วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Revolutionary Road : นอกจากความรัก ชีวิตสมรสยังต้องการอะไรอีก?

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

***คำเตือน : คนโสดที่ยังมีทัศนคติที่ดีต่อการมีชีวิตคู่ควรทำใจให้เข้มแข็งก่อนเข้าโรง***



คนอยู่คนเดียวมากเสียจนสูญเสียทักษะในการอยู่กับคนอื่นอย่างอิฉันเคยตั้งคำถามขวางๆ เวลารู้ว่าคนที่เขารักกันกำลังจะแต่งงานกันว่า จะอยู่กันได้นานแค่ไหน้? (อย่าลืมขึ้นเสียงสูงนะฮะ)

ใครอ่านแล้วจะด่าว่า ‘แม่นี่ องุ่นเปรี้ยว’ ก็เชิญตามสบาย ขอยอมรับอย่างหน้าชื่นเลยว่า ลึกๆ แล้วไม่อยากอยู่คนเดียวหรอก แต่ทำไงได้ละฮะ อยู่มานานก็ยังไม่เจอคนที่อยากอยู่กะเรา แล้วเราก็อยากอยู่ด้วยเสียที ก็อย่างที่บอก ว่าไม่ชินกับกับอยู่กับคนอื่น เวลาเริ่มๆ จะอยู่ใกล้กันมันก็จะเริ่มจากความอึดอัด กลายเป็นขัดใจ ขวางหูขวางตา หงุดหงิดรำคาญ นานๆ เข้าก็เริ่มออกอาการร้ายกาจ กดดันให้สุภาพบุรุษกลายเป็นอสูรกาย ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีมันเลยพลอยมลายหาญสูญไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

มองโลกในแง่ร้ายไงฮะ อยู่กับใครไม่เคยได้ เลยเหมาเอาว่าคนอื่นก็ต้องเป็นเหมือนตัวเอง..ซะงั้น

แต่แม้จะมีภูมิคุ้มกันเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ไม่ศรัทธาในความรัก หมดหวังในชีวิตคู่ ฯลฯ อยู่ในตัวเป็นอย่างดี แต่หนังเรื่องนี้ยังทำให้ถึงกับห่อเหี่ยว เดินคอตกออกจากโรง เพราะหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตคู่เชียวนะฮะ

คนเราแต่งงานกันเพราะอะไร? วันนี้ก็เพิ่งแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องนี้กับเพื่อนใหม่ไป จำได้ว่าแสล๋นตอบไปว่า บางคู่ก็แต่งเพราะลูกต้องการพ่อ..ดูเหมือนแฟรงก์ (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) กับเอพริล (เคต วินสเล็ต) วีลเลอร์ ก็แต่ง และย้ายมาอยู่ในบ้านสีขาวหลังสวยบนถนน Revolutionary Road เพราะว่าท้องเหมือนกัน

โอเคฮะ โอเค แฟรงก์ไม่ได้ข่มขืนเอพริลหรอก ตอนนั้นคู่นี้เขาหลงใหลในกันและกันพอดูเลยแหละ (รักไหม? ไม่ขอตีความนะฮะ) พอมาอยู่บ้านเดียวกัน มีลูก ชีวิตสมรสก็เลยเริ่มต้นขึ้น (กรณีนี้มีพิธีสมรสไหม ไม่เกี่ยวฮะ) เรื่องราวในหนังเหมือนจะเป็นปลายๆ ยุค ’50s ซึ่งเท่าที่จำได้ช่วงที่การโฆษณา การสร้างภาพลักษณ์มีอิทธิพลต่อความคิดและชีวิตของผู้บริโภคเอามาก (แม้แต่แฟรงก์ยังทำงานเขียนก๊อปปี้โฆษณาเลย) ยิ่งมาเจอป้านายหน้าขายบ้านกล่อมให้รู้สึกเลอเลิศ ลอยอยู่เหนือมนุษย์สามัญทั่วไป เลยกลายเป็นว่าสิ่งที่คนคู่นี้ต้องการก็คือ ชีวิตที่สวยงาม เป็นระเบียบ พร้อมพรั่ง ในบ้านหลังสวย มีสนามให้ลูกๆ วิ่งเล่น (ที่ป้าขายให้) นึกตามได้ง่ายๆ ประมาณภาพชีวิตพรั่งพร้อมในนิตยสาร มาร์ธา สจวร์ตส ลีพวิ่ง น่ะฮะ

