วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550

1,219 โค้ง ก่อนรู้ตัวว่าอะไร (เกือบ) หายไปจากชีวิต

เกือบจำไม่ได้ว่าความสุขจากการนอนอุ่นๆ ในเต็นท์กลางป่า ยามที่อากาศเรียกได้ว่า หนาว เป็นยังไง

ก็มันเป็นเวลาเกือบจะ 7-8 ปีมาแล้ว หลังจากคืนอุ่นคืนนั้นในเต็นท์ กลางป่าใกล้น้ำตกเจ๊าะกระดิ่ง (น่าจะอยู่ในห้วยขาแข้ง เข้าทางเมืองกาญจน์ฯ) คืนที่นอนสบายจนทำให้เรา (ที่ไม่ได้แปลว่า "ฉัน") เริ่มวันใหม่ด้วยบทสนทนาถึงความฝันสวยงามที่เป็นไปไม่ได้

นานจนความทรงจำเปลี่ยนสภาพเป็นปฏิทินตากแดด คือซีดจนเกือบกลายเป็นความฝันเก่า

นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายเกี่ยวกับเต็นท์และถุงนอนอันอบอุ่น (ถ้าจะมีการนอนเต็นท์เกิดขึ้นหลังจากนั้น ก็แปลว่ามันไม่จับใจ จึงจำไม่ได้)

8-9-10 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่ดิฉันดั้นด้นไปถึงอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก โดยมีไฮไลท์ของทริปเป็นการกางเต็นท์นอนใกล้น้ำตก ทีลอซู อันยิ่งใหญ่ เป็นจุดหมายปลายทางอันห่างไกลความจริงมาตั้งแต่สมัยยังทำตัวเปรี้ยว เอะอะก็แบกเป้+เต็นท์+ถุงนอน พากันโบกรถขึ้นเขาใหญ่

สมัยนั้นทีลอซูเหมือนอยู่ดาวดวงอื่น นั่งรถแล้วต้องต่อด้วยการเดินป่า ลงแพ ขี่ช้างกันสารพัด กว่าจะได้ไปยืนใต้น้ำตก อีตรงที่ช่างภาพ อสท. เค้าถ่ายรูปมาลงหนังสือ

เป็นอะไรที่ไกลเกินฝัน ว่างั้น

เวลาผ่านไปสิบกว่าปี อยู่ดีๆ อิ๋วก็มาชวนไปเที่ยวทีลอซูด้วยน้ำเสียงเหมือนชวนไปทำอะไรชิลๆ อย่างข้ามเรือไปเที่ยวเกาะเกร็ด ก็เลยตกลงเลย หนีบพี่ผึ้งซึ่งตื่นเต้นกับราคาค่าทัวร์สุดๆ (แค่ 3,400 บาท ) ไปอีกคน

การเดินทางเกือบเรียกได้ว่าสบายที่สุดเท่าที่เคยมีประสบการณ์เที่ยวทัวร์รถตู้ เพราะรถที่เรานั่งน่ะเป็นโตโยต้า Commuter คันใหญ่ (แต่มันติดโลโก้ Lexus) เบาะใหญ่มาก เอนได้เยอะมาก (เฉพาะแถวแรกนะ) คนขับก็ไม่พูดมาก (ความรู้สึกเมื่อแรกเจอ) ไม่มีเครื่องเสียงคาราโอเกะ ไม่มีแม้กระทั่งทีวี ตอนแรกคิดว่าดีเหมือนกัน ไม่ต้องรำคาญกับวีดีโอตลก หรือหนังบู๊ระห่ำที่ปลอมแผ่นพากย์ไทยมา

