เกือบจำไม่ได้ว่าความสุขจากการนอนอุ่นๆ ในเต็นท์กลางป่า ยามที่อากาศเรียกได้ว่า “หนาว” เป็นยังไง
ก็มันเป็นเวลาเกือบจะ 7-8 ปีมาแล้ว หลังจากคืนอุ่นคืนนั้นในเต็นท์ กลางป่าใกล้น้ำตกเจ๊าะกระดิ่ง (น่าจะอยู่ในห้วยขาแข้ง เข้าทางเมืองกาญจน์ฯ) คืนที่นอนสบายจนทำให้เรา (ที่ไม่ได้แปลว่า "ฉัน") เริ่มวันใหม่ด้วยบทสนทนาถึงความฝันสวยงามที่เป็นไปไม่ได้
นานจนความทรงจำเปลี่ยนสภาพเป็นปฏิทินตากแดด คือซีดจนเกือบกลายเป็นความฝันเก่า
นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายเกี่ยวกับเต็นท์และถุงนอนอันอบอุ่น (ถ้าจะมีการนอนเต็นท์เกิดขึ้นหลังจากนั้น ก็แปลว่ามันไม่จับใจ จึงจำไม่ได้)
8-9-10 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่ดิฉันดั้นด้นไปถึงอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก โดยมีไฮไลท์ของทริปเป็นการกางเต็นท์นอนใกล้น้ำตก “ทีลอซู” อันยิ่งใหญ่ เป็นจุดหมายปลายทางอันห่างไกลความจริงมาตั้งแต่สมัยยังทำตัวเปรี้ยว เอะอะก็แบกเป้+เต็นท์+ถุงนอน พากันโบกรถขึ้นเขาใหญ่
สมัยนั้นทีลอซูเหมือนอยู่ดาวดวงอื่น นั่งรถแล้วต้องต่อด้วยการเดินป่า ลงแพ ขี่ช้างกันสารพัด กว่าจะได้ไปยืนใต้น้ำตก อีตรงที่ช่างภาพ อสท. เค้าถ่ายรูปมาลงหนังสือ
เป็นอะไรที่ไกลเกินฝัน ว่างั้น
เวลาผ่านไปสิบกว่าปี อยู่ดีๆ อิ๋วก็มาชวนไปเที่ยวทีลอซูด้วยน้ำเสียงเหมือนชวนไปทำอะไรชิลๆ อย่างข้ามเรือไปเที่ยวเกาะเกร็ด ก็เลยตกลงเลย หนีบพี่ผึ้งซึ่งตื่นเต้นกับราคาค่าทัวร์สุดๆ (แค่ 3,400 บาท ) ไปอีกคน
การเดินทางเกือบเรียกได้ว่าสบายที่สุดเท่าที่เคยมีประสบการณ์เที่ยวทัวร์รถตู้ เพราะรถที่เรานั่งน่ะเป็นโตโยต้า Commuter คันใหญ่ (แต่มันติดโลโก้ Lexus) เบาะใหญ่มาก เอนได้เยอะมาก (เฉพาะแถวแรกนะ) คนขับก็ไม่พูดมาก (ความรู้สึกเมื่อแรกเจอ) ไม่มีเครื่องเสียงคาราโอเกะ ไม่มีแม้กระทั่งทีวี ตอนแรกคิดว่าดีเหมือนกัน ไม่ต้องรำคาญกับวีดีโอตลก หรือหนังบู๊ระห่ำที่ปลอมแผ่นพากย์ไทยมา
‘ดีจัง พรุ่งนี้ชั้นคงไม่โทรมเพราะอดนอน’ คิดในใจว่างั้น
ทว่า
ความคิดเริ่มเปลี่ยนไปหลังออกจากแม่สอดตอนประมาณตีสี่
อีตอนพักรถที่แม่สอด ได้ยินคนขับพูดถึง ยาแก้เมา กอปรกับได้ยินแว่วๆ มาว่า จากแม่สอดถึงอุ้มผางแค่ร้อยหกสิบกว่ากิโลฯ แต่ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เลยวิ่งไปถามเพื่อความแน่ใจว่า เส้นทางจากตากมาแม่สอดที่ว่าเซียนๆ เนี่ยเทียบกับแม่สอดไปอุ้มผางแล้วเป็นไงหรอ
คำตอบคือ คนละเรื่อง
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะกินยาแก้เมาเข้าไปก่อน ทำให้ง่วงงุนจนลืมโลก แต่ก็ไม่อาจลืมความรู้สึกหัวฟัดหัวเหวี่ยง ภาพการแซงซ้อนสอง ซ้อนสามในโค้งขณะขึ้นดอยด้วยความเร็วที่ทำให้กลืนน้ำลายไม่ทัน
และเหตุการณ์ส้มหล่นกระจาย รองเท้าผ้าใบกระจุยไปท้ายรถ และขวดเครื่องดื่มเพื่อความรื่นรมย์ที่ขนซื้อกันมากลิ้งเที่ยวไปทั่วท้องรถ (ดีนะที่มันไม่แตก)...
