ไม่ผิด
ไม่ผิดที่ได้เห็นบทความนี้ในส่วนของชวนอ่าน
เพราะไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวหนังสือ ไม่คิดว่าควรจะให้หนังสือเล่มนี้กี่ดาว แค่อยากเขียนอะไรสักอย่างที่เกิดจากแรงบันดาลใจที่มาจากหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆ เล่มนี้
“เราเกิดมาทำไม” โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ถูกวางรวมกับหนังสืออีกหลายเล่ม บนสถานีบีทีเอสสยาม สำหรับให้ใครก็ได้ ที่อ่านภาษาไทยเข้าใจ เลือกกลับไปอ่าน โดยหยอดเงินบริจาคลงตู้ 10-30 บาท ตามขนาดของหนังสือที่เลือก
ในบรรดาหนังสือหลายเล่ม ดิฉันเลือกเล่มนี้
เพราะเป็นความสงสัยมานานแล้ว ว่าเราเกิดมาทำไม?
บางคนบอกว่าเกิดมาใช้กรรม บางคนบอกเกิดมาเจอเขา เพื่อรักกับเขา.. แล้วไงต่อ? รักกับเขาวันนี้ อีกวันก็ต้องเจ็บเพราะความรักกับเขา หรือไม่ วันหนึ่งก็จะได้เห็นคนที่เรารักไม่สบาย แก่ แล้วก็จะก็ต้องทุกข์เพราะจากการสูญเสียเขา และอีกไม่นาน ก็ถึงคราวของเราเองบ้างที่จะต้องจากคนที่เรารัก และรักเรา
หลายครั้งที่คิดวนไปเวียนมาก ว่าในเมื่อการเป็นมนุษย์มันช่างโหดร้ายกับจิตใจ ถ้าอย่างนั้น เราจะเกิดมาทำไม อยู่ต่อไปเพื่ออะไร คนที่ป่วย ไม่สบายหนัก ทำไมจึงดิ้นรนพยายามที่จะมีชีวิตต่อ ทำไมไม่ยอมรับกฎแห่งความเสื่อม แล้วก็ยอมตายไปเสียแต่โดยดี คนอีกหลายคนจะได้ไม่ต้องออกแรงสู้เรื่อง CL ยา
(ฮ่า ฮ่า-ไม่ขำ)
ดีที่ได้อ่านหนังสือธรรมะที่ถูกเขียนให้อ่านง่าย จบใจความในเล่มเล็กๆ พกสะดวกเล่มนี้ เพราะว่า เริ่มจะได้คำตอบให้กับคำถามตัวเองแล้วซี
ขอเล่าให้ฟังกันเลยละกัน
เริ่มที่สิ่งที่คนหลายคนบอก ว่าคนเราเกิดมาใช้กรรมจริงหรือ?
พระอาจารย์มิตซูโอะเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า
"ตามธรรมดา ความปรารถนาของมนุษย์ทุกคนอยากเกิดมาสบาย สุขภาพสมบูรณ์ สติปัญญาดี ฐานะดี ครอบครัวอบอุ่น แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะมีความสมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน บางครั้งเมื่อเราประสบปัญหา มีประสบการณ์ทุกข์ เรามักน้อยใจ ท้อใจ บางคนก็สรุปเอาว่า ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม อาจารย์รู้สึกว่า ข้อสรุปแบบนี้เป็นการเข้าใจกฎแห่งกรรมในแง่ลบ ถ้าเราพิจารณาด้วยปัญญาแล้วก็ไม่ใช่
การเกิดมานั้นเป็นกรรมเก่าก็จริงอยู่ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ คือกรรมเก่า แต่พระองค์ก็ทรงสอนด้วยว่า เราเกิดมาเพื่อศึกษา 'ไตรสิกขา' ศึกษาเพื่อจะพัฒนาชีวิตจิตใจและสติปัญญาอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้ง เพื่อความดับแห่งทุกข์ อันเป็นเป้าหมายสูงที่สุดที่มนุษย์ทุกคนสามารถบรรลุได้"
(หน้า ๓๘)
เป็นอันว่ามนุษย์เราเกิดมาพร้อมกรรมเก่าจริง แต่ดูเหมือนว่ากรรมของเราจะเบากว่าเพื่อนร่วมโลกอย่างสัตว์อื่นบ้างจริงไหม เพราะอย่างน้อยเราก็มีแขนขา มีประสาทสัมผัส มีสมองที่เยี่ยมมากๆ เราแต่ละคนโง่บ้าง-ฉลาดบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นสัตว์โลกที่มีความคิดความอ่านนี่นะ?
