วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2551

The Kite Runner: For You, I Will

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama
ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงหนังสยาม
ชอบดูหนังที่โรงสยามกับสกาล่ามาก เพราะโรงมันใหญ่ มีที่นั่งดูสบายๆ มากกว่าโรงเล็กๆ ที่ต้องแย่งซื้อตั๋วแถวหลังตรงกลางๆ เข้าไว้
คราวนี้ดูคนเดียว ไม่มีึคนนั่งข้างหน้า สบายตา แต่ก็เขินนิดๆ เวลาร้องไห้ (ถ้ามาดูกับเพื่อนจะร้องได้อย่างไม่มีเขิน-อาจถึงขั้นสะอื้น)

หนังเล่าเรื่องย้อนไปในปี '๗๐s ช่วงสงครามเย็น แฟชั่นกำลังเป็นฮิปปี้กางเกงขาบาน ขับฟอร์ดมัสแตงเสียงกระหึ่ม ตอนนั้นกรุงคาบูล อัฟกานิสถานยังสงบสุข เห็นได้จากชีวิตชีวาของตลาด และกิจกรรมของผู้ใหญ่
เมืองนี้คงจะมีลมดี เพราะเด็ก ผู้ชายเค้าเล่นว่าวกันอย่างสนุกสนานอยู่ทั่วเมือง ทั้งบนพื้น แล้วก็บนหลังคาตึก มีการรบกันเล็กๆ ด้วยการตัดสายป่านของอีกฝ่าย ว่าวใครขาด คนนั้นก็แพ้

และเพื่อให้สมศักดิ์ศรีของผู้ชนะ ก็ควรจะต้องเก็บว่าวที่ตัวเองพิชิตมาได้เอาไว้ด้วย

มีเด็กผู้ชายอยู่สองคน มีฐานะต่างกัน เพราะคนหนึ่งเป็นลูกนาย (อาร์มีร์) อีกคนเป็นลูกบ่าว(ฮัสซัน) สองคนนี้รักกันมาก ยิ่งฮัสซัน ทั้งที่ตัวกะเปี๊ยกแค่นั้น แต่ก็ทั้งรัก ภักดี และ sacrificed ตัวเองเพื่อเพื่อนสุดๆ ไม่ว่าอาร์มีร์จะทดสอบความภักดีของเขากี่ครั้ง ฮัสซันก็ยังให้คำตอบที่หนักแน่น และมั่นคงเหมือนเดิม

มีตอนหนึ่งที่ฮัสซันวิ่งไปเก็บว่าวที่ถูกตัดขาดและกำลังลอยตามลมให้อาร์มีร์ เขาวิ่งไปคนละทางกับเด็กอื่นๆ อาร์มีร์สงสัยว่าทำไมไม่ไปตามเก็บว่าวให้ ฮัสซันตอบว่า เขารู้ว่าเดี๋ยวมันจะลอยมาทางนี้ และถ้าอาร์มีร์อยากได้ ไม่ว่าจะเป็นว่าวอีกกี่ตัว เขาก็จะเก็บมาให้อาร์มีร์ให้ได้ (เริ่มซึ้งแล้วซี)

เล่าถึงความรักและผูกพันของสองเพื่อนอีกนิดหนังก็ปล่อยตัวร้ายออกมา เป็นเด็กวัยรุ่นหัวรุนแรงที่เป็นพวกแบ่งแยกสีผิวและชนชั้น พวกนี้คอยแกล้งสองเพื่อนรัก เพราะเขม่นอาร์มีร์ซึ่งเป็นลูกโทนของคนมีตังค์ นักเรียนนอกหัวก้าวหน้าประจำกรุงคาบูล แต่ดันมาคบใกล้ชิดสนิทสนมกับฮัสซัน ซึ่งเป็นพวก ฮาซาร่า (เข้าใจว่าเป็นชนกลุ่มน้อยมาจากภูเขา-อะไรอย่างนั้น)

ไอ้ ๓ วายร้ายนี้เอง ที่ดักทำร้ายฮัสซันในวันเปิดศึกแข่งว่าวของเมือง ที่ฮัสซันดันอาร์มีร์ให้พิชิตเด็กอื่นๆ ในเมืองสำเร็จ แล้วก็วิ่งไปตามเก็บว่าวตัวสุดท้ายที่ตัดสายป่านได้
และไปจนตรอกต่อหน้า ๓ วายร้ายนี่

