วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550

New Hope for New Year of Life


สวัดดีปีชวด!

ไม่ว่าจะรอคอยหรือไม่รอคอย ตราบเท่าที่ยังไม่ตายหรือเสียสติไปเสียก่อน ปีใหม่ก็จะมาเยือนเสมอ
ทุกครั้งที่ใกล้ถึงปีใหม่ คนส่วนใหญ่ก็จะมีความหวังใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปีนี้ ที่เราเพิ่งเสร็จการเลือกตั้งครั้งที่สำคัญมากๆ ไปไม่ถึง 2 อาทิตย์

แต่ช่างแม่_เหอะ
เรื่องบางเรื่องมันใหญ่โตเกินตัว เกินหวัง
เอาตัวให้รอดก่อนดีกว่า

ในโอกาสที่วันนี้เป็นวันแรกของปี ดิฉันขอเขียนคำบางคำไว้เตือนใจตัวเองหน่อยละกัน

ลด-ละ: น้ำหนักส่วนเกิน (มีมากไม่เห็นมีประโยชน์) อาหารขยะ อาหารไม่มีสาระ ความใจร้อน ขี้วีน ความหงุดหงิด ขี้รำคาญเพื่อนมนุษย์ ซึ่งก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครได้อย่างใจเรา การนอนกลางวัน (เพราะมันไม่ได้ช่วยให้ได้พักผ่อนมากขึ้น แถมยังทำให้ฝันกลางวันอีกด้วย) และแน่นอนที่สุด ความขี้เกียจ (เหลือเวลาไม่มาก อะไรควรทำ ต้องรีบลงมือทำแล้ว)

เลิก: เลิกกินหมู ไก่ (แม้จะเลิฟเบคอนสุดๆ) หันมาเริ่มกิน Pescovegetarian อย่างที่ตั้งใจไว้ให้มันจริงจังเสียที (อนุญาตให้ตัวเองกินน้ำต้มกระดูกหมูได้ละกัน จะได้ไม่อดตายหรืออ้วนบานไปกับแป้งเสียก่อนเกิดผล) เลิกเด็ดขาดกับอาหารที่มาในโฟม ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ใครไม่รู้จักเลี่ยงใช้โฟมชั้นก็จะเลิกคบมันผู้นั้นด้วย ในฐานะที่เป็นคนไร้สมอง ขาดวิชั่น แล้วก็จะเลิกผัดวันประกันพรุ่งเสียที อะไรที่ควรทำวันนี้ก็จะทำวันนี้ (เผื่อวันพรุ่งนี้ไม่ได้ทำจะได้ไม่เสียคน-อันนี้หมายถึงงานฝิ่นโดยเฉพาะ)

เริ่ม: เริ่มเล่นโยคะอย่างจริงจัง ไม่หวังให้สวยฟิตเท่าป้าจิ๊ แต่เพราะรู้ว่าโยคะช่วยหลายอย่าง ทั้งสมาธิ การหายใจ ช่วยแก้เมื่อย นอกจากนี้ยังช่วยให้กระดูกสันหลังตรง บ้าแบกฟางมาตลอดชีวิตแล้ว ไม่อยากแก่ไปปวดหลังไปเพราะกระดูดสันหลังคด (แอบหวังลมๆ แล้งๆ ด้วยว่าโยคะจะช่วยกระชับ+เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อซึ่งอาจจะช่วยให้เซลลูไลต์หายไปได้บ้าง) ถ้าเป็นไปได้อยากสมัครสมาชิกฟิตเนส เพราะว่าอยากวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง ก่อนที่ไขข้อจะเสื่อมจนวิ่งไม่ได้ (อย่าบอกให้วิ่งแถวบ้าน เพราะไม่อยากได้ผัวที่ไม่ได้เลือก) เริ่มหางานใหม่ เพื่อชีวิตหญิงใหญ่ที่ไฉไลขึ้น เริ่มขยันท่องศัพท์และอ่านตำรับตำราภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจัง (ถ้าไม่จริงจังจะเสียตังค์+เวลาไปเรียนหาหอกไรฟะ เด็กญี่ปุ่นหนุ่มๆ หล่อๆ มันก็ไม่มาเป็นครูกันซักหน่อย) เริ่ม Keep in Touch กับบุคคลในชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแม่ น้า ป้า น้องๆ รวมถึงเพื่อนทั้งใกล้และไกล และแฟนเก่าบางคน

แค่นี้แหละ ไม่หวังมาก ไม่หวังสวยหรู
ทำเท่าที่หวังก็พอใจแล้ว

อะไรที่ทำได้เกินกว่าที่หวังถือเป็นกำไรละกัน

รูปที่เพื่อนถ่ายให้


นี่เพิ่งออกมาจากทีลอซู คนนั่งข้างได้ผมสีน้ำตาลเชสนัทเหมือนไปทำสี แต่ไม่ใช่หรอก มันคือฝุ่นตะหาก
ดิฉันนั่งหน้าเลยยังดำดีสีไม่ตก เราแวะจุดแรกเพื่อหาแบตเตอรี่ AA ใส่กล้อง(ของตูเอง)แต่ไม่มี รูปนี้ พี่ผึ้งเลยถ่ายให้ รูปจริงหาไม่เจอ เจอแต่รูปที่ย่อแล้ว และเอามาทำสีใหม่
โทดทีนะ

เพื่อนที่คบไม่ค่อยเป็นคนช่างถ่ายรูป
ดิฉันก็เลยมีรูปพอร์เทรตน้อยมาก
รูปที่ประทับใจยิ่งมีน้อยลงไปอีก
ต้องขอบคุณเพื่อนเหล่านี้นะ ที่ช่วยถ่ายรูปสวยๆ ให้

Ray of Light


ทะมึนในโหมด Contrast
วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2550

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2550

รับปีใหม่ ไหว้พระ 3 วัด (...ก็เหนื่อยแล้ว)


ข้างในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ
เลยต้องถ่ายจากตรงนี้
ดูคนซิ
น้อยซะเมื่อไหร่

อยู่กรุงเทพฯมาสิบกว่าปี ยังไม่เคยเข้าไปกราบพระแก้วมรกตใกล้ๆ (อายจัง) วันหยุดปีใหม่เลยถือโอกาส ชวนพ้อนจังเข้าวัดพระแก้ว พ้อนแนะให้ไปแต่เช้า แดดจะได้ไม่ร้อน คนจะได้ไม่มาก
เตรียมตัวมาอย่างดี ลงทุนนุ่งกระโปรงเพื่อความสุภาพ ที่ไหนได้ เสื้อ(มีปก)ที่สวมมา ถูกตัดสินว่าเป็นเสื้อแขนกุด ก็เลยต้องไปยืมเสื้อเชิ้ตเหลืองมาสวมทับ
เปลี่ยนลุคกลายเป็นสาวย้อนยุคไปซะงั้น
ตกบ่ายไปกินข้าวเที่ยงที่โกปี๊เฮี๊ยะไถ่กี่ ข้างศาลาว่าการ กทม. พี่หม่อมตามมาสมทบ เลยได้เข้าวัดสุทัศน์ไปกราบนมัสการหลวงพี่โพด ก่อนหน้านั้นเลยได้กราบหลวงพ่อวัดสุทัศน์กันก่อน
ตกเย็น ช่างภาพประจำตัวพี่หม่อมตามมาสมทบ สามอนงค์ (ไม่แน่ใจถ้าจะเรียกสามสาว) เดินตามต้อยๆ ผ่านวัดเทพธิดา (สวยมาก-จะกลับไปชมอีก) ปีนขึ้นเจดีย์ภูเขาทอง (เป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน) ไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ แถมท้ายด้วยวิวสุดสวยบนนั้น แถมได้รูปหมู่สุดจ๊าบกลับมาตั้งหลายรูป

มีบุญจริงๆ วันเดียวไหว้พระไป 3 วัดแล้ว เหลืออีก 6 เอง (นะพ้อน)

ป.ล. ชมภาพเพิ่มเติมในอัลบั้มของพี่หม่อมได้ที่ http://anomania.multiply.com/photos/album/4
และของพ้อนจัง ที่ http://domthepon.multiply.com/photos/album/64 นะจ๊า

สบตาฉันสักหน่อย


ปกติทหารพิทักษ์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมหาราชวังยืนนิ่งมาก จะถูกนักท่องเที่ยวกระหน่ำแฟลชใว่ขนาดไหนไม่มีหวั่นไหว
ยืนตัวตรง มองไปข้างหน้าตลอดเวลา
แต่เมื่อฉันไปยืนถ่ายรูปคู่
ไฉนดวงตาของคุณจึงเฉไฉไปทางอื่น

ไม่สบตาไม่ว่า
แต่ทำไมต้องเมินกันด้วยละคุณขา??

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550

สารพันเหตุผลที่คนเราเป็นโสด


เนื่องมาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ได้รับทำให้หัวร่อกิ๊กในยามหดหู่ส่งท้ายปี
ไม่อยากขำอยู่คนเดียวเลยก๊อป Flowchart นี้มาให้ดูกันโดยถ้วนทั่ว
กับขอพะคำถามถึงคนโสดหนีบไปอีกข้อ
ใครมีเหตุผลของความเป็นโสดแตกต่างไปจากนี้บ้าง?
คิคิ

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550

พระจันทร์ข้างบ้าน

จันทร์เจ้าเอ๋ย    จะไม่ขอข้าวแกงแหวนใด
ไม่ใส่ใจ   ไม่ขอวอนจากดวงจันทร์
แม้..ขอจันทร์ ได้ดังฝันอย่างนั้นได้จริง
มีสิ่งเดียว   ที่คิดจะอยากขอจันทร์

จะขอ...
ให้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
จะได้อยู่ได้โดยไม่ต้องอับอายชาวโลก
เพราะมีนายกรัฐมนตรีปากเสีย วิสัยทัศน์ห่วย

สาธุ  ขออย่าให้ความหวังว่าการเลือกตั้งจะนำพามาซึ่งสิ่งดีีๆ ของคนไทยทั้งประเทศ ความหวังทีู่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนรัศมีจันทร์วันเพ็ญ ต้องโดนแทะทำลาย ถูกกระทำย่ำยีโดยราหูทางการเมืองเลย

เจ้าประคู๊น!





หมายเหตุ พบพระจันทร์ดวงนี้ลอยขึ้นที่ข้างบ้านในคืนวันคริสมาสต์อีฟ มันช่างสวย ใส เด้ง แล้วก็กลมบ๊อง ดูไร้เดียงสา (แต่กล้องป๊อปแป๊กถ่ายมาได้เท่าที่เห็นนี่แหละหนา)

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Back Home


กรุงเทพ-สุไหงโกลก คันที่ 12
ซื้อตั๋วช้าอย่าเรื่องมาก
นั่งชั้น 2 พัดลม ดีกว่านั่งชั้น 3 นะยะ

ตั้งชื่อเหมือนอัลบั้มของ Eric Clapton แต่เดี๊ยนไม่ได้กลับบ้านด้วยรถเกรย์ฮาวนด์ หากเป็นรถไฟสาย กรุงเทพ-สุไหงโกลก ขบวนรถที่น่าสงสาร ไม่เพียงเพราะโดนวางระเบิดบ่อย แต่ยังเพราะมีหัวรถจักรสุขภาพไม่แข็งแรง ออกจากบางซื่อไม่ทันถึงบางซ่อนก็แป๊กเสียแล้ว
ผู้โดยสารทั้งฝรั่งทั้งไทยต้องจำใจหยุดนิ่ง รอหัวรถจักรใหม่วิ่งมาเปลี่ยนถึง 2 รอบ สิริรวมเสียเวลาไป 2 ชั่วโมง
ดีที่หัวรถจักรใหม่แข็งขัน วิ่งทำเวลาได้เท่าที่จะหลบรถขบวนอื่นได้ ออกจากกรุงเทพบ่ายโมง (กว่าๆ -เลทตั้งแต่ออก) ถึงปลายทางที่สุราษฎร์ธานีเวลาตีหนึ่งครึ่ง ช้าไปชั่วโมงครึ่ง
น่าสงสารคุณน้องขี้เม้าท์ที่นั่งข้างๆ เพราะกว่าเธอจะถึงสุไหงโกลก ไม่รู้จะเกินบ่ายโมงของวันรุ่นขึ้น (รวมเวลาเดินทางมากกว่า 24 ชั่วโมง!!!) หรือเปล่า

บ้านน้อยของน้องก๊องกี้

http://cid-a2fdc1f524936fa1.spaces.live.com/
ไปเยี่ยมชมบ้านก๊องกันหน่อยนะพวกเรา!

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 2 คนพูดเข้าใจกับคนพูดไม่เข้าใจ

ปลายปีแล้วสินะ...

