วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

บางเรื่องที่ไม่รู้เหตุผล ตอนที่ ๑ คนแปลกหน้า

 

 
"ขอบคุณนะ”

ภารดีเอ่ยกับปลายสายอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกดปุ่มวางสายโทรศัพท์

เสียงไก่ขันแว่วมาจากที่ไกล

เช้าแล้วหรือ? นี่เธอคุยกับคนแปลกหน้าคนนี้ได้จนสว่างเลยหรือ

 

ความคิดนี้เรียกรอยยิ้มบางเบาที่ริมฝีปาก

 

ซุกหน้าลงกับหมอน พลางคิดถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมา

 

เธอและเขาเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แม้จะเคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เหลื่อมกัน เธอจากที่แห่งนั้นมาเมื่อเขาไปถึง ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป นานแสนนาน ก่อนที่จะได้มาเจอกัน และรู้จักกันเมื่อไม่นานนี้

 

แปลกดีที่คนเก็บตัวอย่างเธอยอมเปิดใจกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักในโลกอินเทอร์เน็ต และยิ่งแปลกที่เขาคนนี้เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง

 

กล้าเหลือเกินเธอตำหนิตัวเอง พร้อมอาการร้อนผ่าวบนใบหน้า เมื่อนึกถึงหัวสนทนาทั้งหมด

 

พยายามนึก ว่ามันเริ่มขึ้นตอนไหน จากการพูดคุยในวงใหญ่ มาสู่การคุยส่วนตัว การตัดสินใจแลกหมายเลขโทรศัพท์ จากความคิดแค่จะโทรคุยกันก่อนนอน กลายเป็นใช้ชั่วโมงอันยาวนาน ฟังเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า สลับกับเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังได้อย่างไร

 

หรือเพราะว่าเราต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน?’

 

เมื่อต่างเป็นคนแปลกหน้า จึงไร้ความกังวลที่จะคุย ทั้งเรื่องที่ภูมิใจ เรื่องไม่ภูมิใจ เรื่องที่คาใจ

เมื่อต่างเป็นคนแปลกหน้า จึงไร้อคติที่จะมองปัญหาและออกความเห็นต่อเรื่องราวที่ได้รับรู้

เมื่อต่างเป็นคนแปลกหน้า จึงสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมา และตรงใจ

 

ลมเย็นใกล้รุ่งพากลิ่นดอกแก้วหอมเย็นมาถึงบนเตียง

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงๆ หรือ?ภารดีถามตัวเองในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ก่อนจะปิดตา หลับไปอย่างอ่อนเพลีย ทว่าเปี่ยมสุข

 

ใกล้เที่ยงวันนั้น หลังตื่นนอน ขณะกะพริบตาอยู่บนเตียง ทบทวนความทรงจำถึงค่ำคืนที่ผ่านมา

เธอไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง.. หรือแค่ความฝัน

 

 

หมายเหตุ:

นี้เป็นเรื่องอ่านเล่น

เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจที่บังเอิญเก็บตกระหว่างเดินทาง

ยังไม่แน่ใจว่าจะแต่งได้เรื่อยๆ ไหม

เอาเป็นว่า ลองแต่ง-ลองอ่าน กันไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ

17 ความคิดเห็น:

  1. บางทีการคุยกับคนที่ไม่รู้จักที่สุด ก็ให้ความสบายใจ เทียบเท่า คุยกับคนที่สนิทมากที่สุด คนหนึ่งรู้จักมากเราพอที่จะไม่ติติงอะไร กับอีกคนหนึ่งที่ ไม่รู้จักเรามากพอที่จะติติงอะไร

    ตอบลบ
  2. เห็นด้วยกับ comment ข้างบนครับ

    ตอนแรกหลงนึกว่าพี่รันตีของผมจะ in luv รอบใหม่ซะละ

    ตอบลบ
  3. เมื่อต่างเป็นคนแปลกหน้า จึงไร้ความกังวลที่จะคุย ทั้งเรื่องที่ภูมิใจ เรื่องไม่ภูมิใจ เรื่องที่คาใจ
    เมื่อต่างเป็นคนแปลกหน้า จึงไร้อคติที่จะมองปัญหาและออกความเห็นต่อเรื่องราวที่ได้รับรู้
    เมื่อต่างเป็นคนแปลกหน้า จึงสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมา และตรงใจ

    ------------------------------------------------
    เป็นอยู่เลยเนี่ยตอนนี้ พูดกับใครมั่งก็ไม่รู้คุยจากหน้าคอมพ์ทุกวัน ....วันนี้ก็เหมือนไปแรลรี่แถวลาดหลุมแก้วมากะพี่หญิง ร่วมผจญภัยกันแบบหลงๆแถวปทุม-มีนบุรี ราวกับคุ้นเคยกันมาหลายปี

    ว่าแต่ ....ภารดี นี่มาจากศรีริต้า เอ้ย ศรีรันตีอ๊ะป่าว

    ตอบลบ
  4. มีคนบอกว่า
    การคุยผ่านตัวอักษร
    ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความเป็นตัวเอง

    ตอบลบ
  5. เรื่องแต่งที่ว่า...นุ่มนวล งดงาม...อยากอ่านต่อ แต่งต่อนะ

    ตอบลบ
  6. ไม่ไว้ใจคนไม่รู้จัก
    และก็ไม่คุยอะไรมากด้วย คุยเท่าที่จำเป็น

    ตอบลบ
  7. ฝีมือแต่งนิยายรักเข้าขั้นเลยนะป้าม้อย

    ตอบลบ
  8. เค้าว่ากันว่า...เรื่องอ่านเล่นๆ
    มักจะมี...เรื่องจริงของผู้แต่ง แฝงอยู่ :)

    ตอบลบ
  9. ปล. อย่าว่าเรานะนะ ขอทำหน้าที่เด็กพิสูจน์อักษร (ไม่ได้จับผิดนา) ---กะพริบ- นะ

    ตอบลบ
  10. โอ้ว ขอบคุณฮ่าพี่
    (ว่าจะไม่แทรกแซงรีพลายแล้วเชียว)

    แก้เดี๋ยวนี้เลยฮ่า

    ตอบลบ
  11. inspired by (2) stories ป่าวคับ

    ตอบลบ
  12. อ้าวนึกว่าเรื่องจริง ไม่ใช่เหรอค่ะ

    ตอบลบ
  13. ติดตามๆครับ

    รูปสวยอีกแล้ว

    ตอบลบ