Rating: | ★★★★★ |
Category: | Books |
Genre: | Other |
Author: | Bernhard Schlink แปลโดยสมชัย วิพิศมากูล |
***คำเตือน : บทความนี้มีคำเฉลยปมของเรื่อง ถ้าอยากอ่านหนังสือให้สนุกก๊ออย่าเพิ่งมาอ่านบทความนะจ๊ะ***
หลายๆ คนที่อยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้วยังโสด จะเหงากันบ้างไหม?
เหงา เหมือนอยู่คนเดียวในโลกที่แสนจะวุ่นวาย ท่ามกลางผู้คนมากมาย ..แต่ไม่มีใครรู้จักเราจริงๆ เลย
อิฉันอ่าน The Reader จบเป็นครั้งที่สองเมื่อสองวันก่อน เมื่อจะลงมือเขียนถึง สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือ “ความเหงา” ของตัวละครทั้งสองในเรื่องนี้
อย่างที่พอรู้นั่นแหละ นิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องของสาวใหญ่วัย ๓๖ ที่มีอันได้มาพบ และมีสัมพันธ์สวาทกับเด็กหนุ่มวัย ๑๕ ก่อนที่จะเริ่มต้นอ่านอีกครั้ง อิฉันลองทบทวนดูว่าจำอะไรได้บ้าง ก็พบว่าภาพที่ยังค้างอยู่หลังการอ่านรอบแรกเมื่อ ๕-๖ ปีก่อนมีเพียงอ่างอาบน้ำใหญ่ในห้องครัว มีแสงยามบ่ายส่องมาจากด้านหลัง ในอ่างสาวมีใหญ่เจ้าของเรือนร่างสมบูรณ์ แข็งแรง กำลังอาบน้ำ ถูตัวให้เด็กหนุ่มแขนขายาวเก้งก้าง
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าลามกของสาววิปริตที่ชอบมีอะไรกับเด็ก หรือเรื่องของเด็กห่ามห้าว ก้าวหน้า อยากเรียนรักกับสาวใหญ่ แต่นี่คือภาพความสัมพันธ์ที่ลึกล้ำที่มีปมประเด็นซับซ้อน
เด็กน้อย (มิคาเอล แบร์ก) จะออกจากโรงเรียนมาพบกันหลังจาก ฮันนา (ฟราวชมิทซ์) เลิกงานขายตั๋วบนรถรางบ้าง ก่อนเธอไปทำงานบ้าง โดยก่อนจะสอนบทสวาทให้ เธอจะขอร้องให้เด็กน้อยอ่านหนังสือให้ฟังทุกครั้ง นอกจากนี้จะมีการอาบน้ำให้ เพราะเธอเป็นคนรักความสะอาด จนในที่สุด การอ่านออกเสียงและการอาบน้ำก็กลายเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ก่อนร่วมรักไป
และแม้ว่าทั้งสองจะสนิทสนมกันมาก แต่ฝ่ายที่โตกว่าก็แอบซ่อนความลับสำคัญของเธอไว้ในช่องว่างของวัย โดยที่เด็กไม่ได้สำเหนียก
ไม่ว่าฮันนาจะรู้ตัวหรือไม่ การปรากฏตัว และมีบทบาทแสนสำคัญในช่วงปีแรกๆ ของเด็กชายซึ่งกำลังทำความรู้จักกับชีวิต และโลก ทำให้เธอกลายเป็นหลายสิ่งหลายอย่างที่สำคัญในชีวิตของเขา เป็นแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ เป็นปริศนา ที่สำคัญคือ ความสัมพันธ์ของเธอกับเขา กลายเป็นปมชีวิตไปในที่สุด
