วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Ramen Guide in Bangkok




อาทิตย์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๒

ได้ฟอร์เวิร์ดเมล์สุดเจ๋งมาจากเซนเซรุ่นน้อง (ราวสิบปีได้) ที่มหาลัย
เลยรีบเอามาบอกต่อคนชอบกินราเมง
หลายร้านอยู่ย่านสุขุมวิท
เห็นทีต้องไปสำรวจสักหน่อย

ว่าแต่ว่า มีใครเคยกินร้านไหนแล้วมั่ง?


ป.ล.
๑. อย่าลืมกด Zoom in
๒. ไหงลิสต์นี้ไม่มีตันตันเมงร้านโปรดของเรานะ?

ดี และสวย ด้วยธรรมชาติ

Rating:★★★★
Category:Other
อิฉันเป็นคนรักสวยรักงาม แต่ก็รักแค่พอเหมาะพอดี ไม่ใช่แนวสวยกล้าเสี่ยง ก็ค่อนข้างจะนิยมความงามตามธรรมชาติ หน้าที่มีอยู่ก็ชอบพอแล้ว ส่องกระจกทีไรก็ได้เห็นปู่ย่าตายายพ่อแม่พี่น้องตัวเองอยู่ในหน้า เลยไม่อยากให้มันเปลี่ยนไปจากสิ่งที่เราเคยคุ้น แล้วก็ทุกคนที่คุ้นกับเราเคยคุ้น

“เปลี่ยน” ในที่นี้ รวมถึงความเสื่อมถอยจากวัยด้วย

โอเคฮะ อายุมากขึ้น ถ้าหน้าจะเหี่ยวมันห้ามกันไม่ได้ แต่ศาสตร์ทาง anti-aging บอกว่า ถ้าเราดูแลการกิน การพักผ่อนและออกกำลังกายให้สมดุล รับอาหารเสริมที่เหมาะสม เลือกใช้เครื่องสำอางบำรุงผิวให้เป็น เราจะเหี่ยวช้าลง แล้วก็ยังดูดีได้เท่าที่เราดูดีได้ ...อิฉันก็เชื่ออยู่ แต่ก็เชื่ออย่างพอดีๆ แล้วก็บำรุงบำเรอตัวเองแค่พอดีๆ เพราะไม่ได้สนใจความรู้สึกของใครมากไปกว่าตัวเอง คนอื่นไม่คิดว่าเราดูดี แต่ถ้าส่องกระจกเช้าเมื่อไหร่แล้วคิดว่าเราดูดีแล้ว อิฉันก็พอแล้ว

เร็วๆ นี้ได้ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเองดีๆ ที่ค่อนข้างจะมาจากธรรมชาติเสียเยอะมาใช้ จึงอยากบันทึกความรู้สึกไว้ใน “ความรู้สึกล้วนๆ” สักหน่อย

สิ่งแรก คือ “myth” Lemon Tea Clearifying Facial Cleanser (๑๐๐ กรัม ๑๔๐ บาท) เคลนซิ่งสูตรอ่อนเบา ไม่ใช่ส่วนผสมของสารเคมีเข้มข้น จาก Planetmate ร้านน้าชาที่เชียงใหม่ อิฉันเลือกเคลนซิ่งสูตรนี้ด้วยตัวเอง หลังจากไปลองสูตรน้ำมันมะกอก (เข้าใจว่าเหมาะสำหรับคนผิวแห้ง) ที่บ้านน้าเอ๋ ในคืนที่อิฉันไปค้างด้วย

ไปเชียงใหม่คราวนั้น มีภารกิจสำคัญคือไปงานแต่งงานเพื่อน ไปงานแต่งงานมันก็ต้องมีเมคอัพกันนิดหน่อย แม้ไม่ถึงกับใช้รองพื้น แต่ทาครีมกันแดด แล้วก็ปัดมาสคาร่ามาจอลิก้าของชิเซโด้ ซึ่งเป็นมาสคาร่าต่อขนตายาวที่ติดทน ล้างไม่ออกด้วยน้ำอย่างแท้จริง (เพื่อนน้อยให้มา)

อิฉันน่ะ แม้ไม่ใช้รองพื้น แต่ก็จะล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ออยล์เบสทุกครั้ง เพราะใช้ครีมกันแดด จะล้างให้หมดต้องล้างด้วยออยล์ แล้วค่อยล้างกับเจลล้างหน้าของหมออีกที แต่คืนนั้นน้าเอ๋บอกว่าให้ลองใช้เคลนเซอร์สูตรน้ำมันมะกอกของน้าชาดู วิธีใช้คือ ตอนหน้ายังแห้ง บีบเคลนเซอร์ปริมาณพอเหมาะแล้วนวดคลึงลงไปบนใบหน้าให้ทั่ว แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำ

ให้ความรู้สึกที่ดีมากนะฮะ อ่อนโยนดี ซับน้ำจนหน้าแห้งดีแล้วก็ยังรู้สึกนิ่มๆ ผิวเด้งดึ๋งๆ ไม่รู้สึกตึงหน้าแต่อย่างใด แต่ทว่าทั้งๆ ที่ฉลากเขียนไว้ว่า “ช่วยทำความสะอาด ขจัดสิ่งสกปรกและคราบเครื่องสำอางได้อย่างหมดจดล้ำลึก โดยไม่สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติ” ...แต่ไหงมาสคารามาจอลิก้ายังประทับอยู่บนขนตาโดยไม่บุบสลายเยี่ยงนี้เล่า?

เห็นทีจะล้างเมคอัพไม่ไหว

แต่ก็ยังรู้สึกชอบความรู้สึกในการล้างหน้าด้วยเคลนเซอร์ตัวนี้อยู่ วันต่อมา เมื่อได้ไปเยือนร้านน้าชาอีกหน จึงสอยสูตรชามะนาวนี้มาใช้เอง เนื่องเพราะตัวเองเป็นคนหน้ามัน น่าจะเหมาะกับสูตรนี้มากกว่า แล้วก็จัดไว้ใช้ล้างหน้าตอนเช้า ซึ่งไม่มีครีมกันแดดตกค้างอยู่บนหน้า พบว่า รู้สึกดีทุกๆ เช้าฮะ เนื้อครีมหอมอ่อนๆ ของชามะนาว ไม่มีฟอง เวลาเราคลึงเบาๆ ลงไปบนหน้าตัวเอง มันเหมือนเราบอกตัวเองว่า ‘รักนะ ตัวเอง’

ที่ทำให้รู้สึกดีอีก คงเป็นเพราะเคลนเซอร์สูตรนี้ ประกาศโท่งๆ ที่ฉลากว่าไม่ได้ใช้สารเคมีหลายอย่าง รวมทั้งพาราเบน (มันคืออรัย?) รวมทั้งน้ำหอมด้วย

สิ่งที่สองคือ BURT’S BEE Radiance Eye Crème with Royal Jelly (๑๔.๒๕ กรัม ๖๘๐ บาท) ได้มาจากน้าเอ๋ เพื่อนสนิทผู้มีธุรกิจไซด์ไลน์ขายเครื่องสำอางทางเว็บไซต์ www.aenoy-aonyai.com
เป็นของที่น้าเอ๋จัดให้ตามออร์เดอร์ที่อิฉันถามไป ว่ามีอายครีมดีๆ ช่วยบรรเทารอยเหี่ยวย่นที่เพิ่งพบเจอมั่งไหม น้าเอ๋สนองทันทีด้วยอายครีมรุ่นนี้ เธอว่าเป็นรุ่นที่ดังของ BB (ชื่อเล่นของ Burt’s Bee หรือผึ้งน้อยของลุงเบิร์ต) ซะด้วย ลูกค้าใช้แล้วชอบกันมาก

อิฉันได้ใช้แล้วก็ชอบด้วย

น้าเอ๋บอกผลิตภัณฑ์ BB ส่วนใหญ่มีส่วนผสมจากจากธรรมชาติ และมีหลายรุ่นที่เป็นของออร์แกนิก ครีมบำรุงผิวส่วนมากมีเนื้อหนาหนัก จากส่วนผสมของน้ำมัน แล้วก็แว็กซ์ธรรมชาติจากผึ้งจริงๆ ซึ่งเหมาะจะใช้บำรุงผิวเมืองหนาว (แน่ล่ะ เขาทำขายกันในอเมริกาหนิ) จริงๆ อิฉันได้มีโอกาสใช้ผลิตภัณฑ์ BB แล้วหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นโลชั่น (อิฉันว่าเนื้อเขาหนา+หนักไป) หรือครีมทาเท้ากลิ่นมะพร้าว แต่ยังไม่ถูกใจเท่าอายครีมตัวนี้

อายครีมตัวนี้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง (หรือนมผึ้งนี่แหละ) มีส่วนผสมของนมผึ้งหรือ Royal Jelly เนื้อเป็นครีมข้น ฉะนั้น อิฉันจึงใช้ทาเฉพาะกลางคืนเท่านั้น (กลางวันใช้แบบเจลของหมอ เพราะมันมีเนื้อบางเบา เย็น แล้วก็ซึมง่ายกว่า) ที่รู้สึกดีนั้นคิดว่าคงไม่ได้เป็นการคิดไปเอง ว่ารอยคล้ำใต้ตาจากการนอนดึกมันเบาบางลง (อิฉันพยายามนอนไวขึ้นด้วยแหละ) ที่สำคัญที่สุดเลยคือ ตั้งแต่ใช้มา ยังไม่เคยตื่นมาพร้อมตาบวมๆ จนเปลือกตาพับไม่เป็นชั้นเหมือนตอนยังใช้อายครีมตัวก่อนหน้านี้เลย

ไม่รู้ว่าเกี่ยวไหม แต่เชื่อ (เอาเอง) ว่าใช้แล้วตาไม่บวม
ส่วนสรรพคุณในการบรรเทาริ้วรอยร่องรอบดวงตา คงต้องคอยดูกันในระยะยาวนิดนึง (แต่คงไม่ถึงขั้นลงทุนทาข้างเดียว อีกข้างไม่ทา รอไว้เปรียบเทียบกันให้เห็นๆ หรอกนะฮะ)

อายครีมตัวนี้ก็ไม่มีส่วนผสมของพาราเบน (ตกลงมันคืออรัย?)

สิ่งที่สามคือ BURT’S BEE Coconut Foot Crème (๑๒๓ กรัม กี่บาทไม่รู้ฮะ) ความจริงน้าเอ๋ให้ไซส์ทดลองมาใช้เล่นๆ ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ค่อยได้ใช้ เพราะเสียดาย กลัวจะหมดไว ชอบกลิ่นมันน่ะฮะ

คือว่า เป็นคนชอบกลิ่นน้ำมันมะพร้าวมากน่ะฮะ แล้วก็ชอบใช้น้ำมันมะพร้าวมาก (กะทิให้ไขมันอิ่มตัวสูงเช่นเดียวกับไขมันสัตว์ แต่น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ดีมากๆ นะฮะ) หัวกบาลทุกวันนี้ ถ้าสระเสร็จแล้วได้ชโลมน้ำมันมะพร้าวเกาะสมุย(ปกรณ์ให้มา)นิดหน่อยผมจะเป็นลอนสวย (ในสายตาบางคน) เชียวฮะ

ฟุตครีมหลอดนี้ได้มาตั้งแต่ปีก่อน น้าเอ๋ให้มาฟรี เพราะทนเท้าเยินๆ ของเพื่อนไม่ได้หรือไงไม่ทราบ แต่กว่าเพื่อนจะงัดมาใช้ก็สักประมาณเดือนนึงนี้เอง นอกจากกลิ่นแล้วชอบความรู้สึกเวลาเราบีบออกมานิดนึงบนมือ แล้วถูกฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกัน เป็นการอุ่นน้ำมัน (เหมือนอุ่นแว็กซ์เวลาจะสไตลิ่งผม) ฝ่ามือเราจะร้อนขึ้นมา ชอบความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อเราใช้มือเคลือบน้ำมันบางๆ ไปถูนวดที่ข้อศอกและเท้า ฝ่าเท้า และส้นเท้า ทุกส่วนที่เรานวดมันก็จะอุ่นตามไปด้วย รู้สึกดีมากมากฮะ

อิฉันใช้ฟุตครีมก่อนนอน ตื่นเช้าขึ้นมารู้สึกเท้าไม่แห้งเลย เหมือนผิวมันอิ่มน้ำมัน (ที่จริงตามคำแนะนำ ทาแล้วควรสวมถุงผ้าคอตตอน แต่เราเมืองร้อน เท้าไม่แห้งขนาดนั้น ก็เลยใช้แต่น้อยพอ เอาแต่ความรู้สึกฮะ) แล้วก็เชื่อว่าของเค้าดีจริง

ที่ประทับใจอีกอย่างคือเขาระบุไว้ที่แพ็คเกจว่า “This tube contains 42% post-consumer recycled plastic.” (แต่ว่า Please recycle with your #2 plastic containers-คืออะไรหรอฮะ?)

ไม่ค่อยนึกประทับใจเครื่องบำรุงผิวแบบนี้มานานแล้ว จึงเขียนบันทึกเอาไว้ก่อนลืม
ไม่ได้เป็นการโฆษณาร้านให้เพื่อนๆ แต่อย่างใด แต่ถ้าใครสนใจอยากสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้า เชิญได้ที่บ้านของเพื่อนๆ คือ
บ้านน้าเอ๋ ที่ http://oaenoys.multiply.com/
บ้านน้าชา ที่ http://teathink.multiply.com/

สุดท้ายนี้ เชื่อว่าต่อให้ใช้ครีมดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่นอนให้พอหน้าก็เหี่ยวอยู่ดี
ฉะนั้นก็นอนๆ กันบ้างนะฮะ พี่น้องชาวมัลติพลาย
>_<


หมายเหตุ:
BEESWAX LIP BALM ก็ชอบนะน้าเอ๋ จริงๆ แล้วชอบบาล์มซีรีส์นั้นทุกตัวเลยฮะ



วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : แม้แต่แมวก็ต้องโต



เจอลูกแมวตัวนี้หน้าวิลล่า
สาขาตรงข้ามดิเอ็มโพเรียมเมื่อประมาณปลายเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
บัดนี้...มันคงโตขึ้นเยอะ

ว่างๆ จะไปไล่ตามถ่ายรูปมาอัพเดตกันนะ









นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ไม่มีอะไรที่คงอยู่อย่างนั้นตลอดไป
ฉะนั้น...จงเอ็นจอยกับการเติบโต
เอ็นจอยกับความเปลี่ยนแปลง

และ...เอ็นจอยกะความแก่

อิ อิ

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สมเกียรติซังกลับมาแล้ว!




