แม่โทรมาเม้าท์เรื่องน้องอีก

กรรมตามทัน? [รำพึง-รำพัน]



ช่วงนี้

มี ๒-๓ สายที่เราปฏิเสธจะรับ

เพราะไม่อยากคุยด้วย

ก็เลยใช้วิธีปล่อยให้เรียกจนสุด หรือไม่ก็กดทิ้งไปเลย

 

แต่เมื่อคืน

อยากคุยกับคนคนหนึ่ง

คนคนนี้ไม่ยอมรับสายมาหลายวัน และเมื่อคืน เขาก็ไม่ยอมรับสายอีก

นอนไม่หลับเลย

ฝันๆ ตื่นๆ

หรือว่า

 

กรรมตามทันเราแล้ว?


..เพลียจัง






น้องเฟธยังยิ้มได้ ^_^




อัลบั้มนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเอง
แต่เซฟรูปมาจาก forward email ที่เพื่อนสาธิตส่งให้เพื่อนสาธิต
อ่าน+ดูรูปแล้วน้ำตาซึม

ก้ออยากให้เพื่อนมัลติพลายมีแรงบันดาลใจที่จะสู้ชีวิตเหมือนๆ กับน้องเฟธนะฮะ

ยังไงก็ยิ้มไว้นะฮะ


This is called 'Faith.' His name is Faith!

This dog was born on Christmas Eve in 2002. He was born with 3 legs - 2 healthy hind legs and 1 abnormal front leg which need to be amputated. He of course could not walk when he was born. Even his mother did not want him.

His first owner also did not think that he could survive. Therefore, he was thinking of putting him to sleep. At this time, his present owner Jude Stringfellow met him and wanted to take care of him. She was determined to teach and train this dog to walk by himself. Therefore she named him 'Faith'.

In the beginning, she put Faith on a surf board to let him feel the movements of the water. Later she used peanut butter on a spoon as a lure and to reward him for standing up and jumping around. Even the other dogs at home helped to encourage him to walk. Amazingly, after only 6 months, like a miracle, Faith learned to balance on his 2 hind legs and jumped to move forward. After further training in the snow, he can now walk like a human being.

Faith loves to walk around now. No matter where he goes, he just attracts all the people around him. He is now becoming famous on the international scene. He has appeared in various newspapers and TV shows. There is even one book entitled 'With a little faith' being published about him. He was even considered to appear in one of Harry Potter movies.

His present owner Jude Stringfellew has give n up her teaching job and plans to take him around the world to preach, that 'even without a perfect body, one can have a perfect soul.'

In life there are always undesirable things. Perhaps one will feel better if one changes the point of view from another direction.

I hope this message will bring fresh new ways of thinking to everyone and that everyone can appreciate and be thankful for each beautiful day that follows.

ชีวิตสัตว์โลก ตอน แอบฟังสาวโสดคุยกัน (๕-ปลาทองทำไมหัวทิ่ม)

เอจัง: เมื่อวานไปสายใช่ป่ะ
พอใกล้ถึงโรงเรียนก็เจอซีซัง
ก็เลยขึ้นไำปพร้อมกัน แต่ฉันแยกไปห้องน้ำก่อน
พอไปถึงห้องถึงเห็นว่า มีแค่พีซัง กับซีซังที่นั่งอยู่ก่อน
...ตอนที่มีพีซังนั่งอยู่คนเดียวคงกดดันน่าดูเลยเนาะ

ซีซังโทร.จิกสองสาวให้ตามมา ซึ่งก็ตามมาหลังจากนั้นไม่นาน
สรุปว่า มีนักเรียน 5 คน

 

บีจัง: ว้า เศร้าจัง

...สงสารเซนเซเนอะ

บอกหรือป่าว ว่าชั้นไปทำงาน?

 

เอจัง: อยากบอก แต่ไม่มีโอกาสจะบอก


บีจัง:T-T 


เอจัง: เมื่อวานเซนเซแต่งตัวแมนกว่าทุกวัน
แบบว่าใส่เสื้อเชิ้ตแล้วมีเสื้อยืดข้างในอ่ะ
เซนเซบอกว่า วันอังคารเป็นวันหยุด เซนเซเลยไม่เคยเห็นหน้าเจ๊เซนเซอีกคนเลย (ไม่รู้จักหน้าเลย)
อ่ะ สงสัยใ่ช่มั้ยว่าเค้าคุยกันได้ยังไง
เซนเซบอกว่า เจ๊จะเขียนจดหมายใส่ไว้ในสมุดเช็กชื่อน่ะ ว่าแล้วก็โชว์จดหมายให้ดูด้วย

บีจัง: ไม่อยากให้เซนเซคิดว่าพวกเราขี้เกียดเลยเนอะ
(ถึงคนบางคนจะขี้เกียดจิงก็ตาม)
เซนเซคนนี้ออกจาน่ารัก

 

เอจัง: อือ ก็เลยต้องพยายามพาร์ทิซิเพท
ซึ่งลำบากมาก เพราะเราไม่ได้แม่นเหมือนเอฟจังไง
ฉันพยายามตอบครูจนเบลล์จังหันมาถามว่า โห นี่กลับไปคงอ่านหนังสือทบทวนน่าดูเลยใช่มั้ย (จริง ๆ ก็จำๆ เอาตอนที่ครูสอนในห้องนี่แหละ แต่ถ้าไม่ตอบอะไรเลย บรรยากาศมันจะน่าอึดอัดน่ะนะ)


บีจัง: ขอขอบคุณสำหรับความพยายามของหล่อน

 

เอจัง: ช่วงเบรกพีซังเล่าเรื่องปลาให้เพื่อนๆ ฟังด้วย รวมถึงสาเหตุว่าทำไมปลาทองถึงเป็นโรคหัวทิ่มได้
พีซังบอกว่า ปลาก็เหมือนกับคน ถ้า 3 ปัจจัยมีปัญหา ก็จะป่วย คือ อาหาร การพักผ่อน และความเครียด (พีซังบอกว่า อย่างคนอกหัก ก็เครียด แล้วป่วยง่าย)
แต่สำหรับปลาทอง มันจะไปป่วยที่ถุงลม แล้วก็เลยหัวทิ่มนั่นเอง

บีจัง: พีซังเก่งจิงเนอะ
นึกว่าจะเลี้ยงเป็นแต่ปลาฉลาม
ปลาทองก็เลี้ยงเป็นด้วย

 

เอจัง: พีซังพูดทำนองว่า ปลาทุกตัวมีถุงลม ยกเว้นปลาอะไรซักอย่างนี่แหละ เค้าเลยวิเคราะห์ได้ ซึ่งในเวลาต่อมา ได้ยินว่าเค้าเรียนจบวิดวะอะไรมาซักอย่าง คือครูถามว่า ที่ำทำงานไม่มีคนญี่ปุ่น แล้วทำไมมาเรียน พีซังก็บอกว่าอยากไปเรียนที่ญี่ปุ่น ไปอยู่ญี่ปุ่น ซีซังเลยบอกว่า จบวิดวะแล้วทำไมไม่หางานบริษัทญี่ปุ่นล่ะ เห็นบริษัทพวกนี้ชอบส่งไปฝึกงาน ได้อยู่กันปีนึง ครึ่งปี ไม่ต้องออกตังค์เอง พีซังก็พยักหน้าหงึกหงักไปตามเรื่อง...ซึ่งฉันว่าพีซังคงมีเหตุผลของเค้าอ่ะนะ ซึ่งเรื่องอะไรเค้าจะเล่าให้พวกเราฟัง


บีจัง: ซีซังมันจาไปเข้าใจอาร๊ายยย

 

เออ..เมื่อคืนดินเนอร์เลิกดึกมั่กฮะ
ออกจากร้านประมาณห้าทุ่มสี่สิบห้า แบบว่าต้องไปให้ทันบีทีเอส (เที่ยวสุดท้าย)
ตอนจะเปลี่ยนรถน่ะ เลยเที่ยงคืนแล้ว แต่เดินทางถึงจุดหมายสำเร็จ
นี่เป็นลางอะไรสักอย่างหรือเปล่าหนอ????