ไม่คาดคิดมาก่อนว่า (ด้วยความเคารพ ดิฉันไม่เคยอ่านนิยายและไม่เคยรู้เรื่องย่อมาก่อน) ว่ามันจะทำร้ายฮัสซันอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าสังคมมุสลิมจะมีผู้ชายข่มขืนผู้ชายด้วย
พูดให้ถูกคือเด็กผู้ชายข่มขืนเด็กผู้ชาย แถมบอกเพื่อนว่าอย่างนี้ไม่บาป แต่มันคือการลงโทษ

เรื่องมันบัดซบจริงๆ
และมันบัดซบยิ่งขึ้นเมื่ออาร์มีร์เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่ไม่ได้พยายามจะช่วยเพื่อน เพราะเขา 'ขลาด' เกินไป

หลังจากนั้นความสัมพันธ์ก็มีรอยร้าว ฮัสซันรู้หรือเปล่านะว่าอาร์มีร์เห็น-ไม่รู้เหมือนกัน แต่อาร์มีร์พยายามสร้างกำแพงปกป้องความรู้สึกของตัวเอง เขาทำตัวห่างเหิน ทราบว่าเพื่อนป่วยก็ไม่ไปเยี่ยมเหมือนเคย แถมยังเลวร้ายถึงขั้นป้ายสีว่าเพื่อนขโมยของ จนในที่สุด พ่อลูกคู่นี้ก็ขออพยพตัวเองออกไปจากบ้าน

หลังจากนั้น รัสเซียก็บุกคาบูล
พ่อพาอาร์มีร์หนีเพราะรู้ตัวดีว่าด่าคอมมิวนิสต์ไว้มาก
ตอนอยู่บนรถบรรทุกข้ามแดนไปปากีสถาน มีทหารรัสเซียเรียกให้หยุด แล้วก็สั่งให้ผู้หญิงที่กำลังอุ้มเด็กทารกที่กำลังร้องไห้โยเยลงไปหาความสำราญกัน สามีของผู้หญิงคนนั้นโกรธ แต่โกรธไม่เท่าพ่อของอาร์มีร์ ที่โกรธจนลืมตาย ลุกขึ้นยืนด่าผ่านล่าม ท้าว่าให้ยิงเขาให้ตาย ไม่อย่างนั้นจะแช่งพ่อทหารคนนั้น (อะไรประมาณนี้นะ) เกือบได้ตายจริง แต่นายของทหารผู้นั้นมาถึงก่อน และปล่อยรถบรรทุกไป

ตอนที่รถวิ่งอีกครั้ง ทุกคนคอตก เหงื่อแตก เพราะพึ่งรอดตายมาได้ สามีของผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นมาคุกเข่าต่อหน้าพ่อของอาร์มีร์ เหมือนจะจูบมือแล้วพูดขอบคุณ น้ำตาดิฉันก็ไหลเป็นยกแรก

เป็นอันว่าเพื่อนสองคนพลัดพรากกันทั้งทางกายและใจ พลัดกันไปไกล เพราะคนหนึ่งไปใช้่ชีวิตพลเมืองชั้นสองในอเมริกา อีกคนยังอยู่ในภัยสงครามกลางเมืองของอัฟกานิสถาน ที่หลังจากโดนรัสเซียรังแก ก็มีพวกตอลีบานเข้ามากดขี่ต่อ อ้างว่ามาปลดแอก แต่ที่จริงก็คือการกระทำย่ำยีในอีกรูปแบบนั่นแหละ

อาร์มีร์โตเป็นหนุ่มเรียนจบ ยังมุ่งมั่นจะเป็นนักเขียน พบรัก แต่งงาน พ่อตาย นิยายได้รับการตีพิมพ์ และแล้วก็ได้รับโทรศัพท์จากเืพื่อนพ่อ คนที่ส่งเสริมพรสวรรค์และความสนใจในการเขียนของเขาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก

อาร์มีร์เดินทางไปปากีสถานเพราะทราบว่าเพื่อนพ่อกำลังป่วยหนัก โดยไม่่รู้ว่าเพื่อนพ่อมีจดหมายฉบับหนึ่งรอเขาอยู่