"พระพุทธเจ้าตรัสได้ว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยาก อุปมาเหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ ๑๐๐ ปี เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ในทะเลก็มีห่วงเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าหน่อยหนึ่งลอยอยู่ ๑ ห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากเพียงใด โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์"
(หน้า ๑๐)
ถ้าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์กันได้ง่ายๆ ก็แปลว่าการเกิดเป็นมนุษย์มีความสำคัญนะซี?
"ในฐานะมนุษย์ ไม่มากก็น้อยที่ใจของเราได้มีประสบการณ์ในภพชาติอื่นๆ ทั้งที่ต่ำกว่าและสูงกว่าภพภูมิมนุษย์ เรามีปัญญาที่จะรู้ได้จากประสบการณ์ของเราแล้ว ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี การเกิดเป็นมนุษย์ถ้าดีก็ดีได้มากๆ แต่ก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะถ้าประมาทก็ทำชั่วได้มาก
ถ้าไม่ประมาท รักษาศีล ๕ ทำความดี สร้างบารมี ตั้งใจพัฒนาชีวิตจิตใจแล้ว ก็สามารถมีประสบการณ์สูงขึ้น เป็นเทวดา พรหม ตลอดจนเข้าถึงอริยมรรค อริยผล บรรลุนิพพานได้
มนุษย์ จึงเป็นชาติที่มีทางเลือก"
(หน้า ๑๔)
ถ้าการมีชีวิตอยู่ ระหว่างที่เรากำลังเผชิญหน้ากับความ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย หมายถึงโอกาสที่จะได้ทำความดี สะสมบุญ โอกาสที่จะได้ศึกษาธรรมะ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แล้วเราควรจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร?
ก็คงจะเป็นการใช้ชีวิตในแบบที่.. ไม่ต้องเสียเวลาสงสัยอีกแล้ว ว่าเราเกิดมาทำไม ชาติที่แล้วเราเป็นอะไร ชาติหน้าเราจะไปไหน
เพราะว่า
“ ‘อดีต’ ผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ไม่ต้องไปคิดถึง
‘อนาคต’ ยังมาไม่ถึง การวิตกกังวลจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เรื่องของคนอื่นไม่สำคัญเท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องความชั่วของคนอื่น อย่าแบก
ตัวเราเองทำดี ทำถูก รักษาใจเป็นปกติได้ สำคัญที่สุด
ทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี คือใจเป็นศีล ไม่เบียดเบียน ตั้งเจตนาถูกต้อง
ไม่ยินดี คือ ไม่โลภ
ไม่ยินร้าย คือ ไม่โกรธ
รู้เท่าทันอารมณ์ คือ ไม่หลง
มีความเมตตากรุณา ต่อตนเองและผู้อื่น”
(หน้า ๘๑)
ได้เกิดมาเป็นคนในชาติที่ได้เรียน ได้รู้จักพุทธศาสนา ซึ่งมีคำตอบให้กับปัญหาของชีวิต ได้เกิดมาพร้อมอวัยวะครบ ๓๒ ในเมื่อร่างกาย แขนขาเรายังอยู่ดี สมองมีแรงคิดเรื่องดี เจอปัญหาบ้างก็อย่าท้อแท้ ทุกปัญหามีหนทางแก้ไข ดูอย่างเก๋สิ ตอนนี้นอนเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล โอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของตัวเองจะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ แต่เก๋ยังไม่ยอมแพ้ ยังสู้ ขนาดหมอยังชมว่าคนไข้ตัวนิดเดียว แต่อึดจริงๆ
พ่อแม่เก๋ก็ยังสู้
เข้าใจว่าเกิดมาทำไมแล้ว พวกเราก็มาสู้ชีวิตไปพร้อมๆ กับเก๋ และครอบครัวของเก๋เถอะนะ
ตอบลบ......บุ๋มมีหนังสือของอาจารย์ท่านนี้หลายเล่ม ...