จากที่คิดว่าจะหนาวสุดๆ ไปเลย ก็ไม่เห็นจะหนาวอย่างที่คิด
แม้แต่อากาศที่เห็นแนวมาแน่ๆ เป็นแช่แป้งยังไม่เป็นอย่างที่คิด แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องอื่นๆ
แม้แต่คนที่คิดว่าจากไปแน่นอนแล้ว คงไม่กลับมาอีกแล้ว
อยู่ดีๆ เขากบอกว่าจะกลับมา

เมื่อสามวันก่อนมีเบอร์ลึกลับโทรเข้ามาที่คุณมาโนช (ชื่อมือถือที่ผู้หญิงคนนี้ตั้งตามชื่อนักจัดรายการคนโปรด) สงสัยก็สงสัย แต่ก็รับสาย เพราะคิดว่าอาจเป็นหนุ่มๆ โทรมาจีบ
ทว่า เรื่องไม่เป็นอย่างที่คิดตามเคย เพราะคนที่โทรมา คือคนเคยชิดใกล้ แต่ไม่เคยรู้ใจ
เขาบอกว่าเขาจะมาหาวันเสาร์ เพื่อที่จะไปเลือกตั้งพร้อมกันในวันอาทิตย์
โอชโช่วางสายอย่างงงๆ เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นการกลับมาที่น่าเวลคัมหรือไม่

ด้วยรู้อยู่มาตลอด ว่าเธอและเขามีสิ่งหนึ่งที่เข้ากันได้ แต่ก็มีอีกหลายสรรพสิ่ง ที่เข้ากันไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาในการปรับจูนคลื่นรับ-ส่งให้ตรงกัน และ...อุดมการณ์ทางการเมือง!!!

และแม้ว่าสำหรับโอชโช่ในโมเมนท์นี้ ความรัก จะเป็นดังน้ำสิงห์กลางทะเลทราย
แต่เธอก็ได้เรียนรู้แล้วนี่นาว่า ความรักในยามแล้งนั้นอันตรายนัก โดยเฉพาะรักกับชายคนนี้
ถ้าผลีผลามดื่มโดยไม่ดูตาม้าตาเรือก็คงไม่แคล้วต้องสูญเสียน้ำในร่างกายเพราะรักเป็นพิษอีก

แต่ถึงใจหนึ่งจะรู้อยู่แก่ใจ แต่อีกใจก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารสแห่งรักช่างเย้ายวน ชวนให้เสียศูนย์ จนเกิดอาการเบลอ งงๆ ไม่รู้จะตอบรับหรือไม่รับดี

ก่อนจะถึงวันเสาร์ ที่เขาบอกจะมา ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
'วันหยุดปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว แต่เราคงจะไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีตั๋ว' ความคิดนี้ถีบให้โอชโช่จังตื่นจากฝันเบลอๆ และเริ่มวางแผนการเดินทางกลับบ้านนอก เธอกระวีกระวาดไปหาตั๋วรถไฟ เครียดกับที่นั่งที่ถูกซื้อไปจนเกือบหมด แต่โชคยังดีที่หัวหน้าได้พลั้งอนุญาตให้ใช้วันลาพักร้อนที่เหลืออยู่(บานเลย)เดินทางกลับบ้านไปก่อนที่ชาวบ้านเค้าจะไปกัน

จากนั้น โอชโช่ก็นึกถึงหมอบู๋ขึ้นมา
จริงสิ ถ้ากลับบ้าน เราก็จะไม่ได้ไปตามหมอนัด แล้วจะเอายังไงดีนะ ถ้าไปหาหลังปีใหม่ แล้วแผนที่จะทำเนียนเอาหนังสือไปให้หมออ่านช่วงวันหยุดปีใหม่ล่ะ จะทำไง
เครียด เครียด เครียด

ปิ๊ง! เอาล่ะ ไปมันวันนี้เลย วันศุกร์หน้า ถ้ามีใครชวนไปไหนที่ถูกใจก็จะได้หนีตามเขาไป ไม่ต้องห่วงไปหาหมอ 
...
"หวัดดีค่า" คุณน้องมือเบาที่เฝ้าอยู่หน้าร้านมองอย่างงงๆ-ก็แน่ละ เมื่อตอนเย็น เจ้คนนี้เพิ่งโทรมากำชับว่าหมอเปิดร้านถึงวันไหน มาวันไหนบ้าง  แล้วก็บอกว่าจะมาหาหมอวันศุกร์หน้านี่นา-แต่น้องเค้าก็ต้อนรับขับสู้ด้วยอัธยาศัยเดิม ก่อนจะส่งเข้าห้องหมอต่อจากคนไข้สาวที่เพิ่งเดินออกมา

หมอดูเหนื่อยๆ นะวันนี้ โอชโชจังเห็นดังนั้นก็เริ่มชวนหมอคุย จะได้ลืมเรื่องที่ทำให้หมอดูเหนื่อย

"วันก่อนไปสัมภาษณ์หมอคน... มาค่ะ คนที่ดังๆ ใครอยากสวยก็ต้องไปหาน่ะค่ะ"
"แล้วเป็นยังไงล่ะ" หมอถามยิ้มๆ ทำให้โอชโช่ต้องแอบคิดนิดนึงว่าจะตอบไงให้ถูกใจหมอ
"ก็...ดูเป็นผู้หญิงที่เก่ง(และมั่น)จนน่ากลัว ไม่รู้ว่าทำงานมากอย่างนั้นแล้วหมอจะดูแลครอบครัวยังไงน่ะค่ะ"
"นั่นไง ใครว่าเป็นหมอแล้วจะสบาย" หมอบู๋ได้ทีก็โอดเลย
"วันๆ ต้องเจอคนไข้ร้อยแปด แล้วคนแต่ละคนก็มีปัญหาของตัวเองใช่ไหม แต่เราก็ต้องทำหน้าชื่น ฟังปัญหาของคนอื่น" โห หมออัดอั้นตันใจนะเนี่ย "แล้วก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนที่พูดเข้าใจเหมือนอย่างนี้"  โอ.. นั่นหมอบุ้ยปากมาทางโอชโช่หรอคะ? "เวลาต้องอธิบายวิธีทายาให้คนไม่เข้าใจฟังนะ เหนื๊อย-เหนื่อย"
....(เขินจัง)...
"แต่ว่า หมอก็เลือกชีวิตได้ไม่ใช่หรอคะ?"
"ถ้าไม่เป็นหมอแล้วผมจะไปเป็นอะไรดีล่ะ?" หมอย้อนถามยิ้มๆ
"ไม่ใช่อย่างนั้น แค่หมายถึงว่า หมอจะทำงานน้อยกว่านี้ก็ได้นี่"
"ถ้าไม่ทำงานมากๆ แล้วจะเอาสตางค์ที่ไหนไปผ่อนบ้าน ไปผ่อนรถละ เป็นหมอขึ้นรถเมล์คนเค้ารับไม่ได้หรอกนะ" ที่จริงใจความมันขมขื่นนะ แต่หมอบู๋เล่าปนเสียงหัวเราะ เหมือนว่ามันเป็นมุกฮาๆ ของพวกหมออย่างนั้นแหละ

"เอ่อ หมอคะ ที่ว่าจะไปปายน่ะ หมอมีที่พักหรือยัง?" โอชโช่เห็นท่าไม่ดี เลยเปลี่ยนเรื่องซะเลย
"ทำไม มีที่จะแนะนำหรอ?"
"เอ่อ ก็เคยไปนะคะ เป็นเกสต์เฮ้าส์ติดน้ำปาย ตอนเช้าๆ พระอาทิตย์จะขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ มองไปจะเห็นภูเขาสลับซับซ้อนเป็นฉากหลัง ถ้าถ่ายรูป รูปก็จะดูมีความลึกเพราะมีหมอเรี่ยอยู่ตามภูเขาที่อยู่ไกลออกไป แล้วก็จะมองเห็นแสงอาทิตย์สะท้อนเป็นเงาอยู่ในแม่น้ำด้วย.." โอชโช่จังจ้อจนหมอบู๋แทบจะฝันตาม
"เนี่ยนะ จะไปเที่ยวที่แบบนี้ก็ต้องไปกับคนที่ลุยกับเราได้เนอะ" หมอพูดเหมือนคนใจลอย ซึ่งโอชโช่ไม่กล้าคิดว่าหมอพูดถึงตัวเอง "เช่าจักรยานขี่เที่ยวด้วยกันได้..."

ฟังถึงตอนนี้แล้วก็เข้าใจแล้วว่าหมอไม่ได้หมายถึงตัวเอง แต่คงนึกถึงคนที่ไม่สนุก หรืออาจจะไม่สะดวกที่จะไปเที่ยวแบบนั้นกับหมอ ทำให้โอชโช่รู้สึกเห็นใจหมอบู๋มาก จึงปลอบใจด้วยน้ำเสียงเห็นใจคู่สนทนาสุดๆ
"แหม๋หมอ... เราก็ลุยเท่าที่เราจะสะดวกซิคะ" ถ้าไม่ทำอย่างนี้คงไม่ได้ไปเที่ยวกับครอบครัวหรอกนะ

(อันนี้แค่คิดอยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา)

"เอ่อ หมอ หมออ่านหนังสือไหมคะ" เป็นคำถามเพื่อเก็บข้อมูลสำหรับแผนการที่คิดไว้

"อ่านนิดหน่อยครับ"
"เคยอ่านพันธุ์หมาบ้าไหมคะ?" ถามงุบงิบเพราะออกจะอาย
"พันธุ์หมาบ้า ชาติ กอบจิตติน่ะหรอ" โอ้ พระเจ้า! หมอรู้จักน้าชาติด้วย "เคยอ่านตอนเด็กๆ เด็กมากๆ เลย จำเรื่องไม่ได้แล้ว เรื่องมันเล่าว่าไงนะ"
"เด็กหรอคะ? เด็กแค่ไหนคะ?" โอชโช่ถามเสียงหลงด้วยความตะลึง หมอบู๋อ่านพันธุ์หมาบ้าตอนเด็กๆ!!
"ก็" หมอทำท่านึก "ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์น่ะ" อย่างนี้ไม่เรียกว่า 'อ่านนิดหน่อย' มั๊งคะหมอ???
โอ้ ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก ใจเต้นเแรง

'ตาแหลมจริงๆ เลยชั้น นักเรียนหมอที่อ่านพันธุ์หมาบ้า-นี่มัน..ชายในดวงใจชัดๆ!!!'
โอชโช่จังนึกใจใน ก่อนจะเตือนตัวเองให้ตั้งสติ ไม่เป็นลมหรือทำอะไรทุเรศๆ ออกไปด้วยความยินดี



เรานะเรา ทำไมคนที่มีถึงไม่ถูกใจ
คนที่ถูกใจก็ดันมีคนอื่นไป(ตั้งนาน)แล้ว

โอชโช่จังเดินใจลอยไร้จุดหมายอยู่ในห้างใหญ่ อาการนี้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในทันทีที่ก้าวออกจากคลินิกหมอ วันเสาร์ใกล้เข้ามาแล้ว จะเอายังไงกับชีวิตก็ตัดสินใจเสียที


"แต่ว่า หมอก็เลือกชีวิตได้ไม่ใช่หรอคะ?"
เราเองที่ถามหมอไปอย่างนี้ ใช่สิ ใครๆ ก็เลือกชีวิตของตัวเองได้ทั้งนั้น!
คิดแล้วเธฮก็ควานหยิบคุณมาโนชออกมา แล้วใช้เวลาไม่นานนักในการสื่อสารกับคนปลายสาย
"วันเสาร์นี้น่ะ.."
"อืมม์"
"อย่ามาเลยนะ"
"...ทำไมล่ะ?"
"ก็แค่ไม่อยากเริ่มต้นใหม่" โอชโช่หมายถึง ไม่อยากเริ่มต้นเสียใจอีกครั้ง แต่เธอขี้เกียจพูดยาวๆ แม้จะเชื่อว่าพูดแค่นี้เขาไม่เข้าใจหรอกก็ตาม
"หรือว่า" เขาเริ่มสงสัย "ไม่อยากให้ไปเพราะมีคนอยู่ด้วย?"
"มีคนอยู่ด้วยหรือไม่มีคนอยู่ด้วยมันไม่ใช่ประเด็นหรอก"
"...อืมม์ เข้าใจแล้ว" เขาว่าอย่างนั้น
"งั้น.. แค่นี้นะ"

เพียงแค่นั้น คุณมาโนชก็ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว

Flickr: Photos from pruet

http://flickr.com/photos/pruet/
รูปเล่าเรื่องชีวิตไกลบ้านของพี่พรึด(ผู้ปฏิเสธว่าไม่คิดถึงบ้าน)
เห็นแล้วจะอยากให้พี่พรึดกลับมาเร็วๆ แล้วทำอะไรให้เรากินหน่อย

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ยามเช้าที่แจ่มใส กับคนไทยรักในหลวง


ถ้ามีเวลามากๆ อยากไล่อ่านทุกอันเลย

เช้าวันจันทร์ (ไม่เช้าเท่าไหร่หรอก 10 โมงแล้ว) อากาศแจ่มใส เดินเขย่งเก็งก็อยบนส้นสูงสามนิ้วครึ่งจากสถานีสยามไปเซ็นทรัลเวิลด์
บรรยากาศรอบข้างแจ่มใส แดดหน้าหนาวถ่ายรูปสวย
เห็นเมโมน้อยๆ ที่แขวนยาวมาตั้งแต่สกายวอล์กตรงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ
อดไม่ได้ เลยเก็บรูปมาฝากคนไกล (ไกลสยาม-ฮิๆ)

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550

FULL VERSION: เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 1 รักนี้..แม้เจ็บก็ยอม

ตอนที่ 1

รักนี้..แม้เจ็บก็ยอม

 

ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก

"หวัดดีค่า" โอชโช่จังกล่าวขณะออกแรงดันประตูคลินิกของหมอบู๋ ด้วยแก้มสีชมพูจากความตื่นเต้นซึ่งซ่อนอยู่อย่างมิดชิดภายใต้สีผิวสีเดียวกับไก่ย่างเกรียมขนาดกำลังน่ากินของเธอ งานยุ่งๆ ทำให้วันนี้เธอมาถึงช้าที่เคย แต่เพราะว่าวันนี้คือ 1 ใน 2 วันของเดือนที่จะได้เจอหมอบู๋ ไม่ว่าจะเหนื่อยสะบักสะบอม หัวฟู หรือหน้ามันจากงานยุ่งๆ โอชโช่จังก็จะไม่ยอมผิดนัดกับหมอเด็ดขาด

"เชิญเลยจ้า" น้ำเสียงใจดีของหมอบู๋ดังมาจากห้องหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ของคลินิกเล็กๆ แห่งนั้น

'เหมือนหมอรอเราอยู่' โอชโช่คิด พร้อมก้าวอย่างขลาดๆ ไปที่ประตูห้อง สไลด์มันออกในท่ามาดมั่นตามแบบฉบับของเธอ ไหว้หมออย่างนบนอบเหมือนทุกครั้งแล้วก็เอื้อมมือไปลากเก้าอี้ออกมาไกลตัวหมอ แล้วจึงทรุดตัวนั่ง

"นั่งไกลจัง" หมอพูดยิ้มๆ ดึงถุงมือยางดังเปรี้ยะๆ แล้วเริ่มพิศร่องรอยของสิว ไฝฝ้าบนใบหน้าของโอชโช่เหมือนเคย

"ไม่ใส่แว่นสวยกว่านะ"

กรี๊ดดดดด หมอเริ่มอีกแล้ว

"เอ่อ..ก็ไม่ค่อยชอบใส่เลนส์น่ะค่ะ" โอชโช่ไม่รู้จะพูดอะไรดี

"เข้ามาใกล้ๆ ผมหน่อยสิ"

ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก

"อืมม์.."

'เขินจัง..ทำไงดี'  โอชโช่นึก

"หมอไม่ไปเที่ยวไหนมั่งหรอ?" หมอบู๋ได้ยินคำถามแล้วก็วางปากกา จับตามาที่โอชโช่ด้วยตาเป็นประกาย แบบคนพร้อมจะเล่าเรื่องสนุก

'เข้าทางละเรา'

"ผมก็เพิ่งหนีไปเกาะช้างมานะ.. เมื่อ เมื่อไหร่น๊า" ว่าแล้วก็ไล่นิ้วไปตามปฏิทิน

"เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ตอนที่คนบ่นว่าหมอหนีไปไหน??" โอชโช่ช่วยหมอนึก

"เออ ใช่" หมอยิ้ม

"ที่จริงผมอยากไปปาย.. ไปแบบฝรั่งเลย แบกเป้ไป" เป็นคำตอบที่ทำให้คนฟังซึ่งก็ชอบปาย (แม้จะเป็นปายกลางเดือนเมษา) เหมือนกันยิ้มได้ "งั้นหมอต้องไปหลังปีใหม่แล้วล่ะ"

"...ว่าแต่ ลูกหมอจะไหวหรอ?" กรี๊ดดดดดด ถามทำไมวะเรา

"ก็..ต้องดูก่อน ผมอาจจะไปกับเพื่อนก็ได้" มีครอบครัวแล้วยังไปเที่ยวกับเพื่อนได้เหรอ?

"เพื่อนหมอเที่ยวอย่างนี้ด้วยหรอคะ?" โอชโช่ประหลาดใจจริงๆ

"โอ๊ย คุณยังไม่รู้จักเพื่อนผม" หมอมองนำสายตาโอชโช่ไปที่กีตาร์ที่พิงอยู่ข้างห้อง "เล่นดนตรีร็อกกันมันส์มาก"

"โอว์.. เป็นหมออะไรกันบ้างหรอคะ?"

"ก็..หลายหมอครับ" หมอบู๋เริ่มรู้ตัวว่าถูกคนไข้ชวนเม้าท์เรื่อยเปื่อยก็เลยหุบยิ้มแก้มตุ่ย กลับสู่โหมดจริงจังทันที 

"มา ขอดูหน้าหน่อย"

.....

.....

....

5 วินาทีนานเหมือน 5 วัน หมอคะ ทำไมเราต้องเข้าใกล้กันมากขนาดนี้ แล้วก็นานขนาดนี้นะ?

หมอคะ ทำไมหมอถึงหน้าบานจัง?

อ๊ะ.. แต่ผิวหมอละเอียดจังนะคะ

หมอคะ แว่นหมอหนาจัง ตาสั้นเท่าไหร่หรอ อืมม์

หมอคะ ตอนเด็กๆ หน้าผากหมอเถิกน้อยกว่านี้หรือเปล่าคะ?

หมอคะ ถ้าดิฉันเบลอจนเผลอคิสหมอเข้า เหมือนตอนโต้งคิสมิว จะเป็นไรไหมคะ?

ฯลฯ

.....

 

"โอเค" เสียงหมอเรียกจินตนาการเกือบเตลิดของโอชโช่จังกลับสู่เก้าอี้ในห้องตรวจ "วันนี้ทำหน้าเหมือนเดิมนะครับ แล้วเดี๋ยวผมขอฉีดสิวสองเม็ดนี้เลยนะ มันจะได้ยุบ แล้ววันนี้จะแต้มกรดไหม?"

"ก็ แล้วแต่ดุลพินิจของหมอค่ะ"

"โอเค งั้นรอทำหน้าหน้านะครับ"

โอชโช่เดินงงๆ ออกมาจากห้องหมอ 'เกือบไปแล้วสิเรา'

'หมออยากไปปาย ทำไงดี ลองแนะนำรีสอร์ตสวยๆ ริมน้ำปาย ที่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นดีไหม? จะแนะนำไงหล่ะ? เดี๋ยวเสร็จแล้วอาจเจอหมออีก แล้วลองบอกดูดีกว่า บอกว่าจะอีเมล์ชื่อกับเบอร์มาให้ดีกว่า ทีนี้ก็จะได้รู้อีเมล์หมอล่ะ ไม่ได้เบอร์ ได้อีเมล์ก่อนก็ยังดีนะ-ฮิๆๆๆๆ' โอชโช่จังของเรานอนนึกเป็นฉากๆ ระหว่างคุณน้องจัดการดูดสิวเสี้ยน ทาเอเอชเอ ฯลฯ ตามกระบวนการ

"เอาล่ะ" อ๊ะ หมอมาแล้ว "จะฉีดละนะ"

.....(#&*@>~ฅ-อยากกรี๊ดดดดดดด ดังๆ)....

"อ๊ะ ทำไมฉีดไม่เข้า วันนี้แขวนพระอะไรมาเนี่ย"

".....(กัดฟัน-น้ำตาไหลพราก)... "

"เจ็บไหมครับ"

"ถามทำไมเนี่ยหมอ" เจ็บจนอดโกรธหมอไม่ได้ "เจ็บจะตายอยู่แล้ว (ฮึ่ม!)"

ใครไม่เคยโดนฉีดสิวคงไม่รู้สินะ ว่ามันเจ็บจนยากจะบรรยายขนาดไหน

"ฮ่าๆๆๆๆ" โอชโช่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหมอหัวเราะด้วยความชอบใจหรือสะใจ

 

เท่านั้นยังไม่พอหรอก สำหรับความเจ็บปวดที่โอชโช่จังต้องข้ามผ่าน เพียงเพื่อแลกกับการได้ใกล้ชิดหมอบู๋ เพราะหลังจากนั้นหมอก็ได้จิ้มกรดความเข้มข้นสูงแต้มลงบินจุดต่างๆ บนใบหน้าของโอชโช่จนลายพร้อยไปหมด ยังผลให้โอชโช่น้อยของเรา ทั้งเจ็บทั้งแสบ รู้สึกยิบๆ เห่อ และระบมทั่วหน้าจนแทบทนไม่ได้ และเพื่อไม่ได้ร้องกรี๊ดออกมา หรือตะโกนด่าหมอบู๋ที่รักเพราะความโกรธ โอชโช่ก็เลยกัดริมฝีปากเอาไว้จนมันห้อเลือดไปเลย

หมอบู๋นั้น หลังจนแต้มกรดจนพอใจ ก็หายออกจากห้อง เงียบเสียงไป

หรือที่จริงแล้วหมอบู๋เป็นซาดิสม์ ส่วนโอชโช่เป็นมาโซ!!!

(โอว์... compatible couple ในอุดมคติ!!!)

เมื่อโอชโช่ยันกายอันสะบักสะบอมของเธอลุกจากเตียง โซเซเดินออกมารับยากับชำระเงินที่เคาน์เตอร์ ก็พบว่าหมอบู๋ชิ่งหายไปแล้ว คุณน้องที่ทั้งปลอบให้หายเจ็บด้วยการชวนคุยเรื่องต่างๆ นานารายงานว่าหมอมีธุระ ซึ่งทำให้โอชโช่อดคิดไม่ได้

หมอรอเจอเราจริงๆเหรอเนี่ย

 

คืนวันนั้น ถ้าผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานีพระรามเก้า และผู้โดยสารบีทีเอสจากอโศกไปถึงอ่อนนุชพบเห็นผู้หญิงหน้าเยินๆ ตาลอยๆ เหมือนยังฝันไม่เสร็จ ก็จงรู้ไว้เถิด ว่า

เธอคือโอชโช่จังผู้ยอมเจ็บปวดเพื่อความรักนั่นเอง!

 

 

 

 

ยังไม่ลืมที่จะรัก

อ่านไทยรัฐออนไลน์วันนี้ เจอเรื่องที่ตอนแรกคิดว่าจะต้องเป็นเรื่องรักโรแมนติกแบบ Notebook แน่ๆ

ไปๆ มาๆ กลายเป็นเรื่องขำปนเปรี้ยวไปได้

จะมีใครอ่านแล้วเห็นเป็นแนวทางในการแอ๊บว่าสมองเสื่อม เลยหันไปมีคนใหม่แบบเนียนๆ มั่งไหมหนอ???

 

คนไข้อัลไซเมอร์ 'ยังไม่ลืมที่จะรัก' ไปมีกิ๊กได้ ก่อนิยายรักใหม่อลเวง

แม้ผู้ป่วยสมองเสื่อมด้วยโรค “อัลไซเมอร์” จนมีอาการลืมแทบจะทำให้จำอะไรไม่ได้ จะพรากเอาความสุขในชีวิตไปเกือบหมด ก็ยังน่าแปลกว่า ยังไม่ลืมที่จะรู้จักความรัก

ดังที่หนังสือพิมพ์ใหญ่ในสหรัฐฯ รายงานเรื่องที่อดีตผู้พิพากษาหญิงศาลสูงสหรัฐฯ นางแซนดรา เดย์ โอคอนเนอร์ ประสบเข้ากับตัวเอง เมื่อนายจอห์น สามี อายุ 77 ปี ซึ่งป่วยด้วยโรค “อัลไซเมอร์” จนสมองเสื่อม จำอะไรไม่ได้แม้กับลูกเมียตัวเอง ถูกนำไปฝากไว้ที่สถานพยาบาลแห่งหนึ่ง กลับปรากฏว่า ไปปลูกต้นรักใหม่กับเพื่อนคนไข้หญิงด้วยกัน ซึ่งก็ลืมลูกผัวของตัวเองเสียสนิทเช่นกัน ถึงกับกินอยู่ด้วยกัน ไปไหนก็จูงไม้จูงมือกันแทบไม่ห่างจากกัน แม้แต่ต่อหน้าต่อตาเมียตัวเองที่ไปเยี่ยมเยียนแท้ๆ

เรื่องรักอลเวงทำนองนี้ เพิ่งถูกฮอลลีวูดสร้างเป็นหนังเรื่อง “อเวย์ ฟรอม เฮอร์” นำแสดงโดยดาราสาวจูลี่ คริสตี้ เล่นเป็นคนไข้หญิงโรคอัลไซเมอร์ ที่ลืมลูกลืมผัวไปสิ้น แล้วไปสร้างนิยายรักหวานแหววกับเพื่อนคนไข้ในสถานพยาบาลด้วยกัน จนสามีแท้จริงของนางต้องทำใจ ยอมรับความรักใหม่ของเมียตนเอง เพื่อเห็นแก่ความสุขและความสงบของเมีย ที่ต้องตกอยู่ภายใต้พายุมรสุมของโรค

ผู้อำนวยการองค์การ “พันธมิตรผู้ดูแลครอบครัว” นายดอนนา เชมปป์ หัวหน้าองค์การผู้ให้ความช่วยเหลือคนไข้และครอบครัว ได้กล่าวอธิบายปรากฏการณ์แบบนี้ว่า “แบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก และคนไข้ก็มักจะสามารถปลูกรักใหม่ให้งอกงามขึ้นได้ จุดมุ่งหมายของเรา เราต้องการให้ผู้ที่อยู่ใต้ความดูแล ได้มีความสุข หากพวกเขามีอาการดีขึ้น และรู้สึกว่าได้รับความรัก ดูแลทะนุถนอม ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีด้วย”.