เป็นจดหมายจากฮัสซันซึ่งพยายามเรียนหนังสือด้วยตัวเอง และตั้งใจจะไม่เขียนจดหมายถึงอาร์มีร์ จนกว่าจะใช้ภาษาได้ดีพอ... ทว่า ฮัสซันได้ตายไปด้วยกระสุนพวกตอลีบันเพราะพยายามปกป้องบ้านพ่ออาร์มีร์ไว้ เมียก็ถูกยิงตายตาม เหลือลูกชายไว้ ๑ คน ตอนนี้อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เพื่อนพ่ออยากให้ไปรับลูกฮัสซันกลับไปอเมริกาด้วย อาร์มีร์สงสัยว่าทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น เพื่อนพ่อเลยบอกว่า เพราะว่าพ่อของฮัสซันเป็นหมัน แต่แม่ฮัสซันท้องกะพ่ออาร์มีร์ ฮัสซันก๊อเลยเป็นน้องชายของอาร์มีร์น่ะซี

ทีนี้ อาร์มีร์เลยต้องบุกไปคาบูล อัฟกานิสถาน ไปถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งน่าอนาถใจมากที่ได้เห็นภาพเด็กๆ วิ่งเล่นทั้งที่มีขาข้างเดียวกับไม้ค้ำ ถามถึงโซรัปหลานชาย ก็รู้ว่าถูกพวกตอลีบันซื้อตัวไป (รู้เลยว่าซื้อไปทำไม เพราะไดอาลอกที่ว่า บางทีก็เลือกเด็กผู้หญิง บางทีก็เลือกเด็กผู้ชาย) และที่คนดูแลจำเป็นต้องให้ไปก็เพราะว่า ไม่มีปัญญาไปต่อกรกับคนพวกนี้ แถมเด็กอื่นๆ จำเป็นต้องมีเงินมาซื้ออาหารกินด้วย
(เศร้าว่ะ-ยูนิเซฟรู้แล้วคงร้องกรี๊ด)

อาร์มีร์เลยจำต้องบุกไปตามตัวหลาน ณ รังของพวกตอลีบัน และได้พบในที่สุดว่า เจ้าตัวเอ้ที่ซื้อเด็กชายมาบำบัดความใคร่นั้น คือไอ้อันธพาลที่เคยทำร้ายฮัสซัน เพื่อนของเขาในวันนั้นนั่นเอง
(จะเห็นได้ว่า โลกไม่ได้เลวร้ายอย่างเดียว มันยังกลมมากๆ อีกด้วย)

อาร์มีร์คงโดนคนจิตวิปริตคนนี้ทำร้ายจนตาย ถ้าหลานไม่ใช้หนังสติ๊ก(Made in USA) ที่ตัวเองมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้กับพ่อของเขาตั้งแต่เมื่อครั้งกระโน้นช่วยเอาไว้

ในที่สุด อาร์มีร์ก็พาหลานผู้เงียบงันเพราะขวัญหาย ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดินทางถึงบ้านในแคลิฟอร์เนีย หนังบอกว่าเขายอมรับ และปกป้องเกียรติของหลาน (พูดให้ลึกคือเขายอมรับผิดแล้ว ที่คราวนั้นเห็นเพื่อนโดนรังแก แต่ไม่กล้าช่วย) ด้วยการกล้าพูด (เป็นครั้งแรก) กับพ่อตาว่า หลานคนนี้เป็นลูกของน้องชาย ซึ่งเป็นน้องคนละแม่ของเขา แถมยังบอกพ่อตาอีกว่า อย่าเรียกเด็กคนนี้ว่า เด็กฮาซาราอีก เพราะว่าเขามีชื่อ ชื่อโซรัป

และอาร์มีร์ก็ได้ไถ่บาปจากใจในตอนท้าย เขาชวนให้โซรัปเล่นว่าว บอกหลานว่าพ่อของเขาเล่นว่าวเก่งแค่ไหน เมื่อพิชิตว่าวผู้ท้าประลองได้ อาร์มีร์ก็ตั้งท่าวิ่งไปเก็บว่าวตัวที่สายป่านขาดให้หลาน

โดยบอกกับเด็กชายเหมือนที่พ่อของเขาเคยบอกตัวเอง คำพูดที่ทำให้ดิฉันนึกถึงเพลงที่มีเนื้อร้องว่า

