วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552

Doubt : จากจุดเริ่มต้นเดียวกัน

Rating:★★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

ได้ดู Doubt (2008) กับปกรณ์ที่ลิโด้ตั้งแต่กลับจากชะอำได้สองวัน พบว่าเป็นหนังที่น่าอัศจรรย์ใจมาก แต่ต้องใช้เวลานึกอยู่หลายวัน จนเดินทางไปเจอปกรณ์ที่เกาะสมุย และกลับมาบางกอกอีกรอบแล้ว อิฉันจึงได้นึกออก ว่าจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้อย่างไร

เรื่องมันไม่ได้เริ่มต้นเอาที่ตัว “ความสงสัย” โดยตรง แต่มันเริ่มจากความเขม่นก่อน เขม่นว่าทำไมฟาเธอร์ฟลินน์ (ฟิลลิป ซีมอร์ ฮอฟแมน) ถึงได้เป็นพระที่ดูมั่นใจจัง ทำไมถึงโดดเด่นจัง ทำไมถึง shiny แล้วก็ดึงดูดผู้คนได้ดีจัง... แล้วการจับผิดของซิสเตอร์อลอยซิอัซ โบวิเอร์ (เมอริล สรีพ) จึงเริ่มขึ้น (พระช่วย! นามสกุลอะไรเรียกยากอย่างนี้ ขอเรียกว่าซิสเตอร์สรีพละกันนะ)

เรื่องนี้มันดูคุ้นชินพิกล..อิฉันเพิ่งถึงบางอ้อวันนี้ เมื่อกลับเข้าออฟฟิศเป็นครั้งแรกในรอบ 5 วัน

ก็จริงแล้ว มันช่างละม้ายคล้ายเรื่องที่เกิดรอบๆ ตัวอิฉันนัก

ไม่ว่า “ผู้หญิง” สำหรับคุณจะน่ารัก น่าเทิดทูนราวกับแม่พระผู้บริสุทธิ์อย่างไร อิฉันขอแสดงความเคารพไว้ ณ ที่นี้ ก่อนจะขอเล่าว่า อิฉันออกจะโชคร้ายอยู่สักนิด ที่มองเห็นผู้หญิงรอบๆ ตัวเป็นสัตว์โลกช่างสังเกต เก็บรายละเอียด และช่างนำรายละเอียดนั้นมาวิเคราะห์แจกแจง เมื่อมีสมาชิกใหม่ย่างก้าวเข้ามาในผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง พวกเธอจะรอคอยการสาบานตนเข้าเป็นพวกเดียวกัน โดยคาดหวังว่าสมาชิกใหม่จะมีรสนิยมใกล้เคียงกัน ชอบกินข้าวร้านเดียวกัน ระดับราคาพอๆ กัน ชอบเดินตลาดแนวเดียวกัน พูดคุยเรื่องเดียวกัน มีความเห็นสอดคล้องไปในทางเดียวกัน พูดภาษาบ้านๆ คือชอบที่จะ “เม้าท์” ในเรื่องเดียวกัน

ใครผิดไปจากนี้ คนนั้นแหละที่จะโดนเขม่น โดยการจับตาทุกรายละเอียด เพื่อเฟ้นหาประเด็นน่าสงสัยมาวิเคราะห์เจาะลึก ว่าหล่อนผู้นั้นทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ แล้วการที่หล่อนเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ แปลว่านิสัยของหล่อนเป็นยังไง ฯลฯ

...กระบวนการเช่นนี้เราเรียกภาษาบ้านๆ ว่า “เม้าท์” อีกนั่นแหละ

ใช่ เหมือนว่าเรื่องราวใน Doubt จะเริ่มจากอุปนิสัยดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ในสัญชาตญาณลูกผู้หญิง แต่ทว่า ความสงสัยในหนังเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ อย่างที่บางคนสงสัยฆ่าเวลา หรือสงสัยเพื่อแค่ให้มีบทสนทนา (อย่างออกรส) กับคนอื่นๆ
ก็คนที่ถูกสงสัย และประเด็นที่สงสัยมันเกี่ยวข้องกับเด็กๆ นี่นา

บอกตรงๆ ก็ได้ว่า จริงๆ แล้ว “ผีแม่” เริ่มเข้าสิงอิฉันตั้งแต่ดูหนังเรื่องนี้แล้วล่ะ

