พ่อให้ตับลูก 7 เดือน จุฬาฯผ่าตัดสำเร็จ [1 ส.ค. 51 - 04:09]
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. โดยที่ชั้น 10 ตึก สก.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการ รพ.จุฬาลงกรณ์ แถลงข่าวความสำเร็จการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ จากผู้บริจาคที่มีชีวิต ซึ่งเป็นพ่อให้แก่ผู้ป่วยเด็ก ซึ่งเป็นลูกและมีอายุเพียง 7 เดือนครึ่ง ว่า รพ.จุฬาฯประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายและผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะมาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะการผ่าตัดเปลี่ยนตับมีการทำมาตั้งแต่ปี 2537 โดยได้ปลูกถ่ายและเปลี่ยนตับ ให้แก่ คนไข้ไปแล้วประมาณ 110 ราย ทั้งจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตและผู้บริจาคที่มีชีวิต ส่วนรายล่าสุดที่ทำการผ่าตัดสำเร็จครั้งนี้ ถือเป็นรายแรกของประเทศไทยที่ผู้รับการปลูกถ่ายมีอายุน้อยที่สุดเพียง 7 เดือนครึ่ง และเป็นรายแรกที่ผู้บริจาคตับเป็นพ่อแท้ๆที่ยังมีชีวิตอยู่
รศ.นพ.อดิศรกล่าวว่า ผู้ป่วยรายนี้เป็นเด็กชาย อายุ 7 เดือนครึ่ง จากประวัติการตรวจรักษาพบว่า มารดาเป็นพาหะของภาวะการขาด G6PD หรือภาวะพร่องเอนไซม์ของเม็ดโลหิตแดง ทำให้เม็ดโลหิตแดงเปราะ เด็กมารับการตรวจที่ รพ.จุฬาฯ เมื่ออายุประมาณ 2 เดือน ประมาณต้นเดือนมกราคม 2551 ด้วยอาการตัวเหลือง ตาขาวมีสีเหลือง อุจจาระสีซีด แพทย์รับไว้เป็นผู้ป่วยใน โดยทำการฉีดสีดูทางเดินของท่อน้ำดี พบว่าท่อน้ำดีไม่ ตีบตัน แต่มีอาการอักเสบของตับ จึงตัดชิ้นเนื้อไปตรวจและนัดมาฟังผล พบว่าเด็กมีอาการอักเสบของตับตั้งแต่ แรกเกิด โดยไม่ทราบสาเหตุ
ต่อมาเมื่อเดือน มิ.ย.2551 ผู้ป่วยมีอาการไข้และซึมลง คณะแพทย์ลงความเห็นว่า ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ จึงได้ตรวจเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ ของเลือด ต่อมาวันที่ 22 มิ.ย. 2551 ผู้ป่วยมาพบแพทย์ ด้วยอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมีส่วนกระตุ้นให้ เกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน จึงรับตัวไว้เป็นผู้ป่วยในทำการรักษา แต่ขณะที่รอผู้บริจาคอวัยวะจากผู้ป่วยสมองตาย ผู้ป่วยเริ่มมีเลือดออกง่าย ตัว ตา เหลืองมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตในเวลาอันสั้น จึงได้ปรึกษากับพ่อแม่ของเด็ก และตรวจร่างกายพบว่า ผู้เป็นพ่อสามารถบริจาคตับให้แก่ลูกได้ เมื่อได้ทำความเข้าใจแล้ว พ่อยินดีที่จะบริจาคตับบางส่วนให้แก่ลูก จึงได้นัดผ่าตัดเมื่อวันที่ 7 ก.ค. และการผ่าตัดประสบความสำเร็จด้วยดี
ด้าน รศ.นพ.รื่นเริง ลีลานุกรม อาจารย์ประจำภาควิชาวิสัญญี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การผ่าตัดครั้งนี้ใช้การวางยาสลบ ใช้เวลาผ่าตัดนานประมาณ 10 ชั่วโมง ระหว่างผ่าตัดได้ให้เลือดจากธนาคารเลือดแก่ ผู้ป่วยเด็กที่รับการปลูกถ่ายไป 1 ถุง ส่วนที่เหลือใช้เลือดจากตัวเด็กที่ดูดออกมาแล้วนำมาปั่นใส่กลับเข้าไปใหม่