พฤหัสบดีที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

หลังพบอาการพิกลเมื่อวันเสาร์
ก็เอาสมเกียรติซังไปหาหมอ (เข้าศูนย์บอรีการ) เมื่อวันอังคารที่ ๒๔
จริงๆ รับกลับได้ตั้งแต่ ๒๕ แต่ไปรัีบวันนี้
นิคส์ไทยแลนด์รายงานว่าทำำการเปลี่ยนเลนส์ชุดใหม่ให้
เนื่องว่าของเก่านั้นมันมีฝุ่น

ไฮโซเนอะ
ไม่แกะซ่อม แต่เปลี่ยนเลย

...สงสารโลก

รูปพวกนี้ลองทดสอบประสิทธิภาพของเลนส์ใหม่

ป.ล. ปัญหาคือ ไม่แน่ใจว่าควรคิิดว่ากล้องตัวนี้คือสมเกียรติซังหรือเปล่าอะสิ


ย้อนชมอาการป่วยของสมเกียรติซังได้ที่
http://mandymois.multiply.com/photos/album/485
และ
http://mandymois.multiply.com/photos/album/487

กลับบ้าน ครั้งที่ ๑

Start:     Apr 3, '09 5:00p
End:     Apr 6, '09
Location:     สุราษฎร์ธานี

กลับไปทำบุญวันเกิดใครบางคน

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อภินิหารน้องน้ำส้ม






น้ำส้มไม่ใช่กล้องกิ๊กก๊อกนะ จะบอกให้


คำคม#๑๘





"ความรักมันเป็นอะไรที่
ถึงตอนหนูสังเกตเห็นมันก็ได้เกิดขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

มันเป็นแบบนั้นละ
และไม่ว่าหนูจะอายุเท่าไหร่มันก็ไม่เปลี่ยนหรอก
 เว้นเสียแต่ว่าหนูจะแบ่งมันออกเป็นสองประเภทซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ความรักประเภทมองเห็นจุดจบ และประเภทมองไม่เห็นจุดจบ
คนที่มีความรักเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีกว่าใคร
เมื่อมองไม่เห็นจุดจบ นั่นหมายความว่าหนูกำลังมุ่งไปสู่บางสิ่งอันใหญ่โตมโหฬาร..."






หมายเหตุ:
อ่านย่อหน้านี้ี้ใน "ลาก่อนทสึกุมิ" ของโยชิโมโต บานานา (แปลแปลกแปลกด้วยสำนวนของเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย) เมื่อเช้า บนรถไฟฟ้า ก็คิดว่าอยากจะเขียนถึง แต่วันนี้ยุ่งมาก ไม่มีเวลาเขียน ก็เลยลืมซะงั้น

ตกเย็น ไปทำงานที่สยามพารากอนแล้วจับพลัดจับผลู ได้ดู The Curious Case of Benjamin Button (ดูฟรีไม่พอ โรงที่ดูดันเป็น Enigma ซะด้วย-ใครอยากอิจฉา เชิญตามสบายฮะ)

เกือบสามชั่วโมงในการดูหนังเรื่องนี้ (โดยไม่หลับ!) พบว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังผู้ใหญ่ที่สอนใจในเรื่องสำคัญ

ในสายตาชาวพุทธโดยกำเนิด รู้สึกว่าพล็อตหนังสอนให้เข้าใจเรื่อง อนิจจัง วัฏสังขารา (สังขารไม่เที่ยง) การละจากตัวกูของกู การปล่อยวาง

่ในสายตาคนอ่อนไหวโรแมนติก แล้วก็มีแนวโน้มจะมีตรรกะประหลาดๆ หนังเรื่องนี้ก็ทำให้นึกศรัทธาในความศรัทธาที่ชาวคริสเตียน (ในเรื่อง) มีต่อพระเจ้ายิ่งนัก

แต่ถ้ามองด้วยสายตาของคนที่พร้อมจะตกหลุมรักตลอดเวลา ก็ึคงต้องบอกว่าตัวลอยกับความรักของคนหน้าตาดีในเรื่องนี้ ที่รักกันมาตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน แม้ว่าในวันนั้นจะอยู่ไหน จะเจอใคร แต่ก็ยังมีใจคิดถึงกันเสมอ

น่าแปลกที่ความรักของเบนจามินกับเดซี่มาคล้องเข้ากับย่อหน้าที่กินใจบนรถไฟฟ้าได้อย่างประหลาด
(so curious นะ)



บันทึก:
-หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องสั้นของ F. Scott Fitzgerald ส่วนผู้กำกับคือ David Fincher
-นางเอกสวยมาก วัยตอนสาวยังไม่สวยเท่าตอนมีลูก (ประมาณ ๔๓)
-ไม่ชอบแบรด พิตต์ เท่าไหร่หรอก แต่เห็นตอนเป็นเด็กหนุ่มผมทองหน้าใสแล้วอดหวั่นไหวไม่ได้
-ชอบอารมณ์ (สั่ง) "write me a postcard from everywhere" มั่ก
(อยากมีโปสการ์ดจากผู้ชายเก็บไว้หลายๆ ซีรีส์ เอาไว้เล่าให้หลานฟัง-เหอ เหอ)
-หลายคนเล่าว่าร้องไห้ตอนหนังจะจบ อิฉันว่า อิฉันไม่ถึงกับร้องไห้ แต่น้ำตามันไหลออกมาตึ๋งนึง ตอนกล้องตามยาย-หลาน ภาพยายก้มหลังงุ้มๆ ของแกลงจูบหลานที่เดินเตาะแตะอยู่ข้างๆ (เออหนอ รักแล้วช่างเป็นทุกข์ รักแล้วไม่มีหมดห่วง แถมเปลือกนอกจะหนายังไง ความรักก็ผ่านทะลุได้อีก)
-สำหรับอิฉัน หนัง Benjamin Button นี่ดูจะเทียบชั้นกะ Forrest Gump ได้อยู่  เป็นหนังเล่าเรื่องชีวิตคน  มีแก่นที่แข็งแรง และมีก้านแตกแขนงให้สำรวจไม่รู้เบื่อ น่าซื้อเก็บนะ
-ถ้าจะให้ดาว ก็ให้ไปเลย ๕ ดาว ให้โรง Enigma อีก ๕ ดาวด้วย (ถ้าวันไหนจ่ายตังเข้าไปดูหนังโรงนี้เองจะคิดดูใหม่ ว่าให้กี่ดาวดี) ก็มันนอนสบายดี แถมไม่หนาวเพราะมีผ้าห่ม


คำถาม: (เล่นๆ)
ถ้าคุณพบว่าลูกที่เกิดมา มีสภาพเหมือน Benjamin Button คือเหี่ยว งอ  ชรา ตาฝ้าฟางมาเลยเนี่ย
คุณจะทำยังไงกับเด็กคนนี้?





วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ปริศนาที่ ๖


เดี๋ยวๆ ก็มาอีก


ทายมา ว่าถ่ายจากที่ไหน





อังคารที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
ส่งสมเกียรติซังพบแพทย์แล้วก็ควักน้ำส้มมาถ่ายรูปทันที
(เราจะไม่ยอมทำให้การส่งกล้องเข้าศูนย์เป็นอุปสรรคในการถ่ายรูปเด็ดขาด!!!)


ป.ล. ถ้าเป็นสมเกียรติซัง
คงได้เก็บภาพกว้างๆ แจ่มๆ ได้กว่านี้
ประมาณว่าคงได้ภาพรางรถไฟฟ้าเต็มฟอร์มเลยแหละ
T.T


วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เรดาร์แมว : ลางดี


พอใจแระ ได้รูปนี้เจ้พอใจแระ

ขอบคุณนะนังเหมียว
เจ้รู้สึกดีกะเช้านี้มากเลย



จันทร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

คติส่วนตัวของอิฉันคือ
เช้าไหนเจอแมว แปลว่าวันนั้นจะโชคดี

เช้านี้เจอแม่นี่นอนแผ่พุงอยู่แถวๆ ตลาดอโศก
พาสมเกียรติมาด้วย

เลยได้เก็บภาพมาฝาก

ป.ล. เหมียวนี่ไม่อดอยากหรอเจ้ ก้อมันเป็นเหมียวร้านอาหารสัตว์นิฮะ

ตามหาสัจธรรมแห่งชีวิตที่ปราสาทสัจธรรม





เสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ไปตามหาสัจธรรมแห่งชีวิตที่ปราสาทสัจธรรมมาฮะ

ปราสาทสัจธรรม (The Sanctuary of Truth) ตั้งอยู่ที่แหลมราชเวช ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง ชลบุรี เป็นปราสาทไม้แกะสลักทั้งหลังที่สร้างด้วยภูมิปัญญาแบบไทยๆ ที่ไม่จำเป็นต้องตอกตะปูเลย (แต่อิฉันแอบเห็นแกนเหล็กกลางตัวอัปสร-อันนี้เข้าใจ ถ้าไม่มีแกนกลาง ลมริมทะเลอาจทำคุณเธอหักหล่นลงมาได้ง่ายๆ)

ว่ากันว่าปราสาทสัจธรรมเป็นปราสาทไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ขนาดใหญ่โตมากฮะ ๑๐๐ x ๑๐๐ x ๑๐๐ เมตร) สร้างขึ้นจากไอเดียของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้สร้างเมืองโบราณและพิพิธภัณฑ์ช้างสามเศียรที่สุมทรปราการ โดยเริ่มงานตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ แต่ยังไม่เสร็จเสียที เพราะไม้เป็นวัสดุธรรมชาติ ไม้ที่ไม่ได้ทา ไม่ได้เคลือบย่อมผุพัง เสื่อมสลายได้ง่ายกว่าไม้ลงรักปิดทอง...เข้าใจว่าปราสาทแห่งนี้จะไม่มีวันเสร็จสมบูรณ์ด้วย

ปราสาทสัจธรรมเป็นที่ที่ไม่ควรไปเมื่อมีเวลาน้อย หรือต้องรีบไปไหนต่อ แต่ควรมีเวลาเดินชม ฟังคำบรรยาย และตั้งคำถามกับวิทยากรจนพอใจ

และเป็นหน้าที่ ที่ผู้ไปเยือนปราสาทสัจธรรมที่จะต้องค้นหาคำตอบที่เป็นสัจธรรมให้ตัวเองว่า
• คุณเล็กทุ่มเทเงินทุนสร้างปราสาทนี้ขึ้นเพื่ออะไร
• เรื่องราวในไม้แกะสลักในทุกจุดของปราสาท บอกอะไรกับเราบ้าง
• เรารู้สึกอย่างไรบ้าง กับการมาเยือนประสาทสัจธรรม
• เมื่อชมปราสาทจนทั่วแล้ว ได้คำตอบไหม ว่าเราเป็นใคร มีตำแหน่งแห่งหนตรงไหนในจักรวาล

เข้าชมปราสาทสัจธรรมได้ทุกวัน ตั้งแต่ ๘.๐๐-๑๗.๐๐ น. ได้ข่าวว่าเขาเก็บค่าเข้าชมท่านละ ๕๐๐ บาท (ไม่แน่ใจ เพราะไปคราวนี้เป็นหมู่คณะ มีคนจัดการให้)


ทะเลที่ได้แค่มอง




เสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ไปพัทยา
ไปทำงาน-ไม่ได้ไปเที่ยว
ก็เลยไม่ได้ลงทะเล
แต่ถ้าไปเที่ยว(เอง) ก็คงไม่ได้เห็นทะเลพัทยาในมุมนี้

แปลกเหมือนกัน
พัทยาก็ทำให้ใจเต้นได้ไม่น้อย

ป.ล. อยากเล่นเรือใบ วินด์เซิร์ฟ แล้วก็ kitesurf กะเค้ามั่ง
T.T

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ปริศนา : ไม้ใหญ่ใกล้ทะเล




เสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑

ไปพัทยา
ระหว่างนั่งกินข้าวเที่ยงริมผา เหลือบตาไปเห็นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ฟอร์มสวย ท่าทางแข็งแรง และดูมีอาวุโสน่าเลื่อมใส
ทำเลริมทะเล ย่อมพบเจอแต่ลมทะเลพัดแรง เช่นวันนี้
แต่ลำต้นยังตั้งตรงน่าประทับใจ

เรียกว่าต้นอะไรไม่รู้
เดาว่าเป็นไทร

ใครรู้ ช่วยบอกหน่อยนะฮะ


ข่าวด่วน : สมเกียรติซังเป็นไรไม่รู้


รูปนี้ก็เห็น

เสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

วันนี้ไปพัทยากับไฮโซ
ไม่รู้ใช้งานหนักไปหรือเปล่า
หรือว่าถ่ายรูปย้อนแสงเยอะไป (เหมือนดังที่ช่างวิดีิโอปากเสียคิด)
หรือว่าถ่ายรูปไม่เลือกเวลา แม้ยามลมแรง

อิฉันค้นพบรอยด่างดำๆ ในภาพ เฉพาะภาพที่ซูมสุดระยะเทเล่
ลองสังเกตดูใน ๔ ภาพนี้นะฮะ ด่างดำๆ ที่ว่าตั้งอยูตรงตำแหน่งเดียวกันทั้งหมด
ยกเว้นภาพที่ ๓ เพราะได้ทำการ rotate ตามแนวที่ถ่ายมา

เกิดไรขึ้นกะสมเกียรติซังละเนี่ย???