โอเค-ซิสเตอร์สรีพเธออาจจะเป็นนางชีเคร่งวินัย ใจร้าย ใจแคบ ไม่มีรอมชอม ฯลฯ ก็ตาม แต่เธอไม่ได้ดื้อด้านที่จะเป็นอย่างนั้น หากยืนตัวตรงเป็นไม้บรรทัดอยู่บนจุดหลักการของเธอ เพราะเธอถือตัวว่าเป็นครู สิ่งที่ทำ ก็ทำเพื่อปลูกฝังระเบียบวินัยให้นักเรียน และนั่นคือความเมตตาต่อเด็กในแบบฉบับของเธอ

ด้วยอิทธิฤทธิ์ของผีแม่ และด้วยความเอนเอียงเข้าข้างซิสเตอร์สรีพของอิฉัน (ขอสารภาพตรงๆ เลยแหละ) ทำให้อิฉันดูหนังเรื่องนี้โดยถือหาง เข้าข้างซิสเตอร์ เพราะเชื่อว่า แม้ซิสเตอร์จะเขม่นฟาเธอร์ แต่เธออยู่ข้างเด็ก

และถ้าฟาเธอร์ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมไม่พูดออกมา ว่าฉันไม่ได้ผิดนะ แทนที่จะหลบหน้า หนีหายไปจากเวทีอย่างที่เป็นในหนัง

คำพูดยอกย้อนที่คมกริบบาดหูระหว่างสงครามของสองตัวละครยังไม่ทำให้ปวดใจเท่ากับบทพูดน้อยคำของแม่ของโดนัลด์ เด็กผิวสีที่น่าสงสารคนนั้น

ตอนที่ซิสเตอร์สตรีพพยายามจะบอกข้อสงสัยว่าฟาเธอร์ฟลินน์ทำอะไรกับลูกชายของเธอ-ทั้งๆ ที่ก็พอจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่า ฟาเธอร์ฟลินน์ takes อะไรจากลูก แต่ก็ gave และสัญญาว่าจะ give อะไรกับลูกบ้าง-เธอดันพูดว่า

I don’t know if you and we are on the same side. I’ll be standing with my son and those who are good with my son. It’d be nice to see you there.

อิฉันฟังไป (อ่านซับฯ ด้วยสิคะ) แล้วก็อึ้ง…


ออกจากโรงมาถึงกับต้องถามปกรณ์ว่า “ถ้าเอ็งเป็นแม่ของเด็ก เอ็งจะทำยังไง?”




(ใจจริง อยากถามว่า “ถ้าเอ็งเป็นแม่ของเด็ก เอ็งจะทำอย่างนั้นหรอ?” มากกว่า)




บันทึก
• ขอบคุณปกรณ์ที่ดูเป็นเพื่อน แรกๆ เอ็งคงไม่อยาก (ไม่งั้นคงไม่หลับ) แต่ดูแล้วก็ชอบใช่ไหม?
• หนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าที่ไดอาลอกโคตรเจ๋ง ถ้ามันเป็นมวย การแคสติ้งได้ป้าสรีพมาชกกับน้าฮอฟแมนแบบนี้ นับเป็นคู่ชกที่สมศักดิ์ศรีจริงๆ
• ขอคารวะคุณจอห์น แพ็ตทริก แชนลีย์ เจ้าของบทละครเวทีดั้งเดิมชื่อ Doubt: A Parable เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์สาขาดราม่าในปี 2005 ซึ่งลงมือเขียนบทดัดแปลงและกำกับหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเอง คุณเข้าใจหยิบธรรมชาตินิสัยของคนมาเล่น และเล่นได้เจ๋งมากค่ะ
• น้องเอมี่ อาดัมส์ ที่เล่นเป็นซิสเตอร์เจมส์หน้าตาน่ารักจริงๆ หลายคนดูแล้วคงอยากกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้งสินะ
• อิฉันนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนที่ไร้อคติกับเกย์ แต่อิฉันเกลียดการคุกคามทางเพศว่ะ โดยเฉพาะผู้ใหญ่คุกคามเด็กด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่เพศไหน อิฉันรับไม่ได้ทั้งนั้น
• (เห็นไหม ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันเลยว่าฟาเธอร์ฟลินน์ทำผิดจริง แต่สัญชาตญาณผู้หญิงที่อิฉันก็มีกะเค้าเหมือนกัน ทำให้อิฉันเขม่นคนได้ง่ายๆ งี้แหละ)
• (ไม่รู้สินะ ในฐานะผู้หญิง ยอมรับว่าค่อนข้างเชื่อมั่นใน woman's intuition ของตัวเองไม่น้อย พูดอีกทีแล้วจะบอกว่าภูมิใจด้วยซ้ำ)
• หนังเรื่องนี้ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่า ความช่างสังเกต และช่างสงสัยของลูกผู้หญิง ใช่จะเป็นสิ่งไร้สาระเสมอไป