การลักลอบคบกันแบบนี้ไม่มีทางยาวนาน การค่อยๆ แก่ตัวลงของสาวใหญ่ ยังไม่มีนัยสำคัญเท่ากับการที่เด็กก็ค่อยๆ โตขึ้น ฮันนาทิ้งเด็กน้อยไปในวันหนึ่ง และสร้างรอยแผลยิ่งใหญ่ให้กับชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา
เหตุการณ์นี้เหมือนฟ้าผ่าลงมาข้างตัว เด็กน้อยอึ้ง งง ไม่เข้าใจ หลังจากนั้นจึงเริ่มสร้างกำแพงป้องกันตัวเองจากการผูกพันทางความรู้สึกแบบนี้ และมีบุคลิกกระด้าง เย็นชาไปในที่สุด
เด็กน้อยได้พบกับฮันนาอีกครั้ง ระหว่างเรียนกฎหมาย ระหว่างวันคืนอันยาวนานของในการไปศาล เพื่อสังเกตการณ์การไต่สวนพิจารณาโทษอาชญากรที่ปล่อยให้เชลยหญิงชาวยิวถูกเผาทั้งเป็นจากการทิ้งระเบิดเมื่อครั้งที่นาซียังครองเมือง-ฮันนาคือหนึ่งในยามที่ถูกกล่าวโทษ
เขาไม่ได้เข้าไปถาม ว่าทำไมเธอถึงทิ้งเขาไปโดยไม่ร่ำลา แต่ทำกลับย้ำรอยแผลของตัวเองด้วยด้วยการฟังการซักค้านอย่างเย็นชา และระหว่างเฝ้ามองร่างกายด้านหลังของฮันนา เขาก็เริ่มปะติดปะต่อ ว่าฮันนาอ่านหนังสือไม่ออก และเขียนไม่ได้
เพื่อปกป้องความลับนี้ ฮันนาก็ยอมรับโทษจำคุกตลอดชีวิต
เด็กน้อยรู้สึกผิด ที่เขาไม่ได้แสดงความพยายามจะช่วยเหลือเธอเลย ความรู้สึกที่เจ้าตัวกดซ่อนให้ลึกอยู่ในใจนี้ทำร้ายเขารุนแรงกว่าที่เจ้าตัวจะนึกออก แต่ก่อนที่จะเป็นบ้าเป็นหลังไปเสียก่อน เขาก็ลุกขึ้นมากลางดึก และพาตัวเองให้พ้นความทรมานจากการนอนไม่หลับด้วยการอ่านหนังสือ บันทึกเทป ส่งไปให้ฮันนา
เขาอ่าน อ่าน และอ่าน โดยไม่พักจะสนใจว่า คนฟังจะชอบไหม ใช่..เหมือนเขื่อนเก็บน้ำที่เริ่มมีรูรั่ว เริ่มปล่อยน้ำที่กักไว้มหาศาลให้ไหลทะลักออกมา
จนในวันหนึ่ง ก็ได้รับโน้ตสั้นๆ เขียนด้วยความตั้งอกตั้งใจแน่วแน่ของคนเพิ่งหัดเขียน เพื่อชมเชยหนังสือเล่มสุดท้ายที่เขาอ่านให้ฟัง..มันเป็นหนังสือที่เด็กน้อยแต่งเอง
หลังจากปกปิดความลับนี้มาตลอดชีวิต ฮันนาตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่สุด ครั้งหนึ่งในชีวิตซึ่งเหลือเวลาไม่มากแล้ว เพื่อที่จะเรียนการอ่าน และเขียน อิฉันได้ทราบคำเฉลยในภายหลังว่า เธอเรียนโดยการที่หูก็ฟังเสียงที่เด็กน้อยอ่าน ตาก็ไล่ไปตามหนังสือที่ผู้คุม (มีเมตตา) หามาให้ยืม แล้วจึงเริ่มเขียน
ทั้งๆ ที่ประพฤติตัวดีจนได้รับการพิจารณาปล่อยตัว ทว่า ฮันนาไม่มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตข้างนอก แล้วภาพจิ๊กซอว์ที่เด็กน้อยเพียรต่อโดยลำพังในเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็เสร็จสมบูรณ์ คำถามหลายอย่างที่คนอ่านคาใจ ก็ได้รับคำตอบมีเหตุมีผลในช่วงนี้