I will cross the ocean for you
I will go and bring you the moon
I will be your hero, your strength
Anything you need ....
Promise you, for you I will

(ซึ้งกำลังดีนะ หนังเรื่องนี้)




ข้อสังเกตุ
๑.หนังเรื่องนี้ควรได้รางวัลสาขาเกี่ยวกับการถ่ายภาพและซีจีด้วย เพราะไม่ได้แค่นำมุมสวยๆ ของชีวิตมาให้เราดู แต่การทำภาพว่าวเริงลมสู้รบกันบนฟ้ายังทำได้ดีมากจนอยากลองหัดเล่นว่าวบ้าง
นอกจากนี้เขายังทำภาพกรุงคาบุลหลังสงครามได้รันทดจิตมากๆ คนอัฟกันน่าสงสารที่สุด
๒.ชอบไตเิติ้ลหนัง ที่ทำฟ้อนต์เลียนแบบตัวหนังสือภาษาอาหรับ
๓.ชอบยิ้มของโซรัปตอนฉากจบของหนัง
๔.หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องดี แล้วก็จัดสัดส่วนการเล่าเรื่องต่างๆ การให้น้ำหนักกับประเด็นต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม แถมไม่ลืมแทรกอารมณ์ขันไว้อย่างถูกจังหวะ ดิฉันชอบซีนแต่งงานตามประเพณีอัฟกัน ที่ผู้ใหญ่เอากระจกมาให้บ่าว-สาวส่อง แล้วอาร์มีร์ถามเมียว่า "What do you see?" ชอบคำตอบของฝ่ายหญิง ทั้งสายตาและไดอาลอก ทำให้เรารู้้เลยว่าสองคนนี้รักกันและต้องการกันและกันขนาดไหน
๕.ชักอยากไปเดินในที่ที่ได้กลิ่นคะบับแพะมั่งแล้วสิ
๖.อาร์มีร์เคยติงพ่อตัวเองว่า 'ดื่ม' เป็นบาปไม่ใช่หรือ พ่อ(อาจจะเส)บอกลูกว่า สิ่งที่บาปที่สุดคือการขโมย โดยเฉพาะการฆ่าคน เพราะนั่นเท่ากับเป็นการขโมยชีวิตของเขา ทำให้เมียหมดโอกาสมีลูก ทำให้ผัวหมดโอกาสอยู่กับลูกเมีย (...ประมาณนี้นะ ความจำไม่แม่น) ไม่ว่าพ่อจะบอกอาร์มีร์อย่างนี้เพราะตัวเองเป็นนักดื่ม แต่ดิฉันชอบใจมาก และเห็นด้วยอย่างสุดๆ ว่า การขโมยเป็นบาปอย่างที่สุด
๗.มีความรู้สึกประทับใจในการทำงานของคนแปลซับไตเติ้ลมาก คราวนี้ไม่รู้สึกถูกขัดขวางอารมณ์เลย-ขอบคุณมากค่ะ

The Kite Runner (๒๐๐๗)
สร้างจากนวนิยายดัง ดังไปหลายประเทศ มีแปลเป็นภาษาไทยแล้วด้วย (เห็นว่าเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กอเมริกันนะ) โดย Khaled Hosseini
กำกับโดย Marc Forster
เขียนสกรีนเพลย์โดย David Benioff

19 ความคิดเห็น:

  1. อยากดูจัง พี่ม้อยมีแผ่นไหม

    มีบางประเด็นคล้าย Mystic River เหมือนกันนะ แต่คงลึกกว่า กินใจกว่า
    (ธรรมดาของหนังอาหรับกับหนังฮอลลี่วูด)

    ตอบลบ
  2. ไม่มีย่ะ พึ่งออกมาจากโรงเมื่อวาน
    รอเช่ามาดูเด่ะ
    Mystic River จำไม่คร่อยได้แล้ว แต่รู้สึกจะคนละ Feel
    เด็กเก็บว่าวนี่ออกแนวซึ้งน้ำใจเด็กมากกว่า
    ถ้าจำไม่ผิด Mysticฯ มันรัดทดหดหู่กว่านี้เยอะนา

    ตอบลบ
  3. เอ่อ.. อ่า... แบบว่า...