เอจัง: ลางอะหยัง?

 

บีจัง: ก็ลางว่าเค้าจะไม่ตกรถไควขบวนสุดท้ายไงตัวเอ๊งงงงงง


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ปรับแล้วดีขึ้นแน่ (ไหม?)


งั้นเอาแค่นี้
ปรับสีให้ผิวดูไวเทนนิ่ง

ได้รูปตัวเองที่นุถ่ายไว้เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
มีทั้งที่ดูได้ แต่ดูไม่ได้
เท่าที่ยอมให้ดูมีเท่านี้
และได้พยายามปรับปรุงบ้างเล็กน้อย
ให้ตัวเองรู้สึกว่าดีขึ้น

ก็เหมือนจะดีขึ้นจริง
ให้ดูเฉพาะคนกันเอง

ขำ-ขำ

Ladies in Lavender : สัจธรรมเกี่ยวกับเด็กหนุ่ม

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama


หยิบหนังเรื่องนี้มาดูเพราะคิดถึงป้าอ้อย

ไม่ใช่เพราะป้าอ้อยคือพี่สาว(โสด)ที่เคยเป็นบัดดี้ไปไหนมาไหนด้วยกัน แถมมีแนวโน้มจะไม่เอาสามีมาเป็นภาระกับชีวิตอย่างเดียวเท่านั้นดอก
แต่เป็นเพราะตอนนี้ป้าเค้าย้ายไปหนาวอยู่ถึงเมืองลีดส์โน่น

แต่เรื่องราวในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองหลายปีอยู่ ณ คอร์นวอลล์ เมืองริมทะเลของอังกฤษ ในฤดูร้อน (หรือสปริงก็ไม่แน่ใจ) แต่เป็นฤดูที่คุณป้าสองพี่น้องจูงมือกันลงไปเดินเล่นที่ชายหาด (แม่เจ้า.. เต็มไปด้วยหิน) กันอย่างร่าเริง ก่อนที่พายุจะเข้าในคืนนั้น

แล้วพัดเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเกยตื้นในเช้าวันต่อมา

แล้วชีวิตรูทีนแสนสงบสุขของสองป้าก็เปลี่ยนไป

เด็กหนุ่มชาวโปล(ลิช) หน้าตาโซโซ (ไม่หล่อ มีดีแค่ความหนุ่ม) พูดอังกฤษไม่ได้ กลายเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของสองป้า (รวมคุณเมดด้วยอ้ะ) จะกินจะนอน จะหิว จะอิ่ม สามป้ากระวีกระวาดจัดการให้ทั้งสิ้น

แค่นั้นไม่พอ สองพี่น้องยังแอบหวั่นไหวกับความสดใสของเด็กหนุ่มกันไปไม่น้อย ออกจะเป็นหนักในกรณีของป้าเออร์ซูล่าคนน้อง ที่ยังโสด และสดทั้งแท่ง ต่างกับป้าเจเน็ตที่เคยมีฝาละมีมาแล้ว เลยพอมีวุฒิภาวะบ้าง และที่เอ็นดูเด็กหนุ่ม บางทีก็ออกจะเหมือนแม่เอ็นดูลูก

แต่ป้าเออร์ซูล่าสิ (แสดงเก่้งชิบ) แกจำแลงกายเป็นสาวน้อยผู้หวั่นไหวกระนั้นเลย
(เด็กหนุ่มจะสังเกตเห็นก็หาไม่)

วันหนึ่ง ทุกคนก็ค้นพบอัจฉริยภาพ (สมัยนี้เค้าใช้คำนี้กัน) ทางดนตรี (ไวโอลิน) ของเด็กหนุ่มแอนเดรีย ก็ที่มาเกยตื้นน่ะ เป็นเพราะเขาโดยสารเรือจะไปแสวงโชคในอเมริกา แต่เรือดันมาแตกเสียก่อนน่ะสิ

เสียงเพลงของแอนเดรียยิ่งทำให้ป้าเป็นหนัก หลงกว่าเดิม ปลื้มกว่าเดิม ถึงขั้นหวง ไม่อยากบอกใคร ไม่อยากให้เด็กหนุ่มจากไปไหน

แต่เด็กหนุ่มก็คือเด็กหนุ่ม มันยังมีไฟ มีไดรฟ์ มีความทะเยอทะยาน มันไม่อยากมาหมกตัวอยู่ในบ้านนอก วันๆ มีป้าแก่ ๒ คนที่พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง (ก็พูดกันคนละภาษา) คอยล้อมหน้าล้อมหลังเอาใจหรอก

พอได้รู้จักกับศิลปินสาว(สวย) น้องสาวของอัจฉริยะนักไวโอลิน เด็กหนุ่มก็เลยตามสาวสวยนางนั้นไปฝากตัวกับพี่ชายของหล่อนโดยไม่ต้องคิดกันมาก

ยังความปวดใจให้สองป้ายิ่งนัก

ป้าเออร์ซูล่าถึงกับเหม่อลอยด้วยความเศร้าสร้อย ละห้อยหาด้วยความหวามไหว ก็ก่อนหน้านี้เธอถึงขั้นฝันถึงฉากโรมานซ์ระหว่างตัวเอง (เมื่อยังสาวสะพรั่ง) กับเด็กหนุ่มเชียว

โอ...มันช่างน่าเศร้า

จนกระทั่งวันหนึ่ง สองป้าได้รับพัสดุจากลอนดอน เป็นภาพพอร์เทรตของเด็กหนุ่ม วาดโดยศิลปินสาว(สวย) ที่เขาหนีตามไป พร้อมจดหมายอธิบายความและขอโทษที่จากไปอย่างกระทันหัน
เขาบอกว่า...

ขอบคุณที่สองป้ามอบชีวิตใหม่ให้เขา
และนี่ไง เขากำลังจะใช้มันแล้ว

(T-T)

เขากำลังจะแสดงสด ถ่ายทอดทางวิทยุ

สองป้าจึงตัดสินใจเข้าลอนดอน ไปฟังเด็กหนุ่มสีไวโอลินถึงในฮอลล์
เด็กหนุ่มทำคนในฮอลล์ตะลึง
และวันนั้น สองป้าก็เข้าใจ ว่า ที่ไหน ที่เด็กหนุ่มควรจะอยู่

หนังจบด้วยภาพด้านหลังสองป้าพี่น้องจูงมือกันเดินกลับ
(T_T)




บันทึก:
-เด็กหนุ่มหน้าเสื่อมมั่ก
-แต่เล่นไวโอลินดีจริงๆ
-เพลงที่เล่นในฮอลล์เพราะมาก ไม่รู้ชื่อเพลงอะไร ไม่ได้ตั้งใจดู
-ป้าเจเน็ต (Maggie Smith) และป้าเออร์ซูล่า (Judi Dench) เล่นดีจริงๆ
-คนเขียนบทช่างเข้าใจหัวอกสาวแก่
-อีกหน่อย เราอาจจะเป็นแบบป้า
-แต่สัญญาว่า เราจะไม่หลงรักเด็กหนุ่มหน้าเสื่อมๆ อย่างนี้เด็ดขาด





วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ต้นไม้ใบสวย


แอบเห็นหนูน้อยกำลังจะสอนโยคะคุณลุงแปลกหน้าด้วยสิ

เสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ในสวนสราญรมย์
ประมาณห้าโมง แสงกำลังสวย
เจอต้นไม้ต้นนึง ใบเป็นสีเขียวด่างขาว
แต่มีใบอ่อนๆ เป็นสีชมพูเรื่อไปจนแดง
ไม่รู้ว่าเรียกต้นอะไร
สวยจังเลย

หมายเหตุ
-รีไซส์เท่านั้น
-โปรดอภัยที่โฟกัสได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แถมยังจัดองค์ประกอบเสื่อมๆ อีก

รื่นรมย์ที่สวนสราญรมย์




วันเสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

หลังจาก "นั่ง" บีทีเอสนาน ๑๕ นาที ต่อด้วย "โหน" รถเมล์เป็นเวลาประมาณชั่วโมงกว่า
ต่อด้วยเดินอีกประมาณ ๓๐๐ เมตร
อิฉันก็มาถึงดิโอลด์สยาม ตามที่นัดไว้กะนุซัง (ช้าไปประมาณหย่อน ๑๕ นาทีสองชั่วโมง)

ที่นุต้องมารอ เพราะอิฉันขอร้องให้มาซื้อแบตฯ ชาร์ตเป็นเพื่อน
ก็ที่นี่มีร้านอมร แถมยังอยู่ละแวกบ้านหม้อ แหล่งขายของประดานี้

ซื้อกันเสร็จสรรพ พร้อมแวะกินไอติมไผ่ทอง (ดังที่ได้เห็นในอัลบั้มก่อนหน้านี้แล้ว) ก็ว่าจะเดินไปกินโรตีกันที่พระอาทิตย์

ถามนุว่าจะไปไง นุบอกให้เดินไปเฉยเลย

เอ้า เดินก็เดิน

เดินๆ มาก็มาเจอนี่แหละ สวนสราญรมย์
สวนสาธารณะเล็กๆ ในเกาะรัตนโกสินทร์
ไม่มีต้นไม้อลังการเหมือนสวนสมเด็จพระนางเจ้าฯ
ทั้งไม่ได้มีที่ทางกว้างขวางโอฬารสักครึ่งของสวนรถไฟ
แต่มันน่ารักเพราะความเล็กของมันนี่แหละ

เป็นที่ที่ดี ในเวลาอย่างนี้นะ (ใกล้ ๕ โมงเย็น) เหมือนชีวิตถูกกดรีโมตเข้าแชนแนล "ช้า" เลย

ถ้ามาไวกว่านี้จะได้ขี่จักรยานด้วยแหละ
(แต่นี่เกรงใจน้องเค้า มันใกล้เวลาิปิดทำการของเค้าแล้ว)

ดูรูปสวนของนุได้ที่ http://nu27.multiply.com/photos/album/78/78

กินไอติมกันมะ?


เลือกเกือบไม่ถูก

เสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

เดินอยู่ในตลาดบ้านหม้อ นุชวนกินไอติม
กินก็กิน (เพิ่งกินบลิซซาร์ดโอรีโอมานะยะ)
เห็นคุณลุงขายไอติม แสงสวยมากๆ
เลยขอถ่ายรูปหน่อย

ได้มาเป็นซีรีส์เรยล่ะ

หมายเหตุ รีไซส์เท่านั้น

ละแวกสนามหลวงเขามีอะไรกัน




เสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ไปสนามหลวงโดยบังเอิญ
เพราะว่าชวนนุมาช่วยซื้อแบตฯ ชาร์ตที่ดิโอลด์สยาม บ้านหม้อ
จากบ้านหม้อ จะเดินไปพระอาทิตย์ แวะสวนสราญรมย์ก็แล้ว
ต่อไปก๊อต้องผ่านสนามหลวง

คลื่นมหาชนและสิ่งดึงดูดกลางสนามหลวง ได้แก่พระเมรุที่ยังตั้งเด่นอยู่
(รวมทั้งร้านอาหารแบบเคลื่อนย้ายสะดวกกลางสนามหลวง)
ดึงดูดให้เราไม่ไปไหนต่อแล้ว
กระดึ๊บๆ ไปจนใกล้พระเมรุที่สุด
จ่อมลงกินหอยทอดกับข้าวแต๋น
แล้วก็กลับกันเลย

รถติดมากมาย คิดตั้งนานว่าจะไปไงดีให้สาหัสน้อยที่สุด
ก็กะว่าจะนั่งสาย ๑ ไปขึ้นบีทีเอสสะพานตากสิน
นั่งรถเมล์นานมาก ร้อนด้วย
แต่ว่า สนุกดี ได้ช่วยคนขับเติมน้ำใส่หม้อน้ำรถด้วย


วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ส้มตำคอนแวนต์ (ใครว่าอร่อย?)


มาเสิร์ฟตั้งแต่ยังเขียนออร์เดอร์ไม่เสร็จด้วยซ้ำ

ทำไว้ก่อนหรอ?
แล้วจะรู้ได้ไงว่าเราจะกินรสไหน

ป.ล. ไม่รู้จะเค็มจะเปรี้ยวไปไหนนะฮะ



วันพฤหัสที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ชวนนุไปเป็นเพื่อนงานเปิดร้านอาหารอิตาเลียนท้ายถนนสีลม
เจอกันที่ปากทางรถใต้ดินสีลม ว่าจะเดินไปกัน
ดันผ่านปากซอยคอนแวนต์
นุร้องโวยวายขึ้นมาว่า ส้มตำคอนแวนต์อร่อยนะ คนกินเยอะ

ด้วยความโลภ ทั้งๆ ที่กำลังจะได้ไปกินอาหารอิตาเลียน ก็แวะไปกินส้มตำก่อน

ไม่ได้ expect อะไร เลยไม่ได้ผิดหวังมากนัก
ก็ได้แค่ทำการรับรู้ว่า อ้อ...คนซอยคอนแวนต์เค้ากินส้มตำรสนี้กันนี่เอง


อ้อ อ้อ แพงมากด้วยนะ
ส้มตำจานน้อยๆ จานละ ๔๕ บาท
สั่งแึ่ค่สองอย่างข้าวเหนียว ๑ น้ำเปล่าขวด
ปาเข้าไปร้อยสี่สิบกว่า

ไม่เวิร์กอะ

เรดาร์แมว : แมวแถวบ้าน




ศุกร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ก็รู้มานานแล้วว่าแถวบ้านมีแมวหลายตัว
ทั้งอ้วนผอม
ตัวผู้ตัวเมีย
แต่เรื่องของเรื่องคือตอนที่เจอพวกมันมัีกเป็นตอนรีบออกไปข้างนอก
เลยไม่มีเวลาวิสสาสะ
เมื่อวานมีสมเกียรติซังอยู่ด้วย
ไปทำงานช้าีอีกตะหาก ยังไงก็ต้องนั่งมอเตอไซค์อยู่แล้ว
เลยแวะทักทานเจ้าสองเกลอหน่อย

เจ้าดำขวัญอ่อน
ทนเจ้ไม่ได้ ไม่ยอมให้ถ่ายรูป เลยวิ่งจู๊ดไปซ่อนใต้ท้องรถ
แม่คน(แมว)สวยนี่นิ่งกว่า