อิฉัน ในวัยที่อยู่มาจนอายุขนาดนี้ โดยที่ยังเป็นโสด ปิด The Reader ด้วยความรู้สึกว่า
บางที ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง สิ่งที่เราโหยหาอย่างที่สุดมันไม่ใช่อะไรเลย นอกจากการรับรู้การมีตัวตน การยอมรับ และเข้าใจความเป็นเราอย่างแท้จริงจากใครสักคน..แค่นั้นเอง
(ปัญหาคือ การที่ใครคนนั้นจะรู้จักเราได้ เราก็ต้องเปิดประตูกว้างๆ ต้อนรับเขาก่อนใช่ไหม)
บันทึก:
• ชื่อเดิมในภาษาเยอรมันของเรื่องนี้คือ Der Vorleser
• ผู้เขียนชื่อว่า Bernhard Schlink เป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมายและผู้พากษา ทั้งยังเป็นนักเขียนแนวสืบสวนอีกด้วย
• ส่วนคนแปล คือ สมชัย วิพิศมากูล
• อ่านเรื่องนี้อีกครั้งเพราะนึกอยากไปดูหนังที่ เคต วินสเล็ต เล่นจนได้ลูกโลกทองคำ (สาขาสมทบหญิง) ตอนอ่านครั้งแรกนั่น เพื่อนอิ๋วให้ยืมมา่อ่านฮะ
• ประทับใจคนเขียนมาก ทั้งๆ ที่เล่าเรื่องสลับลำดับเวลาไปมา แต่ช่างเขียนได้ดี อรรถาธิบายและถ่ายทอดภาพของความรู้สึกได้อย่างยอด ลีลาการเขียนอีโรติกก็ช่างสวยงาม พอเหมาะพอดี ที่รู้สึกได้ขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณคนแปลด้วยนะฮะ
• ชอบภาพนั้นมาก ตอนฮันนาค่อยๆ รูดถุงน่อง จับให้เรียบ แล้วติดไว้กับสายยางรัดถุงน่อง
• คุกในเยอรมันสภาพดีจังเลย อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่บอร์ดิ้งสคูล
• การไม่รู้หนังสือ ทำให้ชีวิตลำบากมาก ยิ่งถ้าเราเป็นผู้หญิงอะนะ เพราะว่าเด็กผู้ชายสมัยนี้ นอกจากอ่านหนังสือไม่แตกแล้ว ยังไม่ค่อยจะอ่านกันเสียด้วยสิ
อยากจะอ่านหลายครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาสซะที
ตอบลบเขียนอธิบายความรู้สึกได้ดี
ไม่เห็นมีใครบอกเลย ว่าหญิงสาวในเรื่องอ่านหนังสือไม่ออก
ตอบลบอ้าว..ซวยละ มาเฉลยซะงั้น
ตอบลบลองหามาอ่านดูนะคะ
ตอบลบเล่มนี้เหมือนจะอ่านยาก (ไวยากรณ์ซับซ้อนนิด ตามประสาภาษาเยอรมัน)
แต่วิธีเล่าดี (คนเขียนเก่ง)
อ่านแล้วไม่อยากจะวาง
ให้ดาวก่อนดู จะไปดู วันพฤหัสนี้ค่ะ
ตอบลบขอไปดูหนังก่อนนะครับ
ตอบลบเดี๋ยวจะเข้ามาอ่านอีกที
กำลังจะไปดูหนังเรื่องนี้อยู่พอดี ( กะว่าจะดูเย็นนี้) ถึงอ่านตรงนี้แล้วก็คงไม่มีปัญหาหรอกใช่มั้ย เพราะเรื่องนี้ก็ให้แง่คิดหลายประเด็น
ตอบลบหนังสือเล่่มนี้ของชั้นหายไปไหนหว่า
ตอบลบหลายๆ คนที่อยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้วยังโสด จะเหงากันบ้างไหม? (อ้างอิงจากข้างบน)