ดีจัง พรุ่งนี้ชั้นคงไม่โทรมเพราะอดนอน คิดในใจว่างั้น

ทว่า

ความคิดเริ่มเปลี่ยนไปหลังออกจากแม่สอดตอนประมาณตีสี่

อีตอนพักรถที่แม่สอด ได้ยินคนขับพูดถึง ยาแก้เมา กอปรกับได้ยินแว่วๆ มาว่า จากแม่สอดถึงอุ้มผางแค่ร้อยหกสิบกว่ากิโลฯ แต่ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เลยวิ่งไปถามเพื่อความแน่ใจว่า เส้นทางจากตากมาแม่สอดที่ว่าเซียนๆ เนี่ยเทียบกับแม่สอดไปอุ้มผางแล้วเป็นไงหรอ

คำตอบคือ คนละเรื่อง

และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะกินยาแก้เมาเข้าไปก่อน ทำให้ง่วงงุนจนลืมโลก แต่ก็ไม่อาจลืมความรู้สึกหัวฟัดหัวเหวี่ยง ภาพการแซงซ้อนสอง ซ้อนสามในโค้งขณะขึ้นดอยด้วยความเร็วที่ทำให้กลืนน้ำลายไม่ทัน

และเหตุการณ์ส้มหล่นกระจาย รองเท้าผ้าใบกระจุยไปท้ายรถ และขวดเครื่องดื่มเพื่อความรื่นรมย์ที่ขนซื้อกันมากลิ้งเที่ยวไปทั่วท้องรถ (ดีนะที่มันไม่แตก)...

เป็นความทรงจำกึ่งฝันกึ่งจริงที่เรียลิสติกมาก

(มารู้ในวันรุ่งขึ้นว่าจากแม่สอดไปถึงอุ้มผาง นับได้ตั้ง 1,219 โค้ง

ไม่ใช่โค้งอ้วนๆ เหมือนตอนยูเทิร์นในมอเตอร์เวย์ แต่มันคือโค้งแบบ 360 องศา รูปตัวเอสติดกัน 3-4 ตัว ในความลาดเอียงระดับ 15 องศา!!!-รู้แล้วอยากขอโทษคนขับที่พวกเราช่วยกันด่าวิธีการขับของพี่แกซะเละ ที่จริงต้องขอบคุณมากกว่าที่พี่แกเรามาซดข้าวต้มแกล้มกุนเชียงทอดได้อย่างปลอดภัย)

มาเริ่มสลึมสลือกันตอนใกล้ถึงแล้ว ภาพที่เห็นคือ อุ้มผางห่มหมอก

7 โมงเช้าได้แล้วในตอนนั้น แต่หมอกยังฟุ้งอยู่ทั่ว อากาศก็หนาวเชียว ข้างบนอุ่นพอได้จากแจ็กเก็ต ผ้าพันคอ และหมวก แต่ข้างล่างนี่สิ กางเกงยีนส์แทบไม่ช่วยอะไร ขนหน้าแข้งตั้งชันทีเดียว

โปรแกรมทัวร์ไม่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวทำตัวอ้อยสร้อย เสร็จข้าวเช้า ล้างหน้าแปรงฟันแล้วพวกเราก็ไปลงเรือยาง ล่องแม่น้ำ (ไม่น่าเชื่อว่าคือ) ต้นน้ำแม่กลอง

ธรรมชาติสวยมาก ต้นไม้สวย ป่ามีกลิ่นหอม ตอนเงียบๆ จะได้ยินเสียงไก่ (แต่ไม่ใช่ไก่ป่า-น้องวินบอก) และนกที่ไม่รู้ชื่อ และถึงจะหนาวแต่ก็อากาศดี ระดับน้ำก็พอดี รู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเที่ยวในช่วงนี้ (ถึงจะพบว่าคนกรุงเต้บเหมือนเราแห่ขึ้นมาพร้อมกันหลายร้อยก็ตาม) เพราะอากาศไม่หนาวเกินไป (อุณหภูมิที่คนอุ้มผางใช้คำว่าหนาวคือ 5-9 องศาซี แต่วันที่เราไปน่ะ 14-15 องศาซี เค้าไม่เรียกหนาว) น้ำก็ยังมี ไม่มากจนน่ากลัวเหมือนตอนหน้าฝน แต่ก็ไม่ได้แล้งจนท้องเรือยางขอดกับก้นคลอง แดดก็สวยเชียว แดดองศานี้ทำให้เราเห็นรุ้งที่น้ำตกสายรุ้งด้วย