....ที่แบงค์ที่บุ๋มทำงาน แจก......และ หาได้ตามห้าง แล้วเขามีตู้ให้ หยอดตังค์ ...
....ได้มาเมื่อวานหลายเล่ม ........ชอบ ค่ะ ......
....ชอบจนอยากไป ไทรโยค .....ไปวัดที่ท่านอยู่ ....เผื่อว่า หัวใจจะหวั่นไหวน้อยลง ......
....อาหารหนัก พอสมควร เฮ้อออออออออ........
เกิดมาแค่รักกัน อ้าวว..เสี่ยวกันซะงั้น ^^
ตอบลบชอบมากๆ ขอบคุณที่เอามาแบ่งปันนะคะ ^_^
ตอบลบสาธุ
ตอบลบยากนะที่ จะเกิดมาเป็นคน 1 ในไม่รู้กี่พันหมื่นแสนล้าน
ตอบลบที่จะมีโอกาศ วิ่งไปชนไข่ ที่เหลือคงโดนฆาตกรรมหมู่
ไหนๆก็ ได้เกิดมาแล้ว ก็ควรใช้ชีวิตอย่างมีค่า
การได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็จะเป็นบุญอันประเสริฐอย่างหนึ่ง
ลดและคัดแยกขยะเถอะครับ เพื่อสิ่งแวดล้อมทีดี
ดีใจที่เริ่มตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเอง
ตอบลบการตั้งคำถามแบบนี้แหละ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
สำหรับการมีชีวิตที่งามง่าย ในอนาคต
(จริงๆ นะ)
หลังจากอ่านหนังสือของหนูดีก็พบว่า
ตอบลบการตั้งคำถามนี้ คือการเริ่มต้นสร้างอัจฉริยภาพในการเข้าใจตัวเองล่ะ
แต่คนคิดมาก คงจะคิดกันมานานแล้ว โดยไม่รู้ว่ามันช่วยให้เข้าใจตัวเองมากกว่า หรือน้อยกว่่าทำให้เพี้ยนอะนะ
ฮิฮิ
พุทธศาสตร์ กับวิทยาศาสตร์ จริงๆ แล้วคู่กัน คือ การศึกษาธรรมชาติ เรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ
ตอบลบเราเกิดมาจากธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
แต่มนุษย์นั้นวิปริต ชอบที่จะเอาชนะทุกอย่าง รวมทั้งชนะธรรมชาติ
ทำร้ายธรรมชาติ ย่ำยีธรรมชาติ ซึ่งผลมันก็ย้อนกลับมาหาตัวเอง
หายนะต่างๆ ที่ทำไว้กับธรรมชาติ ก็สะท้อนกลับมาหามนุษย์เอง
เรามาจากผืนแผ่นดิน สุดท้ายเราก็กลับคืนผืนแผ่นดิน เอาอะไรติดไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น เราเกิดมาเพื่อ...