ใจเย็นรอคนหมดความอดทน
แต่ความสอดรู้สอดเห็นของคนชนะความอดทนของแมว
ท้ายที่สุด แม่คน(แมว)สวยก็เลยมุดใต้ท้องรถตามไปบ้าง

เป็นเยี่ยงนี้แล

หมายเหตุ
๑ แม่คน(แมว)สวยเธอสวยจริงๆ หลงรัก
๒ ยังคงรีไซส์อย่างเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แสงโคม







สมเกียรติซังถ่ายรูปขาวดำคอนทราสจัดอย่างคุณมาโนชได้ด้วย

ดีใจจริง




หมายเหตุ :
๑ สถานที่=NIU's on Silom Jazz-Blues Bar and Restaurant
๒ แค่รีไซส์

บาร์นี้มีแชมเปญ





คืนวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ไม่ได้ไปจิบเบียร์ที่มุมบาร์
แต่ไปจิบแชมเปญกับไวน์อีก ๒-๓ แก้วที่ NIU'S on Silom Jazz-Blues Bar and Restaurant

เพิ่งนึกได้ว่าน่าจะจิบวิสกี้มากกว่า

หมายเหตุ :
๑ เพิ่งค้นพบเทคนิคใหม่ให้สมเกียรติซังถ่ายภาพขาวดำคอนทราสจัด
ตื่นเต้นจิง

๒ ไม่ได้ตกแต่งภาพ แค่รีไซส์

รักแล้วรอหน่อย

ในจักรวาลนี้ยังมีโลกอันสวยงามใบหนึ่ง ชื่อว่า โลกมัลติพลาย

 

สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนโลกมัลติพลายมีความชอบ บุคลิก แนวคิด ความคิดเห็น อาชีพการงาน และประสบการณ์ต่างกัน แต่ทุกคนอยู่ด้วยกันได้โดยการแลกเปลี่ยน หรือ share กันและกัน เริ่มจากแชร์กับเพื่อน เริ่มขยายเป็นแชร์กับเพื่อน เพื่อนของเพื่อน และครอบครัวของเพื่อน เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ คนทุกคนบนโลกมัลติพลายจึงมีความเชื่อมโยงกันน้อยขั้นกว่า 6 degree of separation ที่ใช้สรุปความเชื่อมโยงของคนใน Planet Earth ซะอีก

 

การแบ่งปันในท่ามกลางความหลากหลายนี่เองที่ทำให้โลกมัลติพลายสวยงาม

 

...เมื่อสมัครใจมาเป็นพลโลกมัลติพลายกับเขา อิฉันก็ปฏิบัติตัวตามธรรมเนียมสามัญของชาวโลกใบนี้

คือเปิดใจ รับเพื่อนใหม่ แล้วก็พูดคุย แลกเปลี่ยนกัน

 

จำได้ว่า

ดิฉันมีความสุขกับการให้และรับ มีความสุขในการคบหาเพื่อนใหม่ๆ ในโลกมัลติพลายมาก

มากจนเคยคิดว่าความสุขจากโลกใบนี้ช่วยเติมเต็มความสุขในชีวิตบนโลกจริงๆ ด้วยซ้ำไป

 

ทว่า

เมื่อไม่นานนี้เอง ที่อิฉันต้องสะเทือนใจอย่างแรงจากโทสะของคนในโลกมัลติพลาย

อย่าสนใจรายละเอียดเลย เอาเป็นว่า เหตุการณ์นี้ทำให้อิฉัน ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ ใช้ชีวิตอยู่ในโลกจริงๆ ที่คนเราคบกันด้วยการดูหน้า ซื้อผ้าก็ต้องดูเนื้อ-นึกหวาดระแวงอันตรายในโลกมัลติพลายขึ้นมาอย่างฉับพลัน

 

ขอสารภาพตามตรง

อิฉันระแวงคนใหม่ๆ ที่ไม่รู้จัก

ทั้งๆ ที่เขาอาจจะแค่อยากจะรู้จัก อยากเป็นเพื่อนด้วย อาจจะด้วยน้ำใสใจจริงแท้ๆ ไร้สิ่งเคลือบแฝง

แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว อิฉันไม่อาจเปิดใจใสบริสุทธิ์เชื่อได้ในทันทีเลย ว่าคนที่อยากจะเป็นเพื่อนจะอยากรู้จักกันจริงๆ

 

หรือแค่อยากจะเข้ามาในบ้านของอิฉัน มาเห็นหน้าตากัน เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ในทางเสียหายเกี่ยวกับอิฉัน

 

ทั้งๆ ที่รู้สึกดีๆ ทุกครั้ง เวลาได้อ่านข้อความขอแอดเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนบ้าน เป็นออนไลน์บัดดี้ ฯลฯ

 

เหมือนวัวสันหลังหวะที่กล้าไม่มั่นใจในอะไรเลย แต่อิฉันไม่อยากปฏิเสธน้ำใจคนเลยนะ พูดตรงๆ

 

อิฉันก็เลยอยากจะถามเพื่อนๆ ที่ขอแอดมาว่า

ให้เวลาอิฉันหน่อยได้ไหม ให้อิฉันได้ทำความรู้จักกับคุณสักหน่อย เดี๋ยวถ้ารู้สึกสบายใจขึ้น เพราะรู้จักคุณดีขึ้น หรืออะไรก็ตามแต่ อิฉันจะเป็นฝ่ายไปวิงวอน ขอให้คุณรับเป็นเพื่อนเอง

 

ถึงตอนนั้น หากคุณปฏิเสธ ไม่อยากรับเป็นเพื่อน

อิฉันก็จะยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

ถ้าได้ ช่วยบอกกันหน่อยนะจ๊ะ

..

..

..


สุดท้ายนี้

ขอบคุณนะจ๊ะ ที่อยากเป็นเพื่อนกัน


ของฝากสาวหวาน





ยังฝากกันไม่หมด
อัลบั้มนี้ต้องสาวหวานเท่านั้น ถึงจะรับได้

จัดให้น้องเมย์ jeansbubble เป็นพิเศษเลยนะจ๊ะ

^_^

ของฝากจากเจเจ


เหมือนต้นหญ้าฮะ

พุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ไปถ่ายรูปว่านที่ตลาดนัดจตุจักร
อย่าแปลกใจ วันพุธกะพฤหัสเป็นวันที่พ่อค้าแม่ค้าเค้ามาขายส่งต้นไม้กันน่ะ

มีของมาฝากเพื่อนๆ เล็กน้อย ตามประสาคนเห่อกล้องใหม่

ใครจะว่าไงก็ช่าง
แต่นี่แค่รีไซส์ ไม่ได้ปรับสี

(ทำไมสีมันแจ๋นงี้ละฮะ แต่ว่า..ดอกไม้จริงก็สีจัดนะฮะ)

ป.ล. ขอโทษที่อาจไม่ได้สแลนถามรายละเอียดมาเกินชื่อต้นไม้
แบบว่าช่างภาพที่ไปด้วยมันหน้าหงิกเป็นม้าหมากรุกเลย
คนมันไม่มีใจอะนะฮะ

เกลีัยดช่างภาพจริงฮะ


วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เกิดเป็นปลา..ต้องอดทน





วันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

เดินเล่นสวนรถไฟกับคุณละมั่งตั้งแต่เช้า
ครัวซอง ๒ ตัวกะโดรายากิ ๑ ชิ้นที่แบ่งกันกินเริ่มเอาไม่อยู่
เลยเดินผ่านสวนสมเด็จพระนางเจ้าฯ มาออกตลาดนัดจตุจักร กะมาหาของกิน
ไกลพอดู หูอื้อตาลายแล้ว ตอนที่ถึงตลาดซันเดย์