(ที่ไม่น่าเชื่ออีกอย่างคือ น้องๆ อีก 7 คน ที่เพิ่งรู้จักกันก่อนรถออก ทุกคนน่ารักมาก ไม่มีใครกวนตีน ปากเสีย สูบบุหรี่ หรือทำตัวอ้อนแอ้นน่าถีบเลย ทุกคนขำขัน แอคทีฟ แล้วก็มองโลกในแง่ดีหมด-เราฟลุคจริงๆ นะพี่ผึ้ง)

พอขึ้นจากเรือ คนทำทัวร์ก็มารับเรานั่งรถฝ่าฝุ่นแดงๆ ของถนนหน้าแล้งไปที่ที่ทำการฯ น้ำตกทีลอซู ที่ที่เราจะกางเต็นท์พักแรมกัน ได้รับการบอกกล่าวว่ารถจะวิ่งราว 40 นาที จึงจะพาเราไปถึง แต่ถ้าเป็นหน้าฝน ต้องเป็นรถโฟร์วีลกับคนขับฝีมือ (+ตีน?) เยี่ยมเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต้องเดินป่าเข้าไปเป็นวัน จึงจะถึง

ตอนที่พี่เค้าเอา mask มาแจกคนละอันๆ ก็ขำนะ ฝุ่นมันจะขนาดไหนกันเชียว ยังถ่ายรูปกันอย่างเฮฮา เพราะไม่เคยต้องใส่หน้ากากกันฝุ่นนั่งรถมาก่อน... พอรถออกได้ 3 นาทีก็เริ่มแจ้งแก่ใจ ก้นในกางเกงยีนส์ (ไม่ได้เตรียมตัวมาลงเรือยางเล้ย) ที่ยังเปียกน้ำในเรือยางมาเจอะกับม่านฝุ่นแดงจากรถขนลูกทัวร์ที่วิ่งเข้า-ออกสวนกันเป็นสิบๆ คัน กับอาการอดนอนจากการเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์เมื่อคืน ทำให้หลายคนค้นพบวิธีหลับในขณะที่มือยังโหนรถอยู่

แค่นั้นไม่พอ เรายังสามารถอาบน้ำในห้องน้ำที่มีฝากั้นทำด้วยไม้ไผ่สับฟาก (เรียกถูกเปล่าหว่า) ชนิดที่ ถ้าใครอยากเห็นก็แค่มอง เพราะทนไม่ได้แล้วกับเนื้อหนัง ผม และเสื้อผ้าเปียกชื้นเคลือบฝุ่นแดง อีกอย่าง ตอนบ่ายโมงครึ่งยังเย็นขนาดนี้ ถ้ารออาบตอนเย็นกว่านี้อาจตายได้-เป็นการอาบน้ำที่ไม่สะอาดหรอก แต่ก็ตื่นเต้น และชื่นใจมากๆ

คืนในป่านั้น ที่จริงเป็นคืนเดือนมืด เห็นดาวแข่งกันทอแสง สวยกว่าคืนเมื่อเดือนก่อนที่เขาใหญ่มากเลย แต่ว่า ดิฉันดันลืมเอาแว่นสายตา (สั้นนะ-ไม่ใช่ยาว) ไปด้วย เลยเห็นเป็นแค่แสงวิบๆ อีกอย่าง บรรยากาศมันไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยเท่าไหร่ คืนนั้นมีเต็นท์กางหลายสิบหลัง บางคนก็มีน้ำใจ แบกเครื่องเสียงพร้อมเอื้อเฟื้อเสียงเพลงแนวที่พี่แกโปรดให้กับคนทุกคนที่อยู่ในเต็นท์ทุกหลังในลานแห่งนั้น แถมยังเล่นไพ่ไม่เป็น แม้แต่เกมสลาฟ ก็เลยมุดเต็นท์ สอดตัวเข้าถุงนอน ให้ไอพอดส่งเสียงขับกล่อมจนหลับไป