34 ความคิดเห็น:

  1. เห็นด้วยว่าแม่ชีสาวใหญ่เริ่มจากเขม่น และคงเซ็งๆที่บาทหลวงได้ใจเด็กโดยใช้วิธีการที่ตรงกันข้ามกับที่ชีใช้ วิธีที่เธอเองคงเชื่อว่างห่างไกลกับสิ่งที่พระเจ้าบอกให้ทำ + กับเซ็งอีกที่ทำไมผู้ชายถึงมีบทบาทมากกว่า ทั้งๆที่ก็เชื่อว่า เธอและแม่ชีเคร่งครัดอยู่ในแนวทางของพระเจ้ามากกว่าผู้ชายเสียอีก

    ตอบลบ
  2. ควรแยกระหว่างเจตนาดี กับ การกระทำที่ไม่ได้เรื่องออกจากกัน
    ซิสเตอร์เธออาจจะตั้งใจดีในแบบของเธอ แต่ถ้ามันไม่เวิร์คก็ควรจะเลิกเสีย เพราะถึงที่สุดคนที่รับเคราะห์ก็คือลูกศิษย์

    ตอบลบ
  3. ข้าติดใจหนังเรื่องนี้อยู่นิดเดียว
    เอ็งเห็นตอนซิสเตอร์เปลี่ยนหลอดไฟเปล่า
    ไอ้อุปกรณ์อย่างนั้น ที่อื่นมีมาตั้งนานแล้ว ทำไมบ้านเราเพิ่งมีว่ะ

    ตอบลบ
  4. เอ่อ บ้านเรามีไม้สอยมะม่วงไง
    ใช้มานานแล้วนะ บางทีก็เป็นงานหัตถกรรมหวายอีกตะหาก

    ตอบลบ
  5. หมายถึงเรื่อง....ปากกาลูกลื่น
    หรือวิทยุทรานซิสเตอร์
    หรือเรื่องการเฟลิร์ตกะนักเรียนชาย?

    ตอบลบ
  6. ทุกเรื่องดิ โดยรวมนะ

    ตอบลบ
  7. ไม่แน่ มันอาจเป็นช่องทางเดียวที่จะหนีพ้นสิ่งที่เลวร้ายกว่า

    ตอบลบ
  8. ห่า
    นักเรียนทำทุกอย่างที่ครูห้ามได้ ที่บ้านนะ
    เป็นเด็กก็ควรเรียนรู้ที่จะเคารพกติกาของแต่ละที่ดิ
    ทุกวันนี้ในที่ทำงานเรายังต้องเคารพกติกาของที่ทำงานเลย

    แล้วที่เค้าห้าม ไม่ใช่เค้าไม่มีเหตุผล
    เอ็งยังยอมรับเลยว่าเด็กๆ ก็ต้องใช้ปากกาหมึกซึมเพื่อหวังจะให้ลายมือสวย
    (โอ้อนิจจา ปากกาหมึกซึมไม่ช่วยอะไร)

    ตอบลบ
  9. เอ็งก็พูดได้
    เอ็งไม่มีทางได้เป็นแม่อยู่แล้ว
    และคนเป็นพ่อก็มักมีหนทางหลีกเลี่ยงการตัดสินใจในเรื่องแบบนี้เสมอ

    อย่าหาว่าเหยียดเพศเลยนะ
    แค่พูดความจริง

    ตอบลบ
  10. แล้งเอ็งจะถามทำไมว่า "ถ้าเป็นแม่"

    ตอบลบ
  11. ทุกคนมีหนทางในการหลีกเลี่ยงการตัดสินใจทั้งนั้นแหละเอ็ง ต่อให้เรื่องแบบไหนก็เหอะ

    ตอบลบ
  12. จนถึงทุกวันนี้ ข้ายังรู้สึกว่า
    ครูบางคนไม่ได้เรื่อง และเรามีกฏห่วยๆเต็มไปหมด
    กฏที่บางทีเป็นความเชื่อของครูล้วนๆ

    คือโดยรวมข้าว่าซิสเตอร์นะ ถ้าเลือกได้จะไม่ไปเรียนด้วย

    ตอบลบ
  13. ต๊าย....