ซึ่งการจะมีชีวิตอย่างนั้นได้ มันก็ต้องมีมันนี่ เมื่อคุณเมียเกิดไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเล้ยในอาชีพนักแสดงของเธอ บทหนักก็เลยตกอยู่ที่คุณผัว ที่ต้องทำตัวประหนึ่งเครื่องจักร เช้าขึ้นก็ลาดสังขารขบรถไปขึ้นรถไฟ ขึ้นลิฟต์ไปทำงานที่ตัวเองไม่ชอบในตึกสูง เพื่อให้แต่ละเดือนๆ มีเงินมาบันดาลชีวิตตามมาตรฐานอเมริกันชนชั้นกลางอย่างชาวบ้าน

ก็ดูๆ เหมือนครอบครัวนี้ไม่มีปัญหาอะไรนะฮะ ไม่ได้อดอยากปากแห้งเพราะหาเงินไม่พอใช้ ไม่เป็นหนี้ ไม่มีใครติดเหล้า ไม่มีใครมีชู้ (เอิ่ม..อย่างน้อยตอนนั้นก็ยังไม่มีใครมีนะฮะ) เมียก็มีบ้านสวยๆ อยู่ เฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้หรือเครื่องแต่งกายก็มีสวยๆ ทัดหน้าเทียมตามชาวบ้านเขาดี

แต่ทั้งผัวทั้งเมียต่างซังกะตาย เพราะชีวิตที่มีมันราบเรียบเสียจนเหมือนไม่มีชีวิต (ใช่ซี้ เมียแป้กเรื่องงาน ส่วนผัวก็ไม่มีความสุขกับงานเอาเสียเลย) จนคุณเมียซึ่งชีวิตนี้ยังไม่ได้ไปไหนไกลๆ เลยไปเจอรูปผัวถ่ายคู่หอไอเฟลเข้า จึงเสนอไอเดียว่าไปกันเหอะ ขายทุกอย่างแล้วไปอยู่ปารีสกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องทำกิน เพราะฉันจะเลี้ยงเธอเอง จะไปเป็นเลขาองค์กรของรัฐบาล-หาเรื่องตื่นเต้นให้ชีวิต ว่างั้น

ผัวซึ่งกำลังเซ็งชีวิต ฟังๆ แรกๆ แล้วก็ตื่นเต้นตามเห็นด้วย คุณเมียเลยคึกใหญ่ จากที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันก็กลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส มีบทพิศวาสให้เห็นนิดหน่อย (เท่าที่พี่แซม เมนเดส สามีคุณนางเอกที่รับหน้าที่เป็น Producer ของหนังจะกรุณา) แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฝ่ายผัวที่เขียนก๊อปปี้ส่งๆ ไปมั่วๆ ดันไปโดนใจนายอย่างแรก เลยเกิดรุ่งในหน้าที่การงานขึ้นมา ก็ชักเกิด self esteem (แปลว่าไรแล้วนะ?) เริ่มลืมๆ เรื่องจะไปปารีส คุณเมียจับสังเกตได้ เล่นเอาบ้านเกือบแตกยังไม่พอ ยังเกิดท้องขึ้นมาอีก