ได้สัมผัสกับทีลอซูอันยิ่งใหญ่ในเช้ารุ่งขึ้น ทีลอซู มาจาก 'ทีลอซุ' ซึ่งหมายถึงน้ำตกในภาษากระเหรี่ยง ผู้ค้นพบ เกิดจากการรวมกันของห้วยมองดำกับห้วยกล้อทอ ไหลมาตกที่ช่องเขาขาดตรงนี้ แล้วก็ไปรวมกับลำน้ำแม่กลองเส้นที่ไหลผ่านจากจุดที่เราล่องเรือยางเมื่อวาน ไหลลงไปเรื่อยๆ กลายเป็นแม่น้ำแม่กลองเดียวกับที่ไหลออกทะเลไปแถวๆ สมุทรสงครามนั่นแหละ

พยายามจะนึกว่า ตอนหน้าฝน ตอนฝนตกโครมๆ ต้องปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้านั่น ทีลอซูจะมีหน้าตาเป็นไง จะใหญ่โตกว่านี้แค่ไหนกัน แล้วก็วาดภาพขึ้นเองจากเค้าโครงของน้ำตกเหวนรกที่เคยเห็นภาพในหน้าฝน (ไม่ใช่ตอนที่มีศพช้างแม่ลูกลอยขึ้นอืดนะ) คือมีละอองน้ำเล็กๆ ฟุ้งกระจายจนทุกอย่างชุ่มฉ่ำไปหมด

อืมม์ ป่าแถบนี้อาจจะเปียกกว่าแถบนั้นก็ได้นะ

ป่าริมน้ำตกทีลอซูเต็มไปด้วยต้นยางแดงต้นใหญ่มาก ล้วนแล้วแต่มีร่องรอยไหม้ไฟ จากเทคนิคเรียกน้ำยางของชาวกระเหรี่ยง ประมาณว่าเค้าจะแกล้งต้นไม้ด้วยการเอาไฟรุม ทีนี้ต้นยางจะตกยางออกมา เค้าก็จะเก็บเอายางนี่ไปใช้ประโยชน์ เช่น เอาไปเป็นเชื้อก่อไฟ อะไรงั้น แต่พอออกจากน้ำตก มุ่งหน้าจะไปสวนส้ม (คราวนี้ดอดมานั่งในแคบ) พบว่าข้างทางล้วนแล้วแต่เป็นต้นสัก สลับกับไผ่ พอถนนออกจากป่า ก็เริ่มพบบ้านชาวบ้านที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ชนิดที่มีเสาเป็นสักทั้งต้น แต่อลังการยังไงก็ไม่เท่าที่เคยเห็นเมื่อตอนไปเข้าค่ายเขื่อน (ใช่แก่งเสื้อเต้นป่ะคะ ป้าอ้อย?) กับชุมนุมอนุรักษ์ฯ ที่แพร่

น้องที่นั่งอยู่ในแคบด้วยกันเปรยว่า คนแถวนี้รวยจัง ปลูกบ้านด้วยไม้สัก แต่พี่คนขับแก้ให้ว่า 'คนอยู่บ้านไม้ไม่รวยหรอก'

(..........คนฟังเงียบไป............)


บ่ายวันนั้นเราไปสวนส้ม ไปบ่อปลาที่สำนักสงฆ์ถ้ำน้ำดั้น ที่ว่ากันว่า น้ำและปลาในบ่อดัน (ดั้น) ผ่านถ้ำใต้มาจากอีกฝั่งหนึ่งที่พม่าโน่น จากนั้นก็ไปวัดหนองหลวง ที่มีโบสถ์ไม้สักแห่งเดียวในประเทศ เป็นโบสถ์ที่จัดได้ว่าขนาดเล็กมาก แต่สวยแปลกดี ดูสมถะ เรียบง่าย ไม่เว่อร์จนหาความงามไม่เจอเหมือนวัดอีกหลายๆ วัด เย็นวันนั้นเราก็สนุกสนานหรรษากันแบบคนเมืองไปเที่ยวต่างจังหวัด คือร้องคาราโอเกะ อาบน้ำอุ่น นอนฟูก (เอื้ออำนวยต่อการสวมเฝือกกัดฟันนอน) คืนนี้แทบไม่หนาวเลย