แล้วทำไม๊ ทำไมใครๆ ก็ช่างพร้อมใจกันกล่าวถึงนิคส์ไทยแลนด์ในทางแย่ๆ กันเสียจริง

ใครมีไรจะแนะนำเชิญเรยนะฮะ

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

places I remember : บ้านริมน้ำ






รุ่งเช้าปลายเดือนธันวาคม ๒๕๕๑
ที่บ้านริมคลองบางหลวง
เช้านั้นอากาศหนาว




วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ลูกคุณช่างทาย (๒)


ต่อฮะ มาทายนิสัยกันต่อ

๗. ปีมะเมีย
เปิดเผย ไม่เคยมีความลับ - มีหัวใจเสรี - มีมุขฮาๆ มาโชว์เสมอ - นิยมความเลิศหรู ดูโดดเด่น - สดชื่น รื่นเริงตลอดปี - จัดการเรื่องเงินเก่งมาก - ฉลาดเฉลียว เอาตัวรอดเก่า - เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมได้ดี - มีความทะเยอทะยานสูง - ชอบให้ยกยอปอปั้น - ชอบการแสดงออกสุดฤทธิ์ - มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ เหนื่อยยาก - ขี้เบื่อ สมาธิสั้นมาก - อดทนน้อย อดกลั้นไม่เก่ง - โกรธใครเป็นต้องทำหน้าหงิกทันที - รักการเดินทาง ผจญภัย - สนุกกับชีวิตมากกว่าจะเอาจริงเอาจัง - รู้จักรอมชอม ไม่ก้าวร้าว - ตามใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง - ชอบเคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่ง - ฉุนใครเป็นต้องโต้ตอบ - ไม่ยอมให้ตัวเองทุกข์ เศร้าบ้าง - บางครั้งก็ถอดใจ ยอมแพ้ได้อย่างคาดไม่ถึง - กล้ารัก กล้าเลิก - มีมิตรสหายเป็นแสน - แต่มีคนชังเพราะปากตัวเอง - ไม่หวั่น แม้ยิ่งสูงยิ่งหนาว - หาญกล้า บ้าบิ่น

๘. ปีมะแม
มีกำลังใจเข้มแข็ง - สุภาพ สุขุม ลุ่มลึกละเมียดละไม - จริงใจสุดฤทธิ์ - ชอบบริหารสเน่ห์เป็นงานหลัก - ขี้สงสาร ขี้เหงา ขี้อาย - ตัดสินใจช้ามาก - บ่นเก่งไม่เบา - เป็นคุณนาย (หรือคุณชาย) สายเสมอ - ใจกว้าง พร้อมจะให้อภัยเสมอ - มักเสียสละเพื่อผู้อื่น - มักเป็นห่วงเป็นกังวล - ไม่ มีความดันทุรังสูง - อดทนอดกลั้น สุดอัศจรรย์ - เจ้าเล่ห์เจ้ากลแนบเนียนมาก - สนใจเรื่องเร้นลับ - ปฏิเสธความก้าวร้าวและความรุนแรง - ร้อยวันพันปีมีโมโห น้อยครั้ง - ไม่ชอบการแข่งขันทุกรูปแบบ - ปลอบโยนเก่ง ให้คำแนะนำได้ซึ้งมาก - โรแมนติกสุดหัวใจ - บุคลิกอ่อนโยน แต่ใจเด็ดมาก - ยอมเหนื่อยทางตรงมากกว่าสนทางลัด - เน้นหลักช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม - รู้จักปรับตัวในทุกสถานการณ์ - ไม่ขี้เหนียว แต่ก็ไม่สุรุ่ยสุร่าย - แคร์คนรอบข้างเสมอ - แต่ไม่ค่อยปลื้มกับความเปลี่ยน แปลงใดๆ - ยึดมั่นในความรักและความผูกพัน - เป็นนักเจรจาต่อรองที่ดี เลิศ - ไม่เคยหวั่นแม้วันเจอมรสุมชีวิต

๙. ปีวอก
แก้ปัญหาเก่ง ไหวพริบดี - มีไอเดียสร้างสรรค์ - มีเสน่ห์ ชวนให้ติดตาม - ฉลาดแกมโกง - เป็นนักพนัน นักเที่ยว และนักรัก - ขี้เล่น อารมณ์ดี ยิ้มตลอด - ปรับตัวเก่ง เข้ากับผู้คนง่าย - มีหัวใจอบอุ่น - เป็นหัวหน้าฝ่ายเอนเตอร์เทนได้ สบาย - เชื่อมั่นในตัวเองไม่น้อยเลย - บางครั้งดูเหลวใหล แต่มีเป้าหมายชีวิต - คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว - ตกหลุมรักง่าย หน่ายเร็ว - รอบรู้ สนอกสนใจทุกเรื่อง - ไม่แคร์คำติติงวิพากษ์วิจารณ์ - ไม่ปลื้มคนเฉื่อบชา เชื่องช้า - เป็นผู้นำกลุ่มได้ - เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย - คารมดี ช่างฉอเลาะ - แต่ก็รับผิดชอบการงานดีนะ - ลุยได้เสมอ แต่ไม่ชอบงานหนัก - แต่บางคราวก็วู่วามไร้เหตุผล - ยากจะจัดระเบียบให้ชีวิต ตัวเอง - ชอบให้คนสนใจ - เน้นรักสนุกมากกว่าคิดทะเยอ ทะยานสูง - เจ้าชู้ สนใจแต่เรื่องเพศตรงข้าม - แต่จีบไม่ค่อยเป็นหรอก - โรแมนติกไม่เบา - ติด เพื่อน - ดวงดี ไม่ค่อยมีวันลำบาก

๑๐. ปีระกา
จิตใจเอื้ออารี - หาญกล้า มีลูกบ้าในตัว - ตรงต่อเวลา - ใจคิดอะไร ปากว่าอย่างนั้น - มาดเท่ตลอดปี - เป็นลูกคุณนาย นามสกุลประณีต - หยิ่งทระนง ไม่แคร์ใคร - แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น - ควบคุมผู้อื่นได้อย่างแนบ เนียน - ไม่รอมชอม ผิดก็ว่าผิด - อยากเป็นคนเด่นดังในสังคม - รักอิสระ แต่มีกฏระเบียบสูง - ดื้อดึง ก้าวร้าวเงียบๆ - แต่มองโลกในแง่ดี - และก็มีอารมณ์เพ้อฝันไม่น้อยเลย นะ - สนุกกับการโต้เถียงปะทะคารม - ช่างสังเกต ช่างจับผิด - มีน้ำใจ ไม่ทิ้งเพื่อน - เจ้าชู้ รักคนง่าย - ใจซื่อ มือสะอาด - หงุดหงิดง่าย แต่ก็ควบคุมอารมณ์ได้ - เป็นนักต่อสู้ - รู้จักคิดและมองการณ์ไกล - เชื่อ ถือได้เสมอ - มีความสามารถในทางศิลปะ - รักสวยรักงาม - ชมได้ แต่อย่ามาติกันนะ - ช่างคิด ช่างสะเทือนใจ - หวังให้แฟนเป็นดั่งใจทุกอย่าง - บางครั้งก็ดูเรื่องมากกว่า เพื่อนๆ

๑๑. ปีจอ
ช่างสังเกตเป็นเลิศ - ให้เกียรตคนอื่นเสมอ - มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะ - รู้ชนะ รู้อภัย - ปากกับใจตรงกันเสมอ - เป็นลูกศิษย์ Batman - เป็นลูกศิษย์เปาบุ้นจิ้น - มองคนเก่ง อ่านคนเป็น - ไม่ชอบโอ้อวดตน - เพื่อนพ้องน้องพี่ต้องมาเป็นอันดับ 1 - บางครั้งก็เอะอะโวยวายไม่เบา - สนใจใฝ่รู้เกินเหตุ - มักเดือดร้อนแทนเพื่อน - โกรธง่าย หายเร็วมาก - เปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน - รอบคอบ ไม่ประมาท - ไม่ปลื้มความหรูหราเลอเลิศ - ชอบเคลียเคล้าพะเน้าพะนอ - รักง่าย แต่ไม่หลายใจ ชัวร์! - ขี้สงสัย ขี้ระแวง - บางครั้งก็เชื่อคนง่ายเกินไป - มักเขม่นผู้อื่นง่าย - ขี้บ่นไม่เบาเหมือนกัน - ปลอบเพื่อนได้เก่ง - แต่อย่าไปเล่าความลับให้ชาวจอรู้นะ - รักเดียวใจเดียว - ยากจะคิดนอกใจแฟน - เหมือนเด็กดื้อ อารมณ์เสียง่าย - รักถิ่นฐาน ไม่ชอบผจญภัย

๑๒. ปีกุน
อบอุ่น จริงใจ - คิดอย่างไร พูดอย่างนั้น - มีเสน่ห์ที่ความเรียบง่ายสบายๆ - ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ใสซื่อตลอด - แต่บ่อยครั้ง ไม่ค่อยยืดหยุ่นบ้าง - เป็นศิลปินได้ดีกว่าเป็นนักธุรกิจ - อารมณ์ดี ชอบเฮฮาปาร์ตี้ - เข้ากับผู้คนง่าย - ใจเย็น ยากจะเห็นหมูอาละวาด - ใจอ่อน ใจดี ใจบุญ - ชอบทำงาน หาเงินเก่ง - ไม่เคยถือโทษโกรธใคร - ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใคร - ยากจะท้อถอย - ไม่ทะเยอทะยานนัก - มีความสามารถในการรอคอยสูงมาก - อ่อนไหว แต่ไม่ชอบเศร้า - เข้าใจผู้คนได้ลึกซึ้ง - เป็นคนบูชารัก - เป็นนักชิม - อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ - มีความซื่อตรงมาก - พลังใจเด็ดเดี่ยวแข็งกล้า - บางครั้งก็หัวแข็งไม่ฟังใคร - มีหัวใจของนักสู้ - รักจริง หวังแต่ง - ช่างเอาอกเอาใจ - ไม่โรแมนติกนักหรอก - ทุ่มเทให้ครอบครัวเสมอ - เป็นผู้นำได้ดี

จบละฮะ

ลูกคุณช่างทาย


เพื่อนฟอร์เวิร์ดเมล์ทายนิสัยตามปีเกิดมาฮะ
น่าสนใจดีนะ รู้สึกว่าใกล้เคียงเชีย

๑. ปีชวด
ปรับตัวได้เก่งในทุกสถานการณ์ - คารมดี พูดจูงใจเก่งมาก - ไอ.คิว.เป็นเลิศ - ใครเป็นทุ่มเทหมดใจหมดกระเป๋า - เห็นวันนี้แสนขยัน แต่พรุ่งนี้อาจนอนขี้เกียจทั้งวัน - เป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด - มีความทะเยอทะยานสูง - เป็นนักสะสม - เป็นนักช้อปปิ้ง ชอบของลดราคา - เพื่อนมาก ญาติเยอะ - ชอบพึ่งพาตนเอง - ไฮเปอร์จัด มาดนิ่ง แต่ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย - ไม่ชอบความผูกพัน - เก็บความลับเก่ง - เก็บความรู้สึกก็เก่งนะ - เก็บเงินได้ ใช้เงินเป็น - แก้ปัญหาเก่งมาก - แต่แสดงออกทางอารมณ์ไม่เก่ง - ถือผลประโยชน์ตนเป็นสำคัญ - ขี้หวง ขี้หึง - ขี้บ่น ขี้ระแวง - ช่างติ ช่างวิจารณ์ - ไม่ชอบเก็บอะไรมาคิดให้รกสมอง - บางครั้งก็เชื่อใจผู้อื่นง่ายเกิน เหตุ - ชอบสังสรรค์บันเทิง - ถนัดดูแลงานท่องเที่ยวบันเทิง - คิดฝันในเรื่องรักแบบซึ้งสุดใจ - เน้นความสบาย ไม่ชอบเรื่องซีเรียสใดๆ - ไม่ถนัดเรื่องละเอียดอ่อนนัก

๒. ปีฉลู
สุขุม มาดดี ไม่ช่างจ้อ - อดทนได้อย่างสุดอัศจรรย์ - คงมั่น ยากหวั่นไหว - ขี้อาย เขินเก่งนักเชียว - แสนจะอบอุ่นและอ่อนโยน - หัวดื้อ แบบว่าดื้อเงียบ - หัวเก่า หัวโบราณ - หัวแข็ง เปลี่ยนแปลงยาก - หัวใจไม่ง่าย รักคนยาก - รักแล้ว ลืมยาก - แต่ไม่ยอมเศร้า - ชอบของเก่าๆ ด้วยล่ะ - กตัญญูเป็นที่หนึ่ง - มีความรับผิดชอบสูง - ซื่อสัตย์ น่าเชื่อถือ - มีความหยิ่งทระนง ถือศักดิ์ศรี - รักษาสัญญาสุดฤทธิ์ - ไม่สนใจความคิดผู้อื่น - ไม่เจ้าเล่ห์แสนกล - ใน 5 ปี อาจมีอาละวาดสัก 1 ครั้ง - ขยันขันแข็ง - ไม่ค่อยถนัดเรื่องยั่วเย้าเคล้าคลอ - เลือกแฟนที่จิตใจ มิใช่หน้าตา - รักครอบครัวมาก - รักบ้าน รักครอบครัว - ไม่ชอบออกไปเที่ยวเฮฮาปาร์ตี้ - ยากจะเอ่ยปากให้ใครช่วยเหลือ - คบเพื่อนน้อย เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ - เน้นเกียรติยศมากกว่าเงินทอง - ปากตรงกับใจ - แต่มักจะปากหนัก ชอบคิดมากกว่า