เป็นความทรงจำกึ่งฝันกึ่งจริงที่เรียลิสติกมาก
(มารู้ในวันรุ่งขึ้นว่าจากแม่สอดไปถึงอุ้มผาง นับได้ตั้ง 1,219 โค้ง
ไม่ใช่โค้งอ้วนๆ เหมือนตอนยูเทิร์นในมอเตอร์เวย์ แต่มันคือโค้งแบบ 360 องศา รูปตัวเอสติดกัน 3-4 ตัว ในความลาดเอียงระดับ 15 องศา!!!-รู้แล้วอยากขอโทษคนขับที่พวกเราช่วยกันด่าวิธีการขับของพี่แกซะเละ ที่จริงต้องขอบคุณมากกว่าที่พี่แกเรามาซดข้าวต้มแกล้มกุนเชียงทอดได้อย่างปลอดภัย)
มาเริ่มสลึมสลือกันตอนใกล้ถึงแล้ว ภาพที่เห็นคือ อุ้มผางห่มหมอก
7 โมงเช้าได้แล้วในตอนนั้น แต่หมอกยังฟุ้งอยู่ทั่ว อากาศก็หนาวเชียว ข้างบนอุ่นพอได้จากแจ็กเก็ต ผ้าพันคอ และหมวก แต่ข้างล่างนี่สิ กางเกงยีนส์แทบไม่ช่วยอะไร ขนหน้าแข้งตั้งชันทีเดียว
โปรแกรมทัวร์ไม่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวทำตัวอ้อยสร้อย เสร็จข้าวเช้า ล้างหน้าแปรงฟันแล้วพวกเราก็ไปลงเรือยาง ล่องแม่น้ำ (ไม่น่าเชื่อว่าคือ) ต้นน้ำแม่กลอง
ธรรมชาติสวยมาก ต้นไม้สวย ป่ามีกลิ่นหอม ตอนเงียบๆ จะได้ยินเสียงไก่ (แต่ไม่ใช่ไก่ป่า-น้องวินบอก) และนกที่ไม่รู้ชื่อ และถึงจะหนาวแต่ก็อากาศดี ระดับน้ำก็พอดี รู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเที่ยวในช่วงนี้ (ถึงจะพบว่าคนกรุงเต้บเหมือนเราแห่ขึ้นมาพร้อมกันหลายร้อยก็ตาม) เพราะอากาศไม่หนาวเกินไป (อุณหภูมิที่คนอุ้มผางใช้คำว่าหนาวคือ 5-9 องศาซี แต่วันที่เราไปน่ะ 14-15 องศาซี เค้าไม่เรียกหนาว) น้ำก็ยังมี ไม่มากจนน่ากลัวเหมือนตอนหน้าฝน แต่ก็ไม่ได้แล้งจนท้องเรือยางขอดกับก้นคลอง แดดก็สวยเชียว แดดองศานี้ทำให้เราเห็นรุ้งที่น้ำตกสายรุ้งด้วย
(ที่ไม่น่าเชื่ออีกอย่างคือ น้องๆ อีก 7 คน ที่เพิ่งรู้จักกันก่อนรถออก ทุกคนน่ารักมาก ไม่มีใครกวนตีน ปากเสีย สูบบุหรี่ หรือทำตัวอ้อนแอ้นน่าถีบเลย ทุกคนขำขัน แอคทีฟ แล้วก็มองโลกในแง่ดีหมด-เราฟลุคจริงๆ นะพี่ผึ้ง)