ไม่คิดนะฮะ ว่าคุณเมียในเรื่อง ซึ่งเดิมเป็นแม่ของเด็กสองคนอยู่แล้ว จะเห็นแก่ความฝัน (หรือแค่ความต้องการ) ของตัวเองที่จะไปปารีสขนาดสามารถตัดสินใจทำลายเด็กในท้องได้ แต่เธอก็ทำ และนั่นก็เป็นการทำลายภาพครอบครัวแสนสวยงามที่เธอพยายามสร้างจนยับเยิน

จริงๆ แล้วการที่คุณพี่ริชาร์ด เย็ทส์ นักเขียนเจ้าของเรื่องนี้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา อาจมีจุดเริ่มต้นแค่ที่เขาอยากเหน็บแนม (แถวบ้านเรียกด่า) ว่าแท้ที่จริง สิ่งที่ทำลายชีวิตคนอเมริกันยุคนั้นก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อ เพราะมันทำให้คนอเมริกันตั้งหน้าตั้งตามองหาสิ่งที่ตัวเองต้องการจนลืมไปว่า แท้ที่จริงแล้ว ครอบครัว และชีวิตคู่ไม่มีสูตรตายตัว และความไม่สมบูรณ์แบบไม่ได้แปลว่า ความ ‘hopeless and emptiness’

คุณป้านายหน้าขายบ้านนี่แหละ ตัวสำคัญ มายกยอปอปั้นให้เขารู้สึกตัวเองเลิศเลอไม่พอ ยังพาลูกชายสติไม่ดีมากวนประสาทเขาเสียป่วน (ถ้าใครไปดูจับตาฉากที่ป้าแกพาลูกชายมาบ้านนี้ดูให้ดีนะฮะ มีอยู่ ๒ ซีน) ตอนท้าย พอบ้านเขาแตกไม่มีชิ้นดีแล้ว ป้ายังมามานินทาเขาอีก ว่าที่จริงคู่วีลเลอร์ก็ไม่ได้เพอร์เฟคท์มากนักหรอก ออกจะเพี้ยนด้วยซ้ำ ว่าแล้วป้าก็สรรเสริญเยินยอคู่แต่งงานคู่ใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้าบ้านหลังนี้แทนเป็นชุดใหญ่

ใหญ่โตจนคุณลุง ผัวของแกต้องเฟดเครื่องช่วยฟังจนมันเงียบสนิทไป โดยไม่ได้กล่าวทัดทาน หรือขัดคอป้าแต่อย่างใด



...หรือที่จริงแล้ว สิ่งที่ชีวิตสมรสต้องการมากๆ คือความ “อดทน”ฮะ?





บันทึก :
• ห้าดาวให้กับบทบาทการแสดงของเคตกะลีโอ
• ในหนังเรื่องนี้เคตหุ่นดีจัง แต่ไหงหน้าเหี่ยวได้ขนาดนี้ล่ะ?
• ลีโอก็เหี่ยว อายุเท่าไหร่กันเชียวยะ ..เก่งขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ แหละ พ่อคนนี้
• ถึงจะเหี่ยว แต่เคต วินสเล็ตยังคงเป็นผู้หญิงที่น่ามองเสมอ อิฉันชอบมองปาก กับหูดเม็ดนั้นของเธอจัง
• หนังเรื่องนี้เป็นหนังไดอาล็อกดราม่าสุดเข้ม (เดี๋ยวนี้เค้าขึ้นคำเตือนว่าเป็นหนังสำหรับอายุ ๑๘ ปีขึ้นไปก่อนฉายด้วยฮะ) ดูแล้วคนโสดเครียดดีฮะ แอบนึกในใจว่า รู้งี้ไม่น่าเก็บ The Reader (วันนี้ฉายที่สกาล่า) เอาไว้ก่อนเลย
• ถามตัวเองเล่นๆ ว่าผัวเมียคู่นี้รักกันไหม ขอตอบตัวเองเล่นๆ ว่า ผัวรัก รักทั้งเมีย ลูก และครอบครัว แต่ตัวเมียรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ที่เหมือนจะรักผัวนั่น เพราะว่าผัวคือองค์ประกอบหนึ่งของ “ภาพ” ของตัวเองมากกว่า
• หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนัง The Stepford Wives ของคุณคนสวย นิโคล คิดแมน ได้ไงไม่ทราบ
• วันก่อนคุณเดือน moonjocker บอกให้ไปดูคนเดียวออกมาแล้วค่อยดักจับเพื่อนหน้าโรง วันนี้อิฉันยังไม่ทันตั้งท่าก็เจอเพื่อนของพี่ที่ทำงาน แก(สาวโสดเหมือนกัน)มาดู Revolutionaryฯ รอบต่อจากอิฉัน..ดูเป็นรอบที่สองฮะ (โอ้วแม่จ้าว..สาวโสดคนนี้) ถามแกว่าติดใจอะไร แกว่าแกติดใจไดอาล็อกฮะ
• จากตัวอย่างหนังที่ได้ดู คิดว่านอกจาก The Reader แล้ว ต้องไปดู MILK (ชอบฌอน เพนน์ และชอบเกย์ฮะ) DOUBT (ไปเชียร์ป้าสตรีพ) ละก้อ The Wrestler (มาร้องไห้ให้มิคกี้ รูค)