๓. ปีขาล
มีความนับถือตัวเองสูง - รักงาน - จริงใจใสซื่อ - กล้าทำในสิ่งแตกต่าง - มาดดี มีแต่คนอยากคบ - เป็นนักปฏิวัติ - ไม่กลัวความล้มเหลว - หงุดหงิดง่าย แต่ไม่งอนใครนาน - ชอบแสวงหาความแปลกใหม่ ท้าทาย - บางครั้งก็ดันทุรังสูง - รักเด็ก - อยากรู้อยากเห็น เรียนรู้เร็ว - วู่วาม แต่ก็มีความอ่อนโยนนะ - มากด้วยน้ำใจไมตรี - มีอารมณ์ละไม ชอบศิลปะ - สนุกกับโชคชะตา ไม่กลัวล้มเหลว - ชอบเล่นกีฬา - ชอบผจญภัย - มักรีบด่วนตัดสินใจ - สนุกกับเรื่องท้าทายได้ทุกเมื่อ - รักอิสระ - แต่ก็มีวินัยในการดำรงชีวิต - ยามโกรธ โทสะแรง - แก้ปัญหาได้เอง - มักเสียใจลึก แต่ก็ฟื้นตัวได้เร็ว - ไม่ชอบงอมืองอเท้าพึ่งพาใคร - ทะเยอทะยานสูง - ใจบุญสุนทาน - ขี้หวงขี้หึง - รักง่าย รักร้อนแรง

๔. ปีเถาะ
ปัญญาดี มีไหวพริบ - เป็นนักเจรจา คารมเป็นเลิศ - ใจดี ใจกว้าง ใจละเมอ - หวาดหวั่นขวัญเสียง่าย - เสน่ห์แรง เพื่อนฝูงติดหนึบ - เฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ได้ - แต่ก็ชอบชีวิตสงบๆ เงียบๆ - มีคุณธรรมสูง - อ่อนโยน แต่ก็เจ้าอารมณ์ไม่เบา - รสนิยมดี ชอบความเก๋ไก๋ - ดูเหมือนหัวอ่อนว่าง่าย แต่ดื้อเงียบ - ไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก - มีอา?มณ์ติสต์ อ่อนไหวสูง - ปฏิเสธการต่อสู้ การเสี่ยงทุกรูปแบบ - รักสวยรักงามตลอด - ชอบการคลอเคล้าพะเน้าพะนอ - รักแรง เกลียดแรง - เกลียดความก้าวร้าว รุนแรง - ยากที่ใครจะอ่านใจได้ทะลุปรุโปร่ง - ไม่ชอบกฏระเบียบ - เป็นกระต่ายน้อยผู้เสียสละ - ช่างสังเกตเป็นที่สุด - บ่อยครั้งที่จุกจิกจู้จี้เกินเหตุ - มีความห่วงใยเอื้ออาทร - เป็นนักจับผิดตัวยง - ยากที่จะคิดไม่ซื้อหรือเอาเปรียบใคร - รักอาชีพการงานของตน - โอ้อวดตนได้อย่างแนบเนียน - เข้าใจและยอมรับข้อด้อยของคนอื่นได้ - มักภาคภูมิใจในตนเอง

๕. ปีมะโรง
ปลื้มความเนี้ยบ ทุกอย่างต้องเพอร์เฟคต์ - บุคลิกน่าเกรงอกเกรงใจ - มีวาสนา บารมีสูง - มีเสน่ห์ มักเป็นดาวเด่นเสมอ - มีหัวใจแกร่ง และกล้าหาญ - รับผิดชอบสูง - เป็นหัวหน้าคนได้สบาย - ฉลาดปราดเปรื่อง - มีเพื่อนฝูงติดสอยห้อยตามเพียบ - มีความรู้กว้างขวางมาก - ชอบคนง่าย แต่เลือกมาเป็นคู่ยากมาก - บ่อยครั้งเผด็จการ ชอบควบคุมผู้อื่ - ประสบความสำเร็จเร็ว - รักเกียรติรักศักดิ์ศรีมาก - หน้าใหญ่ ใจกว้าง - รักอิสระ แต่ก็มีระเบียบแบบแผน - ชอบท่องเที่ยว ผจญภัย - เจ้าอารมณ์ - ชอบรักษาฟอร์ม ภาพพจน์ต้องดูดีเสมอ - อ่อนไหว ขี้เหงา เศร้าเก่ง - ไม่ชอบพึ่งพาผู้อื่น - ชอบช่วยเหลือผู้คน - ยุ่งเรื่องส่วนตัวผู้อื่นมากไปนิด - ปลื้มคนที่ความสามารถมากกว่าคนมีเงิน - สนใจใคร่รู้ในทุกเรื่อง - เรียกร้องความรักอย่างสูงสุด - แสวงหาความชื่นชอบยอมรับจากคนรอบข้าง - แต่ไม่ค่อยทุ่มเทความรักตอบแทนไป - ยิ่งมีอายุ ยิ่งดูเด็กลง - หลงตัวเองเหมือนกันนะ

๖. ปีมะเส็ง
เซ็กซี่ มีความเร้าใจ - ฉลาดลึกล้ำ - อยู่ในโลกของความจริงมากกว่าเพ้อฝัน - ความจำเป็นเลิศ - ใจแข็ง ใจเด็ด - อารมณ์ขันน่ะมี แต่ฝืดเล็กน้อย - ช่างสังเกต ช่างระแวดระวัง - มีความมุ่งมั่นสูง - เป็นเจ้าของโครงการในฝันนับร้อย - เยือกเย็นแต่โมโหร้าย - ไม่ชอบเปิดเผย ไม่ชอบวุ่นวายกับใคร - มีลางสังหรณ์ ความรู้สึกไว - เจ้าคิดเจ้าแค้น - แต่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมารยา - ชอบเรียนรู้ หัวไว - รักจริงหวังแต่ง - แสดงออกทางอารมณ์ไม่เก่งนัก - ไม่ชอบนินทาใคร - ไม่เห็นว่าเงินเป็นพระเจ้า - กระตือรือร้นน้อยมาก - เชื่อความรู้สึกมากกว่าเหตุผล - ชอบแสดงความเป็นเจ้าของ - รักเพื่อน แต่มีเพื่อนซี้น้อย - จริงใจ แต่ทำตัวเหมือนไม่เปิดกว้างนัก - ชอบสบายกับทางลักมากกว่าทางตรง - ชอบช่วยคนด้วยหวังดี แต่มักผิดหวัง - ทุ่มเทมุ่งมั่นได้แค่ช่วงสั้นๆ - ไม่กลัวลำบาก - บางครั้งก็ชอบคิดในแง่ลบก่อนแง่บวก - ถ้าโกรธ ไม่เย็นเหมือนบุคลิกหรอก

อ่านเล่นๆ แค่ครึ่งปีก่อนละกันนะ

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Revolutionary Road : นอกจากความรัก ชีวิตสมรสยังต้องการอะไรอีก?

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

***คำเตือน : คนโสดที่ยังมีทัศนคติที่ดีต่อการมีชีวิตคู่ควรทำใจให้เข้มแข็งก่อนเข้าโรง***



คนอยู่คนเดียวมากเสียจนสูญเสียทักษะในการอยู่กับคนอื่นอย่างอิฉันเคยตั้งคำถามขวางๆ เวลารู้ว่าคนที่เขารักกันกำลังจะแต่งงานกันว่า จะอยู่กันได้นานแค่ไหน้? (อย่าลืมขึ้นเสียงสูงนะฮะ)

ใครอ่านแล้วจะด่าว่า ‘แม่นี่ องุ่นเปรี้ยว’ ก็เชิญตามสบาย ขอยอมรับอย่างหน้าชื่นเลยว่า ลึกๆ แล้วไม่อยากอยู่คนเดียวหรอก แต่ทำไงได้ละฮะ อยู่มานานก็ยังไม่เจอคนที่อยากอยู่กะเรา แล้วเราก็อยากอยู่ด้วยเสียที ก็อย่างที่บอก ว่าไม่ชินกับกับอยู่กับคนอื่น เวลาเริ่มๆ จะอยู่ใกล้กันมันก็จะเริ่มจากความอึดอัด กลายเป็นขัดใจ ขวางหูขวางตา หงุดหงิดรำคาญ นานๆ เข้าก็เริ่มออกอาการร้ายกาจ กดดันให้สุภาพบุรุษกลายเป็นอสูรกาย ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีมันเลยพลอยมลายหาญสูญไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

มองโลกในแง่ร้ายไงฮะ อยู่กับใครไม่เคยได้ เลยเหมาเอาว่าคนอื่นก็ต้องเป็นเหมือนตัวเอง..ซะงั้น

แต่แม้จะมีภูมิคุ้มกันเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ไม่ศรัทธาในความรัก หมดหวังในชีวิตคู่ ฯลฯ อยู่ในตัวเป็นอย่างดี แต่หนังเรื่องนี้ยังทำให้ถึงกับห่อเหี่ยว เดินคอตกออกจากโรง เพราะหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตคู่เชียวนะฮะ

คนเราแต่งงานกันเพราะอะไร? วันนี้ก็เพิ่งแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องนี้กับเพื่อนใหม่ไป จำได้ว่าแสล๋นตอบไปว่า บางคู่ก็แต่งเพราะลูกต้องการพ่อ..ดูเหมือนแฟรงก์ (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) กับเอพริล (เคต วินสเล็ต) วีลเลอร์ ก็แต่ง และย้ายมาอยู่ในบ้านสีขาวหลังสวยบนถนน Revolutionary Road เพราะว่าท้องเหมือนกัน

โอเคฮะ โอเค แฟรงก์ไม่ได้ข่มขืนเอพริลหรอก ตอนนั้นคู่นี้เขาหลงใหลในกันและกันพอดูเลยแหละ (รักไหม? ไม่ขอตีความนะฮะ) พอมาอยู่บ้านเดียวกัน มีลูก ชีวิตสมรสก็เลยเริ่มต้นขึ้น (กรณีนี้มีพิธีสมรสไหม ไม่เกี่ยวฮะ) เรื่องราวในหนังเหมือนจะเป็นปลายๆ ยุค ’50s ซึ่งเท่าที่จำได้ช่วงที่การโฆษณา การสร้างภาพลักษณ์มีอิทธิพลต่อความคิดและชีวิตของผู้บริโภคเอามาก (แม้แต่แฟรงก์ยังทำงานเขียนก๊อปปี้โฆษณาเลย) ยิ่งมาเจอป้านายหน้าขายบ้านกล่อมให้รู้สึกเลอเลิศ ลอยอยู่เหนือมนุษย์สามัญทั่วไป เลยกลายเป็นว่าสิ่งที่คนคู่นี้ต้องการก็คือ ชีวิตที่สวยงาม เป็นระเบียบ พร้อมพรั่ง ในบ้านหลังสวย มีสนามให้ลูกๆ วิ่งเล่น (ที่ป้าขายให้) นึกตามได้ง่ายๆ ประมาณภาพชีวิตพรั่งพร้อมในนิตยสาร มาร์ธา สจวร์ตส ลีพวิ่ง น่ะฮะ

ซึ่งการจะมีชีวิตอย่างนั้นได้ มันก็ต้องมีมันนี่ เมื่อคุณเมียเกิดไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเล้ยในอาชีพนักแสดงของเธอ บทหนักก็เลยตกอยู่ที่คุณผัว ที่ต้องทำตัวประหนึ่งเครื่องจักร เช้าขึ้นก็ลาดสังขารขบรถไปขึ้นรถไฟ ขึ้นลิฟต์ไปทำงานที่ตัวเองไม่ชอบในตึกสูง เพื่อให้แต่ละเดือนๆ มีเงินมาบันดาลชีวิตตามมาตรฐานอเมริกันชนชั้นกลางอย่างชาวบ้าน

ก็ดูๆ เหมือนครอบครัวนี้ไม่มีปัญหาอะไรนะฮะ ไม่ได้อดอยากปากแห้งเพราะหาเงินไม่พอใช้ ไม่เป็นหนี้ ไม่มีใครติดเหล้า ไม่มีใครมีชู้ (เอิ่ม..อย่างน้อยตอนนั้นก็ยังไม่มีใครมีนะฮะ) เมียก็มีบ้านสวยๆ อยู่ เฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้หรือเครื่องแต่งกายก็มีสวยๆ ทัดหน้าเทียมตามชาวบ้านเขาดี

แต่ทั้งผัวทั้งเมียต่างซังกะตาย เพราะชีวิตที่มีมันราบเรียบเสียจนเหมือนไม่มีชีวิต (ใช่ซี้ เมียแป้กเรื่องงาน ส่วนผัวก็ไม่มีความสุขกับงานเอาเสียเลย) จนคุณเมียซึ่งชีวิตนี้ยังไม่ได้ไปไหนไกลๆ เลยไปเจอรูปผัวถ่ายคู่หอไอเฟลเข้า จึงเสนอไอเดียว่าไปกันเหอะ ขายทุกอย่างแล้วไปอยู่ปารีสกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องทำกิน เพราะฉันจะเลี้ยงเธอเอง จะไปเป็นเลขาองค์กรของรัฐบาล-หาเรื่องตื่นเต้นให้ชีวิต ว่างั้น

ผัวซึ่งกำลังเซ็งชีวิต ฟังๆ แรกๆ แล้วก็ตื่นเต้นตามเห็นด้วย คุณเมียเลยคึกใหญ่ จากที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันก็กลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส มีบทพิศวาสให้เห็นนิดหน่อย (เท่าที่พี่แซม เมนเดส สามีคุณนางเอกที่รับหน้าที่เป็น Producer ของหนังจะกรุณา) แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฝ่ายผัวที่เขียนก๊อปปี้ส่งๆ ไปมั่วๆ ดันไปโดนใจนายอย่างแรก เลยเกิดรุ่งในหน้าที่การงานขึ้นมา ก็ชักเกิด self esteem (แปลว่าไรแล้วนะ?) เริ่มลืมๆ เรื่องจะไปปารีส คุณเมียจับสังเกตได้ เล่นเอาบ้านเกือบแตกยังไม่พอ ยังเกิดท้องขึ้นมาอีก