พอขึ้นจากเรือ คนทำทัวร์ก็มารับเรานั่งรถฝ่าฝุ่นแดงๆ ของถนนหน้าแล้งไปที่ที่ทำการฯ น้ำตกทีลอซู ที่ที่เราจะกางเต็นท์พักแรมกัน ได้รับการบอกกล่าวว่ารถจะวิ่งราว 40 นาที จึงจะพาเราไปถึง แต่ถ้าเป็นหน้าฝน ต้องเป็นรถโฟร์วีลกับคนขับฝีมือ (+ตีน?) เยี่ยมเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต้องเดินป่าเข้าไปเป็นวัน จึงจะถึง
ตอนที่พี่เค้าเอา mask มาแจกคนละอันๆ ก็ขำนะ ฝุ่นมันจะขนาดไหนกันเชียว ยังถ่ายรูปกันอย่างเฮฮา เพราะไม่เคยต้องใส่หน้ากากกันฝุ่นนั่งรถมาก่อน... พอรถออกได้ 3 นาทีก็เริ่มแจ้งแก่ใจ ก้นในกางเกงยีนส์ (ไม่ได้เตรียมตัวมาลงเรือยางเล้ย) ที่ยังเปียกน้ำในเรือยางมาเจอะกับม่านฝุ่นแดงจากรถขนลูกทัวร์ที่วิ่งเข้า-ออกสวนกันเป็นสิบๆ คัน กับอาการอดนอนจากการเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์เมื่อคืน ทำให้หลายคนค้นพบวิธีหลับในขณะที่มือยังโหนรถอยู่
แค่นั้นไม่พอ เรายังสามารถอาบน้ำในห้องน้ำที่มีฝากั้นทำด้วยไม้ไผ่สับฟาก (เรียกถูกเปล่าหว่า) ชนิดที่ ถ้าใครอยากเห็นก็แค่มอง เพราะทนไม่ได้แล้วกับเนื้อหนัง ผม และเสื้อผ้าเปียกชื้นเคลือบฝุ่นแดง อีกอย่าง ตอนบ่ายโมงครึ่งยังเย็นขนาดนี้ ถ้ารออาบตอนเย็นกว่านี้อาจตายได้-เป็นการอาบน้ำที่ไม่สะอาดหรอก แต่ก็ตื่นเต้น และชื่นใจมากๆ
คืนในป่านั้น ที่จริงเป็นคืนเดือนมืด เห็นดาวแข่งกันทอแสง สวยกว่าคืนเมื่อเดือนก่อนที่เขาใหญ่มากเลย แต่ว่า ดิฉันดันลืมเอาแว่นสายตา (สั้นนะ-ไม่ใช่ยาว) ไปด้วย เลยเห็นเป็นแค่แสงวิบๆ อีกอย่าง บรรยากาศมันไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยเท่าไหร่ คืนนั้นมีเต็นท์กางหลายสิบหลัง บางคนก็มีน้ำใจ แบกเครื่องเสียงพร้อมเอื้อเฟื้อเสียงเพลงแนวที่พี่แกโปรดให้กับคนทุกคนที่อยู่ในเต็นท์ทุกหลังในลานแห่งนั้น แถมยังเล่นไพ่ไม่เป็น แม้แต่เกมสลาฟ ก็เลยมุดเต็นท์ สอดตัวเข้าถุงนอน ให้ไอพอดส่งเสียงขับกล่อมจนหลับไป