เพื่อทำความเข้าใจกับอะไรๆ
ตอบลบแล้วก็เพื่อจะบอกกับคนรุ่นหลังว่าอย่าทำอย่างนี้
ส่วนคนรุ่นหลังก็ดื้อ ไม่เชื่อ
แล้วก็ต้องคิดๆๆๆ ทำความเข้าใจกับอะไรๆ ใหม่
เพื่อจะบอกกับคนรุ่นถัดจากมันใหม่ว่า "อย่าทำ"
รึเปล่า?
ม่ายรู้ค้าบ
ตอบลบป๋ากร มาออกความเห็นด้วยดิ
เริ่มอ่านหนังสือ "ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง จากจักรวาลถึงเซลล์" ที่โตมร ศุขปรีชาแปลร่วมกับ วิลาวัลย์ ฤดีศานต์
ตอบลบคิดว่ากำลังจะได้แนวคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับการ "เกิดมาทำไม"
ไว้จะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป
ป.ล. กร คนช่างตั้งคำถามหยั่งเอ็งน่าจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้นะ
สั่งซื้อผ่าน www.chulabook.com ได้ลด 10%
ไม่แน่ใจว่าฝากพี่แอนซื้อจะได้ลด 40% ไหม
เพราะสนพ.วงกลมเขาฝากอมรินทร์ บุ๊ค ขาย
ศาสนานี่ถือว่าวิปริตด้วยเปล่า (น่าจะใช่นะ การงดเพศสัมพันธ์นี่ น่าจะถือว่าฝืนธรรมชาติ)
ตอบลบถ้าเราคิดว่า การเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องธรรมชาติ การพยายมหนีให้พ้นบ่วงนี้ ถือว่าคนเราพยายามเอาชนะธรรมชาติหรือเปล่า ?
ม้อย หนังสือเล่มนั้นเห็นแล้ว กะว่าไปซื้อในงานสัปดาห์หนังสือ (เมื่อไหร่งานลดราคาอย่างนี้จะหมดไปซะที รู้สึกว่าคนต่างจังหวัดซื้อหนังสือแพงทั้งปี)
พึ่งผ่าฟันคุดแท้ๆ
ตอบลบแต่ปากคุณเพื่อนยังแรงไม่ตกนะฮะ
ศาสนาไหนเค้าให้งดมีเพศสัมพันธ์วะเอ็ง บอกมาถี
ข้าเห็นมีแต่เค้าสอนว่าอย่าสำส่อน อย่าผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน
ไอ้เรื่องสอนให้หลุดจากเวียนว่ายตายเกิดมันอาจจะเป็นอภิปรัชญาที่ควรจะเอาไปไว้ในอีกหัวข้อนึงว่ะ
ป.ล. งั้นอย่าเพิ่งซื้อ ไว้เราไปช็อปๆๆๆๆๆ หนังสือในงานกัน
...อ้ะ เอ็ง บางทีเค้าก็ตระเวณไปลดที่ต่างจังหวัดเหมือนกันนะเฟ้ย
เอ็งต้องนึกถึงหัวอกคนขายหนังสือด้วยนะ
ก็ถ้าในจังหวัดที่คนอ่านหนังสือน้อยๆ เค้าจะไปทำบุ๊คแฟร์ให้หมีที่ไหนมาซื้อ
บริษัทขายหนังสือนะเว้ย ไม่ใช่องค์กรการกุศล
ถ้าเป็นมิสเตอร์อมตะ(นคร)ก็ว่าไปอย่าง
นั่นเค้ารวยพอแล้ว
พระไงเอ็ง
ตอบลบโอเค ประเด็นนี้อาจพลาดไป เพราะการหลุดจากวงจร ไม่จำเป็นต้องบวชพระอย่างเดียว
คนธรรมดาก็หลุดได้
เรื่องลดราคา คือ ไม่รู้ว่าสัปดาห์หนังสือปีละ 2 หน มีผลต่อยอดขายขนาดไหน แต่น่าจะมาก ไม่อย่างนั้นหนังสือคงไม่เลือกเปิดตัวในช่วงนี้
ซึ่งถ้ามาก แสดงว่า ในราคาปกติ เขาก็ต้องบวกเผื่อลดตอนงานอยู่แล้ว