ไม่คิดนะฮะ ว่าคุณเมียในเรื่อง ซึ่งเดิมเป็นแม่ของเด็กสองคนอยู่แล้ว จะเห็นแก่ความฝัน (หรือแค่ความต้องการ) ของตัวเองที่จะไปปารีสขนาดสามารถตัดสินใจทำลายเด็กในท้องได้ แต่เธอก็ทำ และนั่นก็เป็นการทำลายภาพครอบครัวแสนสวยงามที่เธอพยายามสร้างจนยับเยิน

จริงๆ แล้วการที่คุณพี่ริชาร์ด เย็ทส์ นักเขียนเจ้าของเรื่องนี้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา อาจมีจุดเริ่มต้นแค่ที่เขาอยากเหน็บแนม (แถวบ้านเรียกด่า) ว่าแท้ที่จริง สิ่งที่ทำลายชีวิตคนอเมริกันยุคนั้นก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อ เพราะมันทำให้คนอเมริกันตั้งหน้าตั้งตามองหาสิ่งที่ตัวเองต้องการจนลืมไปว่า แท้ที่จริงแล้ว ครอบครัว และชีวิตคู่ไม่มีสูตรตายตัว และความไม่สมบูรณ์แบบไม่ได้แปลว่า ความ ‘hopeless and emptiness’

คุณป้านายหน้าขายบ้านนี่แหละ ตัวสำคัญ มายกยอปอปั้นให้เขารู้สึกตัวเองเลิศเลอไม่พอ ยังพาลูกชายสติไม่ดีมากวนประสาทเขาเสียป่วน (ถ้าใครไปดูจับตาฉากที่ป้าแกพาลูกชายมาบ้านนี้ดูให้ดีนะฮะ มีอยู่ ๒ ซีน) ตอนท้าย พอบ้านเขาแตกไม่มีชิ้นดีแล้ว ป้ายังมามานินทาเขาอีก ว่าที่จริงคู่วีลเลอร์ก็ไม่ได้เพอร์เฟคท์มากนักหรอก ออกจะเพี้ยนด้วยซ้ำ ว่าแล้วป้าก็สรรเสริญเยินยอคู่แต่งงานคู่ใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้าบ้านหลังนี้แทนเป็นชุดใหญ่

ใหญ่โตจนคุณลุง ผัวของแกต้องเฟดเครื่องช่วยฟังจนมันเงียบสนิทไป โดยไม่ได้กล่าวทัดทาน หรือขัดคอป้าแต่อย่างใด



...หรือที่จริงแล้ว สิ่งที่ชีวิตสมรสต้องการมากๆ คือความ “อดทน”ฮะ?





บันทึก :
• ห้าดาวให้กับบทบาทการแสดงของเคตกะลีโอ
• ในหนังเรื่องนี้เคตหุ่นดีจัง แต่ไหงหน้าเหี่ยวได้ขนาดนี้ล่ะ?
• ลีโอก็เหี่ยว อายุเท่าไหร่กันเชียวยะ ..เก่งขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ แหละ พ่อคนนี้
• ถึงจะเหี่ยว แต่เคต วินสเล็ตยังคงเป็นผู้หญิงที่น่ามองเสมอ อิฉันชอบมองปาก กับหูดเม็ดนั้นของเธอจัง
• หนังเรื่องนี้เป็นหนังไดอาล็อกดราม่าสุดเข้ม (เดี๋ยวนี้เค้าขึ้นคำเตือนว่าเป็นหนังสำหรับอายุ ๑๘ ปีขึ้นไปก่อนฉายด้วยฮะ) ดูแล้วคนโสดเครียดดีฮะ แอบนึกในใจว่า รู้งี้ไม่น่าเก็บ The Reader (วันนี้ฉายที่สกาล่า) เอาไว้ก่อนเลย
• ถามตัวเองเล่นๆ ว่าผัวเมียคู่นี้รักกันไหม ขอตอบตัวเองเล่นๆ ว่า ผัวรัก รักทั้งเมีย ลูก และครอบครัว แต่ตัวเมียรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ที่เหมือนจะรักผัวนั่น เพราะว่าผัวคือองค์ประกอบหนึ่งของ “ภาพ” ของตัวเองมากกว่า
• หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนัง The Stepford Wives ของคุณคนสวย นิโคล คิดแมน ได้ไงไม่ทราบ
• วันก่อนคุณเดือน moonjocker บอกให้ไปดูคนเดียวออกมาแล้วค่อยดักจับเพื่อนหน้าโรง วันนี้อิฉันยังไม่ทันตั้งท่าก็เจอเพื่อนของพี่ที่ทำงาน แก(สาวโสดเหมือนกัน)มาดู Revolutionaryฯ รอบต่อจากอิฉัน..ดูเป็นรอบที่สองฮะ (โอ้วแม่จ้าว..สาวโสดคนนี้) ถามแกว่าติดใจอะไร แกว่าแกติดใจไดอาล็อกฮะ
• จากตัวอย่างหนังที่ได้ดู คิดว่านอกจาก The Reader แล้ว ต้องไปดู MILK (ชอบฌอน เพนน์ และชอบเกย์ฮะ) DOUBT (ไปเชียร์ป้าสตรีพ) ละก้อ The Wrestler (มาร้องไห้ให้มิคกี้ รูค)

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ใบไม้สีทอง (แดง)




รู้จัก "ย่านดาโอ๊ะ" มานาน
ยังไม่เคยเห็นสีสวยเท่าที่น้าชาให้มา (ไปได้มาจากเชียงใหม่ฮะ ใบไม้สีทองใบนี้)

ทั้งสีและเนื้อ น่ามหัศจรรย์มาก
ต้นไม้เปลี่ยนน้ำ อากาศ และธาตุอาหารในดินให้เป็นสิ่งสวยงามอย่างนี้ได้อย่างไร
(ถ้าไม่รีบร้อนไปไหน เชิญกด zoom ดูกันให้ชัดๆ นะฮะ อัพไว้ใหญ่มั่ก)

ขอบคุณน้าชานะฮะ


ย้อนไปอ่านเรื่องของย่านดาโอ๊ะ (ที่เคยเขียนไว้แล้ว) ได้ที่นี่ฮะ
http://mandymois.multiply.com/photos/album/376/376

ไปพัทยา..ประสาไฮโซ

Start:     Feb 21, '09 08:00a
Location:     พัทยา

จะได้แวะปราสาทสัจธรรมด้วยล่ะ




วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

The Reader : ใครสักคน (ที่รู้จักฉันจริงๆ)

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Other
Author:Bernhard Schlink แปลโดยสมชัย วิพิศมากูล



***คำเตือน : บทความนี้มีคำเฉลยปมของเรื่อง ถ้าอยากอ่านหนังสือให้สนุกก๊ออย่าเพิ่งมาอ่านบทความนะจ๊ะ***





หลายๆ คนที่อยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้วยังโสด จะเหงากันบ้างไหม?

เหงา เหมือนอยู่คนเดียวในโลกที่แสนจะวุ่นวาย ท่ามกลางผู้คนมากมาย ..แต่ไม่มีใครรู้จักเราจริงๆ เลย

อิฉันอ่าน The Reader จบเป็นครั้งที่สองเมื่อสองวันก่อน เมื่อจะลงมือเขียนถึง สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือ “ความเหงา” ของตัวละครทั้งสองในเรื่องนี้

อย่างที่พอรู้นั่นแหละ นิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องของสาวใหญ่วัย ๓๖ ที่มีอันได้มาพบ และมีสัมพันธ์สวาทกับเด็กหนุ่มวัย ๑๕ ก่อนที่จะเริ่มต้นอ่านอีกครั้ง อิฉันลองทบทวนดูว่าจำอะไรได้บ้าง ก็พบว่าภาพที่ยังค้างอยู่หลังการอ่านรอบแรกเมื่อ ๕-๖ ปีก่อนมีเพียงอ่างอาบน้ำใหญ่ในห้องครัว มีแสงยามบ่ายส่องมาจากด้านหลัง ในอ่างสาวมีใหญ่เจ้าของเรือนร่างสมบูรณ์ แข็งแรง กำลังอาบน้ำ ถูตัวให้เด็กหนุ่มแขนขายาวเก้งก้าง

นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าลามกของสาววิปริตที่ชอบมีอะไรกับเด็ก หรือเรื่องของเด็กห่ามห้าว ก้าวหน้า อยากเรียนรักกับสาวใหญ่ แต่นี่คือภาพความสัมพันธ์ที่ลึกล้ำที่มีปมประเด็นซับซ้อน

เด็กน้อย (มิคาเอล แบร์ก) จะออกจากโรงเรียนมาพบกันหลังจาก ฮันนา (ฟราวชมิทซ์) เลิกงานขายตั๋วบนรถรางบ้าง ก่อนเธอไปทำงานบ้าง โดยก่อนจะสอนบทสวาทให้ เธอจะขอร้องให้เด็กน้อยอ่านหนังสือให้ฟังทุกครั้ง นอกจากนี้จะมีการอาบน้ำให้ เพราะเธอเป็นคนรักความสะอาด จนในที่สุด การอ่านออกเสียงและการอาบน้ำก็กลายเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ก่อนร่วมรักไป

และแม้ว่าทั้งสองจะสนิทสนมกันมาก แต่ฝ่ายที่โตกว่าก็แอบซ่อนความลับสำคัญของเธอไว้ในช่องว่างของวัย โดยที่เด็กไม่ได้สำเหนียก

ไม่ว่าฮันนาจะรู้ตัวหรือไม่ การปรากฏตัว และมีบทบาทแสนสำคัญในช่วงปีแรกๆ ของเด็กชายซึ่งกำลังทำความรู้จักกับชีวิต และโลก ทำให้เธอกลายเป็นหลายสิ่งหลายอย่างที่สำคัญในชีวิตของเขา เป็นแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ เป็นปริศนา ที่สำคัญคือ ความสัมพันธ์ของเธอกับเขา กลายเป็นปมชีวิตไปในที่สุด

การลักลอบคบกันแบบนี้ไม่มีทางยาวนาน การค่อยๆ แก่ตัวลงของสาวใหญ่ ยังไม่มีนัยสำคัญเท่ากับการที่เด็กก็ค่อยๆ โตขึ้น ฮันนาทิ้งเด็กน้อยไปในวันหนึ่ง และสร้างรอยแผลยิ่งใหญ่ให้กับชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา

เหตุการณ์นี้เหมือนฟ้าผ่าลงมาข้างตัว เด็กน้อยอึ้ง งง ไม่เข้าใจ หลังจากนั้นจึงเริ่มสร้างกำแพงป้องกันตัวเองจากการผูกพันทางความรู้สึกแบบนี้ และมีบุคลิกกระด้าง เย็นชาไปในที่สุด

เด็กน้อยได้พบกับฮันนาอีกครั้ง ระหว่างเรียนกฎหมาย ระหว่างวันคืนอันยาวนานของในการไปศาล เพื่อสังเกตการณ์การไต่สวนพิจารณาโทษอาชญากรที่ปล่อยให้เชลยหญิงชาวยิวถูกเผาทั้งเป็นจากการทิ้งระเบิดเมื่อครั้งที่นาซียังครองเมือง-ฮันนาคือหนึ่งในยามที่ถูกกล่าวโทษ

เขาไม่ได้เข้าไปถาม ว่าทำไมเธอถึงทิ้งเขาไปโดยไม่ร่ำลา แต่ทำกลับย้ำรอยแผลของตัวเองด้วยด้วยการฟังการซักค้านอย่างเย็นชา และระหว่างเฝ้ามองร่างกายด้านหลังของฮันนา เขาก็เริ่มปะติดปะต่อ ว่าฮันนาอ่านหนังสือไม่ออก และเขียนไม่ได้

เพื่อปกป้องความลับนี้ ฮันนาก็ยอมรับโทษจำคุกตลอดชีวิต

เด็กน้อยรู้สึกผิด ที่เขาไม่ได้แสดงความพยายามจะช่วยเหลือเธอเลย ความรู้สึกที่เจ้าตัวกดซ่อนให้ลึกอยู่ในใจนี้ทำร้ายเขารุนแรงกว่าที่เจ้าตัวจะนึกออก แต่ก่อนที่จะเป็นบ้าเป็นหลังไปเสียก่อน เขาก็ลุกขึ้นมากลางดึก และพาตัวเองให้พ้นความทรมานจากการนอนไม่หลับด้วยการอ่านหนังสือ บันทึกเทป ส่งไปให้ฮันนา

เขาอ่าน อ่าน และอ่าน โดยไม่พักจะสนใจว่า คนฟังจะชอบไหม ใช่..เหมือนเขื่อนเก็บน้ำที่เริ่มมีรูรั่ว เริ่มปล่อยน้ำที่กักไว้มหาศาลให้ไหลทะลักออกมา

จนในวันหนึ่ง ก็ได้รับโน้ตสั้นๆ เขียนด้วยความตั้งอกตั้งใจแน่วแน่ของคนเพิ่งหัดเขียน เพื่อชมเชยหนังสือเล่มสุดท้ายที่เขาอ่านให้ฟัง..มันเป็นหนังสือที่เด็กน้อยแต่งเอง

หลังจากปกปิดความลับนี้มาตลอดชีวิต ฮันนาตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่สุด ครั้งหนึ่งในชีวิตซึ่งเหลือเวลาไม่มากแล้ว เพื่อที่จะเรียนการอ่าน และเขียน อิฉันได้ทราบคำเฉลยในภายหลังว่า เธอเรียนโดยการที่หูก็ฟังเสียงที่เด็กน้อยอ่าน ตาก็ไล่ไปตามหนังสือที่ผู้คุม (มีเมตตา) หามาให้ยืม แล้วจึงเริ่มเขียน