    ถ้ามี kite runner แล้วก็ต้องมี kite player ด้วยใช่ไหมครับ

    ตอบลบ
  4. มันแน่อยู่แล้น
    คนนึงเก็บว่าว
    อีกคนก๊อ.. ชัก เอ๊ย บังคับว่าว

    ตอบลบ
  5. เขียนได้ดีมากครับ

    ตอบลบ
  6. ชมเกินไปแล้ว

    แค่เขียนบันทึกความรู้สึกของตัวเองเองค่ะ

    ตอบลบ
  7. น้องคะ

    พี่ซื้อหนังสือมาอ่าน(ที่มันขายอยู่หน้าโรงหนะ) ไปยืนส่องๆดู แม้ว่าชื่อคนแปลจะไม่คุ้นหู แต่สำเนียงสำนวนใช้ได้
    ก็เลยซื้อติดมือมาหนึ่งเล่ม

    โหแก น้ำตาท่วมอ่านซะจนตาบวม

    ตอบลบ
  8. ป้าขา
    หนังสือทำป้าน้ำตาท่วมเลยหรอคะ???

    ขอยืมต่อโลดค่ะ

    ตอบลบ
  9. เออ เอาดิ

    แต่กว่าจะได้อ่าน คงรออีกนานเลย

    ชั้นว่าหนังสือกับหนังมันเสริมกันนะ พอดิบพอดี
    ไม่ได้แซงหรือแข่งขันกัน
    คือชั้นดูหนังก่อน แล้วถึงอ่านหนังสือ
    มันเลยยิ่งซึ้ง ท่วม

    เพราะว่าอ่านไปก็นึกถึงหน้าฮัสซันไป แล้วก็สงสาร
    เขาเลือกตัวแสดงเก่งนะ ตอนดูหนัง ชั้นแอบสงสัยว่าทำไมฮัสซันมันหน้าจีนจังว่ะ
    พออ่านหนังสือถึงเข้าใจว่าชนเผ่านี้มันมีส่วนผสมจีนๆอยู่

    ตอบลบ
  10. ชั้นว่าเด็กนั่นหน้าเหมือนไอกรว่ะป้า

    ตอบลบ
  11. ผมชอบเหตุผลของการทำความผิดว่าเป็นขโมย...แต่พ่อของเขาคงลืมไปว่า เขาเองก็ขโมยเมียจากพ่อของฮัสซัน และขโมยฮัสซันไปจากพ่อแม่ที่แท้จริง และท้ายสุดก็ถูกขโมยลูกไป โดยลูกของตนเองอีกคนที่ชื่ออาร์มีร์

    ผมชอบสีหน้าและการแสดงอารมณ์ของฮัสซัน ...เขาทำให้ผมรู้สึกว่าการเป็นผู้ชนะไม่ใช่ผู้ได้รับ แต่เป็นผู้เสียสละ...ฮัสซันชนะใจผม และคนที่ชมอีกหลายคน ...ผมเชื่อเช่นนั้น

    ตอบลบ
  12. ถือเป็นหนังที่ดีมากเรื่องนึง ยินดีที่ผมได้ดู และยินดีกับทุกคนที่ได้ดูชม

    ตอบลบ
  13. ดูนาน ลืมไปแล้วแหละ
    จำได้แค่ชอบเด็กคนนั้นมาก แล้วก็จำได้ว่าร้องไห้

    ยามดู SlumDog ยัง?
    เราว่าหนังสองเรื่องนี้ relate กันอยู่นะ

    ตอบลบ
  14. ดู แล้ว แต่เราไม่อินกับ slumdog เราว่า theme มันเป็นยุโรปกึ่งฮอลีวู๊ด...

    เราชอบ innocent voices กับ hotel rwanda มากกว่า หรือถ้าเบาๆ เราก็ชอบ good bye lenin กับ the barbarian invasions และยังมีอีกหลายเรื่องที่ชอบ ...อ้อจำได้อีกเรื่อง เจงกีสข่าน อันนี้ก็ชอบ

    ตอบลบ
  15. เมื่อวานก็ดูหนังรอบสองเรื่อง i am david

    ตอบลบ
  16. เมื่อวานเราดู Happy Together แต่ยังไม่จบ

    ตอบลบ
  17. ชอบ Goodbye Lenin เหมือนกัน
    เรื่องอื่นๆ ยังไม่ได้ดู

    ตอบลบ
  18. วันหลังเอาหนังมาแลกกันดูดีกว่านะเจ้านาย

    ตอบลบ