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่ควรไง
เลือกแบบไม่ลด แต่ซื้อได้ทั้งปีในราคาที่สมเหตุสมผลดีกว่า
ถ้าเราเชื่อตามทฤษฎีที่ว่า จักรวาลเกิดแล้วก็ดับ วนไปเรื่อยๆ แสดงว่าทุกอย่างตอนนี้รอจุดจบทั้งหมด
ข้าเลยว่า ไม่ต้องซีเรียสมากหรอกเรื่องโลกร้อน คนที่เดือดร้อนก็คนนี่แหละ ธรรมชาติมันไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น
อันนี้คิดว่าไม่ใช่
ตอบลบสงสัยเอ็งจะคิดแบบนักการตลาดมากไป
สังเกตดูนะ ว่าอีตอนงานสัปดาห์หนังสือเนี่ย สนพ.เค้าลงทุนมาขายเอง
เอ็งเข้าใจระบบสายส่งบ้านเราป่ะ
หยั่งสมมติเอ็งอยากเป็นนักเขียน เอ็งลงทุนทำหนังสือสักเล่ม ซึ่งก็ไม่ยากหรอกนะ มีฟรีแลนซ์ช่วยเอ็งได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะออกแบบ ประสานงานกะโรงพิมพ์แทน แม้แต่จะเข้าทรง เขียนแทนเอ็ง
ทีนี้พอเอ็งพิมพ์เสร็จ เอ็งไม่มีปัญญาวางขายเองทั่วประเทศหรอก ยังไงก็ต้องเลือกเครือข่ายของสายส่งไหนสักแห่ง
สายส่งเค้าจะชอนไชส่งหนังสือไปวางตามแผงตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศให้ แต่ว่า แผงหนังสือตามร้านมันมีเวลาเป็นเงินเป็นทองไงเอ็ง แมกกาซีันเอย หนังสือเอย มันงอกใหม่ตลอดเวลา ฉะนั้น ถ้าหนังสือเอ็งวางอยู่นานแล้วขายไม่ออก ร้านเค้าก็จะเก็บรอคืนสายส่ง
แล้วสายส่งทำไงต่อ...? ก๊อรอส่งคืนเอ็งไง เอ็งพิมพ์หนังสือเอ็ง ๓๐๐๐ เล่ม อาจจะถูกตีคืนมา ๒๕๐๐ เล่ม แล้วเอ็งจะทำไง รอคนสั่งซื้อทางไปรษณีย์ หรือจะโบกปูนทับ สร้างเป็นบ้านอยู่ซะเรย?
(ห่า)
เอ็งก็ต้องซื้อบูธในงานสัปดาห์หนังสืองี้แหละ
ไอ้ราคาที่เอ็งลดให้คนมาซื้อก็คือราคาที่เอ็งจ่ายให้สายส่งน่ะแหละ ขาดทุนกำไรบ้างยังดีกว่าเจ๊งไง
สนพ.ได้กำไรนิดหน่อย แต่ก็เท่ากับส่งเสริมการอ่าน
พอหมดซีซัน เสื้อผ้าราคาเรือนหมื่นเรือนแสนเค้าก็ยังต้องเอามาเซลส์ นี่กะอีแค่หนังสือ ใจคอเอ็งจะไม่ให้เซลเอาทุนคืนมั่งรึ
มองโลกในแง่ดีหน่อย
ไม่ต้องพูดถึงอมรินทร์เลย (สายป่านเค้ายาว) ถ้ามติชนไม่ทำงี้ สารคดีไม่ทำงี้
หรือแม้แต่สำนักพิมพ์หอนของน้าชาติไม่ทำงี้ ข้าว่าเราก็จะไม่มีใครพิมพ์หนังสือให้อ่านหรอก แม่งเจ๊งเห็นๆ
ป.ล. ไอ้หนังสือที่เค้าขายเอ็งผ่านเว็บของสนพ.เอง หรือผ่าน tohome.com แล้วเราได้ลดราคา มันก็เพราะหลักการเดียวกันนี่แหละ คือไม่ต้องพึ่งสายส่ง สายส่งมันก็มีต้นทุนของเค้านะเอ็ง ค่าน้ำมันตอนนี้แพงจะตายห่า แล้วถ้าไม่มีเค้า วงจรนี้มันก็ไปของมันไม่ได้เหมือนกัน
เอางี้ดีกว่า เอ็งว่าราคาหนังสือพิมพ์รายวันตอนนี้ เป็นต้นทุนค่าส่งเท่าไหร่?