 

เอามาจากหน้านี้จ้า http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=72088

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่ ตอนที่ 1 รักนี้..แม้เจ็บก็ยอม

ตอนที่ 1

รักนี้..แม้เจ็บก็ยอม

 

ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก

"หวัดดีค่า" โอชโช่จังกล่าวขณะออกแรงดันประตูคลินิกของหมอบู๋ ด้วยแก้มสีชมพูจากความตื่นเต้นซึ่งซ่อนอยู่อย่างมิดชิดภายใต้สีผิวสีเดียวกับไก่ย่างเกรียมขนาดกำลังน่ากินของเธอ งานยุ่งๆ ทำให้วันนี้เธอมาถึงช้าที่เคย แต่เพราะว่าวันนี้คือ 1 ใน 2 วันของเดือนที่จะได้เจอหมอบู๋ ไม่ว่าจะเหนื่อยสะบักสะบอม หัวฟู หรือหน้ามันจากงานยุ่งๆ โอชโช่จังก็จะไม่ยอมผิดนัดกับหมอเด็ดขาด

"เชิญเลยจ้า" น้ำเสียงใจดีของหมอบู๋ดังมาจากห้องหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ของคลินิกเล็กๆ แห่งนั้น

'เหมือนหมอรอเราอยู่' โอชโช่คิด พร้อมก้าวอย่างขลาดๆ ไปที่ประตูห้อง สไลด์มันออกในท่ามาดมั่นตามแบบฉบับของเธอ ไหว้หมออย่างนบนอบเหมือนทุกครั้งแล้วก็เอื้อมมือไปลากเก้าอี้ออกมาไกลตัวหมอ แล้วจึงทรุดตัวนั่ง

"นั่งไกลจัง" หมอพูดยิ้มๆ ดึงถุงมือยางดังเปรี้ยะๆ แล้วเริ่มพิศร่องรอยของสิว ไฝฝ้าบนใบหน้าของโอชโช่เหมือนเคย

"ไม่ใส่แว่นสวยกว่านะ"

กรี๊ดดดดด หมอเริ่มอีกแล้ว

"เอ่อ..ก็ไม่ค่อยชอบใส่เลนส์น่ะค่ะ" โอชโช่ไม่รู้จะพูดอะไรดี

"เข้ามาใกล้ๆ ผมหน่อยสิ"

ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก

 

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เรื่องรักของนางสาวโอชโช่


~Overture ~

ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก ตึ่ก-ตั่ก

เสียงหัวใจเต้นหนักแน่นตั้งแต่มองเห็นป้ายคลินิก
แม้ไม่ใช่เด็กมัธยมที่มาเพื่อฟังหมอคอนเฟิร์มว่าท้องจริง อีกทั้งยังไม่ใช่การมาพบทันตแพทย์ตามนัดผ่าฟันคุด แต่หลังจากครั้งแรกที่มาพบหมอบู๋ หัวใจของนางสาวโอชโช่ (ocho>espanol=eight=hachi=8) ก็เริ่มเต้นแบบนี้

ในเมื่อไม่ใช่ความหวาดกลัวที่จะได้พบหมอ เรื่องราวมันก็คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก
...ชอบหมอเข้าแล้วน่ะซี่

แน่ละ หลังจากผิดหวังกับความรักครั้งสุดท้ายมาอย่างสะบักสะบอม โอชโช่จังก็ใช้เวลาไม่น้อยไปกับการเยียวยาหัวใจและความรู้สึกของตัวเอง ครั้งนั้นเธอเคยคิดด้วยซ้ำว่า ในเมื่อมีรักแล้วก็จะตามมาด้วยความทุกข์(ดังพุทธพจน์)เสมอ ก็อย่ากระนั้นเลย อย่าไปมีมันชีวิตก็คงไม่ยุ่ง แล้วก็ไม่ต้องเจ็บปวด

แต่ทว่า
ชะตากรรมก็เล่นตลกกับหัวใจโอชโช่จังอีกครั้ง เมื่อกาลเวลาช่วยเยียวยาแผลที่ใจให้ตกสะเก็ด แม้จะกลายเป็นแผลเป็น แต่ความเจ็บปวดแทบไม่เหลืออีกแล้ว ประจวบเหมาะกับเวลาที่ลมหนาวพัดพากระอายกลิ่นความรักเข้ามาในทุ่งหญ้าแห่งความ(เพ้อ)ฝันของเธออีกครั้ง

โอชโช่จังของเราก็พร้อมจะเดินตกลงไปในหลุมแห่งความรัก ไม่ว่าใครจะมองว่าเธอตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม

จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยใจระทึกเถิดค่า!!!



หมายเหตุ
ดิฉันเล่าเรื่องซีรีส์นี้โดยหยิบบางเสี้ยวมาจาก true story
(แต่โปรดอย่าถามว่าหมอบู๋คือใคร คลินิกอยู่ตรงไหน เพราะว่าหวง+อาย ดังนั้น ดิฉันไม่มีทางบอกแน่) บวกกับแรงบันดาลใจบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่ออ่านนานะไปเรื่อยๆ (ขอยืนกรานอีกครั้งว่าอ่านช้าดีกว่าไม่ได้อ่าน) จึงต้องกราบขออภัย(ล่วงหน้า)แฟนนานะไว้ ณ ที่นี่ ด้วยดิฉันมิได้ริอ่านตีตัวเสมอฮะจิโกะ แค่สร้างตัวละครที่มีความละม้ายคล้ายฮะจิโกะในบางส่วนขึ้นมาเท่านั้นเอง

สุดท้ายนี้ ขอฝากเนื้อฝากตัวกับมิตรรักแฟนเพลงไว้ ณ ที่นี้ด้วยจ้ะ

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550

คิดถึงทีลอซู


โพส....ซะ

คิดถึงทีลอซู
อยากไปอีก
ค้างที่น้ำตกสัก 2-3 คืน
ตอนที่ลานกางเต็นท์เงียบๆ
ทำกับข้าวกินกัน นอนอ่านหนังสือ ฟังเสียงกีตาร์ จิบเบียร์(สิงห์)ที่เย็นด้วยแช่น้ำในลำธาร
แล้วก็ อาบน้ำในลำธารกันจริงๆ

จะเป็นไปได้ไงเนี่ย??

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เที่ยวเผื่อเพื่อน


พี่อิ๋วนั่งอาบแดดตอน 10 โมง
(เดี๋ยวก็เป็นฝ้าหร็อก)

่พอบอกเพื่อนว่าจะไปเที่ยว
เพื่อนก็ชอบบอกว่าให้เที่ยวเผื่อ
แต่ของงี้ไม่รู้จะเผื่อกันได้ไง
ก็เลยถ่ายรูปมาเล่าให้เพื่อนฟัง


รูปพวกนี้มาจากกล้องมือถือที่ควักออกมาใช้ตอนแบตกล้องจริงๆ หมด
อยู่นอกเน็ตเวิร์ก แต่มือถือก็ยังมีประโยชน์นิ

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550

1,219 โค้ง ก่อนรู้ตัวว่าอะไร (เกือบ) หายไปจากชีวิต

เกือบจำไม่ได้ว่าความสุขจากการนอนอุ่นๆ ในเต็นท์กลางป่า ยามที่อากาศเรียกได้ว่า หนาว เป็นยังไง

ก็มันเป็นเวลาเกือบจะ 7-8 ปีมาแล้ว หลังจากคืนอุ่นคืนนั้นในเต็นท์ กลางป่าใกล้น้ำตกเจ๊าะกระดิ่ง (น่าจะอยู่ในห้วยขาแข้ง เข้าทางเมืองกาญจน์ฯ) คืนที่นอนสบายจนทำให้เรา (ที่ไม่ได้แปลว่า "ฉัน") เริ่มวันใหม่ด้วยบทสนทนาถึงความฝันสวยงามที่เป็นไปไม่ได้

นานจนความทรงจำเปลี่ยนสภาพเป็นปฏิทินตากแดด คือซีดจนเกือบกลายเป็นความฝันเก่า

นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายเกี่ยวกับเต็นท์และถุงนอนอันอบอุ่น (ถ้าจะมีการนอนเต็นท์เกิดขึ้นหลังจากนั้น ก็แปลว่ามันไม่จับใจ จึงจำไม่ได้)

8-9-10 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่ดิฉันดั้นด้นไปถึงอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก โดยมีไฮไลท์ของทริปเป็นการกางเต็นท์นอนใกล้น้ำตก ทีลอซู อันยิ่งใหญ่ เป็นจุดหมายปลายทางอันห่างไกลความจริงมาตั้งแต่สมัยยังทำตัวเปรี้ยว เอะอะก็แบกเป้+เต็นท์+ถุงนอน พากันโบกรถขึ้นเขาใหญ่

สมัยนั้นทีลอซูเหมือนอยู่ดาวดวงอื่น นั่งรถแล้วต้องต่อด้วยการเดินป่า ลงแพ ขี่ช้างกันสารพัด กว่าจะได้ไปยืนใต้น้ำตก อีตรงที่ช่างภาพ อสท. เค้าถ่ายรูปมาลงหนังสือ

เป็นอะไรที่ไกลเกินฝัน ว่างั้น

เวลาผ่านไปสิบกว่าปี อยู่ดีๆ อิ๋วก็มาชวนไปเที่ยวทีลอซูด้วยน้ำเสียงเหมือนชวนไปทำอะไรชิลๆ อย่างข้ามเรือไปเที่ยวเกาะเกร็ด ก็เลยตกลงเลย หนีบพี่ผึ้งซึ่งตื่นเต้นกับราคาค่าทัวร์สุดๆ (แค่ 3,400 บาท ) ไปอีกคน

การเดินทางเกือบเรียกได้ว่าสบายที่สุดเท่าที่เคยมีประสบการณ์เที่ยวทัวร์รถตู้ เพราะรถที่เรานั่งน่ะเป็นโตโยต้า Commuter คันใหญ่ (แต่มันติดโลโก้ Lexus) เบาะใหญ่มาก เอนได้เยอะมาก (เฉพาะแถวแรกนะ) คนขับก็ไม่พูดมาก (ความรู้สึกเมื่อแรกเจอ) ไม่มีเครื่องเสียงคาราโอเกะ ไม่มีแม้กระทั่งทีวี ตอนแรกคิดว่าดีเหมือนกัน ไม่ต้องรำคาญกับวีดีโอตลก หรือหนังบู๊ระห่ำที่ปลอมแผ่นพากย์ไทยมา

ดีจัง พรุ่งนี้ชั้นคงไม่โทรมเพราะอดนอน คิดในใจว่างั้น

ทว่า

ความคิดเริ่มเปลี่ยนไปหลังออกจากแม่สอดตอนประมาณตีสี่

อีตอนพักรถที่แม่สอด ได้ยินคนขับพูดถึง ยาแก้เมา กอปรกับได้ยินแว่วๆ มาว่า จากแม่สอดถึงอุ้มผางแค่ร้อยหกสิบกว่ากิโลฯ แต่ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เลยวิ่งไปถามเพื่อความแน่ใจว่า เส้นทางจากตากมาแม่สอดที่ว่าเซียนๆ เนี่ยเทียบกับแม่สอดไปอุ้มผางแล้วเป็นไงหรอ

คำตอบคือ คนละเรื่อง

และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะกินยาแก้เมาเข้าไปก่อน ทำให้ง่วงงุนจนลืมโลก แต่ก็ไม่อาจลืมความรู้สึกหัวฟัดหัวเหวี่ยง ภาพการแซงซ้อนสอง ซ้อนสามในโค้งขณะขึ้นดอยด้วยความเร็วที่ทำให้กลืนน้ำลายไม่ทัน

และเหตุการณ์ส้มหล่นกระจาย รองเท้าผ้าใบกระจุยไปท้ายรถ และขวดเครื่องดื่มเพื่อความรื่นรมย์ที่ขนซื้อกันมากลิ้งเที่ยวไปทั่วท้องรถ (ดีนะที่มันไม่แตก)...