ได้สัมผัสกับทีลอซูอันยิ่งใหญ่ในเช้ารุ่งขึ้น ทีลอซู มาจาก 'ทีลอซุ' ซึ่งหมายถึงน้ำตกในภาษากระเหรี่ยง ผู้ค้นพบ เกิดจากการรวมกันของห้วยมองดำกับห้วยกล้อทอ ไหลมาตกที่ช่องเขาขาดตรงนี้ แล้วก็ไปรวมกับลำน้ำแม่กลองเส้นที่ไหลผ่านจากจุดที่เราล่องเรือยางเมื่อวาน ไหลลงไปเรื่อยๆ กลายเป็นแม่น้ำแม่กลองเดียวกับที่ไหลออกทะเลไปแถวๆ สมุทรสงครามนั่นแหละ
พยายามจะนึกว่า ตอนหน้าฝน ตอนฝนตกโครมๆ ต้องปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้านั่น ทีลอซูจะมีหน้าตาเป็นไง จะใหญ่โตกว่านี้แค่ไหนกัน แล้วก็วาดภาพขึ้นเองจากเค้าโครงของน้ำตกเหวนรกที่เคยเห็นภาพในหน้าฝน (ไม่ใช่ตอนที่มีศพช้างแม่ลูกลอยขึ้นอืดนะ) คือมีละอองน้ำเล็กๆ ฟุ้งกระจายจนทุกอย่างชุ่มฉ่ำไปหมด
อืมม์ ป่าแถบนี้อาจจะเปียกกว่าแถบนั้นก็ได้นะ
ป่าริมน้ำตกทีลอซูเต็มไปด้วยต้นยางแดงต้นใหญ่มาก ล้วนแล้วแต่มีร่องรอยไหม้ไฟ จากเทคนิคเรียกน้ำยางของชาวกระเหรี่ยง ประมาณว่าเค้าจะแกล้งต้นไม้ด้วยการเอาไฟรุม ทีนี้ต้นยางจะตกยางออกมา เค้าก็จะเก็บเอายางนี่ไปใช้ประโยชน์ เช่น เอาไปเป็นเชื้อก่อไฟ อะไรงั้น แต่พอออกจากน้ำตก มุ่งหน้าจะไปสวนส้ม (คราวนี้ดอดมานั่งในแคบ) พบว่าข้างทางล้วนแล้วแต่เป็นต้นสัก สลับกับไผ่ พอถนนออกจากป่า ก็เริ่มพบบ้านชาวบ้านที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ชนิดที่มีเสาเป็นสักทั้งต้น แต่อลังการยังไงก็ไม่เท่าที่เคยเห็นเมื่อตอนไปเข้าค่ายเขื่อน (ใช่แก่งเสื้อเต้นป่ะคะ ป้าอ้อย?) กับชุมนุมอนุรักษ์ฯ ที่แพร่
น้องที่นั่งอยู่ในแคบด้วยกันเปรยว่า คนแถวนี้รวยจัง ปลูกบ้านด้วยไม้สัก แต่พี่คนขับแก้ให้ว่า 'คนอยู่บ้านไม้ไม่รวยหรอก'
(..........คนฟังเงียบไป............)