48 ความคิดเห็น:

  1. แล้วเอ็งกลายเป็นอะไร

    ตอบลบ
  2. เรื่องไหนตั้งใจทำเพื่อชิง oscar จะไม่ดู

    ตอบลบ
  3. ว่าจะไปดูหลายรอบแล้วเนี่ย
    ไม่ได้ดูสักที

    คือทีฉายทุกวัน มันเป็นรอบเรท G ทั่วไปอะ คือเด็กดูได้

    แต่มันมีอาทิตย์ละรอบ สำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ขึ้นไป
    ชั้นคิดว่าอายุอย่างชั้น ควรดูรอบนี้
    แล้วมันฉายซะดึก แถมกลางสัปดาห์อีก
    ว่าจะๆ จนหนังจะออกโรงแล้ว

    ตอบลบ
  4. ที่จริงไม่ค่อยชอบเรื่องทำนองนี้ แต่เขียนซะน่าไปดูเชียว

    ตอบลบ
  5. ไม่ได้ชวนไปชมสักนิ้้ดดดดเลยนะฮะ

    ออกจะเตือนว่ามันเป็นหนังเขย่าขวัญสั่นประสาทคนโสด
    (และคนมีคู่แล้ว)

    ตอบลบ
  6. ข้าวล่ามาเร็วฮะป้า
    น้องที่ทำงานไปดู The Reader มาเมื่อวาน
    บอกว่าหนังดีมาก (ดีกว่าหนังสืออีก-เค้าว่างั้น)
    แถมไม่ตัดด้วย งั้นน้องไปดูเย็นนี้เลยดีมะเนี่ย?

    ตอบลบ
  7. อ้าวววว...ไม่ได้ต้องการความรัก ความเข้าใจมากๆหรอกเหรอ ตายล่ะ
    เรามันประเภท...ความอดทนต่ำอยู่ด้วย

    ตอบลบ
  8. ความดันทุรังสูงงงงงงงงง


    ด้วยรึป่าวฮะ?

    ตอบลบ
  9. อยากรู้จริงว่ารอบสำหรับคนอยุ 18 ปีขึ้นไปที่อังกฤษจะเป็นเวอร์ชั่นเดียวกับ 18 ปีขึ้นไปที่น้องดูเมื่อวานละป่าว

    มันไม่มีโป๊ไรหรอกในหนังเรื่องนี้
    มีแค่ผัวเมียด่ากันอย่างชนิดที่อาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้
    ละก็ไม่มีตบกันเลือดสาดด้วย
    มีแต่เลือดไหลเพราะเหตุอย่างอื่น