เป็นความทรงจำกึ่งฝันกึ่งจริงที่เรียลิสติกมาก

(มารู้ในวันรุ่งขึ้นว่าจากแม่สอดไปถึงอุ้มผาง นับได้ตั้ง 1,219 โค้ง

ไม่ใช่โค้งอ้วนๆ เหมือนตอนยูเทิร์นในมอเตอร์เวย์ แต่มันคือโค้งแบบ 360 องศา รูปตัวเอสติดกัน 3-4 ตัว ในความลาดเอียงระดับ 15 องศา!!!-รู้แล้วอยากขอโทษคนขับที่พวกเราช่วยกันด่าวิธีการขับของพี่แกซะเละ ที่จริงต้องขอบคุณมากกว่าที่พี่แกเรามาซดข้าวต้มแกล้มกุนเชียงทอดได้อย่างปลอดภัย)

มาเริ่มสลึมสลือกันตอนใกล้ถึงแล้ว ภาพที่เห็นคือ อุ้มผางห่มหมอก

7 โมงเช้าได้แล้วในตอนนั้น แต่หมอกยังฟุ้งอยู่ทั่ว อากาศก็หนาวเชียว ข้างบนอุ่นพอได้จากแจ็กเก็ต ผ้าพันคอ และหมวก แต่ข้างล่างนี่สิ กางเกงยีนส์แทบไม่ช่วยอะไร ขนหน้าแข้งตั้งชันทีเดียว

โปรแกรมทัวร์ไม่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวทำตัวอ้อยสร้อย เสร็จข้าวเช้า ล้างหน้าแปรงฟันแล้วพวกเราก็ไปลงเรือยาง ล่องแม่น้ำ (ไม่น่าเชื่อว่าคือ) ต้นน้ำแม่กลอง

ธรรมชาติสวยมาก ต้นไม้สวย ป่ามีกลิ่นหอม ตอนเงียบๆ จะได้ยินเสียงไก่ (แต่ไม่ใช่ไก่ป่า-น้องวินบอก) และนกที่ไม่รู้ชื่อ และถึงจะหนาวแต่ก็อากาศดี ระดับน้ำก็พอดี รู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเที่ยวในช่วงนี้ (ถึงจะพบว่าคนกรุงเต้บเหมือนเราแห่ขึ้นมาพร้อมกันหลายร้อยก็ตาม) เพราะอากาศไม่หนาวเกินไป (อุณหภูมิที่คนอุ้มผางใช้คำว่าหนาวคือ 5-9 องศาซี แต่วันที่เราไปน่ะ 14-15 องศาซี เค้าไม่เรียกหนาว) น้ำก็ยังมี ไม่มากจนน่ากลัวเหมือนตอนหน้าฝน แต่ก็ไม่ได้แล้งจนท้องเรือยางขอดกับก้นคลอง แดดก็สวยเชียว แดดองศานี้ทำให้เราเห็นรุ้งที่น้ำตกสายรุ้งด้วย

(ที่ไม่น่าเชื่ออีกอย่างคือ น้องๆ อีก 7 คน ที่เพิ่งรู้จักกันก่อนรถออก ทุกคนน่ารักมาก ไม่มีใครกวนตีน ปากเสีย สูบบุหรี่ หรือทำตัวอ้อนแอ้นน่าถีบเลย ทุกคนขำขัน แอคทีฟ แล้วก็มองโลกในแง่ดีหมด-เราฟลุคจริงๆ นะพี่ผึ้ง)

พอขึ้นจากเรือ คนทำทัวร์ก็มารับเรานั่งรถฝ่าฝุ่นแดงๆ ของถนนหน้าแล้งไปที่ที่ทำการฯ น้ำตกทีลอซู ที่ที่เราจะกางเต็นท์พักแรมกัน ได้รับการบอกกล่าวว่ารถจะวิ่งราว 40 นาที จึงจะพาเราไปถึง แต่ถ้าเป็นหน้าฝน ต้องเป็นรถโฟร์วีลกับคนขับฝีมือ (+ตีน?) เยี่ยมเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต้องเดินป่าเข้าไปเป็นวัน จึงจะถึง

ตอนที่พี่เค้าเอา mask มาแจกคนละอันๆ ก็ขำนะ ฝุ่นมันจะขนาดไหนกันเชียว ยังถ่ายรูปกันอย่างเฮฮา เพราะไม่เคยต้องใส่หน้ากากกันฝุ่นนั่งรถมาก่อน... พอรถออกได้ 3 นาทีก็เริ่มแจ้งแก่ใจ ก้นในกางเกงยีนส์ (ไม่ได้เตรียมตัวมาลงเรือยางเล้ย) ที่ยังเปียกน้ำในเรือยางมาเจอะกับม่านฝุ่นแดงจากรถขนลูกทัวร์ที่วิ่งเข้า-ออกสวนกันเป็นสิบๆ คัน กับอาการอดนอนจากการเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์เมื่อคืน ทำให้หลายคนค้นพบวิธีหลับในขณะที่มือยังโหนรถอยู่

แค่นั้นไม่พอ เรายังสามารถอาบน้ำในห้องน้ำที่มีฝากั้นทำด้วยไม้ไผ่สับฟาก (เรียกถูกเปล่าหว่า) ชนิดที่ ถ้าใครอยากเห็นก็แค่มอง เพราะทนไม่ได้แล้วกับเนื้อหนัง ผม และเสื้อผ้าเปียกชื้นเคลือบฝุ่นแดง อีกอย่าง ตอนบ่ายโมงครึ่งยังเย็นขนาดนี้ ถ้ารออาบตอนเย็นกว่านี้อาจตายได้-เป็นการอาบน้ำที่ไม่สะอาดหรอก แต่ก็ตื่นเต้น และชื่นใจมากๆ

คืนในป่านั้น ที่จริงเป็นคืนเดือนมืด เห็นดาวแข่งกันทอแสง สวยกว่าคืนเมื่อเดือนก่อนที่เขาใหญ่มากเลย แต่ว่า ดิฉันดันลืมเอาแว่นสายตา (สั้นนะ-ไม่ใช่ยาว) ไปด้วย เลยเห็นเป็นแค่แสงวิบๆ อีกอย่าง บรรยากาศมันไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยเท่าไหร่ คืนนั้นมีเต็นท์กางหลายสิบหลัง บางคนก็มีน้ำใจ แบกเครื่องเสียงพร้อมเอื้อเฟื้อเสียงเพลงแนวที่พี่แกโปรดให้กับคนทุกคนที่อยู่ในเต็นท์ทุกหลังในลานแห่งนั้น แถมยังเล่นไพ่ไม่เป็น แม้แต่เกมสลาฟ ก็เลยมุดเต็นท์ สอดตัวเข้าถุงนอน ให้ไอพอดส่งเสียงขับกล่อมจนหลับไป

ได้สัมผัสกับทีลอซูอันยิ่งใหญ่ในเช้ารุ่งขึ้น ทีลอซู มาจาก 'ทีลอซุ' ซึ่งหมายถึงน้ำตกในภาษากระเหรี่ยง ผู้ค้นพบ เกิดจากการรวมกันของห้วยมองดำกับห้วยกล้อทอ ไหลมาตกที่ช่องเขาขาดตรงนี้ แล้วก็ไปรวมกับลำน้ำแม่กลองเส้นที่ไหลผ่านจากจุดที่เราล่องเรือยางเมื่อวาน ไหลลงไปเรื่อยๆ กลายเป็นแม่น้ำแม่กลองเดียวกับที่ไหลออกทะเลไปแถวๆ สมุทรสงครามนั่นแหละ

พยายามจะนึกว่า ตอนหน้าฝน ตอนฝนตกโครมๆ ต้องปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้านั่น ทีลอซูจะมีหน้าตาเป็นไง จะใหญ่โตกว่านี้แค่ไหนกัน แล้วก็วาดภาพขึ้นเองจากเค้าโครงของน้ำตกเหวนรกที่เคยเห็นภาพในหน้าฝน (ไม่ใช่ตอนที่มีศพช้างแม่ลูกลอยขึ้นอืดนะ) คือมีละอองน้ำเล็กๆ ฟุ้งกระจายจนทุกอย่างชุ่มฉ่ำไปหมด

อืมม์ ป่าแถบนี้อาจจะเปียกกว่าแถบนั้นก็ได้นะ

ป่าริมน้ำตกทีลอซูเต็มไปด้วยต้นยางแดงต้นใหญ่มาก ล้วนแล้วแต่มีร่องรอยไหม้ไฟ จากเทคนิคเรียกน้ำยางของชาวกระเหรี่ยง ประมาณว่าเค้าจะแกล้งต้นไม้ด้วยการเอาไฟรุม ทีนี้ต้นยางจะตกยางออกมา เค้าก็จะเก็บเอายางนี่ไปใช้ประโยชน์ เช่น เอาไปเป็นเชื้อก่อไฟ อะไรงั้น แต่พอออกจากน้ำตก มุ่งหน้าจะไปสวนส้ม (คราวนี้ดอดมานั่งในแคบ) พบว่าข้างทางล้วนแล้วแต่เป็นต้นสัก สลับกับไผ่ พอถนนออกจากป่า ก็เริ่มพบบ้านชาวบ้านที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ชนิดที่มีเสาเป็นสักทั้งต้น แต่อลังการยังไงก็ไม่เท่าที่เคยเห็นเมื่อตอนไปเข้าค่ายเขื่อน (ใช่แก่งเสื้อเต้นป่ะคะ ป้าอ้อย?) กับชุมนุมอนุรักษ์ฯ ที่แพร่

น้องที่นั่งอยู่ในแคบด้วยกันเปรยว่า คนแถวนี้รวยจัง ปลูกบ้านด้วยไม้สัก แต่พี่คนขับแก้ให้ว่า 'คนอยู่บ้านไม้ไม่รวยหรอก'

(..........คนฟังเงียบไป............)


บ่ายวันนั้นเราไปสวนส้ม ไปบ่อปลาที่สำนักสงฆ์ถ้ำน้ำดั้น ที่ว่ากันว่า น้ำและปลาในบ่อดัน (ดั้น) ผ่านถ้ำใต้มาจากอีกฝั่งหนึ่งที่พม่าโน่น จากนั้นก็ไปวัดหนองหลวง ที่มีโบสถ์ไม้สักแห่งเดียวในประเทศ เป็นโบสถ์ที่จัดได้ว่าขนาดเล็กมาก แต่สวยแปลกดี ดูสมถะ เรียบง่าย ไม่เว่อร์จนหาความงามไม่เจอเหมือนวัดอีกหลายๆ วัด เย็นวันนั้นเราก็สนุกสนานหรรษากันแบบคนเมืองไปเที่ยวต่างจังหวัด คือร้องคาราโอเกะ อาบน้ำอุ่น นอนฟูก (เอื้ออำนวยต่อการสวมเฝือกกัดฟันนอน) คืนนี้แทบไม่หนาวเลย

วันรุ่งขึ้นเป็นวันเดินทางกลับแล้ว ออกจากรีสอร์ทเวลาแปดโมงครึ่ง เป็นเวลาที่ท้องอิ่ม ตาสว่าง ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของทุกคนจึงพร้อมรับปรากฏการณ์เหวี่ยงหนีศูนย์กลางของโค้งทั้ง 1,219 ซึ่งพี่ผึ้งทำแมน เสนอแลกที่กับน้องๆ ที่นั่งแถวหลังมาในขามา ทำให้เราได้กับความรู้สึกใหม่ คือ ตาลาย หัวหมุน หน้าซีด มือเย็น ท้องไส้ปั่นป่วน ที่ไม่มีอะไรช่วยได้ แม้แต่ยาดมหรือบ๊วย

พี่ตี๋คนขับ -ซึ่งยืนกรานว่าเวลาขับรถขึ้นลงเขา จะมาชะลอๆ ค่อยๆ ประณีตเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้ เพราะมันจะทำให้รถเครื่องดีๆ ช่วงล่างทำมาแบบสุดยอดของแกพัง- ก็ยังคงมั่นต่ออุดมการณ์ของแกต่อไป ยังดีที่แกเมตตาปราณี หยุดให้ตอนวิ่งไปได้ชั่วโมงนึง ณ จุดที่รถคันไหนๆ ก็จอดให้คนเข้าห้องน้ำ

เชื่อไหมว่า พอประตูรถตู้แต่ละคันสไลด์ออก แทบจะมีอย่างน้อย 1 คนจากทุกคัน วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อมาอ้วก โดยที่บางคนก็ทนได้จนถึงกอหญ้า บางคนก็ทนไม่ไหว

คงต้องขอบคุณสวรรค์ ที่ดิฉันรอดมาได้โดยไม่อ้วก


ทริปนี้ แม้จะไร้วี่แววของคุณ ace of cups แต่ก็ขอบคุณอุ้มผางจริงๆ ที่ยังสวย สงบ และอากาศดี จนทำให้ชีวิตสาวโสดอันแห้งแล้งเริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง จนถึงกับฝันอยากใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ เงียบๆ อย่างที่นั่นเสียเลย


ขอบคุณอิ๋วที่ชวนไปเที่ยว ขอบคุณพี่ผึ้งที่ให้ยืมเสื้อตัวอุ่น ขอบคุณพี่ตี๋ที่พาไปและกลับอย่างสวัสดิภาพ (เสียดายจังที่ไม่ได้ถ่ายรูปพี่ รูปรถ และขอเบอร์มา) ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคน ที่น่ารักมาก ขำมาก กินกันสนุกมาก (คราวหน้าไปทะเลกันใช่ไหม เอาสแครเบิลไปเล่นด้วยนะ-พี่ชอบ เล่นไพ่ไม่เป็นจริงๆ)

รวมทั้งคุณด้วยนะ คนที่อยู่ในความทรงจำ

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2550

จูบ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

เพิ่งไปชม รักแห่งสยาม หนังส่วนตัวของผู้กำกับ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล วันนี้เอง
(ดูช้าอีกว่าไม่ได้ดู-ในโรง)
กลับมาพร้อมกับหลายคำถามน่าคิด และประเด็นน่าคุยต่อ
หนึ่งในนั้นก็คือ การจูบ
สิ่งที่สงสัย ไม่ใช่ ทำไมเด็กสองคนนั่นถึงจูบกัน หรือทำไมผู้กำกับไม่ทำให้ให้ฉากมันกระจะ-กระจ่างตาน้อยกว่านี้ แต่สวยกว่านี้ หรือทำไมคนดูต้องส่งเสียงต่างๆ นานากับฉากนี้
...
แต่เป็น "มันเริ่มต้นได้อย่างไร"
อะไรทำให้คนคนหนึ่งกล้าพอที่จะเริ่มต้นจูบลงไปที่ปากคนอีกคน
อะไรทำให้คนที่ถูกจูบ จูบตอบ
อะไรทำให้คนแรกในโลกค้นพบความรื่นรมย์จากการสัมผัสกันด้วยริมฝีปาก และลิ้น
ทำไมการจูบทำให้คนตาลาย ขาสั่น ใจเต้น
สงสัยๆๆๆ


วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ความลึกลับของความรู้สึก

เกิดมาเป็นคนจะทุกข์หรือสุขมันก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนี่แหละ

โดยเฉพาะความรู้สึกที่เป็นผลจากความรัก 

 

นึกถึงความรู้สึกตอนเด็กๆ ตอนกรี๊ดรุ่นพี่สุดเท่ห์ (โมเมนท์นี้พี่เขาก็ได้เปลี่ยนไปนิดหน่อยอะนะ)

ตอนนั้นความสุขมันอยู่ที่การแอบกรี๊ดแบบลับๆ การได้เห็นเขาเดินมาไกลๆ ได้ใจเต้นตึก-ตึก-ตึก แค่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวตัวเดียวกัน ในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยแมงวันของวิทยาเขตชานเมือง ได้ลงมือทำของพิลึกพิลั่นอย่างถักหมวก (ที่พี่เขายังใช้เป็นมุกมาอำเราจนกระทั่งบัดนี้-อายชิบ)

จนวันนึงเมื่อเห็นเขาเดินเคียงข้างสาวผมยาว ผอมบาง (แบบที่เราไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้เลย) ใจก็เศร้าแป้วลง


อีตอนมีแฟนคนแรก ความรู้สึกมันไม่ใช่ความรักแรกพบอะไรอย่างนั้นหรอก แต่มันคือความปิ๊ง แค่ความประทับใจสั้นๆ ที่เขาคงไม่ได้ตั้งใจ บวกกับความอยากรู้อยากลอง ว่ามีแฟนแล้วมันจะเป็นยังไง

เราก็ได้มีแฟน

ก็คบกันไป เป็นแฟนกันได้ตั้ง 3 ปี เพื่อจะมีความรู้สึกว่า 'อย่างนี้มันไม่ใช่นี่หว่า'

ในจังหวะเดียวกับที่ไปเจอกับความรักเข้าพอดี


ไม่รู้อะไรที่ดึงดูดเราเข้าหาเขา

สงสัยจะเป็นความรัก

ความรักครั้งแรก ที่ไม่ได้มีให้กับแฟนคนแรก (เอ๊ะ-แปลกไหม)

ช่วงนี้แหละที่ได้เข้าใจว่าการคิดถึงใครคนหนึ่ง 'ทุกลมหายใจเข้าออก' น่ะมันเป็นไง

ได้ประสบกับตัวเองว่าคนประเภทไหนกันที่มันโทรหากันได้วันละหลายๆ ครั้ง

คุยกันนานเป็นชั่วโมงๆ ก็ยังไม่หมดเรื่องจะคุย

แล้วก็ได้พบว่า เมื่อเราเข้าใจว่าเรารัก เรามีความรัก เมื่อนั้น เราจะทำได้ทุกสิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ในสายตาเพื่อน หรือเรื่องที่ทำให้เพื่อนเข้าขั้นเป็นห่วงก็ทำมาแล้วทั้งสิ้น

(นึกถึงในตอนนี้แล้วก็ให้ละอายใจไม่น้อยอยู่)

6 ปีของวัยสาวไม่ใช่เวลาน้อยๆ แต่เราก็ผ่านมันมาแล้ว อย่างมีรสชาติสุดๆ ทั้งสูงสุดและต่ำสุด ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย

ได้รู้ว่าโลกนี้สวยแค่ไหนเมื่อใจมีรัก

รวมทั้งได้รู้ถึงศักยภาพในตัวของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังรักผู้ชาย

แต่แล้วเราก็เลือกที่จะจบช่วงเวลานี้ด้วยตัวเอง เพราะเหตุผลสั้นๆ มีอยู่ว่า แม้เราจะรักเขา โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แต่เราก็ต้องรักตัวเอง และรักคนที่รักเราด้วยเหมือนกัน


ช่วงเวลานั้นเองที่ได้รู้จักผู้ชายอีกคน

จะเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนในสเปค หรือเพราะยังเจ็บปวด ใจยังไม่พร้อมจะรัก หรืออะไรก็ตามแต่ จำได้ว่าได้บอกเขาไปว่าเราไม่ได้ชอบเขา ไม่ได้อยากมีแฟน ไม่ต้องมาดูแล-เรียกว่าปิดประตูใจทุกทาง

แต่เหมือนมีกรรม เพราะเขาชอบเรา เขาต้องการจะมีผู้หญิงของเขาเป็นคนแบบเรา

เขาก็เลยตื๊อ ไม่ยอมไปไหน

จนเราชินกับการมีเขา จนเรางง แยกไม่ออกระหว่างความรู้สึก 'รัก' กับความ 'ชิน' ที่มีเขา

แล้วเราก็ต้องเศร้าอีกครั้ง เมื่อได้ข้อสรุปว่า คนที่น่าจะเป็นคนรู้จักและเข้าใจกันที่สุด กลับกลายเป็นคนไม่(เคย)รู้ใจไปเสียได้

ใช่ เราสองคนไม่เคยเข้าใจกันเลย เมื่อคนหนึ่งพูด อีกคนไม่เคยฟัง แถมไม่มีใครยอมใครอีกต่างหาก

อย่างงี้จะไปรอดได้ไง ไม่มีทาง

เรื่องก็เลยจบเห่อีกหน

(สม-ไม่เชื่อเรื่องดวงชงกันก็ต้องเจออย่างนี้แหละ)


คราวนี้ไม่มีใครมาเป็นตัวช่วย เราก็อยู่ของเรามาได้ อย่าง wiser เสียด้วย เพราะเราคิดว่าเราเข้าใจความลึกลับของความรู้สึกแล้ว  ว่าสุขและทุกข์จากความรักเกิดขึ้นได้อย่างไร

ด้านมืด และด้านสว่างของความรัก ต่างกันแค่ไหน


อยู่เป็นโสดไม่มีใครเป็นเจ้าของหัวใจมาพักใหญ่ มันก็มีความสุขดี

ทั้งตัวและหัวใจเป็นของเรา อยากจะทำอะไร ไปไหน ยังไง กินอะไร ไม่กินอะไร เกลียดหัวหน้าพรรคไหน หรือจะเลือกใคร ก็แล้วแต่เรา

จนเราเกือบเชื่อแล้วว่าชีวิตนี้ที่เหลือคงจะได้อยู่อย่างนี้แหละ

อย่างมีความสุขแบบคนโสด


แต่

ตลกดีนะ ที่สิ่งรู้ใจเราไม่ใช่คน แต่เป็น ไพ่ทาโรต์

4 วันก่อนมีโอกาสเปิดไพ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แม่หมอให้คิดคำถามไว้ในใจ ก็คิดไว้แค่ 2 ข้อ หนึ่งในนั้นคืออยากรู้ว่าจะมีไหม แฟนน่ะ

ปรากฏว่ามีใบหนึ่ง ปรากฏ ณ ตำแหน่งหนึ่งบอกอย่างชัดเจนว่า

อยากมีครอบครัว

(จำได้ว่ายังเถียงแม่หมอเสียงแข็งว่าไม่ได้อยากมีครอบครัวซะหน่อย-แค่อยากมีแฟนเอง)


ก็

บางทีมันก็เหงาๆ อยากจะมีเพื่อน(ที่ไม่ใช่เพื่อน)เป็นเพื่อนไปโน่นมานี่ กินข้าวด้วยกันเป็นบางวัน ดั้นด้นไปเที่ยวในที่ที่ไม่มีเพื่อนหญิงอยากจะไปด้วย ช่วยกันดูดาว มองเห็นดอกหญ้าดอกเดียวกัน กินเบียร์กับเราโดยที่เราไม่ต้องกังวลว่าเมาแล้วจะไปลวนลามผู้ชายที่ไหน เอาไว้เป็นคนที่จะโทรหาก่อนพบหมอฟัน หลังจากทำแก้วแตกติดกัน 3 ใบ ไว้ช่วยตัดสินใจตอนเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อคอนเวิร์สสีอะไร  เป็นคนแรกที่จะโทรหาในวันรัฐประหาร คุยกันเรื่องหนังสือที่อ่าน แลกกันฟังเพลงโปรด ถกเถียงกันถึงสารที่ซ่อนอยู่ในละครหลังข่าว และอย่างน้อยหนังอินดี้เรื่องที่เขาอยากดูก็จะไม่ทำให้เราต้องดอย่างขมขื่นใจ
ขอแค่เนี้ย โดยที่ไม่สนใจจะคิดเลยว่า ต่อจากนี้จะเป็นยังไง
สินสอดกี่บาท แหวนกี่กะรัต จะให้ใครทำเว็ดดิ้งออกาไนเซอร์ จัดงานที่ไหน ให้ใครถ่ายรูป ค่าใช้จ่ายในบ้านจะจัดการยังไง ลูกคนแรกจะเป็นชายหรือหญิงดี และจะคลอดเองหรือผ่าคลอด

แต่ว่า

จะมีจริงหรอ คนคนนั้น คนที่จะคุยเรื่องเดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง ยอมฟังกัน แล้วก็ยอมกัน


เฮ่อ...

ถ้าคุณมีตัวตนจริงๆ นะ คุณ Ace of Cups,

ช่วยรีบปรากฏตัวด้วยนะ


ช่วงนี้อากาศมันชักจะหนาวมากขึ้นๆ ทุกวันด้วยซี






Turtle's house

http://lonelyturtle.spaces.live.com/
อีกบ้านนึงของหนูเต่าเหงา
(บ้านเยอะซะจริ๊ง)

The Trouble with Being Myself

http://khunmois.spaces.live.com/
บ้านเก่าเดี๊ยนเอง

A piece of time

http://www.lonely-turtle.blogspot.com/
บล็อกน้อยของน้องเต่าเหงา

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

life as a bangkokian


ดิฉันมีลิ้นอเมริกันนะ
ไม่เชื่อก็ดูสิ

ปฏิบัติการ spy on ชีวิตชาวกรุง

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Introducing mi compañera de dormir

ในที่สุด ก็ได้มาแล้ว

Splint หรือเฝือกสบฟัน สำหรับบรรเทาและเยียวยาอาการนอนกัดฟันเพราะเผลอไผล ความเมามัน ความเครียด หรืออะไรก็ตาม

มันเป็นพลาสติก (เรซิ่น?) ใสๆ ที่หล่อขึ้นเพื่อล็อก-ครอบแถวฟันบนเอาไว้ เราจะสวมเฝือกก่อนนอน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันแถวล่างและบนมันบดเคี้ยวๆ เข้าหากันจนฟันสึกกร่อนๆ และอาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ในวันหน้า

นอกจากเพื่อป้องกันฟันสึกมากกว่าเดิมแล้ว เห็นหมอบอกว่าที่มันช่วยให้คนนอนกัดน้อยลงได้ก็เพราะ เมื่อมีวัตถุมากั้นกลางระหว่างฟันบนและล่าง การกัดก็จะน้อยลงเอง

(เข้าใจถูกหรือป่าวก็ไม่แน่ใจ ใครมีความรู้ทางทันตแพทย์ช่วยสงเคราะห์หน่อยละกัล)

ประหลาดดีเวลาตอนที่หมอเอาเฝือกมาครอบฟันให้ในครั้งแรก

มันอาจจะคล้ายๆ กับเวลาคนเราใส่ถุงน่องแบบซัพพอร์ตแบบเต็มตัวครั้งแรก กล่าวคือมันจะรู้สึกฟิตม้ากกกกก แน่นมาก ตายละ เลือดจะไหลไปเลี้ยงปลายเท้าชั้นได้ไหมเนี่ย??? อารายอย่างนั้น

แต่พอใส่ไปสักแป๊ปก็จะชินๆ แล้วรู้สึกว่า โอว์ สบายดีนะ กระชับขาดี 

ย้อนกลับไปที่ความรู้สึกกับเฝือก เมื่อหมอจัดการครอบใส่เฝือก โดยการกดให้มันลงล็อกกับรูปร่างฟันเราดัง “กรึ๊บ”

ปุ๊บนั้น คนไข้ก็ตัวกระตุกเฮือก เพราะความปอดแหก

คุณหมอค่อนข้างขวัญอ่อน ก็เฮือกตาม ก่อนจะละล่ำละลักบอกว่า ไม่เป็นไรนะคะๆๆๆๆ (กลัวคนไข้โวยวายสุดๆ)

หมอขา มันคับๆๆๆๆ อ่า (เสียงอู้จัดเพราะพูดผ่านเฝือก)

ว่าแล้วหมอก็แกะออกไปดัง “แกร่ก”

แล้วจัดการเจีย (หลักการเดียวกับการใช้กระดาษทรายตะไบเล็บให้เข้าทรงน่ะจ่ะ) ให้สัดส่วนตรงนั้นนี้มันใกล้เคียงฟิตพอดีกับฟันบนและการกัดของฟันล่าง แล้วก็จัดการสวมอีกครั้ง ตรวจจุดเสียดสีสัมผัสด้วยวัสดุคล้ายๆ กระดาษก๊อปปี้ แล้วก็เอาออกมาเจียแก้อีก ใส่อีก ออกมาเจียอีก