แต่พอเห็นปลาพวกนี้แล้ว อดสงสารไม่ได้
ขอถ่ายรูปมาฟ้องเพื่อนหน่อยเถอะ

กินเอง จ่ายเอง ที่ราเมงเต


อร่อย อร่อย
เป็นราเมงที่ให้ฟีลลิ่งอาหารจีน

อังคารที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

เอจังและบีจังมีนัดเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ โรงเรียนภาษาฯ สสท. ซอยสุขุมวิท ๒๙ ทุกวันอังคารและพฤหัส
การเรียนแต่ละวันต้องการพลังงานสูง ทั้งกายและใจ
เมื่อเลิกเรียน สองเพื่อนสาวจึงกลับออกมาด้วยร่างกายกะปลกกะเปลี้ยจากความหิว (และมึน)

และมักต้องหาอะไรกินก่อนแยกย้ายกลับบ้านทุกคืน
(คืนไหนรีบแยกกันโดยไม่มีกิจกรรมนี้ร่วมกัน บีจังจะรู้สึกเหงาๆ อย่างบอกไม่ถูก)

ซอยสุขุมวิท ๓๓/๑ ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว ๓๐๐-๔๐๐ เมตร คือจุดหมายที่ทั้งสองโปรดปราน
เนื่องด้วยซอยนั้นเป็นที่ตั้งของนาการมูระคัสตาร์ด japanese patisserie อันโด่งดัง
มีร้าน neo ของเก๋ๆ ขายใน ๓ ราคา คือ ๖๐-๗๐ หรือ ๘๐ บาท
มีฟูจิซูเปอร์ ซูเปอร์มาร์เก็ตแนวญี่ปุ่น
แถมยังมีร้านราเมงสุดโปรดของเราอีก ๒ ร้าน คือตันตันเมง และราเมงเต
(ก็ไม่ได้กินทุกครั้งที่เจอกันหรอกนะ บางทีก็กินบะหมี่หมูกรอบข้างทาง-อร่อยเหมือนกัน)

คราวนี้บีจังบ่นอยากกินอุด้ง จึงแวะไปราเมงเตกันเพราะเอจังคลับคล้ายคลับคลาว่าจะมี

ปรากฏว่าไม่มี
แต่ไม่เป็นไร
ที่นี่ราเมงอร่อย

หมายเหตุ
-หมดไป ๒๐๐ บาท หาร ๒
-ภาพโดยสมเกียรติซังไม่ได้ปรับสี แค่รีไซส์
(อยากบอก.. มีไรมะ?)

หอมกุหลาบ ๒





ต่อจากอัลบั้มที่แล้ว
เป็นกุหลาบสีสวย
ถึงเป็นแค่ผ้ากับพลาสติก
แต่ก็ช่วยชุบชูใจให้สดใสขึ้นได้

หอมด้วย
ดมมาแล้ว

หมายเหตุ
-ลองมาโครสมเกียรติซัง
-ไม่ได้ปรับสี แค่รีไซส์

หอมกุหลาบ ๑





พุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ไปทำงานที่ตลาดนัดจตุจักร
วันนี้เป็นว่าที่พ่อค้าแม่ค้ามาขายส่งต้นไม้กัน
บังเอิญไปเจอกุหลาบเหลืองกอนี้
เธอไม่มีลมหายใจ
แต่เธอมีวิญญาณนะ

เธอหอมด้วยล่ะ
ไม่เชื่อก็เอาจมูกมาใกล้ๆ สิ


หมายเหตุ
-ลองมาโครสมเกียรติซัง
-ไม่ได้ปรับสี แค่รีไซส์


สมเกียรติซัง Self-portrait





ต่อจากอัลบั้มที่แล้ว
ลองถ่าย Self-portrait เงาตัวเองดู

สมเกียรติซังขาว-ดำ





พุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

เห็นเงาเห็นแสง
อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปขาวดำ
แต่ขอสารภาพว่ายังไม่สนิทกับโหมด M ของสมเกียรติซัง
เอารูปมาลงให้เห็นๆ โดยไม่ปรับอะไร นอกจากรีไซส์

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ปริศนาที่ ๔





๑ สถานีนี้ชื่อสถานีอะไร
๒ อยู่ที่พิกัดไหน
๓ ถนนที่เห็นชื่อว่าถนนอะไร

นึกไม่ออกว่าจะใบ้อะไรดี
เก่งจริงก็ทายมา

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อิ่มแดดอุ่นๆที่ Cafe Casta


เมื่อไหร่จะบานจ๊ะ?

จันทร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ไปทำงานที่ Cafe Casta ระหว่างซอยทุ่งมังกร ๑๒-๑๔ (0 2884 0448)
ร้านนี้เคยมาหนนึง กับครอบครัวทะเล คราวนั้นคิดว่าเจ้จาเลี้ยง เลยประหยัดปากประหยัดคำ ไม่กล้าสั่งอะไรที่มันดูอร่อย
(ซึ่งไม่ควรเลย เพราะในที่สุด นายเจ้ก็เข้าร้าน แล้วก็เหมาเลี้ยงเราทั้งโต๊ะ)

คราวนี้มาทำงาน เขาก็มีมาให้ชิมทั้งพาสต้า เค้ก เครป และกาแฟ

อาหารไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะได้ชิมตอนเย็นชืดแล้ว (ตามเคย)
แต่ติดใจ Strawberry Bloom อะ (เจ้ทำได้ไหม จะลุงทุนซื้อสตรอเบอรี่ให้เลย)

แล้วก็บรรยากาศ
เวลาเข้าร้านอาหารแบบคนไปกิน กับเข้าไปแบบคนไปทำงานนี่
เหมือนมีอภิสิทธิ์ในการซอกซอนถ่ายรูปต่างกันนะ

ดูสิ ฝีมือมีแค่นี้ยังรู้สึกว่าร้านเขาโคตรน่ารักเลย

จริงไหม?


ป.ล. ไม่มีรูปกาแฟเลยง่ะ


คันปาก-อยากบอกต่อ ตอน "ฟรีเซ็กซ์" บาปหรือไม่



ไม่แจ้งด้วยเหตุผลกลใด นิตยสาร Secret ฉบับออกมาแล้วหลายเดือนที่อิฉันได้รับจากพี่สาวที่รัก  จึึงมีเรื่องเด่นโปรยบนปกเป็นวิสัชนาต่อคำถาม "ฟรีเซ็กซ์ บาปหรือไม่" โดย ว.วชิรเมธี


...หรือคุณพี่เธอฝาก message บางประการมากับพี่มอส??