    ตอบลบ
  10. อ่าน review ในมติชน เค้าก็ชมเหมือนกันคับ น่าดูจริง ๆ

    ว่าแต่อยากรู้จริง ๆ คับ ว่าเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนนี้ คือคนที่เราจะแต่งด้วย
    แล้วสามารถอยู่ด้วยกันได้ไปตลอดลอดฝั่ง

    ตอบลบ
  11. ของพรรค์หยั่งนี้ ไม่มีีใครรู้จริงหรอกเนอะ

    ไอ้ที่เราจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ก็คงแค่ เราอยากอยู่กับเขาจริงๆ ไหม
    เขาอยากอยู่กับเราจริงๆ ไหม เรายังไม่มีทางรู้ได้เลย

    เรื่องมันเศร้าว่ะ
    รักใคร อยากอยู่กับใคร ก็บอกไปให้ชัดเจน
    กล้าทำในส่วนที่เราทำได้ ก็ึคงดีที่สุดแล้วล่ะ พี่ว่านะ

    ตอบลบ
  12. พี่หมายความว่า อนาคตเราไม่อาจรู้ได้
    แต่อย่าเสียเวลาลังเลกับปัจจุบันน่ะ
    รู้สึกอะไรก็บอกไปชัดๆ น่าจะดีนะ

    ตอบลบ
  13. สงสัยคู่นี้ไม่เคยฟังเพลงนี้

    .....

    ตอบลบ
  14. คมนะฮับ

    อย่าเครียด..โลกนี้มีอะไรน่าสนุกกว่าการมีคู่เยอะ

    เช่นปั่นจักรยานเป็นต้น..อะล้อเล่ง

    ตอบลบ
  15. บอกไปแล้วคับพี่ม้อย

    ก็พยายามทำให้ดีที่สุด พยายามเป็นตัวเองให้มากที่สุด
    ก็ไม่อยากให้เค้าเสียใจทีหลังที่เลือกเรา แล้วสุดท้ายมาเจอว่ามันไม่ใช่

    เพราะเราเองก็ไม่อยากเสียใจเหมือนกัน

    ตอบลบ
  16. ไว้จะไปดู เพราะเป้นคนโสด ซาดิสต์

    ตอบลบ
  17. เฮ้ยยยยย อ้น
    นายกะลังบอกว่า ปั่นจักรยานหนุกกว่ามีเมียหรอ???!!!!









    (มิน่า ถึงยังมิมีบุตรซะที)

    ตอบลบ
  18. เขาให้โอกาสแล้ว เราก็ต้องลองพยายามดูสักตั้ง จริงไหม
    ^_^

    ตอบลบ
  19. เด่นที่ไดอะล้อค แถมพล้อตเป็นเกี่ยวกับชีวิตคู่
    เราชอบดูแนวนี้อะ
    ขอบคุณที่เขียนได้น่าอ่าน ต่อไปถึงให้อยากดู

    แต่แนวนี้เพื่อนสนิท คงไม่อยากดูด้วย
    ดีแล้ว ไม่งั้น
    ดูจบสงสัยเถียงกันยาววว....ว
    มีแฟนก็เถียงกันตลอด จนเซ็ง
    พอหายเซ็ง ก็ กลับมาหวีด

    นี่ละนะชีวิตมนุษย์มีกรรม



    ตอบลบ
  20. ชอบเพลงนี้เหมือนกัน

    ตอบลบ
  21. ชอบ "ที่ว่าง"เหมือนกันนะเอ๋

    ตอบลบ
  22. เรื่องนี้มันใช่เรื่องเดียวกับที่ว่างซะที่ไหนเล๊า???