1. ข้าไม่เข้าใจโครงสร้างมัน ได้แต่ตั้งข้อสงสัยว่ะเอ็ง
ตอบลบ2. แต่ ตัวอย่างที่เอ็งยกนะ มันใช้ไม่ได้กับหนังสือที่ขายดีเปล่า ?
หนังสือ "ประวัติย่อ..." ข้ายังไม่ซื้อ รอไปซื้อในงาน ทั้งๆที่ยอดขายโดยปกติของมันคงไม่ได้เลยร้ายมาก
หรือ หนังสือ top 10 เอ็งว่าซื้อในงาน กับซื้อที่บ้าน อันไหนจะลดกว่ากัน
แล้วอีกอย่าง งานสัปดาห์หนังสือเท่าที่จำได้คนเยอะมากๆ แล้วหนังสือที่มันผิดหวังจากการขายในช่องทางหลักนะ คงเป็นหนังสือที่คนไม่ค่อยสนใจ แล้วในงานอย่างนั้นจะมีคนซื้อสักเท่าไหร่
3. ถ้า เขาคิดอย่างนี้จะได้ไหมเอ็ง ก่อนพิมพ์เขารู้ว่ารายได้หลักมาสองทาง
หนึ่งคือ ขายผ่านสายส่ง
สอง รอตอนลดราคาสัปดาห์หนังสือ
ดังนั้น ก็เคยบวกราคาที่แพงกว่าควรจะเป็น เพื่อเก็บไว้มาลดตอนงาน
ถ้าไม่มีงานลด ราคาหน้าปกก็อาจถูกลงตั้งแต่แรก
4. หนังสือ ไม่ใช่เสื้อผ้าว่ะเอ็ง มันควรเป็นสินค้าที่ควรจะได้รับการเอาใจใส่มากกว่าปกติ เสื้อหมดซีซัน ขายไม่ได้ก็ช่างมัน แต่หนังสือเนี่ยน่าจะเป็นสินค้า (หรือว่าจะใช้คำว่าอุตสาหกรรม) ที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
5. สรุปว่า ข้าไม่รู้โครงสร้างมันว่ะ ได้แต่ตั้งข้อสังเกต ในฐานะคนต่างจังหวัดที่ไม่มีโอกาสไปงาน ซื้อในร้านที่บ้านได้ลดแค่ 5% แต่ในงานสัปดาห์ หนังสือเล่มเดียวกัน เห็นมันลดเอาลดเอา ข้าก็ต้องคิดแหละว่าเรานะ กำลังซัพพอร์ทคนเมืองอยู่
เฮ่อ เหนื่อย
ตอบลบเดี๋ยวจะลองเอา url หน้านี้ส่งไปที่สารคดีให้นะ รวมทั้งหน้าที่เอ็งบ่นเรื่องหาซื้อสารคดีไม่ได้ด้วย
ได้คำตอบจากเค้ามาว่าไงจะเอามาขยายต่อ
ได้การละ พี่บอกอวันชัยตันตอบมาละ
ตอบลบ"สวัสดีครับคุณรันตี
ขอตอบคำถามดังนี้ครับ
1 เจ้าของผู้ผลิตหนังสือส่วนใหญ่คงไม่ได้ตั้งราคาเอาไว้เผื่อลดในงานสัปดาห์ เพราะที่ผ่านมา หนังสือจะถูกหักค่าสายส่งไปแล้ว 40 % อาทิ หนังสือราคาปก 100 บาท สำนักพิมพ์รับจริง 60 บาท อีก 40 บาท เป็นของสายส่ง แต่การมาขายในงานและลดราคาให้กับลูกค้า 20% ก็ยังทำให้ทางสำนักพิมพ์ได้ราคามากกว่าที่ต้องผ่านสายส่ง