วันรุ่งขึ้นเป็นวันเดินทางกลับแล้ว ออกจากรีสอร์ทเวลาแปดโมงครึ่ง เป็นเวลาที่ท้องอิ่ม ตาสว่าง ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของทุกคนจึงพร้อมรับปรากฏการณ์เหวี่ยงหนีศูนย์กลางของโค้งทั้ง 1,219 ซึ่งพี่ผึ้งทำแมน เสนอแลกที่กับน้องๆ ที่นั่งแถวหลังมาในขามา ทำให้เราได้กับความรู้สึกใหม่ คือ ตาลาย หัวหมุน หน้าซีด มือเย็น ท้องไส้ปั่นป่วน ที่ไม่มีอะไรช่วยได้ แม้แต่ยาดมหรือบ๊วย

พี่ตี๋คนขับ -ซึ่งยืนกรานว่าเวลาขับรถขึ้นลงเขา จะมาชะลอๆ ค่อยๆ ประณีตเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้ เพราะมันจะทำให้รถเครื่องดีๆ ช่วงล่างทำมาแบบสุดยอดของแกพัง- ก็ยังคงมั่นต่ออุดมการณ์ของแกต่อไป ยังดีที่แกเมตตาปราณี หยุดให้ตอนวิ่งไปได้ชั่วโมงนึง ณ จุดที่รถคันไหนๆ ก็จอดให้คนเข้าห้องน้ำ

เชื่อไหมว่า พอประตูรถตู้แต่ละคันสไลด์ออก แทบจะมีอย่างน้อย 1 คนจากทุกคัน วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อมาอ้วก โดยที่บางคนก็ทนได้จนถึงกอหญ้า บางคนก็ทนไม่ไหว

คงต้องขอบคุณสวรรค์ ที่ดิฉันรอดมาได้โดยไม่อ้วก


ทริปนี้ แม้จะไร้วี่แววของคุณ ace of cups แต่ก็ขอบคุณอุ้มผางจริงๆ ที่ยังสวย สงบ และอากาศดี จนทำให้ชีวิตสาวโสดอันแห้งแล้งเริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง จนถึงกับฝันอยากใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ เงียบๆ อย่างที่นั่นเสียเลย


ขอบคุณอิ๋วที่ชวนไปเที่ยว ขอบคุณพี่ผึ้งที่ให้ยืมเสื้อตัวอุ่น ขอบคุณพี่ตี๋ที่พาไปและกลับอย่างสวัสดิภาพ (เสียดายจังที่ไม่ได้ถ่ายรูปพี่ รูปรถ และขอเบอร์มา) ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคน ที่น่ารักมาก ขำมาก กินกันสนุกมาก (คราวหน้าไปทะเลกันใช่ไหม เอาสแครเบิลไปเล่นด้วยนะ-พี่ชอบ เล่นไพ่ไม่เป็นจริงๆ)

รวมทั้งคุณด้วยนะ คนที่อยู่ในความทรงจำ

14 ความคิดเห็น:

  1. เล่าได้ละเอียดละออถึงขนาด จนรู้สึกได้ถึงอาการขยักขะย้อนอีตอนเผชิญกับโค้งพันกว่าที่ว่า
    ิอิจฉานะเนี่ย เป็นผีเรือนไม่ได้ไปไหนต่อไหนมาแรมปีละ
    แล้วไหนรูปล่ะ?? ขอดูแบบเต็มๆ หน่อยซิ จะได้อรรถรสในการอ่านเพิ่มเติม