    พร้อมเป็นแม่คนแล้วนะเนี่ย

    ตอบลบ
  14. ข้าเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนที่โรงเรียนให้เด็กใช้ปากกาหมึกซึม เพราะครูคิดว่าจะทำให้ลายมือสวยเหมือนในหนังที่ซิสเตอร์บังคับเด็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าเห็นด้วยกะที่ครูบอก (ถ้าข้าพูดผิดไปก็ขอแก้ไข)

    ยังไงก็เหอะ อย่างที่เอ็งว่า เห็นๆอยู่ว่าความเชื่อของครูอาจจะผิด เพราะลายมือข้าห่วย

    ตอบลบ
  15. โถๆๆๆๆๆๆๆ

    แต่ช้าแต่นะ

    ตอบลบ
  16. เฮ้ยเจ้
    ยังไม่พร้อมหรอกฮะ
    ผัวยังไม่พร้อมจะมีเลย
    แล้วจะมีลูกได้ไง

    ตอบลบ
  17. จะบอกเอ็งว่า ไอ้ที่ครูบอกให้เราทำบางอย่าง มันไม่มีที่มาที่ไป มีแต่เจตนาดีบางทีก็ไม่มีประโยชน์

    ปล.ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการลายมือไม่ดี

    ตอบลบ
  18. แล้วเอ็งจะตอบคำถามที่ถามข้ายังไง

    ตอบลบ
  19. ใช่สิ ลายมือห่วยมันไม่ใช่ปัญหาของเอ็ง
    แต่มันเป็นปัญหาของครู
    (เพราะครูอ่านลายมือเอ็งไม่ออก)

    ตอบลบ
  20. ข้าูจะปกป้องลูก
    ชีวิตดีๆ มันไม่ควรจะแลกด้วยการที่มีใครมาทำอะไรเหี้ยๆ กะลูกข้าอย่างนั้น

    ถ้าลูกมันจะเป็นเกย์
    จะอากะผู้ชายอย่างเดียว
    หรือจะเอากะทั้งผู้ชายและผู้หญิง
    ก็ให้มันเลือกเอง ตอนที่มันโตพอแล้ว
    แต่ถ้ากูยังไม่ตาย อย่าคิดมายัดเยียดให้ลูกกูแบบนี้

    (ผีแม่เข้าได้อีก)

    ตอบลบ
  21. อ่านซะมันเลย

    อาการ"คิดมากในเรื่องเล็กน้อย" โดยสถิติ ที่เราพบเจอ ในผู้หญิง มากๆๆๆ มากกว่า

    อีกอัน เรายอมรับเลยนะว่า
    อาการ"แม่หมาหวงลูก"
    เป็นโฮโมน, ดีเอนเอ, พันธุกรรมทางเพศ หรือจะเรียกอะไรสักอย่าง
    ที่ฝังมาในตัวเมีย เชื่อว่ามันเป็นกลไกทางวิทยาศาสตร์

    ตัวเมีย มีในตัว และยอมไม่ได้กันเกือบทุกคนเลยนะ
    คิดอะไรไม่ออก กูกัด ปกป้องไว้ก่อน
    กล้าทำบ้าๆบอๆ ดูไร้ความคิด โง่ๆ ไม่มีศักดิ์ศรี
    ไม่รู้เว้ย แต่อย่ามาทำร้ายลูก ฉ้านนนน

    ....
    นอกจากหวงลูก คนเพศเมียจะ "หวงผัว"ด้วย
    ่เพียงแต่ อันหลังนี้อาจจะเป็นการถูกครอบทางวัฒนธรรมความรัก

    แต่หวงลูกเราว่าเป็น "ชิพ"ที่ฝังมากับตัวเมียทุกตัวคน


    สถานการ์ณที่ลูกกำลังตกอยู่ในอันตราย ตัวเมียจึงจะใช้สติได้น้อยกว่าตัวผู้
    เพราะ "ชิพแม่หมาหวงลูก" ทำงาน