ตอบลบอันนี้มันของคู่กันอยู่แล้ว "โสด & เหงา" ถ้าจะให้ครบถ้วนกระบวนความต้องบอก "โสด & เหงา & อิสระ(ชีวิตที่มีความยึดหยุ่น" ...แต่คนมีคู่ครองแต่งงานจำนวนมากก้อยังคงเหงากันอยู่ดี
อืมม...ความเหงา ไม่เข้าใครออกใคร
ตอบลบวันนี้น้าดูหงอยๆ ฮิ
ตอบลบเหอๆๆ ซาแดงว่าเจ้าของบ้านนี้ชอบให้คนมาตอดแกมหยิกแหงม ๆ ผมม่ายด้ายเปนพุดเดิ้ลนะถึงจาอะเลิร์ท 24ชั่วโมงต่อวันน่ะ อีกอย่าง(ความจิง)ผมเปนคนเงียบๆ(จิงๆนะ)...ไม่ได้เปนคนnoisyเหมือนคายบางคง
ตอบลบใครบางคนนั้นอาจจะไม่ใช่คนน้อยซี่ก้อได้
ตอบลบพูดยังกะรู้จักใครคนนั้นดีงั้นแหละ
ผมยังไม่ได้อ่านเล่มนี้หรอก แต่ตอนไปร้านหนังสือเพื่อซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดโรงเรียนที่เคยสอน ผมเลือกหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง มัวแต่ไปอ่านเล่มอื่น (หนังสือน่าสนใจเยอะเกินไปเหอะ) กะว่ายังจะไม่ดูหนังที่เคทแสดงจนกว่าจะอ่านหนังสือให้จบก่อน เพราะส่วนใหญ่คนสร้างหนังมักทำหนังออกมาไม่ได้ "ฟีล" เหมือนที่อ่านจากหนังสือ
ตอบลบเราเข้าใจว่า
ตอบลบหนังสือ และหนัง คงจะทำได้ดีไปคนละแบบ
เราเข้าใจข้อจำกัด และเราก็อยากรู้ว่า ผู้กำกับหนังเค้าจะพรีเซนต์ยังไง
นักแสดงจะเพอร์ฟอร์มยังไง
ก็ว่าจะไปดูเร็วๆ นี้
ป.ล. อ่านรีพลายของน้าแล้วนึกถึงตอนตัวเองเอาหนัง Tokyo Tower มาเปรียบกะซีรีส์ Tokyo Tower เลยเชียว
หนังสือเรื่องนี้ ซาบซึ้งใจมาก
ตอบลบอ่านไปครั้งนึง นานแล้วเหมือนกัน
จำได้ว่า ตอนท้ายเรื่องร้องไห้เลยค่ะ
เราชอบพิธีกรรมรัก
อาบน้ำอ่านบทกวี
สร้างสรรค์ดี :)
อยากดูหนังเรื่องนี้ กำลังหาโอกาส
คุณ mandymois เบนจามิน บัตตั้น ดีมากๆเลยนะ
ตั้งและตอบคำถามเรื่องชีวิต พล้อตดี ลีลาหนังก็ดี
หรอ หรอ
ตอบลบแหม๋อยากมีเพื่อนดูด้วยจัง
ไม่ใช่ดูหนังคนเดียวไม่ได้นะ
แต่ชอบเวลามีเพื่อนดูแล้วออกมาเม้าธ์กันน่ะ
อะแหม....ฉายเดี่ยวไปเลย หญิงมั่น
ตอบลบดูจบ ค่อยดักหา เพื่อนแถวนั้นคุยไง
ตอนนั้นน่ะ เราถึงกะเอามือทาบอก ถอนหายใจสามที
ตอบลบก่อนน้ำตาหล่น
เอิ่ม...
ตอบลบได้อ่านและได้ดูแล้วล่ะ....ขออวด
ตอบลบแฟนพระเอกตอนเรียน ทำให้นึกถึง Nico นักร้องสาวที่เคยออกแผ่นกับ The Velvet Underground ( ไม่เกี่ยวกับเรื่องเนอะ )
แก...เหมือนชั้นเลย กลับมาอ่านอีกรอบ...ตอนกลับบ้านเอาติดมาด้วยเพราะอยากอ่านอีกครั้ง อ่านแล้วเศร้าวะพาลปะติดปะต่อ ไพล่ไปถึงใครบางคน
ตอบลบคนเขีบนบรรยายได้ดีจริงๆแหละ เห็นภาพ ได้กลิ่นเลย
จะไปดูเมื่อไหร่อะ อยากไปด้วย อาทิตย์นี้ไม่อยู่อาจได้กลับเชียงใหม่ไปงานแต่งเพื่อนมช.