อิฉันอ่านแล้วก็คันปาก ด้วยว่ามันช่างเป็นประเด็นคันใจ จึงคัดมาเล่าต่อกันดังต่อไปนี้

ปุจฉา: การมีพฤติกรรมแบบฟรีเซ็กซ์ หรือมีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน โดยที่ต่างฝ่ายต่างเห็นว่าเป็นเรื่องสนุก น่าลอง และเป็นการหาประสบการณ์ชีวิต อย่างนี้ถือว่าบาปหรือไม่ และจะต้องได้รับผลกรรมอะไรไหมครับ

วิสัชนา: พฤติกรรมแบบฟรีเซ็กซ์ได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะพลังของความเชื่อมั่นในระบบศีลธรรมแบบไตรภูมิพระร่วง (กฎแห่งกรรม) ลดลง และพลังของเสรีนิยมประชาธิปไตยสูงขึ้น ซึ่งพลังของฝ่ายหลังนี้เองที่เปิดทางสะดวกให้สัญชาตญาณของมนุษย์ที่มีกิเลสคอยหล่อเลี้ยงเบ่งบาน

กฎแห่งกรรมที่เคยกำกับเส้นศีลธรรมในสังคมไทยอ่อนพลังลง "กฎแห่งกาม" ก็เลยเฟื่องฟู

กฎแห่งกามนั้นมีหลักอยู่ว่า ยิ่งตามใจกฎนี้มากเท่าไหร่ ยิ่งไม่มีจุดจบ ทั้งนี้ กล่าวตามนัยพระพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าเคยตรัีสว่า

"เราอาจอาศัยความอยากละความอยาก (ตัณหา)
เราอาจอาศัยความทะนงตัว (มานะ) ละความทะนงตน
แต่เราไม่อาจอาศัยกาม (sex) ละกามได้เลย
ในกรณีของกามนั้น มีอยู่ทางเดียวที่จะละได้ คือ ต้องชักบันไดเสีย"

คำว่า "ชักบันได" คือ ต้องเลิกหมกมุ่น รู้จักพอ และถึงที่สุดคือ ต้องหันหลังให้โดยสถานเดียว การหมกมุ่นในกาม ไม่ว่าจะเป็นลักษณะฟรีเซ็กซ์เรื้อรัง คือเป็นคู่นอนกันนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งมีโอกาสพัฒนาไปถึงขั้นเสพติดในกามรส พึงใจเมื่อไรก็โทรศัำพท์หา แล้วมีอะไรกันเรื่อยๆ หรือในลักษณะของ one night stand ที่พอต้องการเมื่อไรก็ไปสอยมาจากแหล่งเริงรมย์ยามราตรี ก็ถือว่าเป็นบาปด้วยกันทั้งสิ้น

บาปในที่นี้มีความหมายเท่ากับคำว่า ทุกข์

แม้ว่ากิจกรรมนั้นจะเกิดขึ้นจากความพึงใจของทั้งสองฝ่ายก็ตาม

ต้องไม่ลืมว่าความพึงใจไม่ใช่ศีลธรรม

ถ้าเราทำอะไรตามความพอใจ แล้วบอกว่าสิ่งนั้นไม่เดือดร้อนใคร ไม่น่าจะผิดศีลธรรม ความเข้าใจแบบนี้นับว่าอันตรายมาก เพราะเป็นวิธีคิดในลักษณะคิดเองเออเองทั้งเพ

ความสุขจากกามนั้น เป็นความสุขที่มีความทุกข์เคลือบแฝง การลิ้มรสกามนั้น ไม่ต่างอะไรกับการเลียน้ำผึ้งแสนหวานบนปลายมีดโกน กล่าวคือ มีความสุข แต่ก็มีความเสี่ยง

ในเบื้องต้นกว่าจะมีความสัมพันธ์กันก็ต้องหลบซ่อน ระหว่างมีความสัมพันธ์นั้นก็ต้องปกปิดไม่ให้ใครรู้ และหลังมีความสัมพันธ์แล้วก็ต้องคอยปกปิดซ่อนเร้นต่อไป ทันทีที่มีอะไรกันและเดินหันหลังให้กันแล้วดูเหมือนทุกอย่างจะจบลง แต่บางทีไม่เป็นเช่นนั้น ในบางกรณีอาจมีโรคที่เนื่องในกามเป็นของสมนาคุณ หรือในบางคู่อาจมีความถวิลหา ผูกพันฝังลึก กลายเป็นความปรารถนาที่ยืดเยื้อเรื้อรังออกไปไม่รู้จบ หรือบางคราวก็ต้องเสียเงินเสียทองมหาศาลเพื่อการได้มาซึ่งกามกรีฑาที่สุขสม ที่ร้ายกว่านั้นก็ทำให้ชีวิตคู่พังครืน

เวลาของกามนั้นสั้นนิดเดียว แต่โมงยามของทุกข์นั้น ขยายตัวไม่มีกำหนด

แม้กามรสซึ่งเกิดจากความพึงใจของทั้งสองฝ่ายอาจไม่ทำให้ใครเดือดร้อนในทันทีทันใด แต่ก็อยากเตือนไว้ว่า แท้จริงแล้ว ที่เราบอกว่ามันทำให้มีความสุขนั้น เจ้าความสุขที่ว่านี้ก็คือรูปแบบหนึ่งของความทุกข์ที่รอเวลาอยู่เท่านั้นเอง

มองในแง่กรรม ณ ปัจจุบัน คนที่หมกมุ่นในกามจะทำให้คุณภาพจิตตกต่ำลงมาก ศักยภาพการใช้ปัญญาก็ไม่เฉียบแหลม สุขภาพกายก็โรยแรง ซ้ำยังต้องคอยปกปิดพฤติกรรมของตนไว้เป็นความลับ ส่วนกรรมในระยะยาวนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่า ถ้าคู่นอนของตนเป็นผู้ที่มีเจ้าของแล้ว ถึงแม้สองฝ่ายจะพอใจในเพศสัมพันธ์ แต่ก็นับว่าผิดศีลข้อสามอยู่ดี (กาเมสุมิฉาจาร) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่ผิดศีลข้อสามจะไม่ถูกกรรมรังควาน

กรรมสำหรับคนที่ละเมิดศีลข้อสามคือ จะทำให้เขาไม่มีความสุขที่เกิดจากชีวิตสมรส มีพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบน มีจิตใจไม่ตรงกับเพศสภาพภายนอก ตัวเป็นชายใจเป็นหญิง ตัวเป็นหญิงใจเป็นชาย หรือชายไม่ใช่หญิงไม่เชิง ต้องอับอายอันเนื่องมาจากสาเหตุทางเพศของตน หรืออาจถูกกระทำการประทุษร้ายโดยมีเรื่องทางเพศเป็นสาเหตุ มีชีวิตคู่ที่ล้มเหลว เป็นต้น

ก็อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ความพอใจไม่ใช่ศีลธรรม แม้กิจกรรมหลายอย่างในชีวิตของเราเกิดจากความพอใจของตนและคนที่อยู่เคียงข้าง แต่เราต้องไม่ลืมว่า ความพอใจในกามนั้น มีรากฐานมากจากกิเลส ไม่ใช่จากคุณธรรมที่ชื่อปัญญา

กิจกรรมใดก็ตามที่เกิดจากกิเลส กิจกรรมนั้นมักมีทุกข์เป็นผล
กิจกรรมใดก็ตามที่เกิดจากปัญญา กิจกรรมนั้นมักมีสุขเป็นผล

ถ้าเราหว่านเมล็ดพันธุ์ที่เป็นพิษ จะหวังให้เกิดผลที่สมบูรณ์นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

ความสัมพันธ์ทางเพศที่เกิดจากทัศนคติที่ผิดก็เช่นกัน ที่ว่ากันว่าเป็นความสุขนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่า แท้ที่จริงมันเป็นความทุกข์ที่รอเวลาอยู่เท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้กามเหมือนผลไม้อร่อยที่มีพิษ แต่พุทธศาสนาก็ไม่ได้ปฏิเสธคุณของกาม ดังนั้น ท่านจึงสอนว่า เมื่อจะบริโภคกามก็พึงทำเหมือนบริโภคอาหาร กล่าวคือ ต้องรู้จักเลือก รู้จักอิ่ม รู้จักพอ