ทั้งๆ ที่ประพฤติตัวดีจนได้รับการพิจารณาปล่อยตัว ทว่า ฮันนาไม่มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตข้างนอก แล้วภาพจิ๊กซอว์ที่เด็กน้อยเพียรต่อโดยลำพังในเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็เสร็จสมบูรณ์ คำถามหลายอย่างที่คนอ่านคาใจ ก็ได้รับคำตอบมีเหตุมีผลในช่วงนี้

อิฉัน ในวัยที่อยู่มาจนอายุขนาดนี้ โดยที่ยังเป็นโสด ปิด The Reader ด้วยความรู้สึกว่า
บางที ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง สิ่งที่เราโหยหาอย่างที่สุดมันไม่ใช่อะไรเลย นอกจากการรับรู้การมีตัวตน การยอมรับ และเข้าใจความเป็นเราอย่างแท้จริงจากใครสักคน..แค่นั้นเอง



(ปัญหาคือ การที่ใครคนนั้นจะรู้จักเราได้ เราก็ต้องเปิดประตูกว้างๆ ต้อนรับเขาก่อนใช่ไหม)



บันทึก:
• ชื่อเดิมในภาษาเยอรมันของเรื่องนี้คือ Der Vorleser
• ผู้เขียนชื่อว่า Bernhard Schlink เป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมายและผู้พากษา ทั้งยังเป็นนักเขียนแนวสืบสวนอีกด้วย
• ส่วนคนแปล คือ สมชัย วิพิศมากูล
• อ่านเรื่องนี้อีกครั้งเพราะนึกอยากไปดูหนังที่ เคต วินสเล็ต เล่นจนได้ลูกโลกทองคำ (สาขาสมทบหญิง) ตอนอ่านครั้งแรกนั่น เพื่อนอิ๋วให้ยืมมา่อ่านฮะ
• ประทับใจคนเขียนมาก ทั้งๆ ที่เล่าเรื่องสลับลำดับเวลาไปมา แต่ช่างเขียนได้ดี อรรถาธิบายและถ่ายทอดภาพของความรู้สึกได้อย่างยอด ลีลาการเขียนอีโรติกก็ช่างสวยงาม พอเหมาะพอดี ที่รู้สึกได้ขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณคนแปลด้วยนะฮะ
• ชอบภาพนั้นมาก ตอนฮันนาค่อยๆ รูดถุงน่อง จับให้เรียบ แล้วติดไว้กับสายยางรัดถุงน่อง
• คุกในเยอรมันสภาพดีจังเลย อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่บอร์ดิ้งสคูล
• การไม่รู้หนังสือ ทำให้ชีวิตลำบากมาก ยิ่งถ้าเราเป็นผู้หญิงอะนะ เพราะว่าเด็กผู้ชายสมัยนี้ นอกจากอ่านหนังสือไม่แตกแล้ว ยังไม่ค่อยจะอ่านกันเสียด้วยสิ

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Great Expectations : ชีวิต-จัดฉากได้

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

Great Expectations (1998) เป็นหนังที่พี่เทพให้ยืมมาจะครึ่งปีแล้ว จริงๆ ก่อนที่พี่เทพจะให้ยืมก็ดูมาแล้วหลายครั้ง จากเคเบิลบ้าง บิ๊กซินีม่าบ้าง แล้วก็ยังยืมมาดูเองอีกสีก ๒ ครั้งได้
สรุปว่าได้ดูหนังเรื่องนี้มาหลายรอบแล้ว

ก็ยังคงปลื้มกับความเท่ของไตเติ้ล ยังคงยักไหล่ตามจังหวะต่างๆ ในเวอร์ชั่นต่างๆ ของ Besame Mucho ยังคงทึ่งกับเรือนร่างอ้อนแอ้นแต่แข็งแรง โครงหน้า และสีหน้าอันหยิ่งยโสของ กวินเน็ต พัลโทรว ยังเผลอเลียฝีปากในซีนที่เด็กสองคนดื่มน้ำพุ แล้วมีคนนึงโดนขโมยจูบ ยังคงติดใจกับภาพพอร์ตเทรตที่เน้นประกายตาของโรเบิร์ต เดอ นีโร และยังคงปลื้มกับเสียงซินธิไซเซอร์ของ Life in Mono

เคยคิดเล่นๆ เหมือนกัน ว่าถ้าคนคนนึง โคตรจะมีพรสวรรค์ในอะไรสักอย่าง แล้วถ้าเขาไม่มีโอกาสแสดงพรสวรรค์ของเขาเลย จะเรียกได้ว่าเขามีพรสวรรค์ไหม (ถ้าไม่ได้แสดงความสามารถ พลโลกจะประจักษ์ใน Gift จากพระเจ้าได้ไง จิงปะ)

ฟินนิแกน เบลล์ หรือฟิน (แหม๋ คุณพ่อคุณแม่ช่างตั้งชื่อได้เริ่ดสะแมนแตนดีแท้) ก็เข้าข่ายนี้ เมื่อยังเล็ก เขาก็เป็นแค่เด็กบ้านๆ แถวสะพานปลาในฟลอริด้า ถึงจะมีพรสวรรค์ และมีความสุขที่ได้วาดรูป แต่ถ้าไม่ได้รับโอกาส ไม่ได้ถูกแนะนำตัวต่อโลกศิลปะในนิวยอร์ก ชีวิตทั้งชีวิตเขาก็คงเป็นได้แค่ชาวประมงที่มีงานอดิเรกเป็นการวาดภาพ

หนังเรื่องนี้ฉายชีวิตของ ฟิน (ตอนเล็กๆ แสดงโดย Jeremy James Kissner-หน้าตาโคตรจิ้มลิ้มน่ารัก ตอนโตแสดงโดย Ethan Hawke-ไม่ค่อยหล่อเท่าไหร่) ที่อิฉันดูดูแล้วรู้สึกว่า ช่างเป็นชีวิตที่ไม่ได้ลิขิตด้วยตัวเองเอาเสียเล้ยยย

เราเป็นคนดู เราเห็นได้ชัดๆ จาก “โอกาส” จากผู้อุปถัมภ์ลับๆ ของเขา ตอบแทนน้ำใจใสซื่อแบบเด็กๆ ให้ความช่วยเหลือไว้เมื่อตอนอายุ ๑๐ ขวบ ในเวลาเดียวกัน ฟินก็ได้ “โอกาส” ที่จะได้พบกับผู้หญิงคนเดียวที่เขารัก จากการเป็นของเล่นของ (มหา) เศรษฐีนีชราช้ำรักจนเพี้ยน ผู้ตกพุ่มม่ายขันหมากมาร่วมสามสิบปี ซึ่งอาศัยอยู่กับเอสเตลล่า (ตอนโตคือ Gwyneth Paltrow) หลานสาวแสนสวย (ใครนะ ช่างวางใจให้คนเพี้ยนๆ เลี้ยงเด็ก) ในคฤหาสน์หลังบะเฮิ่มซึ่งถูกปล่อยทิ้งไปกับกาลเวลา

ฟินช่วยตัวเองไม่ได้ เขาตกหลุมรักเอสเตลล่าตั้งแต่แรกเจอ แต่ก็นั่นแหละ คุณป้าที่ไม่เหลือความศรัทธาในความรักอีกแล้ว ได้สอนให้หลานสาวรู้สึกแบบเดียวกัน เธอเรียนรู้จะป้องกันตัวเองโดยการหลอกผู้ชายเสียก่อนที่จะโดนผู้ชายหลอก.. โดยมีฟินเป็นแบบฝึกหัดพื้นฐาน

เมื่ออยู่ๆ เอสเตลล่ามาทิ้งไป ฟินก็เศร้าเสียใจแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อโอกาสมาถึงเขาในอีกหลายปีให้หลัง ชักพาให้เขามาถึงนิวยอร์ก เขาก็ได้พบเอสเตลล่าอีกครั้ง เพื่อที่จะหัวใจสลายเป็นครั้งที่สอง และในวันที่เขาพบว่าภาพการเปิดตัวศิลปินหน้าใหม่อันสวยหรู รวมทั้งการประสบความสำเร็จ โซลเอาท์ ขายเกลี้ยงทุกรูปในวันเปิดตัวเป็นการจัดฉากของผู้อุปถัมภ์ลับๆ ของเขาอีก ก็เหมือนหัวใจฟินสลายลงเป็นครั้งที่สาม

ดีที่ฟินไม่ต้องหัวใจสลายเป็นครั้งที่สี่ ห้า และหก เพราะชาร์ลส์ ดิกกินส์ เขียนให้เขาเดินทางพิสูจน์พรสวรรค์และความสามารถจนเป็นที่ประจักษ์ที่ปารีส

เมื่อฟินกลับมาที่บ้านเกิด ณ ที่ที่เขาพบกับเอสเตลล่าเป็นครั้งแรก เขาก็ได้พบกับเธออีกครั้ง
แล้วเรื่องก๊อจบลง อย่าง(น่าจะ)แฮปปี้เอนดิ้ง
(พอดีไม่ได้อ่านนิยายอะนะฮะ ไม่รู้จิงๆ จบยังไง)


อิฉันดูจบมาแล้วหลานรอบ ก็ได้แต่สงสัยว่า…ชีวิตเรามีผู้อุปถัมภ์ลับๆ คอยจัดฉากให้อย่างนี้มั่งไหมเนี่ย?




บันทึก
• หนังเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับแม็กซิกัน Alfonso Cuarón จากนวนิยายของ Charles Dickens เขียนสกรีนเพลย์โดย Mitch Glazer
• งานสเก็ตช์สวยๆ ในเรื่องเป็นผลงานของศิลปินหนุ่มอิตาเลียน นาม Francesco Clemente (http://en.wikipedia.org/wiki/Francesco_Clemente)
• ในหนังเรื่องนี้ คุณจะได้ฟังเพลง Besame Mucho ถึง ๖ แบบ
• Estella คือชื่อของนางเอก ในภาษาสเปนหมายถึงดวงดาว ส่วน Besame Mucho เป็นภาษาสเปน แปลว่าจูบฉัน จูบฉัน จูบฉัน จูบฉัน จูบฉัน….แบบที่เราสั่งให้คนรักจูบอีกๆๆๆๆๆๆๆ (ได้โปรดเถอะ) อารมณ์เนี้ยนะฮะ
• ผู้กำกับหนังเรื่องนี้จะรู้ไหมว่าหนังของเขาเป็นอีกแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้อยากเรียนภาษาสเปน
• ลองสังเกตดีๆ หนังเรื่องนี้คุมโทนให้เป็นสีเขียว ซึ่งน่าทึ่งมาก ที่ไม่มีนักแสดงคนไหน “ดูไม่ได้” ในสีเขียวเลย (เป็นสีที่อิฉันใส่แล้วตายไปเลย)
• ซีนที่เอสเตลล่ามาเป็นแบบให้ฟินสเก็ตภาพถึงเตียงนอนนั่นแสงโคตรสวย และนี่คงจะเป็นหนังที่บอกได้ว่า ตอนอายุแค่นั้น กวินเน็ต พัลโทรวสวยแค่ไหน
• ใครที่ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยจูบปากกับคนรัก ดูหนังเรื่องนี้ไว้ แล้วคุณจะเริ่มต้นได้ถูกทาง
• สงสัยมานานแล้วว่า Great Expectations นี่คือ expectations ของใคร ผู้อุปถัมภ์ลับๆ เศรษฐีนีช้ำรัก สาวสวยผู้แสนเศร้า หรือว่าศิลปินหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์? ใครดูแล้วมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันหน่อยเถอะฮะ

...สำหรับความทรงจำของวันนี้





วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑

วันที่ควรจะไปทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้บุพการีผู้ล่วงลับ

แต่ก็ตื่นสาย และไม่ได้ทำอะไร
ยังดี ที่พี่ผึ้งใจดี ยอมลำบากช่วยขับรถตระเวณพาเราถ่ายรูป
(อือ ส่วนหนึ่งของงานน่ะ)

เป็นบ่ายหน้าหนาวที่โคตรร้อน แต่ร้อนจ้าอย่างดีก็ดีกว่าหน้าฝน ที่คาดเดาไม่ได้
อิฉันมีแดดดีๆ สำหรับถ่ายรูป (ต้องแลกด้วยการมีผิวสีน้ำผึ้งไหม้)
อิฉันโดนยามด่า เครียดกับการวิ่งลงไปถ่ายรูปแล้ววิ่งขึ้นมาอย่างเร็ว
พี่ผึ้งต้องมาทำอะไรเพี้ยนๆ อย่างขับส่งอิฉันลงไปถ่ายรูป แล้วก็วนรถมารับ
เราสองคนโดนมอง เพราะการกระทำประสาทๆ
ท่ามกลางเรื่องวุ่นๆ เครียดๆ ชวนเวียนหัว

่อิฉันก็ได้พบกับ one moment in time บนกำแพงขาว

นี่ไม่ใช่รูปในหัวข้อที่มาถ่าย
แต่อิฉันก็ผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้

ขอบคุณนะพี่ผึ้ง
^_^



วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เรื่องหมาหมา : เจอะก้านกล้วยที่แม่ริม




(สืบเนื่องจากอัลบั้มที่แล้ว)


"ก้านกล้วย" เป็นหมาโหลดเตี้ยของคุณพี่คนสวย คุณภรรยาของร้านกุ้ยช่ายพระเครื่องฮะ
ก่อนเดินถึงร้านนี้ แจ๋วเหลือบไปเห็นหมาน่อยสองตัวนอนเรี่ยราดอาบแดดลืมโลกแล้วก็แชะมาแล้ว
และได้มารู้ในภายหลังว่า เจ้านี่มีชื่อว่า "ก้านกล้วย"

ยังเด็ก ร่าเริง และแอ็คทีฟนะฮะ
เจ้าของบอกให้โชว์ก็โชว์
ทั้งเก่ง ทั้งฉลาดอย่างนี้
คาดว่าเพราะมันกินหนังกบทอดเป็นประจำนั่นเอง