สำนักพิมพ์ส่วนใหญ่จึงหวังยอดขายจากงานสัปดาห์หนังสือพอสมควร แต่แน่นอนว่า ทำให้ยอดขายหนังสือในร้านค้าทั่วไปลดลง เพราะนักอ่านก็รอมาซื้องานสัปดาห์ดีกว่า และยังถือโอกาสได้ระบายหนังสือเก่าในสต๊อคด้วย
และยังมีสำนักพิมพ์เล็ก ๆ พิมพ์หนังสือมาขายเฉพาะงานนี้ เพราะเก็บเงินสดได้ ไม่ต้องง้อสายส่ง
2 แน่นอนว่างานสัปดาห์รับใช้เฉพาะคนเมืองหลวงเป็นหลัก เพราะคิดว่ามีกำลังซื้อมากกว่า แต่มีสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ พยายามไปสัญจรเปิดงานแบบนี้ตามหัวเมืองใหญ่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ค่อยคุ้มค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ อาทิมติชน
ขอบคุณมากครับที่ยังติดตามอ่านสารคดีมานาน
วันชัย ตัน"
กระจ่างแล้วนะ, กรโดล่า?
ยังติดใจ
ตอบลบแต่ไม่รู้จะถามอะไร
ถ้างานสัปดาห์หนังสือมีผลกระทบต่อสายส่ง มันจะมีปัญหาอะไรกับระบบขายหนังสือโดยรวมเปล่า ? และจะมีปัญหากับร้านขายหนังสือเปล่า เช่น ถ้าเราหวังให้มีร้านหนังสือประเภท ร้านหนังสือเดินทาง เกิดขึ้นมากๆ ในประเทศ การมีสัปดาห์หนังสือ จะส่งเสริมหรือทำลายเป้าหมายตรงนั้นขนาดไหน ?
คือ ยังไงเสียจะขายของ ก็ต้องมีระบบกระจายสินค้า คำถามคือ ช่องทางการขายแบบไหนที่เหมาะกับการขายหนังสือ และส่งผลดีต่อวัฒนธรรมการอ่านของคนในชาติ
ถ้า สนพ. ขายหนังสือเองมากๆ (เช่น ผ่านเน็ท) แล้วร้านหนังสือจะเป็นไง
ตอนนี้ข้าก็ใช้วิธีเดินดูในร้าน แล้วมาสั่งเองผ่านเน็ทเพราะมันถูกกว่า แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะมีผลกระทบยังไงกับร้าน และถ้าร้านมีปัญหามันจะมีผลกระทบอะไรกับวัฒนธรรมการอ่านนะเอ็ง
หรือว่า ไม่เป็นไร เพราะมันเป็นเทรนการขายสินค้าของโลกนี้ที่จะตัดตัวกลางออก และถึงยังไงตลาดโดยรวมก็โตขึ้น ถ้าคนซื้อผ่านเน็ทได้ คนก็น่าจะอ่านเยอะขึ้น โอกาสที่ร้านในท้องถิ่นจะขายได้ก็เยอะขึ้น เพราะฐานลูกค้ามันกว้างขึน ??
ไม่รู้ว่ะเอ็ง
เสนอให้จัดงานสัปดาห์หนังสือออนไลน์ อีกสักปีละ 2 ครั้ง ได้เปล่า ?