    ตอบลบ
  2. นี่แหละน้า ชีวิตที่น่าอิจฉาของคนโสด

    ตอบลบ
  3. รู้สึกเมารถไปด้วยเลยอ่า 1200 กว่าโค้ง (ผมเมาตั้งแต่โค้งที่ 3)

    ตอบลบ
  4. ace of cups = คนหนุ่มค่อนข้างขาว ใจดี อบอุ่น รึป่าวครับ
    (เนื้อคู่จากยิปซีเหรอฮะ)

    ตอบลบ
  5. รู้แระ ว่าไปไหนมา .. ^ ^

    ตอบลบ
  6. น้องโอ๊ตเก่งจัง ดูไพ่เป็นด้วยหรอคะ
    สเปค หนุ่มค่อนข้างขาว ใจดี อบอุ่น น่ะ ตอนนี้ใช่
    อีกสองเดือนอาจจะเหลือแค่ หนุ่ม อบอุ่น
    อีกสี่เดือนอาจจะเหลือแค่ หนุ่ม

    ฮิฮิ

    ตอบลบ
  7. ทีลอซู
    อยากไปสักครั้ง
    อยากเห็นดาวเต็มท้องฟ้าอีกสักหน
    และต้องเตือนตัวเองว่า
    "ห้ามลืมแว่น"
    อิๆๆๆๆ

    ตอบลบ
  8. นั่นสินะ นั่นสินะ
    ฮือ ฮือ

    อยากไปอีก อยากไปอีก

    ตอบลบ
  9. จะไปอีกเมื่อไหร่พี่
    ถ้าลูกหมูโตพอ ขอไปด้วยคน

    เอ...ถ้าเทียบความห่างของระยะเวลาระหว่างน้ำตกเจ้าะกระดิ่งกับทีลอซู
    คิดว่าลูกหมูพอมีหวังนะ

    ตอบลบ
  10. ้เหมือนต้องมนต์อุ้มผาง
    กลับมาแล้วทำให้ชั้นฝันจะไปเที่ยวอีกหลายที่เลยแก
    ปาย (อยากกลับไปอีกครั้งตอนยังหนาว) ดอยหลวงเชียงดาว (ได้แต่คิดมาหลายปีแระ) ดอยอ่างขาง (ยังไม่เคยไปจริงๆ) ฝาง (อยากเห็นบ่อน้ำมัน) ลันตา (อยากเห็นว่าสิบกว่าปีให้หลัง ลันตาจะเปลี่ยนไปไง) ตะรุเตา (อยากเห็นๆๆๆๆ) เสม็ด (อยากรู้ว่าถ้าไปอีกทีจะมีใครให้เสร็จไหม) สมุย (อยากเที่ยวสมุยโดยไม่มีความช่วยเหลือจากเพื่อน) พะงัน (อยากตามรอยไข่ย้อย) น่าน (ฝันอยากไปน่านมานานแล้ว-รู้สึกพระธาตุประจำปีเกิดจะอยู่ที่นั่นด้วย)
    ฯลฯ
    ยิ่งเมื่อเช้าวานนะแก ตอนไปทำงาน (สาย) ฟังมาโนชเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งกลับจากหมู่บ้านทิไล่ป้า อำเภอสังขละบุรี เสร็จแล้วเปิดเพลง What a Wonderful World นะ
    ชั้นน่ำตาซึมเลยอ่ะแก

    ป.ล. ดูเหมือนว่าในหลายที่ที่ชั้นอยากไปเด็กๆ ไปได้นินา
    ไว้แกก็ลองชวนโนมันไปกันดูสิ

    ตอบลบ
  11. ไปกระบี่กันไหม รำลึกความหลัง
    ตั้งแต่กลับมาแล้วไม่เคยได้ไปอีกเลย

    ตอบลบ
  12. ปิดจมูกกันทำไมอะ

    ตอบลบ
  13. ทางรถหน้าแล้งฝุ่นเยอะยากจะบรรยายจ้ะ

    ตอบลบ