ผศ.นพ.สุภนิติ์ นิวาตวงศ์ ศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายตับครั้งนี้ กล่าวว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนตับของ รพ.จุฬาฯ เป็นผู้ป่วยเด็ก สำหรับรายนี้ใช้ตับข้างซ้ายบางส่วนของพ่อนำไปปลูกถ่ายให้กับลูก โดยตับเป็นอวัยวะที่สามารถงอกกลับมาใหม่ได้ เพราะฉะนั้นตับของพ่อที่ถูกตัดแบ่งออกไปปลูกถ่ายให้กับลูกนั้น จะงอกกลับมาภายใน 1 เดือน สิ่งที่ยากของการผ่าตัดผู้ป่วยรายนี้ คือ เด็กตัวเล็กมาก ระหว่างการผ่าตัดต้องใช้ทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการต่อเส้นเลือดครั้งนี้ได้ศัลยแพทย์ ระบบประสาท คือ ผศ.นพ.สุรชัย เคารพธรรม เป็นผู้ ทำการต่อเส้นเลือดให้ หลังผ่าตัด พ่อซึ่งเป็นผู้บริจาคตับให้กับลูกมีอาการทั่วไปดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน พักฟื้นในห้องไอซียู 1 คืนหลังผ่าตัด และห้องผู้ป่วยธรรมดาอีก 11 วัน ก็กลับบ้านได้ ปัจจุบันสามารถขับรถไปทำงานได้ตามปกติแล้ว ส่วนลูก ภายหลังผ่าตัด การทำงานของตับดีขึ้นเป็นลำดับ ไม่มีไข้ แต่ยังคงต้องได้รับยาปฏิชีวนะและยากดภูมิคุ้มกัน คาดว่าจะสามารถกลับบ้านได้ในเร็วๆนี้
ผศ.นพ.สุภนิติ์ยังได้กล่าวถึงความสำเร็จของการผ่าตัดครั้งนี้ จะช่วยทำให้สังคมเข้าใจถึงการสละอวัยวะของคนที่ยังมีชีวิตนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยได้ แต่กฎหมายไทยกำหนดว่าต้องเป็นคนในครอบครัว หรือสายเลือดเท่านั้น เชื่อว่าวิธีการปลูกถ่ายในลักษณะนี้ จะช่วยให้ผู้ ที่รอการบริจาคอวัยวะมีความหวังมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ เช่น กรณีของยอดรัก สลักใจ จะสามารถใช้การปลูกถ่ายในลักษณะนี้ได้หรือไม่ ผศ.นพ.สุภนิติ์กล่าวว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับหรือผู้ป่วยที่มีภาวะตับอักเสบรุนแรงสามารถใช้วิธีปลูกถ่ายในลักษณะนี้ได้ แต่กรณีของยอดรัก สลัก-ใจ นั้นไม่แน่ใจว่ามีข้อจำกัด หรือข้อห้ามในการผ่าตัด เปลี่ยนตับ หรือปลูกถ่ายตับจากภาวะอื่นหรือไม่ เพราะหากอาการของโรคลุกลามรุนแรงไปมากแล้ว การผ่าตัดอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก
ด้านนายนิคม ศรีชู อายุ 35 ปี พ่อที่ให้ชีวิตใหม่ แก่ลูกคือ ด.ช.ภพ ศรีชู ครั้งนี้เปิดเผยว่า ครั้งแรกรู้สึก กลัว แต่เมื่อแพทย์ได้ให้ข้อมูลและทำความเข้าใจถึงวิธี การผ่าตัดปลูกถ่ายตับอย่างละเอียด จึงตัดสินใจสละตับบางส่วนของตนให้ลูก เพราะหมอบอกว่าคงไม่สามารถรอตับจากผู้บริจาคได้ เนื่องจากอาการของลูกชายรุนแรงมากขึ้น เมื่อมาถึงวันนี้ต้องบอกว่าดีใจมากและดีใจจนบอกไม่ถูกที่ได้ให้ชีวิตใหม่แก่ลูก ส่วนสุขภาพของตนเอง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีบางช่วงที่มีอาการแน่นท้องบ้าง แต่หมอบอกว่าสักระยะหนึ่งจะดีขึ้น ขณะนี้สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติแล้ว
จากไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=99012
ชีวิตก็ให้ได้ อย่าว่าแต่ตับเลย
ตอบลบคุณหมอเก่งมากครับ ต่อเส้นเลือดเด็กอายุเจ็ดเดือน เก่งมากครับ
ตอบลบอ่านแล้วแอบอายจังเลย เราเคยให้อะไรพ่อบ้างรึเปล่านะ
ตอบลบเห็นด้วย :>
ตอบลบนี่ขนาดยังไม่มีบุตรนะ
ตอบลบสปิริตเจ้ยังแีรงขนาดนี้
หมอไทย นี่เก่งสุดๆ
ตอบลบ...^_^...
ตอบลบ=^__^=
ตอบลบ