เอิ่ม...ยังไม่ได้ดูเลยฮะ
ตอบลบอาจจาเป็นวันอาทิตย์
ตอบลบแต่ไม่แน่ ถ้าพรุ่งนี้ไม่มึนส์ อาจจาไปตอนเย็นๆ
มารอยืม หุหุ
ตอบลบิ่เอิ่ม...มันไปที่ชอบที่ชอบแล้วล่ะ
ตอบลบเดี๋ยวรอซื้อให้ตอนสัปดาห์หนังสือได้มิ?
ง่ะ งั้นไม่เป็นไรฮะ
ตอบลบมีหนังสือรออีกเป็นกะตั๊ก
...
แบรบว่าหนังสือแนวนี้เป็นไพรออริตี้หลังๆ ฮะ
งั้นก็ไม่ต้องมายืมหรอก
ตอบลบก็กัวเพื่อนลำบาก
ตอบลบชิส์
ตอบลบเคยอ่านสมัยที่ยังเด็กกว่านี้มาก (เพิ่งเรียนจบมาซักปีนึงเห็นจะได้)
ตอบลบตอนนั้นอ่านไม่เข้าใจ และไม่รู้สึกว่สนุก
ให้อ่านอีกก็ขี้เกียจแล้ว
เก็บไว้ไปดูหนังดีก่า 555
ปล. ตอนจบของเรื่องก็แอบงงนิดหน่อยว่า ทำไมคนเขียนถึงให้จบอย่างนั้นล่ะ (ถอนหายใจด้วย)
อ่านอีกที ตอนนี้ อาจจะเริ่มอิน
ตอบลบเหมือนที่เริ่มเข้าใจคุณหญิงกีรติไง
("ตอนไปร้านหนังสือเพื่อซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดโรงเรียนที่เคยสอน ผมเลือกหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง"ตามมาถามว่า แล้วอาจารย์ไม่กลัวเด็กผู้ชายอ่านแล้วเตลิดเปิดเปิงไปไกลหรือฮะ?)
ตอบลบอุตส่าห์ตามไปถามถึงบ้านก้อตามมาตอบให้ถึงในห้อง(หมายถึงในห้องเดอะรีดเดอร์นะ)... ไอ้พวกมอนสเตอร์(เด็กผู้ชายส่วนใหญ่)น่ะไม่ชอบอ่านหนังสือหนังหากันเท่าไหร่หรอกค้าบ แต่ชอบ "ดู" ซะเปนหลัก ที่น่าเปนห่วงน่าจะเปนเด็กผู้หญิงที่แสนจะเต็มไปด้วยจินตนาการมากก่าล่ะค้าบ
"เหงา เหมือนอยู่คนเดียวในโลกที่แสนจะวุ่นวาย ท่ามกลางผู้คนมากมาย ..แต่ไม่มีใครรู้จักเราจริงๆ เลย"
ตอบลบอันนี้มันฟีลเดียวกันกับ lost in translation เลย
ตอนอ่านถึงท้ายๆ เรื่อง เราเห็นใจสองตัวเอกประมาณว่าอย่างเนี้ย
ตอบลบไอ้สองตัวเอกใน lost in translation เค้าไม่ได้รู้จักกันลึกซึ้งถึงขั้นสองคนใน the reader นะฮะ
แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีนะ เวลาที่ได้เจอใครที่ทำให้รู้สึกทำนองอย่างนี้ โดยไม่คิดมาก่อน ว่าจะเจอ
นั่นสิ นี่จัดเป็นปัญหาของอนาคตมิ?