ทำซ้ำอย่างนี้เกือบสามสิบรอบ

(เว่อร์น่ะ จริงๆ แค่ประมาณ 12)

ในที่สุดก็ได้เฝือกเฟสแรกที่หมอดูแล้วว่าฟิตพอดี แล้วก็น่าจะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว จึงอธิบายวิธีดูแลเฝือกคู่กาย โดยการแปรง-ใช่เหมือนแปรงฟันเลย ต้องใช้ยาสีฟันด้วย เพื่อทำความสะอาด ทั้งก่อนและหลังใส่ จากนั้นก็แช่มันไว้ในน้ำ เพื่อไม่ให้มันเปราะแตก (เหมือนฟันปลอมเลยอ่า)

(ไม่ต้องรอให้หมอสั่งเลยว่าให้ดูแลดีๆ เพราะคนไข้ตั้งใจจะดูแลดีๆ ให้เท่ากับแปรงฟันดีๆ เชียว ก็คนไข้ไม่อยากพิมพ์ฟันบ่อยๆ เนื่องจากมันสยึ๋มกึ๋ยสุดๆ อีกอย่าง เครื่องมือ ชิ้นนี้-ตามคำเรียกของหมอ-มันแพงจะตาย แพงกว่ามือถืออันที่ดิฉันใช้อยู่อีกนะคะหมอขา)

พอจะนอน แปรงฟันเรียบร้อยก็แปรงเฝือก แล้วก็ใส่เฝือก คืนแรกหมอบอกจะรู้สึกน้ำลายเยอะหน่อยนะคะ อาจจะรู้สึกปวด ลองทนดู คืนที่สองน่าจะปวดน้อยลงนะคะ แต่ถ้าปวดมากก็ไม่ต้องใส่ เอาแช่น้ำไว้ คืนก่อนวันนัดมาหาหมอเอามาใส่อีกที จะได้รู้ว่าเฝือกทำให้ปวดตรงซี่ไหน หมอจะได้เจีย แก้ไขให้พอดี ใส่ไม่ปวด

จากนั้นหมอก็จะนัดมาดูรอยกัดที่ทิ้งไว้บนเฝือก ว่าอาการน้อยลงไหม (ไม่ควรจะมากขึ้นนะ) ถ้าเฝือกสึก หมอเติมให้กัดใหม่ได้อีกตะหาก


ด้วยเหตุนี้เอง ต่อจากนี้ ไม่ว่าจะมีเพื่อนนอนหรือไม่ ดิฉันก็จะมี Sleeping Companion เป็นเฝือกกัดฟันคู่ชีพอันนี้แหล่ะจ้ะ


ป.ล. ขอโทษถ้ารูปดูฮาร์ดคอร์ไปหน่อย ไม่ได้ปรับเข้าโหมดสีปกติ ลองสังเกตดูนะ ไอ้ใสๆ ที่ครอบฟันบนอยู่น่ะ ครอบแล้วนอนปากเจ่อๆ เหมือนแก้วหน้าม้าหลับเลย-จะบอก

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

รายงานล่าสุด..บางลำพูยังเหมือนเดิม

วันนี้มีความสุขจัง

สัปดาห์แห่งการทำงานใช้กรรมได้ผ่านพ้นไป ดิฉันจึงฉลองด้วยการนอนเที่ยงคืนตื่นเก้าโมงเช้า (ถ้าแดดไม่แจ๋ขนาดนี้ก็คงไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ)
จัดการทำธุระเท่าที่เคี่ยวเข็ญตัวเองเรียบร้อยแล้วก็จรลีออกจากบ้าน ขึ้นบีทีเอสไปสุดสาย แล้วต่อเรือด่วนเจ้าพระยาไปลงที่บางลำพู เพราะวันนี้มีภารกิจชอปปิ้ง
ที่ต้องถ่อมาถึงตั้งฮั่วเส็งบางลำพูก็เพราะว่าตั้งฮั่วเส็งธนบุรีมันไกลไป-อ่ะไม่ช่าย
เพราะว่าที่นี่เป็นศูนย์รวมของอุปกรณ์งานฝีมือ
ไม่ว่าจะเป็นไหมหลากสี เข็มถักครบขนาด ไปจนกระทั่งอุปกรณ์ติดต้งผ้าม่าน เขาก็มีขายครบ แน่นอนว่าในราคามิตรภาพกว่าห้างสรรพสินค้าเก๋ไก๋ชไรเดอร์ทั้งหลาย
ใช่แร้ว กำลังจะถักผ้าพันคอ ได้ไหมสีสวยมาซะด้วย แต่ไม่รู้ว่าแรงบันดาลใจจะค่อยๆ หายไปพร้อมความเย็น (ในกทม.ป่าวอ่ะนะ)

เนื่องด้วยไม่ได้เฉียดมาย่านนี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นถื่นเก่าเสียนาน ก่อนมาถึงยังหวั่นใจว่าพระอาทิตย์จะเป็นไง บางลำพูจะเปลี่ยนไปไหม ข้าวของที่เคยชินตาจะเปลี่ยนเป็นของแบบใหม่ๆ หรือเปล่า
ปรากฏว่าไม่เลย ตั้งฮั่วเส็งยังเหมือนเดิม ของเหมือนเดิม แน่นๆ เหมือนเดิม แม้แต่กลิ่นอวลๆ อาหารที่ขายอยู่แถวนั้นก็ยังเหมือนเดิม ขนมจีนตรงตรอกนั่นก็ยังขายเหมือนเดิม (อย่าไปหวังว่าราคาจะเหมือนเดิม) ดูราวกับว่าตั้งฮั่วเส็งจะเก่าเท่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อมาเหยียบเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ (ฮ่าๆ)

ไหมวูลสีสวยที่ขายราคาแค่กลุ่มละ 60 บาท (ซึ่งเหลืออยู่แค่ 5 กลุ่มเลยเหมามาหมดเลย) เหมือนไม้ขีดจุดคบเพลิงแห่งการชอปให้ลุกโชน เพราะหลังจากนั้นดิฉันก็ชอปกระจาย เดินไปต่อที่สหกรณ์กรุงเทพ  (ซึ่งก็ยังคงบรรยากาศเดิม คือเก่า อึดอัดเพราะวางของเต็มไปหมด แล้วก็ฉุยไปด้วยกลิ่นอาหารตลอดเวลา-บัดนี้เป็นเวลาของไก่ย่าง พร้อมกับคนขายวัยป้าที่คุยกะเราดี๊ดี ให้ความช่วยเหลือแล้วก็เอาใจใส่เราจริงๆ) ที่ที่เคยชอปชุดชั้นใน (ราคาประหยัด) มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เจอะคนขายถูกชะตาก็ซื้อมาได้บานตะไท ซื้อดะเรื่อยไปถึงขนมร้านน้ำพริกนิตยา กิ๊บหนีบผม รองเท้าผ้าใบ ไปจบที่นาฬิกา SEIKO (เซนเซบอกว่าคนญี่ปุ่นอ่านว่า เซอิโกะ)-พระเจ้าช่วย! ผีนักชอปตนใดมาเข้าสิงดิฉันเนี่ย

แต่มีความสุขมากค่ะ

ขากลับเดินมาลงเรือท่าเดิม ผ่านสวนสันติชัยปราการ ก็ยังเหมือนเดิม วันนี้มีกิจกรรมละครเวที ลูกเล็กเด็กแดง พ่อแม่มาดูกันน่าอบอุ่นจริง แม้แต่พระอาทิตย์ตกดินทางฝั่งศิริราชก็เหมือนว่าจะเหมือนเดิม อบอุ่นเหมือนเดิม
ดีใจที่ทุกอย่างยังเปลี่ยนไปน้อยมาก จนดูเหมือนว่ามันยังเหมือนเดิม

วันนี้คงเป็นวันที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่ได้รู้เรื่องน่าตกใจเรื่องนั้น



 

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ไม่-เข้า-จัย

อ่านไทยรัฐออนไลน์เช้านี้ เจอข่าวประหลาด

จะว่าขำก็ขำไม่ออก

รู้สึกแนวๆ อัศจอรอหันการันต์ยอ

โอเค ยอมรับ ว่าจินตนาการทางเพศของคนเรามันแสนจะลึกล้ำและกว้างไกล เซ็กซ์กับนางชี เซ็กซ์บนหลังม้า เซ็กซ์ใต้เตียงแม่พ่อ หรือเซ็กซ์ใน yellow submarine ยังเป็นไรที่พอเข้าใจ

แต่ไอ้การมีไรกับจักรยาน หรือทางเท้านี่ มันยังไงกัน

แสนจะข้องใจ ว่ามันยังไงกัน

 

 

ศาลสั่งคุมประพฤติหนุ่มวิตถาร ทำมิดีมิร้ายรถจักรยาน [15 พ.ย. 50 - 06:23]

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวานนี้ (14 พ.ย.) ว่า นายโรเบิร์ต สจ๊วร์ต วัย 51 ปี ถูกศาลตัดสินให้ควบคุมความประพฤติเป็นเวลา 3 ปี และถูกขึ้นทะเบียนเป็นผู้ล่วงละเมิดทางเพศ หลังจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมขณะกำลังพยายามมีเซ็กซ์กับรถจักรยาน

นายโรเบิร์ต สจ๊วร์ต ถูกพนักงานหญิงทำความสะอาด 2 คน ของโรงแรมเอเบอร์เลย์ เฮาส์ ในเมืองอายร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสกอตแลนด์ พบเห็นเขาในสภาพเปลือยท่อนล่างอยู่ภายในห้องพัก โดยใช้มือจับรถจักรยาน แล้วขยับสะโพกไปมา พนักงานทั้ง 2 คน รีบบอกผู้จัดการโรงแรม แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับกุมในเวลาต่อมา

               

อย่างไรก็ตาม นายโรเบิร์ต สจ๊วร์ต ไม่ใช่คนแรกที่ถูกจับฐานมีเซ็กซ์กับวัตถุ ก่อนหน้านี้เมื่อปี 1993 นายคาร์ล วอตกินส์ ช่างไฟฟ้า ในเมืองวอร์กส ทางตะวันตกของอังกฤษ ก็เคยต้องโทษจำคุก หลังจากถูกจับได้ว่า มีเพศสัมพันธ์กับทางเท้า

 

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ขอบคุณ เสียใจ และ ผมรักคุณ...

วันนี้ป่วย
เลยได้อยู่บ้าน ดูรายการสี่สาว ผู้หญิงถึงผู้หญิง
เป็นวันที่ทุกคนพูดจาดีมาก ไก่ไม่ได้พูดอะไรผิด ส่วนแมร์ก็พูดดีๆ ถึงสองครั้ง ตอนชวนคนบริจาคให้บ้านเด็กอ่อนเสือใหญ่ และตอนเตือนสติผู้หญิงที่ถูกผู้ชายทำร้าย แต่ก็ยังทนอยู่ด้วยเพราะความรัก

เดือนนี้มันเป็นเดือนอะไรสักอย่างที่สากลโลกเขาใช้รณรงค์ต่อต้านการทำร้ายผู้หญิง
ที่แมร์พูดมันตรงกับใจในบางส่วน แมร์ถาม "ถ้าเขารักคุณจริง จะทำอย่างนี้กับคุณหรือ"
ส่วนดิฉันคิดมาตลอดว่า เรานี้ จะดีจะร้ายก็มีพ่อแม่ที่รัก และเลี้ยงดูมาด้วยความทนุถนอม ไม่ใช่เพื่อจะให้เรามาเจอชีวิตแบบนั้น
ไม่ต้องว่าไปถึงความสะบักสะบอมเพราะโดนผู้ชายคนหนึ่งซ้อมหรอก แค่จะถูกผู้ชายคนหนึ่งโกหกก็ยังไม่สมควรเลย

ฉะนั้น สตรีทั้งหลาย จงฟังเอาไว้ คนทุกคนมีค่าเท่ากัน เกิดมาด้วยความรัก โตมาด้วยความทนุถนองของพ่อแม่เหมือนกัน ฉะนั้น อย่าปล่อยให้ใครมาทำกับเราเยี่ยงนั้น
แหล่งกำเนิดของความรักมันไม่ได้อยู่แค่ที่ผู้ชายใจทรามคนที่คุณรัก แต่ยังอยู่ที่พ่อแม่ เพื่อน ครู และคนอื่นๆ ที่รักคุณด้วย

ชีวิตนี้ที่พ่อแม่ให้มา ควรใช้อย่างมีความสุข และมีประโยชน์กับโลก มากกว่าจะเป็นแค่วัตถุทางเพศที่บางเวลาก็เปลี่ยนโหมดไปเป็นกระสอบทรายให้ผู้ชายคนหนึ่งแตะถีบ