บ่ายวันนั้นเราไปสวนส้ม ไปบ่อปลาที่สำนักสงฆ์ถ้ำน้ำดั้น ที่ว่ากันว่า น้ำและปลาในบ่อดัน (ดั้น) ผ่านถ้ำใต้มาจากอีกฝั่งหนึ่งที่พม่าโน่น จากนั้นก็ไปวัดหนองหลวง ที่มีโบสถ์ไม้สักแห่งเดียวในประเทศ เป็นโบสถ์ที่จัดได้ว่าขนาดเล็กมาก แต่สวยแปลกดี ดูสมถะ เรียบง่าย ไม่เว่อร์จนหาความงามไม่เจอเหมือนวัดอีกหลายๆ วัด เย็นวันนั้นเราก็สนุกสนานหรรษากันแบบคนเมืองไปเที่ยวต่างจังหวัด คือร้องคาราโอเกะ อาบน้ำอุ่น นอนฟูก (เอื้ออำนวยต่อการสวมเฝือกกัดฟันนอน) คืนนี้แทบไม่หนาวเลย
วันรุ่งขึ้นเป็นวันเดินทางกลับแล้ว ออกจากรีสอร์ทเวลาแปดโมงครึ่ง เป็นเวลาที่ท้องอิ่ม ตาสว่าง ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของทุกคนจึงพร้อมรับปรากฏการณ์เหวี่ยงหนีศูนย์กลางของโค้งทั้ง 1,219 ซึ่งพี่ผึ้งทำแมน เสนอแลกที่กับน้องๆ ที่นั่งแถวหลังมาในขามา ทำให้เราได้กับความรู้สึกใหม่ คือ ตาลาย หัวหมุน หน้าซีด มือเย็น ท้องไส้ปั่นป่วน ที่ไม่มีอะไรช่วยได้ แม้แต่ยาดมหรือบ๊วย
พี่ตี๋คนขับ -ซึ่งยืนกรานว่าเวลาขับรถขึ้นลงเขา จะมาชะลอๆ ค่อยๆ ประณีตเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้ เพราะมันจะทำให้รถเครื่องดีๆ ช่วงล่างทำมาแบบสุดยอดของแกพัง- ก็ยังคงมั่นต่ออุดมการณ์ของแกต่อไป ยังดีที่แกเมตตาปราณี หยุดให้ตอนวิ่งไปได้ชั่วโมงนึง ณ จุดที่รถคันไหนๆ ก็จอดให้คนเข้าห้องน้ำ
เชื่อไหมว่า พอประตูรถตู้แต่ละคันสไลด์ออก แทบจะมีอย่างน้อย 1 คนจากทุกคัน วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อมาอ้วก โดยที่บางคนก็ทนได้จนถึงกอหญ้า บางคนก็ทนไม่ไหว
คงต้องขอบคุณสวรรค์ ที่ดิฉันรอดมาได้โดยไม่อ้วก
ทริปนี้ แม้จะไร้วี่แววของคุณ ace of cups แต่ก็ขอบคุณอุ้มผางจริงๆ ที่ยังสวย สงบ และอากาศดี จนทำให้ชีวิตสาวโสดอันแห้งแล้งเริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง จนถึงกับฝันอยากใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ เงียบๆ อย่างที่นั่นเสียเลย
ขอบคุณอิ๋วที่ชวนไปเที่ยว ขอบคุณพี่ผึ้งที่ให้ยืมเสื้อตัวอุ่น ขอบคุณพี่ตี๋ที่พาไปและกลับอย่างสวัสดิภาพ (เสียดายจังที่ไม่ได้ถ่ายรูปพี่ รูปรถ และขอเบอร์มา) ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคน ที่น่ารักมาก ขำมาก กินกันสนุกมาก (คราวหน้าไปทะเลกันใช่ไหม เอาสแครเบิลไปเล่นด้วยนะ-พี่ชอบ เล่นไพ่ไม่เป็นจริงๆ)