ตอบลบสงสัยต้องเอาหอยทากหนังสือ(ยิ่งก่าหนอนหนังสือ)ไปเปิดคอร์สสอนหลักสูตร "รักการอ่าน" ซ้าแล้วมังค้าบ
ตอบลบกระแดะเนอะ
ตอบลบผมยังติดใจประเด็น "เหงา" อยู่(ว่ะ) ผมว่าคนเราเอาตัว(และใจ)ไปติดกับอารมณ์นี้มากเกินไปหน่อยนึง มันเปนอารมณ์หนึ่งที่อย่างน้อยก้อช่วยให้ขีดเขียนอะไรต่อมิอะไรทั้งที่เปนสาระและไร้สาระได้เยอะดี(ไม่เหงาบางทีเขียนไม่ค่อยออก) แต่บางทีต้องออกจากความเหงาไปอยู่กับ "อิสรภาพ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนโสดทั้งหลาย คุณมีสิ่งนี้เต็มๆอยู่แล้ว
ตอบลบ...อันนี้(เหมือนจะ)เปนเรื่องเปนราว
(กระแดะเนอะ)
ตอบลบโห....แร้งงงงงงงง
หมายความว่า "แรง" แต่แค่เน้นเสียงแค่นั้นเองนะ ไม่ได้ว่าคายบางคงเปนสัตว์ปีกบางชนิดนะค้าบ เหอๆๆๆ
เราว่า ทั้งความ เหงา และอิสรภาพ เป็นเรื่องเฉพาะตัวง่ะ
ตอบลบคือเราก็มีในตัวทุกคนละ ทั้งความรู้สึกเหงา และความเป็นไทแก่ตัว
เพียงแค่ว่า เราอยากจะืดื่มด่ำกะอะไรมากกว่ากัน
อย่างเราเอง อาจจะเคยเหงาสุดๆ ในบางวันของรอบเดือน (จิงนะเฟ้ย)
แต่ว่า บางทีเราก็ระลึกรู้นะ ว่าเราแม่งบิลท์ตัวเองให้เหงา แบบว่ามีความสุขกับความรู้สึกทรมานไง
แล้วความเหงามันก็เป็นความทรมานอย่างนึง ที่ไม่ทำให้ตัวเราเป็นแผล ฟ้องสายตาชาวบ้าน ว่าอีนี่มาโซ
แต่คนบางคนแม่งก็น่าสมเพชจริงๆ แหละ มีทั้งคนรัก คนหวังดี
แต่เสือกตาบอด มองไม่เห็นความรัก ความเข้าใจจากใครเลย
แม่งก็เลยต้องเน่าอยู่กับความเหงาอย่างนั้นแหละ
แล้วไอ้ที่บอกว่าทำแต่งาน เอาแต่หาเงิน ไม่ได้ไปไหนกะใครเค้าเลยนี่ก็ตอแหลอีก
ความคิด จิตใจเราไม่มีใครมาขังได้นี่หว่า
ไอ้ที่คิดว่ากระแดะคือ (ฉัน)คิดว่าตัวเองเป็นใคร
ตอบลบจะไปทำให้คนอื่นรักการอ่านน่ะ
เรื่องแบบนี้(มันคือรสนิยม)ใช่ว่าจะเอาไปกรอกปากกันได้นินะน้า
เหอๆๆ ...อ่าว เหรอ นึกว่าว่าเรา
ตอบลบเห็นน่องน้าแล้วใครจาไปกล้าว่าล่ะฮะ
ตอบลบสงสัยคราวนี้ "แร้งงงงงง" จิงๆแฮะ
ตอบลบมาตั้งคลับแอบรักนักเขียนกันดีก่า
ตอบลบเหนด้วย เหอๆๆ
ตอบลบผมว่ามันน่าสมเพชมากก่าในกรณีของคนที่แต่งงานแต่งการมีคู่เปนตัวเปนตนแต่ยัง "สะเงาะสะแงะ" อยู่กับอารมณ์เหงา (เหนมาหลายคนแล้ว) แล้วแบบนี้เมิงจะแต่งงานไปทามมาย?