    ตอบลบ
  22. ตอนเอ็งตอบ ตอบในฐานะที่ว่าถ้าเอ็งเป็นแม่คน
    หรือ ถ้าเอ็งเป็นแม่ของเด็กในหนัง

    ตอบลบ
  23. เป็นด้วยดิ ถ้าคนอ่านมันอ่านไม่ออกการสื่อสารก็ไม่สำเร็จผลดิ

    ตอบลบ
  24. ถ้าเป็นตัวข้าเอง
    ไม่ว่าจะเป็นแม่ในหนัง หรือแม่ในชีวิตจริงก็จะปกป้องลูก

    ข้าเชื่อมั่นว่า ถ้าไม่งอมืองอตีน
    ข้าจะให้ชีวิตดีๆ กับลูกได้เท่าที่ข้าจะทำได้ว่ะ

    พอดีพอมีปัญญาอยู่บ้าง แล้วก็อาจจะไม่ลำบากเท่าแม่ในเรื่อง

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้เป็นแม่จริงๆ สักที
    ฉะนั้น ที่ลอยหน้าลอยตาตอบมานี่ก็แค่คิดเท่านั้นแหละ

    ตอบลบ
  25. เวลาเอ็งทำข้อสอบอัตนัย ถ้าอาจารย์อ่านไม่ออก
    เค้าก็ไม่ตรวจให้เอ็งหรอก

    ตอบลบ
  26. เมื่อก่อนก้อเคยหวงนะ ผู้ชายน่ะ
    แต่ตอนนี้แก่ลงมากแล้ว
    ถ้ามีผู้ชายอีก ไม่รู้จะยังหวงอยู่ไหม

    ตอบลบ
  27. ใช้วิธีเว้นบรรทัด และเขียนตัวโตกว่าปกติ

    ตอบลบ
  28. ไม่จริงนะฮะ

    กรูพยายามแหกตา เพ่งตาอ่านสุดฤทธิ์ พยายามหาที่ให้คะแนน

    กลัวมันสอบตก
    แล้วต้องอ่านลายมือมันอีกปีหน้า

    แต่ถ้าอาจารย์ที่ไม่ตรวจ จะไม่ตรวจเลย ไม่ว่าจะลายมือสวยหรือไม่สวย
    แบบสุ่มให้คะแนนไปเลย

    ตอบลบ
  29. โอ..คนนี้อาจารย์แม่(พระ)

    ตอบลบ
  30. ขอโทษนะยะ ไม่ใช่แม่ชีสาวใหญ่ย่ะ
    ชีเคยแต่งงานมาก่อนแต่สามีไปรบแล้วไม่ได้กลับมา จำได้ปะ
    (หรือตอนนี้หลับ)

    อะไรขี้เม้าท์เจ้าระเบียบเนี่ย โทษสาวใหญ่ก่อนเลยนะยะ

    ตอบลบ
  31. เป็นอีกเรื่องที่อยู่ในลิสต์ แต่คงอีกนาน
    เพราะตอนนี้เพิ่งได้ดู Crash และ Babel
    ล้าสมัยมาก ๆ เลยใช่มั้ยคะคุณน้อง
    ตอนพี่อยู่เมืองไทย ต้องได้ดูหนังทุกเรื่องที่เข้าชิงออสการ์
    และให้คะแนนส่วนตัว ก่อนวันประกาศผล
    ตอนนี้ย้ายมาอยู่หลังเขาฮอลลีวูดแท้ ๆ
    แต่ต้องดูหนังเข้าชิงออสการ์ย้อนไปหลายปีเลยตรู

    ตอนนี้คุณพี่กำลังอ่าน the reader ได้ครึ่งเล่ม เศร้าจัง สงสารฮานน่ามาก ๆ
    ค่อย ๆ อ่านและรู้สึกตามฮานน่าไปเรื่อย ๆ วันละสองสามบท
    ต้องรีบจบภายในอาทิตย์นี้ เพราะมีคนรอต่อคิวยืมที่ห้องสมุด

    ตอบลบ
  32. ดีจังเลยค่ะพี่ อยากมีห้องสมุดแบบนี้อยู่ใกล้ๆ บ้าน

    ตอบลบ
  33. ก็พี่แจ๋วมีอีก 2 คนที่ต้องดูแลนี่นา
    สมัยก่อนเราก็แค่เอาตัวเราให้รอดเป็นพอ

    ตอบลบ