รวมทั้งคุณด้วยนะ คนที่อยู่ในความทรงจำ
เล่าได้ละเอียดละออถึงขนาด จนรู้สึกได้ถึงอาการขยักขะย้อนอีตอนเผชิญกับโค้งพันกว่าที่ว่า
ตอบลบิอิจฉานะเนี่ย เป็นผีเรือนไม่ได้ไปไหนต่อไหนมาแรมปีละ
แล้วไหนรูปล่ะ?? ขอดูแบบเต็มๆ หน่อยซิ จะได้อรรถรสในการอ่านเพิ่มเติม
นี่แหละน้า ชีวิตที่น่าอิจฉาของคนโสด
ตอบลบรู้สึกเมารถไปด้วยเลยอ่า 1200 กว่าโค้ง (ผมเมาตั้งแต่โค้งที่ 3)
ตอบลบace of cups = คนหนุ่มค่อนข้างขาว ใจดี อบอุ่น รึป่าวครับ
ตอบลบ(เนื้อคู่จากยิปซีเหรอฮะ)
รู้แระ ว่าไปไหนมา .. ^ ^
ตอบลบน้องโอ๊ตเก่งจัง ดูไพ่เป็นด้วยหรอคะ
ตอบลบสเปค หนุ่มค่อนข้างขาว ใจดี อบอุ่น น่ะ ตอนนี้ใช่
อีกสองเดือนอาจจะเหลือแค่ หนุ่ม อบอุ่น
อีกสี่เดือนอาจจะเหลือแค่ หนุ่ม
ฮิฮิ
ทีลอซู
ตอบลบอยากไปสักครั้ง
อยากเห็นดาวเต็มท้องฟ้าอีกสักหน
และต้องเตือนตัวเองว่า
"ห้ามลืมแว่น"
อิๆๆๆๆ
นั่นสินะ นั่นสินะ
ตอบลบฮือ ฮือ
อยากไปอีก อยากไปอีก
จะไปอีกเมื่อไหร่พี่
ตอบลบถ้าลูกหมูโตพอ ขอไปด้วยคน
เอ...ถ้าเทียบความห่างของระยะเวลาระหว่างน้ำตกเจ้าะกระดิ่งกับทีลอซู
คิดว่าลูกหมูพอมีหวังนะ
้เหมือนต้องมนต์อุ้มผาง
ตอบลบกลับมาแล้วทำให้ชั้นฝันจะไปเที่ยวอีกหลายที่เลยแก
ปาย (อยากกลับไปอีกครั้งตอนยังหนาว) ดอยหลวงเชียงดาว (ได้แต่คิดมาหลายปีแระ) ดอยอ่างขาง (ยังไม่เคยไปจริงๆ) ฝาง (อยากเห็นบ่อน้ำมัน) ลันตา (อยากเห็นว่าสิบกว่าปีให้หลัง ลันตาจะเปลี่ยนไปไง) ตะรุเตา (อยากเห็นๆๆๆๆ) เสม็ด (อยากรู้ว่าถ้าไปอีกทีจะมีใครให้เสร็จไหม) สมุย (อยากเที่ยวสมุยโดยไม่มีความช่วยเหลือจากเพื่อน) พะงัน (อยากตามรอยไข่ย้อย) น่าน (ฝันอยากไปน่านมานานแล้ว-รู้สึกพระธาตุประจำปีเกิดจะอยู่ที่นั่นด้วย)
ฯลฯ
ยิ่งเมื่อเช้าวานนะแก ตอนไปทำงาน (สาย) ฟังมาโนชเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งกลับจากหมู่บ้านทิไล่ป้า อำเภอสังขละบุรี เสร็จแล้วเปิดเพลง What a Wonderful World นะ
ชั้นน่ำตาซึมเลยอ่ะแก
ป.ล. ดูเหมือนว่าในหลายที่ที่ชั้นอยากไปเด็กๆ ไปได้นินา
ไว้แกก็ลองชวนโนมันไปกันดูสิ
ไปกระบี่กันไหม รำลึกความหลัง
ตอบลบตั้งแต่กลับมาแล้วไม่เคยได้ไปอีกเลย
ไปดิ ไปดิ
ตอบลบปิดจมูกกันทำไมอะ
ตอบลบทางรถหน้าแล้งฝุ่นเยอะยากจะบรรยายจ้ะ
ตอบลบ