ตอบลบ...ยังไม่เลิกประเด็นนี้ซักที
บางทีมันก็จำเป็นต้องแต่งฮะ
ตอบลบเวลาคนจาแต่งงาน มันไม่ได้เป็นจังหวะที่ความรักสุกงอมเสมอไปซะเมื่อไหร่
บางคนก็แต่งกันตอนที่พร้อมแล้ว (ทางฐานะ แต่อารมณ์ไม่รู้เป็นไง)
บางคนก็แต่งตอนมีฤกษ์ บางทีก็เพราะว่าเด็กมันต้องการพ่อ
ไอ้เรื่องพรรค์หยั่งนี้มันอธิบายยากออกนะฮะ
ยังไม่เคยมีผัวเป็นเรื่องเป็นราวกะเค้าซะทีอีกตะหาก
รู้แค่ว่าผู้หญิงเรา บางทีก็ไม่ได้หน่ายผัว(หรือแฟน)หรอก
แต่บทจะดีเพรสขึ้นมามันก้อช่วยไม่ได้นินา
ถ้าถึงเวลาของน้า น้าอาจเข้าใจความสะเงอะสะงะอันนี้ได้นะฮะ
ตอบลบมันก้อจิงอ่ะนะ...หมายความว่ามันจิงที่ว่า "life is complicate" แต่เกิดเปนคนก้อต้องเรียนรู้ที่จะ handle สิ่งที่เข้ามากระทบ การใช้ชีวิตมันเปนศิลป์มากก่าเปนศาสตร์(ในความรู้สึกของผมนะ)
ตอบลบขอเสริมอีกนิด กะบางคนที่เราเลือกจะอยู่ด้วย
ตอบลบมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะอยู่กะเขาแล้วรู้สึกเหงา
เพราะเขาไม่ได้รู้จักเราจริงๆ น่ะซิฮะ
เคยมีแฟนบางคนที่ ไม่ดูหนังแบบเดียวกันเลย ไม่อ่านหนังสือแบบเดียวกันเลย
ไม่สนใจอะไรใกล้เคียงกันเลย ไม่มีประสบการณ์คล้ายคลึงกันเลย
มองโลกยังมองคนละแบบ แม้กระทั่งอาหาร ก็ยังชอบกันคนละแนว
ปัญหามันไม่ใช่ "ไม่เหมือนกันเลย" นะน้า
แต่มันคือ ความไม่เข้าใจกันอะ
อยู่กับคนที่ไม่เข้าใจเรา เราย่อมรู้สึก lost เป็นธรรมดา
อันนี้พูดจากประสบการณ์แค่เท่าที่มีนะฮะ
อันนี้ก็เห็นด้วยฮะ
ตอบลบเลือกแล้วก็ต้องรับผิดชอบด้วย
จะเอาีผัวซักที ใช่ว่าไม่พอใจแล้วจะเอาไปคืนได้ใน 7 วันสักหน่อย
"อยู่กับคนที่ไม่เข้าใจเรา เราย่อมรู้สึก lost เป็นธรรมดา"
ตอบลบแบบนี้สู้อยู่คนเดียวไม่ดีก่าเหรอ มันเท่ากับหาเหา(+เรือด+ไร+เห็บ)มาใส่กะบาลป่าวๆ
แหม๋
ตอบลบของแบบนี้มันก้อเบื่อๆ อยากๆ อยู่นะน้า
อยู่คนเดียวแสนจะเปลี่ยวใจ
โบราณว่าไว้
แสนสบายแต่ไม่สนุก น่ะ
นอนสองคนมันก้ออุ่นดีอยู่หรอกอ่ะนะ... แต่กลิ่นตดของคนสองคนมันก้อเหม็นก่าดมตดของตัวเองเหมือนกัน เหนด้วยป่ะล่ะ
ตอบลบเอิ่ม...แฟนน้าชอบตดให้ดมหรอ?
ตอบลบมันไม่ใช่แค่อุ่นหรอก
ตอบลบหุ หุ
ช่ายย... แถมยังมีเรอ+แคะขี้มูก+เการังแคด้วยเหอะ (ล้อเล่น ไม่ใช่หรอก)
ตอบลบส่วนไอ้เรื่องอุ่นไม่อุ่นหรืออะไรที่มากก่าอุ่นนั้นไม่ขอออกความเหนดีก่า ประเด๋วติดเรท
เราขอสรุปนะ
ตอบลบอยากมีแฟนว่ะ
ไปดีก่า... ไปหามุมเหงา เข้าไปใน "โลกส่วนตัว"
ตอบลบปล.ผมว่าเปนโสดดีก่าแต่งงาน
ไปแระ
ไม่อยากมีลูกผัว
ตอบลบแค่อยากมีแฟน
แอบมาเป็น เดอะรีดเด้อ
ตอบลบลาวมาเชีย
ตอบลบเด้อ ค่า เด้อ
ตอบลบเราก็อยากมีเหมือนกัน(ว่ะ)
ตอบลบซัมวันอะหรอฮะ
ตอบลบซัมทูดีมั๊ยฮะ
ตอบลบกร๊าาาาาาาาาาาก
ตอบลบเอาคนนึงให้รอดก่อนเหอะฮะ
เอ๊ะ หรือจะเล่นทรีซัม
ตอบลบไปดีกว่า
ฟิ้ววววววววววววววววววว
นั่น
ตอบลบอ่านครั้งแรก มีคนให้ยืมมาเหมือนกัน น่าจะสักแปดเก้าปีที่แล้ว
ตอบลบทำไมเวลาผ่านไปเร็วจังฟะ
พี่ฮะ วันนี้เพิ่งไปดูเวอร์ชั่นหนังมาฮะ
ตอบลบคุณ เคท วินสเลท เธอเด็ดชาดไปเลยนะฮะ
แต่ผมว่าคนที่เล่นเป็น ไมเคิล ตอนเด็กก็น่าได้รางวัล ฮะ ฮะ
จุ๊บุ จุ๊บุ
โหย จะไปดูก็ไม่ชวน
ตอบลบเซ็งเป็ด
ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้
ตอบลบแต่ดูหนังจบไปเรียบร้อยแล้ว
ผมไม่ค่อยเข้าใจบางประเด็นในเรื่องเท่าไร
เพราะมันลึกเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจได้
แต่ยอมรับว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังดีมากครับ..