ตามคุณนายไปตลาด




วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

วันนี้คุณนายเอ๋แพลนว่าจะทำสุกี้กินกะน้ำจิ้มสุกี้สูตรลุงสอ (บิดาของคุณนาย)
ตื่นเช้ากินกาแฟ ล้างหน้าแปรงฟัน (อาบน้ำเอาไว้ก่อน) แจ๋วจึงติดตามคุณนายไปตลาดแม่ริม
เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกฮะ ตลาดนี้ พบว่าสายแล้ว แต่ก็ยังมีทั้งของสดของแห้งเยอะแยะ
บางอย่างก็แปลกตา สมกับเป็นตลาดใหญ่ อยู่กึ่งเมืองกึ่งบ้านนอกนะฮะ

หมายเหตุ ย่านตลาดแม่ริมนี่ เดิ้นสุดในอำเภอแล้วนี่ฮะ เป็นศูนย์รวมของสถานที่ราชการ ไปรษณีย์ ธนาคารต่างๆ ร้านรวง ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดจิ๋ว ฯลฯ


วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คำคม#๑๗





เมื่อเราเปิดเผยตัวเรา
คุณเผยต่อฉัน ฉันเผยต่อคุณ
เมื่อเราต่างหลอมรวมเข้าด้วยกัน
คุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฉัน
และฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณ
เมื่อนั้นเองที่ฉันเริ่มรู้จักฉัน
และคุณเริ่มรู้จักตัวเอง





จาก เดอะ รีดเดอร์


หมายเหตุ:
1. ชอบมาก
2. มันทำให้คิดถึงใครบางคน
3. คนที่สนิทมาก เนื่องเพราะเราเปิดเผยต่อกันมาก





วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ไปบางปรู ไปดูนกนางนวล

Start:     Feb 15, '09 10:00a
Location:     บางปู สมุทรปราการ


มีคนมีเรื่องน่ายินดี
และก็มีคนอยากเลี้ยง
ไอ้เราก็ยิ้มสิฮะ







(กินอิ่ม ถ่ายรูปเหนื่อยแล้วก็ว่าจะหาวัดทำสังฆทานกันหน่อยนะ)



มึน-มึน เบลอ-เบลอ บนถนนคนเดิน




คืนวันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

เอ๋ อิ๋ว ม้อย
ไปรับน้าชาที่ Planetmate ไปหาพระจันทร์ที่ Coffea Station ซอยวัดอุโมงค์
ละเราก็ไปนั่งเม้าธ์ที่สูติโอลาเต้ พี่ป๊อกกะหวานใจ (ชื่อจอยชิมิคะ?) ตามมาสมทบ
ถ่ายรูปกันให้เป็นที่เฮฮา แล้วก็ได้ฤกษ์มาเดินถนนคนเดินซ้าที

พระจันทร์กะน้าชามามองหาของแต่งร้าน
อีกสามสาวมาช็อปปิ้ง
แต่ไม่ค่อยได้อะไรทะไหร่

คนมันเย้อะะะะะะ


ไปเชียงใหม่ กินอะไรมั่ง


มื้อเที่ยงวันอาทิตย์ฮะ



๗-๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑

ไปเชียงใหม่ครั้งแรกของปี
ได้กินอะไร-อะไรไปหลายประการ
ดังจะเล่าให้อิจฉา(หรือเปล่า?)กันต่อไปนี้

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เรื่องของม้าม่วง กะ ม้านาว





ส่วนหนึ่งในการ์ตูนของตั้ม วิศุทธิ์ พรนิมิตร
ที่ http://columbia.jp/comic/wisut/0022.html
น่ารักจัง ว่างๆ ก็คลิกไปอ่านกันดูนะ ตัวเอง

รักดอกจึงบอกไห่นะ

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม [รำพึง-รำพัน]



ผู้ชาย
จะรู้ไหมนะ
ว่า
ผู้หญิงเรา
ไม่ได้อยากเป็นแค่ของกินเล่น
ของหวาน ของว่าง
หรือแม้กระทั่งอาหารจานหลักของเขา

เรา
ไม่ใช่อาหาร

เรา
แค่อยากเป็นคนรักของเขา
เท่านั้นเอง




วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

รูปคู่ขำ-ขำ





วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

วันที่ไป Coffea Station ของพระจันทร์ แล้วได้ไปสตูดิโอของลาเต้
ด้วยความอนุเคราะห์ของพี่ป๊อก ทำให้มี "รูปคู่" เกิดขึ้นหลายรูป

อิ อิ

(สงสารลาเต้เนอะ)

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Planetmate ร้านของคนสบายใจ(ที่ไม่เบียดเบียนโลก)


โดยสาวสวยกะสาวหน้าใส




Planetmate คือร้านของน้าชา

น้าชาเป็นน้าของ ด.ญ. ทะเล นั่นก็แปลว่าน้าชาเป็นน้องของเจ้แอน ซึ่งเป็นแม่ของ ด.ญ. ทะเล และเป็น ม ของพี่เทพ ซึ่งกะลังจะกลายเป็นช่างภาพตุ้ยนุ้ยไปในไม่ช้า

น้าชาจากกรุงเทพฯ มาเพื่อมาเปิดร้านขายผลิตภัณฑ์แนวธรรมชาติ มีทั้งที่ใช้กับใบหน้า ผิวกาย และรับประทาน
ที่ว่าเป็นผลิตภัณฑ์แนวธรรมชาตินี่ คือแนวรักธรรมชาตินะฮะ หาใช่แนวย่ำยีหรือเบียดเบียนทำร้ายธรรมชาติไม่

ของที่น้าชาเลือกสรรมาขาย ส่วนหนึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์์จากพืชอินทรีย์ หรือออร์แกนิก แบบที่มาดอนน่าเลือกใช้อะฮะ

พืชอินทรีย์มันดีตรงที่เราใช้ได้สบายใจ ไม่ต้องกลัวสารพิษตกค้างจากกระบวนการปลูก นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสบายใจ ที่เราไม่เบียดเบียนดิน เพราะดินที่ใช้ปลูกพืชอินทรีย์นี่ เค้าจะไม่โดนทำลายโดยสารเคมีอันตราย จึงทำการเพาะปลูกได้ผลต่อไปได้อีกนานเท่านาน ถ้าหากยังมีการบำรุงดินผืนนั้นอย่างดีอยู่ ถ้าเราปลูกพืชด้วยวิธีนี้กันมากๆ ก็น่าจะพอเหลือผืนดินดีๆ ไว้ให้รุ่น ด.ญ. ทะเลและลูกหลานได้ใช้ด้วย

ก็เลยอยากจะชวนกันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากพืชอินทรีย์น่ะฮะ




Planetmate ตั้งอยู่ที่ เซน บ้านชาและกาแฟ ริมถนนศิริมังคลาจารย์
หรือท้ายซอยนิมมานฯ 5 และ 7
เยี่ยมชมและให้กำลังใจน้าชาได้ที่ teathink.multiply.com ฮะ

รูปลับ-แอบถ่ายสาวโต๊ะเดียวกัน





เจอสาวคนนี้ในงานแต่งเพื่อนฮะ

นั่งคนละฟากโต๊ะกับสาวคนนี้
เห็นปากน้อยๆ ขยับแหม็บๆ
กินมั่ง เม้าธ์มั่ง ออกจาน่าเอ็นดู

เลยแอบใช้ดิจิตอลซูมเก็บภาพน่าเอ็นดูของเธอมาฝากกัน


แถมท้ายสำหรับใครที่สงสัยว่าเธอคนนี้ใช้อะไร สูงวัยขนาดนี้แล้วหน้ายังใส
มีเฉลยในอัลบั้มต่อไปนะฮะ

แต่งสวยไปงานแต่ง




วันเสาร์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๓๕๕๒ เป็นวันฉลองแต่งงานของจินนี่น้อย
แต่จินนี้น้อยจัดที่เชียงใหม่
ไม่รู้เป็นไง อิฉันละอยากไปเสียจริงๆ
ก็เลยจัดการให้ตัวเองได้ไป

ดีนะ ที่ไปเพราะทั้งงาน มีเพื่อนสาธิตฯ แค่ ๖ คนเอง

งานนี้จัดที่ริมสระว่ายน้ำ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ
เป็นงานเล็กๆ บรรยากาศน่ารัก เพราะมีพร็อบเป็นพระจันทร์ใกล้เต็มดวง
เจ้าสาวก็ส้วยสวย..ให้ตายเหอะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นจินนี่สวยเท่านี้มาก่อน
สงสัยได้รัศมีเปล่งปลั่งของว่าที่คุณแม่ช่วยขับให้คุณเธองามเด่น เอิบอิ่มด้วยหน้าอกหน้าใจใหญ่เด้งขึ้นถึง ๓ เท่า

อิ อิ

ส่วนเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าสาวทุกคนยอมรับโดยถ้วนทั่วว่า..โคตรน่ารัก

อิจฉามันว่ะ ได้สามีที่ทั้งเด็ก น่ารัก แล้วก็เข้าใจพูดจาขนาดนี้

(ที่หน้างาน ชมจินนี่ว่าสวยด้วยการแซวไปที่สามีหนุ่มของเธอ ว่า
ตั้งแต่ได้เจอกัน วันนี้จินนี่สวยที่สุดเลยเนอะ
สามีหนุ่ม-นามกรว่า อาร์ต-ยิ้มตาหยี แล้วตอบว่า
สวยทุกวันเลยครับ
..........กรี๊ดดดดดดดดด-น่ารักๆๆๆๆๆ)

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แสงที่ปลายอุโมงค์




เสาร์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒






...แสงที่ปลายอุโมงค์เป็นเช่นนี้เอง






หมายเหตุ : ภาพปากอุโมงค์ขุนตาน บันทึกระหว่างเดิืนทางไปเชียงใหม่ครั้งแรกของปี ๒๕๕๒

อุโมงค์ขุนตานเป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย อยู่ที่อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง เริ่มสร้าง เมื่อ พ.ศ. 2450 แล้วเสร็จ พ.ศ. 2461 โดยการรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม ที่มีพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยาการ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินเป็นผู้บัญชาการ และมีนายช่างชาวเยอรมันชื่อ เอมิล ไอเซนโฮเฟอร์ เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 11 ปี ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 1,362,050 บาท อุโมงค์ขุนตานมีขนาดกว้าง 5.20 เมตร สูง 5.50 เมตร และยาว 1,352.10 เมตร เป็นอุโมงค์ชนิดคอนกรีตเสริมเหล็กตลอดแนว อุโมงค์ด้านเหนือสูงกว่าด้านใต้ประมาณ 14 เมตร

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ชมพูพันธุ์ทิพย์




ที่โรงเรียนทวีธาภิเษก 2



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tabebuia rosea (Bertol.) DC.
ชื่อวงศ์ : Bignoniaceae
ชื่อสามัญ : Pind tecoma, Pink trumpet tree,
Rosy trumpet-tree
ชื่อพื้นเมือง : ชมพูอินเดีย ตาเบบูยา ธรรมบูชา
ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้ต้น
ขนาด [Size] : สูง 15-25 เมตร
สีดอก [Flower Color] : สีชมพูอ่อน ชมพูสด ขาว
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Tiem] : ก.พ.-เม.ย.
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : โตเร็ว
ลักษณะนิสัย [Habitat] : ขึ้นได้ในดินทั่วไป
ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง
แสง [Light] : แดดเต็มวัน


ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกลม แผ่กว้าง
เป็นชั้นๆ เปลือกต้นเรียบสีเทาหรือสีน้ำตาล เมื่ออายุมากเปลือกแตกเป็นร่อง กิ่งเปราะหักง่าย
ใบ (Foliage) : ใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5 ใบ ก้านใบรวมยาว 5-30 เซนติเมตร ก้านใบย่อยยาว 0.5-2.5 เซนติเมตร ใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี กว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 7.5-16 เซนติเมตร ปลายใบแหลม
หรือเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาสีเขียวเข้ม
ดอก (Flower) : สีชมพูอ่อน ชมพูสดและขาว กลางดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง มีดอก-
ย่อยจำนวนมาก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปแตร ยาว 5-7 เซนติเมตร มักบาน พร้อมกัน ร่วงง่าย ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-8 เซนติเมตร
ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก เป็นฝักกลม ยาว 15-30 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดแบน สีน้ำตาล มีปีก
การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) : ทรงพุ่มสวย ดอกสวยมีสีสัน ให้ร่มเงา ปลูกริมถนน ลานจอดรถ
ปลูกเป็นกลุ่มในสนามโล่ง ทนน้ำท่วมชัง แต่กิ่งเปราะไม่เหมาะปลูกใกล้สนามเด็กเล่น ดอกร่วงมาก
ประโยชน์ : -(.......ทำไมไม่มีประโยชน์???)

ทางไป สนพ. สายธาร

http://www.winyuchon.co.th/map/map.asp

เผื่อวันนึงต้องไป จะได้ไม่ต้องถามน้องเค้าอีกไง

นาครเขษม : Used People

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Other
Author:คอยนุช (ศิริพรรณ เตชจินดาวงศ์)


นวนิยายเล่มเล็กที่ฉวยติดมือ ยืมมาจากชั้นหนังสือบ้านน้าเอ๋เมื่อครั้งไปเชียงใหม่ครั้งไหนสักครั้งในปีที่ผ่านๆ มา
คราวนั้น น้าเอ๋มีคำนิยมกำกับหนังสือเล่มนี้มาทำนองว่า “สนุกดีนะแก เหมือนชีวิตพวกเราเลย”
(ความจำแย่ฮะ จำได้ลางๆ เพียงเท่านี้เอง)

ชี วิ ต พ ว ก เ ร า อ ะ ไ ร กั น ย ะ ?