ทางสายกลางยังคงเป็นคำตอบที่ใช้ได้เสมอ แม้ในเรื่องของกาม


หมายเหตุ: คัดจากคอลัมน์ Answer Keys ตอบคำถามโดย ว.วชิรเมธี
นิตยสาร Secret ฉบับประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๑ (ปกพี่มอสสสส)

กระจกพิเศษ


ดูขายาวเพรียวเชียว

วันจันทร์ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

เจอกระจกพิเศษในห้องสตูดิโอ
ส่องแล้วขายาว หน้าขาวเพรียว
เลยรีบถ่ายรูปมาให้ดูกัน
ขำ-ขำ

เก็บกุหลาบมาฝากอา-อิ


กลางแสงยามบ่าย


ไปทำงานที่ Cafe Casta วันนี้
เห็นช่อกุหลาบในแสงสวย
เลยเก็บมาฝากอา-อิ
เพื่อนสาวคนสำคัญ

ขอให้ชีสู้ชีวิต(รัก)ต่อไป
เหมือนกุหลาบไม่ยี่หระต่อแสงยามบ่าย


(เพราะมันเป็นกุหลาบปลอม ฮ่า ฮ่า)

หมายเหตุ
โปรดติดตามเรื่องราวของ Cafe Casta ในอัลบั้มต่อๆไป

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ปริศนาที่ ๓





๑ อาคารที่เห็นนี้คือสถานที่อะไร
๒ อยู่ที่ไหน
๓ เก่งกันนักใช่ไหม ไม่ใบ้แล้วนะ

ดอกไม้จากสมเกียรติซัง





อัลบั้มนี้คือดอกไม้ที่สมเกียรติซังเก็บมาฝาก
ตามเดิมฮะ
ไม่ได้ปรับสี แค่รีไซส์

สนุกกันใหญ่


ให้มั่งช่วยถ่ายรูปตอนกะลังทำงานฝีมือ

ผืนนี้ของปลา
(ยังมิเสร็จนะ ..แต่ก้อใกล้แล้วแหละ)


อาทิตย์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

โหมด Continuous ๑๖ ช็อตของสมเกียรติซังทำพวกเราตื่นเต้นและหนุกหนานมาก
เลยเล่นกันไปหลายรูป

เทคนิคคือ
๑ ต้องเซ็ทวัดแสงให้ดีก่อน จึงจะได้รูปสวยงาม แสงพอดี หน้าไม่มืด
๒ เหวี่ยงกล้องไปเรื่อยๆ จะได้ภาพแปลกประหลาด
๓ อย่าทำหน้าเฉย ต้องมูฟฮะ
๔ ถ้ามันยังไม่ถูกใจก็ถ่ายใหม่

ไม่ยากฮะ
^_^

พาสมเกียรติไปสวนรถไฟ


"แล้วจะทำไงกะสัมภาระ" อิฉันถาม
มั่งบอก เช่าจักรยานคันนึง ที่มีตะกร้า เอาไว้ใส่ของ แล้วก็ผลัดกันขี่จักรยานแก้เหนื่อย

หึหึ



Sunday morning ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

ได้สมเกียรติซัง (กล้องน่ะ Nikon Coolpix P50-เผื่อใครยังไม่รู้) มาตั้งแต่วันศุกร์ที่ ๑๔
พอดีวันนี้มีเดตกะคุณโปรแกรมเมอร์ (ชื่อคุณมั่ง) แต่เช้าตรู่ ในสวนรถไฟ
...สวีตชิมิล่า?

ก๊อเลยพาสมเกียรติซังมาทำความรู้จักกันหน่อย

รูปไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เกรงใจมั่ง ไม่กล้าทิ้งไปถ่ายรูปนานๆ
อิฉันจะให้ชมโดยไม่ได้ปรับสี แค่รีไซส์ เพื่อความสะดวกในการอัพโหลด

ความรู้สึกตอนนี้คือ สมเกียรติซังช่างเป็นกล้องที่มีรายละเอียดชวนค้นหามากมาย
น่าตื่นเต้นจริงๆ

ดูกันเฉพาะรูปที่ไม่เสียละกันเนอะ

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คำคม#๑๕



"อยู่กับสิ่งที่มี..ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน
และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด"

เพื่อนรุ่นพี่(ผู้มีประสบการณ์-ในบางด้าน)ลงทุนร้องเพื่อสั่งสอน
ก่อนจะสรุป
"ม้าน้อยเลิกหลอกตัวเองเถอะ"





อันเนื่องมาจากสาธิตฯซาว




เพื่อนเอ๋บอกมาว่าเพื่อนแว่นกำลังจัดทำเว็บรุ่นสาธิตฯ ซาว (ซาวแปลว่า ๒๐-ลำดับรุ่นของเราเอง)
และต้องการให้เืพื่อนๆ ส่งภาพหน้าตาในปัจจุบันไปให้ ๒ รูป
รูปนึงทำท่า ๒ และอีกรูปเป็นท่า ๐

ก็ได้ใช้ความพยายาม และได้ผลออกมาดังที่เห็น

ส่งรูปไหนไปดีอะ?


ป.ล. วันนี้หน้าไม่จ๋องแล้วสิ?


UDON: ชีวิตที่หล่อเลี้ยงด้วยความฝัน

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Comedy
ก่อนจะเริ่มอ่านกันขอทำความเข้าใจก่อน
ว่าชื่อหนังเรื่องนี้คือ "อุด้ง" หาใช่ "อุดร" อย่างที่หลายคนคิดนะฮะ

ใช่แล้ว อุด้ง คือเมนูอาหารเส้นของคนญี่ปุ่นเค้า มันไม่ได้มีส่วนประกอบมากมาย ปรุงด้วยวิธีสวิงสวาย ต้องใช้อุปกรณ์ไฮเทคโน่นนี่แต่อย่างใด

แค่แป้ง กับน้ำ ผสมให้เข้ากัน หมัก นวด ตัดเป็นเส้น แล้วก็ต้มให้สุก พักไว้
เวลาจะเสิร์ฟก็ลวกอีกที ราดน้ำซุป (ปลาแห้ง) โรยหอมซอยละเอียดๆ ตอกไข่ดิบสดๆ ลงไป

..เห็นในหนัง แค่นี้เค้าก็กินกันอย่างอร่อยจะแย่

หนังเรื่องนี้พูดถึงความฝันฮะ
โคซุเกะ มัตสึโอะ พระเอก(หน้าตาไม่ดีฮะ)ในเรื่อง ทายาทร้านอุด้งที่ไม่เคยภูมิใจในเมืองแม่ของอุด้งแห่งนี้เลย ก็เลยบินไปตามหาความฝันอยากเป็นเหมือนพี่โน้สอุดม (ฝรั่งเรียก stan-up comedian) ที่นิวยอร์คุโน่น

แต่แป้กฮะ
นอกจากสำเนียงแย่ มุกยังเข้าไม่ถึงอเมริกันชน ประกอบกับหนี้ตรึม ทำให้แกต้องซมซานกลับบ้านเกิด ที่ซานุกิ ในคางาว่า เป็นอำเภอเล็กๆ มีประชากรไม่ถึงล้าน แต่จัดเป็นดินแดนอุด้ง เพราะว่ามีร้านอุด้งถึง ๙๐๐ ร้าน (แม้แต่คุณพ่อของพี่พระเอกก็ทำอุด้งและเส้นอุด้งส่งตามโรงเรียน และโรงพยาบาล) ขณะที่โตเกียวมีประชากร ๑๒.๕ ล้านคน มีร้านแมคโดนัลด์ถึง ๕๐๐ ร้าน
(ข้อมูลไม่ได้ค้นนะ จดมาจากในหนัง)