ตอบลบรุ่นใหญ่ - คาราบาว - ปาน. -
จวบจนวันนี้...อิฉันก็ยังคงไม่ได้ดูหนัง
ตอบลบหนังยังไม่ไ่ด้ดู และคนรู้จักที่นับถือคนหนึ่งบอกว่าหนังทำออกมาได้ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าเรื่องที่อีตาแบรดพิทท์เล่นเป็นเฒ่าทารก ขณะที่หนังสืออ่านไปราวห้ารอบได้ ทุกอย่างที่คุณเขียนครอบคลุมทุกสิ่งที่หนังสือพยายามจะสื่อหมดแล้ว
ตอบลบแต่มีสิ่งที่อยากจะเสริม คือนอกจากการได้รับการยอมรับ กับการเปิดใจเพื่อให้ได้ "รับ" แล้ว
การไม่คาดหวัง และคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ว่าตื่นนอนตอนเช้า อะไรๆ ก็อาจไม่เหมือนคืนวาน
ก็อาจช่วยทั้งการ "ให้" และ "รับ" อยู่กันได้อย่างยั่งยืนขึ้น
อืมมม์
ตอบลบถามหน่อยเหอะ คุณเนี่ย มีอาชีพเป็นครูหรือไง?
ตอบลบนักเขียนครับ
ตอบลบอ๋อ..อืมม์
ตอบลบน้ำเสียงชอบกลนะ ไอ้ อ๋อ อืมห์ เนี่ย
ตอบลบมีหูทิพย์หรอ?
ตอบลบดิฉันก็เหมือนกัน
ได้ยินน้ำเสียงคุณดูภาคภูมิใจมาก ตอนบอกว่าเป็นนักเขียน
คุณทำเอาผมหัวเราะแล้ว คุณชะมดม้อย
ตอบลบแน่นอนสิ ผมย่อมภูมิใจ ก็เหมือน อ.เสกสรรค์ เขียนไว้ในหนังสือของท่านน่ะแหละ
ว่าแม้จะทำงานหลายอย่าง แต่งานเขียนคืองานเบื้องลึกภายใน
แม้ผมอาจไม่เขียนเก่งเท่าอาจารย์ หรือลูกแก (แทนไท) แต่ผมก็ชอบที่จะบอกใครๆ หากมีคนถาม
ก็ผมเป็นนักเขียนนี่ จะตอแหลทำไม
ฮะ..ดีฮะ
ตอบลบถามเล่นๆ ทำไมทอม ชอบใช้ "ฮะ" กะเทยชอบใช้ "ฮ้า"
ตอบลบผมเป็นเกย์ เลือกใช้อะไรดี ผสมกันดีไหม?
นี่แปลว่าไม่ได้หูทิพย์จริง
ตอบลบที่คนแถวนี้เค้าฮะกัน่ ไม่ได้ฮะแบบทอม แบบดี้ หรือแบบเกย์
แต่ฮะแบบเด็กแนว beyond sex ฮะ
..พูดไป คนมีเมียแล้วคงไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจหรอก
อิ อิ
ก๊ากกกกก
ตอบลบ