(ก็ตอนนั้นยังห่างไกลตัวเลข ๔๐ เยอะกว่าปีนี้ ไกลเสียจนแทบจะมองไม่เห็น เดาไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าพอ ๔๐ แล้วจะเป็นกันยังไง)

หนังสือเล่มจ๋อยเล่มนี้ พร้อมกับเพื่อนๆ ที่มาจากชั้นหนังสือเดียวกันมานอนแอ้งแม้งรอการอ่านของอิฉัน (ตามสูตร) นานเป็นปี จนมันแทบจะแห้งเหี่ยวติดพื้นห้องไปเพราะไม่ได้สัมผัสชิดใกล้กับลมหายใจคนอ่าน ขาดการจับต้อง พลิกเปิด จนถึงวันหนึ่ง วันที่อิฉันควรจะอ่านอย่างอื่น (หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่น-เพื่อเตรียมสอบวัดผล) อิฉันก็เปรี้ยวตามสูตร คือเป็นต้องเสหาหนังสืออื่นมาอ่านแทน...แต่รามายณะไม่ไหว เล่มมันใหญ่ไป กลัวเสพย์ติดแล้วจะถอนตัวไม่ขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องอดขึ้นชั้นเรียนใหม่พร้อมเพื่อนแน่
มองไปมองมา เกิดสะดุดตากะสีเหลืองแหลมของหนังสือเล่มนี้เข้า

แล้วก็เพิ่งอ่านจบไปเมื่อกี๊ หลังตื่นกลางดึกเพราะน้องปู (เค็ม) มาปลุก

"นาครเขษม" ในหนังสือเล่มนี้เหมือนดินแดนพิศวง โซนประหลาดๆ มีอาณาเขตไม่ชัดเจน ที่คนอายุ ๔๐ ปี ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ก็จะถูกจัดว่า... แก่ จะถูกอัปเปหิไปอยู่รวมกัน

สมาชิกของนาครเขษมส่วนใหญ่ เคยใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอก ที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของเด็กและคนหนุ่มสาว วัยที่ชีวิตยังเป็นการเคลื่อนไหว และมีรายละเอียดอันมีสีสัน
ทว่าตอนนั้น คนพวกนั้นก็ไม่ได้สำเหนียกถึงคุณค่าของวินาทีนั้นของชีวิตเลย พวกเขาลืมที่จะใช้ชีวิตให้มีสีสัน ให้เต็มที่ ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นคน อย่างที่มันจะควรจะเป็น จนกระทั่งวันหนึ่ง มารู้ตัวอีกที ก็เป็นตอนที่ตัวเองมาปรากฏในนครเขษมเสียแล้ว

ชีวิตเพี้ยนๆ ของคนที่ถูกปลดระวางจากโลกภายนอกเพราะความชราในนาครเขษมช่างดูน่าขบขันและน่าอเนจอนาถใจอยู่ในที อิฉันเห็นหลายคนยังตามหาปริศนาที่ยังไม่ได้รับการไข ไม่ว่าจะเป็นการมาถึงของดำรงและอวัยวะเพศที่ไม่ได้ทำหน้าที่อวัยวะเพศอีกต่อไป และยางลบประหลาดที่มีคำว่า “นภา” การสูบบุหรี่มวนต่อมวนโดยไม่พูดอะไรกับใคร ยกเว้นถอนหายใจอยู่บนเก้าอี้ขึ้นสนิมของผู้หญิงที่มีฝ้ารูปแผนที่แอฟริกา ปรีชาและการตามหาเอกสารหน้า ๒๓ ที่หายไป ดำรงผู้ไม่เคยมีเวลาว่าง และนิตยา ผู้ไม่เคยช้าแม้สักครั้งในชีวิต

ดีใจที่ได้อ่านในวัยที่ยังห่างไกลกับเลข ๔๐ อีกหลายปี (ฮา) เพราะอย่างนี้ ถึงได้มองเห็นว่า ในเวลาอีกหลายปี ก่อนจะถึง ๔๐ นี้ มีอะไรต้องทำ พอถึงวันนั้นถ้ารู้สึกแก่จริงๆ จะได้เอ็นจอยกับอีกสเตจของชีวิต โดยไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งเสียดายที่ยังไม่ได้ทำสิ่งที่ยังรู้สึกติดค้าง


บันทึก :
• ขอบคุณน้าเอ๋ และคำนิยมสำหรับหนังสือเล่มนี้
• ขอบคุณคนเขียน ถึงแม้อิฉันจะไม่เห็นด้วยเท่าไรกับการจัดให้คนอายุ ๔๐ เป็นคนแก่ (ถึงตามแผนที่ชีวิตมันจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม) เรื่องของคุณสนุกมาก แล้วก็เล่าได้กวนมาก แต่กินใจมาก คุณมีผลงานเล่มอื่นอีกไหมเนี่ย? แล้วคุณเขียนนาครเขษมอยู่นานไหม? คุณเขียนเสร็จเมื่ออายุเท่าไหร่? และจริงๆ แล้วคุณอายุเท่าไหร่?
• ว่าแล้วน่าจะทำรายการ to do list ก่อนจะชรากันสักหน่อยนะ
-สำหรับที่ที่อยากไปจริงๆ ก็จะกระเสือกกระสนให้ได้ไป
-สำหรับสิ่งที่อยากทำจริงๆ ก็จะลองทำดู และจะตั้งใจทำให้ดี ไม่ให้เสียเวลา
-สำหรับคนที่อยากบอกรัก สมควรบอกรัก ก็จะหาโอกาสเหมาะๆ บอกให้ได้
-สำหรับความสัมพันธ์ ถ้ายังมีโอกาส ก็จะลองดู และจะมีให้ดี ไม่งี่เง่าและทำเสียเรื่องอีก
-สำหรับคนที่รักเรา ดีกับเรา ก็จะรักเค้าตอบ..อย่างรู้คุณ
-สำหรับคนงี่เง่า ก็จะไม่เสียเวลาใส่ใจ คนที่ควรใส่ใจยังมีอีกเยอะแยะ


วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

น้ำพริกเต้าหู้ยี้-สูตรนี้ แด่ป้าอ้อย



วันจันทร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

คุยกันเมื่อวันก่อน ป้าว่าป้าอยากกินสุกี้
เลยออกไปหาเครื่องทำน้ำจิ้มสุกี้ ทำเอาน้องพลอยน้ำลายสอ อยากกินสุกี้เอ็มเคขึ้นมาฉับพลัน
พอดีกับได้เวลา "สารคดี" มาถึงบ้าน

แหม้...ช่างประจวบเหมาะ
ฉบับนี้เขาทำเรื่องพริก มีเล่มเล็กรวมสูตรน้ำพริกแถมมาด้วย
เห็นมีน้ำพริกเต้าหู้ยี้ เค้าว่ารสชาติเหมือนน้ำจิ้มสุกี้สูตรโบราณ
น้องเลยคัดมาให้ป้าลองทำดู
แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ ละ แบ่งๆ ให้คนอื่นลองทำชิมดูมั่งเนอะคะป้า

หวังว่าคงจะหาเครื่องปรุงไม่ยากเกินไปนะจ๊ะ

น้ำพริกเต้าหู้ยี้

เครื่องปรุง
เต้าหู้ยี้แดง พริกขี้หนูสวน กระเทียมสด กระเทียมดอง น้ำมันงา น้ำตาลทราย มะนาว

วิธีปรุง
-ล้างเด็ดก้านพริกขี้หนู ปอกเปลือกกระเทียมสด หั่นซอยกระเทียมดอง มะนาวบีบใส่ถ้วยไว้
-ตำพริกกับกระเทียมสดและกระเทียมดองจนเกือบๆ ละเอียด ใส่ก้อนเต้าหู้ยี้ตำให้เข้ากัน เติมน้ำมันงาเล็กน้อย ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายและน้ำมะนาว ให้เค็มเปรี้ยวเผ็ดนำ หวานตาม
-น้ำพริกเต้าหู้ยี้นี้รสชาติแทบจะเหมือนกับน้ำจิ้มสุกี้ยากี้สูตรโบราณ ดังนั้น หากรับประทานเปล่าๆ กับผักต้มผักลวกก็จะได้รสชาติคล้ายกินสุกี้ยากี้แห้ง แต่ถ้าคลุกข้าวสวยก็รับประทานแกล้มกับผักสดและปลากรอบปิ้ง/ทอดได้อร่อยเช่นกัน
-เหมาะกับผู้รับประทานมังสวิรัติที่ยังติดใจอาหารไทยรสจัดแกล้มกับผักสด ผักต้ม



The Little White Horse : ม้าน้อยสีขาว

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Childrens Books
Author:Elizabeth Goudge แปลโดยวิภาดา กิตติโกวิท
วันอาทิตย์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

อ่าน ม้าน้อยสีขาว จบเป็นรอบที่สอง
ตอนที่อ่านจบรอบแรกเมื่อหลายปีก่อนนั้น ก็เห็นบนปกแล้วว่าเป็น "หนังสือเล่มที่ เจ เค โรว์ลิ่ง ชอบ และกล่าวถึงบ่อยที่สุด"
รู้สึกตอนนั้นจะ็ไม่ได้ติดใจอะไรกับข้อความนี้ แต่จำได้ว่านี่เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่สนุกมาก
จำได้ว่าอ่านจนจบ (หนังสือที่มีอยู่มีอยู่แค่ราวร้อยละ ๒๕ เท่านั้น ที่อ่านจนจบ ในขณะที่มีเพียงร้อย ๗๕ ที่หยิบมาอ่าน)

จนเมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านประวัติ เจ เค โรว์ลิ่งอีกครั้ง และได้รู้(อีกครั้ง)ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจของเธอ ก็นึกขึ้นมาไ้ด้ว่าเราก็มี เลยหยิบมาอ่านอีกครั้ง
(ม้าน้อยสีขาวเลยเข้าไปรวมอยู่ในร้อยละ ๘ ของหนังสือที่ถูกอ่านซ้ำเป็นรอบที่สอง)

มันเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ยอดเยี่ยมแหละ
เพราะอะไรน่ะหรอ เพราะเขียนขึ้นด้วยภาษาที่สมบูรณ์แบบ เขียนอย่างประณีต จากการวางโครงเรื่องอย่างสุดยอด แม้จะเป็นเรื่องราวใกล้เคียงเทพนิยาย แบบเจ้าชาย-เจ้าหญิง แต่นั่นก็เืพื่อผูกเรื่องให้สนุก ทั้งยังเล่าด้วยน้ำเสียงที่ให้กำลังใจ ให้เด็กเชื่อในความดี และการทำความดี

ทั้งหมดทั้งมวลโดยผู้เขียนไม่ได้สาธิตด้วยภาพขาว-ดำ
คือแทนความดีด้วยสีขาว แล้วแทนความชั่วด้วยสีดำ
ถ้ามันเป็นภาพวาด หนังสือเล่มนี้คงเป็นภาพที่ใช้ทุกสีที่มี แสดงให้เห็นทั้งแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ในทุกอุณหภูมิสี

ด้วยความเมตตาของผู้เขียน เธอชี้้ให้เด็กๆ เห็นว่าในตัวคนคนเดียวมีทั้งดีและชั่ว ไม่มีใครดีสุดๆ และชั่วสุดๆ ดังนั้น ให้เข้าใจคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ และควรจะเลือกมองในส่วนที่ดี และเชื่อมั่นในส่วนนั้น ซึ่งมีในตัวคนทุกคน

ดิฉันเชื่อว่าคนเขียน เขียน ม้าน้อยสีขาว จบ ในวันที่เธอบรรลุวุฒิภาวะของความเป็นผู้ใหญ่ แต่ยังไม่ลืมภาพเก่าๆ ในวันที่ตัวเองยังเป็นเด็ก

โดยส่วนตัว อิฉันเห็นว่าคุณค่าที่โดดเด่นเหนือสิ่งอื่นใดของหนังสือเล่มนี้คือ
การปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก
เพราะจริงๆ แล้ว การมีจินตนาการ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ และไม่อาจยอมรับได้นั้น ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามเพราะมันผิดบาป เพ้อเจ้อ และไร้สาระ

ไม่แปลกหากเรื่องราวใน ม้าน้อยสีขาว จะประทับอยู่ในความทรงจำของผู้ใหญ่หลายคน รวมทั้ง "แม่" ผู้ให้กำเนิดแฮรี่ พอตเตอร์ อย่าง เจ เค โรวลิ่ง


บันทึก
-ด้วยสำนวนภาษาสุดเลิศ อิฉันว่าต้นฉบับภาษาอังกฤษหนังสือเล่มนี้จะเป็นครูของนักเีรียนภาษาและวรรณคดีอังกฤษ
-ตัวละครที่ชอบมากที่สุดคือ มาร์มาดุ๊ค สคาร์เล็ต คนครัวคนแคระของคฤหาสน์เมอรี่เวเธ่อร์ ผู้มีพรสวรรค์ในการเสกสรรค์อาหารและประดิษฐ์ Compound - Complex sentence
-ชอบสำนวนแปลของผู้แปลคนนี้มาก หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ใช้สำนวนภาษาใกล้เคียงภาษาในปัจจุบัน แต่เธอช่างแปลได้แสน smooth และก็เก็บมาครบประเด็นดีจริง
-ได้คิดอย่างนึงว่า หนังสือบางเล่ม คงเหมาะจะอ่านในบางจังหวะของชีวิต หากยังไม่ถึงเวลา หรือพ้นเวลาที่เหมาะสมนั้นมาแล้ว impact จากการอ่านก็จะเปลี่ยนแปลงไป
-อิฉันคงจะแก่ไปแล้ว เพราะอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วมันทะลุปรุโปร่งไปหน่อย-ก็ไม่รู้ว่าเพราะอ่านเป็นรอบที่สองด้วยหรือเปล่าน่ะนะ
-รู้สึกเข้าอกเข้าใจอะไรไปหมด แต่ไม่ได้รู้สึกสนุกน้อยลงนะ
-ที่สำคัญคือยังคงอ่านจบเป็นรอบที่สองล่ะ ^_^