    ตอบลบ
  23. ก็ไม่ได้บอกว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวซะหน่อย
    แค่บอกว่าชอบเพลง ที่ว่าง อ่ะ

    ตอบลบ
  24. สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ

    มีแฟนไว้ให้เถียง ให้หวีด บางช่วงก็ดีกว่าไม่มีใครเลยนาตัวเอง
    เราเพิ่งมาคิดได้(ในวันที่ผู้ชายทิ้งเราไปหมดแล้ว)นะคุณเดือน
    ว่า การรักษาความสัมพันธ์ที่งดงามมันไม่ใช่เรื่องทำไงไม่ให้เถียงกันหรือทำไงไม่ให้ปรี๊ดส์ใส่กันหรอก
    แต่มันเป็นเรื่องว่าทำไงจะแมเนจอารมณ์ได้ไงอะ
    ทะเลาะกะแฟนบางทีก็ได้ผลเชิงบวกมากกว่าเชิงลบนี่เนอะ

    คนเราเกิดมาก็ไม่เหมือนกันแล้วอะ คงเป็นไปได้ยากที่จะคิดเหมือนเรา ชอบอะไรเหมือนเรา
    (หยั่งหนังแต่ละเรื่องที่เราอยากดู เราว่าผู้ชายแท้ๆ มันไม่มาอยากดูกะเราหรอก ต้องเกย์เท่านั้น)

    บางเรื่องที่ตอนนี้ยังคาใจก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ว่า
    ที่ผ่านมาเราไม่พยายามแมเนจห่าอะไรเลย มีแต่จะเอาแบบที่เราอยากได้ ไม่ได้ไม่เอา

    นั่นก็เลยทำให้กลายเป็นหมาหัวเน่าอยู่ทุกวันนี้



    (จบ)

    ตอบลบ
  25. มาชวนดูหนัง
    เพิ่งจะเริ่ม ว่างนะนี่

    ตอบลบ
  26. แกไม่เข้าใจ แต่ช่างมันเหอะ

    ตอบลบ
  27. แหม ก็แล้วแต่ความคิดใครไงฮะ ไม่ได้บอกว่าใครผิดใครถูกซะหน่อย

    ชั้นมองตรงนี้ แกมองตรงนั้น นาย ก. มองตรงโน้น

    ใครอยากมองมุมไหนก็เรื่องของใครสิฮะ

    ตอบลบ
  28. ^^

    มันยากตรงที่..จะทำยังไงให้มันดีอย่างนี้ไปตลอด

    ต้องใช้ความเข้าใจ และความอดทน มากกว่าตอนเป็นแฟนกัน

    และเรื่องของเรา 2 คน มันก็ไม่ใช่แค่เราแล้ว ครอบครัวเขา ครอบครัวเรา และผู้อื่นอีกมากมาย

    ตอบลบ
  29. หรือเอ็งจะไม่เข้าใจเขา
    ช่างมันเหอะ

    ตอบลบ
  30. ช่างเผือกด้วยก็ได้นะฮะ :>

    ตอบลบ
  31. หวังว่าเราจะเข้าใจกัน

    อิ อิ

    (ชอบมากที่เอ็งยอมให้ข้าเป็น Beauty-ยกให้เอ็งเป็นเพื่อนคนโปรดเลย)

    ตอบลบ
  32. แหม...จะมีเมียหรือจะมีผัวก็หนุกและสุขกว่าอยู่แร้น

    ไม่มีไม่รู้หรอกหนา..อิอิ

    ตอบลบ
  33. จร๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาก!

    ตอบลบ
  34. อยากมีเมียยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!

    ตอบลบ
  35. กะเค้าบ้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!

    ตอบลบ
  36. อะอะ อย่าคิดเยี่ยงนั้น

    ตอบลบ
  37. ทฤษฎีน่าสนใจ
    ซึ่งพอมาคิดๆ ก็ตลก เพราะอะไรหลายอย่างบนโลกที่เขายกย่องว่าดี ก็ล้วนเกิดจากมันสมองเกย์

    ตอบลบ
  38. เกย์ก็หนึ่งในเพื่อนร่วมโลก
    ช่วยสร้างโลกมาด้วยกันฮะ

    ตอบลบ