จบ-

ป้าปุ้ยเล่าอีกข่าวนึง เป็นข่าวที่น่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม ว่าด้วย 'สมาคมคนรักเมีย'
เรื่องของเรื่องคือมีกระทาชายชาวญี่ปุ่นนายหนึ่ง อายุอานามราวห้าสิบกว่า สังเกตเห็นชีวิตการหย่าร้างในวัยเกษียณของคู่ผัวเมียญี่ปุ่น ซึ่งแกเชื่อว่ามาจากวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่น ที่พอแต่งงานแล้ว ผู้หญิงก็จะมาอยู่เป็นแม่บ้าน คอยดูแลงานบ้าน ดูแลผัว ดูแลลูกอย่างเดียว ข้างตัวผัวก็ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ขึ้นรถไฟไปทำงานในเมือง กลับบ้านมาก็ดึกดื่น เสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปพักผ่อนตีกอล์ฟตกปลา ว่ากันไป

อยู่กันไปนานๆ เข้า ถ้าเมียไม่มีชู้ ก็คงต้องถึงวันฟ้องหย่า เพราะทนไม่ได้กับปัญหาครอบครัว
นายคนนี้ก็เลยชวนคนมาร่วมสมาคมคนรักเมียที่แกตั้งขึ้น วัตถุประสงค์ของสมาคมคือความพยายามปรับปรุงพฤติกรรมสามี ให้เอาใจภรรเมียมากขึ้น ช่วยแบ่งเบางานบ้านบ้าง เห็นใจกันบ้าง ชีวิตสมรสจะได้ยั่งยืนนาน ไม่ต้องเป็นม่ายเมียทิ้งตอนแก่
เห็นว่ามีอยู่ทั้งหมดถึง 10 ขั้น ของบันใดในการเป็นคนรักเมีย


แกว่าของแกอยู่แค่ขั้นที่ 5 เอง
มันคือ "การเดินจูงมือภรรยาในที่สาธารณะอย่างเปิดเผย"

(ห่า-ผู้ชายชาวญี่ปุ่นไม่ภูมิใจในตัวเมีย หรือเมียชาวญี่ปุ่นทำตัวไม่น่าภูมิใจวะ?)
บทสรปุของบทความนี้ ที่ป้าปุ้ยแกอ่านมาจากเดลินิวส์ (ดิฉันพยายามหาแล้วแต่ไม่เจอ เลยขี้เกียจหา-ใครอยากอ่านต่อก๊อหาเอาเอง) บอกไว้ว่า มีคำอยู่ 3 คำ ที่ภรรยาชาวญี่ปุ่นอยากจะฟัง นั่นคือ

"ขอบคุณ"-ใครๆ ก็อยากฟัง
"เสียใจ"-ทำไมไม่ใช่ "ขอโทษ"
และ
"ผมรักคุณ"-เอิ่ม คงไม่ใช่แค่ภรรยาชาวญี่ปุ่นหรอก แม้กระทั่งภรรยาชาวไทยและเอสกีโมก็คงปลื้มที่ได้ฟัง

ถ้าคนอ่านจะสงสัยว่าทำไมหนอ กะอีแค่คำง่ายๆ 3 คำ ที่ผู้ชายเจ้าชู้ชาวไทยท่องได้เป็นไฟ ถึงได้เป็นยาดำของชายชาวอาทิตย์อุทัยเสียขนาดนี้
คำตอบอาจจะอยู่ในนานะฉบับการ์ตูนเล่มที่ 1 ตอนที่นานะถามโชจิว่ารักหรือเปล่า
อีตาโชจิเคร่งเครียดมาก เพราะชายญี่ปุ่นเค้าไม่พูดคำรักกัน

เออ ทำไมหรอ ทำไม
ไม่เข้าใจ
ทำไมไม่พูด



ป.ล. สองหนุ่มสาวในรูปนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนเท่าไหร่
เอ จะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่ได้ เพราะพี่อ้นใหญ่นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการพูดคำสามคำต่อเมียของเขาในจังหวะที่เหมาะสม...
จริงไหมจ๊ะเอ๋น้อย (รูปนี้สวยดี ขอจิ๊กมาสร้างบรรยากาศสักน่อยเน่อ)

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เปิดฤดูหนาวที่เขาใหญ่


ขึ้นตรงนี้
แต่ลงตรงไหนไม่รู้
ตามเก็บเค้าด้วยนะตัวเอง

ของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากปากช่อง-เขาใหญ่ 9-10 พฤศจิกายน 07 จ้า

รู้อะไรจากดาว?

ใช่แล้ว เพิ่งกลับจากเขาใหญ่

ไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปกับ True Sphere งานนี้เขาเชิญแขกไปเที่ยวเขาใหญ่ ชมดาวและขึ้นบอลลูนในเทศกาลบอลลูนนานาชาติประจำปี

โชคดีจังเนอะ อยู่ดีๆ ก็ได้ไปนอน KIRIMAYA รีสอร์ตที่ใครๆ ก็ว่าหรู ใครรู้ก็อิจฉา (แต่อย่าอิจฉากันเลยนะ ก็ไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว)

ถึงปากช่องก็รู้เลยว่าอากาศเย็นกว่าเมืองกรุง ซึ่งตอนนี้ก็เย็นลงเยอะแล้ว พอถึงคีรามายาเมื่อเวลาเที่ยงครึ่ง โอ้โห ลมเย็นพัดโชย พนักงานโรงแรมบางคนยังสวมเสื้อกันหนาวยูนิฟอร์มอยู่เลย สี่โมงก็เริ่มหนาวแล้ว พอสองทุ่มอุณหภูมิเหลือ 15 องศา-กรี๊ดดดดดด ใส่รองเท้าบู๊ตยังหนาวหน้าเท้าเลยอ่ะ

ตัวรีสอร์ตนั้นสมควรจะขายราคาประมาณนี้อยู่แหละนะ ก็ที่เขาสวยมาก (รีสอร์ต+สนามกอล์ฟ 18 หลุมอยู่เชิงป่าเขาใหญ่) งานภูมิสถาปปัตย์สวย ทั้งไม้น้ำและไม้ใหญ่ ออกแบบตึกเอย ห้องเอย ล้วนสวยไปทั้งสิ้น

สิ่งที่อยากจะชมเป็นพิเศษคืองานรับเหมา เพราะเท่าที่ตรวจดูรายละเอียดงานเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีหลุดเลย ช่างทำงานเรียบร้อยดีมาก แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ก็เรียบร้อย แม่บ้านก็ทำความสะอาดดี อายุรีสอร์ต 2-3 ปี แต่ใหม่+สะอาด เหมือนเพิ่งเปิดเมื่อต้นปี

เสียดายไม่มีโอกาสชมวิลล่าที่ทำเป็นเต็นท์สีขาวหลังใหญ่ ไฮไลท์ของเขา
ไม่เป็นไร อาจได้กลับมาใหม่ในโอกาสหน้า

ตามกำหนดการแล้ว True มีกิจกรรม Art Therapy, ดูดาว แล้วก็ขึ้นบอลลูนชมป่าเขาใหญ่ ซึ่งก็ได้แจมแต่ละกิจกรรมไปอย่างกระพร่องกระแพร่ง จากกิจกรรมศิลปะทำให้ได้เสื้อยืดลายประหลาดที่เราวาดเองกลับมาตัวนึง ส่วนการขึ้นบอลลูนนั้น ทั้งที่วาดหวังไว้ว่าจะมาถ่ายรูปมุมจากบอลลูนตอนอยู่เหนือน่านฟ้ากลับไป แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ขึ้น เพราะ หนึ่ง ชาวคณะเรามาถึง(กองพันทหารสุนัข-ที่ไม่เจอะสุนัขทหารซั๊กตัว-เจอะแต่คนๆๆๆ)สาย บอลลูนขึ้นไปเกือบหมดแล้ว (ขนาดตื่นกันตีห้านะเนี่ย) สอง เห็นใจพีอาร์ทรูเขา เพราะการขึ้นบอลลูนนั้นไซร้ มันเป็นการผจญภัยที่ไม่รู้อนาคต ถ้าเกิดลมพัดไปลงในป่าเขาใหญ่ จะลำบากคนตามเก็บแค่ไหน ด้วยเหตุนี้ ก็เลยยืนดูแต่ข้างล่าง วิ่งๆๆๆ เก็บภาพอีตอนเค้าเป่าลมเข้าไปในบอลลูนซะก่อน แล้วก็จุดแก๊สฟู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ร้อนดีมาก) เพื่อให้มันเริ่มพอง พอง พอง พร้อมจะลอยขึ้น

ยังดีที่พอมีรูปตอนมันลอยขึ้นไปนิดหน่อยมาให้ดู

กิจกรรมที่สะดุดใจคือการดูดาว อาจารย์ชัยพงษ์ รังสุวรรณ จากภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.ขอนแก่น มาบรรยาย (สนุกนะคะอาจารย์) วิธีการดูดาวเบื้องต้น ประกอบวิธีใช้เข็มทิศ แผนที่ดาว และไฟฉาย มีอยู่ตอนนึง อาจารย์เล่าเกร็ดว่า แสงดาวบางดวงที่เราเห็นน่ะ มันต้องเดินทางมากี่แสนแสงปีไม่รุ ดาวดวงนั้นในเวลาเดียวกันนี้จะเป็นอย่างไร ยังสว่างอยู่หรือว่ามืดดับไปแล้ว ต้องรอดูใหม่ในอีกหลายๆ ปีแสงข้างหน้า
ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังมองกันอยู่ก๊อคือภาพประวัติศาสตร์เมื่อหลายแสนปีแสงของดาวดวงนั้น
อาจารย์ยังให้ดูรูปอันใหญ่โตของจักรภาพ ระบบสุริยะ และขนาดของดาวต่างๆ ในระบบสุริยะที่เอามาเปรียบเทียบกันด้วย

....
ดูแล้วก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจนะ ว่า
มนุษย์เรานี้ช่าง 'เล็ก' จัง อายุก็แสนสั้น
ตลอดชั่วอายุของเราจะใช้เรียนวิธีการคำนวณวงโคจรของดาวหาง xxx ติดตามศึกษาพฤติกรรมของดาวดวงนึง ทางช้างเผือก หรือดักฟังคลื่นวิทยุที่ส่งมาจากดาวอะไรสักดวงได้สักกี่มากน้อย?
ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะเรียนเรื่องดวงดาว จักรวาล และอวกาศไปทำไมกันนะ?

ก็แอบเก็บคำถามนี้ไว้ กะว่าถ้าเจออาจารย์แบบเป็นส่วนตัวตอนดูดาว จะถามดูสักที แต่ก็ยังหวั่นๆ เกรงว่าจะเป็นคำถามที่ดูหยาบคาย ไม่เหมาะสมจะหลุดจากปากสตรีหน้าหวานที่อาจารย์เพิ่งได้รู้จักเป็นครั้งแรก
ก็เลยแอบไปถามเอากับน้องนักศึกษาที่มาช่วยอาจารย์

น้องเค้าบอกเป็นแนวๆ ว่า เราเรียนเรื่องดง
ดาวเพื่อจะได้ศึกษาหาเพื่อน (หมายถึง alien น่ะค่ะ) ทว่า น้องเขาก็ยังมีข้อสังเกตว่า "ซึ่งถ้าเพื่อนของเรามีความเจริญทางเทคโนโลยีเท่ากับเรา เราก็คงไม่ได้เจอกัน" ดิฉันขอขยายความต่อว่า น้องเขาหมายถึงว่า ต้องให้เค้าเจริญกว่ามากๆๆๆๆๆๆ หลายๆ ขุมโน่นแหละ ถึงจะได้ปรากฏตัวให้เราเห็นได้ หรือสามารถเดินทางมาหาเราได้เร็วกว่าการเดินทางของแสง


ว่าแล้วดิฉันก็ถามต่อ แล้วน้องเชื่อไหมคะ ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง
คุณน้องให้คำตอบได้เป็นผู้ใหญ้-ผู้ใหญ่ค่ะ (คือไม่ฟันธง) แกตอบว่า "จากข้อมูลก็เป็นได้ครับพี่"

(โธ่ น้องคะ พี่ถามว่า 'น้องเชื่อไหมว่ามีจริง' ไม่ได้ถามว่า 'มันมีจริงไหม' ซะหน่อย)






ป.ล. แม้เขาใหญ่จะอากาศดี แต่ท้องฟ้าแจ่มไม่ได้ถึงครึ่งของฟ้านอกเมืองสุราษฎร์ธานี ที่ได้เห็นบ่อยๆ นอกจากนี้ คงไม่มีท้องฟ้าไหนจะมีดาวมากมายกว่าฟ้าเหนือป่าแก่งกรุงที่เคยเห็นตอนไปค่ายกับพี่อนุรักษ์เมื่อตอนปี 1 ซึ่งยังเป็นภาพที่จับอยู่ในใจจนทุกวันนี้
คืนนั้นดาวดวงใหญ่ ส่งแสงอย่างกับแข่งกัน แสงดาวพร่างพราวตาจนทำให้นอนไม่หลับ ต้องออกมานั่งนับดาวผิงไฟแก้หนาวกันจนค่อนคืน

นอกจากนี้ อากาศหนาวเย็นและน้ำค้างที่ตกลงมาอย่างโหดไม่เอื้อให้ประชาชีมีฟีลลิ่งอยากจะค้นหาดวงดาวกันสักเท่าไหร่ เหมือนจะเห็นช้าดดดดดเจนอยู่กลุ่มเดียวคือ cassiopea ซึ่งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางฟ้าในเวลานั้นพอดี
เอาไว้ไปแก้ตัวใหม่กับดาวเหนือฟ้าป่าทีลอซูต้นเดือนหน้าละกาน