พี่พระเอกจับพลัดจับพลูไปทำงานในกอง บ.ก. นิตยสารท้องถิ่นยอดน้อยที่แทบจะไม่มีร้านหนังสืออยากรับไปวาง แต่เนื่องด้วยพี่เขาต้องหาเงินมาใช้หนี้ ก็ต้องคิดหาเงินกันให้ออก

พอดีก่อนหน้านั้นแกไปติดอยู่ในป่ากับคุณนางเอก หิวโซอยู่ทั้งคืน พอเดินออกจากป่ามาได้ก็มาเจออุด้งคุณป้า ป้าแกเปิดบ้านขายแบบบ้านๆ แต่ฟิลลิ่งและรสชาติคงจะได้ใจพี่แกมา อุด้งคุณป้าก็เลยกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้พี่เค้าคิดทำนิตยสารพื้นๆ ให้กลายเป็นคู่มือตะลุยชิมอุด้งทั่วอำเภอ

ปลุกกระแส สร้างความโด่งดัง นำพาชื่อเสียงและนำพาชื่อเสียงมาสู่ท้องถิ่นในทันใด

ร้านอุด้งในอำเภอพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ยกเว้นพ่อของพี่พระเอก ที่ยังคงดำรงชีวิตปกติต่อไป คือตื่นมาก็ผสมแป้ง นวดแป้งอย่างซื่อสัตย์ อย่างประณีต อย่างมีวินัย ไม่รีบร้อน และถึงแม้แกจะหน้าตาขมึงทึง แต่ก็จะใจดีกับลูกค้าประจำที่เป็นเด็กประถมที่จะดอดมาขอกินอุด้งของแกเสมอๆ

อันว่ากระแสความดังมันก็มีธรรมชาติเหมือนวาสนาคนเรา คือมีขึ้นแล้วก็มีตก
เมื่อกระแสอุด้งดังจนสุด คุณภาพ และมาตรฐานก็เปลี่ยนไป ให้สอดรับกับดีมานด์ งานของพี่พระเอกก็เลยซาลง ผู้คนก็แห่ไปนิยมของกินใหม่ๆ ในย่านใหม่ๆ ต่อไป

จนวันหนึ่ง เมื่อพี่พระเอกคิดได้ จะมาขอรับช่วงร้านอุด้งกับพ่อพร้อมกับเอาเงินมาคืน ก็พบว่าพ่อได้ตายในหน้าที่ไปแล้ว

น้ำตามันซึมเอาอีตอนหลังงานศพ พี่เค้าเอาแป้งอุด้งที่พ่อทำค้างไว้ไปต้มกิน แล้วเค้าร้องไห้คาชาม เราเลยร้องไห้ตาม

เกือบไม่มีคนสืบทอดแล้วซี ร้านอุด้งของพ่อ ก็พี่สาวบอกว่าพ่อไม่เคยสอน ไม่เคยให้สูตร ไม่มีทางสืบทอดร้านได้ แต่บรรดาลูกค้าที่ทยอยกันแวะเวียนมาเลียบเคียงขอกินอุด้ง แถมยังทิ้งข้อความไว้ ขอให้คุณมัตซึอิหายป่วยไวๆ (เค้าไม่รู้ว่าแกตายไปแล้ว) นั่นแหละ คุณพี่พระเอกเลยเกิดแรงฮึด

พยายามทำอุด้งรสคุณพ่อขึ้นมาใหม่ โดยมีคุณนางเอกคอยช่วยเหลือ

และในวันที่ทำได้ใกล้เคียงสุดแล้วนั้นเอง เขาก็ได้ฝันไปว่าพ่อกลับมาหา เขาถามพ่อว่า ทำไมพ่อต้องทำอุด้งด้วย (ยังปักใจว่าเพราะความหมกมุ่นอยู่กับอุด้งของพ่อนั่นแหละ ที่ทำให้แม่ตาย) พ่อบอกว่า ก็มันเหมือนภูเขาเอเวอร์เรสต์ มันตั้งอยู่ข้างหน้า ถ้าไม่ปีนแล้วจะไปปีนเขาไหนอีก

แล้วพ่อก็ถามเขามั่ง ทำไมต้องไปตามความฝันถึงนิวยอร์คคุ (สำเนียงญี่ปุ่น)
เขาบอก เพราะตั้งแต่เกิดมาก็เห็นพ่อหน้าตาขรึม ไม่เคยยิ้ม เขาเลยอยากฝันอยากจะเป็นนักพูดตลกๆ ทำให้พ่อเขาหัวเราะสักครั้ง

พ่อบอก แค่ทำอุด้งอร่อยๆ คนกินกินแล้วยิ้มได้ พ่อก็ยิ้มได้แล้ว ว่าแล้วก็ตบหัวลูกหนึ่งที ก่อนจากไป

จริงเลย เพราะพอพี่พระเอกทำอุด้งได้รสเดียวกับพ่อ เอาไปส่งที่โรงเรียนที่พ่อเคยไปส่ง ไปแอบดูเด็กอนุบาลกินอุด้ง เด็กอร่อย (มันดูอร่อยจริงๆ นะ เขาถ่ายภาพชามอุด้งได้ควันฉุย เส้นอุด้งดูทั้งหนา นุ่ม แล้วก็เหมือนจะหอม แถมคนญี่ปุ่นมีธรรมเนียมต้องกินเสียงดัง สุดเส้นเข้าปากกันทั้งชาย-หญิง มันเลยยิ่งดูอร่อยใหญ่) เด็กยิ้มจริงๆ

พี่พระเอกน้ำตาซึม มองเห็นพ่อยืนดูเด็กๆ อยู่ที่อีกฟากฟ้อง พ่อยิ้มเมื่อเห็นเด็กยิ้ม
แล้วคนดูก็พลอยน้ำตาซึมทั้งๆ ที่กำลังยิ้ม

(อยากกินอุด้งมากมาย)

หนังเรื่องนี้จบแบบแฮปปี้เอนด์ดิ้ง แต่ไม่หวานจนเลี่ยนเกินไป ไม่เลย มันเป็นหนังญี่ปุ่น ก็เลยจบแบบเก๋ไก๋สไตล์ญี่ปุ่น

ใครอยากรู้ไปหามาดูนะจ๊ะ



บันทึก
-ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินอุด้งที่จำได้ว่าอร่อยเลย ชักอยากไปกินถึงที่ ที่เค้าทำเส้นอุด้งสดๆ เสียแล้วสิ
-เดี๋ยวหาร้านอุด้งอร่อยๆ แถวนี้กินมั่งดีกว่า ถามเซนเซๆ
-คนหน้าตาไม่ดีก็เป็นพระเอกได้เนอะ
-อาหารญี่ปุ่นไม่เห็นต้องชูรสอะไรกันมากมาย มันอร่อยที่รสอ่อนๆ อย่างนี้แหละ
-คนเรามักมองข้ามของดีๆ ที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้เสมอ
-ทำไมคนเราชอบมีอคติกับบ้านเกิดนักนะ
-แล้วก็ชอบมานึกถึงความรักของพ่อแม่ตอนที่สายไปแล้วเรื่อยเลย
-ใช่แล้ว ความโง่เขลา เบาประสบการณ์ ทำให้ลูกๆ ไม่เข้าใจความรักและปรารถนาดีของพ่อแม่ ต้องรอให้ถึงวันเกือบสายนั่นแหละ พุทธิปัญญาจึงจักบังเกิด
-ไม่มีวันสาย สำหรับการทำความฝันให้เป็นจริง