ยังไงก็ต้องขอบใจเอ็ง ที่ช่วยหาคำตอบ
ตอบลบเพิ่งอ่านข่าว เวียดนามจะสร้างรถไฟความเร็วสูงจากเหนือจดใต้ ลงทุนประมาณ 33 พันล้านเหรียญ (ถ้าจำไม่ผิด) ของเรา รถไฟสยามเมืองยิ้ม เพิ่งจะลงทุนหลายล้านวางแผนกำจัดตัวเรือดในรถไฟ
ชาติแรกๆที่มีรถไฟในเอเชีย สงสัยจะเป็นชาติท้ายๆที่ยังมีรถไฟโบราณวิ่งได้อยู่
ข้าเป็นคนรักรถไฟว่ะ
ตอบลบเวลาจิตตกชอบไปฝึกความอดทน+ฝึกปลงบนรถไฟ
เคยนั่งสปรินเตอร์อยู่บ่อยๆ ด้วย
แต่คงจะไม่เคยโดนตัวเรือดรุมขนาดนั้นกระมัง
(หรือหนังจะหนาจนเรือดไม่ระคาย)
นี่ก็จองตั๋วรถนอนจะกลับบ้านเดือนเมษา
หวังว่ารถนอนคงไม่มีเรือดเยอะขนาดนั้นนะ
ป.ล. เราควรจะคุยกันว่าเราเกิดมาทำไมไม่ใช่หรอ?
ข้าไม่ค่อยติดใจเรื่องนี้วะ
ตอบลบ"เกิดมาทำไม" นะ
แต่ไม่ใช่ไม่เคยถาม แต่ถามแล้วคำตอบมันลอยๆ โหวงๆ ยังไงก็ไม่รู้
ข้าว่าใครๆ ก็ต้องเคยถามอย่างนี้
แล้วก็คงมีหลายอารมณ์ หลายสถานการณ์ ที่ทำให้เรากลับมาถามคำถามนี้ซ้ำ
ทุกคนคะ
ตอบลบขอโทษที่ต้องนำข่าวร้ายมาแจ้ง
คือว่า หลังจากที่เก๋ประสบอุบัติเหตุที่จันทบุรีเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา
แล้วก็รักษาตัวในห้องไอซียูมาโดยตลอด ซึ่งทั้งหมอและทุกๆ คนก็ให้ความช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ ทั้งไปให้เลือดเก๋ด้วยตัวเอง และส่งข่าวบอกต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จัก
แต่บ่ายวันนี้ หลังจากที่ต่อสู้กับความเจ็บปวดมาสิบกว่าวัน เก๋ก็ได้จากพวกเราไปแล้วละ
ดิฉันขอขอบคุณทุกความช่วยเหลือจากทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน Blog นี้แทนเก๋ด้วย
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
เสียใจด้วยครับ
ตอบลบเอ่อ วนกร โทดทีนะคะ
ตอบลบพี่เพิ่งได้ข่าวว่าหมอช่วยชีวิตเก๋ขึ้นมาอีกครั้งน่ะค่ะ
อืม... ก็ถือเปนเรื่องที่น่ายินดีครับ
ตอบลบอยู่ที่พลังใจของเพื่อนเจ้แล้วล่ะครับ
สู้ๆ ครับ
วนกร
ตอบลบเพื่อนเจ้เค้าไม่ไหวแล้วล่ะ
เค้าคงเหนื่อยมากแล้วอะนะ
เพิ่งได้ข่าวตอนสี่ทุ่มกว่าๆ ว่าเค้าจากเราไปแล้วจริงๆ
เสียใจด้วย (อีกครั้ง) ครับ
ตอบลบตั้งแต่เกิดมา รู้สึกว่าคนอื่นไม่ใช่ปัญหา รู้สึกอย่างนี้จริงๆ
ตอบลบ